พวกที่เข้ากันไม่ได้กับพระคริสต์คือปรปักษ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน

มนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะเห็นโฉมพระพักตร์แท้จริงของพระเยซูและทุกคนอยากอยู่กับพระองค์  เราไม่คิดว่าพี่น้องชายหรือหญิงคนใดจะกล่าวว่าพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเห็นหรืออยู่กับพระเยซู  ก่อนที่พวกเจ้าจะได้เห็นพระเยซู—ก่อนที่พวกเจ้าจะได้เห็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มนุษย์—พวกเจ้าคงจะฟุ้งซ่านอยู่กับแนวคิดต่างๆ นานาทุกชนิด เช่น แนวคิดที่เกี่ยวกับการทรงปรากฏของพระเยซู วิธีที่พระองค์ตรัส วิถีชีวิตของพระองค์ และอื่นๆ เป็นต้น  แต่ทันทีที่พวกเจ้าได้เห็นพระองค์จริงๆ แนวคิดของพวกเจ้าจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้หรือไม่?  การขบคิดของมนุษย์ไม่อาจมองข้ามได้ ซึ่งก็จริง—แต่ยิ่งไปกว่านั้น แก่นแท้ของพระคริสต์ไม่ยอมให้มีการดัดแปลงแก้ไขโดยมนุษย์  พวกเจ้าคิดว่าพระคริสต์ทรงเป็นอมตะหรือนักปราชญ์ แต่ไม่มีใครเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ปกติที่มีแก่นแท้ของพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้คนมากมายที่โหยหาทั้งทิวาและราตรีที่จะได้เห็นพระเจ้านั้น อันที่จริงแล้วเป็นศัตรูของพระเจ้า และเข้ากันไม่ได้กับพระองค์  นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดในส่วนของมนุษย์หรอกหรือ?  แม้แต่ในขณะนี้ พวกเจ้าก็ยังคงคิดว่าการเชื่อและความจงรักภักดีของพวกเจ้าเพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าคู่ควรที่จะได้เห็นโฉมพระพักตร์ของพระคริสต์ แต่เราขอเตือนสติให้พวกเจ้าตระเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น!  เพราะในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ผู้คนมากมายที่เข้ามาพบปะติดต่อกับพระคริสต์ได้ล้มเหลวหรือจะล้มเหลว พวกเขาทั้งหมดแสดงบทบาทของพวกฟาริสี  อะไรคือสาเหตุแห่งความล้มเหลวของพวกเจ้า?  แน่นอนว่าเป็นเพราะในมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้า พระเจ้าทรงสูงส่งและควรแก่การเลื่อมใส  แต่ความจริงมิได้เป็นดั่งเช่นที่มนุษย์ปรารถนา  พระคริสต์ไม่เพียงไม่ทรงสูงส่ง แต่พระองค์ทรงเล็กเป็นพิเศษ พระองค์ไม่เพียงทรงเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง พระองค์ไม่เพียงไม่สามารถเสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์ แต่พระองค์ยังไม่สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระบนแผ่นดินโลก  และเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็ปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนกับที่พวกเขาจะทำกับมนุษย์ธรรมดา พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์อย่างไม่มีพิธีรีตองเมื่อพวกเขาอยู่กับพระองค์ และพูดจากับพระองค์อย่างไม่เอาใจใส่ และในระหว่างนั้นก็ยังคงรอคอยการทรงมาถึงของ “พระคริสต์เที่ยงแท้”  พวกเจ้าคิดเชื่อไปเองว่าพระคริสต์ที่ทรงมาถึงแล้วเป็นมนุษย์ธรรมดา และพระวจนะของพระองค์เป็นคำพูดของมนุษย์ธรรมดา  ด้วยเหตุผลนี้ พวกเจ้าจึงไม่ได้รับสิ่งใดๆ จากพระคริสต์และกลับได้ตีแผ่ความอัปลักษณ์ของตัวเจ้าเองออกมาในที่แจ้งแทนอย่างหมดเปลือก

ก่อนที่จะพบปะติดต่อกับพระคริสต์ เจ้าอาจเชื่อว่าอุปนิสัยของเจ้าได้รับการแปลงสภาพไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เชื่อว่าเจ้าเป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของพระคริสต์ เชื่อว่าไม่มีใครมีค่าคู่ควรได้รับพรของพระคริสต์มากกว่าเจ้า—และเชื่อว่า เมื่อได้เดินทางไปบนถนนหลายสาย ทำงานไปมากมายและผลิตดอกผลมากมายออกมา เจ้าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับมงกุฎในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน  แม้กระนั้น มีความจริงข้อหนึ่งที่เจ้าอาจยังไม่รู้ กล่าวคือ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และความเป็นกบฏและการต้านทานของเขาถูกเปิดโปงเมื่อเขาเห็นพระคริสต์ และความเป็นกบฏและการต้านทานที่ถูกเปิดโปงในเวลานี้นั้น ถูกเปิดโปงโดยเบ็ดเสร็จและอย่างหมดเปลือกยิ่งกว่าเวลาอื่น  เป็นเพราะพระคริสต์ทรงเป็นบุตรมนุษย์—บุตรมนุษย์คนหนึ่งซึ่งมีความเป็นมนุษย์ตามปกติ—มนุษย์จึงไม่ให้เกียรติและไม่เคารพพระองค์  เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนังซึ่งทำให้การเป็นกบฏของมนุษย์ถูกค้นพบอย่างทะลุปรุโปร่งและในรายละเอียดที่แจ่มชัดยิ่งนัก ดังนั้นเราจึงบอกเลยว่าการเสด็จมาของพระคริสต์ได้ขุดคุ้ยความเป็นกบฏทั้งหมดของมวลมนุษย์และเผยให้เห็นธรรมชาติของมนุษยชาติอย่างเด่นชัด  สิ่งนี้เรียกว่า “ล่อเสือลงจากภูเขา” และ “ล่อหมาป่าออกจากถ้ำของมัน”  เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะบังอาจพูดว่าเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า?  เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะบังอาจพูดว่าเจ้านบนอบพระเจ้าทุกประการ?  เจ้ากล้าหรือไม่ที่จะบังอาจพูดว่าเจ้าเป็นกบฏ?  บางคนจะพูดว่า “เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงจัดวางให้ฉันอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ฉันมักจะยอมตามเสมอโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ และยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ฟุ้งซ่านในมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลย”  บางคนจะพูดว่า “สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบเป็นภารกิจให้ฉันทำ ฉันจะทำให้ดีสุดความสามารถของฉัน และจะไม่มีวันทำตัวสุกเอาเผากิน”  ในกรณีนั้น เราขอถามพวกเจ้าดังนี้ว่า พวกเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์เมื่อตอนที่เจ้ามีชีวิตอยู่เคียงข้างพระองค์หรือไม่?  และเจ้าจะเข้ากันได้กับพระองค์นานเท่าใด?  หนึ่งวัน?  สองวัน?  หนึ่งชั่วโมง?  สองชั่วโมง?  ความเชื่อของพวกเจ้าอาจจะน่าชมเชย แต่พวกเจ้าไม่ได้มีในเรื่องของความมุมานะมากนัก  ทันทีที่เจ้ากำลังมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์จริงๆ การมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอและความสำคัญตนของเจ้าจะถูกตีแผ่ผ่านคำพูดและการกระทำของเจ้าทีละเล็กทีละน้อย และเช่นเดียวกัน ความอยากอันหยิ่งยโสของเจ้า กรอบความคิดที่ดื้อแพ่งและความไม่สมดังใจของเจ้าก็จะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน  ในที่สุด ความโอหังของเจ้าจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเจ้าไม่ลงรอยกับพระคริสต์มากจนเข้ากันไม่ได้เสมือนน้ำกับไฟ และเมื่อนั้น ธรรมชาติของเจ้าจะถูกตีแผ่อย่างหมดเปลือก  ณ เวลานั้น มโนคติที่หลงผิดของเจ้าจะไม่สามารถถูกปิดบังได้อีกต่อไป ปัญหากวนใจของเจ้าก็จะโผล่ออกมาอย่างแน่นอนเช่นกัน และความเป็นมนุษย์ต่ำทรามของเจ้าก็จะถูกตีแผ่อย่างหมดเปลือก  แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เจ้ายังคงปฏิเสธที่จะรับรู้ความเป็นกบฏของเจ้าเอง แต่กลับเชื่อว่าพระคริสต์เช่นนี้ไม่ง่ายที่มนุษย์จะยอมรับ ว่าพระองค์ทรงเข้มงวดเกินไปกับมนุษย์ และว่าเจ้าจะนบนอบอย่างสุดใจหากพระองค์เป็นพระคริสต์ที่พระทัยดีกว่านี้ พวกเจ้าเชื่อว่าการเป็นกบฏของพวกเจ้านั้นสมเหตุสมผล และพวกเจ้าเพียงแค่กบฏต่อพระองค์เมื่อพระองค์ทรงผลักดันพวกเจ้ามากเกินไป  เจ้าไม่เคยพิจารณาเลยแม้สักครั้งว่าเจ้าไม่ได้มองพระคริสต์ในฐานะพระเจ้า ว่าเจ้าไม่มีความตั้งใจที่จะนบนอบพระองค์  ตรงกันข้าม เจ้ากลับยืนกรานหัวชนฝาให้พระคริสต์ทรงพระราชกิจตามความปรารถนาของเจ้าเอง และทันทีที่พระองค์ทรงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ขัดแย้งกับการคิดไปเองของเจ้า เจ้าก็เชื่อว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าแต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง  มีคนไม่มากนักท่ามกลางพวกเจ้าใช่หรือไม่ที่ได้ชิงดีชิงเด่นกับพระองค์ด้วยวิธีนี้?  จะว่าไปแล้ว ใครหรือที่พวกเจ้าเชื่อ?  และพวกเจ้าแสวงหาด้วยวิธีใดกันหรือ?

พวกเจ้าปรารถนาที่จะเห็นพระคริสต์อยู่เสมอ แต่เรารบเร้าให้พวกเจ้าอย่าวางท่านับถือตัวเองเสียสูงส่งขนาดนั้น ผู้ใดก็อาจเห็นพระคริสต์ได้ แต่เราบอกเลยว่าไม่มีใครเหมาะสมที่จะเห็นพระคริสต์  เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเปี่ยมด้วยความชั่ว ความโอหังและความเป็นกบฏ ณ ชั่วขณะที่เจ้าเห็นพระคริสต์ ธรรมชาติของเจ้าจะทำลายเจ้าและกล่าวโทษเจ้าจนตาย การคบหาสมาคมของเจ้ากับพี่น้องชาย (หรือหญิง) อาจไม่แสดงอะไรเกี่ยวกับตัวเจ้ามากนัก แต่มันไม่เรียบง่ายนักเมื่อเจ้าคบหาสมาคมกับพระคริสต์  ไม่ว่าเวลาใด มโนคติที่หลงผิดของเจ้าอาจหยั่งรากลึก ความโอหังของเจ้าเริ่มงอกงาม และความเป็นกบฏของเจ้าผลิดอกออกผล  ด้วยความเป็นมนุษย์เยี่ยงนี้ เจ้าจะเหมาะสมที่จะคบหาสมาคมกับพระคริสต์ได้อย่างไร?  เจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะพระเจ้าในทุกชั่วขณะของทุกวันอย่างนั้นหรือ?  เจ้าจะมีความนบนอบที่เป็นจริงต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเจ้านมัสการพระเจ้าผู้สูงส่งในหัวใจพวกเจ้าในฐานะพระยาห์เวห์ ในขณะที่ถือว่าพระคริสต์ที่มองเห็นได้คือมนุษย์คนหนึ่ง  สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าช่างต่ำต้อยเกินไปและความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าช่างต่ำทรามเกินไป!  พวกเจ้าไม่สามารถมองพระคริสต์ในฐานะพระเจ้าได้เสมอ มีเพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้นเมื่อถูกใจเจ้า  เจ้าจึงจะคว้าเกาะกุมพระองค์ไว้และนมัสการพระองค์ในฐานะพระเจ้า  นี่คือเหตุผลที่เราบอกว่าพวกเจ้าไม่ใช่ผู้เชื่อของพระเจ้า แต่เป็นกลุ่มผู้สมรู้ร่วมคิดที่ต่อสู้กับพระคริสต์  แม้แต่คนที่แสดงความใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่นก็ยังได้รับการตอบแทน แต่พระคริสต์ผู้ได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้ท่ามกลางพวกเจ้ากลับไม่ได้รับทั้งความรักของมนุษย์และค่าตอบแทนและการนบนอบของเขา  นี่ไม่ใช่เรื่องน่าปวดร้าวใจหรอกหรือ?

อาจเป็นไปได้ว่าตลอดหลายปีที่เจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่เคยสาปแช่งใครหรือกระทำความประพฤติเลวร้ายใดๆ แต่ในการคบหาสมาคมกับพระคริสต์ของเจ้า เจ้าไม่สามารถพูดความจริง กระทำการอย่างซื่อสัตย์ หรือนบนอบพระวจนะของพระคริสต์ ในกรณีเช่นนั้น เราบอกเลยว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายและมุ่งร้ายที่สุดในโลก  เจ้าอาจมีอัธยาศัยดีและอุทิศตนเป็นพิเศษต่อบรรดาญาติ เพื่อน ภรรยา (หรือสามี) บุตรชายหญิง และบิดามารดาของเจ้า และไม่เคยเอาเปรียบผู้อื่น แต่หากเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างปรองดองกับพระองค์ได้แล้วไซร้ ต่อให้เจ้าสละทั้งหมดที่มีให้กับเพื่อนบ้านของเจ้า หรือดูแลเอาใจใส่บิดามารดาและสมาชิกในครัวเรือนของเจ้าอย่างพิถีพิถัน เราก็จะบอกว่าเจ้ายังคงเป็นคนชั่ว และยิ่งกว่านั้น ยังเต็มไปด้วยเพทุบายอันเจ้าเล่ห์  จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้ากันได้กับพระคริสต์เพียงเพราะเจ้าไปกันได้กับคนอื่นหรือประพฤติดีมาบ้าง  เจ้าคิดว่าเจตนาเปี่ยมกุศลของเจ้าสามารถหลอกรับพรแห่งฟ้าได้หรือ?  เจ้าคิดว่าการประพฤติดีเพียงเล็กน้อยเป็นการทดแทนความนบนอบของเจ้ากระนั้นหรือ?  ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง และเจ้าทุกคนพบว่ามันยากที่จะอ้าแขนรับความเป็นมนุษย์ตามปกติของพระคริสต์ แม้เจ้าจะป่าวประกาศอยู่เป็นนิจเรื่องความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าก็ตาม  ความเชื่อในแบบที่พวกเจ้ามีนั้นจะนำมาซึ่งผลการกระทำอันสาสมที่เหมาะสมกัน  จงหยุดตามใจตัวเองในภาพลวงตาเพ้อฝันและความปรารถนาที่จะเห็นพระคริสต์เพราะพวกเจ้ามีวุฒิภาวะต่ำเกินไป ต่ำเสียจนเจ้าไม่ควรค่าแม้แต่จะได้เห็นพระองค์  เมื่อเจ้าถูกกวาดล้างจากความเป็นกบฏของเจ้าอย่างสิ้นเชิงและสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองกับพระคริสต์ได้แล้ว ณ ตอนนั้นพระเจ้าจะทรงปรากฏต่อเจ้าอย่างแน่นอน  หากเจ้าไปพบพระเจ้าโดยไม่ได้ผ่านการตัดแต่งหรือพิพากษาแล้วไซร้ เจ้าจะต้องกลายเป็นปรปักษ์ของพระเจ้าและถูกลิขิตให้ถูกทำลายอย่างแน่นอน  ธรรมชาติของมนุษย์เป็นศัตรูต่อพระเจ้าในตนเองอยู่แล้วเพราะมนุษย์ทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกที่สุดของซาตานตลอดมา  หากมนุษย์พยายามคบหาสมาคมกับพระเจ้าจากท่ามกลางความเสื่อมทรามของเขาเอง แน่นอนว่าจะไม่มีสิ่งดีใดๆ เกิดขึ้นจากการนี้ได้ การกระทำและคำพูดของเขาจะเปิดโปงความเสื่อมทรามของเขาในทุกแห่งหนอย่างแน่นอน และในการคบหาสมาคมกับพระเจ้านั้น ความเป็นกบฏของเขาจะเผยตัวออกมาทุกครั้ง  มนุษย์มาต่อต้านพระคริสต์ หลอกลวงพระคริสต์ และละทิ้งพระคริสต์โดยไม่รู้ตัวเลย  เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น มนุษย์จะอยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมเสียยิ่งกว่าเดิม และหากสิ่งนี้ดำเนินต่อไป เขาก็จะกลายเป็นเป้าหมายของการลงโทษ

บางคนอาจเชื่อว่าหากการคบหาสมาคมกับพระเจ้ามีอันตรายยิ่งนัก เช่นนั้นแล้ว อาจเป็นการฉลาดกว่าที่จะรักษาระยะห่างจากพระเจ้าเข้าไว้  ผู้คนเช่นนี้จะสามารถได้รับอะไรบ้าง?  พวกเขาจะสามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้หรือ?  แน่ใจได้เลยว่าการคบหาสมาคมกับพระเจ้านั้นยากมาก—แต่นั่นเป็นเพราะว่ามนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทราม ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะคบหาสมาคมกับเขาได้  จะเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าที่จะมอบอุทิศความพยายามมากขึ้นให้กับความจริงของการรู้จักตนเอง  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า?  เหตุใดอุปนิสัยของเจ้าจึงเป็นที่น่าสะอิดสะเอียนสำหรับพระองค์?  เหตุใดวาทะของเจ้าปลุกเร้าความเกลียดของพระองค์?  ทันทีที่เจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีสักเล็กน้อย เจ้าก็ขับร้องสรรเสริญตนเอง และเจ้าเรียกร้องบำเหน็จรางวัลสำหรับการทำคุณความดีเพียงน้อยนิดของเจ้า พอเจ้าแสดงความนบนอบให้เห็นนิดหนึ่ง เจ้าก็ดูถูกผู้อื่น และพอสำเร็จลุล่วงภารกิจยิบย่อยบางอย่าง เจ้าก็เหยียดหยามพระเจ้า  ในการต้อนรับขับสู้พระเจ้า พวกเจ้าร้องขอเงินทอง ของขวัญ และคำชมเชย  เจ้ารู้สึกใจแป้วที่จะต้องบริจาคหนึ่งหรือสองเหรียญ ครั้นเจ้าบริจาคสิบเหรียญ เจ้าปรารถนาพรและต้องการได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างโดดเด่น  ความเป็นมนุษย์เช่นที่พวกเจ้ามีนั้นช่างระคายปากและแสลงหูยิ่งนัก  มีสิ่งใดบ้างที่น่ายกย่องในคำพูดและการกระทำของเจ้า?  พวกที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและพวกที่ไม่ปฏิบัติ  พวกที่เป็นผู้นำและพวกที่ติดตาม  พวกที่ต้อนรับขับสู้พระเจ้าและพวกที่ไม่ต้อนรับ  พวกที่บริจาคและพวกที่ไม่บริจาค  พวกที่ประกาศและพวกที่รับพระวจนะ และอื่นๆ มนุษย์เหล่านี้ทุกคนชมตัวเอง พวกเจ้าไม่คิดว่าสิ่งนี้น่าหัวเราะหรอกหรือ?  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เจ้าก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าพวกเจ้าปราศจากคุณความดีอย่างสิ้นเชิง เจ้าก็ยังยืนกรานที่จะอวดตัวอยู่ดี  พวกเจ้าไม่รู้สึกหรือว่า สำนึกรับรู้ของพวกเจ้าเสื่อมลงจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่มีการควบคุมตนเองอีกต่อไปแล้ว?  ด้วยสำนึกรับรู้เช่นนี้ เจ้ายังเหมาะที่จะคบหาสมาคมกับพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าไม่กลัวว่าตัวพวกเจ้าเองกำลังตกอยู่ในอันตรายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้หรอกหรือ?  อุปนิสัยของพวกเจ้าได้เสื่อมลงแล้วจนถึงจุดที่พวกเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้า  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความเชื่อของพวกเจ้าไม่น่าหัวเราะหรอกหรือ?  ความเชื่อของพวกเจ้าไม่วิปริตหรอกหรือ?  เจ้าจะเข้าหาอนาคตของเจ้าอย่างไร?  เจ้าจะเลือกเส้นทางที่จะใช้อย่างไร?

ก่อนหน้า: ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว

ถัดไป: ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger