13. สัมพันธภาพของการปฏิบัติหน้าที่กับการเข้าสู่ชีวิต

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

หากเจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงเห็นชอบให้เจ้าเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของพระองค์ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตเสียก่อน  เจ้าต้องเริ่มด้วยการรู้จักตนเอง สามารถปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า สัมฤทธิ์ความสามารถที่จะยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้า และลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามข้อกำหนดของพระเจ้า—นั่นคือเรื่องแรก  การมุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิตนั้นเป็นไปเพื่อให้เจ้าทำหน้าที่ของตนให้ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของเรื่องทั้งหมดนี้  เจ้าควรเริ่มไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตจากการทำหน้าที่ของตน และเจ้าก็ควรเข้าใจและได้มาซึ่งความจริงทีละนิดจากการเข้าสู่ชีวิต จนถึงจุดที่เจ้ามีวุฒิภาวะ จนถึงจุดที่ชีวิตของเจ้าค่อยๆ เติบโตและเจ้ามีประสบการณ์จริงกับความจริง  จากนั้นเจ้าควรแตกฉานในหลักธรรมทุกประการของการปฏิบัติ เพื่อที่เจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าโดยไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ จำกัดหรือรบกวน  ในหนทางนี้ เจ้าจะค่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้า  เจ้าจะไม่ถูกผู้คน เหตุการณ์ หรือเรื่องแบบใดรบกวน และเจ้าจะมีประสบการณ์กับความจริง  เมื่อประสบการณ์ของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น  เจ้าจะสามารถเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าได้มากขึ้น และเมื่อเจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันถึงพระเจ้าได้มากขึ้น เจ้าก็จะค่อยๆ กลายเป็นคนที่มีประโยชน์  เมื่อเจ้ากลายเป็นคนที่มีประโยชน์ เจ้าก็จะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ถึงมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าจะสามารถยืนอยู่ในจุดยืนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าจะสามารถตั้งมั่น  มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างซึ่งเป็นที่ยอมรับและพระเจ้าก็ทรงเห็นชอบ  และแล้วเจ้าย่อมจะคู่ควรกับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานแก่เจ้า

กุญแจสำคัญของการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงคือสิ่งใด?  เจ้าต้องเรียนรู้การปฏิบัติความจริงและการรับมือเรื่องราวต่างๆ ตามหลักธรรม  มีประโยชน์อันใดที่จะให้คำปฏิญาณและแสดงเจตจำนงของเจ้าอยู่เสมอ?  หากเจ้าให้คำปฏิญาณและแสดงเจตจำนงของเจ้าอยู่เสมอ แต่ยังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและเป็นจริงที่สุดคือการสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตในระหว่างที่ทำหน้าที่ของเจ้า ผ่านทางการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า และเพื่อกลับตัวกลับใจจากท่าทีผิดๆ ที่เจ้ามีต่อหน้าที่ของตน  การมีการเข้าสู่ชีวิตหมายความว่ากระไร?  การมีการเข้าสู่ชีวิตหมายความว่าเจ้ามีประสบการณ์กับความจริง มีความรู้เกี่ยวกับความจริง และสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างถูกต้อง  ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนมีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าหรือไม่?  โดยมากแล้วเจ้ายังคงติดอยู่กับคำสอนมิใช่หรือ?  เจ้าหยุดยั้งอยู่กับคำสอน ไร้ซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหรือประสบการณ์กับความจริงอย่างแท้จริงมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่สามารถมีประสบการณ์และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า  โดยมากแล้วความเข้าใจของเจ้าย่อมเป็นไปตามการรับรู้  เจ้าจึงไม่ชัดเจน รู้สึกเหมือนว่าสิ่งหนึ่งกับอีกสิ่งหนึ่งนั้นถูกทั้งคู่ เมื่อพระเจ้าตรัสสิ่งหนึ่ง ก็เหมือนว่านั่นคือความจริงสำหรับเจ้า แล้วพอพระองค์ตรัสอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็เป็นความจริงเช่นกัน  เจ้ารู้สึกเหมือนว่าพระวจนะทุกคำของพระเจ้าคือความจริง และเจ้าก็กล่าวอาเมนต่อพระวจนะ สรรเสริญพระวจนะ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าไม่สามารถปฏิบัติตนได้เทียบเคียงพระวจนะ  เวลาที่เจ้าทำสิ่งต่างๆ เจ้ายังคงสับสน และเจ้าไม่รู้ว่าควรใช้ความจริงข้อใดแก้ปัญหาของเจ้า  พวกเจ้าส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะนี้มิใช่หรือ?  แม้เจ้าจะเข้าใจคำสอนเป็นอันมากและสามารถกล่าวคำสอนได้มาก แต่เจ้าก็ไม่สามารถใช้คำสอนในชีวิตจริงของตน  เจ้ายังคงไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง ไม่รู้วิธีนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ในชีวิตจริงของเจ้า และไม่ว่าสิ่งใดจะบังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็ไม่รู้ว่าจะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของเจ้าอย่างไร  นี่เป็นเพราะวุฒิภาวะของเจ้ามีน้อยเกินไป  เมื่อพวกเจ้ารู้วิธีผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติตามพระวจนะ และนำพระวจนะไปใช้ในชีวิตจริงของพวกเจ้า เมื่อเจ้ารู้วิธีแสวงหาความจริงเพื่อแก้ปัญหาหลังจากที่มีบางสิ่งบังเกิดแก่เจ้าแล้ว เมื่อนั้นชีวิตของพวกเจ้าจึงจะเติบโต  การรู้วิธีปฏิบัติความจริงคือเครื่องหมายว่าชีวิตของเจ้ากำลังเติบโต  สักวันหนึ่งเมื่อเจ้าสามารถแก้ปัญหาด้วยความจริง เมื่อเจ้าพอจะรู้จักพระเจ้าอยู่บ้าง เมื่อเจ้าสามารถเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระองค์ พระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์และชอบธรรมของพระองค์ มหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์ ผ่านทางการแบ่งปันความเข้าใจอันแท้จริงที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้อย่างแท้จริง และเจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะให้พระเจ้าทรงใช้งาน  หากเจ้าเข้าใจมากและสามารถกล่าวคำสอนได้ตลอดทั้งวัน แต่เจ้าไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของเจ้าเองหรือไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร เช่นนั้นแล้วนั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจนั้นไม่ใช่ความจริง เป็นเพียงวาจาและคำสอนเท่านั้น  ต่อให้เจ้ากล่าวคำสอนบางอย่างได้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่ก็เป็นเพียงความรู้ตามการรับรู้เท่านั้น ยังไม่สัมฤทธิ์ความมีเหตุผล  แม้ผู้คนจะมีความเจริญใจหลังจากที่ฟังเจ้า มีความรู้สึกเหมือนเจ้า และความรู้ของเจ้าก็ถึงกับสัมฤทธิ์ผลบางอย่างในตัวพวกเขาได้ แต่เจ้าก็ไม่สามารถกล่าวคำสอนได้ชัดแจ้งพอ และไม่สามารถแก้ปัญหาให้สิ้นไปได้  นี่ย่อมพิสูจน์ว่าคำสอนที่เจ้าพูดถึงนั้นเป็นเพียงความรู้ที่เกิดจากการรับรู้เท่านั้น เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าคำสอนเหล่านั้นคือความเป็นจริงความจริง และยิ่งพูดไม่ได้ว่าเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  แล้วเจ้าแก้ปัญหาของการกล่าวตามวาทะและคำสอนอย่างไร?  นี่พึงต้องให้เจ้าคิดทบทวนความเสื่อมทรามนานาชนิดที่ถูกเปิดเผยให้เห็นในตัวเจ้าระหว่างที่เจ้าทำหน้าที่ของตน คิดทบทวนบ่อเกิดของทุกปัญหาที่เจ้าพบเจอ แล้วจากนั้นก็แสวงหาความจริง ใช้พระวจนะของพระเจ้าแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยให้เห็นอย่างถ้วนทั่ว  ไม่ว่าสิ่งที่เผยให้เห็นในตัวเจ้าจะเป็นความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอ หรือความบิดเบี้ยวและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่ว่าจะเป็นความเห็นแก่ตัวและความน่ารังเกียจ หรือความสุกเอาเผากินและการโกหกพระเจ้า เจ้าก็ต้องคิดทบทวนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จนกว่าเจ้าจะมองเห็นทั้งหมดนี้อย่างชัดแจ้ง  ในหนทางนี้เจ้าจึงจะรู้ว่ามีปัญหาอันใดบ้างระหว่างที่เจ้าทำหน้าที่ของตน และเจ้าอยู่ห่างไกลจากการสัมฤทธิ์ความรอดเพียงใด  เฉพาะเมื่อเจ้ามองเห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองได้อย่างชัดเจนเท่านั้น เจ้าจึงจะรู้ได้ว่าความยากลำบากและอุปสรรคในการทำหน้าที่ของเจ้าอยู่ที่ใด  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของมันได้  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าไม่รับผิดชอบการทำหน้าที่ของเจ้า กลับกระทำการอย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ ก่อให้เกิดความเสียหายในงานของเจ้า แต่เจ้าก็ใส่ใจแต่หน้าตาของตนเอง ดังนั้นเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะสามัคคีธรรมอย่างเปิดเผยถึงสภาวะและความยากลำบากของเจ้า หรือชำแหละตนเองและทำความรู้จักตัวเจ้าเอง กลับมองหาข้อแก้ตัวอยู่เสมอให้กับการจัดการสิ่งต่างๆ อย่างสุกเอาเผากิน  เจ้าควรแก้ปัญหานี้อย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและทบทวนตนเองโดยกล่าวว่า “โอ พระเจ้า หากข้าพระองค์พูดจาเช่นนั้น ก็เป็นไปเพื่อปกป้องหน้าตาของตนเองเท่านั้น  นั่นเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์ที่พูดจาออกมา  ข้าพระองค์ไม่ควรกล่าวเช่นนั้น  ข้าพระองค์ต้องเปิดเผย ตีแผ่ตนเอง และกล่าวตามความคิดที่แท้จริงในหัวใจของตนออกมาดังๆ  ข้าพระองค์ยอมที่จะทนทุกข์กับความละอายใจและการเสียหน้ามากกว่าที่จะสนองความไม่เป็นแก่นสารของตน  ข้าพระองค์ต้องการที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยเท่านั้น”  ด้วยการทำดังนี้ ด้วยการขบถต่อตนเองและกล่าวตามความคิดที่แท้จริงในหัวใจของเจ้าออกมาดังๆ เจ้าก็กำลังเป็นคนที่ซื่อสัตย์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่ได้กำลังกระทำการตามเจตจำนงของเจ้าเองหรือปกป้องหน้าตาของตน  เจ้าสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ สามารถปฏิบัติความจริงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจ  และลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างครบถ้วน  ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของตนให้ดีเท่านั้น เจ้ากำลังค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และพระทัยของพระเจ้าก็ย่อมพอใจ  นี่คือหนทางดำรงชีวิตที่ยุติธรรมและมีเกียรติ คู่ควรที่จะได้รับการกล่าวถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์  นี่ช่างวิเศษนัก!  การปฏิบัติในหนทางนี้ออกจะยากสักหน่อย แต่หากความมานะพยายามและการปฏิบัติของเจ้ามุ่งไปในทิศทางนี้ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าล้มเหลวสักครั้งหรือสองครั้ง เจ้าย่อมจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน  และสำหรับเจ้าแล้วความสำเร็จหมายความว่าอะไร?  นั่นหมายความว่าเมื่อเจ้าปฏิบัติตามความจริง เจ้ามีความสามารถที่จะใช้ขั้นตอนนั้นซึ่งปลดปล่อยเจ้าเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตาน ขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้เจ้าขบถต่อตนเอง  นี่หมายความว่าเจ้าย่อมสามารถละวางความไม่เป็นแก่นสารและเกียรติยศ เลิกแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง และเลิกทำเรื่องที่เห็นแก่ตัวและควรถูกดูหมิ่น  เมื่อเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ เจ้าย่อมแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเจ้าคือคนที่รักความจริง โหยหาความจริง โหยหาความยุติธรรมและความสว่าง  นี่เป็นผลจากการที่เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้  และเจ้าก็ทำให้ซาตานอับอายไปพร้อมกันอีกด้วย  ซาตานทำให้เจ้าเสื่อมทราม มันทำให้เจ้าคิดแต่จะเอาตัวรอด มันทำให้เจ้าเห็นแก่ตัว ทำให้เจ้าคิดถึงเกียรติยศของตัวเจ้าเอง  แต่ตอนนี้สิ่งที่เกิดจากซาตานนี้ไม่สามารถพันธนาการเจ้าไว้ได้อีกต่อไป เจ้าเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ไม่ถูกความไม่เป็นแก่นสาร เกียรติยศ หรือผลประโยชน์ส่วนตัวควบคุมเอาไว้อีกต่อไป และเจ้าก็ปฏิบัติความจริง ดังนั้น ซาตานจึงถูกดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างสิ้นเชิง และไม่อาจทำอะไรได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมมีชัยมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าได้ชัย เจ้าย่อมตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้พระเจ้ามิใช่หรือ?  เจ้าต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้วมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังแล้ว ย่อมมีสันติสุข ความชื่นบาน และความรู้สึกเบาสบายอยู่ในหัวใจของเจ้า  หากเจ้ามักจะรู้สึกถึงการกล่าวหาในชีวิตของเจ้า หากหัวใจของเจ้าไม่อาจพบความสงบ หากเจ้าไร้ซึ่งสันติสุขหรือความชื่นบาน และมักจะถูกความวิตกกังวลและความกระวนกระวายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ สารพัดชนิดรุมเร้า นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  แสดงให้เห็นเพียงว่าเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง ไม่ตั้งมั่นในคำพยานที่เจ้ามีให้พระเจ้า  เมื่อเจ้าใช้ชีวิตท่ามกลางอุปนิสัยของซาตาน ก็มีแนวโน้มที่เจ้ามักจะปฏิบัติความจริงไม่ได้ ทรยศความจริง เห็นแก่ตัวและเลวทราม เจ้าเอาแต่รักษาภาพลักษณ์ของเจ้า ชื่อและสถานะของเจ้า รวมถึงผลประโยชน์ของเจ้า  การใช้ชีวิตเพื่อตนเองอยู่เสมอนำความเจ็บปวดอันใหญ่หลวงมาให้เจ้า  เจ้ามีความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว มีเรื่องพัวพัน มีโซ่ตรวน มีความคลางแคลงใจ และความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่มากมายเสียจนเจ้าไม่มีสันติสุขหรือความชื่นบานแม้แต่น้อย  การใช้ชีวิตเพื่อเนื้อหนังอันเสื่อมทรามคือการทนทุกข์อย่างเหลือล้น  ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นแตกต่างออกไป  ยิ่งพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็ยิ่งเป็นอิสระและมีเสรี ยิ่งพวกเขาปฏิบัติความจริง พวกเขาก็ยิ่งมีสันติสุขและความชื่นบาน  เมื่อพวกเขาได้มาซึ่งความจริง พวกเขาก็จะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์ ชื่นชมพรจากพระเจ้า และไม่มีความเจ็บปวดแต่อย่างใด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

หลังจากทำหน้าที่ของตน มีคนมากมายที่รู้สึกว่าตนบกพร่อง และรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริง พวกเขาจึงต้องให้ตนเองฟังคำเทศนาให้มากขึ้นอยู่เสมอ และเรียกร้องให้บรรดาผู้นำและคนทำงานจัดการชุมนุมมากขึ้น ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนั้นเท่านั้นที่จะสามารถมอบการเข้าสู่ชีวิตและการเติบโตในชีวิตให้แก่พวกเขาได้  หากพวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมหรือการเทศนาสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็จะรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตนว่างเปล่าและอ้างว้าง เหมือนพวกเขาไม่มีอะไรเลย  ในหัวใจของพวกเขาเหมือนมีเพียงการชุมนุมและการเทศนาเป็นประจำทุกวันเท่านั้นที่จะมอบการเข้าสู่ชีวิตให้แก่พวกเขา หรือเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทางวิญญาณได้  แต่ในความเป็นจริง ความคิดแบบนี้ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง  ผู้ที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้าต้องทำหน้าที่ของตน—เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถได้รับประสบการณ์ชีวิต  หากเจ้าพูดว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เจ้าไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนเอง เช่นนั้นแล้วความจริงใจในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ใด?  ผู้ที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจริงใจก็คือผู้ที่มีความเชื่อ  ผู้ที่มีความเชื่อเท่านั้นที่กล้าอุทิศชีวิตของตนให้พระเจ้า และเต็มใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละให้พระเจ้า  ผู้คนเช่นนี้ย่อมมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปพร้อมกับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาได้รับความรู้แจ้ง ได้รับการทรงนำ และได้รับการบ่มวินัยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดประสบการณ์ชีวิต  ดังนั้น การเข้าสู่ชีวิตจึงเริ่มด้วยการทำหน้าที่ของตนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

หน้าที่ใดก็ตามที่เจ้าปฏิบัติย่อมเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิต  ไม่ว่าหน้าที่ของเจ้าจะค่อนข้างเป็นเวลาหรือเอาแน่เอานอนไม่ได้ จืดชืดน่าเบื่อหรือมีชีวิตชีวา เจ้าย่อมต้องบรรลุการเข้าสู่ชีวิตเสมอ  หน้าที่ทั้งหลายที่ผู้คนบางคนปฏิบัตินั้นค่อนข้างจำเจ พวกเขาทำสิ่งเดิมทุกวัน  อย่างไรก็ตาม ตอนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอยู่ สภาวะที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมานั้นไม่ได้เป็นลักษณะเดียวกันทั้งหมด  บางคราว เมื่ออยู่ในอารมณ์ที่ดี ผู้คนขยันกว่าเล็กน้อยและทำงานได้ดีกว่า  ส่วนในเวลาอื่นๆ เนื่องจากอิทธิพลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็ปลุกปั่นความประสงค์ร้ายภายในตัวพวกเขาขึ้นมา เป็นเหตุให้พวกเขามีทรรศนะที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมและอยู่ในสภาวะที่แย่และอารมณ์ที่ไม่ดี นี่ส่งผลลัพธ์ในตัวพวกเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาไปในลักษณะขอไปที สภาวะภายในของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ สภาวะเหล่านั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกที่ทุกเวลา  ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร การปฏิบัติตนไปบนพื้นฐานของอารมณ์ของเจ้านั้นย่อมผิดเสมอ  อย่างเช่น เจ้าทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในยามที่เจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ดี และแย่ลงเล็กน้อยเมื่อเจ้าอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี—นี่เป็นหนทางที่มีหลักธรรมในการทำสิ่งทั้งหลายหรือ?  นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ถึงมาตรฐานอันดีกระนั้นหรือ?  ไม่ว่าอารมณ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ผู้คนต้องรู้จักอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถหลีกเลี่ยงการถูกตีกรอบและแกว่งไกวไปมาด้วยอารมณ์ทั้งหลายของพวกเขา  ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะพอเป็นพิธีหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่  ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น  ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีหลังถูกตัดแต่ง—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ  หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และเกาะติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย  หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน  ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า  เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ตามมาตรฐาน  ผู้คนที่กระทำการตามหลักธรรมย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง  เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็สามารถทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือก่อให้เกิดการรบกวนระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา—ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์  ทุกวันที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่คือหนึ่งวันที่ข้าพระองค์ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์  โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!”  บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ไม่ถูกอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกบีบคั้น และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้  ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว  นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

เพื่อที่จะทำหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับได้ ก่อนอื่นเจ้าต้องมีวิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสมเสียก่อน  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเผยตัวออกมา เจ้าต้องปรับเปลี่ยนสภาวะของตนเองด้วย  เมื่อเจ้าสามารถปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนได้อย่างถูกต้อง เมื่อเจ้าสลัดหลุดจากข้อจำกัดและอิทธิพลของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกประเภทแล้ว เมื่อเจ้านบนอบพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี  เคล็ดลับในการทำสิ่งนี้ก็คือการให้ความสำคัญแก่หน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าเป็นอันดับแรกเสมอ  ในกระบวนการทำหน้าที่ของเจ้านั้น เจ้าต้องสำรวจตนเองอยู่เสมอว่า “ฉันมีท่าทีแบบสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตนหรือไม่?  สิ่งใดรบกวนใจฉันและทำให้ฉันสุกเอาเผากินในการทำหน้าที่ของตน?  ฉันกำลังทำหน้าที่ด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของตัวเองหรือเปล่า?  การทำแบบนี้จะทำให้พระเจ้าทรงเชื่อใจฉันหรือไม่?  หัวใจของฉันนบนอบพระเจ้าโดยบริบูรณ์หรือยัง?  การทำหน้าที่ของฉันแบบนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือเปล่า?  การทำหน้าที่ของฉันแบบนี้จะสัมฤทธิ์ผลที่ดีที่สุดหรือไม่?”  เจ้าควรทบทวนคำถามเหล่านี้บ่อยๆ  เมื่อเจ้าพบปัญหา เจ้าก็ควรแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน และค้นหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องมาแก้ปัญหาเหล่านั้น  ด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้ดี เจ้าจะมีสันติสุขและความเบิกบานในหัวใจของเจ้า  หากเกิดปัญหาอยู่เนืองๆ ในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตน ปัญหาเหล่านั้นส่วนใหญ่ย่อมเกิดขึ้นเพราะเจตนาของเจ้ามีปัญหา—นี่เป็นปัญหาของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของบุคคลหนึ่งเผยตัวออกมา พวกเขาย่อมจะมีปัญหาในหัวใจของตนและสภาวะของพวกเขาย่อมจะไม่ปกติ ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของพวกเขาโดยตรง  ปัญหาที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำหน้าที่ของคนเราเป็นปัญหาที่ใหญ่และร้ายแรง สามารถมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้าโดยตรงได้  ตัวอย่างเช่น บางคนเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อความวิบัติบังเกิดแก่ครอบครัวของพวกเขา  บางคนคิดลบเมื่อพวกเขาประสบความยากลำบากในหน้าที่ของตน ไม่มีผู้ใดมองเห็นความลำบากนั้นหรือชื่นชมพวกเขา  บางคนไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี สุกเอาเผากินอยู่เสมอ และพร่ำบ่นพระเจ้าเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง  บางคนก็ไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตนเองเพราะพวกเขาคิดหาทางหนีอยู่เสมอ  ปัญหาเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลโดยตรงต่อความสัมพันธ์ตามปกติกับพระเจ้า  ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  ทั้งหมดล้วนเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ว่าพวกเขาออกอุบายเพื่อตนเองและคำนึงถึงตนเองเสมอ ซึ่งขัดขวางไม่ให้พวกเขาคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือนบนอบต่อแผนการของพระเจ้า  นี่สร้างความรู้สึกเชิงลบทุกประเภท  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเช่นนี้เอง  เมื่อปัญหาเล็กๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็คิดลบและอ่อนแอ พวกเขาระบายความคับข้องใจระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน พวกเขากบฏและต่อต้านพระเจ้า พวกเขาอยากจะละทิ้งความรับผิดชอบของตนเองและทรยศพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลสืบเนื่องนานัปการที่เกิดจากข้อจำกัดของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  บุคคลที่รักความจริงสามารถละมือจากชีวิต อนาคต และโชคชะตาของตนเองได้ พวกเขาต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาและได้มาซึ่งความจริงเท่านั้น  พวกเขาคิดว่ามีเวลาไม่มากพอ พวกเขากลัวว่าจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี และกลัวว่าพวกเขาจะไม่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อม ดังนั้นพวกเขาจึงวางทุกสิ่งลงได้  วิธีคิดของพวกเขามีเพียงนบนอบและหันเข้าหาพระเจ้า  พวกเขาไม่ท้อถอยกับความยากลำบากใดๆ และหากพวกเขารู้สึกในเชิงลบหรืออ่อนแอ พวกเขาก็จะแก้ไขความรู้สึกนั้นไปตามปกติโดยอ่านพระวจนะของพระเจ้าสักสองสามบทตอน  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมเดือดร้อน และไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของตนได้โดยสมบูรณ์  ต่อให้พวกเขามีสติคิดได้ชั่วคราวและสามารถยอมรับความจริงได้ พวกเขาก็จะผิดคำพูดในภายหลังอยู่ดี ดังนั้นจึงยากมากที่จะรับมือบุคคลประเภทนี้  ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเอาเสียเลย แต่พวกเขาไม่ให้ค่าหรือยอมรับความจริงในหัวใจของพวกเขาต่างหาก  สุดท้ายแล้วนี่ทำให้พวกเขาไม่สามารถวางเจตจำนง ความเห็นแก่ตัว อนาคต โชคชะตา และบั้นปลายของตนเองได้ ซึ่งหลังจากนั้นย่อมจะผุดขึ้นมารบกวนพวกเขาเสมอ  หากบุคคลหนึ่งสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง สิ่งทั้งหลายที่เป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ และพวกเขาจะมีการเข้าสู่ชีวิตและวุฒิภาวะ พวกเขาจะไม่ใช่เด็กไม่รู้ความอีกต่อไป  เมื่อบุคคลมีวุฒิภาวะ พวกเขาก็จะเติบโตขึ้นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น สามารถแยกแยะผู้คนทุกประเภทได้มากขึ้น และจะไม่มีบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งใดๆ มาจำกัดพวกเขาได้  สิ่งใดก็ตามที่ใครๆ พูดหรือทำย่อมจะไม่กระทบพวกเขา  พวกเขาจะไม่ถูกกองกำลังอันชั่วของซาตานแทรกแซง หรือถูกผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ชักพาให้หลงผิดหรือรบกวน  หากนี่เกิดขึ้น วุฒิภาวะของบุคคลหนึ่งย่อมจะค่อยๆ เติบโตขึ้นมิใช่หรือ?  ยิ่งบุคคลหนึ่งเข้าใจความจริงมากขึ้นเท่าไร ชีวิตของพวกเขาก็จะก้าวหน้าเร็วขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ของตนและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงโดยง่าย  เมื่อเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิตและชีวิตของเจ้าก็ค่อยๆ เติบโต สภาวะของเจ้าจะเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ  ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยรบกวนและจำกัดเจ้าจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าอีกต่อไป  เจ้าจะไม่มีความยากลำบากในการทำหน้าที่ของเจ้าอีกเลย และความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าก็จะเป็นปกติมากขึ้นทุกที  เมื่อเจ้ารู้วิธีที่จะพึ่งพาพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้วิธีแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้จุดยืนของตัวเจ้าเอง เมื่อเจ้ารู้ว่าเจ้าควรและไม่ควรทำสิ่งใด และเรื่องใดที่พึงต้องหรือไม่พึงต้องให้เจ้ารับผิดชอบ สภาวะของเจ้าย่อมจะเป็นปกติขึ้นเรื่อยๆ มิใช่หรือ?  การใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมจะไม่ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยใช่หรือไม่?  ไม่เพียงเจ้าจะไม่เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น เจ้าจะรู้สึกผ่อนคลายและเป็นสุขเป็นพิเศษอีกด้วย  ผลที่ตามมาคือหัวใจของเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยความสว่างมิใช่หรือ?  วิธีคิดของเจ้าจะเป็นปกติ การเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมาจะลดน้อยลง และเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระเจ้าได้ ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้  เมื่อผู้คนเห็นทัศนคติทางจิตใจของเจ้า พวกเขาก็จะคิดว่าในตัวเจ้ามีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  พวกเขาจะเต็มใจสามัคคีธรรมกับเจ้า จะรู้สึกถึงสันติสุขและความเบิกบานในหัวใจของพวกเขา และจะได้รับประโยชน์เช่นกัน  เมื่อวุฒิภาวะของเจ้าเติบโต คำพูดและการกระทำของเจ้าจะถูกต้องเหมาะสมและมีหลักธรรมมากขึ้น  เมื่อเจ้าเห็นผู้คนที่อ่อนแอและคิดลบ เจ้าจะสามารถให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาได้อย่างแท้จริง—ไม่ใช่บีบบังคับหรือสั่งสอนพวกเขา แต่ใช้ประสบการณ์จริงของตัวเจ้าเองช่วยเหลือและทำประโยชน์ให้พวกเขา  ในหนทางนี้ เจ้าจะไม่เอาแต่มานะพยายามในพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจะเป็นคนที่มีประโยชน์ สามารถรับผิดชอบตนเอง และสามารถทำสิ่งที่มีความหมายได้มากขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าย่อมโปรดคนแบบนี้มิใช่หรือ?  หากเจ้าคือคนที่พระเจ้าโปรด ทุกคนก็จะชอบเจ้าด้วยมิใช่หรือ?  (พวกเขาย่อมจะชอบ)  เหตุใดบุคคลประเภทนี้จึงทำให้พระเจ้าพอพระทัย?  เพราะพวกเขาสามารถทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ พวกเขาไม่หลงคำป้อยอ พวกเขาสนใจเรื่องที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกเขาสามารถช่วยเหลือและชี้นำผู้อื่นด้วยการพูดถึงประสบการณ์จริงของตน  พวกเขาสามารถช่วยผู้อื่นแก้ปัญหาใดๆ ได้ และเมื่องานของคริสตจักรเกิดความยากลำบาก พวกเขาก็สามารถนำทางไปข้างหน้า แก้ไขปัญหาอย่างแข็งขันได้  นี่คือความหมายของการทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างจงรักภักดี

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่

เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา  โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา  ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น  พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงย่อมจะถูกกำจัดออกไปในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกสาปแช่ง  ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกยังชั่วอีกด้วย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์

ผู้คนบางคนไม่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและไม่รู้วิธีพาพระวจนะของพระองค์ไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไปสู่ชีวิตจริง  พวกเขาพึ่งพาการมักไปร่วมชุมนุมมากมายหลายครั้งเพื่อให้ได้รับความจริงและการเติบโตในชีวิตอยู่เสมอ  อย่างไรก็ตามนี่ไม่เป็นความจริงและเป็นข้อโต้แย้งที่ไม่มีเหตุผล  ชีวิตได้รับมาจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน  บรรดาผู้ที่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มีความสามารถที่จะเข้าใจและปฏิบัติความจริง ยอมรับการถูกตัดแต่ง เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง บรรลุการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตน และได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่อะไรก็ตาม  พวกที่ขี้เกียจและละโมบต่อสิ่งชูใจไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และไม่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ายามปฏิบัติหน้าที่ของตน เรียกร้องไม่รู้จบให้พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมการชุมนุม คำเทศนา และการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงให้กับพวกเขา  ผลที่ได้ก็คือ หลังจากที่ผ่านการเชื่อไปสิบหรือยี่สิบปีและหลังจากที่ฟังคำเทศนามานับไม่ถ้วน พวกเขายังคงไม่เข้าใจความจริงหรือไม่ได้รับความจริงอยู่ดี  พวกเขาไม่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่เข้าใจว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้า และไม่รู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้รู้จักตัวเองและได้รับความจริงและชีวิต  พวกเขาเป็นผู้คนที่กระหายความชูใจและบ่ายเบี่ยงหน้าที่ของตน เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงถูกเปิดเผยและถูกขับออกไปเนื่องจากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนนั่นเอง  บัดนี้ผู้คนที่พอใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและให้ความสำคัญกับการไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านั้นล้วนมีการเข้าสู่ชีวิตอยู่บ้างเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน ทบทวนเพื่อทำความรู้จักตนเองเมื่อพวกเขาเผยความเสื่อมทราม และเมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาแสวงหาความจริงและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลาย  หลังจากปฏิบัติหน้าที่หลายปี พวกเขาก็เก็บเกี่ยวบำเหน็จที่ชัดเจน สามารถพูดถึงคำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์บางอย่าง มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์โดยไม่รู้ตัวอยู่บ้าง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาด้วยเหตุนี้  ในปัจจุบันคริสตจักรทุกแห่งกำลังชำระตนเองให้สะอาดจากผู้คนที่ชั่วและพวกที่ขัดขวางและก่อให้เกิดการรบกวนต่างๆ  บรรดาผู้ที่เหลืออยู่โดยทั่วไปแล้วคือผู้ที่มีความสามารถที่จะยืนกรานในการปฏิบัติหน้าที่ของตน มีความจงรักภักดีในระดับหนึ่ง และให้ความสำคัญกับการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา  พวกเขาเป็นผู้คนประเภทที่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตน  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะนำพาพระวจนะของพระเจ้าไปสู่ชีวิตจริงและไปสู่หน้าที่ที่พวกเจ้าปฏิบัติ โดยปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าและนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้ แล้วจึงแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและความลำบากยากเย็นในเวลาที่เกิดปัญหาและความลำบากยากเย็นเหล่านั้น  นอกจากนี้พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และพยายามที่จะปฏิบัติความจริงและจัดการรับมือกับสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมในทุกเรื่อง  พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติความรักสำหรับพระเจ้า โดยคำนึงถึงภาระของพระองค์ และไปให้ถึงจุดที่พวกเจ้าสามารถทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้ด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า  นี่เท่านั้นจึงเป็นใครบางคนที่รักพระเจ้าอย่างจริงใจ  โดยการปฏิบัติในหนทางนี้ ต่อให้เจ้าไม่เข้าใจความจริงอย่างครบถ้วน เจ้าก็ยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างเพียงพอ และไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถแก้ไขความสุกเอาเผากินของเจ้าได้เท่านั้น แต่เจ้ายังสามารถเรียนรู้ที่จะปฏิบัติความรักสำหรับพระเจ้า นบนอบต่อพระองค์ และทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้ในเวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่—นี่คือบทเรียนของการเข้าสู่ชีวิต  หากเจ้าสามารถปฏิบัติความจริงและปฏิบัติตนตามหลักธรรมในหนทางนี้ได้สำหรับทุกเรื่อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและจะมีการเข้าสู่ชีวิต  ไม่สำคัญว่าเจ้าจะยุ่งกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเพียงใด เมื่อเจ้ามีดอกผลแห่งการเข้าสู่ชีวิต มีการเติบโตในชีวิต และสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะพบความชื่นบานยินดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เจ้าจะไม่รู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่ว่าเจ้าจะยุ่งเพียงใด  เจ้าจะมีสันติสุขและความปีติยินดีในหัวใจของเจ้าและรู้สึกก้าวหน้าและสงบเป็นพิเศษเสมอ  ไม่สำคัญว่าจะเกิดความลำบากยากเย็นใด เมื่อเจ้าแสวงหาความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้า  เมื่อนั้นเจ้าจะได้รับพระพรของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าร่วมในการออกกำลังกายที่เหมาะสมตามแต่โอกาสและกิจกรรมเสริมสมรรถภาพของร่างกายที่สมเหตุสมผลเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าเจ้าจะยุ่งหรือไม่ก็ตามในเวลาที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  การนี้จะส่งเสริมการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาพลังงานไว้ในระดับสูง และอาจมีประสิทธิผลในการป้องกันโรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพบางอย่าง  นี่เป็นประโยชน์อย่างสูงสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  เพราะฉะนั้นในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าสามารถที่จะเรียนรู้บทเรียนหลายอย่าง ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหลายประการ รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง และยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วในที่สุด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะมีแนวคิดสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์  หากเจ้าสามารถได้มาซึ่งความรักสำหรับพระเจ้า เป็นพยานให้พระองค์ และสัมฤทธิ์หัวใจและเจตจำนงที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เจ้าก็กำลังเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระองค์  นี่คือบุคคลที่ได้รับพระพรของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ได้รับพระพรอย่างเหลือเชื่อ!  หากเจ้าสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ แน่นอนว่าเจ้าจะได้รับพระพรอันอุดมจากพระองค์  พวกที่ไม่สละตนเองเพื่อพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถรับความรอดได้หรือไม่?  เป็นเรื่องยากที่จะพูด  พระพรทั้งหมดสามารถได้รับผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราและการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น  ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรานั่นเองที่คนเรารู้วิธีได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และรู้วิธีได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุง และการถูกตัดแต่ง  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่ควรค่าที่สุดแก่การได้รับพระพร  ตราบที่บุคคลรักความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะได้รับความจริง เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน ได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า และกลายเป็นใครบางคนที่ได้รับพระพรจากพระองค์ในที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

การปฏิบัติความจริงในหน้าที่ของเจ้าคือกุญแจสำคัญ

ก่อนหน้า: 10. วิธีได้รับประสบการณ์บททดสอบและการถลุง

ถัดไป: 15. การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีคือคำพยานที่แท้จริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger