บทที่ 107
เมื่อวจนะของเรามาถึงความเข้มงวดในระดับหนึ่ง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ถอนตัวเนื่องจากวจนะเหล่านี้—และในช่วงเวลาอันแน่นอนนี้นี่เองที่เหล่าบุตรหัวปีของเราได้รับการเปิดเผยตน เราเคยกล่าวไว้ว่าเราไม่ออกแรงสักนิด แต่ใช้เพียงวจนะของเราเพื่อสัมฤทธิ์ผลทุกสรรพสิ่ง ด้วยวจนะของเรา เราทำลายทุกสิ่งที่เราเกลียดชัง และเรายังใช้วจนะเหล่านั้นเพื่อทำให้เหล่าบุตรหัวปีของเรามีความเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน (เมื่อกล่าววจนะของเราออกไปแล้ว เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดจะดังขึ้น และในช่วงเวลานั้น เหล่าบุตรหัวปีของเราและเราจะเปลี่ยนรูปร่าง และเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณ) เมื่อเราได้กล่าวว่าวิญญาณของเราดำเนินงานด้วยตัวเอง เราหมายความว่าวจนะของเราสัมฤทธิ์ผลทั้งหมด และจากสิ่งนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเราทรงมหิทธิฤทธิ์ ด้วยเหตุนี้ คนผู้หนึ่งสามารถเห็นด้วยความชัดเจนที่มากยิ่งขึ้นอีกถึงจุดมุ่งหมายและจุดประสงค์เบื้องหลังแต่ละประโยคที่เราเอ่ย อย่างที่เราเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งที่เราเปล่งเสียงภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเรานั้นเป็นแง่มุมหนึ่งในการสำแดงของเรา ดังนั้น ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่สามารถแน่ใจ และผู้ที่ไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริงในสิ่งที่เรากล่าวภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราต้องถูกกำจัดไป! เราได้เน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของเราเป็นแง่มุมที่ขาดไม่ได้ของเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ของเรา แต่ยังมีคนจำนวนมากเหลือเกินที่จดจ่ออยู่กับอย่างหลังต่อไป ขณะที่ละเลยอย่างแรก เจ้าช่างตาบอด! เจ้ากล่าวว่าเราไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า และมนุษย์ที่เราเป็นไม่ได้สอดคล้องกับพระเจ้าของเจ้า ผู้คนเหล่านี้ยังคงอยู่ในราชอาณาจักรของเราได้หรือไม่? เราจะเหยียบย่ำเจ้าใต้เท้าของเรา! เราท้าให้เจ้าเป็นกบฏต่อเราต่อไป! เราท้าให้เจ้าทำต่อไปด้วยความดื้อรั้นเช่นนั้น! รอยยิ้มของเราไม่เหมาะกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า วาทะของเราไม่รื่นหูสำหรับเจ้า และการกระทำของเราไม่เอื้อประโยชน์ต่อเจ้า—เราพูดถูกหรือไม่? สรรพสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต้องเป็นไปตามความชอบของพวกเจ้า พระเจ้าทรงเป็นเช่นนั้นหรือ? และผู้คนเหล่านี้ยังคงต้องการอยู่ในบ้านของเราและรับพรในราชอาณาจักรของเราอยู่หรือไม่? เจ้าไม่ได้กำลังฝันกลางวันอยู่หรอกหรือ? สิ่งต่างๆ อัศจรรย์มากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน! เจ้าต้องการที่จะไม่เชื่อฟังเรา แต่กระนั้นเจ้ายังคงปรารถนาจะได้รับพรจากเรา เราขอกล่าวกับเจ้าว่า ไม่อย่างแน่นอน! อย่างที่เราได้กล่าวไปหลายครั้ง บรรดาผู้ที่เข้าสู่ราชอาณาจักรของเราและรับพรต้องเป็นผู้คนที่เรารัก เหตุใดเราจึงให้ความสำคัญกับวจนะเหล่านี้? เรารู้และเข้าใจสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องชี้ให้เห็นถึงความคิดของพวกเขาทีละคน รูปร่างที่แท้จริงของพวกเขาจะได้รับการเปิดเผยโดยผ่านทางวจนะแห่งการพิพากษาของเรา และทั้งหมดจะร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกเบื้องหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของเรา นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้งซึ่งไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงได้! ท้ายที่สุด เราจะให้พวกเขาเข้าสู่บาดาลลึกทีละคน นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่เราปรารถนาให้สัมฤทธิ์ผลด้วยการพิพากษาของเราต่อซาตานร้าย เราต้องใช้การพิพากษาและประกาศกฤษฎีกาบริหารเพื่อปฏิบัติกับแต่ละบุคคล และนี่คือวิธีที่เราตีสอนผู้คน พวกเจ้ามีวิจารณญาณที่แท้จริงในเรื่องนี้หรือไม่? เราไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลแก่ซาตาน เราเพียงใช้คทาเหล็กของเราเฆี่ยนมันจนกว่ามันจะเกือบถึงแก่ชีวิตและอ้อนวอนขอความปรานีครั้งแล้วครั้งเล่า ฉะนั้น เมื่อผู้คนอ่านวจนะแห่งการพิพากษาของเรา พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้เลยแม้แต่น้อย แต่จากมุมมองของเรา ทุกบรรทัดและทุกประโยคคือการนำประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไปปฏิบัติ นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้ง
เนื่องจากเราได้กล่าวถึงการพิพากษาในวันนี้ หัวข้อนี้จึงเกี่ยวข้องกับบัลลังก์แห่งการพิพากษา ในอดีตนั้น พวกเจ้ากล่าวอยู่บ่อยครั้งว่าพวกเจ้าจะรับการพิพากษาเบื้องหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ พวกเจ้ามีความเข้าใจในการพิพากษาอยู่บ้าง แต่พวกเจ้าไม่สามารถจินตนาการถึงบัลลังก์แห่งการพิพากษา บางที ผู้คนบางส่วนคิดว่าบัลลังก์แห่งการพิพากษาเป็นสิ่งของทางวัตถุ หรือพวกเขาอาจจินตนาการว่าเป็นโต๊ะตัวใหญ่ หรือบางทีนึกภาพว่ามันเป็นบัลลังก์ของผู้พิพากษาเช่นเดียวกับที่มีในโลกวิสัย แน่นอนว่า ในคำอธิบายของเราครั้งนี้ เราจะไม่ปฏิเสธสิ่งที่พวกเจ้าได้กล่าวมา แต่สำหรับเรา สิ่งที่อยู่ในจินตนาการของผู้คนยังคงถือความหมายในเชิงสัญลักษณ์ ดังนั้น หุบเหวระหว่างสิ่งที่ผู้คนจินตนาการกับความหมายของเรา ยังคงกว้างใหญ่เทียบเท่ากับที่อยู่ระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ในมโนคติที่หลงผิดของผู้คนนั้น มีคนมากมายหมอบราบเบื้องหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษา ร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกและอ้อนวอนขอความปรานี ในที่นี้เองที่จินตนาการของมนุษย์มาถึงจุดสูงสุด และไม่มีใครสามารถจินตนาการสิ่งใดมากไปกว่านั้นได้ แล้วเช่นนั้น บัลลังก์แห่งการพิพากษาคือสิ่งใด? ก่อนที่เราเปิดเผยความล้ำลึกนี้ พวกเจ้าต้องละทิ้งความเข้าใจผิดทั้งหมดก่อนหน้านี้ของพวกเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้น จึงจะสามารถไปถึงเป้าหมายของเราได้ นี่เป็นหนทางเดียวที่สามารถขจัดมโนคติที่หลงผิดและความคิดของพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เมื่อใดก็ตามที่เรากล่าว พวกเจ้าต้องให้ความสนใจ เจ้าต้องไม่ประมาทอีกต่อไป บัลลังก์แห่งการพิพากษาของเราได้รับการจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่การสร้างโลก ในหลายช่วงอายุและหลายยุคที่ผ่านมา คนมากมายได้สิ้นชีพลงเบื้องหน้าบัลลังก์นี้ และคนมากมายได้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตเบื้องหน้าบัลลังก์นี้เช่นกัน ยังกล่าวได้อีกด้วยว่าตั้งแต่ต้นจนจบ การพิพากษาของเราไม่เคยยุติ และดังนั้นบัลลังก์แห่งการพิพากษาของเราจึงดำรงอยู่เสมอมา เมื่อใดก็ตามที่มีการกล่าวถึงบัลลังก์แห่งการพิพากษา พวกมนุษย์ล้วนรู้สึกถึงร่องรอยแห่งความกลัวเกรง แน่นอนว่าจากสิ่งที่เราได้กล่าวไปข้างต้น พวกเจ้าไม่รู้เลยว่าบัลลังก์แห่งการพิพากษานี้คือสิ่งใด บัลลังก์แห่งการพิพากษาดำรงอยู่ร่วมกันกับการพิพากษา แต่ทั้งสองอย่างมีเนื้อแท้สองประเภทที่แตกต่างกัน (“เนื้อแท้” ในที่นี้ไม่ได้บ่งถึงสิ่งของทางวัตถุ แต่หมายถึงวจนะ มนุษย์ไม่สามารถเห็นเนื้อแท้นี้ได้เลย) การพิพากษาบ่งถึงวจนะของเรา (ไม่ว่าวจนะนั้นจะรุนแรงหรืออ่อนโยน ทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในการพิพากษาของเรา ดังนั้น สิ่งใดที่ออกจากปากของเราก็คือการพิพากษา) ก่อนหน้านี้ ผู้คนแบ่งวจนะของเราออกเป็นหลากหลายหมวดหมู่ที่ต่างกัน ซึ่งรวมถึงวจนะแห่งการพิพากษา วจนะแห่งความสุภาพอ่อนโยน และวจนะที่จัดหาชีวิต วันนี้ เราจะชี้แจงแก่พวกเจ้าว่าการพิพากษาและถ้อยคำของเราเชื่อมโยงถึงกัน นั่นคือ การพิพากษาคือวจนะของเรา และวจนะของเราคือการพิพากษา เจ้าต้องไม่กล่าวถึงสองอย่างนี้แยกกันเป็นอันขาด ผู้คนจินตนาการว่าวจนะที่รุนแรงคือการพิพากษา แต่ความเข้าใจของพวกเขาไม่ครบบริบูรณ์ ทุกสิ่งที่เรากล่าวคือการพิพากษา การเริ่มต้นของการพิพากษาที่เคยกล่าวถึงในอดีต บ่งถึงเมื่อวิญญาณของเราเริ่มทำงานในทุกหนแห่งอย่างเป็นทางการ และนำประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราไปปฏิบัติ ในประโยคนี้ “การพิพากษา” บ่งถึงความเป็นจริงที่จริงแท้ บัดนี้ เราจะอธิบายถึงบัลลังก์แห่งการพิพากษา กล่าวคือ เหตุใดเราจึงกล่าวว่าบัลลังก์แห่งการพิพากษาดำรงอยู่จากนิรันดร์จนถึงนิรันดร์ และเคียงข้างไปกับการพิพากษาของเรา? พวกเจ้าได้มีความเข้าใจถึงสิ่งนี้จากคำอธิบายของเราเกี่ยวกับการพิพากษาบ้างหรือไม่? บัลลังก์แห่งการพิพากษาบ่งถึงมนุษย์ที่เราเป็น จากนิรันดร์จนถึงนิรันดร์ เราส่งเสียงและพูดอยู่เสมอมา เรามีชีวิตอยู่ตลอดกาล ดังนั้นบัลลังก์แห่งการพิพากษาของเราและการพิพากษาของเราจึงอยู่ในการดำรงอยู่ร่วมกันนิรันดร นี่ควรชัดเจนแล้วในตอนนี้! ในจินตนาการของผู้คน พวกเขาปฏิบัติกับเราเสมือนเป็นวัตถุ แต่เราไม่ติเตียนพวกเจ้าหรือกล่าวโทษพวกเจ้าในเรื่องนี้ เราหวังเพียงว่าพวกเจ้าจะเชื่อฟังและยอมรับวิวรณ์ของเรา และรู้จากสิ่งนั้นว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองที่ครอบคลุมทั้งหมด
พวกมนุษย์ไม่สามารถจับใจความวจนะของเราได้โดยสิ้นเชิง เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะหารอยเท้าของเราพบ และเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะจับความเข้าใจเจตจำนงของเรา ดังนั้น สภาพที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในวันนี้ (การสามารถรับวิวรณ์ของเรา จับความเข้าใจเจตจำนงของเราจากภายในเจตจำนงนั้น และตามรอยเท้าของเราโดยผ่านทางเจตจำนงนั้น) ล้วนแต่เป็นผลของการกระทำที่น่าอัศจรรย์ของเรา พระคุณของเรา และความเมตตาสงสารของเราทั้งสิ้น วันหนึ่ง เราจะอนุญาตแม้กระทั่งให้พวกเจ้าเห็นปัญญาของเรา มองเห็นสิ่งที่เราได้ทำด้วยมือของเรา และเหลือบดูการอัศจรรย์ในงานของเรา เมื่อเวลานั้นมาถึง ต้นร่างของแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของเราจะเปิดเผยโดยครบบริบูรณ์ต่อหน้าต่อตาของพวกเจ้า โดยทั่วทั้งโลกจักรวาลและทุกๆ วัน หลายส่วนในการกระทำที่น่าอัศจรรย์ของเราสำแดงขึ้น และทุกสิ่งทำการปรนนิบัติเพื่อให้แผนการบริหารจัดการของเราอาจสำเร็จลุล่วงได้ เมื่อการนี้เปิดเผยโดยครบบริบูรณ์แล้ว พวกเจ้าจะเห็นว่าผู้คนประเภทใดที่เราได้จัดการเตรียมการให้ทำการปรนนิบัติ ผู้คนประเภทใดที่เราได้จัดการเตรียมการเพื่อทำให้เจตจำนงของเราลุล่วง สิ่งใดที่เราได้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางการใช้ประโยชน์จากซาตาน สิ่งใดที่เราสำเร็จลุล่วงด้วยตัวเราเอง ผู้คนประเภทใดที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ ผู้คนประเภทใดที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ผู้คนประเภทใดที่จะทนทุกข์กับความย่อยยับ และผู้คนประเภทใดที่จะทนทุกข์กับความพินาศ โดย “ความย่อยยับ” นั้น เรากำลังบ่งถึงพวกที่จะถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน และจะมอดไหม้ไปจนสิ้นโดย “ความพินาศ” นั้นเราหมายถึงพวกที่จะถูกโยนลงไปในบาดาลลึกเพื่อให้ทุกข์ทรมานอยู่ที่นั่นชั่วนิจนิรันดร์ ด้วยเหตุนี้ จงอย่าเข้าใจผิดไปว่าความย่อยยับและความพินาศเป็นสิ่งเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม ทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันเป็นอย่างมาก พวกคนปรนนิบัติที่ออกจากนามของเราวันนี้จะทนทุกข์กับความพินาศ และพวกผู้ที่ไม่ได้อยู่ในนามของเราจะทนทุกข์กับความย่อยยับ นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่าพวกที่ทนทุกข์กับความพินาศจะให้การสรรเสริญเราชั่วกัลปาวสานหลังการพิพากษาของเรา แต่ถึงอย่างไร ผู้คนเหล่านั้นจะไม่มีวันหลุดพ้นจากการตีสอนของเรา และจะยอมรับการปกครองของเราเสมอ นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่า บาดาลลึกคือมือที่เราใช้เพื่อตีสอนผู้คน เรายังกล่าวอีกว่าทุกสิ่งอยู่ในมือของเรา แม้เราเคยกล่าวว่า “บาดาลลึก” บ่งถึงอิทธิพลของซาตาน สิ่งนี้ยังอยู่ในมือของเราด้วยเช่นกัน ซึ่งเราใช้เพื่อตีสอนผู้คน ดังนั้น ทุกสิ่งอยู่ในมือของเราและไม่มีความขัดแย้ง วจนะของเรามิได้ขาดความรับผิดชอบ วจนะเหล่านั้นล้วนเหมาะสมและสอดคล้อง ไม่ได้ปั้นแต่งขึ้นหรือเหลวไหล และทุกคนควรเชื่อถ้อยคำของเรา ในอนาคต พวกเจ้าจะทนทุกข์เนื่องจากสิ่งนี้ เนื่องด้วยวจนะของเรา หลายคนกลับกลายเป็นเย็นชา หรือพวกเขาหมดหวัง หรือกลายเป็นผิดหวัง หรือร่ำไห้อย่างขมขื่น หรือร้องไห้คร่ำครวญ จะมีการตอบสนองทุกรูปแบบ วันหนึ่ง เมื่อผู้คนทั้งหมดที่เราเกลียดชังถอนตัว งานที่ยิ่งใหญ่ของเราก็จะสำเร็จลุล่วง ในอนาคต ผู้คนมากมายจะร่วงหล่นเนื่องจากเหล่าบุตรหัวปี และท้ายที่สุดพวกเขาทั้งหมดจะจากไปทีละก้าว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บ้านของเราจะค่อยๆ กลายเป็นศักดิ์สิทธิ์ และปีศาจทุกประเภทจะค่อยๆ ล่าถอยไป จากข้างตัวเรา จากไปอย่างเงียบๆ อย่างนบนอบ และไร้ซึ่งคำพร่ำบ่นแม้สักคำ หลังจากนั้น เหล่าบุตรหัวปีทั้งหมดของเราจะเปิดเผยตน และเราจะเริ่มขั้นตอนถัดไปของงานของเรา เมื่อนั้นเท่านั้นที่เหล่าบุตรหัวปีจะเป็นกษัตริย์กับเรา และปกครองเหนือทั้งจักรวาล เหล่านี้คือขั้นตอนต่างๆ ในงานของเรา และขั้นตอนเหล่านี้ก่อร่างขึ้นเป็นส่วนที่สำคัญของแผนการบริหารจัดการของเรา จงอย่ามองข้ามสิ่งนี้ มิฉะนั้นเจ้าจะทำความผิดพลาด
เวลาที่วจนะของเราเปิดเผยต่อพวกเจ้า คือเวลาที่เราเริ่มต้นงานของเรา ไม่มีวจนะของเราแม้สักคำเดียวที่จะถูกทิ้งไปโดยไม่ได้ทำให้ลุล่วง สำหรับเราแล้ว หนึ่งวันเหมือนหนึ่งพันปี และหนึ่งพันปีเหมือนหนึ่งวัน พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร? แนวคิดเรื่องเวลาของพวกเจ้าแตกต่างจากของเรามาก เนื่องจากเราควบคุมโลกจักรวาล และเราทำให้ทุกสรรพสิ่งสำเร็จลุล่วง งานของเราทำไปทีละวัน ทีละขั้นตอน และทีละช่วงระยะ ยิ่งไปกว่านั้น งานของเราก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ได้หยุดลงแม้วินาทีเดียว กล่าวคือ มีการทำอย่างต่อเนื่องในทุกชั่วขณะ วจนะของเราไม่เคยถูกขัดจังหวะนับตั้งแต่การสร้างโลก เราได้กล่าวและเปล่งเสียงถ้อยคำของเราต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ซึ่งนี่จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปจนถึงอนาคต อย่างไรก็ดี เวลาของเราได้รับการจัดการเตรียมการและจัดระเบียบอย่างพิถีพิถัน และมันเป็นระเบียบอย่างยิ่ง เราจะทำสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเมื่อเราจำเป็นต้องทำ (ด้วยเรานี้ ทุกสิ่งจะได้รับการปลดปล่อย ทุกสิ่งจะเป็นอิสระ) และเราไม่ถูกรบกวนแม้แต่น้อยนิดในเรื่องขั้นตอนต่างๆ ในงานของเรา เราสามารถจัดการเตรียมการทุกคนในบ้านของเรา เราสามารถจัดการเตรียมการทุกคนในโลก—อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ยุ่งวุ่นวายเลยเนื่องจากวิญญาณของเรากำลังทำงาน วิญญาณของเราเติมเต็มทุกแห่งหน เพราะตัวเรานั้นคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง และทั้งโลกจักรวาลนี้อยู่ในมือของเรา ดังนั้น คนผู้หนึ่งสามารถเห็นว่าเรามีมหิทธิฤทธิ์ เรามีปัญญา และสง่าราศีของเราเติมเต็มทุกมุมของจักรวาล