59. ฉันปล่อยวางความรู้สึกติดค้างที่มีต่อลูกๆ

โดย อี้ซาน ประเทศจีน

ในปี 2003 ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ ฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษที่ได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และอยากรีบบอกข่าวดีอันน่าอัศจรรย์นี้แก่พี่น้องชายหญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่พวกเขาทุกคนจะได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้น ฉันจึงรีบเข้าร่วมฝ่ายข่าวประเสริฐ

ในเดือนมีนาคม ปี 2004 ฉันไปที่พื้นที่อื่นเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเนื่องจากความจำเป็นของงาน ในตอนนั้น ฉันตั้งใจแน่วแน่มากและอยากออกไปประกาศข่าวประเสริฐโดยเร็วที่สุด เพื่อที่ฉันจะสามารถช่วยให้ผู้คนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้มากขึ้น แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันไปแล้วใครจะดูแลลูกสองคนของฉันล่ะ? ลูกสาวอายุ 13 ปี ส่วนลูกชายอายุ 12 ปี ฉันเลี้ยงพวกเขามาตั้งแต่ยังเล็ก สามีของฉันก็ยุ่งอยู่กับงานทั้งวันและไม่เคยแสดงออกว่าห่วงใยลูกๆ สักเท่าไร ถ้าฉันจากไปเพื่อทำหน้าที่ ใครจะคอยดูแลให้พวกเขามีอาหารกินครบสามมื้อ? ถ้าไม่มีใครดูแลลูกๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น สามีกับแม่สามีของฉันจะไม่หาว่าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของคนเป็นแม่เหรอ? ญาติๆ กับเพื่อนบ้านก็จะพากันพูดด้วยว่าฉันไม่ใช่แม่ที่ดี” พอคิดแบบนี้ ในใจของฉันก็รู้สึกแย่มาก เหมือนแบกภูเขาไว้ในอก ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากออกไปประกาศข่าวประเสริฐ แต่ข้าพระองค์ทิ้งลูกๆ ไว้ไม่ได้จริงๆ กลัวว่าพอข้าพระองค์ไปแล้วจะไม่มีใครดูแลพวกเขา ข้าพระองค์ควรปฏิบัติอย่างไร? ขอพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและชี้แนะข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้ใดเล่าสามารถสละตัวพวกเขาเองเพื่อเราและมอบถวายทั้งหมดทั้งปวงของพวกเขาเพื่อประโยชน์แห่งเราอย่างแท้จริงและอย่างสมบูรณ์?  พวกเจ้าทั้งปวงล้วนไม่ยินดียินร้าย ความคิดของพวกเจ้าวนไปวนมา โดยคิดถึงบ้าน ถึงโลกข้างนอก ถึงอาหารและเสื้อผ้า  ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือเจ้าอยู่ที่นี่เบื้องหน้าเรา ทำสิ่งต่างๆ เพื่อเรา แต่ลึกลงไปเจ้าก็ยังคงกำลังคิดถึงภรรยา ลูก และบิดามารดาของเจ้าที่บ้าน  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้าหรือไร?  เหตุใดเจ้าจึงไม่วางใจฝากพวกเขาไว้ในมือของเราเล่า?  เจ้าไม่วางใจในเราหรอกหรือ?  หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกกลัวว่าเราจะลงมือจัดการเตรียมการที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแห่งเนื้อหนังของเจ้าและรู้สึกเป็นห่วงผู้เป็นที่รักทั้งหลายของเจ้าอยู่เสมอ?  เรามีที่สักแห่งอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้างไหม?  เจ้ายังคงพูดคุยเกี่ยวกับการยอมให้เรามีอำนาจครอบครองภายในตัวเจ้าและจับจองการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้า—เหล่านี้ล้วนเป็นคำโกหกหลอกลวงทั้งหมด!  พวกเจ้ากี่คนกันที่ให้คำมั่นสัญญากับคริสตจักรอย่างสุดหัวใจ?  และผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ไม่คิดถึงตัวเอง แต่กำลังกระทำการเพื่อราชอาณาจักรของวันนี้?  จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบระมัดระวังให้มาก(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 59)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้าง และพระองค์ทรงปกครองชะตากรรมและครองอธิปไตยเหนือผู้คนทั้งปวง ดังนั้นลูกสองคนของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูกๆ ของฉันในอนาคตไว้แล้ว การที่ฉันกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้าและไว้วางใจมอบลูกๆ ของฉันไว้กับพระองค์ ดังนั้น ฉันจึงจัดการเรื่องลูกสองคนเรียบร้อยและออกไปทำหน้าที่อย่างสบายใจ

ในฤดูหนาวปี 2004 อากาศหนาวมาก ฉันได้ยินพี่น้องชายหญิงบางคนพูดว่าพวกเขาอยากซื้อเสื้อผ้ากันหนาวให้ลูกๆ และฉันก็เริ่มเป็นห่วงลูกสองคนของฉัน “อากาศหนาวแล้ว พวกเขาใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ หรือเปล่านะ? ถ้าพวกเขาเป็นหวัดจะทำยังไง?” ดังนั้นฉันจึงจัดแจงงานของฉันให้เรียบร้อยและกลับบ้าน เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันเห็นว่าลูกทั้งสองคนรู้จักทำอาหารและซักเสื้อผ้าเองแล้ว และทั้งคู่ก็มีสุขภาพแข็งแรงดีมาก ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่วางใจฝากพวกเขาไว้ในมือของเราเล่า?  เจ้าไม่วางใจในเราหรอกหรือ?  หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกกลัวว่าเราจะลงมือจัดการเตรียมการที่ไม่เหมาะสมกับเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงกังวลเกี่ยวกับครอบครัวแห่งเนื้อหนังของเจ้าและรู้สึกเป็นห่วงผู้เป็นที่รักทั้งหลายของเจ้าอยู่เสมอ?”  (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 59)  ฉันเคยมีความเชื่อน้อยเกินไป แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าลูกๆ ของฉันสบายดี ฉันก็สามารถปล่อยพวกเขาไปและทำหน้าที่ของฉันด้วยใจที่สงบ ต่อมา เมื่อฉันได้เจอลูกสองคนอีกครั้ง พวกเขาก็ตัวสูงขึ้น ไม่เพียงแต่พวกเขาจะช่วยพ่อขายของในร้านได้เท่านั้น แต่พวกเขายังเรียนรู้ที่จะสั่งของเข้าร้านอีกด้วย ทุกคนรอบตัวต่างก็ชมลูกสองคนว่ามีความสามารถและเก่งกาจ ฉันมีความสุขและขอบคุณพระเจ้ามาก หลังจากนั้น ฉันได้ประกาศข่าวประเสริฐให้ลูกสองคนของฉัน พวกเขายอมรับและอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่บ้าน

พอถึงปลายปี 2012 ฉันถูกจับกุมขณะประกาศข่าวประเสริฐอยู่นอกบ้าน ตำรวจทรมานฉันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้ฉันซัดทอดผู้นำคริสตจักร และในช่วงเวลานั้นก็คอยข่มขู่และคุกคามฉันอยู่ตลอด บอกว่าฉันเป็นนักโทษการเมืองเพราะเชื่อในพระเจ้า และคนในคดีแบบนี้จะถูกตัดสินจำคุกอย่างน้อยสามถึงเจ็ดปี เมื่อคิดว่าจะต้องถูกตัดสินจำคุกหลายปี ฉันก็ร้องไห้ไม่หยุด คิดในใจว่า “ลูกทั้งสองจะห่วงฉันไหมถ้ารู้ว่าฉันถูกจับ? ถ้าตำรวจรู้ว่าพวกเขาก็เชื่อในพระเจ้าด้วย ตำรวจจะจับพวกเขาด้วยหรือเปล่า? หลายปีมานี้ฉันไม่ได้ดูแลพวกเขาดีพอ ถ้าฉันทำให้พวกเขาเดือดร้อนไปด้วยล่ะก็…” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งเศร้า ไม่คาดคิดเลยว่าไม่กี่วันต่อมา ตำรวจก็พาฉันมาที่ประตูสถานกักกัน ฉันได้เจอลูกสาว และได้รู้ว่าลูกทั้งสองไปวิ่งเต้นหาคนและใช้เส้นสาย ต้องลำบากมากและใช้เงินไปเจ็ดถึงแปดหมื่นหยวนเพื่อประกันตัวฉันออกมาสู้คดี ทำให้ฉันได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเวลา 18 เดือน เมื่อฉันกลับถึงบ้าน สามีของฉันพูดว่า “ลูกสองคนวิ่งเต้นสารพัดเพื่อช่วยให้เธอได้ออกจากที่นั่น ตระเวนขอความช่วยเหลือไปทั่วอยู่ทุกวัน จนไม่มีกะจิตกะใจจะทำธุรกิจแล้ว พวกเขาเป็นห่วงและหวาดกลัวตลอดทั้งวัน กลัวว่าเธอจะถูกตำรวจทำร้ายจนตาย ลูกชายของเราบอกว่า ต่อให้ต้องขายทุกอย่างที่มี เขาก็จะช่วยเธอออกมาให้ได้” พอได้ยินสามีพูดแบบนั้น ฉันก็ร้องไห้ไม่หยุดเลย เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันออกจากบ้านไปทำหน้าที่ตอนที่ลูกๆ ยังเป็นวัยรุ่น หลายปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้ดูแลพวกเขาให้ดี และตอนนี้พวกเขายังต้องยอมเสียสละมากมายขนาดนี้เพื่อฉันอีก ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าฉันทำให้พวกเขาผิดหวัง และอยากจะอยู่บ้านดูแลพวกเขาให้ดีนับจากนี้ไป ช่วยพวกเขาดูแลลูกๆ และทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อชดใช้หนี้ที่ฉันรู้สึกว่าติดค้างพวกเขา ฉันไม่คาดคิดเลยว่าพอฉันอยู่บ้านได้เพียงสิบวัน ตำรวจห้าหกคนก็บุกเข้ามาในบ้านและจับกุมฉัน พาฉันไปที่สถานกักกันอีกครั้ง พวกเขาทรมานและสอบปากคำฉันเป็นเวลาหกวัน แต่ก็ปล่อยฉันไปโดยที่ฉันไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเลย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตำรวจจับ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกจากบ้านและไปทำหน้าที่ที่อื่น

ครั้งหนึ่ง ฉันเขียนจดหมายไปหาลูกสาวเพื่อถามไถ่เรื่องที่บ้าน ลูกสาวบอกว่าตั้งแต่ฉันออกจากบ้านไป ตำรวจก็มาที่บ้านหลายครั้งเพื่อบังคับให้พวกเขาเปิดเผยที่อยู่ของฉัน งานของลูกชายถูกรัฐบาลสั่งให้หยุด และลูกสาวของฉันก็เลิกเข้าร่วมการชุมนุมและหยุดทำหน้าที่ของเธอเพราะการที่ฉันถูกจับกุมนั้นทำให้เธอเสี่ยงอันตราย เมื่อเวลาผ่านไป ลูกสาวของฉันก็อ่อนแอลง และลูกชายของฉันก็ไม่อยากไปร่วมการชุมนุมอีกต่อไป หลังจากอ่านจดหมาย ฉันรู้สึกทุกข์ใจมาก และคิดในใจว่า “ถ้าลูกสองคนของฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ในอนาคตพวกเขาจะไม่มีจุดจบที่ดีไม่ใช่เหรอ? ถ้าฉันอยู่ที่บ้านและสามัคคีธรรมพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา พวกเขาก็จะยังสามารถเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควรได้ไม่ใช่เหรอ? ฉันใช้เวลาแต่ละวันอยู่ในพื้นที่อื่นเพื่อประกาศข่าวประเสริฐให้คนอื่น แต่ตอนนี้ลูกๆ ของฉันเองกลับอ่อนแอ และฉันก็ไม่ได้ช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนพวกเขาอย่างถูกควรเลย ฉันเป็นแม่ที่ไม่ดีเลยจริงๆ” ในช่วงเวลานั้น สภาวะของฉันไม่ดี และไม่มีกะจิตกะใจจะทำหน้าที่เลย ผู้มาใหม่ไม่ได้รับการให้น้ำอย่างทันท่วงที ซึ่งทำให้บางคนเกิดความคิดลบขึ้นมา ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่พลิกสภาวะของตัวเองกลับมา มันจะเป็นอันตรายมาก ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจตัวเองและเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งจึงค้นหามาอ่าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนที่ใช้ชีวิตในสังคมแท้จริงนี้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเสียแล้ว  ไม่ว่าผู้คนมีการศึกษาหรือไม่ วัฒนธรรมดั้งเดิมมากมายก็ฝังแน่นอยู่ในความคิดและทรรศนะของพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ผู้หญิงต้องดูแลสามีและเลี้ยงลูกของตนให้เติบใหญ่ ต้องเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่เปี่ยมรัก อุทิศทั้งชีวิตของพวกเธอให้กับสามีและลูกๆ รวมถึงมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเขา ต้องแน่ใจว่าครอบครัวจะได้รับประทานอาหารสามมื้อต่อวัน ทำการซักล้าง ทำความสะอาด และทำงานบ้านทุกอย่างให้ดี  นี่คือมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก  ผู้หญิงทุกคนต่างคิดด้วยว่านี่เป็นหนทางที่ควรทำ หากไม่ทำเช่นนี้ เธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี และเธอได้ละเมิดมโนธรรมและมาตรฐานทางศีลธรรมแล้ว  การละเมิดมาตรฐานทางศีลธรรมเหล่านี้จะเป็นความหนักใจในมโนธรรมของคนบางคนอย่างมาก พวกเธอจะรู้สึกว่าตนทำให้สามีและลูกๆ ผิดหวัง และรู้สึกว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี  แต่หลังจากที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า ได้อ่านพระวจนะของพระองค์มากมาย เข้าใจความจริงบางประการ และมองเรื่องบางเรื่องได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าย่อมจะคิดว่า ‘ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและควรปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเช่นนี้ และสละตนเองเพื่อพระเจ้า’  ในยามนี้มีความขัดแย้งระหว่างการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก กับการทำหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่?  หากเจ้าต้องการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้เต็มเวลา แต่หากเจ้าต้องการทำหน้าที่ของตนให้เต็มเวลา เช่นนั้นเจ้าก็ไม่สามารถเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักได้  คราวนี้เจ้าจะทำเช่นไร?  หากเจ้าเลือกที่จะทำหน้าที่ของตนให้ดีและรับผิดชอบต่องานของคริสตจักร อุทิศตนให้พระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องล้มเลิกการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก  ตอนนี้เจ้าจะคิดอย่างไร?  ความขัดแย้งประเภทใดจะเกิดขึ้นในจิตใจของเจ้า?  เจ้าจะรู้สึกเหมือนเจ้าทำให้ลูกๆ และสามีของตนผิดหวังหรือไม่?  ความรู้สึกผิดและความไม่สบายใจนี้มาจากไหน?  เมื่อเจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเจ้าทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง?  เจ้าไม่มีสำนึกของความรู้สึกผิดหรือการตำหนิ เพราะเจ้าไม่ได้มีความจริงอยู่ในหัวใจหรือจิตใจแม้แต่น้อย  ดังนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าเข้าใจคืออะไร?  วัฒนธรรมดั้งเดิมกับการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักนั่นเอง  เพราะฉะนั้น มโนคติอันหลงผิดที่ว่า ‘หากฉันไม่ใช่ภรรยาที่ดีและไม่ใช่แม่ผู้เปี่ยมรัก ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีหรือคู่ควร’ ย่อมจะผุดขึ้นมาในจิตใจของเจ้า  เจ้าจะถูกมโนคติอันหลงผิดนี้พันธนาการและตีตรวนไว้นับแต่นั้น และจะยังคงเป็นเช่นนั้นแม้หลังจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตนแล้วก็ตาม  เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างการทำหน้าที่ของเจ้ากับการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรัก ในขณะที่เจ้าอาจฝืนใจเลือกการทำหน้าที่ของตน โดยอาจแสดงถึงการอุทิศตนให้พระเจ้าอยู่เล็กน้อย ทว่าเจ้าก็ยังคงมีความรู้สึกไม่สบายใจและการตำหนิอยู่ในหัวใจของตน  ด้วยเหตุนั้นเมื่อเจ้าพอมีเวลาว่างระหว่างการทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าจะมองหาโอกาสในการดูแลลูกๆ และสามีของเจ้า เจ้าต้องการชดเชยให้พวกเขามากยิ่งขึ้น และคิดว่าต่อให้เจ้าต้องทนทุกข์มากกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ตราบที่เจ้ามีสันติสุขแห่งจิตใจ  สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากอิทธิพลของแนวคิดและทฤษฎีทางวัฒนธรรมดั้งเดิมเกี่ยวกับการเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักหรือ?  ตอนนี้เจ้ากำลังจับปลาสองมือ เจ้าต้องการที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าด้วยดีแต่ก็ต้องการจะเป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ผู้เปี่ยมรักด้วย  แต่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพวกเรามีเพียงความรับผิดชอบและภาระผูกพันเดียว ภารกิจหนึ่งเดียวนั้นคือลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างถูกต้องเหมาะสม  เจ้าได้ลุล่วงหน้าที่นี้ด้วยดีแล้วหรือยัง?  เหตุใดเจ้าจึงพลัดหลงออกจากครรลองนี้อีกครั้ง?  ในหัวใจของเจ้าไม่มีสำนึกของการตำหนิหรือติเตียนอยู่จริงใช่หรือไม่?  เพราะความจริงยังไม่ได้วางรากฐานในหัวใจของเจ้า และยังไม่ได้เป็นใหญ่เหนือหัวใจของเจ้า เจ้าจึงยังสามารถพลัดหลงออกจากครรลองขณะที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าได้  แม้ในเวลานี้เจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้า แต่ที่จริงเจ้ายังคงห่างไกลจากมาตรฐานของความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้ามาก… การที่พวกเราสามารถเชื่อในพระเจ้าคือโอกาสที่พระองค์ประทานให้ นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้แล้ว และเป็นพระคุณของพระองค์  ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่จำเป็นจะต้องลุล่วงภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบต่อใครอื่น เจ้าพึงลุล่วงหน้าที่ต่อพระเจ้าที่เจ้าควรลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น  นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องทำเหนือสิ่งอื่นใด เป็นเรื่องหลักและเป็นงานที่สำคัญที่สุดที่ผู้คนควรทำให้สำเร็จลุล่วงในชีวิต  หากเจ้าไม่ทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วงด้วยดี เจ้าก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่เป็นไปตามมาตรฐาน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่ผิดของตนเท่านั้น)  จากการเปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันถูกวัฒนธรรมดั้งเดิมพันธนาการไว้แน่นเกินไป ฉันเคยเชื่อว่าแม่ที่ดีต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกๆ ดูแลให้พวกเขามีอาหารกินครบสามมื้อ และดูแลทุกอย่างในชีวิตของพวกเขาควบคู่ไปกับงานบ้าน การทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่เปี่ยมรักได้ ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เพราะเท่ากับได้ละเมิดมโนธรรมและมาตรฐานทางศีลธรรม หลายปีที่ผ่านมา ฉันยึดถือการเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่เปี่ยมรักเป็นมาตรฐานของผู้หญิงดีมาโดยตลอด ไม่ว่าฉันจะต้องทนทุกข์เพื่อลูกๆ มากแค่ไหน ฉันก็เชื่อว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา และฉันก็เต็มใจอย่างที่สุดที่จะยอมทำงานหนักเยี่ยงทาสไปตลอดชีวิตเพื่อลูกๆ ฉันคิดว่าการทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะถือว่าได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบในฐานะแม่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จับกุม ลูกสองคนของฉันต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อฉัน ธุรกิจของพวกเขาต้องหยุดชะงัก ทั้งยังต้องมาคอยเป็นห่วงและหวาดกลัวอีกด้วย ฉันยิ่งรู้สึกติดค้างลูกๆ มากขึ้นไปอีก ฉันคิดว่าฉันดูแลพวกเขาได้ไม่ดีพอและทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์เพื่อฉันมากมาย ดังนั้นฉันจึงอยากทำงานให้พวกเขามากขึ้นและช่วยพวกเขาดูแลลูกๆ เพื่อพยายามชดเชยให้พวกเขาอย่างสุดความสามารถ เมื่อฉันได้ยินว่าลูกสาวไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมหรือทำหน้าที่ของเธอได้เพราะการที่ฉันถูกจับ ลูกชายฉันตกงาน ส่วนลูกสะใภ้ก็ยังมาขัดขวางและข่มเหงเขาอีก ส่งผลให้เขาหมดใจที่จะเชื่อในพระเจ้า ฉันก็เชื่อว่าฉันล้มเหลวในความรับผิดชอบของตัวเองเพราะฉันไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงจมอยู่กับการตำหนิตัวเองและไม่มีกะจิตกะใจจะทำหน้าที่เลย ผู้มาใหม่ที่ฉันรับผิดชอบให้น้ำไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำได้เพราะความคิดลบและความอ่อนแอ แต่ฉันก็ไม่ได้รีบหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องมาเพื่อแก้ไขปัญหาของพวกเขา ตรงกันข้าม ในหัวของฉันกลับเต็มไปด้วยความคิดว่าจะกลับบ้านไปดูแลลูกๆ ได้อย่างไร เพราะมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของฉัน ฉันจึงกลับบ้านไม่ได้ และรู้สึกอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าฉันติดค้างลูกๆ ในขณะที่หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ฉันถือว่าการเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่เปี่ยมรักนั้นสำคัญยิ่งกว่าการได้รับความจริง การทำหน้าที่ และการได้รับความรอดเสียอีก แม้ว่าฉันจะละทิ้งครอบครัวและงานไว้เบื้องหลังเพื่อทำหน้าที่มาตลอดหลายปีนี้ แต่ความคิดและทัศนะของฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ฉันไม่ได้คิดว่าจะลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร แต่กลับไล่ตามการเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่เปี่ยมรักแทน ฉันเกือบจะทำลายหน้าที่และโอกาสที่จะได้รับความรอดของตัวเองไปแล้ว ฉันช่างตาบอดและโง่เขลาอะไรเช่นนี้! เมื่อคิดย้อนกลับไป ฉันได้พูดคุยกับลูกๆ เรื่องการเชื่อในพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง และได้นำพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว ดังนั้นฉันจึงได้ทำหน้าที่ของฉันเสร็จสิ้นและไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเขาเลย ความทุกข์ทรมานที่ลูกๆ ของฉันต้องเผชิญนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากพรรคคอมมิวนิสต์ต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะการข่มเหงและการจับกุมผู้ที่เชื่อในพระเจ้าของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันก็คงได้กลับบ้านไปดูแลพวกเขาแล้ว ฉันควรจะเกลียดพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะพรรคคอมมิวนิสต์คือผู้ที่นำความทุกข์ทรมานมาสู่ฉันและลูกๆ แต่ฉันกลับโทษทุกอย่างว่าเป็นความผิดของตัวเอง และยืนกรานว่าที่ลูกๆ ของฉันต้องทนทุกข์เช่นนี้ก็เพราะฉันผู้เป็นแม่ที่ดูแลพวกเขาได้ไม่ดีพอ ฉันช่างโง่เขลาและมองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่งเอาเสียเลย! เมื่อฉันเข้าใจเรื่องนี้ สภาวะของฉันก็ดีขึ้นบ้าง ฉันสามารถอุทิศหัวใจให้กับหน้าที่ของฉันได้ และผู้มาใหม่ที่คิดลบและอ่อนแอเหล่านั้นก็สามารถกลับมาร่วมการชุมนุมได้ตามปกติ

ในปี 2023 ฉันถูกยูดาสคนหนึ่งทรยศและตำรวจก็พยายามจะจับกุมฉันอยู่ตลอด ในเดือนมกราคม ปี 2024 ตำรวจโทรหาลูกสาวของฉันและบอกให้เธอไปที่สถานีตำรวจ ลูกสาวของฉันคิดว่าฉันถูกจับอีกครั้งจึงรีบร้อนไปยังสถานีตำรวจด้วยความตื่นตระหนก ไม่นึกเลยว่าตำรวจจะบังคับให้ลูกสาวฉันเซ็น “ถ้อยแถลงสามฉบับ” เพื่อปฏิเสธและทรยศพระเจ้า และยังข่มขู่คุกคามเธออีกด้วย ลูกสาวของฉันมองเล่ห์กลของซาตานไม่ออกและได้เซ็น “ถ้อยแถลงสามฉบับ” ไป เมื่อได้ยินข่าวนั้น ฉันก็รู้สึกเศร้าใจมาก คิดในใจว่า “ลูกสาวของฉันเป็นคนเชื่อฟังและมีเหตุผล และเธอไม่เคยห้ามไม่ให้ฉันเชื่อในพระเจ้าเลย ตอนที่ฉันถูกตำรวจจับ เธอก็ไม่สามารถไปร่วมการชุมนุมหรือทำหน้าที่ของเธอได้เพราะเสี่ยงที่จะถูกจับกุม หลังจากนั้น เธอก็ถูกสามีและพ่อสามีตีกรอบ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ เธอจึงไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควรและใช้ชีวิตอยู่กับการไล่ตามเงินทอง ผลก็คือ เธอไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกควรหรือทำหน้าที่ของเธอเลย คริสตจักรได้เอาตัวเธอออกไปแล้วในฐานะผู้ไม่เชื่อ ตอนนี้ เธอยังมาเซ็น ‘ถ้อยแถลงสามฉบับ’ อีก ซึ่งหมายความว่าเธอได้สูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดไปจนหมดแล้ว” พอคิดแบบนี้ ฉันก็สุดที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ ถ้าฉันสามารถกลับบ้านไปดูลูกๆ เป็นประจำและสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขาบ่อยขึ้นได้ บางทีลูกสาวของฉันอาจจะเข้าใจความจริงมากขึ้นและคงไม่เซ็น “ถ้อยแถลงสามฉบับ” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกล่าวโทษตัวเอง ในช่วงหลายวันนั้น ฉันไม่อยากทำอะไรเลย และไม่มีกะจิตกะใจจะทำหน้าที่ของตัวเองด้วย ฉันตระหนักว่าสภาวะของฉันไม่ดี ดังนั้นฉันจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์

หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า “ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากพวกเขาเป็นคนประเภทใด พวกเขาก็จะเดินในเส้นทางประเภทนั้น  นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนมิใช่หรือ?  (ใช่)  เส้นทางที่คนคนหนึ่งเดินจะกำหนดว่าพวกเขาเป็นอย่างไร  เส้นทางที่พวกเขาเดินและประเภทของคนที่พวกเขากลายเป็นนั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า เป็นมาแต่กำเนิด และเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติของบุคคลผู้นั้น  แล้วการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่มีประโยชน์อะไร?  การอบรมสั่งสอนนั้นสามารถควบคุมธรรมชาติของคนได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมธรรมชาติของมนุษย์ได้ และไม่สามารถแก้ปัญหาที่ว่าคนเราจะเดินในเส้นทางใด  พ่อแม่สามารถให้การอบรมสั่งสอนได้เฉพาะเรื่องใด?  มีเพียงพฤติกรรมที่เรียบง่าย บางอย่างในชีวิตประจำวันของลูกๆ ของพวกเขา ความคิดที่ค่อนข้างผิวเผิน และกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ—เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับพ่อแม่อยู่บ้าง  ก่อนที่ลูกๆ ของพวกเขาจะบรรลุนิติภาวะ พ่อแม่ก็ควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่ตนพึงมี นั่นคือการอบรมสั่งสอนให้ลูกๆ เดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ศึกษาเล่าเรียนอย่างหนักและเพียรพยายามเพื่อที่จะสามารถขึ้นไปอยู่เหนือผู้อื่นได้หลังจากที่เติบใหญ่ขึ้น และไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีหรือกลายเป็นคนที่ไม่ดี  พ่อแม่ควรควบคุมพฤติกรรมของลูกๆ ของตนเช่นกัน สอนให้พวกเขามีความสุภาพและทักทายผู้อาวุโสของพวกเขาเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอผู้อาวุโส และสอนสิ่งอื่นๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมแก่พวกเขา—นี่คือความรับผิดชอบที่พ่อแม่ควรลุล่วง  การดูแลชีวิตของลูกและอบรมสั่งสอนพวกเขาด้วยกฎเกณฑ์พื้นฐานบางอย่างในการประพฤติปฏิบัติตน—นั่นคือทั้งหมดที่อิทธิพลของพ่อแม่ทำได้  ส่วนบุคลิกของลูกนั้น พ่อแม่ไม่สามารถสอนสิ่งนี้ได้  พ่อแม่บางคนเป็นคนสบายๆ และทำทุกอย่างด้วยจังหวะที่เชื่องช้า ในขณะที่ลูกๆ ของพวกเขากลับใจร้อนมากและไม่สามารถอยู่เฉยได้แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆ  พวกเขาออกไปทำมาหากินด้วยตัวเองเมื่ออายุ 14 หรือ 15 ปี ตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ต้องการพ่อแม่ และยืนหยัดได้ด้วยตนเองอย่างมาก  นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ของพวกเขาสอนมาหรือ?  ไม่ใช่  เพราะฉะนั้น บุคลิก อุปนิสัย และแม้กระทั่งแก่นแท้ของคนคนหนึ่ง ตลอดจนเส้นทางที่พวกเขาเลือกในอนาคต ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของพวกเขาแต่อย่างใด… เส้นทางในชีวิตที่คนคนหนึ่งเดินนั้นไม่ได้ถูกกำหนดโดยพ่อแม่ แต่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  มีคำกล่าวว่า ‘ชะตากรรมของมนุษย์มีสวรรค์เป็นผู้ลิขิต’ และคำกล่าวนี้ก็สรุปได้จากประสบการณ์ของมนุษย์  ก่อนที่คนคนหนึ่งจะบรรลุนิติภาวะ เจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาจะเดินในเส้นทางใด  เมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ใหญ่ และมีความคิดและสามารถคิดทบทวนปัญหาได้ พวกเขาจะเลือกสิ่งที่ทำในชุมชนที่กว้างขึ้น  บางคนกล่าวว่าพวกเขาต้องการเป็นข้าราชการระดับสูง คนอื่นๆ กล่าวว่าพวกเขาต้องการเป็นทนายความ และยังมีคนอื่นๆ ที่กล่าวว่าพวกเขาต้องการเป็นนักเขียน  ทุกคนต่างมีทางเลือกของตนเองและแนวคิดของตนเอง  ไม่มีใครบอกว่า ‘ฉันจะรอให้พ่อแม่สอนก็แล้วกัน  ฉันจะกลายเป็นอะไรก็แล้วแต่ที่พ่อแม่ของฉันสอนให้ฉันเป็น’  ไม่มีใครโง่เขลาเช่นนี้  หลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว แนวคิดของผู้คนก็เริ่มตื่นตัวและค่อยๆ เติบโตเต็มที่ และด้วยเหตุนั้นเส้นทางและเป้าหมายเบื้องหน้าพวกเขาจึงยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยชัดเจนและมองเห็นได้ ทีละน้อยว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด และพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใด  นับจากจุดนี้เป็นต้นไป บุคลิกของแต่ละคนก็จะค่อยๆ ถูกนิยามอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับอุปนิสัยของพวกเขา ตลอดจนเส้นทางที่พวกเขากำลังไล่ตามเสาะหา ทิศทางในชีวิตของพวกเขา และกลุ่มที่พวกเขาเป็นสมาชิก  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากพื้นฐานใด?  ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า—ไม่เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของคนเรา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง))  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่าเส้นทางที่ลูกๆ จะเดินนั้นไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่สามารถตัดสินใจหรือเปลี่ยนแปลงได้ มันถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเอง และไม่เกี่ยวข้องกับการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่เลย ฉันคิดถึงเรื่องที่ลูกสาวของฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงก่อนที่จะเซ็น “ถ้อยแถลงสามฉบับ” และทันทีที่ธุรกิจของเธอยุ่ง เธอก็ไม่ไปร่วมการชุมนุมหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของเธอ เธอมุ่งเน้นไปที่การไล่ตามเงินทองและการไล่ตามกระแสชั่วของโลก ผู้นำได้สามัคคีธรรมกับเธอหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่กลับใจ ดังนั้นคริสตจักรจึงเอาตัวลูกสาวของฉันออกไปในฐานะผู้ไม่เชื่อโดยดูจากพฤติกรรมที่เธอทำมาสม่ำเสมอ ตอนนี้เมื่อเธอได้เซ็น “ถ้อยแถลงสามฉบับ” ไปแล้ว เธอก็ได้เผยให้เห็นจนหมดเปลือกว่าแก่นแท้ของเธอนั้นเป็นของผู้ไม่เชื่อ การที่เธอไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่เดินในเส้นทางที่ถูกต้องนั้นถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติของเธอเอง และไม่เกี่ยวข้องกับฉันผู้เป็นแม่เลย การที่ลูกๆ ของฉันลงเอยในสภาวะเช่นนี้ก็เพราะโดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาไม่ได้รักความจริงและไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง จะโทษใครอื่นก็ไม่ได้ และไม่ใช่ว่าถ้าฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังมากขึ้นแล้ว พวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังและเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขารังเกียจความจริงและไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้น ต่อให้ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาทุกวัน ฉันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นแท้ของพวกเขาหรือเส้นทางที่พวกเขาเดินได้ เมื่อฉันมองดูลูกๆ ตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็รู้สึกเป็นอิสระในหัวใจขึ้นเยอะ ฉันไม่รู้สึกติดค้างพวกเขาอีกต่อไป และไม่ถูกรบกวนในการทำหน้าที่ของฉันอีกแล้ว ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 57. เมื่อแม่ถูกจองจำ

ถัดไป: 91. การไล่ตามไขว่คว้า ชีวิตสมรสที่เพียบพร้อม นำไปสู่ความสุขหรือไม่?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger