บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าจะดำเนินชีวิตภายในความสว่างแห่งพระองค์ตลอดกาล

เนื้อแท้ของการเชื่อของผู้คนส่วนใหญ่ในพระเจ้าคือความเชื่อมั่นทางศาสนา กล่าวคือ พวกเขาไม่สามารถรักพระเจ้าได้และสามารถเพียงติดตามพระเจ้าดุจหุ่นยนต์ตัวหนึ่งได้เท่านั้น ไร้ความสามารถที่จะโหยหาในพระเจ้าหรือชื่นชมบูชาพระองค์ได้  พวกเขาแค่ติดตามพระองค์อย่างเงียบๆ  ผู้คนจำนวนมากเชื่อในพระเจ้า แต่มีน้อยคนที่รักพระเจ้า พวกเขาเพียง “ยำเกรง” พระเจ้าเท่านั้นเพราะพวกเขากลัวมหันตภัย  หรือไม่พวกเขาก็ “เลื่อมใส” พระเจ้าเพราะพระองค์ทรงอยู่สูงและมีพระอิทธิฤทธิ์—แต่ในความยำเกรงและการเลื่อมใสของพวกเขานั้น ไม่มีความรักหรือการโหยหาที่แท้จริง  ในประสบการณ์ทั้งหลายของพวกเขานั้นพวกเขาแสวงหาข้อปลีกย่อยของความจริง หรือไม่ก็ความล้ำลึกทั้งหลายซึ่งไม่มีนัยสำคัญ  ผู้คนส่วนใหญ่แค่ติดตาม ควานหาพระพรในภาวะลำบากยากเย็น พวกเขาไม่แสวงหาความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริงเพื่อที่จะรับพระพรของพระเจ้าไว้  ชีวิตแห่งการเชื่อของผู้คนทั้งหมดในพระเจ้านั้นไร้ความหมาย นั่นปราศจากคุณค่า และในการเชื่อนั้นมีการคำนึงถึงและการไล่ตามเสาะหาทั้งหลายที่เป็นส่วนตัวของพวกเขาอยู่ พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะรักพระเจ้า แต่เพื่อประโยชน์ของการได้รับการอวยพร  ผู้คนจำนวนมากปฏิบัติไปตามที่พวกเขายินดี พวกเขาทำอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการและไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ทั้งหลายของพระเจ้า หรือว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่เลย  ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถแม้กระทั่งสัมฤทธิ์ความเชื่อที่แท้จริง นับประสาอะไรกับความรักที่มีต่อพระเจ้า  เนื้อแท้ของพระเจ้ามิใช่มีไว้เพียงเพื่อให้มนุษย์เชื่อ ยิ่งไปกว่านั้น นั่นมีไว้เพื่อให้มนุษย์รัก  แต่หลายคนในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าไม่สามารถที่จะค้นพบ “ความลับ” นี้  ผู้คนไม่กล้าที่จะรักพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่พยายามที่จะรักพระองค์  พวกเขาไม่เคยได้ค้นพบว่ามีมากมายนักเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งควรค่าที่จะรัก พวกเขาไม่เคยได้ค้นพบว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งทรงรักมนุษย์ และว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งสถิตอยู่เพื่อให้มนุษย์รัก  ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าแสดงออกในพระราชกิจของพระองค์  เฉพาะเมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์แล้วเท่านั้น ผู้คนจึงสามารถค้นพบความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ ด้วยประสบการณ์จากการลงมือทำจริงของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถซาบซึ้งในความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า และไม่มีใครเลยที่สามารถค้นพบความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าได้หากปราศจากการสังเกตการนั้นในชีวิตจริง  มีมากมายนักเกี่ยวกับพระเจ้าที่ให้รัก แต่หากปราศจากการเข้าเชื่อมความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างลงมือทำจริง ผู้คนย่อมไม่สามารถที่จะค้นพบมันได้  กล่าวคือ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้คนคงจะไม่สามารถเข้าเชื่อมความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างลงมือทำจริงได้ และหากพวกเขาไร้สามารถที่จะเข้าเชื่อมความสัมพันธ์กับพระองค์อย่างลงมือทำจริง พวกเขาจะยังคงไม่สามารถได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้เช่นกัน—และดังนั้นความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าก็จะด่างพร้อยไปด้วยความเท็จและจินตนาการอันมากมาย  ความรักสำหรับพระเจ้าบนสวรรค์ไม่เป็นจริงเหมือนความรักสำหรับพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ด้วยเหตุที่ความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับพระเจ้าบนสวรรค์ถูกสร้างขึ้นบนการจินตนาการทั้งหลายของพวกเขา แทนที่จะเป็นบนสิ่งซึ่งพวกเขาได้เห็นกับตาของตัวเองและสิ่งซึ่งพวกเขาได้รับประสบการณ์ด้วยตนเองโดยเฉพาะ  เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก ผู้คนสามารถมองดูกิจการที่พระองค์ทรงทำจริงและความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ และพวกเขาสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพระอุปนิสัยปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเป็นจริงกว่าความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าบนสวรรค์นับหลายพันเท่า  ไม่ว่าผู้คนจะรักพระเจ้าบนสวรรค์มากเพียงใดก็ตาม ไม่มีอะไรเป็นจริงเกี่ยวกับความรักนี้ และนั่นเต็มไปด้วยแนวคิดทั้งหลายแบบมนุษย์  ไม่สำคัญว่าความรักของพวกเขาสำหรับพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะน้อยนิดเพียงใด ความรักนี้ก็ยังคงเป็นจริง ต่อให้มีความรักนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยังคงมีความจริงแท้  พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนรู้จักพระองค์โดยผ่านทางพระราชกิจที่เป็นจริง และพระองค์ทรงได้รับความรักของพวกเขาโดยผ่านทางความรู้นี้เอง  นั่นก็เหมือนกับเปโตรตรงที่ว่า หากเขาไม่ได้ใช้ชีวิตกับพระเยซู คงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะชื่นชมบูชาพระเยซู  ดังนั้น ความจงรักภักดีที่เขามีต่อพระเยซูจึงเกิดขึ้นเพราะเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระเยซูเช่นกัน  เพื่อที่จะทำให้มนุษย์รักพระองค์ พระเจ้าจึงได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์และทรงดำเนินพระชนม์ชีพร่วมกับมนุษย์ และทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำให้มนุษย์เห็นและได้รับประสบการณ์ก็คือความเป็นจริงของพระเจ้า

พระเจ้าทรงใช้ความเป็นจริงและการกำเนิดขึ้นของข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อม พระวจนะของพระเจ้าทำให้ส่วนหนึ่งของการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมของพระองค์นั้นลุล่วง และนี่คือพระราชกิจแห่งการทรงนำและการเปิดหนทาง  กล่าวคือ ในพระวจนะของพระเจ้านั้นเจ้าจะต้องค้นหาเส้นทางของการฝึกฝนปฏิบัติและความรู้เกี่ยวกับนิมิตทั้งหลายให้ได้  โดยการเข้าใจสิ่งเหล่านี้ มนุษย์จะมีเส้นทางและนิมิตทั้งหลายในการฝึกฝนปฏิบัติแบบลงมือจริงของเขา และเขาจะสามารถได้รับความรู้แจ้งโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า เขาจะสามารถเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ได้มาจากพระเจ้าและสามารถหยั่งรู้ได้อย่างมาก  ภายหลังจากที่เข้าใจแล้ว มนุษย์จะต้องเข้าสู่ความเป็นจริงนี้ทันทีและจะต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในชีวิตจริงของเขา  พระเจ้าจะทรงนำเจ้าในทุกสรรพสิ่งและจะทรงมอบเส้นทางของการฝึกฝนปฏิบัติให้เจ้า และทรงทำให้เจ้ารู้สึกว่าพระองค์ทรงน่ารักชื่นชมเป็นพิเศษ และทรงยอมให้เจ้าเห็นว่าทุกขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าในตัวเจ้ามีเจตนาที่จะทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากเจ้าปรารถนาที่จะเห็นความรักของพระเจ้า หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับประสบการณ์กับความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะต้องไปให้ลึกเข้าไปในความเป็นจริง เจ้าจะต้องไปให้ลึกเข้าไปในชีวิตจริงและเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงทำคือความรักและความรอด ว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพระองค์ทรงทำคือการทำให้ผู้คนสามารถทิ้งสิ่งซึ่งไม่สะอาดไว้ข้างหลัง และเพื่อที่จะถลุงสิ่งทั้งหลายภายในมนุษย์ซึ่งไร้ความสามารถที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อจัดเตรียมให้มนุษย์ พระองค์ทรงจัดการเตรียมการรูปการณ์แวดล้อมทั้งหลายของชีวิตจริงเพื่อให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ และหากผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มาก เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเขานำพระวจนะไปฝึกฝนปฏิบัติจริงๆ พวกเขาย่อมสามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นทั้งหมดในชีวิตของพวกเขาได้โดยพระวจนะมากมายของพระเจ้า  กล่าวคือ เจ้าต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะไปให้ลึกเข้าไปในความเป็นจริง หากเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและปราศจากพระราชกิจของพระเจ้าแล้วไซร้ เจ้าก็ย่อมจะไม่มีเส้นทางในชีวิตจริง  หากเจ้าไม่เคยกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะประหลาดใจสับสนเมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า  เจ้ารู้เพียงว่าเจ้าควรรักพระเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถแยกแยะอันใดได้และไม่มีเส้นทางของการฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าปนเปยุ่งเหยิงและสับสนงุนงง และบางครั้งเจ้าถึงกับเชื่อว่าด้วยการสนองความต้องการของเนื้อหนัง เจ้ากำลังทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย—ทั้งหมดนี้คือผลที่ตามมาของการไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า  กล่าวคือ หากเจ้าปราศจากความช่วยเหลือของพระวจนะของพระเจ้าและเพียงคลำสะเปะสะปะไปภายในความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วโดยพื้นฐานแล้วเจ้าก็ย่อมไม่สามารถที่จะค้นหาเส้นทางของการฝึกฝนปฏิบัติได้  ผู้คนเช่นนี้ก็แค่ไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเข้าใจว่าการรักพระเจ้าหมายถึงอะไร  หากเจ้าอธิษฐานบ่อยครั้ง และท่องสำรวจ และแสวงหาโดยใช้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า และโดยผ่านทางการนี้เจ้าค้นพบสิ่งซึ่งเจ้าควรที่จะนำไปฝึกฝนปฏิบัติ พบเจอโอกาสทั้งหลายสำหรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ปนเปยุ่งเหยิงและสับสนงุนงง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะมีเส้นทางในชีวิตจริง และจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างแท้จริง  เมื่อเจ้าได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้ว ภายในตัวเจ้าจะมีการทรงนำของพระเจ้า และเจ้าจะได้รับการอวยพรเป็นพิเศษโดยพระเจ้า ซึ่งจะทำให้เจ้ามีสำนึกรับรู้แห่งความชื่นชมยินดี กล่าวคือ เจ้าจะรู้สึกเป็นเกียรติเป็นพิเศษว่าเจ้าได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้ว เจ้าจะรู้สึกสุกใสภายในเป็นพิเศษ และในหัวใจของเจ้านั้นเจ้าจะเข้าใจชัดเจนและมีสันติสุข  มโนธรรมของเจ้าจะได้รับการชูใจและเป็นอิสระจากข้อกล่าวหาทั้งหลาย และเจ้าจะรู้สึกยินดีภายในเมื่อเจ้าได้เห็นบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า  นี่คือความหมายของการชื่นชมความรักของพระเจ้า และนี่เท่านั้นเป็นการชื่นชมพระเจ้าอย่างแท้จริง  ความชื่นชมยินดีของผู้คนกับความรักของพระเจ้านั้นบรรลุได้โดยผ่านทางประสบการณ์ กล่าวคือ โดยการได้รับประสบการณ์กับความยากลำบาก และการได้รับประสบการณ์กับการนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ พวกเขาได้รับพรของพระเจ้า  หากเจ้าเพียงพูดว่าพระเจ้าทรงรักเจ้าจริงๆ ว่าพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาแพงอย่างแท้จริงเพื่อประโยชน์ของผู้คน ว่าพระองค์ได้ตรัสพระวจนะไปมากมายอย่างอดทนและอย่างใจดีมีเมตตาและทรงช่วยผู้คนให้รอดเสมอมา ถ้อยคำของเจ้าเกี่ยวกับพระวจนะเหล่านี้ก็เป็นเพียงด้านหนึ่งของความชื่นชมยินดีในพระเจ้าเท่านั้น  ทว่า ความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่กว่า—ความชื่นชมยินดีที่เป็นจริง—ก็คือ เมื่อผู้คนนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติในชีวิตจริงของพวกเขา ซึ่งหลังจากนั้นแล้วพวกเขามีสันติสุขและมีความชัดเจนในหัวใจของพวกเขา  พวกเขารู้สึกได้รับการขับเคลื่อนอย่างใหญ่หลวงภายใน และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงควรค่าที่จะรักที่สุด  เจ้าจะรู้สึกว่าราคาที่เจ้าได้จ่ายไปนั้นยิ่งกว่ายุติธรรมเสียอีก  เมื่อเจ้าได้พยายามจ่ายราคาแพงไปแล้ว เจ้าจะสุกใสภายในเป็นพิเศษ กล่าวคือ เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้ากำลังชื่นชมความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง และเจ้าจะเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งความรอดในผู้คน ว่ากระบวนการถลุงผู้คนของพระองค์หมายที่จะชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ และว่าพระเจ้าทรงทดสอบผู้คนเพื่อที่จะทดสอบว่าพวกเขารักพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่  หากเจ้านำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติในหนทางนี้เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะค่อยๆ พัฒนาความรู้อันชัดเจนมากมายเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และ ณ เวลานั้นเจ้าจะรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าต่อหน้าเจ้านั้นใสกระจ่างดั่งแก้วผลึก  หากเจ้าสามารถเข้าใจความจริงมากมายได้อย่างชัดเจน เจ้าจะรู้สึกว่าทุกเรื่องนั้นง่ายต่อการนำไปฝึกฝนปฏิบัติ ว่าเจ้าสามารถเอาชนะประเด็นปัญหาใดๆ และเอาชนะการทดลองใดๆ ได้ และเจ้าจะเห็นว่าไม่มีอะไรเป็นปัญหาสำหรับเจ้าเลย ซึ่งจะทำให้เจ้าเป็นอิสระและให้เสรีภาพแก่เจ้าได้อย่างใหญ่หลวง  ณ ชั่วขณะนี้ เจ้าจะกำลังชื่นชมความรักของพระเจ้า และความรักที่แท้จริงของพระเจ้าจะได้มาถึงเจ้าแล้ว  พระเจ้าทรงอวยพรบรรดาผู้ที่มีนิมิต ผู้ที่มีความจริง ผู้ที่มีความรู้ และผู้ที่รักพระองค์อย่างแท้จริง  หากผู้คนปรารถนาที่จะมองดูความรักของพระเจ้า พวกเขาจะต้องนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติในชีวิตจริง พวกเขาจะต้องเต็มใจที่จะสู้ทนความเจ็บปวดและละทิ้งสิ่งซึ่งพวกเขารักเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และทั้งๆ ที่มีน้ำตาในดวงตาของพวกเขา พวกเขาจะต้องยังคงสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้าได้  ในหนทางนี้ พระเจ้าจะทรงอวยพรเจ้าอย่างแน่นอน และหากเจ้าสู้ทนความยากลำบากเช่นนี้  มันจะตามติดมาด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  โดยผ่านทางชีวิตจริง และโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนสามารถที่จะเห็นความน่ารักชื่นชมของพระเจ้า และต่อเมื่อพวกเขาได้ลิ้มรสความรักของพระเจ้าแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถรักพระองค์ได้อย่างแท้จริง

ผู้ที่รักพระเจ้าคือผู้ที่รักความจริง และยิ่งผู้ที่รักความจริงนำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งมีความจริงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขานำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งมีความรักของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และยิ่งพวกเขานำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็จะยิ่งทรงอวยพรพวกเขามากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าฝึกฝนปฏิบัติในหนทางนี้เสมอ ความรักของพระเจ้าที่มีให้เจ้าจะค่อยๆ ทำให้เจ้าได้เห็น เหมือนดั่งที่เปโตรได้มารู้จักพระเจ้าไม่มีผิด กล่าวคือ เปโตรได้พูดว่าพระเจ้าไม่เพียงทรงมีพระปรีชาญาณในการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น ได้พูดว่าพระองค์ยังทรงมีพระปรีชาญาณในการทรงพระราชกิจจริงในผู้คนเช่นกัน  เปโตรได้พูดว่าพระองค์ไม่เพียงทรงคู่ควรกับความรักของผู้คนเพราะการทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งของพระองค์เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น เพราะพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการทรงสร้างมนุษย์ ในการทรงช่วยมนุษย์ให้รอด ในการทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และในการทรงยกความรักของพระองค์ให้เป็นมรดกแก่มนุษย์เช่นกัน  เปโตรได้พูดว่ามีมากมายในพระองค์ซึ่งคู่ควรกับความรักของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  เปโตรได้พูดกับพระเยซูด้วยว่า “การทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง เป็นเหตุผลเดียวเท่านั้นที่พระองค์ทรงสมควรได้รับความรักของมนุษย์หรือ?  ในพระองค์นั้นมีมากกว่านี้ที่ควรค่าที่จะรัก  พระองค์ทรงปฏิบัติและทรงเคลื่อนไหวในชีวิตจริง พระวิญญาณของพระองค์ทรงสัมผัสข้าพระองค์ภายใน พระองค์ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์ พระองค์ทรงตำหนิข้าพระองค์—สิ่งเหล่านี้ยิ่งคู่ควรกับความรักของผู้คนมากขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ”  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นและได้รับประสบการณ์กับความรักของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะต้องท่องสำรวจและแสวงหาในชีวิตจริงและจะต้องเต็มใจที่จะละวางเนื้อหนังของเจ้าเองลงไว้ก่อน  เจ้าจะต้องตั้งปณิธานนี้  เจ้าจะต้องเป็นใครบางคนที่มีความแน่วแน่ผู้ซึ่งสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ในทุกสรรพสิ่ง โดยปราศจากการเกียจคร้านหรือการละโมบในความชื่นชมยินดีของเนื้อหนัง ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนังแต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า  อาจมีบางเวลาที่เจ้าไม่ได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า คราวหน้า แม้ว่านั่นจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้น เจ้าก็จะต้องทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและจะต้องไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง  เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ เจ้าจะได้มารู้จักพระเจ้า  เจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าสามารถสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง ว่าพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่ผู้คนสามารถมองเห็นพระองค์จริงๆ และเข้าเชื่อมความสัมพันธ์กับพระองค์จริงๆ เจ้าจะเห็นว่าพระองค์สามารถดำเนินไปในหมู่มนุษย์ และว่าพระวิญญาณของพระองค์สามารถทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมในชีวิตจริง ทรงยอมให้พวกเขาเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์และได้รับประสบการณ์กับความมีวินัยของพระองค์ การตีสอนของพระองค์ และพรของพระองค์  หากเจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้เสมอ ในชีวิตจริงเจ้าจะไม่สามารถแยกจากพระเจ้าได้ และหากวันหนึ่งสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าไม่ปกติต่อไป เจ้าก็จะสามารถทนทุกข์จากการตำหนิและรู้สึกผิดได้  เมื่อเจ้ามีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันปรารถนาที่จะทิ้งพระเจ้า และหากวันหนึ่งพระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงทิ้งเจ้า เจ้าจะกลัว และจะพูดว่าเจ้าน่าจะตายเสียดีกว่าที่จะถูกพระเจ้าทรงทิ้งไป  ทันทีที่เจ้ามีอารมณ์เหล่านี้ เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถที่จะทิ้งพระเจ้าได้ และในหนทางนี้ เจ้าจะมีรากฐานอย่างหนึ่ง และจะชื่นชมความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง

บ่อยครั้งที่ผู้คนพูดถึงการยอมให้พระเจ้าทรงเป็นชีวิตของพวกเขา แต่ประสบการณ์ของพวกเขายังไม่ได้มาถึงจุดนั้น  เจ้าก็แค่กำลังพูดว่าพระเจ้าทรงเป็นชีวิตของเจ้า ว่าพระองค์ทรงนำเจ้าทุกวัน ว่าเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระองค์ในแต่ละวัน และว่าเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์ทุกวัน ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ความรู้ของพวกที่พูดการนี้ค่อนข้างผิวเผินเลยทีเดียว  มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่มีรากฐานใดอยู่ภายในเลย พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในพวกเขา แต่พระวจนะก็ยังไม่ได้แตกหน่อ นับประสาอะไรที่พระวจนะเหล่านั้นจะได้เกิดผลใดๆ แล้ว  วันนี้ เจ้าได้รับประสบการณ์ไปถึงขอบข่ายใดแล้ว?  เพียงบัดนี้ หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงบีบบังคับให้เจ้ามาไกลขนาดนี้แล้วเท่านั้น เจ้าจึงรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถทิ้งพระเจ้าไปได้  สักวันหนึ่ง เมื่อประสบการณ์ของเจ้าได้มาถึงที่จุดหนึ่งแล้ว หากพระเจ้าจำต้องทรงทำให้เจ้าทิ้งไป เจ้าก็คงจะไร้ความสามารถที่จะทำได้  เจ้าจะรู้สึกตลอดเวลาว่าเจ้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้าภายในตัวเจ้า เจ้าสามารถอยู่ได้โดยปราศจากสามี ภรรยา หรือลูกหลาน โดยปราศจากครอบครัว โดยปราศจากแม่หรือพ่อ โดยปราศจากความชื่นชมยินดีทั้งหลายของเนื้อหนัง แต่เจ้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้า  การอยู่โดยปราศจากพระเจ้าคงจะเป็นเหมือนการสูญเสียชีวิตของเจ้า เจ้าคงจะไร้ความสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากพระเจ้า  ครั้นเจ้าได้รับประสบการณ์จนถึงจุดนี้แล้ว เจ้าก็จะประสบความสำเร็จจากความพยายามในความเชื่อของเจ้าในพระเจ้า และในหนทางนี้ พระเจ้าจะทรงได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว พระองค์จะทรงได้กลายเป็นรากฐานของการดำรงอยู่ของเจ้าแล้ว  เจ้าจะไม่มีวันสามารถทิ้งพระเจ้าไปได้อีกครั้ง  เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์จนถึงขอบข่ายนี้แล้ว เจ้าจะได้ชื่นชมความรักของพระเจ้าแล้วอย่างแท้จริง และเมื่อเจ้ามีสัมพันธภาพอันใกล้ชิดพอกับพระเจ้า พระองค์จะทรงเป็นชีวิตของเจ้า เป็นความรักของเจ้า และ ณ เวลานั้น เจ้าก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้าและพูดว่า “โอ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ไม่สามารถทิ้งพระองค์ได้  พระองค์ทรงเป็นชีวิตของข้าพระองค์  ข้าพระองค์สามารถไปได้โดยปราศจากทุกสิ่งอื่นใด—แต่หากปราศจากพระองค์ ข้าพระองค์ไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้”  นี่คือวุฒิภาวะที่แท้จริงของผู้คน มันคือชีวิตจริง  ผู้คนบางคนได้ถูกบีบบังคับให้มาไกลอย่างที่พวกเขาได้มาถึงในวันนี้ กล่าวคือ พวกเขาต้องไปต่อไม่ว่าพวกเขาต้องการหรือไม่ก็ตาม และพวกเขารู้สึกเสมอราวกับว่าพวกเขาติดอยู่ระหว่างก้อนหินก้อนหนึ่งและสถานที่ยากลำบากแห่งหนึ่ง  เจ้าจะต้องได้รับประสบการณ์ถึงขนาดที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นชีวิตของเจ้า ถึงขนาดที่ว่าหากพระเจ้าได้ทรงถูกนำไปจากหัวใจของเจ้า นั่นคงจะเป็นเหมือนการสูญเสียชีวิตของเจ้า นั่นคือ พระเจ้าต้องทรงเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าจะต้องไม่สามารถทิ้งพระองค์ไปได้  ในหนทางนี้ เจ้าจะได้รับประสบการณ์กับพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว และ ณ เวลานี้ เมื่อเจ้ารักพระเจ้า เจ้าจะรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และนั่นจะเป็นความรักพิเศษและบริสุทธิ์  สักวันหนึ่ง เมื่อประสบการณ์ของเจ้าเป็นถึงขนาดที่ว่าชีวิตของเจ้าได้มาถึงจุดหนึ่งแล้ว เมื่อเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะไร้ความสามารถที่จะทิ้งพระเจ้าภายในได้ อีกทั้งเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะลืมพระองค์ได้ต่อให้เจ้าต้องการทำก็ตาม  พระเจ้าจะได้ทรงกลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว เจ้าสามารถลืมโลกได้ เจ้าสามารถลืมภรรยา สามี หรือลูกหลานของเจ้าได้ แต่เจ้าจะมีปัญหาในการลืมพระเจ้า—การทำเช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้เลย นี่คือชีวิตจริงของเจ้าและความรักที่แท้จริงของเจ้าที่มีให้กับพระเจ้า  เมื่อความรักที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ความรักที่พวกเขามีต่อสิ่งอื่นใดก็ไม่เทียบเท่าความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ความรักที่พวกเขามีต่อพระเจ้าย่อมมาก่อน  ในหนทางนี้เจ้าสามารถละทิ้งสิ่งอื่นได้ทุกสิ่ง และเต็มใจที่จะยอมรับการจัดการและการตัดแต่งทั้งหมดจากพระเจ้า  ครั้นเจ้าได้สัมฤทธิ์การรักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว เจ้าจึงจะมีชีวิตในความเป็นจริงและในความรักของพระเจ้า

ทันทีที่พระเจ้าทรงกลายเป็นชีวิตภายในผู้คน ผู้คนกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะทิ้งพระเจ้าได้  นี่ไม่ใช่กิจการของพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่มีคำพยานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว!  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมาถึงจุดหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสเพื่อให้ผู้คนทำงานปรนนิบัติ ถูกตีสอน หรือตาย และผู้คนก็ยังไม่ได้ถอยออกไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้ถูกพิชิตโดยพระเจ้าแล้ว  ผู้คนผู้ซึ่งมีความจริงคือบรรดาผู้ที่ในประสบการณ์จริงของพวกเขานั้นสามารถตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขา ตั้งมั่นในตำแหน่งของพวกเขา ยืนเคียงข้างพระเจ้า โดยปราศจากการล่าถอยโดยเด็ดขาด และผู้ซึ่งสามารถมีสัมพันธภาพปกติกับผู้คนผู้ซึ่งรักพระเจ้า ผู้ซึ่งเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์ และสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้จนสิ้นชีพ  การฝึกฝนปฏิบัติและวิวรณ์ของเจ้าในชีวิตจริงคือคำพยานของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้คือการดำเนินชีวิตของมนุษย์และคำพยานของพระเจ้า และนี่คือการชื่นชมความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์จนถึงจุดนี้แล้ว ผลกระทบอันสมควรจะได้ถูกทำให้สัมฤทธิ์แล้ว  เจ้าครองการดำเนินชีวิตที่แท้จริงและทุกการกระทำของเจ้าถูกมองด้วยความเลื่อมใสจากผู้อื่น  เสื้อผ้าอาภรณ์และการปรากฏภายนอกของเจ้านั้นเป็นปกติธรรมดา แต่เจ้าดำเนินชีวิตที่มีความศรัทธาอย่างที่สุด และเมื่อเจ้าสื่อสารกับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าได้รับการทรงนำและได้รับการทำให้รู้แจ้งโดยพระองค์  เจ้าสามารถกล่าวน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยผ่านทางคำพูดของเจ้า สื่อสารความเป็นจริง และเจ้าเข้าใจมากมายเกี่ยวกับการรับใช้ในวิญญาณ  เจ้าตรงไปตรงมาเมื่อเจ้าพูด เจ้ามีสมบัติผู้ดีและเที่ยงธรรม ไม่เผชิญหน้าด้วยความรุนแรงและมีมารยาท สามารถเชื่อฟังการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าได้เมื่อสิ่งทั้งหลายตกมาถึงเจ้า และเจ้าใจเย็นและสำรวมไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังจัดการกับอะไรอยู่  บุคคลประเภทนี้ได้เห็นความรักของพระเจ้าแล้วจริงๆ  ผู้คนบางคนยังคงเยาว์วัยอยู่ แต่พวกเขาปฏิบัติตนเหมือนบางคนในวัยกลางคน พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ ครองความจริง และได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น—และเหล่านี้คือผู้คนซึ่งมีคำพยานและเป็นการสำแดงของพระเจ้า  กล่าวคือ เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์จนถึงจุดหนึ่ง พวกเขาจะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกต่อพระเจ้าอยู่ภายใน และอุปนิสัยภายนอกของพวกเขาก็จะมั่นคงด้วยเช่นกัน  ผู้คนจำนวนมากไม่นำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติและไม่ตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขา  ในผู้คนเช่นนั้นไม่มีความรักสำหรับพระเจ้า หรือคำพยานต่อพระเจ้าเลย และเหล่านี้คือผู้คนซึ่งเป็นที่พระเจ้าทรงเกลียดมากที่สุด  พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุม แต่สิ่งที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตคือซาตาน และนี่เป็นการลดพระเกียรติของพระเจ้า สบประมาทพระเจ้า และหมิ่นประมาทพระเจ้า  ในผู้คนเช่นนี้ไม่มีสัญญาณของความรักสำหรับพระเจ้า และพวกเขาไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เลยโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น คำพูดและการกระทำทั้งหลายของผู้คนจึงเป็นตัวแทนของซาตาน  หากหัวใจของเจ้าสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ และเจ้าใส่ใจต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้าเสมอ และสิ่งที่กำลังเป็นไปรอบตัวเจ้า และหากเจ้าใส่ใจในพระภาระของพระเจ้า และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ย่อมจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าภายในบ่อยๆ  ในคริสตจักรมีผู้คนที่เป็น “บรรดาผู้ดูแล” กล่าวคือ พวกเขาตั้งท่าเฝ้าดูความล้มเหลวทั้งหลายของผู้อื่นและแล้วก็เลียนแบบและเอาอย่างความล้มเหลวเหล่านั้น  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ พวกเขาไม่ได้เกลียดชังบาปและไม่ได้เกลียดหรือรู้สึกขยะแขยงสิ่งทั้งหลายของซาตาน  ผู้คนเช่นนั้นเต็มไปด้วยสิ่งทั้งหลายของซาตาน และในท้ายที่สุดพวกเขาจะถูกพระเจ้าทรงละทิ้งจนถึงที่สุด  หัวใจของเจ้าควรมีความยำเกรงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าตลอดกาล เจ้าควรดำเนินสายกลางในคำพูดและการกระทำทั้งหลายของเจ้าและอย่าได้มีวันปรารถนาที่จะต่อต้านหรือก่อกวนพระเจ้าเป็นอันขาด  เจ้าไม่ควรเต็มใจให้พระราชกิจของพระเจ้าในตัวเจ้าได้เป็นไปโดยมิได้ประโยชน์อันใดเลยเป็นอันขาด หรือยอมให้ความยากลำบากทั้งหมดที่เจ้าได้สู้ทนและทั้งหมดซึ่งเจ้าได้นำไปฝึกฝนปฏิบัติต้องสลายไปเปล่าๆ  เจ้าจะต้องเต็มใจที่จะทำงานหนักขึ้นและที่จะรักพระเจ้ามากขึ้นบนเส้นทางข้างหน้า  เหล่านี้คือผู้คนผู้ซึ่งมีนิมิตเป็นรากฐานของพวกเขา  เหล่านี้คือผู้คนผู้ซึ่งแสวงหาความก้าวหน้า

หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าและได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจซึ่งยำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ย่อมสามารถมองเห็นความรอดของพระเจ้าและความรักของพระเจ้าอยู่ในผู้คนเช่นนั้น  ผู้คนเหล่านี้สามารถให้คำพยานต่อพระเจ้าได้ พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามความจริง และสิ่งซึ่งพวกเขาให้คำพยานก็คือความจริง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และคือพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  พวกเขาดำเนินชีวิตท่ามกลางความรักของพระเจ้าและได้เห็นความรักของพระเจ้า  หากผู้คนปรารถนาที่จะรักพระเจ้า พวกเขาจะต้องลิ้มรสความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นจึงสามารถมีหัวใจที่รักพระเจ้าถูกปลุกเร้าขึ้นในตัวพวกเขา หัวใจดวงหนึ่งซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมอบตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าอย่างจงรักภักดี  พระเจ้าไม่ทรงทำให้ผู้คนรักพระองค์โดยผ่านทางคำพูดหรือโดยผ่านการจินตนาการของพวกเขา และพระองค์ไม่ทรงบีบบังคับผู้คนให้รักพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงปล่อยให้พวกเขารักพระองค์จากการตัดสินใจเลือกของพวกเขาเอง และพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ในพระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์ ซึ่งหลังจากนี้แล้วจึงมีความรักสำหรับพระเจ้าเกิดขึ้นในตัวพวกเขา  ในหนทางนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ผู้คนไม่ได้รักพระเจ้าเพราะพวกเขาได้ถูกผู้อื่นรบเร้าให้ทำเช่นนั้น อีกทั้งนั่นไม่ใช่แรงกระตุ้นทางอารมณ์ชั่วขณะ  พวกเขารักพระเจ้าเพราะพวกเขาได้เห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ พวกเขาได้เห็นว่ามีมากมายในพระองค์ซึ่งคู่ควรกับความรักของผู้คน เพราะพวกเขาได้เห็นความรอด พระปัญญา และกิจการอันมหัศจรรย์ของพระองค์—และผลก็คือ พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าอย่างแท้จริงและโหยหาในพระองค์อย่างแท้จริง และมีความปรารถนาอันแรงกล้าซึ่งถูกปลุกเร้าในตัวพวกเขาถึงขนาดที่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้หากปราศจากการได้รับพระเจ้า  เหตุผลที่ทำไมบรรดาผู้ที่ให้คำพยานต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงสามารถให้คำพยานที่ก้องกังวานต่อพระองค์ได้ เป็นเพราะคำพยานของพวกเขาตั้งอยู่บนรากฐานของความรู้ที่แท้จริงและการโหยหาที่แท้จริงในพระเจ้า  คำพยานดังกล่าวไม่ได้ถูกถวายให้ตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์ แต่โดยสอดคล้องกับความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์  เพราะพวกเขาได้มารู้จักพระเจ้า พวกเขาจึงรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องให้คำพยานต่อพระเจ้าอย่างแน่นอนและทำให้ทุกคนซึ่งโหยหาในพระเจ้ารู้จักพระเจ้า และตระหนักรู้ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและสภาวะความเป็นจริงของพระองค์  เช่นเดียวกับความรักของผู้คนสำหรับพระเจ้า คำพยานของพวกเขานั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นั่นเป็นจริงและมีนัยสำคัญและคุณค่าจริง  นั่นไม่ได้มีสภาวะนิ่งเฉยหรือกลวงเปล่าและไร้ความหมาย  เหตุผลที่มีเพียงบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้นที่มีคุณค่าและความหมายมากที่สุดในชีวิตของพวกเขา เหตุผลที่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ก็คือว่าผู้คนเหล่านี้สามารถดำเนินชีวิตในความสว่างแห่งพระเจ้าและสามารถมีชีวิตเพื่อพระราชกิจและการบริหารจัดการของพระเจ้า  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ในความมืดมิด แต่ดำเนินชีวิตในความสว่าง พวกเขาไม่ได้มีชีวิตที่ไร้ความหมาย แต่เป็นชีวิตซึ่งได้รับการอวยพรโดยพระเจ้า  มีเพียงบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้คำพยานกับพระเจ้าได้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เป็นพยานของพระเจ้า มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ได้รับการอวยพรโดยพระเจ้า และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถรับสัญญาของพระเจ้าไว้  บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าเป็นคนสนิทของพระเจ้า พวกเขาคือผู้คนที่เป็นที่รักโดยพระเจ้า และพวกเขาสามารถชื่นชมพรไปพร้อมกับพระเจ้า  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ไปชั่วกัลปาวสาน และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะมีชีวิตอยู่ตลอดกาลภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการปกป้องของพระเจ้า  พระเจ้าทรงดำรงอยู่เพื่อให้ผู้คนรัก และพระองค์ทรงคู่ควรกับความรักของผู้คนทั้งหมด แต่ไม่ใช่ผู้คนทั้งหมดที่สามารถรักพระเจ้าได้ และไม่ใช่ผู้คนทั้งหมดที่สามารถให้คำพยานกับพระเจ้าและถือครองฤทธานุภาพร่วมกับพระเจ้าได้  เพราะพวกเขาสามารถให้คำพยานกับพระเจ้าและอุทิศความพยายามของพวกเขาทั้งหมดให้แก่พระราชกิจของพระเจ้า บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงสามารถเดินได้ทุกหนแห่งเบื้องใต้ฟ้าสวรรค์โดยไม่มีใครกล้าต่อต้านพวกเขา และพวกเขาสามารถกวัดแกว่งฤทธานุภาพบนแผ่นดินโลกและปกครองประชากรทั้งหมดของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ได้มาพร้อมหน้ากันจากทั่วทุกมุมโลก  พวกเขาพูดภาษาที่แตกต่างกันและมีสีผิวที่แตกต่างกัน แต่การดำรงอยู่ของพวกเขามีความหมายเดียวกัน พวกเขาล้วนมีหัวใจที่รักพระเจ้า พวกเขาทุกคนมีคำพยานเดียวกัน พวกเขาทุกคนมีความแน่วแน่เดียวกัน และความปรารถนาเดียวกัน  บรรดาผู้ที่รักพระเจ้าสามารถเดินได้อย่างอิสระทั่วทั้งโลก และบรรดาผู้ที่ให้คำพยานเรื่องพระเจ้าสามารถเดินทางได้ข้ามจักรวาล  ผู้คนเหล่านี้เป็นที่รักโดยพระเจ้า พวกเขาได้รับการอวยพรโดยพระเจ้า และพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ภายในความสว่างแห่งพระองค์ตลอดกาล

ก่อนหน้า: เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร

ถัดไป: พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และงานของซาตาน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger