77. ความรักแบบหลับหูหลับตา เป็นสิ่งเลวร้าย

โดยเสี่ยวลี่ ประเทศจีน

ในปี 1998 ฉันกับพี่สาวน้องสาวอีกสามคนต่างก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเรามักจะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า ร้องเพลงนมัสการ และสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน และจะหนุนใจกันในการแสวงหาความจริงอย่างจริงใจและแสวงหาความรอด ต่อมาพวกเราทุกคนเริ่มทำหน้าที่ในคริสตจักร และเมื่อใดก็ตามที่เราบังเอิญพบกัน เราจะคุยกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของเราและสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากหน้าที่ แต่เสี่ยวจื้อ น้องสาวคนเล็กของฉัน ตอนเธอไม่บ่นเรื่องความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตัวเอง เธอจะพูดถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ ครั้งหนึ่งเสี่ยวจื้อบอกว่าประสบปัญหาหลายอย่างตอนเริ่มเป็นผู้นำทีมให้น้ำ แต่ผู้นำคริสตจักรไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเธอเลย เธอบ่นด้วยว่าพี่น้องชายหญิงจับความเข้าใจหลักธรรมในหน้าที่ตัวเองไม่ได้ ว่าผู้นำล้มเหลวในการสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหานี้ ว่าผู้นำไม่มีความสามารถในการทำงานจริง อย่างไรก็ตาม ฉันพอจะรู้จักผู้นำคริสตจักรของเธออยู่บ้าง และอันที่จริงเขาทำงานจริงได้ เมื่อเห็นว่าน้องสาวไม่ได้พยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ แต่กลับจับผิดผู้นำตัวเอง ฉันก็คิดว่าเธอแค่ขาดประสบการณ์และยังไม่รู้จักตัวเอง ฉันจึงมักจะช่วยเหลือเธอและสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับเธอ ฉันบอกเธอว่าเธอควรหยุดให้ความสำคัญกับคนอื่น เริ่มให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ชีวิตของตัวเอง และพยายามเรียนรู้จากความลำบากยากเย็นที่เธอเผชิญ เมื่อเวลาผ่านไป เราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เพราะเราทั้งคู่ค่อนข้างยุ่ง

วันหนึ่งในเดือนสิงหาคม ปี 2018 ฉันบังเอิญเห็นจดหมายที่ผู้นำคนหนึ่งเขียนถึงพี่น้องหญิงเซียงหยูซุ่น เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับแฟ้มเรื่องคนชั่วที่จะถูกขับไล่ นึกไม่ถึงว่าคนชั่วที่ว่านั้นคือ เสี่ยวจื้อ น้องสาวคนเล็กของฉัน ตอนนั้นฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าน้องสาวฉันจะถูกขับไล่ ฉันอ่านรายงานของหยูซุ่นอย่างละเอียด และเห็นว่าในช่วงที่เสี่ยวจื้อเป็นผู้ดูแลงานให้น้ำ เธอมักจะใช้ตำแหน่งตัวเองเพื่อต่อว่าและดูถูกคนอื่น เมื่อพี่น้องหญิงคนหนึ่งหยิบยกข้อบกพร่องของเธอขึ้นมาพูด เสี่ยวจื้อก็ไม่ยอมรับคำวิจารณ์ และถึงกับล้อเลียนและโจมตีพี่น้องหญิงคนนั้น ในที่สุดพี่น้องหญิงก็รู้สึกถูกจำกัด และเป็นทุกข์จนไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไป พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ก็รู้สึกถูกเสี่ยวจื้อจำกัดในระดับที่แตกต่างกันไป และท้อแท้เช่นกัน เมื่อเห็นข้อมูลนี้ ฉันก็เชื่อไม่ลงว่าเสี่ยวจื้อจะกระทำชั่วเช่นนั้น และถึงกับมีแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับหยูซุ่น โดยคิดว่า “คุณมีอคติต่อน้องสาวฉันหรือเปล่า?  เธออาจไม่ได้มีการเข้าสู่ชีวิตที่ดีนัก แต่เธอไม่ใช่คนชั่ว คุณอาจจะพูดเกินจริงไปหรือเปล่า?” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ ฉันนึกถึงเรื่องที่น้องสาวฉันทิ้งครอบครัวและงานของตัวเอง เรื่องว่าเธอลำบากแค่ไหนจากการเดินทางตลอดหลายปีเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งมีคนชั่วแจ้งความเรื่องเธอขณะที่เธอเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเธอถูกบีบให้ซ่อนตัวในบ้านโทรมๆ หนึ่งคืนเพื่อหลบเลี่ยงการจับกุม ในช่วงหลายปีที่เธอแบ่งปันข่าวประเสริฐ เธอถูกพวกเคร่งศาสนาทุบตีและตะโกนด่าทอ ต้องนอนกลางแจ้งในกองฟางและคอกหมู และมักจะต้องอดอาหาร เธออาจสร้างผลงานไม่มากนักแม้จะเป็นผู้เชื่อมาหลายปี แต่เธอก็ทำงานหนักมาก ตอนนี้เธอจะถูกขับไล่ในฐานะคนชั่วได้อย่างไร?  แต่แล้วฉันก็ทบทวนว่าคริสตจักรปฏิบัติตามหลักธรรม และการขับไล่ขึ้นอยู่กับรูปแบบพฤติกรรมและแก่นแท้ธรรมชาติของบุคคลเสมอ คริสตจักรไม่เคยกล่าวหาผู้คนอย่างผิดๆ เสี่ยวจื้อเป็นคนชั่วจริงหรือ?  แค่คิดฉันก็เศร้าใจแล้ว ถ้าเธอถูกขับไล่จริงๆ เธอจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด และความยากลำบากทั้งหมดที่เธอสู้ทนมาจะสูญเปล่า ฉันรู้สึกแย่ทุกครั้งที่คิดเรื่องนี้ หลายวันต่อมา ยังคงรู้สึกเหมือนมีหินก้อนหนึ่งกดทับหน้าอกของฉันเอาไว้

เพียงไม่กี่วันต่อมา ฉันได้รับจดหมายจากน้องสาวอีกคนของฉัน เสี่ยวเยว่ ซึ่งบอกว่าน้องสาวคนเล็กของเราป่วยหนักและต้องเข้ารับการผ่าตัด พอได้อ่านจดหมาย ฉันก็คิดว่า “ถ้าเสี่ยวจื้อสามารถใช้การเจ็บป่วยรอบนี้ทบทวนตัวเองและกลับใจต่อพระเจ้าได้ บางทีเธออาจจะหลีกเลี่ยงการถูกขับไล่ได้?” ฉันเขียนจดหมายถึงเสี่ยวจื้อทันที โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อบอกเธอเรื่องอุปนิสัยชอบธรรมของพระเจ้า ฉันบอกว่าเธอต้องใช้การเจ็บป่วยของเธอเป็นโอกาสในการทบทวนตัวเองและกลับใจ แทนที่จะมองหาสาเหตุภายนอก แต่ปัญหาของเสี่ยวจื้อไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อฉันไปเยี่ยมบ้านสองเดือนต่อมา เสี่ยวเยว่เล่าเรื่องพฤติกรรมของน้องสาวเราให้ฉันฟัง เสี่ยวจื้อมีอุปนิสัยโอหังเป็นพิเศษ หลังจากเข้าไปทำงานให้น้ำ เธอก็ยืนกรานว่าทุกอย่างต้องทำตามวิธีของเธอ เมื่อพี่น้องหญิงที่เธอทำงานด้วย ไม่เห็นด้วยเรื่องงานและไม่เออออไปกับทัศนะของเธอ เธอเริ่มขุ่นเคืองและหันไปโจมตีและกีดกันพี่น้องหญิงคนนั้น เธอถึงกับพยายามทำให้คนอื่นต่อต้านพี่น้องหญิงคนนั้น โดยทำให้คนอื่นมีคติต่อเธอด้วย เพื่อชักพาพวกเขาให้หลงผิดและร่วมตัดสินพี่น้องหญิงคนนั้นกับเธอ ต่อมาเมื่อพี่น้องหญิงคนนั้นอยู่ในสภาวะแย่ เสี่ยวจื้อไม่เพียงล้มเหลวในการช่วยเหลือเธอ แต่ยังสร้างความแตกแยกระหว่างเธอกับคนอื่นๆ ด้วย โดยบอกว่าพี่น้องหญิงคนนั้นปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะอยู่ในสภาวะแย่ และห้ามไม่ให้คนอื่นช่วยเหลือเธอ เรื่องนี้ทำให้พี่น้องหญิงคนนั้นคิดลบยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งทำหน้าที่ตัวเองไม่ได้อีกต่อไปและถูกปลด เมื่อพี่น้องหญิงอีกคนบอกว่ารู้สึกถูกเสี่ยวจื้อจำกัด เสี่ยวจื้อก็รู้สึกขุ่นเคืองมากและคว้าทุกโอกาสที่จะเอาคืนและโจมตีพี่น้องหญิงคนนั้น เธอจะตัดสินและดูหมิ่นพี่น้องหญิงคนนั้นต่อหน้าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ด้วย เมื่อผลที่ตามมาคือพี่น้องหญิงคนนั้นเริ่มทุกข์ใจและคิดลบ เสี่ยวจื้อก็คว้าโอกาสบอกผู้นำและคนอื่นๆ ว่า พี่น้องหญิงคนนั้นได้สูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่เหมาะกับหน้าที่ของเธอ และบอกว่าอยากให้เธอถูกปลด พี่น้องชายหญิงได้รับผลกระทบที่เป็นลบจากการโจมตีและการลงโทษอย่างต่อเนื่องของเสี่ยวจื้อ และวิธีที่เธอกีดกันและดูหมิ่นพวกเขา และผลที่ตามมาคือพวกเขาทำงานของตัวเองให้คืบหน้าไม่ได้ งานให้น้ำของคริสตจักรถูกขัดขวางอย่างหนัก ผู้นำชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเธอและพยายามช่วยเหลือเธอหลายครั้ง แต่เธอทั้งไม่ยอมรับคำวิจารณ์ของเขาและเถียงกลับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอไม่แสดงถึงความรู้จักตัวเองและยังคงท้าทายจนถึงตอนที่ถูกปลด เธอถึงกับจับผิดผู้นำและวิพากษ์วิจารณ์เขาลับหลัง เมื่อเสี่ยวเยว่พยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาของเธอ เธอก็บ่นว่าเสี่ยวเยว่ไม่เข้าใจเธอและไม่ยอมช่วยพูดให้เธอ เธอถึงกับอ้างว่า “คนเราพูดตรงๆ ในคริสตจักรไม่ได้ ฉันถูกปลดเพียงเพราะฉันกล้าพูดตามที่คิด” ฉันตกใจมากตอนได้ยินเรื่องนี้ ไม่ยักรู้ว่าน้องสาวคนเล็กของฉันหมกมุ่นเรื่องสถานะมาก มีธรรมชาติที่ร้ายกาจเช่นนั้น และโจมตีและลงโทษคนที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเองได้ลงคอ นี่ไม่ใช่ความเสื่อมทรามธรรมดา แต่เป็นปัญหาในธรรมชาติของเธอจริงๆ!  ต่อมาพอได้พบกัน ฉันก็รีบสามัคคีธรรมกับเธอ และแนะนำให้เธอทบทวนความประพฤติชั่วของตัวเอง ฉันบอกว่าถ้าเธอไม่กลับใจ เธอจะถูกขับไล่ และจะสูญเสียโอกาสได้รับความรอด นึกไม่ถึงว่าแทนที่จะยอมรับคำแนะนำของฉัน เธอกลับตอบอย่างขุ่นเคืองว่า “พี่ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น และฉันก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ถ้าฉันพูดอะไรอีก พวกพี่ก็จะหาว่าฉันพยายามแก้ตัว” ฉันตกใจมากที่เห็นเธอขุ่นเคืองขนาดนั้น ฉันไม่รู้เลยว่าเธอหัวรั้นขนาดนั้นและไม่ยอมรับความจริงเลย เธอเกินกว่าจะได้รับการไถ่หรือเปล่า?  ถึงจุดนี้ ฉันก็รู้สึกใจแป้ว ฉันจำได้ว่าตอนเรามาเจอกัน เธอจะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ตัดสินคนอื่นอยู่เสมอ และไม่เคยทบทวนตัวเอง เธอจะคอยจับผิดผู้นำด้วย ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “บรรดาผู้ที่พรั่งพรูการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกไล่ออกจากคริสตจักร  ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจที่ต่างออกไปของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงถูกคุมเข้ม เพราะแน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะถูกกำจัดออกไป  ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม  บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย  ไม่ใช่แค่คำพูดและการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้คือหมู่มารและเหล่าซาตานอย่างแท้จริง  พฤติกรรมของพวกเขารบกวนและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก มันรบกวนการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง และการนั้นสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร  ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกชำระออกไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับทาสรับใช้ของซาตานเหล่านี้  นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รู้ว่าพฤติกรรมของน้องสาวคนเล็กไม่ได้เป็นเพียงการเปิดโปงอุปนิสัยเสื่อมทรามแบบชั่วครู่ แต่กลับเป็นการสะท้อนถึงธรรมชาติอันร้ายกาจมากของเธอ เธอลงโทษ รังควาน และแก้แค้นผู้อื่น และจะกีดกันและโจมตีใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับเธอ หรือส่งผลเสียต่อประโยชน์ของเธอ เธอบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่น จนกระทั่งพวกเขาตกอยู่ในสภาวะคิดลบ ผู้นำและคนอื่นๆ ตัดแต่งและช่วยเหลือเรื่องพฤติกรรมของเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด ต่อต้านและเถียงกลับเสมอ ไม่สำนึกผิดหรือทบทวนตัวเอง และเธอถึงกับเกลียดและโจมตีผู้นำ ฉันกับเสี่ยวเยว่สามัคคีธรรมกับเธอและช่วยเหลือเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่ยอมรับสิ่งที่เราพูด และรู้สึกขุ่นเคืองและต่อต้านเรา คิดว่าเรามาสร้างความลำบากใจให้เธอ หลังจากถูกปลด เธอล้มเหลวที่จะทบทวนตัวเอง และบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยบอกว่าเราพูดตรงๆ ในคริสตจักรไม่ได้ และเธอถูกปลดเพียงเพราะเธอพูดตามที่คิด นั่นไม่ใช่การบิดเบือนความจริงและการชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดหรอกหรือ?  เธอไม่ได้ปฏิเสธความชอบธรรมของพระเจ้า และปฏิเสธว่าความจริงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้าหรอกหรือ?  ในอดีต ฉันเคยคิดว่าเธอยังขาดเรื่องการเข้าสู่ชีวิต ว่าพฤติกรรมชั่วของเธอเป็นเพียงการเปิดโปงความเสื่อมทรามแบบชั่วครู่ ฉันจึงช่วยเหลือและสนับสนุนเธอต่อไป แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า นี่ไม่ใช่เรื่องการเข้าสู่ชีวิตที่ไม่ดีพอ หรือการเปิดโปงความเสื่อมทรามแบบชั่วครู่ เธอรังเกียจและเกลียดความจริง และแก่นแท้ของเธอคือแก่นแท้ของคนชั่ว

ในอดีตฉันคิดว่า เพราะน้องสาวคนเล็กได้พลีอุทิศ สละตน ทนทุกข์มากในหน้าที่ และทำงานหนัก แม้จะไม่ได้บรรลุสิ่งใดที่สำคัญ พระเจ้าจะทรงสังเกตเห็นต่อให้เธอไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้ตระหนักว่า ความเข้าใจนี้บิดเบือนไป  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราไม่ได้ตัดสินบั้นปลายของแต่ละบุคคลตามอายุ ความอาวุโส ระดับความทุกข์ และยิ่งกว่านั้นมิใช่จากระดับความน่าสงสาร แต่ทรงพิจารณาจากการที่ว่าพวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าย่อมจะถูกลงโทษ  นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษจึงถูกลงโทษเพราะความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นโทษทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าสอนฉันว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงตัดสินบั้นปลายของแต่ละคน โดยอิงจากความอาวุโส หรือจากการที่พวกเขาทนทุกข์ หรือพลีอุทิศและสละตนมามากเพียงใด แต่ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยสำเร็จและบรรลุความจริงหรือไม่ ทุกคนที่ยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้สำเร็จในที่สุด จะสามารถได้รับความรอด ส่วนคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และศัตรูของพระคริสต์ที่รังเกียจและเกลียดความจริง ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์มากเพียงใด สุดท้ายแล้วพวกเขาจะถูกกำจัดและไม่อาจบรรลุถึงความรอด เพราะพวกเขาก่อความชั่วทุกรูปแบบและเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ฉันนึกถึงน้องสาวคนเล็กที่เดินตามความเชื่อมาหลายปี ทว่าถึงแม้ภายนอกเธอจะพลีอุทิศ สละตน และทนทุกข์เพื่อหน้าที่ แต่เธอก็ไม่ได้แสวงหาความจริงด้วยวิธีไหนเลย ไม่ได้รู้จักตัวเอง และไม่รู้สึกสำนึกผิดหรือกลับใจ ที่ทำให้งานของคริสตจักรถูกขัดขวางอย่างมาก การที่เรื่องมาถึงขั้นต้องถูกขับไล่เช่นนี้ เป็นสิ่งที่เธอต้องโทษตัวเองเท่านั้น นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า ฉันเชื่อมาตลอดว่า การที่เธอสามารถพลีอุทิศ สละตน และทนทุกข์ในหน้าที่ได้ หมายความว่าเธอเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง แต่ฉันเพิ่งมาตระหนักตอนนี้ว่า เธอทำทั้งหมดนี้เพื่อชื่อเสียงและสถานะ มากกว่าเพื่อจะไล่ตามเสาะหาความจริงและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยให้สำเร็จ ไม่ว่าเธอจะมีความเชื่อหรือทนทุกข์มานานแค่ไหน เธอก็ไม่ได้ยอมรับความจริงเลย ไม่ได้กลับใจและเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแท้จริง และสุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นต้องถูกกำจัดออกไป ฉันนึกถึงเรื่องที่ว่า ภายนอกเปาโลพลีอุทิศ สละตน และทำงานหนักในหน้าที่ โดยเดินทางครึ่งค่อนยุโรปเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และเพราะเขาไม่ลงมือเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และไม่พยายามทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่กลับสละตนเพื่อไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎและพระพรแห่งราชอาณาจักรสวรรค์ เขายังกล้าพูดออกมาว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  เปาโลเรียกร้องมงกุฎจากพระเจ้าอย่างไม่ละอายใจ และในสิ่งที่เขาพลีอุทิศให้นั้นก็ไม่มีความจริงใจหรือการนบนอบพระเจ้าเลย ทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน ขับเคลื่อนโดยความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี เขาเดินบนเส้นทางแห่งการไม่ยอมรับพระเจ้า สุดท้ายก็ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและถูกลงโทษชั่วนิรันดร์ ฉันตระหนักว่า ความเชื่อจะไม่ให้ผลอะไร หากเราไม่แสวงหาและยอมรับความจริง และให้ความสำคัญกับการพลีอุทิศและความทุกข์ภายนอกแทน อาจลงเอยด้วยการลงโทษด้วยซ้ำ เพราะคนเรามีแนวโน้มที่จะก่อความชั่วทุกประเภทด้วยวิธีนี้

ต่อมาฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่มอบเส้นทางปฏิบัติให้แก่ฉัน  พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใช่พวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงอย่างแท้จริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  ฉันรู้สึกผิดมากหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าทรงขอให้เรารักสิ่งที่พระองค์ทรงรักและเกลียดสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด ผู้ที่ไม่ยอมรับและถึงกับดูหมิ่นความจริงคือคนชั่ว พวกเขาเป็นพวกเดียวกับมารซาตาน และควรถูกเราขยะแขยง น้องสาวคนเล็กของฉันทำความชั่วทุกประเภท ไม่กลับใจ และถูกเปิดโปงว่าเป็นคนชั่ว แต่ฉันไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะธาตุแท้ของเธอตามพระวจนะของพระเจ้า และอ้างเรื่อยมาว่าเธอถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เพราะเธอทนทุกข์อย่างมากในหน้าที่ พลีอุทิศมากมาย และทำงานหนักแม้ว่าจะไม่ค่อยมีผลงานให้เห็น ฉันไม่ได้แค่ญาติดีกับซาตานและเข้าข้างมันในการต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ?  ฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปี กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามาก็มาก แต่ฉันไม่สามารถคำนึงถึงผู้คนและสถานการณ์ต่างๆ ตามพระวจนะของพระองค์ได้ ในทางกลับกัน ฉันปล่อยให้ความรักใคร่ของฉันกำหนดคำพูดของตัวเอง ไม่สามารถแยกแยะความดีจากความชั่วได้ และจับความเข้าใจหลักธรรมไม่ได้แม้แต่น้อย ฉันเลอะเลือนและสับสน และพระเจ้าทรงดูหมิ่นและชิงชังฉัน เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น ฉันก็สามารถละทิ้งความรักใคร่ที่มีต่อน้องสาวคนเล็กได้ และมองการขับไล่เธอด้วยท่าทีที่ถูกควร

สามเดือนต่อมา วันหนึ่ง ตอนที่ฉันบังเอิญได้ยินพี่น้องหญิงที่ฉันทำงานด้วยพูดว่าข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็นต่อการขับไล่น้องสาวคนเล็กของฉันได้รับการจัดเรียงเรียบร้อยแล้ว ฉันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา ฉันคิดว่า “ตอนนี้ความหวังที่เธอจะได้รับความรอดหมดไปแล้ว” ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งสงสารน้องสาวคนเล็ก ฉันถึงกับแอบหวังว่า บางทีข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อขับไล่เธออาจจะไม่เพียงพอ และเธอจะทำงานในคริสตจักรต่อไปได้ แต่แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันมีท่าทีที่ผิด ฉันรู้ดีว่าน้องสาวคนเล็กเป็นคนชั่วในแก่นแท้ และจะไม่ได้รับความรอดจากพระเจ้า แต่ฉันยังคงเห็นใจและสงสารเธอ หวังว่าจะให้เธออยู่ในคริสตจักรต่อไป ฉันไม่ได้กำลังเห็นใจมารและต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ?  ฉันจึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้นำฉันในการเอาชนะข้อจำกัดจากความรักใคร่ของฉัน หลังจากอธิษฐาน ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่อไปนี้ “มนุษย์ล้วนมีชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นความรู้สึก—และดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงหลีกเลี่ยงพวกเขาสักคนเดียว และทรงเปิดโปงความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของมวลมนุษย์ทั้งปวง  เหตุใดผู้คนจึงแยกตัวออกจากความรู้สึกของตนได้ยาก?  การทำเช่นนั้นสูงกว่ามาตรฐานทางมโนธรรมกระนั้นหรือ?  มโนธรรมสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้หรือไม่?  ความรู้สึกสามารถช่วยให้ผู้คนผ่านความทุกข์ยากได้หรือไม่?  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ความรู้สึกคือศัตรูของพระองค์—การนี้ไม่ได้แถลงไว้อย่างชัดเจนในพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 28)  “เราไม่ให้โอกาสผู้คนแสดงความรู้สึกของพวกเขา เพราะเราปราศจากความรู้สึกทางเนื้อหนังและรู้สึกรังเกียจความรู้สึกของผู้คนในระดับที่ถึงขีดสุด  เป็นเพราะความรู้สึกระหว่างผู้คน เราจึงถูกโยนทิ้งไว้ข้างหนึ่ง และด้วยเหตุนี้เราจึงกลายเป็น ‘คนอื่น’ ในสายตาของพวกเขา เป็นเพราะความรู้สึกระหว่างผู้คน เราจึงถูกลืม เป็นเพราะความรู้สึกของมนุษย์ เขาจึงฉวยโอกาสหยิบ ‘มโนธรรม’ ของเขามาใช้ เป็นเพราะความรู้สึกของมนุษย์ เขาจึงรังเกียจการตีสอนของเราเสมอ เป็นเพราะความรู้สึกของมนุษย์ เขาจึงบอกว่าเราใจร้ายและไม่ยุติธรรม และพูดว่าเราไม่ใส่ใจความรู้สึกของมนุษย์เวลาเราจัดการสิ่งต่างๆ  เรามีญาติพี่น้องบนแผ่นดินโลกด้วยหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 28)  จากการเปิดโปงด้วยพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ความรักใคร่ของเราเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติตามความจริง เมื่อเราใช้ชีวิตตามความรักใคร่ เราจะไม่สามารถคำนึงถึงผู้คนและสถานการณ์ตามหลักความจริงได้ เมื่อฉันได้รู้ว่าน้องสาวคนเล็กจะถูกขับไล่จากคริสตจักร ฉันก็รู้สึกเห็นใจและสงสารเธอ ถึงกับหวังว่ากรณีของเธอจะไม่เข้าข่ายการขับไล่ และเธอจะอยู่ในคริสตจักรต่อไปได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉันมีความรักใคร่ต่อเธอมากเกินไป เนื่องจากฉันใช้ชีวิตตามพิษของซาตาน อย่าง “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?” และ “เลือดข้นกว่าน้ำ” ฉันจึงไม่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะความดีจากความชั่วได้ และไม่รู้ว่าควรรักอะไรและควรดูหมิ่นอะไร เมื่อหยูซุ่นส่งข้อมูลเรื่องน้องสาวคนเล็กของฉัน ฉันก็แก้ต่างให้น้องสาวในสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นความอยุติธรรมโดยไม่เข้าใจข้อเท็จจริงของสถานการณ์เสียก่อน ฉันคิดว่าหยูซุ่นพูดเกินจริงในรายงานของเธอ และบ่นเรื่องเธอไม่ช่วยเหลือน้องสาวฉัน อันที่จริงพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับเธอและช่วยเหลือเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่ยอมรับความช่วยเหลือของพวกเขา แถมยังวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาลับหลัง ฉันบิดเบือนสถานการณ์และพูดแทนซาตานจริงๆ แม้ว่าน้องสาวฉันจะก่อความชั่วไว้มากมาย แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดเธอและอยากให้เธออยู่ในคริสตจักรต่อไปด้วยซ้ำ ฉันปล่อยให้ความรักใคร่ครอบงำ ทุกวันที่คนชั่วอย่างเธอได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรต่อไปก็เป็นอีกวันที่จะมีคนก่อความชั่ว นำอันตรายมาสู่พี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักรมากขึ้น ฉันไม่ได้ให้ท้ายการทำชั่วของเสี่ยวจื้อด้วยการอยากให้เธออยู่ในคริสตจักรต่อไป และยอมให้เธอขัดขวางงานของคริสตจักรต่อไปหรอกหรือ?  ฉันมีส่วนในความประพฤติผิดของคนชั่ว!  ตอนนั้นเองที่ฉันเข้าใจในที่สุดว่าพระเจ้าทรงหมายถึงอะไรตอนตรัสว่า “ความรู้สึกคือศัตรูของพระองค์” ฉันตระหนักว่าถ้าฉันไม่แสวงหาความจริงและปล่อยให้ความรักใคร่กำหนดว่าฉันจะทำตัวอย่างไรเมื่อเผชิญกับปัญหา ฉันก็มีแนวโน้มที่จะทำชั่วและต่อต้านพระเจ้าได้ทุกเมื่อ

ต่อมาฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนที่กล่าวว่า “จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม  พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้  เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน  พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์  หากบิดามารดาของเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้ดีอย่างเต็มเปี่ยมว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางที่ถูกต้อง และสามารถนำไปสู่ความรอด แต่ทว่ายังคงไม่ยอมรับ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้คนที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง และพวกเขาคือผู้ที่ขัดขืนและเกลียดชังพระเจ้า—แล้วก็เป็นธรรมดาที่พระเจ้าจะทรงชังและเกลียดพวกเขา  เจ้าจะนึกชังบิดามารดาเยี่ยงนี้ได้หรือไม่?  พวกเขาต่อต้านและด่าว่าพระเจ้า—ซึ่งในกรณีนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมเป็นปีศาจและเป็นซาตาน  เจ้าจะสามารถเกลียดชังและสาปแช่งพวกเขาได้หรือไม่?  เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่แท้จริง  หากบิดามารดาของเจ้ากีดกันเจ้าไม่ให้เชื่อในพระเจ้า เจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด เจ้าควรรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา?  ใครเป็นพี่น้องของเรา?’  ‘เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’  พระวจนะเหล่านี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งชัดเจนขึ้นอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’  พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะจับความเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  ฉันรู้สึกถึงความชอบธรรมของพระเจ้าผ่านพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมและทรงขอให้เราทำเช่นเดียวกัน ผู้ที่แสวงหาความจริง เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ และปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างจงรักภักดี ควรได้รับความรักจากเรา เช่นเดียวกับผู้ที่คอยขัดขวางคริสตจักร ลงโทษและโจมตีพี่น้องชายหญิง ในขณะที่เกลียดความจริงและเกลียดพระเจ้า ล้วนเป็นคนชั่วที่เราจะรังเกียจเดียดฉันท์และดูหมิ่น ต่อให้พวกเขาเป็นญาติ เราก็ต้องมองพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้า รักสิ่งที่พระเจ้าทรงรักและเกลียดสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด แต่ฉันกลับไร้ความจริง ฉันมองทุกอย่างจากมุมมองของความรักใคร่ ฉันขาดหลักธรรมและวิจารณญาณแยกแยะ แสดงความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อคนชั่ว ปีศาจที่ถูกเปิดโปงอย่างชัดเจนไปแล้ว นี่คือความรักแบบหลับหูหลับตา!  เมื่อตระหนักได้เช่นนี้ ฉันก็สรรเสริญความชอบธรรมของพระเจ้า และเห็นด้วยตัวเองว่าความจริงและความชอบธรรมเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า จนคนชั่วไม่สามารถเข้ามามีที่ยืนได้ ตอนนี้ด้วยความช่วยเหลือจากพระวจนะของพระเจ้า ฉันสามารถปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการแห่งความรักใคร่และเข้าใจตัวเองขึ้นมาบ้าง ขอบพระคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า: 76. คืนแห่งการทรมานอันโหดร้าย

ถัดไป: 79. การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger