6. วันคืนที่ทุกข์ระทมจากการเข้าใจพระเจ้าผิด

ในปี 2017 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ช่วงแรกฉันสร้างผลงานในหน้าที่ได้บ้าง แต่ต่อมาฉันอยากได้พรของการมีสถานะอย่างมากและเลิกทำงานจริง แถมฉันไม่ได้ติดตามงานคริสตจักร โดยอ้างว่าตัวเองมีขีดความสามารถต่ำและไม่เข้าใจทักษะเฉพาะทาง เมื่อพี่น้องหญิงจูเลียซึ่งเป็นผู้นำระดับสูงถามฉันเรื่องงาน ฉันก็ตอบเธอไม่ได้เลย และก็ไม่เข้าใจความลำบากยากเย็นที่พี่น้องชายหญิงเผชิญในการทำหน้าที่ของตัวเอง จากนั้นจูเลียก็ชี้ให้ฉันเห็นปัญหาของตัวเองเพื่อช่วยเหลือฉัน แต่ฉันกลับไม่ใส่ใจเลย เธอเปิดโปงฉันต่อหน้ามัคนายกหลายคนอยู่สองสามครั้ง โดยบอกว่าฉันไม่ได้ทำงานจริง ย่อหย่อนในหน้าที่ หลอกลวงเกินไป และอื่นๆ ฉันนึกว่าจูเลียพยายามทำให้ฉันลำบากและอับอายต่อหน้าคนอื่น ฉันเลยเริ่มต่อต้านในใจ

ครั้งหนึ่งระหว่างการชุมนุม ฉันพบข้อผิดพลาดบางอย่างในงานของจูเลีย ฉันเลยตัดสินเธอต่อหน้าพี่น้องชายหญิง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาหลงคิดว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ สิ่งที่ฉันทำนั้นรบกวนงานของคริสตจักร หลังจากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ฉันก็กังวลว่าจะโดนผู้นำตัดแต่งและปรับเปลี่ยนหน้าที่ จึงรีบไปขอโทษจูเลีย แล้วก็ชำแหละและทบทวนตนเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง ฉันนึกว่าเรื่องนี้จะผ่านไปง่ายๆ แบบนั้น แต่นึกไม่ถึงว่าไม่กี่วันต่อมา ผู้นำระดับสูงเข้ามาคุยกับฉัน โดยบอกว่าการที่ฉันล้มเหลวในการทำงานจริงนั้นเป็นการละเลยที่ร้ายแรงอยู่แล้ว และบอกว่าฉันไม่ยอมรับการถูกตัดแต่งและแอบบ่อนทำลายผู้อื่นด้วย สิ่งนี้กำลังรบกวนงานของคริสตจักร หลังจากได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ยอมรับไม่ค่อยได้และยังคงโต้แย้งในใจว่า ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากทำงานจริง แต่ฉันมีขีดความสามารถต่ำเกินกว่าจะทำได้ ส่วนเรื่องแอบบ่อนทำลายผู้อื่น ฉันก็ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองไปแล้ว ฉันได้ขอโทษจูเลียและชำแหละความเสื่อมทรามของตัวเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิงแล้ว แล้วทำไมคุณถึงยังยึดติดกับเรื่องนี้นัก? ในตอนนั้นไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคีธรรมกับฉันยังไง ฉันก็ไม่อาจยอมรับได้ ดังนั้นเมื่อดูจากสภาวะของฉัน ผู้นำคนหนึ่งจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ให้ฉันฟังว่า “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร  สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกขับไล่และกำจัดออกไป  ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้น หากผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเขาจะไม่เพียงแค่ไร้ความสามารถที่จะทำงานใดๆ เพื่อพระองค์ได้เท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่รบกวนพระราชกิจของพระองค์และพวกที่ท้าทายพระองค์  การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่นบนอบหรือยำเกรงพระองค์ และกลับต่อต้านพระองค์แทนนั้น เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อ  หากผู้เชื่อทั้งหลายแค่ทำตามใจชอบและไม่ระงับยับยั้งคำพูดและการประพฤติปฏิบัติตนเหมือนที่ผู้ไม่มีความเชื่อเป็นแล้วไซร้ พวกเขาก็เลวยิ่งกว่าผู้ไม่มีความเชื่อเสียอีก พวกเขาคือปีศาจขนานแท้  บรรดาผู้ที่พรั่งพรูการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร  ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกกำจัดออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัวในใจ โดยรู้ว่าการตัดสินจูเลียได้ก่อให้เกิดการรบกวนงานของคริสตจักรจริงๆ แต่เมื่อฉันได้ยินถ้อยคำอย่าง “สมุนของซาตาน” “รบกวนคริสตจักร” “ถูกขับไล่” และ “ถูกกำจัด” ฉันก็ไม่กล้ายอมรับสิ่งเหล่านั้น โดยกลัวว่าหากยอมรับ ผลที่ตามมาคือฉันจะถูกกล่าวโทษไม่ใช่หรือ? แล้วฉันจะได้รับความรอดได้ยังไงล่ะ? ฉันไม่อยากยอมรับข้อเท็จจริงนี้ ฉันจึงพร่ำบ่นผู้นำ โดยคิดว่าเธอจงใจใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อโจมตีและกล่าวโทษฉัน ฉันเริ่มรู้สึกอ่อนไหวมากและพูดว่า “คุณไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงเพื่อช่วยฉันแก้ปัญหาเลย! คุณแค่โจมตีฉัน!” ผู้นำตระหนักว่าฉันไม่รู้จักตัวเองเลย และสามัคคีธรรมต่อไปเพื่อช่วยฉัน พวกเขาสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตัวเองด้วยเพื่อชี้นำให้ฉันเข้าใจตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร ฉันก็ยังคงไม่เข้าใจ ในที่สุดเมื่อพวกเขาเห็นว่าฉันไม่ได้ทำงานจริงใดเลย เห็นว่าฉันไม่ยอมรับความจริงด้วย และไม่มีท่าทีกลับใจด้วยซ้ำไป ผู้นำระดับสูงก็ปลดฉัน

วินาทีนั้น ฉันเข่าอ่อนทันที ฉันนึกถึงว่าฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าสิบปี และไม่ใช่ผู้เชื่อใหม่ที่เพิ่งเชื่อมาแค่สองหรือสามปี ตอนนี้พระราชกิจของพระเจ้าใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะเผยและจำแนกผู้คนตามประเภท ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ฉันถูกเผยว่าเป็นคนที่ไม่ยอมรับความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันถูกกำจัดไปแล้วหรือ? ฉันกลัวว่าจากจุดนี้เป็นต้นไป การทุ่มเทมากขึ้นในความเชื่อของตัวเองจะไร้ประโยชน์ และกลัวว่าฉันจะไม่มีอนาคต ฉันรู้สึกเป็นลบมาก สภาวะของฉันแย่ลงทุกวัน ฉันรู้สึกเหมือนคนไม่เอาไหนที่ทำหน้าที่ใดๆ ได้ไม่ดีเลย การรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง ทำให้หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกลัวและความกระสับกระส่ายทุกวัน แม้ว่าพี่น้องชายหญิงจะยังคงสามัคคีธรรมกับฉันเรื่องเจตนารมณ์ของพระเจ้า กระตุ้นให้ฉันทบทวนตนเองและเรียนรู้จากความล้มเหลวของตัวเอง แต่ฉันก็ยังเชื่อหัวชนฝาว่า ฉันถูกเผยไปแล้วว่าเป็นคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันเลยคิดว่าจะเสียเวลาเปล่าถ้าไล่ตามเสาะหาต่อไป ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบหมายหน้าที่อะไรให้ฉัน ฉันก็เริ่มจัดการด้วยความคิดลบและความเฉยเมย ทำแบบสุกเอาเผากินและแทบไม่บรรลุผลสำเร็จเลย ในที่สุด ผู้นำก็หยุดหน้าที่ของฉันตามหลักธรรมและโดดเดี่ยวฉันเพื่อให้ไปคิดทบทวน ในช่วงเวลานั้น จิตใจของฉันว่างเปล่า รู้สึกเหมือนถูกตัดสินประหารชีวิต ฉันตระหนักว่าฉันจบเห่แล้ว เมื่อไม่มีหน้าที่ ฉันจะมีหวังบรรลุความรอดได้อย่างไร? ในช่วงเวลานั้น ฉันใช้ชีวิตเหมือนซากศพเดินได้ รู้สึกบ่อยครั้งว่าถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ ฉันรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะอธิษฐาน และรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า ในตอนนั้น มีพี่น้องชายหญิงที่คอยเกื้อหนุนฉันและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟัง อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้ามีไว้สำหรับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ใช่สำหรับฉัน ฉันเลยไม่อาจซึมซับพระวจนะของพระองค์ได้เลย องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ตรัสไว้หรือว่า “อย่าให้ของบริสุทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร”? แล้วพระเจ้าจะตรัสกับคนอย่างฉันได้อย่างไร? ในช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกกลัวและกระสับกระส่ายทุกวัน หากพระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันแล้วจริงๆ ฉันจะอยู่ไปเพื่ออะไร? ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ตายจากการโดนลงโทษสักอย่างไปในวันใดวันหนึ่งเลยก็ได้นะ หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกลัว ดิ้นรนจากความทรมานทุกวัน ต่อมามีบางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ฉันประทับใจมาก

ฉันหางานพี่เลี้ยงเด็กได้ ซึ่งนายจ้างของฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดีและดูแลฉันเป็นอย่างดีในชีวิต ด้วยกำลังใจจากสิ่งนี้ ฉันจึงแบ่งปันข่าวประเสริฐกับนายจ้างของฉัน ซึ่งก็ยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าอย่างชื่นบานยินดี ฉันตื่นเต้นมาก จากประสบการณ์นี้ ฉันได้ตระหนักว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งฉัน แต่ยังคงทรงแสดงความกรุณาและทรงช่วยให้ฉันรอด ฉันรู้สึกผิดอย่างมากและร้องเสียงดังถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากคิดลบเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด!” ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “เมื่อบางคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมองเห็นพระเจ้าทรงกล่าวโทษผู้คนในพระวจนะของพระองค์ พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและรู้สึกขัดแย้ง  ตัวอย่างเช่น พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่าเจ้าไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่โปรดเจ้าและไม่ทรงยอมรับเจ้า เจ้าเป็นคนทำชั่ว เป็นศัตรูของพระคริสต์ แค่ทรงมองดูเจ้าพระองค์ก็ไม่สบพระทัย และพระองค์ไม่ต้องประสงค์เจ้า  ผู้คนอ่านพระวจนะเหล่านี้และคิดว่า ‘พระวจนะเหล่านี้มุ่งเป้ามาที่ฉัน  พระเจ้าตกลงพระทัยว่าพระองค์ไม่ต้องประสงค์ฉัน และเนื่องจากพระเจ้าทรงทอดทิ้งฉันแล้ว ฉันก็จะไม่เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไปเช่นกัน’  มีผู้ที่เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็มักจะสร้างมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดขึ้นมาบ่อยๆ เพราะพระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะอันเสื่อมทรามของผู้คนและตรัสบางสิ่งที่กล่าวโทษผู้คน  พวกเขากลายเป็นลบและอ่อนแอ คิดว่าพระวจนะของพระเจ้าชี้ตรงไปที่ตน คิดว่าพระเจ้าทรงวางมือจากพวกเขาและจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พวกเขากลายเป็นลบจนถึงขั้นมีน้ำตาและไม่ต้องการติดตามพระเจ้าอีกต่อไป  อันที่จริงนี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด  เมื่อเจ้าไม่เข้าใจความหมายของพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็ไม่ควรที่จะพยายามพรรณนาพระเจ้า  เจ้าไม่รู้ว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าทรงทอดทิ้ง หรือภายใต้สถานการณ์ใดที่พระองค์ทรงละทิ้งผู้คน หรือภายใต้สถานการณ์ใดที่พระองค์ทรงเลิกสนพระทัยผู้คน มีหลักธรรมและบริบทที่เป็นที่มาของทั้งหมดนี้  หากเจ้าไม่มีความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องที่ละเอียดลออเหล่านี้โดยครบถ้วน เจ้าย่อมจะโน้มเอียงมากที่จะเกิดความรู้สึกไวเกินไป และเจ้าจะจำกัดตนเองตามพระวจนะหนึ่งคำจากพระเจ้า  นั่นเป็นปัญหามิใช่หรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาผู้คน สิ่งใดคือแง่มุมสำคัญของพวกเขาที่พระองค์ทรงกล่าวโทษ?  สิ่งที่พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คน  พระองค์ทรงกล่าวโทษอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา พระองค์ทรงกล่าวโทษการสำแดงและพฤติกรรมต่างๆ ของความเป็นกบฏและการต่อต้านพระเจ้าของพวกเขา พระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาที่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้า ที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ และที่มีแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายของตนเองอยู่เป็นนิจ—แต่การกล่าวโทษเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งผู้คนที่มีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน… จากการได้ยินถ้อยแถลงในการกล่าวโทษจากพระเจ้าครั้งเดียว เจ้าก็คิดว่าผู้คนที่ถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาย่อมถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้ง และจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป และเพราะเหตุนี้เจ้าจึงกลายเป็นคนคิดลบ และทอดทิ้งตนเองให้สิ้นหวัง  นี่คือการตีความพระเจ้าผิด  อันที่จริงพระเจ้าไม่เคยทรงทอดทิ้งผู้คน  พวกเขาตีความพระเจ้าผิดและทอดทิ้งตนเอง  ไม่มีสิ่งใดคอขาดบาดตายไปกว่ายามที่ผู้คนทอดทิ้งตนเอง ดังที่ลุล่วงไว้ในพระวจนะในพันธสัญญาเดิมว่า ‘คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก’ (สุภาษิต 10:21)  ไม่มีพฤติกรรมใดโง่เขลาไปกว่าการที่ผู้คนทอดทิ้งตนเองให้สิ้นหวัง  บางครั้งเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าซึ่งดูเหมือนจะพรรณนาผู้คน ทว่าที่จริงพระวจนะเหล่านั้นมิได้พรรณนาผู้ใดเลย แต่เป็นการแสดงออกถึงเจตนารมณ์และความคิดเห็นของพระเจ้า  เหล่านี้คือพระวจนะแห่งความจริงและหลักธรรม พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้พรรณนาผู้ใด  พระวจนะที่พระเจ้าดำรัสในช่วงเวลาแห่งพระโมหะหรือพระพิโรธยังเป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยของพระเจ้าอีกด้วย พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง และยิ่งไปกว่านั้นพระวจนะเหล่านี้เป็นของหลักธรรม  ผู้คนต้องเข้าใจเรื่องนี้  จุดประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสเช่นนี้คือเพื่ออนุญาตให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเข้าใจหลักธรรม แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพื่อจำกัดผู้ใด  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบั้นปลายและบำเหน็จสุดท้ายของผู้คน และยิ่งไม่เกี่ยวกับการลงโทษผู้คนในขั้นสุดท้าย  นี่เป็นเพียงพระวจนะที่ตรัสเพื่อพิพากษาและตัดแต่งผู้คนเท่านั้น พระวจนะเหล่านี้คือผลแห่งพระโมหะที่ผู้คนไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ และถ้อยคำเหล่านี้ถูกตรัสออกมาเพื่อปลุกผู้คนให้ตื่น เพื่อกระตุ้นเตือนพวกเขา อีกทั้งเป็นพระวจนะที่มาจากพระทัยของพระเจ้า  แต่กระนั้นบางคนก็ล้มลงและละทิ้งพระเจ้าเพราะถ้อยแถลงของการพิพากษาจากพระเจ้าเพียงครั้งเดียว  ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ยอมใช้เหตุผล พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถออกเดินไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่ง… (1))  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาจากการโทษตัวเอง รู้สึกราวกับว่าพระเจ้ากำลังทรงชูใจฉันแบบซึ่งๆ หน้า โดยเฉพาะเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “นี่เป็นเพียงพระวจนะที่ตรัสเพื่อพิพากษาและตัดแต่งผู้คนเท่านั้น พระวจนะเหล่านี้คือผลแห่งพระโมหะที่ผู้คนไม่เป็นไปตามความคาดหวังของพระองค์ และถ้อยคำเหล่านี้ถูกตรัสออกมาเพื่อปลุกผู้คนให้ตื่น เพื่อกระตุ้นเตือนพวกเขา อีกทั้งเป็นพระวจนะที่มาจากพระทัยของพระเจ้า  แต่กระนั้นบางคนก็ล้มลงและละทิ้งพระเจ้าเพราะถ้อยแถลงของการพิพากษาจากพระเจ้าเพียงครั้งเดียว  ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ยอมใช้เหตุผล พวกเขาไม่ยอมรับความจริงเลย”  พระวจนะของพระเจ้าปลุกฉันให้ตื่น หลังจากทบทวนท่าทีของตัวเองต่อพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าตอนที่ผู้นำอ่านพระวจนะแห่งการเปิดโปงและกล่าวโทษจากพระเจ้าให้ฉันฟัง ฉันรู้สึกถูกตัดสินว่าผิด หัวใจของฉันต่อต้านเกินกว่าจะยอมรับการพิพากษาและการเปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้า ณ จุดนี้ ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่า แม้ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะรุนแรง แต่ก็มีเป้าหมายเพื่อช่วยเราให้รู้จักตัวเอง กลับใจ และเปลี่ยนแปลง ผู้นำเปิดโปงฉันก็เพราะความร้ายแรงจากการกระทำของฉันนั้นสมควรถูกเปิดโปง แต่อุปนิสัยดื้อรั้นของฉัน ทำให้ฉันไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนั้น แม้จะถูกปลดไปแล้ว ฉันก็ยังไม่สำนึก โดยเชื่อผิดๆ ว่าพระเจ้ากำลังทรงเผยและกำจัดฉัน ฉันยังคงติดอยู่ในสภาวะคิดลบ ถอดใจกับตัวเองและจำนนต่อความสิ้นหวัง ยิ่งทบทวนตัวเองมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกสำนึกผิดมากขึ้นเท่านั้น เกลียดความดื้อรั้นและความเป็นกบฏของตัวเอง ฉันตระหนักว่าตัวเองเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าน้อยเพียงใด ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด?  มันสำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบธรรม พระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการสาปแช่ง และส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยวิถีทางของการพิพากษาของพระองค์  ผู้คนบางคนไม่เข้าใจ  และถามว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีความสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้โดยผ่านทางการพิพากษาและการสาปแช่งเท่านั้น  พวกเขากล่าวว่า ‘หากพระเจ้าทรงประสงค์จะสาปแช่งมนุษย์ มนุษย์จะไม่ตายหรอกหรือ?  หากพระเจ้าทรงประสงค์จะพิพากษามนุษย์ มนุษย์จะไม่ถูกกล่าวโทษหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขายังคงสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อีกเล่า?’  เช่นนี้คือคำพูดของผู้คนที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า  สิ่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งคือความเป็นกบฏของมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงพิพากษาคือบาปทั้งหลายของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระองค์ตรัสอย่างเกรี้ยวกราดและอย่างไม่ปรานี พระองค์ก็ทรงเปิดเผยทั้งหมดที่อยู่ภายในมนุษย์ โดยการเปิดเผยผ่านทางพระวจนะที่เข้มขรึมเหล่านี้ซึ่งเป็นแก่นแท้ภายในมนุษย์ ทว่าโดยผ่านทางการพิพากษาดังกล่าวนั้น พระองค์ก็ทรงมอบความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับแก่นแท้ของเนื้อหนังให้แก่มนุษย์ และเช่นนั้นเองมนุษย์จึงนบนอบเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า  เนื้อหนังของมนุษย์มีบาปและเป็นของซาตาน เป็นกบฏ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงตีสอน  ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์รู้จักตัวเขาเอง พระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าจึงต้องเกิดขึ้นกับเขา และต้องใช้กระบวนการถลุงทุกประเภท เมื่อนั้นเท่านั้นพระราชกิจของพระเจ้าจึงสามารถมีประสิทธิผลได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้มาหลายครั้งแล้วก่อนหน้านั้น แต่ทำไมฉันถึงยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าล่ะ? ในยุคสุดท้าย พระราชกิจของพระเจ้ามุ่งหมายที่จะชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดผ่านทางพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอน มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างฝังลึก จนถ้าไม่มีพระวจนะแห่งการพิพากษาและการเปิดโปงของพระเจ้า เราจะไม่สามารถรับรู้ถึงแก่นแท้และความเป็นจริงของความเสื่อมทรามของเราได้อย่างแท้จริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกลับใจและเปลี่ยนแปลงให้สำเร็จอย่างแท้จริงเลย แต่ฉันเชื่ออย่างคลาดเคลื่อนว่า เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงเรา นั่นหมายถึงการกล่าวโทษและการกำจัดออกไปชั่วนิรันดร์ ซึ่งบอกเป็นนัยว่าเราจะไม่มีวันมีจุดจบและบั้นปลายที่ดีได้ ความเข้าใจของฉันนั้นไร้สาระและคลาดเคลื่อน ฉันรู้น้อยมากเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์อันจริงใจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ฉันจำได้ว่าพระเจ้าตรัสอะไรไว้ก่อนหน้านี้ “พระเจ้าทรงยึดถือความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา การนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  ฉันเพิ่งจะตระหนักในวันนี้ว่าพระวจนะบทตอนนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงเพียงใด พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างเต็มที่ และพระองค์จะไม่ทรงถอดใจกับใครง่ายๆ เว้นแต่ว่าพวกเขาเลือกที่จะละทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ทรงประสงค์จะช่วยฉันให้รอดเพราะการกระทำของฉัน ฉันก็คงถูกพระองค์ทรงกำจัดไปแล้วไม่ใช่หรือ? ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง จำเป็นด้วยหรือที่พระองค์จะทรงพิพากษาและเปิดโปงฉัน จัดการเตรียมการสภาพการณ์เพื่อเผยความเสื่อมทรามของฉัน ชี้นำฉันและให้ความรู้แจ้งกับฉันเพื่อทบทวนและเข้าใจตัวเอง? พี่น้องชายหญิงตัดแต่งและเตือนฉัน เพื่อช่วยฉันให้หันกลับมาทบทวนตัวเอง การดำเนินการเหล่านี้คือการช่วยให้รอดซึ่งจริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้านั่นเองไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ได้เข้าใจวิธีที่พระเจ้าช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่ได้รู้ถึงความรักของพระองค์ แต่ฉันกลับเข้าใจพระเจ้าผิดๆ และใช้ชีวิตแบบคิดลบ ต่อต้านพระองค์ ฉันช่างไร้เหตุผลจริงๆ!” ขณะที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจฉันที่ชาชินมานานก็เริ่มรู้สึกบางอย่างในที่สุด และฉันก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ในอนาคต ไม่ว่าข้าพระองค์จะเผชิญกับความติดขัดหรือความล้มเหลวอะไร ข้าพระองค์ก็ไม่อยากเข้าใจพระองค์ผิดอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์เต็มใจที่จะทบทวนตนเองอย่างจริงจัง เรียนรู้บทเรียน ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแข็งขัน และลุล่วงหน้าที่ของตนให้ดีไปตลอดชีวิต เพื่อที่ข้าพระองค์จะกลับใจได้อย่างแท้จริง”

ต่อมาฉันได้เขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ของตัวเองในช่วงเวลานั้น พี่น้องหญิงคนหนึ่งอ่านบทความแล้วส่งพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนมาให้ฉันและย้ำเตือนฉัน โดยบอกว่า “คุณควรคิดทบทวนเรื่องเหตุผลที่คุณถูกตัดแต่ง คิดทบทวนเรื่องปัญหาแต่ละข้อที่ผู้นำเปิดโปง และใช้ความจริงที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา ถึงตอนนั้นเท่านั้น คุณจึงจะจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง” ฉันจึงสงบลงและทบทวนตัวเองว่า ทำไมผู้นำถึงบอกว่าฉันไม่ยอมรับความจริง? พฤติกรรมอะไรที่แสดงให้เห็นว่าฉันปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง? เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ฉันเป็นผู้นำ ฉันก็ตระหนักว่าเมื่อใดก็ตามที่เผชิญกับความลำบากยากเย็น ฉันจะให้ความสำคัญกับเนื้อหนังของตัวเองก่อน ฉันหลีกเลี่ยงการทุ่มเทหรือการจ่ายราคาเพื่อแสวงหาความจริงสำหรับการแก้ไข ฉันถึงกับยอมใช้กลวิธีหลอกลวง โดยเชื่อว่าการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาจะทำให้เหนื่อยและเครียดเกินไป หากฉันใช้ขีดความสามารถแย่ๆ ของตัวเองเป็นข้ออ้างในการส่งต่อปัญหาให้กับผู้นำระดับสูง ฉันก็จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากได้ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ ฉันก็จะไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบใดๆ ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนฉันรายงานปัญหาในการทำงานต่อผู้นำ พวกเขาตอบว่า “ตอนคุณเผชิญกับปัญหา คุณไม่พยายามแก้ไขปัญหาเลย แต่คุณกลับปฏิบัติกับความลำบากยากเย็นเหมือนเป็นภาระและส่งต่อให้ผู้อื่น หากคุณแสวงหาความจริงเกี่ยวกับความลำบากยากเย็นของคุณ คุณจะมีแนวคิดของตัวเองว่าจะแก้ไขยังไง” เมื่อได้ยินแบบนี้ แทนที่จะทบทวนตัวเอง ฉันกลับโกรธ ผิดตรงไหนกันที่จะรายงานปัญหา? คุณพูดได้ยังไงว่าฉันไม่ได้แสวงหาความจริงตอนเผชิญกับความลำบากยากเย็น? ฉันแอบโต้แย้งอยู่ในใจ ขณะคิดเรื่องนี้ จู่ๆ ฉันก็ตระหนักว่า ที่แท้ฉันก็ไม่ได้แสวงหาหรือยอมรับความจริงแบบนี้นี่เอง ฉันจำได้ด้วยว่าจูเลียเคยชี้ให้ฉันเห็นปัญหาของตัวเองอยู่หลายครั้งและเปิดโปงปัญหาเหล่านั้นระหว่างการสามัคคีธรรม แทนที่จะทบทวนตัวเอง ฉันกลับเก็บงำความขุ่นเคืองและหาทางเอาคืน ฉันเอาแต่คิดถึงความผิดพลาดในการทำงานของเธอ แล้วก็ตัดสินและบ่อนทำลายเธอลับหลัง ซึ่งเป็นการรบกวนชีวิตคริสตจักร เมื่อการประพฤติปฏิบัติที่ผิดของฉันถูกเปิดโปง เพื่อหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ ฉันก็ขอโทษจูเลียอย่างไม่จริงใจ แล้วจึงตีแผ่และทำการรู้จักตัวเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง เพื่อพยายามลดความรุนแรงของปัญหาให้เหลือน้อยที่สุด เมื่อผู้นำเปิดโปงพฤติกรรมของฉันตามพระวจนะของพระเจ้า ในใจฉันนั้นยอมรับ แต่กลับไม่ยอมรับรู้ด้วยวาจา หนำซ้ำฉันยังกล่าวหาผู้นำอย่างไร้เหตุผลว่าใช้พระวจนะของพระเจ้ามาโจมตีและกล่าวโทษฉัน การกระทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่การแสดงออกถึงการที่ฉันปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงหรอกหรือ? ต่อมาเมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติม ก็ทำให้ฉันเข้าใจสภาวะภายในของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม และก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของชีวิตเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมีความรักให้กับความจริงและสามารถยอมรับความจริง  การยอมรับความจริงหมายถึงสิ่งใด?  การยอมรับความจริงหมายความว่าไม่ว่าเจ้าจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามจำพวกใด หรือมีพิษใดของพญานาคใหญ่สีแดง—พิษของซาตาน—อยู่ในธรรมชาติของเจ้า เมื่อพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งเหล่านี้และนบนอบ เจ้าไม่สามารถมีตัวเลือกที่แตกต่างออกไป และเจ้าควรรู้จักตนเองตามพระวจนะของพระเจ้า  นี่หมายถึงการสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับความจริง  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด ไม่ว่าพระดำรัสของพระองค์จะรุนแรงเพียงใด และไม่ว่าพระองค์จะใช้พระวจนะใด เจ้าก็สามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นความจริง และเจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านั้นได้ตราบที่พระวจนะเหล่านั้นคล้อยตามความเป็นจริง  เจ้าสามารถนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าไม่ว่าเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม และเจ้ายอมรับและนบนอบต่อความสว่างจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าสามัคคีธรรมกัน  เมื่อบุคคลดังกล่าวได้ไล่ตามเสาะหาความจริงไปจนถึงจุดหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถได้มาซึ่งความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  ต่อให้ผู้คนที่ไม่รักความจริงจะมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง สามารถทำความดีได้บ้าง สามารถละทิ้งและสละเพื่อพระเจ้า แต่พวกเขาก็สับสนเกี่ยวกับความจริงและไม่ปฏิบัติต่อความจริงอย่างจริงจัง ดังนั้นอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่า สำหรับคนที่ยอมรับความจริง ท่าทีของพวกเขาต่อพระวจนะของพระเจ้าควรเป็นการรับรู้ การยอมรับ และการนบนอบโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะรุนแรงหรืออ่อนโยน ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการพิพากษาและการเปิดโปง หรือการเตือนสติและการชูใจ คนเราก็ควรยอมรับและนบนอบเสมอ นี่คือเหตุผลที่บุคคลควรมี บางครั้งเราอาจพยายามอย่างหนักในการรับรู้ถึงสภาวะที่ถูกพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง แต่เราก็ควรรักษาท่าทีของการยอมรับและนบนอบเอาไว้ อย่างน้อยที่สุด เราก็ควรเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง ว่าการเปิดโปงของพระองค์เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งเผยให้เห็นแง่มุมที่ซ่อนเร้นของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา และเราควรพูดว่า “อาเมน” ต่อพระวจนะของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ฉันจะรู้ชัดว่าพระวจนะของพระเจ้ากำลังเปิดโปงสภาวะที่แท้จริงของตัวเอง แต่ฉันก็ไม่ยอมรับ และถึงกับกล่าวหาผู้นำอย่างไม่มีเหตุผลว่าใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อกล่าวโทษฉันและทำให้ฉันคิดลบ ฉันไม่เพียงแต่ล้มเหลวที่จะยอมรับการพิพากษาและการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ฉันยังปัดความรับผิดชอบไปให้ผู้อื่นด้วย ฉันไม่ยอมรับความจริงเอาเสียเลย ฉันช่างไร้เหตุผลจริงๆ! แม้แต่ตอนได้รับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก เช่น ข้อเสนอแนะ ความช่วยเหลือ และการตัดแต่งจากพี่น้องชายหญิง ฉันก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้าและนบนอบต่อสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ฉันกลับกล่าวหาคนที่ตัดแต่งและเปิดโปงฉัน ยิ่งทบทวนตัวเองมากเท่าไร ฉันก็ยิ่งตระหนักว่าตัวเองขาดความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น และรู้สึกละอายใจอย่างมาก ฉันยอมรับจากก้นบึ้งของหัวใจว่าฉันไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริง

ต่อมาฉันกลับไปทบทวนพระวจนะของพระเจ้าที่ผู้นำเคยแบ่งปันกับฉัน แล้วก็ไตร่ตรองและอ่านอธิษฐานพระวจนะดังกล่าว พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนที่ใช้กลอุบายในคำพูดและการกระทำของตนอยู่เสมอ และผู้ที่ปลิ้นปล้อนและปัดความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอ คือพวกที่ไม่ยอมรับความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งก็เป็นดังเช่นใช้ชีวิตอยู่ในปลักตม อยู่ในความมืดมิด  ไม่สำคัญว่าพวกเขาควานหาอย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาพยายามหนักเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นความสว่างและหาทิศทางไม่เจอ  พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยปราศจากการดลใจและโดยปราศจากการทรงนำของพระเจ้า เจอทางตันในหลายๆ เรื่อง และพวกเขาก็ถูกเปิดเผยโดยไม่รู้ตัวในขณะที่ทำบางสิ่งบางอย่าง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การมีชีวิตย่อมมีคุณค่าเฉพาะเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีเท่านั้น)  “พวกที่อยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิงซึ่งระบายความรู้สึกในแง่ลบของตนอยู่เสมอนั้นเป็นสมุนของซาตานและพวกเขารบกวนคริสตจักร  สักวันหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้ต้องถูกขับไล่และกำจัดออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  ผ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้ตระหนักว่า ฉันเป็นคนหลอกลวงในหน้าที่ ปลิ้นปล้อน และหนีความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ฉันขาดความจงรักภักดีต่อพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ฉันเผชิญกับปัญหาและความลำบากยากเย็น ฉันจะให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของตัวเองก่อนเป็นนิตย์ ฉันไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทและเสียสละเพื่อแสวงหาความจริงและแก้ไขปัญหา แต่ฉันกลับมักจะส่งต่อปัญหาให้ผู้นำระดับสูงเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากสำหรับตัวเอง โดยใช้ขีดความสามารถแย่ๆ ของฉันเป็นข้ออ้างในการปลดเปลื้องตัวเองจากความผิดที่ไม่ได้ทำงานที่จริง ฉันเห็นแก่ตัวและหลอกลวงมาก! ฉันเคยชินกับการปฏิบัติหน้าที่แบบสุกเอาเผากินและไร้ความรับผิดชอบ ฉันจึงไม่อาจรับการชี้นำและความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่อาจค้นพบปัญหาใดๆ เมื่อผู้นำตัดแต่งฉัน แทนที่จะทบทวนตัวเอง ฉันกลับรู้สึกขุ่นเคืองเพราะอับอาย เพื่อระบายความมุ่งร้ายส่วนตัว ฉันจึงตัดสินและกล่าวโทษเธอลับหลัง ซึ่งรบกวนงานคริสตจักร เมื่อพิจารณาความประพฤติชั่วของฉัน พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าเป็น “สมุนของซาตาน” และ “รบกวนคริสตจักร”? แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้จักตัวเองในตอนนั้นล่ะ? เมื่อคิดทบทวนเรื่องท่าทีของฉันต่อพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งการกระทำผิดทั้งหมดของฉัน ฉันก็รู้สึกสำนึกผิดและเกลียดตัวเองอย่างท่วมท้น ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ที่ผ่านมาข้าพระองค์เป็นกบฏมาก ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจ ข้าพระองค์ไม่อยากเข้าใจพระองค์ผิดๆ อีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์เชื่อว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นก็เพื่อชำระข้าพระองค์ให้บริสุทธิ์และช่วยข้าพระองค์ให้รอด!” หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก ฉันพูดกับพระเจ้าในใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า จากนี้ไปข้าพระองค์จะไม่ทิ้งพระองค์อีก วันเวลาที่อยู่ห่างไกลพระองค์นั้นเจ็บปวดเกินไป” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สภาวะคิดลบของฉันก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉันเข้าร่วมการสามัคคีธรรมอย่างแข็งขัน รู้สึกมีแรงใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง และเริ่มเขียนบทความคำพยานจากประสบการณ์ ทุกวันฉันรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าสภาวะของฉันดีขึ้น เหมือนกับคนไข้ที่ป่วยหนักที่เริ่มฟื้นตัววันแล้ววันเล่า ในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ไม่มีหน้าที่ ฉันใช้ชีวิตในสภาวะที่เข้าใจผิดและมีท่าทีระแวดระวังต่อพระเจ้า รู้สึกกลัวและกระสับกระส่ายในใจ หลังจากมีประสบการณ์กับความทุกข์ระทมอย่างเต็มที่จากการสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในที่สุด วันนี้ฉันก็หลุดพ้นจากสภาวะคิดลบของตัวเอง ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณความกรุณาและความรอดอันใหญ่หลวงของพระเจ้า ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้รับข้อความจากผู้นำที่บอกให้ฉันกลับมาคริสตจักรเพื่อทำหน้าที่ พอได้อ่านฉันก็รู้สึกซาบซึ้งมากจนพูดไม่ออก แต่ฉันยังคงขอบคุณพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อรู้ว่าฉันมีแนวโน้มที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเวลาสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็หันไปพึ่งพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริงที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของตัวเอง วันหนึ่งฉันรู้สึกประทับใจอย่างมากเมื่อได้อ่านเรื่องนี้ในพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “มีเหตุผลอยู่ประการหนึ่งที่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึกยิ่งนักต่อบุคคลหนึ่งหรือบุคคลประเภทหนึ่ง  เหตุผลนี้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยความชอบของพระเจ้า แต่โดยท่าทีต่อความจริงของบุคคลนั้น  เมื่อบุคคลหนึ่งเบื่อหน่ายความจริง ย่อมส่งผลเสียร้ายแรงต่อการบรรลุความรอดของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถหรือไม่สามารถยกโทษได้ นี่ไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของพฤติกรรม หรือบางสิ่งที่ถูกเปิดเผยในตัวพวกเขาเพียงชั่ววูบ  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และพระเจ้าก็ทรงหัวเสียที่สุดกับผู้คนเช่นนี้  หากบางครั้งคราว เจ้าเปิดเผยการสำแดงความเสื่อมทรามของการเบื่อหน่ายความจริงออกมา เจ้าก็ต้องทบทวนบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า ว่าการเปิดเผยเหล่านี้เป็นเพราะความชิงชังรังเกียจความจริง หรือจากการขาดความเข้าใจความจริง  การนี้พึงต้องมีการค้นคว้า และการนี้พึงต้องมีความช่วยเหลือและความรู้แจ้งของพระเจ้า  หากธรรมชาติแก่นแท้ของเจ้าไปถึงขอบข่ายที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริง และเจ้าไม่เคยยอมรับความจริง รวมทั้งชิงชังและเป็นปรปักษ์ต่อความจริง เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหา  แน่ใจได้เลยว่าเจ้าเป็นคนชั่ว และพระเจ้าจะไม่ช่วยเจ้าให้รอด(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การที่จะลุล่วงหน้าที่ของคนเราให้ดี การเข้าใจความจริงย่อมจะสำคัญอย่างยิ่งยวด)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงพระพิโรธคนบางคนอย่างมาก นั่นเป็นเพราะพวกเขารังเกียจและปฏิเสธความจริง พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่แสดงความจริง ท่าทีของเราต่อความจริงสะท้อนถึงท่าทีของเราต่อพระเจ้า การรังเกียจและการเกลียดชังความจริงเปรียบเสมือนการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระเจ้าและการกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า บุคคลที่มีธรรมชาติรังเกียจความจริงและเกลียดชังพระเจ้าจะไม่ยอมรับความจริงอย่างแน่นอน สำหรับคนประเภทนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองมากแค่ไหน หรือถูกตัดแต่งมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่เคยกลับใจ ไม่ว่าจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปี อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และในที่สุดพวกเขาจะถูกพระเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับเปาโลผู้มีธรรมชาติรังเกียจและเกลียดชังความจริง เขาไม่เคยทบทวนตัวเองเลย ผลที่ตามมาคือ หลังจากทำงานมาหลายปี เขายังคงโอหังและเห็นแก่ตัว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เขาจึงถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษและลงโทษในที่สุด ฉันเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในเปาโล ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ยอมรับการถูกตัดแต่ง สิ่งที่ฉันใช้ดำเนินชีวิตและเผยออกมาคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่รังเกียจความจริง ผลที่ตามมาคือ ฉันใช้ชีวิตในความมืด ความกลัว และความเจ็บปวดเป็นเวลานาน และพระเจ้าก็ทรงเพิกเฉยต่อฉัน ผลที่ตามมาทั้งหมดนั้นเกิดจากการที่ฉันรังเกียจความจริง อุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม บริสุทธิ์ และมิอาจล่วงเกินได้อย่างแท้จริง หากฉันไม่ยอมรับความจริงหรือถูกพระเจ้าทรงตัดแต่งอยู่เสมอ ฉันจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และได้รับความรอดของพระเจ้าได้อย่างไร? หากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายแล้วความเชื่อของฉันในพระเจ้าจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ? ฉันตระหนักว่าเป็นเรื่องอันตรายเกินไปที่จะเก็บอุปนิสัยรังเกียจความจริงเอาไว้โดยไม่แก้ไข! ต่อมา ฉันตั้งใจมุ่งเน้นการแสวงหาความจริงและเป็นกบฏต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง เมื่อเผชิญกับการตัดแต่งอีกครั้ง แรงจูงใจที่จะโต้แย้งกลับและต่อต้านของฉันก็ลดลง ไม่ว่าสิ่งที่พี่น้องชายหญิงพูดกับฉันจะถูกต้องแค่ไหน ตราบใดที่สิ่งนั้นสอดคล้องกับข้อเท็จจริง ฉันก็จะยอมรับเอาไว้ บางครั้งตอนฉันไม่รู้ถึงปัญหาของตัวเองและอยากโต้แย้งกลับ ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้าก่อนและนบนอบ หลังจากนั้นฉันจะเข้าใจมากขึ้นบ้างและเก็บเกี่ยวโดยการทบทวนตัวเอง

เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องที่ฉันเคยดื้อรั้นและเป็นกบฎ โดยไม่เต็มใจยอมรับความจริงเลย และเมื่อเห็นว่าในวันนี้ฉันสามารถเข้าใจมากขึ้นบ้างและเก็บเกี่ยวได้เช่นนี้ ฉันก็ตระหนักว่านี่คือความรอดของพระเจ้าอย่างแท้จริง จากประสบการณ์นี้ ในที่สุดฉันก็ได้รู้จักตัวเองนิดหน่อย แถมยังได้เข้าใจมากขึ้นบ้างเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและเจตนารมณ์ของพระองค์ ฉันได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่า การตีสอน การบ่มวินัย และการตัดแต่งของพระเจ้านั้นมีไว้เพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยผู้คนให้รอดอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อกล่าวโทษหรือกำจัดพวกเขา

ก่อนหน้า: 3. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉันผ่านเคราะห์ร้าย

ถัดไป: 8. การคิดทบทวนถึงการไล่ตามเสาะหาความโชคดี

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger