ค) เหตุที่ความรอดจากพระเจ้าสามารถบรรลุได้โดยการยอมรับการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายเท่านั้น

พระวจนะของพระเจ้าจากพระคัมภีร์

“ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย… ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง… ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง” (ยอห์น 17:15-19)

“หากใครปฏิเสธเราและไม่ยอมรับวจนะของเรา จะมีสิ่งหนึ่งที่พิพากษาเขา นั่นคือ คำที่เรากล่าวไว้แล้วย่อมจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 12:48)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกคือการไถ่มนุษย์จากบาป เพื่อไถ่เขาด้วยกายเนื้อหนังของพระเยซู นั่นก็คือ พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ในตัวมนุษย์  การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นมิใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จากบาปให้รอดอย่างครบถ้วนเสียมากกว่า  การนี้ทำไปก็เพื่อที่บรรดาผู้ที่ได้รับการยกโทษไปแล้วอาจได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปของพวกเขา และได้รับการทำให้สะอาดอย่างครบถ้วน หลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตานและคืนสู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าด้วยการบรรลุการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  เพียงในหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน หลังจากที่ยุคธรรมบัญญัติได้สิ้นสุดลงและเริ่มยุคพระคุณ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจแห่งความรอดซึ่งดำเนินต่อมาจนถึงยุคสุดท้ายที่พระองค์จะทรงชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ด้วยการพิพากษาและการตีสอนเผ่าพันธุ์มนุษย์เพราะความเป็นกบฏของพวกเขา  เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงสรุปพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์และเข้าสู่การหยุดพัก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาแก่นแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด  โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์  สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนได้ตระหนักว่า พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ พวกเขาก็บ่นออกมา ยุติการไล่ตามเสาะหาชีวิต และกลับกลายเป็นคนคิดลบอย่างที่สุด  นี่ไม่ได้แสดงว่ามนุษยชาติยังคงไม่สามารถนบนอบอย่างสุดใจภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่มิใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาชัดๆ เลยหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังอยู่ภายใต้การตีสอน มือของเจ้าชูสูงเหนือผู้อื่นทั้งหมด แม้แต่พระหัตถ์ของพระเยซู  และเจ้าก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “จงเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า!  จงเป็นคนสนิทของพระเจ้า!  พวกเรายอมตายมากกว่าจะยอมกราบไหว้ซาตาน!  จงต่อต้านซาดานเฒ่า!  ต่อต้านพญานาคใหญ่สีแดง!  ขอให้พญานาคใหญ่สีแดงจงตกต่ำจากอำนาจอย่างน่าอนาถ!  ขอพระเจ้าทรงทำให้พวกเราครบบริบูรณ์!”  เสียงร้องของพวกเจ้าดังกว่าผู้อื่นทั้งหมด  แต่แล้วก็มาถึงเวลาแห่งการตีสอน และเป็นอีกครั้งที่อุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษยชาติถูกเปิดเผย  แล้วเสียงร้องของพวกเขาก็หยุดลง และปณิธานของพวกเขาก็ล้มเหลว  นี่คือความเสื่อมทรามของมนุษย์ เมื่อไหลลึกกว่าบาป จึงเป็นสิ่งที่ซาตานเพาะเอาไว้และหยั่งรากลึกอยู่ภายในตัวมนุษย์  ไม่ง่ายที่มนุษย์จะตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้  เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายก็คือการตรัสพระวจนะ  โดยพระวจนะสามารถส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในตัวมนุษย์ได้  เวลานี้ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเหล่านี้เวลาที่พวกเขายอมรับพระวจนะเหล่านี้นั้น ยิ่งใหญ่กว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเมื่อพวกเขายอมรับหมายสำคัญและการอัศจรรย์แห่งยุคพระคุณมากมายนัก เพราะในยุคพระคุณนั้น ปีศาจทั้งหลายได้ถูกขับไล่ออกจากมนุษย์ด้วยการวางมือและการอธิษฐาน แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายภายในมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่  มนุษย์ได้รับการรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาและได้รับการยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ  มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษโดยผ่านทางพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีบาปภายในตัวเขาอีกต่อไป  บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้  การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน  ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์  ในกาลเวลาที่พระเยซูกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์  ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร  มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ  ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และภาพลักษณ์มีใจศรัทธาของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้  เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด  ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ  มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ?  ยัง!  ดังนั้นหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่  ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม  ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา  มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว  แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย  นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก  เพราะฉะนั้น การประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

การดำเนินชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์เป็นไปภายใต้อำนาจของซาตาน และไม่มีแม้แต่บุคคลเดียวที่สามารถปลดปล่อยตัวเองจากอิทธิพลของซาตานได้ด้วยตัวพวกเขาเอง  ทั้งหมดล้วนมีชีวิตอยู่ในโลกอันโสมม ในความเสื่อมทรามและความว่างเปล่า ปราศจากความหมายหรือคุณค่าแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาใช้ชีวิตที่ช่างอิสระไร้กังวลเยี่ยงนั้นเพื่อเนื้อหนัง เพื่อตัณหา และเพื่อซาตาน  การดำรงอยู่ของพวกเขาไม่มีคุณค่าแม้แต่น้อยนิดเลย  มนุษย์ไร้ความสามารถในการค้นหาความจริงซึ่งจะปลดปล่อยเขาจากอิทธิพลของซาตาน  แม้ว่ามนุษย์เชื่อในพระเจ้า และอ่านพระคัมภีร์ เขาก็หาได้เข้าใจไม่ ว่าจะปลดปล่อยตัวเขาเองจากการควบคุมของอิทธิพลของซาตานได้อย่างไร  ตลอดหลายยุคสมัย มีผู้คนน้อยมากที่ได้ค้นพบความลับนี้ มีน้อยมากที่ได้จับความเข้าใจเกี่ยวกับมัน  ครั้นเป็นเช่นนั้น แม้มนุษย์รังเกียจซาตานและรังเกียจเนื้อหนัง เขาก็ไม่รู้ว่าจะกำจัดอิทธิพลของซาตานที่กำลังวางกับดักอยู่ออกจากตัวเขาได้อย่างไร  ในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ายังคงอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานหรอกหรือ?  เจ้าไม่เสียใจในการกระทำอันเป็นกบฏของเจ้า และนับประสาอะไรที่จะรู้สึกว่าตัวเจ้านั้นโสมมและเป็นกบฏ  หลังการต่อต้านพระเจ้า เจ้าถึงกับรู้สึกมีสันติสุขในจิตใจและรู้สึกสงบอย่างใหญ่หลวง  ความสงบของเจ้านั้นมิใช่เพราะเจ้าเสื่อมทรามหรอกหรือ?  สันติสุขของจิตใจนี้มิได้มาจากความเป็นกบฏของเจ้าหรอกหรือ?  มนุษย์มีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ เขามีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลมืดของซาตาน ทั่วแผ่นดิน ผีทั้งหลายอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ รุกคืบไปบนเนื้อหนังของมนุษย์ บนแผ่นดินโลก เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองบรมสุขเกษมอันงดงาม  สถานที่ที่เจ้าอยู่ก็คืออาณาจักรของพวกมาร นรกมนุษย์แห่งหนึ่ง นรกขุมลึกแห่งหนึ่งนั่นเอง  หากมนุษย์ไม่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้วไซร้ เขาย่อมเป็นสิ่งโสมม หากเขาไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องและดูแลโดยพระเจ้าแล้วไซร้ เขาย่อมยังคงเป็นเชลยของซาตาน หากเขาไม่ได้รับการพิพากษาและการตีสอนแล้วไซร้ เขาย่อมจะไม่มีวิถีทางที่จะหลีกหนีการกดขี่ของอิทธิพลมืดของซาตาน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

มนุษย์มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเนื้อหนัง ซึ่งก็หมายความว่าเขามีชีวิตอยู่ในนรกมนุษย์ และหากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า มนุษย์ย่อมมีความโสมมพอกันกับซาตาน  มนุษย์จะสามารถบริสุทธิ์ได้อย่างไร?  เปโตรเชื่อว่าการตีสอนและการพิพากษาโดยพระเจ้าเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ได้รับ  มนุษย์จะสามารถตื่นขึ้นและเกลียดชังเนื้อหนัง เกลียดชังซาตานได้ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าเท่านั้น  การบ่มวินัยอันเคร่งครัดของพระเจ้าปลดปล่อยมนุษย์จากอิทธิพลของซาตาน ปลดปล่อยเขาจากโลกใบเล็กของเขาเอง และเปิดโอกาสให้เขามีชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งพระพักตร์พระเจ้า  ไม่มีความรอดใดที่ดีไปกว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอีกแล้ว!  เปโตรได้อธิษฐานไปว่า “โอ พระเจ้า!  ตราบที่พระองค์ทรงตีสอนและพิพากษาข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทราบว่าพระองค์หาได้ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ไม่  ต่อให้พระองค์ไม่ทรงมอบความชื่นบานหรือสันติสุขให้แก่ข้าพระองค์ และทรงทำให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ในความทุกข์ และทรงทำโทษข้าพระองค์ด้วยการสั่งสอนเกินคณานับ ตราบที่พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ย่อมรู้สึกสบายใจ  ในวันนี้ การตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้กลายมาเป็นการคุ้มครองปกป้องที่ดีที่สุดและพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าพระองค์ได้รับ  พระคุณที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพระองค์นั้นคุ้มครองปกป้องข้าพระองค์  พระคุณที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ก็คือ การสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และคือการตีสอนและการพิพากษา ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการทดสอบ และที่มากกว่านั้น เป็นชีวิตแห่งความทุกข์” เปโตรสามารถละทิ้งความยินดีในเนื้อหนังและแสวงหาความรักที่ลึกซึ้งกว่าและการคุ้มครองปกป้องที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะเขาได้รับพระคุณมากมายจากการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้  จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์  มนุษย์มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และดำรงอยู่ในเนื้อหนัง หากเขาไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และไม่ได้รับการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าแล้วไซร้ มนุษย์ย่อมจะกลายเป็นเสื่อมลงทุกที  หากเขาปรารถนาที่จะรักพระเจ้าแล้วไซร้ เขาต้องได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการช่วยให้รอด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

แท้จริงแล้ว พระราชกิจที่กำลังทรงทำอยู่ตอนนี้คือการทำให้ผู้คนละทิ้งซาตาน บรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขา  การพิพากษาทั้งมวลโดยพระวจนะมุ่งที่จะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ และทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตได้  การพิพากษาซ้ำๆ เหล่านี้เสียดแทงหัวใจของผู้คน  การพิพากษาแต่ละครั้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของพวกเขา และหมายให้สร้างบาดแผลแก่หัวใจของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขามารู้จักชีวิต รู้จักโลกที่โสมมนี้ รู้จักพระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และรู้จักมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกด้วย  ยิ่งมนุษย์ได้รับการตีสอนและการพิพากษาประเภทนี้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของมนุษย์ก็ยิ่งสามารถได้รับบาดเจ็บมากขึ้นและวิญญาณของเขาก็ยิ่งสามารถถูกปลุกให้ตื่นมากขึ้นเท่านั้น  การปลุกวิญญาณของผู้คนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามสุดขีดและถูกหลอกลวงอย่างลึกล้ำมากที่สุดเหล่านี้ให้ตื่นคือเป้าหมายของการพิพากษาประเภทนี้  มนุษย์ไม่มีวิญญาณ นั่นคือวิญญาณของเขาได้ตายไปนานแล้ว และเขาหารู้ไม่ว่ามีฟ้าสวรรค์ หารู้ไม่ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่ง และหารู้ไม่อย่างแน่นอนว่าเขากำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงเหวแห่งความตาย เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าเขากำลังมีชีวิตอยู่ในนรกชั่วนี้บนแผ่นดินโลก?  เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าศพเน่าเหม็นของเขานี้ได้ตกลงไปในแดนคนตายโดยผ่านทางการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน?  เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกได้ถูกมวลมนุษย์ทำให้ย่อยยับจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้นานแล้ว?  และเขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าพระผู้สร้างได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในวันนี้ และกำลังทรงค้นหากลุ่มคนที่เสื่อมทรามที่พระองค์จะสามารถช่วยให้รอดได้?  แม้หลังจากที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับทุกกระบวนการถลุงและทุกการพิพากษาที่เป็นไปได้ แต่จิตสำนึกที่ทึมทึบของเขาก็ยังคงแทบไม่รู้สึกตัว และจริงๆ แล้วไม่ตอบสนองแต่อย่างใดเลย  มนุษยชาติช่างเสื่อมนัก!  และแม้ว่าการพิพากษาประเภทนี้จะเป็นเหมือนลูกเห็บโหดร้ายที่ตกลงมาจากฟ้า แต่ก็เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดต่อมนุษย์  หากไม่เป็นเพราะการพิพากษาผู้คนเยี่ยงนี้ก็คงจะไม่มีผลลัพธ์และคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะช่วยผู้คนให้รอดจากห้วงเหวแห่งความระทมทุกข์  หากไม่เป็นเพราะพระราชกิจนี้ก็คงจะยากยิ่งที่ผู้คนจะออกมาจากแดนคนตาย เพราะหัวใจของพวกเขาได้ตายไปนานแล้ว และวิญญาณของพวกเขาได้ถูกซาตานเหยียบย่ำนานมาแล้ว  การช่วยพวกเจ้าที่ได้จมลงสู่ก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของความเสื่อมให้รอดพึงต้องมีการร้องเรียกพวกเจ้าอย่างแข็งขัน พิพากษาพวกเจ้าอย่างแข็งขัน  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะปลุกหัวใจที่เย็นจนแข็งของพวกเจ้าให้ตื่น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้

พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์  หากปราศจากการพิพากษาของพระองค์ต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แล้ว มนุษย์คงไม่อาจสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการล่วงเกินอันใดได้ อีกทั้งมนุษย์คงจะไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เก่าๆ ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้กลายเป็นความรู้ใหม่ได้  เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์สามารถมาถึงจุดที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของเขา และเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้โดยผ่านทางการทรงปรากฏต่อสาธารณะของพระองค์  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและสมดั่งพระทัยของพระเจ้าได้  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์แสดงนัยสำคัญว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแม่แบบ และวัตถุตัวอย่างของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่สมดั่งพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์  บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้  พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่ได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งของพระองค์ เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ทรงใช้พวกที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงใช้บรรดาผู้ที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผู้ที่ได้รับพรของพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์ด้วยปากของเขา อีกทั้งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงได้รับการสรรเสริญและคำพยานจากผู้คนจำพวกของซาตาน ผู้ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์  เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้มีการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระเจ้าจะไม่ทรงยินยอมด้วยความตั้งพระทัยให้มนุษย์นำความอับอายมาสู่พระนามของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า

บัดนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือการพิพากษาและอะไรคือความจริง?  หากเจ้าเข้าใจแล้ว เราขอเตือนสติเจ้าให้นบนอบเชื่อฟังการถูกพิพากษา มิเช่นนั้นเจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสที่จะได้รับการชมเชยจากพระเจ้าหรือได้รับการพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์โดยพระองค์  พวกที่ยอมรับเพียงการพิพากษาเท่านั้น แต่ไม่มีวันที่จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ได้ กล่าวคือพวกที่หลบหนีไปกลางพระราชกิจแห่งการพิพากษา จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ตลอดกาล บาปนานาของพวกเขานั้นมากมายและน่าสลดใจยิ่งกว่าของพวกฟาริสี เพราะพวกเขาได้ทรยศพระเจ้าและเป็นพวกกบฏต่อพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้ซึ่งไม่คู่ควรแม้แต่จะทำงานใช้แรงย่อมจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นการลงโทษที่ยาวนานตลอดกาล พระเจ้าจะไม่ทรงละเว้นคนทรยศใดๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยแสดงความจงรักภักดีอย่างชัดแจ้งด้วยคำพูดแต่แล้วก็ทรยศพระองค์ ผู้คนเช่นนี้จะได้รับบทลงโทษที่รุนแรงสาสมผ่านทางการลงโทษวิญญาณ ดวงจิต และร่างกาย นี่ไม่ใช่การเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแม่นยำหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระเจ้าในการพิพากษามนุษย์และเปิดโปงเขาหรอกหรือ?  พระเจ้าทรงส่งทุกคนที่ปฏิบัติความประพฤติชั่วทุกประเภทในช่วงเวลาแห่งการพิพากษาไปยังสถานที่ที่ยุบยับไปด้วยวิญญาณชั่วร้ายและปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายเหล่านี้ทำลายร่างกายอันเต็มไปด้วยเนื้อหนังของพวกเขาตามที่พวกมันปรารถนา และร่างกายของผู้คนเหล่านั้นส่งกลิ่นเหม็นของซากศพ นั่นคือบทลงโทษที่เหมาะสมของพวกเขา พระเจ้าทรงจารึกบาปทั้งหมดทุกครั้งของเหล่าผู้เชื่อจอมปลอม สาวกจอมปลอมและคนงานจอมปลอมลงในสมุดบันทึกของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงโยนพวกเขาทิ้งลงไปท่ามกลางวิญญาณที่ไม่สะอาด ปล่อยให้วิญญาณที่ไม่สะอาดเหล่านี้สร้างมลทินให้ทั่วร่างกายของพวกเขาตามอำเภอใจ เพื่อที่พวกเขาจะไม่มีวันได้เกิดเป็นมนุษย์อีกและไม่มีวันได้เห็นความสว่างอีกเลย บรรดาผู้เสแสร้งที่ทำงานรับใช้ในช่วงเวลาหนึ่งแต่ไม่สามารถจงรักภักดีต่อไปได้จนถึงปลายทางถูกพระเจ้านับรวมกับคนชั่ว เพื่อที่พวกเขาจะเข้าไปสมคบคิดกับคนชั่วและกลายเป็นส่วนหนึ่งของฝูงชนโกลาหลไร้ระเบียบของพวกนั้น ในที่สุด พระเจ้าจะทำลายล้างพวกเขา พระเจ้าทรงทอดทิ้งและไม่ใส่พระทัยรับรู้ถึงพวกที่ไม่เคยจงรักภักดีต่อพระคริสต์หรือไม่เคยแบ่งปันสิ่งใดจากพละกำลังของพวกเขา และเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนยุค พระองค์จะทรงทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด พวกเขาจะไม่ดำรงอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป และยิ่งไม่ได้รับเส้นทางเดินเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าพวกที่ไม่เคยจริงใจกับพระเจ้า แต่ถูกสถานการณ์บังคับให้ติดต่อกับพระองค์อย่างขอไปทีนั้น ถูกนับรวมกับบรรดาผู้ที่รับใช้ผู้คนของพระองค์ มีผู้คนเช่นนี้เพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่จะอยู่รอด ขณะที่ส่วนใหญ่จะต้องพินาศพร้อมกับพวกคนออกแรงทำงานที่ไม่ได้มาตรฐาน  ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงนำสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ซึ่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีจิตใจเช่นเดียวกับพระเจ้า ผู้คนและบุตรของพระเจ้า และผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เป็นปุโรหิต พวกเขาจะเป็นสิ่งกลั่นกรองจากพระราชกิจของพระเจ้า สำหรับพวกที่ไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ใดๆ ที่พระเจ้ากำหนด พวกเขาจะถูกนับรวมไปกับผู้ไม่มีความเชื่อ—และพวกเจ้าสามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอนว่าบทอวสานของพวกเขาจะเป็นเช่นไร เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหมดที่เราควรบอกแล้ว ถนนที่พวกเจ้าเลือกเป็นตัวเลือกของพวกเจ้าเพียงลำพัง สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจคือสิ่งนี้ กล่าวคือ พระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยรอผู้ใดที่ไม่สามารถก้าวทันพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่แสดงความเมตตาต่อมนุษย์ผู้ใด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย?

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร

การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่างแห่งความรอดของมนุษย์

ก่อนหน้า: ข) ผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด และผู้ที่พระองค์ทรงกำจัดออกไป

ถัดไป: ง) สิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับผู้ที่ได้รับความรอดและได้รับการทำให้เพียบพร้อม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger