39. การใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ในที่สุด

โดย โจวหง ประเทศจีน

เมื่อฉันได้มาเป็นผู้นำคริสตจักรใน ค.ศ. 2018 ฉันพบว่ามีน้องสาวคนหนึ่งชื่อหยางซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีและไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันคิดกับตัวเองว่า “หากฉันสามารถฝึกฝนเธอให้ดี ก็จะทำให้ชีวิตของฉันง่ายขึ้น งานของพวกเราจะดีขึ้น และผู้นำของฉันจะชมเชยฉันด้วย”  ดังนั้นฉันจึงทุ่มเทฝึกฝนเธอ ฉันจะสามัคคีธรรมกับเธอเมื่อไรก็ตามที่เธอเจอปัญหา และฉันก็ได้มอบหมายให้เธอเป็นหัวหน้าทีม  เธอก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและใส่ใจในหน้าที่ของตัวเอง  ไม่นานนัก งานของทีมเธอก็ได้รับเลือก  ฉันคิดว่า “หากฉันมีคนอย่างน้องหยางอีกสักสองสามคน งานทั้งหมดของคริสตจักรเราก็คงดีขึ้นจนเป็นที่จับตามอง  ฉันก็คงจะเบาใจลงได้สักหน่อย และพวกเราก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และทุกคนก็จะพูดว่าฉันทำงานดี”  อยู่มาวันหนึ่ง พวกเราต้องการใครสักคนอย่างเร่งด่วน เพื่อมาเรียบเรียงเอกสารเรื่องกวาดล้างและขับไล่พวกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนทำชั่ว  ฉันกับพวกคู่ร่วมงานเห็นตรงกันว่าน้องหยางควรรับงานนี้  เธอทำให้ฉันแปลกใจเมื่อเธอเข้าใจหลักปฏิบัติอย่างรวดเร็ว และผลิตเอกสารที่ทั้งยึดหลักข้อเท็จจริงไม่อิงตัวเองและถูกต้องแม่นยำออกมา  ในระหว่างนี้ ผู้นำของฉันถามบ่อยๆ ว่า พวกเรามีใครที่เก่งในเรื่องรวบรวมเอกสารหรือเปล่า และฉันรู้ว่าน้องหยางนั้นเหมาะเจาะกับงานนี้  แต่พอฉันคิดถึงการที่เธอจะถูกย้ายไป และผลที่จะกระทบงานของพวกเราอย่างแน่นอน ฉันก็ไม่อยากให้เธอไปและไม่ได้เสนอแนะเธอให้กับผู้นำ

ในการชุมนุมวันหนึ่ง ผู้นำพูดว่าพวกเขาต้องการคนไปเรียบเรียงเอกสารเรื่องกวาดล้างและขับไล่พวกศัตรูของพระคริสต์และพวกคนทำชั่ว และถามพวกเราว่าพอจะหาคนให้ได้ไหม  ฉันคิดว่า “น้องหยางคงจะทำได้ดีแน่ แต่หากฉันให้เธอไป ฉันก็จะต้องฝึกฝนคนอื่นอีก  คงต้องลงแรงมากทีเดียว  ผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร หากงานของพวกเราเริ่มย่อหย่อนลง  น้องสาวถังก็เก่งเรื่องเรียบเรียงเอกสารเหมือนกัน แต่เธอค่อนข้างเฉื่อยแฉะในหน้าที่ และมักจะต้องให้ช่วยเยอะมาก  ฉันจะเสนอแนะเธอแทนก็แล้วกัน  ด้วยหนทางนี้ ฉันก็จะได้จัดเตรียมคนให้กับงานนี้ ส่วนน้องหยางก็ยังอยู่ได้  มันจะไม่ส่งผลกระทบกับงานของพวกเรา”  ฉันก็เลยแนะนำให้เป็นน้องถัง และยกย่องจุดแข็งของเธอ อีกทั้งจงใจพูดให้น้องหยางฟังดูไม่ดีเท่าเธอ  สองสามวันต่อมา น้องถังก็ได้รับเลือกให้ทำงานนี้  ฉันมาเรียนรู้ภายหลังว่า น้องถังไม่สามารถรับมือกับงานนี้ได้ตามลำพัง  ฉันคิดว่า “น้องหยางคงรับมืองานนี้ได้ไม่มีปัญหา  แต่ฉันไม่อยากให้เธอไป  เธอทำหน้าที่ได้ดีมาก หากเธอไปแล้วงานของพวกเราจะเป็นอย่างไร?”  ดังนั้น นั่นจึงเป็นอีกครั้งที่ฉันเลือกไม่แนะนำน้องหยาง  สองสามวันหลังจากนั้น ผู้นำของฉันก็เจาะจงขอตัวน้องหยางโดยเฉพาะ และบอกพวกเราให้หาคนมาแทนที่เธอให้เร็วที่สุด  ฉันไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เลยจริงๆ  ฉันคิดว่า “ถ้าน้องหยางไป ใครจะเป็นคนเรียบเรียงเอกสารของคริสตจักรเรา?  ถึงแม้ว่าพวกเราจะหาคนที่เหมาะสมได้ พวกเขาก็จะเป็นแค่มือใหม่ที่ไม่รู้หลักปฏิบัติ  ก็ต้องมาฝึกฝนกันอีก  ไม่เพียงงานของเราจะเดือดร้อนเท่านั้น แต่ฉันจะต้องทำงานหนักและใช้ความมานะพยายามอย่างมากด้วย”  ฉันรู้ว่าการคิดแบบนี้มันผิด  แต่ฉันก็คอยแก้ตัวกับตัวเองว่า “ฉันฝึกฝนน้องหยางมากับมือ หากเธอไป พวกเราก็จะไม่มีใครในทีมที่ทำงานของเธอได้ แล้วงานจะเสร็จได้อย่างไร?  ไม่ล่ะ ฉันต้องหารือเรื่องนี้กับคู่ร่วมงานของฉันและเขียนไปหาผู้นำ ขอให้เธอให้น้องหยางอยู่ต่ออีกสองสามเดือน จนกว่าพวกเราจะฝึกฝนคนอื่นแล้ว”  พอฉันแบ่งปันเรื่องนี้กับคู่ร่วมงานสองคนของฉัน พวกเขาก็ตำหนิฉันว่า “พวกเราฝึกฝนคนให้ทำงานของพระนิเวศของพระเจ้านะ  พอน้องหยางไปแล้ว พวกเราก็ฝึกฝนคนอื่นได้  การที่คุณพยายามยับยั้งไม่ให้น้องหยางไป นั่นไม่เป็นการเห็นแก่ตัวหรอกหรือ?”  แต่ฉันก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง กลับคิดว่า “พวกคุณนี่ใจกว้างเหลือเกินนะ  คิดว่าการฝึกคนมันง่ายนักหรือไง?”  ฉันรู้สึกหงุดหงิดและต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ และแค้นเคืองคู่ร่วมงานที่ไม่เข้าข้างฉัน  ครู่เดียวหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกเหมือนตัวร้อนผ่าว เหมือนมีไฟมาสุมไม่มีผิด และฉันรู้สึกอ่อนแอไปหมด  ฉันคิดว่า “อากาศก็เย็นดี แล้วฉันก็ไม่ได้มีไข้ นี่มันประหลาดจริงๆ”  ฉันตระหนักเลยว่า นี่คือการที่พระเจ้าทรงสั่งสอนและบ่มวินัยฉัน ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เวลานี้ เมื่อเราทำงานอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าประพฤติตัวในหนทางนี้—ถ้าวันนั้นมาถึง เมื่อไม่มีใครคอยดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่เป็นเหมือนบรรดาผู้ร้ายที่ประกาศว่าตัวเองเป็นกษัตริย์หรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ปัญหาที่ร้ายแรงมาก: การทรยศ (1))  ฉันอึ้งจนตัวแข็งทื่อเมื่อตระหนักว่า พระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดเผยสภาวะของฉันเองอย่างเที่ยงตรงไม่มีผิด  ฉันกำลังปฏิบัติต่อน้องหยางราวกับเธอเป็นสมบัติของฉัน  ฉันคิดว่าในเมื่อฉันเป็นคนฝึกเธอ เธอก็ควรเป็นของฉัน และเธอควรอยู่ในคริสตจักรของฉันและส่งเสริมให้ฉันโดดเด่น  ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้ใครได้เธอไปแน่  แต่ในความเป็นจริง พี่น้องชายหญิงทุกคนทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาต่างก็ได้รับพระบัญชามาจากพระเจ้า  พวกเขาทำหน้าที่เมื่อไรก็ตามและที่ไหนก็ตามที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องการ และตามที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ  แต่ฉันกลับใช้เล่ห์ลวงและโกงคนอื่นเพื่อเกียรติยศและสถานะของตัวฉันเอง ทำทุกสิ่งเพื่อเก็บน้องหยางไว้เป็นของตัวเองคนเดียว  ฉันไม่ใช่หนึ่งใน “ผู้ร้ายที่ประกาศว่าตัวเองเป็นกษัตริย์” หรอกหรือ?  ฉันได้พยายามควบคุมน้องหยาง และยื้อแย่งเธอมาจากพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำกัน และเป็นเส้นทางสู่ความล่มจม  พอตระหนักตรงนี้ ฉันก็รู้สึกสำนึกผิดมาก ฉันช่างโอหังและเห็นแก่ตัวมากเหลือเกิน

แล้วฉันก็อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “สิ่งใดคือมาตรฐานซึ่งใช้ตัดสินความประพฤติของบุคคลว่าดีหรือชั่ว?  มันขึ้นอยู่กับว่า ในความคิด การแสดงออก และการกระทำทั้งหลายของเจ้านั้น เจ้าครองคำพยานแห่งการนำความจริงไปปฏิบัติและการใช้ชีวิตไปตามความจริงความเป็นจริงหรือไม่  หากเจ้าไม่มีความเป็นจริงนี้หรือไม่ได้ใช้ชีวิตไปตามนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นคนทำชั่วอย่างไม่ต้องกังขาเลย(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “หากคนเราเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ใส่ใจในพระวจนะของพระองค์ ยอมรับความจริง หรือนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ หากพวกเขาเพียงจัดแสดงพฤติกรรมดีบางอย่างเท่านั้น แต่ไร้ความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนัง และไม่ปล่อยวางสิ่งใดที่เป็นความภูมิใจหรือผลประโยชน์ของพวกเขา หากแม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด พวกเขายังคงดำรงชีวิตไปโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขา และไม่ได้ละวางปรัชญาและวิธีการดำรงอยู่ของซาตานเลยแม้แต่น้อย และไม่เปลี่ยนแปลง—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถมีความเป็นไปได้ที่จะเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร?  นั่นคือการเชื่อในศาสนา  ผู้คนเช่นนั้นละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตัวพวกเขาเองอย่างผิวเผิน แต่เส้นทางที่พวกเขาเดินและแหล่งกำเนิดและแรงกระตุ้นของทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขายังคงปฏิบัติตนต่อไปตามการจินตนาการ ความพึงปรารถนา และสมมติฐานส่วนตัวของพวกเขาเอง และปรัชญาและอุปนิสัยของซาตานยังคงเป็นหลักพื้นฐานของการดำรงอยู่และการกระทำของพวกเขาต่อไป  ในเรื่องทั้งหลายซึ่งมีความจริงที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาไม่แสวงหาความจริงนั้น ในเรื่องทั้งหลายซึ่งมีความจริงที่พวกเขาเข้าใจ พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงนั้น ไม่ยกย่องพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ หรือไม่หวงแหนความจริงราวสมบัติล้ำค่า  แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ติดตามพระเจ้าเพียงในนาม แต่นั่นก็เป็นในคำพูดเท่านั้น สาระสำคัญของการกระทำของพวกเขาไม่ใช่สิ่งใดนอกจากการแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ไม่มีหมายสำคัญว่า สิ่งจูงใจและความตั้งใจของพวกเขานั้นคือการปฏิบัติความจริง และปฏิบัติตนไปตามพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนที่พิจารณาผลประโยชน์ของพวกเขาเองก่อนสิ่งอื่นใด ผู้ที่ทำให้ความพึงปรารถนาและความตั้งใจของพวกเขาเองลุล่วงก่อนอื่น—เหล่านี้คือผู้คนที่ติดตามพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) และผู้คนที่ไม่ติดตามพระเจ้าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่)  และหากพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาได้ พวกเขาไม่น่าสมเพชหรอกหรือ?(“การเชื่อในศาสนาจะไม่มีวันนำทางสู่ความรอด” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าและทบทวนตัวเอง  ฉันดูเหมือนสละอุทิศเพื่อพระเจ้า แต่เหตุจูงใจในหน้าที่ของฉันก็เพื่อสนองผลประโยชน์ของตัวเอง  เมื่อผู้นำของฉันขอใครสักคนที่สามารถรวบรวมเอกสารได้ ฉันรู้ว่าน้องหยางเหมาะสำหรับงานนี้ที่สุด  แต่ฉันโกหกและหลอกลวงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และเสนอแนะน้องถังไปแทน  แม้แต่ตอนที่ฉันเห็นว่าน้องถังทำงานนั้นไม่ได้ และรู้ว่าเธอจะทำให้งานล่าช้า ฉันก็ยังไม่แนะนำให้เป็นน้องหยาง  ฉันไม่ได้นึกถึงพระนิเวศของพระเจ้าหรือใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย  ฉันเพียงแค่ใช้พี่น้องชายหญิงเป็นเครื่องมือเพื่อคุ้มภัยให้กับเกียรติยศและสถานะของตัวเอง  ฉันทั้งเลว เห็นแก่ตัว และร้ายกาจเหลือเกิน  ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ความคิดและทรรศนะทั้งหมดของฉันกลับอยู่บนพื้นฐานของอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และอยู่ที่กลลวงในการเอาตัวรอดของซาตาน  ฉันไม่ได้ทำตามพระวจนะของพระเจ้าหรือปฏิบัติความจริง  ฉันเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ เหมือนกับที่พระวจนะของพระเจ้าบรรยายไว้ไม่มีผิด  ฉันเห็นแก่ตัวไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  ฉันต้องจัดเตรียมคนที่มีความสามารถพิเศษ แล้วฝึกฝนคนให้คริสตจักรของพวกเรามากขึ้น  พวกเราจัดการเตรียมการให้คนอื่นมารับช่วงงานของน้องหยางในคริสตจักรของเรา แล้วเธอก็ย้ายออกไป  ต่อมา ฉันได้เรียนรู้ว่าน้องหยางเรียบเรียงเอกสารเรื่องกวาดล้างและขับไล่คนได้อย่างรวดเร็ว  ฉันก็รู้สึกแย่เมื่อได้ยินเรื่องนี้  ถ้าเพียงแต่ฉันละวางผลประโยชน์ของตัวเองลงแล้วเสนอแนะเธอให้เร็วกว่านี้ งานนี้ก็คงไม่ล่าช้ามานานขนาดนี้  เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน  ฉันได้ฝ่าฝืนและทำชั่ว  ฉันใช้เรื่องนี้เป็นการเตือน ไม่ให้ฉันเห็นผลประโยชน์ของตัวเองสำคัญกว่าพระนิเวศของพระเจ้าอีก

ฉันคิดว่าประสบการณ์นี้ได้เปลี่ยนฉันไปบ้างแล้ว แต่ปัญหาเดิมนี้ก็เพียงกำลังเฝ้ารอเหตุปัจจัยเหมาะๆ ก่อนจะโผล่หัวอันอัปลักษณ์ของมันออกมาอีกครั้ง  ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำของฉันก็ถามฉันเรื่องน้องหลิว  เธอต้องการตัวน้องหลิวไปช่วยงานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ในคริสตจักรใกล้เคียง  ฉันรู้สึกอิดออดอยู่บ้าง แต่ก็คิดได้ว่าไม่ควรเห็นแก่ตัว และฉันต้องค้ำจุนงานของคริสตจักร และฉันก็ฝึกฝนคนอื่นได้เสมอ  ฉันตกลงยอมให้น้องหลิวไป  แต่แล้วเธอก็พูดว่า น้องหลี่ที่รับผิดชอบงานรวบรวมเอกสารจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และขอให้ฉันเขียนแบบประเมินให้  เรื่องนี้มันมากเกินไปสำหรับฉัน ถ้าน้องหลี่ไป แล้วใครจะรับผิดชอบงานรวบรวมเอกสาร?  ฉันไม่อยากให้น้องหลี่ไป ฉันก็เลยไม่ยอมเขียนแบบประเมินของเธอ ฉันอยากผัดผ่อนการไปของเธอออกไปอีกสองสามวัน เผื่อว่าผู้นำของฉันอาจจะหาคนอื่นได้ในระหว่างนั้นแล้วให้น้องหลี่อยู่ต่อ  คู่ร่วมงานของฉันสังเกตว่าฉันไม่เขียนแบบประเมินและจี้ให้ฉันเขียน  ฉันพูดตัดบทกับเธอไปว่า ฉันจะเขียนทันที แต่ก็ยังไม่ได้เขียนอยู่นั่นเอง  ประมาณ 10 วันต่อมา คู่ร่วมงานของฉันได้พูดขึ้นว่า “ผู้นำของเราย้ายน้องหลี่ไปหลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับเธอจากคนอื่นๆ ”  เป็นพักใหญ่กว่าฉันจะจับต้นชนปลายได้  นี่มันเกิดขึ้นเร็วเกินไปแล้ว!  บรรดาคนที่มีขีดความสามารถดีถูกเอาตัวไปหมด  ทีนี้พวกเราก็คงทำงานในคริสตจักรให้เสร็จไม่ได้สักอย่างเดียว  ความคิดเหล่านี้เต็มแน่นในหัวฉันจนแทบระเบิด  ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจมันหนักอึ้ง จนหมดความอยากอาหารไปสองสามวันเลยทีเดียว  ฉันคิดแค่เรื่องที่ฉันต้องหาคนและฉันถูกกดดันมากแค่ไหน  ทั้งหมดจะต้องใช้ความมานะพยายามอย่างหนักแน่น  ยิ่งฉันคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งถูกความวิตกกังวลเสพกินจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง

อยู่มาวันหนึ่ง ฉันก้าวเท้าพลาดตอนกำลังลงบันได  ฉันได้ยินเสียงที่เท้าเหมือนกระดูกหัก  ฉันคิดว่า “เสร็จกัน เท้าหักแบบนี้ฉันคงทำหน้าที่ไม่ได้แล้ว”  ฉันรู้ว่านี่คือการที่พระเจ้าบ่มวินัยฉัน  ฉันคิดถึงเรื่องการที่ฉันเฝ้าดูคนโยกย้ายออกไปทีละคน และการที่ฉันโต้เถียงกับพระเจ้าในหัวใจฉันและต่อต้านการย้ายทั้งหมดนั้น  ท่าทีที่มีต่อหน้าที่ของฉันคงจะทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยง  พระเจ้าจึงทรงริบหน้าที่ของฉันไป  ฉันรู้สึกกลัวมากกับความคิดนี้  เท้าของฉันก็เจ็บปวดแทบบ้าเช่นกัน  ฉันเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความเต็มใจที่จะกลับใจอย่างแท้จริง  แล้วฉันก็แปลกใจเมื่อหลังจากมื้อเที่ยงวันนั้น เท้าของฉันหายปวดไปเฉยๆ ราวกับว่าไม่เคยบาดเจ็บมาก่อนเลย  ฉันรู้ในหัวใจของฉัน ว่านี่เป็นการเตือนจากพระเจ้า เพื่อที่ฉันจะได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง  ฉันนึกสงสัยว่า “ทำไมนะ ฉันถึงเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองก่อนก่อนอื่นเสมอ?”

ต่อมาฉันก็ได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว  สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ?  ตัวอย่างเช่น  เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น?  อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้  ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า  สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด  ตัวอย่างเช่น หากพวกเจ้าถามพวกคนทำชั่วว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางที่พวกเขาทำ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  พวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายเพื่อจุดประสงค์นี้นั้น แต่พวกเขาก็แค่กำลังทำมันเพื่อตัวพวกเขาเอง  ทุกคนคิดว่าในเมื่อ มันเป็นว่ามนุษย์ทุกคนทำเพื่อตนเองและมารก็เอาตัวคนรั้งท้ายไป ผู้คนก็ควรดำรงชีวิตเพื่อประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง และทำทุกสิ่งทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานภาพที่ดีเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอาหารและเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตร  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา  ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์  พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี(“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า หลังจากที่มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พิษแบบซาตานทุกอย่างถูกปลูกเพาะในหัวใจของพวกเราและกลายเป็นธรรมชาติของพวกเรา  จงดูที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” เป็นตัวอย่าง  ทุกคนดำรงชีวิตอยู่โดยพิษแบบซาตานนี้ ทุกอย่างที่พวกเราทำก็เพื่อผลกำไรของพวกเราเอง และพวกเราคิดว่านี่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้น พวกเราจึงกลายมาเป็นเห็นแก่ตัวและมีเล่ห์ลวงมากขึ้นทุกที  ฉันจึงได้ทบทวนตัวเอง  ตอนที่ผู้นำย้ายคนออกไปจากคริสตจักรของฉัน ฉันต่อต้านและพยายามขัดขวาง จนถึงจุดของความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงด้วยซ้ำ  ฉันปฏิบัติต่อผู้คนเหมือนพวกเขาเป็นของฉัน และไม่ยอมให้พระนิเวศของพระเจ้าได้ตัวพวกเขาไป  ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเหลือเกิน ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง  ฉันกำลังยืนขวางงานของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่นี่เอง!  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกฟาริสีพยายามปกป้องสถานะและความเป็นอยู่ของตัวเอง ด้วยการห้ามผู้คนไม่ให้ติดตามพระองค์  พวกเขาปฏิบัติต่อผู้เชื่อเหมือนเป็นของตัวเอง และแก่งแย่งตัวผู้เชื่อเหล่านั้นกับองค์พระผู้เป็นเจ้า  สุดท้ายพวกเขาก็ล่วงเกินพระเจ้าและพระองค์ได้ทรงลงโทษพวกเขา  ฉันกำลังประพฤติตัวต่างจากพวกฟาริสีตรงไหนหรือ?  พี่น้องชายหญิงคือแกะของพระเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าก็มีสิทธิ์จัดสรรพวกเขาตามแต่จะปรารถนา  ฉันไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง  ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันควรทำหน้าที่ตามข้อพึงประสงค์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นไปในแนวเดียวกับหลักธรรม สามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาและฝึกฝนผู้คน  นี่เองคือหน้าที่ของฉัน ความรับผิดชอบของฉัน  แต่ฉันไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือจัดสรรผู้คนให้ไปในแนวเดียวกับหลักธรรม  ฉันไม่ได้เต็มใจมานะพยายามที่จะฝึกฝนผู้คนมากขึ้น  ฉันไม่ได้เสนอตัวคนที่ฉันรู้ว่ามีความสามารถพิเศษ แต่พยายามเก็บพวกเขาไว้ภายใต้การควบคุมของฉัน ทำให้พวกเขาทำงานและรับใช้เพื่อเกียรติยศของฉันเอง  ฉันไม่ได้กำลังทำสิ่งที่เป็นของตัวเองในลักษณะการต่อต้านพระนิเวศของพระเจ้าหรอกหรือ?  ฉันกำลังท้าทายพระเจ้าและเดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์  ฉันหวาดกลัวกับความคิดนี้ และขอบคุณพระเจ้าสำหรับการบ่มวินัยฉันและหยุดไม่ให้ฉันทำชั่วมากขึ้น

ต่อมา ฉันได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “อารมณ์ต่างๆ ของมนุษยชาติมีลักษณะที่เห็นแก่ตัวและเป็นของโลกแห่งความมืด  อารมณ์เหล่านั้นไม่ได้มีอยู่เพื่อเห็นแก่น้ำพระทัย นับประสาอะไรที่จะเห็นแก่แผนการของพระเจ้า และดังนั้นมนุษย์และพระเจ้าจึงไม่มีวันที่จะสามารถถูกพูดถึงในขณะเดียวกันได้  พระเจ้าทรงสูงสุดตลอดกาลและทรงเกียรติเสมอ ในขณะที่มนุษย์นั้นต่ำช้าตลอดกาล ไร้ค่าตลอดกาล  นี่เป็นเพราะพระเจ้ากำลังทรงเสียสละและทรงอุทิศพระองค์เองต่อมวลมนุษย์ตลอดกาล อย่างไรก็ดี มนุษย์นั้นรับเอาและเพียรพยายามเพื่อตัวเขาเองเท่านั้นตลอดกาล  พระเจ้ากำลังทรงรับความเจ็บปวดเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์ตลอดกาล กระนั้นมนุษย์กลับไม่เคยมีส่วนร่วมในอะไรเลยเพื่อประโยชน์ของความสว่างหรือเพื่อความชอบธรรม  ต่อให้มนุษย์พยายามชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็อ่อนแอมากกระทั่งมนุษย์ไม่สามารถทนการโจมตีแม้สักครั้งได้ ด้วยเหตุที่ความพยายามของมนุษย์มักจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเขาเองเสมอและไม่ใช่เพื่อผู้อื่น มนุษย์เห็นแก่ตัวเสมอ ในขณะที่พระเจ้าไม่เห็นแก่พระองค์เองตลอดกาล  พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกอย่างซึ่งยุติธรรม ดีงาม และสวยงาม ในขณะที่มนุษย์คือผู้ที่สืบทอดและสำแดงความน่าเกลียดและความชั่วทุกอย่าง  พระเจ้าจะไม่มีวันทรงเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของความชอบธรรมและความงามของพระองค์ ทว่ามนุษย์กลับมีความสามารถอย่างสมบูรณ์แบบในการที่จะทรยศต่อความชอบธรรมและไถลห่างไปจากพระเจ้าในเวลาใดก็ตามและในสถานการณ์ใดก็ตาม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้ามีความสำคัญมาก)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่ตัว  ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำก็เพื่อช่วยเราให้รอด ทั้งหมดเป็นประโยชน์ต่อเรา  พระนิเวศของพระเจ้าทรงส่งเสริมและฝึกฝนผู้คน เพื่อที่ผู้แสวงหาความจริงซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีจะได้รับการฝึกฝนมากขึ้น และรับภาระหน้าที่ตามพระบัญชาของพระเจ้าในท้ายที่สุด  สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิง และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  สำหรับฉัน ฉันได้รับการให้น้ำและเสบียงอาหารแห่งพระวจนะของพระเจ้าและการฝึกฝนจากพระนิเวศของพระเจ้า โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดเลย  แต่ฉันไม่ได้คิดถึงการทำหน้าที่ของฉันเพื่อชดใช้คืนความรักของพระเจ้า ทั้งหมดที่ฉันคิดถึงก็คือ จะเก็บผู้คนไว้ภายใต้การควบคุมได้อย่างไร  เพื่อเกียรติยศและสถานะของฉันเอง ฉันไม่ลังเลที่จะยืนขวางการฝึกฝนผู้คนของพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งนั่นทำให้งานล่าช้า  ฉันช่างเห็นแก่ตัวและมุ่งร้าย ไม่เหมาะจะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ฉันรู้ว่าฉันเป็นแบบนั้นต่อไปไม่ได้ ฉันต้องจัดหาคนที่มีความสามารถพิเศษให้กับพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อให้พี่น้องชายหญิงอีกมากสามารถทำหน้าที่ซึ่งพวกเขาถูกหมายให้ทำอย่างถูกที่ถูกทาง  พอฉันตั้งสติได้ ฉันก็หาคนมารับงานของน้องหลี่ได้อย่างรวดเร็ว และฉันก็ถวายคำขอบคุณแด่พระเจ้า  แม้ว่าคนใหม่จะไม่รู้หลักปฏิบัติจนฉันต้องทำงานหนักขึ้น ฉันก็รู้สึกมีสันติสุขและสบายใจ  ฉันพร้อมจะเสียสละเพื่อทำทุกอย่างที่ทำได้และฉันอธิษฐานกับพี่น้องชายหญิง ว่าจะทำงานคริสตจักรของพวกเราให้ดี

สองสัปดาห์ต่อมา ผู้นำของฉันพูดว่า “เราต้องการย้ายน้องจ้าวที่เป็นคนทำงานปรับปรุงแก้ไขเอกสาร ไปฏิบัติหน้าที่ในอีกคริสตจักรหนึ่ง”  พอได้ยินเรื่องนี้ฉันก็คิดว่า “ฉันต้องพิจารณางานโดยรวมของพระนิเวศของพระเจ้า  ฉันจะเห็นแก่ตัวไม่ได้อีกต่อไป  แต่ก็อีกนั่นแหละ พวกเราเพิ่งจะเริ่มฝึกฝนน้องสาวอีกคนให้ทำงานนี้ และเธอก็ไม่รู้หลักปฏิบัติ  งานของพวกเราจะต้องกระทบแน่  ให้น้องจ้าวอยู่ที่เดิมจะดีเสียกว่า”  ฉันรู้ตัวว่า ฉันกำลังคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองอีกแล้ว  ฉันคิดถึงเรื่องที่ฉันได้เดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ทำให้งานของคริสตจักรชะงักงันครั้งแล้วครั้งเล่า และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ฉันรู้สึกหวาดกลัวมากจริงๆ  ฉันคิดถึงพระวจะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง  จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน  อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง  เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง  ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่  เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้  จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี  หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ ประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และผลลัพธ์อาจไม่ดีมาก—แต่เจ้าจะได้ทุ่มความพยายามของเจ้าอย่างดีที่สุดแล้ว  เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังคิดถึงความพึงปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง หรือไม่ได้กำลังพิจารณาผลประโยชน์ของเจ้าเองในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำ และกำลังพิจารณางานในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คำนึงถึงผลประโยชน์ของการนั้น และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีแทน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะสะสมเพิ่มพูนความประพฤติดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ผู้คนที่ปฏิบัติความประพฤติดีเหล่านี้คือผู้ที่ครองความจริงความเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงได้เป็นคำพยาน(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางปฏิบัติแก่ฉัน  ฉันต้องคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและงานของคริสตจักร  ฉันไม่สามารถเห็นแก่ตัวและพยายามเก็บคนเก่งไว้กับตัวเองได้  ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นที่รัก ข้าพระองค์เห็นแก่ตัวและร้ายกาจมาตลอด คอยหยุดยั้งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ให้เลื่อนขั้นผู้คนและส่งผลกระทบต่องานของคริสตจักรเสมอ  ข้าพระองค์ไม่อยากต้านทานพระองค์อีกต่อไป  โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้ละทิ้งเนื้อหนังของตัวเองและปฏิบัติความจริงด้วยเถิด”  หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ไปพูดกับน้องจ้าวเรื่องการโยกย้ายเธอ  แม้ว่าเธอจะย้ายไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดเหมือนก่อน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับรู้สึกว่า เป็นความเมตตาและพระพรของพระเจ้าที่ทำให้ฉันสามารถจัดหาคนที่มีความสามารถพิเศษแบบนี้ให้แก่พระนิเวศของพระเจ้าได้  ฉันยังได้สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อีกด้วย และหัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยสันติสุขและความชื่นบาน  ขอขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 38. มองหาอิสรภาพจากสถานะ

ถัดไป: 40. การรักษาโรคริษยา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger