15. การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีคือคำพยานที่แท้จริง

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์  มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีเท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยได้ และมีเพียงโดยการทำกิจทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาจนครบบริบูรณ์เท่านั้น ผลงานการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราจึงจะเป็นที่น่าพึงพอใจ  การทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงนั้นมีมาตรฐานอยู่  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่าน และด้วยสุดกำลังของท่าน”  การรักพระเจ้าคือหนึ่งแง่มุมของสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อผู้คน  ในความจริงนั้น ตราบเท่าที่พระเจ้าได้ทรงมอบพระบัญชาแก่ผู้คน และตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อในพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ต่อพวกเขา กล่าวคือ ให้พวกเขาปฏิบัติตนด้วยสุดใจของพวกเขา และด้วยสุดจิตของพวกเขา และด้วยสุดความคิดของพวกเขา และด้วยสุดกำลังของพวกเขา  หากมีเจ้าอยู่แต่ไม่มีหัวใจของเจ้า—หากมีความทรงจำและความคิดในจิตใจของเจ้าอยู่ แต่ไม่มีหัวใจของเจ้า—และหากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายให้สำเร็จลุล่วงโดยวิถีทางที่เป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง เจ้ากำลังทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงหรือไม่?  ดังนั้น สิ่งใดหรือคือมาตรฐานที่เจ้าต้องทำตามเพื่อที่จะลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า และเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีและโดยจงรักภักดี?  นั่นคือการทำหน้าที่ของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้า  หากเจ้าพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีโดยไม่มีหัวใจที่รักพระเจ้า การนั้นก็จะไม่ได้ผล  หากความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเติบโตแข็งแกร่งมากขึ้นและจริงแท้มากขึ้นตลอดเวลา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้าไปโดยธรรมชาติเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนพึ่งพาในการดำรงชีวิต?

หากเจ้ามีมโนธรรมอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องมีภาระและสำนึกรับผิดชอบ  เจ้าจะต้องพูดว่า “ไม่ว่าฉันจะได้รับการพิชิตหรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมก็ตาม ฉันต้องเป็นคำพยานในขั้นนี้อย่างถูกต้องเหมาะสม”  ในฐานะสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า พระเจ้าสามารถพิชิตคนเราได้อย่างถึงที่สุด และในท้ายที่สุด คนเราย่อมสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ โดยการตอบแทนความรักของพระเจ้าด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า และอุทิศตนเองแด่พระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบของมนุษย์ เป็นหน้าที่ที่มนุษย์ควรปฏิบัติและเป็นภาระที่มนุษย์ควรแบกรับ และมนุษย์จะต้องทำตามพระบัญชานี้ให้เสร็จสมบูรณ์  เมื่อนั้นเท่านั้น เขาจึงจะเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (3)

สิ่งที่เราปรารถนาคือความจงรักภักดีและความนบนอบของเจ้า ณ บัดนี้ ความรักและคำพยานของเจ้า ณ บัดนี้ แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้ว่าคำพยานคืออะไรหรือความรักคืออะไร เจ้าก็ควรจะนำทุกอย่างของเจ้ามาให้เรา และส่งมอบทรัพย์สมบัติเดียวที่เจ้ามีให้แก่เรา นั่นก็คือ ความจงรักภักดีและความนบนอบของเจ้า  เจ้าควรรู้ว่ามีคำพยานถึงการที่เราทำให้ซาตานพ่ายแพ้อยู่ในความจงรักภักดีและความนบนอบของมนุษย์ เช่นเดียวกับคำพยานถึงการพิชิตมนุษย์โดยบริบูรณ์ของเรา  หน้าที่แห่งความเชื่อในเราของเจ้าก็คือการเป็นพยานแก่เรา การจงรักภักดีต่อเราและไม่จงรักภักดีต่อสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น และยอมนบนอบไปจนถึงปลายทาง  ก่อนที่เราจะเริ่มขั้นตอนต่อไปของงานของเรา เจ้าจะเป็นพยานให้เราอย่างไร?  เจ้าจะจงรักภักดีและจะนบนอบเราอย่างไร?  เจ้าอุทิศความจงรักภักดีทั้งหมดของเจ้าให้แก่หน้าที่การงานของเจ้าหรือไม่ หรือเจ้าจะล้มเลิก?  เจ้าจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทุกอย่างของเรา (แม้ว่าจะเป็นความตายหรือความย่อยยับ) หรือหนีหายไปกลางทางเพื่อหลบเลี่ยงการตีสอนของเรา?  เราตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้เป็นพยานให้เรา จงรักภักดีและนบนอบเรา  ยิ่งไปกว่านั้น การตีสอนในปัจจุบันเป็นการคลี่คลายงานขั้นตอนต่อไปของงานของเรา และเพื่อช่วยให้งานนั้นก้าวหน้าต่อไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้น  ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงเตือนสติเจ้าให้เฉลียวฉลาด และจงอย่าปฏิบัติกับชีวิตของเจ้าหรือนัยสำคัญในการดำรงอยู่ของเจ้าเหมือนกับเม็ดทรายที่ไร้ค่า  เจ้าสามารถรู้ได้แน่หรือไม่ว่างานที่จะมาถึงของเรานั้นคืออะไร?  เจ้ารู้หรือไม่ว่าเราจะทำงานอย่างไรในวันข้างหน้า และงานของเราจะคลี่คลายไปอย่างไร?  เจ้าควรจะรู้ถึงนัยสำคัญของประสบการณ์ของเจ้ากับงานของเรา และยิ่งไปกว่านั้น นัยสำคัญของความเชื่อในเราของเจ้า  เราได้ทำไปมากมายแล้ว เราจะล้มเลิกแค่ครึ่งทางดังที่เจ้าจินตนาการได้อย่างไร?  เราได้ทำงานที่กว้างขวางเช่นนี้แล้ว เราจะทำลายมันได้อย่างไร?  แท้ที่จริงแล้ว เราได้มาเพื่อทำให้ยุคนี้สิ้นสุดลง  นี่คือเรื่องจริง แต่ที่มากกว่านั้น เจ้าต้องรู้ว่าเรากำลังจะเริ่มต้นยุคใหม่ จะเริ่มต้นงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดคือ จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ดังนั้น เจ้าควรรู้ว่างานปัจจุบันเป็นเพียงเพื่อการเริ่มต้นยุคหนึ่งเท่านั้น และเพื่อวางรากฐานในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐในสมัยที่จะมาถึงและการทำให้ยุคนี้สิ้นสุดลงในภายภาคหน้า  งานของเราไม่ใช่ง่ายดายดังที่เจ้าคิด อีกทั้งไม่ได้ไร้ค่าหรือไร้ความหมายดังที่เจ้าอาจเชื่อ  เพราะฉะนั้น เรายังคงต้องพูดกับเจ้าว่า เจ้าควรจะมอบชีวิตของเจ้าให้แก่งานของเรา และที่มากกว่านั้น เจ้าควรจะอุทิศตัวเจ้าเองเพื่อสง่าราศีของเรา  นานแล้วที่เราได้โหยหาให้เจ้าเป็นพยานแก่เรา และนานยิ่งกว่านั้นที่เราได้โหยหาให้เจ้าเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเรา  เจ้าควรจะเข้าใจว่าอะไรอยู่ในหัวใจของเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?

จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าคำนึงถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ และอย่าได้คำนึงถึงความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง  ก่อนอื่นเจ้าต้องคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับแรก  เจ้าควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่ามีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อยู่ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ เจ้าจงรักภักดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และทุ่มเททั้งหมดที่เจ้ามีหรือยัง  รวมทั้งเจ้าได้คำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าและงานของคริสตจักรด้วยหัวใจทั้งดวงหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองๆ และคิดออก ก็ย่อมจะง่ายขึ้นที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ หากประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือหากเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และเจ้าอาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี—แต่เจ้าย่อมจะทำอย่างดีที่สุดแล้ว  เจ้าไม่ตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความชอบอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง  แทนที่จะทำเช่นนั้น เจ้าคำนึงถึงงานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ  แม้เจ้าอาจไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีในหน้าที่ของเจ้า แต่หัวใจของเจ้าก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว หากว่านอกจากนี้เจ้ายังสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาในหน้าที่ของเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้าก็ย่อมจะได้มาตรฐาน และพร้อมกันนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  นี่คือความหมายของการมีคำพยาน

ผู้คนบางคนเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาดำรงชีวิตไปตามเนื้อหนังอยู่เสมอ ละโมบในความยินดีทางเนื้อหนัง ตอบสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของพวกเขาเองอยู่เสมอ  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปี  พวกเขาก็จะไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  นี่คือเครื่องหมายของการนำความเสื่อมเสียมาสู่พระเจ้า  เจ้าพูดว่า “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรที่ต้านทานพระเจ้าเลย  แล้วฉันนำความเสื่อมเสียมาให้พระองค์อย่างไรกัน?”  แนวคิดทั้งหมดและความคิดทั้งปวงของเจ้านั้นเลวทั้งสิ้น  เจตนา เป้าหมาย และเหตุจูงใจเบื้องหลังสิ่งที่เจ้าทำ และผลสืบเนื่องจากการกระทำของเจ้า ทำให้ซาตานพอใจเสมอ ทำให้เจ้าเป็นตัวตลกของมัน และเปิดโอกาสให้มันเอาเปรียบเจ้า  เจ้าไม่ได้เป็นคำพยานดังที่คริสตชนควรเป็น  เจ้าเป็นพวกของซาตาน  เจ้านำความเสื่อมเสียมาสู่พระนามของพระเจ้าในทุกเรื่อง และเจ้าก็ไม่มีคำพยานที่แท้จริง  พระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปหรือไม่?  สุดท้ายแล้ว พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยการกระทำ พฤติกรรม และหน้าที่ที่เจ้าทำว่ากระไร?  บางสิ่งหรือถ้อยแถลงบางอย่างจำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการนั้นมิใช่หรือ?  ในพระคัมภีร์ องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:22-23) เหตุใดเล่าองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสเช่นนี้? เหตุใดผู้คนมากมายที่ประกาศ ที่ขับผีปีศาจ และแสดงการอัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงกลายเป็นคนทำชั่ว?  เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดง พวกเขาไม่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ และหัวใจของพวกเขาก็ไม่รักความจริง  พวกเขาเพียงต้องการนำงานที่ตนทำ ความทุกข์ยากที่พวกเขาสู้ทน และการพลีอุทิศที่พวกเขาได้ทำเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า มาแลกเปลี่ยนเป็นพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์  ในการนี้พวกเขาได้พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า และพวกเขาพยายามใช้พระเจ้าและล่อลวงให้พระเจ้าหลงกล ด้วยเหตุนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเคืองพวกเขา ชิงชังพวกเขา และกล่าวโทษพวกเขาว่าเป็นคนทำชั่ว  ในวันนี้ผู้คนกำลังยอมรับการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า ทว่าบางคนยังคงไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ ปรารถนาที่จะโดดเด่นตลอดเวลา ต้องการเป็นผู้นำและคนทำงานและอยากมีหน้ามีตาและสถานะอยู่เสมอ  แม้พวกเขาทุกคนจะกล่าวว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเขาตัดขาดและสละเพื่อพระเจ้า  แต่พวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนเพื่อให้ได้ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ และพวกเขาก็มีกลอุบายของตนอยู่เสมอ  พวกเขาไม่ได้นบนอบหรือจงรักภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาสามารถก่อความวุ่นวายและทำชั่วโดยไม่ทบทวนตนเองแต่อย่างใด ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นคนทำชั่ว  พระเจ้าทรงเกลียดชังคนชั่วเหล่านี้ และพระเจ้าย่อมไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  สิ่งใดคือมาตรฐานที่ใช้ตัดสินการกระทำและพฤติกรรมของคนว่าดีหรือชั่ว?  คือการที่ว่าในความนึกคิด สิ่งที่พวกเขาเผยออกมา และการกระทำทั้งหลายของพวกเขานั้น พวกเขามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติและใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือใช้ชีวิตตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือคนทำชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย  พระเจ้าทรงมองคนทำชั่วว่าอย่างไร?  สำหรับพระเจ้าแล้ว ความคิดและการกระทำภายนอกของเจ้าไม่ได้เป็นคำพยานให้พระองค์ และไม่ได้ทำให้ซาตานอดสูและปราชัย แต่กลับนำความอับอายมาให้พระองค์ และเต็มไปด้วยเครื่องหมายของการทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติเพราะเจ้า  เจ้าไม่ได้กำลังเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า เจ้าไม่ได้สละตนเองเพื่อพระเจ้า และเจ้าก็ไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้ามีต่อพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้ากลับกำลังกระทำเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของเจ้าเอง  ความหมายของ “เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเอง” คือสิ่งใด?  หากจะกล่าวให้แน่ชัด นี่หมายถึงเพื่อซาตาน  เพราะฉะนั้น ในตอนสุดท้าย พระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การกระทำของเจ้าจะไม่ถูกมองว่าเป็นการทำดี ทั้งหมดจะถูกพิจารณาว่าเป็นการทำชั่ว  การกระทำของเจ้าไม่เพียงไม่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าเท่านั้น—แต่จะถูกกล่าวโทษอีกด้วย  คนเราหวังจะได้รับสิ่งใดจากการเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?  สุดท้ายแล้วการเชื่อเช่นนั้นจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น

ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับบททดสอบใดก็ตาม เจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง  เจ้าต้องทบทวนตัวเจ้าเองในขณะที่ไม่ทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าล่าช้า  จงอย่าทำเพียงทบทวนและไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ของตนเลย พลางละเลยสิ่งสำคัญเพื่อที่จะมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่ไม่มีนัยสำคัญ—นั่นคือหนทางของความเขลา  ไม่สำคัญว่าบททดสอบอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องปฏิบัติต่อบททดสอบนั้นว่าเป็นภาระที่พระเจ้าทรงมอบแก่เจ้า  สมมติผู้คนบางคนถูกรุมเร้าด้วยความเจ็บไข้ใหญ่หลวงและความทุกข์ที่ไม่อาจรับได้ บางคนเผชิญหน้ากับความตายด้วยซ้ำ  พวกเขาควรเข้าหาสถานการณ์ประเภทนี้อย่างไร?  ในหลายกรณี บททดสอบของพระเจ้าคือภาระที่พระองค์ทรงมอบแก่ผู้คน  ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด นั่นคือน้ำหนักของภาระที่เจ้าควรดำเนินการ เพราะพระเจ้าเข้าพระทัยเจ้า และทรงรู้ว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมัน  ภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้าจะไม่มากเกินกว่าวุฒิภาวะของเจ้าหรือขีดจำกัดความอดทนของเจ้า ดังนั้น จึงไม่มีคำถามเลยว่าเจ้าจะมีความสามารถที่จะแบกรับมันหรือไม่  ไม่ว่าภาระที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าจะมีลักษณะใด บททดสอบเป็นประเภทใด จงจำไว้สิ่งหนึ่งว่า  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่ ไม่ว่าบททดสอบนี้จะเป็นการบ่มวินัยหรือตักเตือนเจ้าจากพระเจ้าก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ตราบเท่าที่เจ้าไม่รอช้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักภักดี พระเจ้าก็จะพึงพอพระทัย และเจ้าจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า  เมื่อมองเห็นว่าพวกเขากำลังทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงและกำลังจะตาย ผู้คนบางคนคิดกับตัวพวกเขาเองว่า “ที่ฉันเริ่มต้นเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อหลีกเลี่ยงความตาย—แต่นั่นกลายเป็นว่าแม้หลังจากหลายปีแห่งการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน  พระองค์กำลังจะปล่อยให้ฉันตาย  ฉันควรจะทำกิจธุระของฉันเอง ทำสิ่งทั้งหลายที่ฉันต้องการทำเสมอมา และชื่นชมสิ่งทั้งหลายที่ฉันยังไม่ได้ชื่นชมในชีวิตนี้  ฉันสามารถเลื่อนการทำหน้าที่ของฉันออกไปได้”  นี่คือท่าทีอะไร?  เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้ามาโดยตลอดเป็นเวลาหลายปี เจ้าได้ฟังคำเทศนาเหล่านี้ทั้งหมด และเจ้ายังคงไม่ได้เข้าใจความจริง  บททดสอบหนึ่งโค่นล้มเจ้า ทำให้เจ้าเข่าทรุดลง และตีแผ่เจ้า  บุคคลเช่นนั้นมีค่าคู่ควรต่อการที่พระเจ้าจะทรงเอาพระทัยใส่กระนั้นหรือ?  (พวกเขาไม่คู่ควร)  พวกเขาปราศจากความจงรักภักดีโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น หน้าที่ที่พวกเขาใช้เวลาตลอดหลายปีนี้ปฏิบัติไปเป็นที่รู้จักกันว่าอะไร?  การนั้นเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “การทำงานปรนนิบัติ” และพวกเขาแค่เพียงทุ่มเทกำลังตัวพวกเขาเองเท่านั้น  หากในความเชื่อในพระเจ้าและในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้า เจ้าสามารถกล่าวได้ว่า “ความป่วยไข้หรือเหตุการณ์ไม่น่าพึงใจอันใดก็ตามที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้บังเกิดกับฉัน—ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด—ฉันต้องนบนอบ และอยู่ในที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ก่อนสิ่งอื่นทั้งปวง ฉันต้องนำความจริงแง่มุมนี้—การนบนอบ—มาปฏิบัติ ฉันต้องนำการนี้มาทำให้เป็นผล และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งการนบนอบพระเจ้า  ที่มากกว่านั้นคือ ฉันต้องไม่ทิ้งสิ่งที่พระเจ้าได้มีพระบัญชาแก่ฉันและหน้าที่ที่ฉันควรปฏิบัติ  ต่อให้เป็นลมหายใจห้วงสุดท้ายของฉัน ฉันก็ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของฉัน”  นี่ไม่ใช่การเป็นคำพยานหรอกหรือ?  เมื่อเจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่ประเภทนี้และสภาวะประเภทนี้ เจ้าจะยังคงมีความสามารถที่จะคร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือ?  ไม่ เจ้าทำไม่ได้  ในเวลาเช่นนั้น เจ้าจะคิดกับตัวเจ้าเองว่า “พระเจ้าทรงมอบลมหายใจนี้ให้ฉัน พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้ฉันและทรงคุ้มครองฉันตลอดหลายปีมานี้ พระองค์ทรงรับความเจ็บปวดไปจากฉัน ทรงมอบพระคุณมากมายและความจริงมากมายให้แก่ฉัน  ฉันได้เข้าใจความจริงและความล้ำลึกที่ผู้คนยังไม่เข้าใจมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน  ฉันได้รับมาจากพระเจ้ามากมายยิ่งนัก  ดังนั้น ฉันต้องชดใช้คืนให้พระเจ้า!  เมื่อก่อนนั้น วุฒิภาวะของฉันเล็กน้อยเกินไป ฉันไม่เคยเข้าใจสิ่งใด และทุกสิ่งที่ฉันทำเป็นที่น่าเจ็บปวดสำหรับพระเจ้า  ฉันอาจไม่มีโอกาสอื่นอีกในการชดใช้คืนให้พระเจ้าในอนาคต  ไม่ว่าฉันมีเวลาเหลือที่จะใช้ชีวิตอีกเท่าไร ฉันต้องถวายเรี่ยวแรงกำลังอันน้อยนิดที่ฉันมีและทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้เพื่อพระเจ้า เพื่อที่พระองค์จะทรงสามารถมองเห็นว่าตลอดหลายปีแห่งการจัดเตรียมให้แก่ฉันนี้ไม่ได้สูญเปล่าเลย แต่ได้เกิดดอกผลแล้ว  ขอให้ฉันได้นำความชูใจมาสู่พระเจ้า และไม่ทำร้ายหรือทำให้พระองค์ทรงผิดหวังอีกต่อไป”  การคิดในหนทางนี้เป็นอย่างไรบ้าง?  จงอย่าคิดถึงวิธีที่จะช่วยตัวเจ้าเองให้รอดหรือหนีพ้น โดยการคิดว่า “เมื่อไหร่ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้จะได้รับการเยียวยา?  เมื่อถึงเวลานั้น ฉันจะทำสุดความสามารถเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของฉันและจงรักภักดี  ฉันจะสามารถจงรักภักดีในตอนที่ฉันป่วยได้อย่างไร?  ฉันจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?”  ตราบเท่าที่เจ้ามีลมหายใจหนึ่ง เจ้าไม่สามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้หรือ?  ตราบเท่าที่เจ้ามีลมหายใจหนึ่ง เจ้าสามารถที่จะไม่นำความอับอายมาสู่พระเจ้าได้หรือไม่?  ตราบเท่าที่เจ้ามีลมหายใจหนึ่ง ตราบเท่าที่จิตใจของเจ้าแจ่มแจ้ง เจ้าสามารถที่จะไม่คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่?  (เจ้าสามารถทำได้)  มันง่ายที่จะพูดว่า “ได้” ในตอนนี้ แต่มันจะไม่ง่ายเช่นนั้นเมื่อการนี้เกิดขึ้นกับเจ้าจริงๆ  และดังนั้น พวกเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ทำงานหนักเกี่ยวกับความจริงบ่อยครั้ง และใช้เวลาคิดให้มากขึ้นว่า “ฉันจะสามารถสนองน้ำพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร?  ฉันจะสามารถชดใช้คืนความรักของพระเจ้าอย่างไร?  ฉันจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?”

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หนทางข้างหน้ามีอยู่แต่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและใคร่ครวญความจริงเป็นนิจเท่านั้น

ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีหลังถูกตัดแต่ง—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ  หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และเกาะติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย  หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน  ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน  ผู้คนที่กระทำการตามหลักธรรมย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง  เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็สามารถทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือก่อให้เกิดการรบกวนระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา—ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์  ทุกวันที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่คือหนึ่งวันที่ข้าพระองค์ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์  โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!”  บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ไม่ถูกอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกบีบคั้น และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้  ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

ผู้คนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้านั้นมีความผิดอยู่แล้วต่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด ซึ่งแม้แต่ความตายก็เป็นการลงโทษที่ไม่เพียงพอ แต่พวกเขาก็ยังมีหน้ามาโต้เถียงกับพระเจ้าและเทียบตัวพวกเขากับพระองค์  อะไรคือคุณค่าของการทำให้ผู้คนเช่นนี้เพียบพร้อม?  เมื่อผู้คนล้มเหลวในการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วง พวกเขาควรรู้สึกผิดและเป็นหนี้ พวกเขาควรเกลียดชังความอ่อนแอและความไร้ประโยชน์ของตน การเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น ควรจะมอบชีวิตของพวกเขาให้กับพระเจ้า  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และมีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีค่าพอที่จะได้ชื่นชมพรและสัญญาของพระเจ้า และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์  แล้วส่วนใหญ่ของพวกเจ้านั้นเล่า?  พวกเจ้าจะปฏิบัติต่อพระเจ้าที่ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าอย่างไร?  พวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์อย่างไร?  พวกเจ้าได้ทำทุกสิ่งที่เจ้าได้ถูกเรียกให้ทำโดยถึงกับต้องสละแม้แต่ชีวิตของเจ้าเองแล้วหรือยัง?  พวกเจ้าได้พลีอุทิศอะไรไปบ้าง?  พวกเจ้าไม่ได้รับมากมายจากเราแล้วหรอกหรือ?  พวกเจ้าสามารถแยกแยะได้หรือไม่?  พวกเจ้าจงรักภักดีต่อเราเพียงใด?  พวกเจ้าได้รับใช้เราอย่างไร?  แล้วทุกสิ่งที่เราได้มอบให้พวกเจ้าและได้ทำเพื่อพวกเจ้านั้นเล่า?  พวกเจ้าได้ทำการประเมินทุกอย่างไว้แล้วหรือยัง?  พวกเจ้าทั้งหมดได้ตัดสินและเปรียบเทียบการนี้กับมโนธรรมน้อยนิดที่พวกเจ้ามีอยู่ในตัวพวกเจ้าแล้วหรือยัง?  ใครคือผู้ที่คำพูดและการกระทำของพวกเจ้าสามารถมีค่าพอสำหรับเขา?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าการพลีอุทิศเพียงน้อยนิดของพวกเจ้านั้นมีค่าพอสำหรับทุกสิ่งที่เราได้มอบให้พวกเจ้า?  เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว  แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา  นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า ภารกิจเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้า  มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง?  พวกเจ้าจะสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร?  มันไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรอกหรือว่าพวกเจ้ากำลังแสดงออกและดำรงชีวิตตามอะไร?  พวกเจ้าได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ลุล่วง แต่พวกเจ้าพยายามที่จะได้รับความอดกลั้นและพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า  พระคุณเช่นนี้ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้สำหรับคนที่ไร้ค่าและต่ำช้าเช่นพวกเจ้า แต่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับพวกที่ไม่ขออะไรและพลีอุทิศด้วยความยินดี  ผู้คนเช่นพวกเจ้า คนที่มีคุณภาพปานกลางเช่นนี้ ไม่มีค่าพออย่างที่สุดที่จะได้ชื่นชมพระคุณแห่งสวรรค์  มีแต่ความยากลำบากและการลงโทษที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นที่จะไปกับพวกเจ้าทุกวัน!  หากพวกเจ้าไม่สามารถสัตย์ซื่อต่อเรา ชะตากรรมของพวกเจ้าก็จะเป็นชะตากรรมแห่งความทุกข์  หากเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อถ้อยคำของเราและงานของเรา บทอวสานของพวกเจ้าก็จะเป็นบทอวสานแห่งการลงโทษ  พระคุณ พร และชีวิตอันวิเศษของอาณาจักรทั้งหมดนั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเจ้า  นี่คือจุดจบที่พวกเจ้าสมควรได้พบและเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของพวกเจ้าเอง!  พวกที่ไม่รู้เท่าทันและโอหังไม่เพียงไม่พยายามอย่างเต็มที่หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนเท่านั้น พวกเขายังยื่นมือของพวกเขาออกไปหาพระคุณราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาร้องขอนั้นเป็นสิ่งซึ่งสมควรได้รับ  และหากพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาร้องขอ พวกเขาก็จะกลับกลายเป็นสัตย์ซื่อน้อยลงไปทุกที  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถือว่ามีเหตุผลได้อย่างไร?  พวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำและไร้เหตุผล ไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเจ้าควรจะทำให้ลุล่วงในระหว่างพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  มูลค่าของพวกเจ้าได้ตกฮวบลงแล้ว  ความล้มเหลวของพวกเจ้าในการตอบแทนเราสำหรับการแสดงพระคุณเช่นนี้ต่อพวกเจ้าเป็นการกระทำที่เป็นกบฏอย่างที่สุด ซึ่งเพียงพอที่จะประณามพวกเจ้าและแสดงให้เห็นถึงความขี้ขลาด ความไร้สามารถ ความต่ำช้า และความไร้ค่าของพวกเจ้า  อะไรให้สิทธิ์พวกเจ้ายื่นมือออกไปอยู่อย่างนั้น?  การที่พวกเจ้าไร้ความสามารถที่จะให้ความช่วยเหลืองานของเราแม้แต่น้อย ไร้ความสามารถที่จะจงรักภักดี และไร้ความสามารถที่จะยืนหยัดเป็นพยานให้เราได้นั้นคือการประพฤติผิดและความล้มเหลวของพวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับโจมตีเรา เล่าความเท็จเกี่ยวกับเรา และพร่ำบ่นว่าเราไม่ชอบธรรมแทน  นี่หรือคือสิ่งที่ประกอบกันเป็นความจงรักภักดีของพวกเจ้า?  นี่หรือคือสิ่งที่ประกอบกันเป็นความรักของพวกเจ้า?  มีงานอื่นนอกเหนือจากนี้ไหมที่พวกเจ้าสามารถทำได้?  พวกเจ้าได้มีส่วนช่วยในงานทั้งหมดที่ทำเสร็จไปแล้วอย่างไร?  พวกเจ้าได้สละไปมากเท่าใด?  เราได้แสดงให้เห็นถึงความอดกลั้นสูงยิ่งโดยไม่โทษพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ยังคงยกข้ออ้างอย่างหน้าไม่อายต่อเรา และพร่ำบ่นเกี่ยวกับเราเป็นการส่วนตัว  พวกเจ้ามีร่องรอยของความเป็นมนุษย์แม้เพียงน้อยนิดหรือไม่?  แม้ว่าหน้าที่ของมนุษย์จะถูกแปดเปื้อนโดยความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์และมโนคติที่หลงผิดของเขา แต่เจ้าต้องทำหน้าที่ของเจ้าและแสดงความจงรักภักดีของเจ้า  มลทินต่างๆ ในงานของมนุษย์คือประเด็นของขีดความสามารถของเขา เพราะเหตุว่า หากมนุษย์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเขา ก็แสดงให้เห็นความเป็นกบฏของเขา  ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่  หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา  การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมกับพรของพระเจ้าหลังได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา  การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่คือสิ่งที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำเป็นอย่างน้อย  เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง  เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา  โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา  ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงย่อมจะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกสาปแช่ง  ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกยังชั่วอีกด้วย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

จงลุล่วงหน้าที่ของเจ้าแล้วเจ้าจะยืนหยัดเป็นพยาน

ก่อนหน้า: 13. สัมพันธภาพของการปฏิบัติหน้าที่กับการเข้าสู่ชีวิต

ถัดไป: 17. วิธีจัดการกับความป่วยไข้และความเจ็บปวด

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger