บทที่ 106

พวกที่ไม่รู้วจนะของเรา พวกที่ไม่รู้จักสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเรา และพวกที่เยาะเย้ยท้าทายเทวสภาพของเรา ทั้งหมดนั้นจะถูกทำลายจนไม่มีตัวตน  ไม่มีผู้ใดเลยจะได้รับการยกเว้นจากการนี้ และทั้งหมดต้องเข้าเกณฑ์มาตรฐานในแง่มุมนี้ เนื่องด้วยเป็นประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังที่สุดที่จะนำไปปฏิบัติ  พวกที่ไม่รู้วจนะของเราคือผู้ที่ได้รับฟังสิ่งที่เราได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว แต่ก็ยังคงไม่มีความรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาคือผู้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ (เนื่องจากเราไม่ได้สร้างปฏิภาณของมนุษย์ที่สอดรับกับเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ เราไม่ได้เรียกร้องจากพวกเขามาก เราเพียงแต่พึงประสงค์ให้พวกเขาฟังวจนะของเราและนำไปปฏิบัติ)  พวกที่ไม่ใช่ผู้คนในบ้านของเรา อีกทั้งพวกเขาไม่ใช่ผู้คนชนิดเดียวกับเรา พวกเขาเป็นคนของถิ่นที่อยู่ของซาตาน  ดังนั้น เราจึงไม่ต้องการผู้คนเหล่านี้แม้แต่คนเดียวที่ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ  ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าคิดว่าเราได้จากไปไกลเกินไปแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจแล้ว  สัตว์ร้ายจะสามารถเสวนากับพระเจ้าได้อย่างไร?  เรื่องเช่นนั้นไม่ไร้ซึ่งเหตุผลหรอกหรือ?  ผู้คนที่ไม่รู้จักสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเรา คือพวกที่ใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองวัดสิ่งที่เราทำในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรา  แทนที่จะนบนอบ พวกเขากลับมาจับผิดเราด้วยดวงตาแห่งเนื้อหนังของพวกเขา  บางทีวจนะที่เราได้พูดไปนั้นไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่?  เราได้พูดว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของเรา พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครบบริบูรณ์ และว่านี่เองคือหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมที่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติและเทวสภาพอันครบบริบูรณ์ของเราทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน  เมื่อสิ่งที่เราทำโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราไม่เข้ากับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกที่เยาะเย้ยท้าทายเราและพวกที่เข้ากันไม่ได้กับเราจะเปิดเผยออกมา  หลังจากนั้น เทวสภาพอันครบบริบูรณ์ของเราจะกล่าวโดยผ่านทางสภาวะความเป็นมนุษย์ และด้วยหนทางนี้ เราได้รับมือกับผู้คนบางคนแล้ว  หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่เราทำแต่ถึงกระนั้นก็สามารถนบนอบได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลประเภทที่เราไม่กล่าวโทษ เราเพียงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนเช่นนั้น  เรารักผู้คนเช่นนั้น และเพราะการนบนอบของเจ้า เราจึงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า  พวกที่เยาะเย้ยท้าทายเทวสภาพของเรานั้นรวมถึงผู้ที่ไม่รู้วจนะของเรา ผู้ที่เข้ากันไม่ได้กับสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเรา และผู้ที่ไม่พอใจสิ่งที่เราทำในเทวสภาพ (เช่น การที่เรากลับกลายเป็นโกรธหรือการก่อสร้างคริสตจักร และอื่นๆ)  เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงออกถึงการต้านทานเทวสภาพของเรา  อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องเน้นย้ำ และพวกเจ้าทุกๆ คนควรให้ความสนใจ นั่นคือ พวกที่เข้ากันไม่ได้กับสภาวะบุคคลที่เราเป็นวันนี้นั้นกำลังต้านทานเทวสภาพของเรา  เหตุใดเราจึงพูดต่อไปว่าสภาวะบุคคลที่เราเป็นคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครบบริบูรณ์?  อุปนิสัยของสภาวะบุคคลที่เราเป็นประกอบด้วยความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า จงอย่าใช้มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์มาวัดเรา  แม้กระทั่งตอนนี้ ผู้คนมากมายยังคงพูดว่าเราครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่เราทำจะจำเป็นต้องถูกต้อง  เมื่อผู้คนเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าเจ้าเพียงกำลังร้องขอความตายหรอกหรือ?  พวกเขาไม่รู้สิ่งที่เรากำลังพูดสักคำเดียว และแน่นอนว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของคนตาบอดและลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง!  เราจะบอกทุกคนอีกครั้งหนึ่ง (และเราจะไม่พูดการนี้อีกหลังจากนี้ และทุกคนที่ทำความผิดนี้อีกครั้งจะถูกสาปแช่งอย่างแน่นอน) กล่าวคือ วจนะของเรา เสียงหัวเราะของเรา การใช้ชีวิตของเรา วาทะของเรา และพฤติกรรมของเรา ทั้งหมดทำโดยเรา—พระเจ้าพระองค์เอง—และไม่มีร่องรอยของมนุษย์เจือปนอยู่ในนั้นเลยสักนิด  ไม่มี!  ไม่มีเลย!  ผู้คนทั้งปวงต้องหยุดเล่นไม่ซื่อทางความคิด และหยุดการคำนวณเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขา  ยิ่งผู้คนทำสิ่งเหล่านี้ต่อไปมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งเคราะห์ร้ายมากเท่านั้น  จงใจใส่ต่อคำแนะนำของเรา!

เราคอยค้นหาหัวใจที่อยู่ลึกที่สุดของทุกคนเสมอ ค้นหาทุกคำพูดและการกระทำของแต่ละปัจเจกบุคคล  เราเห็นบรรดาคนที่เราชอบและบรรดาคนที่เราไม่ชอบอย่างชัดเจนทีละคน  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนไม่สามารถจินตนาการได้ และยิ่งไปกว่านั้น คือบางสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้  เราได้พูดไปมากมายและเราได้ทำหลากหลายสิ่งเหลือเกิน ใครเล่าจะมีความสามารถที่จะชี้ได้ว่าอะไรคือจุดประสงค์ของวจนะของเรา และของสิ่งที่เราทำ?  ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถ  ต่อแต่นี้ไป เราจะกล่าววจนะมากยิ่งขึ้น ในแง่หนึ่ง นี่ย่อมจะขับผู้คนทั้งหมดที่เราไม่ชอบออกไป ในขณะที่อีกแง่หนึ่ง นี่จะทำให้พวกเจ้าทนทุกข์มากยิ่งขึ้นอีกเล็กน้อยในเรื่องนี้ เพื่อที่เจ้าจะได้ลิ้มรสของการฟื้นคืนอีกครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น  การนี้ไม่สามารถกำหนดพิจารณาได้โดยผู้คน อีกทั้งไม่มีผู้ใดไม่มีความสามารถที่จะห้ามไม่ให้เกิดขึ้นได้  แม้ว่าเจ้าจะรู้เรื่องนี้ในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาเจ้าจะยังคงไม่มีความสามารถที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ทำนองนี้ได้ เพราะว่านี่คือวิธีการแห่งงานของเรา  เราต้องทำงานเช่นนี้เพื่อที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของเรา และเพื่อที่เจตจำนงของเราจะสามารถถูกทำให้ลุล่วงได้กับพวกเจ้า  นี่คือเหตุผลที่สิ่งนี้เรียกกันว่า “ความทุกข์ครั้งสุดท้ายที่พวกเจ้าจะต้องสู้ทน”  หลังจากนั้น เนื้อหนังของพวกเจ้าจะไม่ทนทุกข์อีกเลย เพราะพญานาคใหญ่สีแดงจะถูกเราทำลายล้างและจะไม่กล้าก่อจลาจลอีก  นี่คือขั้นตอนสุดท้ายก่อนเข้าสู่ร่างกาย นี่เป็นช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน  แต่จงอย่ากลัว—เราจะนำทางพวกเจ้าผ่านความลำบากยากเย็นที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างแน่นอน  จงเชื่อว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงชอบธรรม และจงเชื่อว่าสิ่งที่เราพูดจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  เราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงไว้วางใจได้  ประเทศทั้งมวล แผ่นดินทั้งมวล และนิกายทั้งมวลกำลังหวนคืนสู่เราและเบียดเสียดกันมาที่บัลลังก์ของเรา  นี่คือฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของเรา และเราจะพิพากษาบุตรทุกๆ คนที่เป็นกบฏ และโยนพวกเขาลงในบึงไฟและกำมะถันโดยไม่มีข้อยกเว้นใด  ทั้งหมดต้องล่าถอย  นี่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของแผนการบริหารจัดการของเรา และทันทีที่เสร็จสิ้น เราจะเข้าสู่การหยุดพัก เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะทำเสร็จแล้ว และแผนการบริหารจัดการของเราจะมาถึงบทอวสานแล้ว

เนื่องจากจังหวะแห่งงานของเราได้เพิ่มขึ้น (แต่ทว่าเราไม่รู้สึกกระวนกระวายเลย) เราเปิดเผยวจนะของเราแก่พวกเจ้าทุกวัน และเราเผยความล้ำลึกที่เราเก็บเอาไว้ออกมาแก่พวกเจ้าทุกวัน เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถติดตามรอยเท้าของเราได้อย่างใกล้ชิด  (นี่คือปัญญาของเรา เราใช้วจนะของเราเพื่อทำให้ผู้คนเพียบพร้อม แต่ก็เพื่อซัดกระหน่ำผู้คนจนคว่ำลงไปด้วยเช่นกัน  ทุกคนอ่านวจนะของเราและมีความสามารถที่จะกระทำให้สอดคล้องกับเจตจำนงของเราในวจนะของเรา  พวกที่เป็นทางลบจะเป็นทางลบ และพวกที่จะได้รับการเปิดเผยจะแสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกมา ผู้เป็นปฏิปักษ์จะต้านทาน และบรรดาผู้ที่รักเราอย่างจงรักภักดีจะยิ่งจงรักภักดีมากขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้น ทั้งหมดจะมีความสามารถที่จะติดตามรอยเท้าของเราได้  สถานการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ที่เราได้พรรณนาคือวิธีการที่เราใช้ในการทำงานและเป้าหมายที่เราปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผล)  ในอดีต เราได้พูดสิ่งทำนองนี้ไว้ว่า  ไม่ว่าเรานำทางพวกเจ้าอย่างไร พวกเจ้าควรแสวงหาในหนทางเดียวกัน พวกเจ้าควรฟังไม่ว่าเราพูดสิ่งใดกับพวกเจ้า  เราหมายความว่าอย่างไรจากการนี้?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  อะไรคือจุดประสงค์และนัยสำคัญของวจนะของเรา?  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  มีกี่คนที่สามารถบรรยายให้เห็นภาพถึงการนี้ได้อย่างครบถ้วน?  เมื่อเราพูดว่า “ไม่ว่าเรานำทางพวกเจ้าอย่างไร พวกเจ้าควรแสวงหาในหนทางเดียวกัน” เราไม่ได้เพียงแต่กำลังอ้างอิงถึงแนวทางที่เราจัดเตรียมในฐานะบุคคลที่เราเป็น แต่ยิ่งไปกว่านั้นเรากำลังอ้างอิงถึงวจนะที่เรากล่าวและเส้นทางที่เราเลือก  วันนี้ วจนะเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงอย่างแท้จริง  ทันทีที่เราได้กล่าววจนะของเรา ใบหน้าปีศาจทุกประเภทก็ถูกตีแผ่ต่อความสว่างแห่งการสถิตของเรา ซึ่งทำให้พวกเจ้ามองเห็นทั้งหมดนั้นอย่างชัดเจน  ถ้อยคำของเราไม่เพียงเป็นการประกาศต่อซาตานเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝากให้พวกเจ้าทั้งหมดอีกด้วย  พวกเจ้าส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อวจนะเหล่านี้ โดยเชื่อว่าเป็นการฝากให้แก่พวกเจ้า เจ้าไม่ได้ตระหนักว่าวจนะเหล่านั้นเป็นวจนะแห่งการพิพากษา และวจนะที่ถือสิทธิอำนาจไว้  จุดประสงค์ของวจนะของเราคือการบัญชาให้ซาตานทำงานปรนนิบัติเราอย่างเหมาะสมและนบนอบต่อเราอย่างครบบริบูรณ์  จากความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้เปิดเผยในอดีต ยังคงมีมากมายที่พวกเจ้ายังไม่ได้จับใจความ  เมื่อเป็นเช่นนี้ ในอนาคตเราจะเปิดเผยมากขึ้นแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถบรรลุความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นและละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น

ทุกคนหวาดกลัวเมื่อมหันตภัยมา  ผู้คนทั้งมวลร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกและรู้สึกเกลียดสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาเคยทำในอดีต แต่ถึงตอนนั้นก็สายไปเสียแล้ว เนื่องด้วยนี่คือยุคแห่งความพิโรธ  นี่ไม่ใช่เวลาช่วยผู้คนให้รอดและเสนอพระคุณ แต่เป็นเวลาขจัดพวกคนปรนนิบัติทั้งหมดและยอมให้บุตรของเราปกครองแทนเรา  นี่ช่างแตกต่างจากเวลาในอดีตอย่างแท้จริง เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่การสร้างโลก  เนื่องจากเราได้สร้างโลกในครั้งเดียว เราก็จะทำลายโลกในครั้งเดียว และสิ่งที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ศัพท์สองคำคือ “มนุษย์คริสตชนร่วมกัน” และ “มนุษย์สากลใหม่ร่วมกัน” ได้รับการกล่าวถึงค่อนข้างบ่อยก่อนหน้านี้  ศัพท์เหล่านี้ควรได้รับการอธิบายอย่างไร?  “มนุษย์คริสตชนร่วมกัน” อ้างอิงถึงเหล่าบุตรหัวปีหรือไม่?  แล้ว “มนุษย์สากลใหม่ร่วมกัน” อ้างอิงถึงเหล่าบุตรหัวปีเช่นกันหรือไม่?  ไม่ใช่ ผู้คนไม่ได้ตีความวลีเหล่านั้นอย่างถูกต้อง  เพราะมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์สามารถช่วยให้พวกเขาเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ถึงระดับนี้เท่านั้น เราจะชี้แจงแก่พวกเจ้าเดี๋ยวนี้และตอนนี้  มนุษย์คริสตชนร่วมกันและมนุษย์สากลใหม่ร่วมกันไม่ใช่อย่างเดียวกัน ความหมายของทั้งสองคำแยกจากกัน  แม้ว่าการใช้คำของศัพท์สองคำนี้คล้ายคลึงกันมาก และอาจดูเหมือนสิ่งเดียวกัน แต่สถานการณ์จริงนั้นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง  “มนุษย์คริสตชนร่วมกัน” จริงๆ แล้วอ้างอิงถึงใคร?  หรืออ้างอิงถึงสิ่งใด?  เมื่อกล่าวถึงมนุษย์คริสตชน ทุกคนคงจะนึกถึงเราโดยไม่มีข้อโต้แย้ง  พวกเขาไม่ได้ผิดเลยที่ทำเช่นนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ศัพท์คำว่า “มนุษย์” คงจะอ้างอิงถึงคนอย่างแน่นอน ไม่มีสักคนที่จะเชื่อมโยงคำนี้กับสิ่งอื่น  เมื่อกล่าวถึงศัพท์คำว่า “ร่วมกัน” ผู้คนคงจะคิดว่าหมายถึงการรวมตัวกันของผู้คนหลายคนซึ่งแทบจะเป็นหน่วยเดียว และดังนั้นจึงเรียกว่า “ร่วมกัน”  ตรงนี้จึงสามารถมองได้ว่าจิตใจของมนุษย์เรียบง่ายเกินไปมาก พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความหมายของเราได้เลย  ตอนนี้ เราจะเริ่มต้นการสามัคคีธรรมอย่างเป็นทางการว่ามนุษย์คริสตชนร่วมกันคืออะไร (แต่ผู้คนต้องวางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองลงทั้งหมดก่อน มิฉะนั้น จะไม่มีผู้ใดเลยในบรรดาพวกเขาที่มีความสามารถที่จะเข้าใจ และแม้ว่าเราได้อธิบายศัพท์แล้ว พวกเขาก็คงจะไม่เชื่ออีกทั้งไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้) กล่าวคือ ทันทีที่วจนะของเราถูกกล่าวออกไป เหล่าบุตรหัวปีของเราทั้งหมดจะมีความสามารถที่จะกระทำตามเจตจำนงของเรา และแสดงออกถึงเจตจำนงของเรา ดังนั้นพวกเขาจึงมีหนึ่งหัวใจและหนึ่งปาก  ขณะที่พวกเขาพิพากษาชนชาติทั้งปวงและกลุ่มชนทั้งมวล พวกเขาจะมีความสามารถที่จะดำเนินการความชอบธรรมของเราจนสำเร็จและนำประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไปปฏิบัติ พวกเขาคือการแสดงออกของเรา และพวกเขาคือการสำแดงของเรา  ดังนั้น สามารถกล่าวได้ว่ามนุษย์คริสตชนร่วมกันคือข้อเท็จจริงของการที่เหล่าบุตรหัวปีนำประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไปปฏิบัติ พวกเขาคือสิทธิอำนาจในมือของเหล่าบุตรหัวปี  ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับพระคริสต์—เพราะฉะนั้นจึงเป็นศัพท์คำว่า “มนุษย์คริสตชน”  นอกจากนี้ เหล่าบุตรหัวปีทั้งหมดสามารถกระทำตามเจตจำนงของเรา และด้วยเหตุผลนี้ เราจึงใช้ศัพท์คำว่า “ร่วมกัน”  “มนุษย์สากลใหม่ร่วมกัน” หมายถึงผู้คนทั้งปวงในนามของเรา อีกนัยหนึ่งคือเหล่าบุตรหัวปีของเรา บุตรของเรา และประชากรของเรา  คำว่า “ใหม่” เป็นการอ้างอิงถึงนามของเรา  เพราะพวกเขาอยู่ในนามของเรา (นามของเรานำทุกสิ่งทุกอย่างไป รวมทั้งใหม่และไม่เคยเก่าไปจนนิจนิรันดร์ เป็นสิ่งที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงไม่ได้) และเนื่องด้วยพวกเขาจะยังคงมีชีวิตตลอดกาลในอนาคต พวกเขาจึงเป็นมนุษย์สากลใหม่  คำว่า “ร่วมกัน” ในที่นี้เกี่ยวเนื่องกับจำนวนของผู้คน และไม่ใช่อย่างเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้  เมื่อวจนะของเราถูกกล่าวออกไป คนทั้งมวลควรเชื่อในวจนะนั้น  จงอย่ากังขา  จงกำจัดมโนคติที่หลงผิดแบบมนุษย์และความคิดแบบมนุษย์ของเจ้าออกไป  กระบวนการปัจจุบันของเราในการเปิดเผยความล้ำลึกแท้จริงแล้วคือกระบวนการของการกำจัดมโนคติที่หลงผิดและความคิดแบบมนุษย์นั่นเอง (เนื่องจากผู้คนใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองมาวัดเราและวัดสิ่งที่เราพูด เราจึงใช้ความล้ำลึกที่เปิดเผยแล้วของเราเองในการกำจัดมโนคติที่หลงผิดและความคิดแบบมนุษย์)  อีกไม่นานงานนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์  เมื่อความล้ำลึกของเราได้รับการเปิดเผยจนถึงระดับหนึ่ง ผู้คนแทบจะไม่มีกระบวนการคิดเกี่ยวกับวจนะของเราอีกต่อไป และพวกเขาจะหยุดวัดเราด้วยมโนคติที่หลงผิดแบบมนุษย์ของพวกเขา  เราจะเปิดเผยสิ่งที่พวกเขาคิดทุกวัน และเราจะโต้กลับ  ณ จุดหนึ่ง ผู้คนจะไม่คิดอีกต่อไป ศีรษะของพวกเขาจะว่างเปล่าจากความคิดทั้งมวล และพวกเขาจะนบนอบต่อวจนะของเราอย่างครบบริบูรณ์  นั่นจะเป็นเวลาที่พวกเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณ  นี่คือขั้นตอนในงานของเราซึ่งมาก่อนที่เราจะอนุญาตให้พวกเจ้าเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณ  เจ้าต้องกำจัดมโนคติที่หลงผิดแบบมนุษย์ทั้งมวลจากตัวเจ้าเอง ก่อนที่เจ้าจะสามารถเป็นผู้บริสุทธิ์และไร้มลทินและเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณได้  นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของ “เราคือร่างกายฝ่ายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์”  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าต้องกระทำให้สอดคล้องกับขั้นตอนของเรา และก่อนที่เจ้าตระหนักได้ เวลาของเราจะมาถึง

ก่อนหน้า: บทที่ 105

ถัดไป: บทที่ 107

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger