วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร

แท้จริงแล้วการรับเอาเส้นทางของเปโตรในความเชื่อของคนเราหมายถึงการเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งยังเป็นเส้นทางของการได้รู้จักตนเองและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองอย่างแท้จริงเช่นกัน  มีเพียงโดยการเดินบนเส้นทางของเปโตรเท่านั้นคนเราจึงจะอยู่บนเส้นทางของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  คนเราต้องชัดเจนเกี่ยวกับวิธีเดินบนเส้นทางของเปโตรโดยแน่ชัด ตลอดจนวิธีนำการนั้นไปปฏิบัติ  ก่อนอื่น คนเราต้องละวางเจตนาของคนเราเอง การไล่ตามเสาะหาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และแม้กระทั่งครอบครัวและทุกสรรพสิ่งของเนื้อหนังของคนเราเอง  คนเราต้องอุทิศโดยสุดหัวใจ กล่าวคือ คนเราต้องอุทิศตัวเองแก่พระวจนะของพระเจ้าโดยสุดหัวใจ มุ่งความสนใจไปที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จดจ่ออยู่กับการค้นหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และพยายามจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง  นี่เป็นวิธีการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานและสำคัญยิ่งยวด  นี่คือสิ่งที่เปโตรทำหลังจากที่ได้เห็นพระเยซู และเป็นเพียงโดยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้  การอุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้แก่พระวจนะของพระเจ้าโดยหลักแล้วเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ มุ่งความสนใจไปที่การจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการเข้าใจและการได้มาซึ่งความจริงมากขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า  เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอน นับประสาอะไรที่เขาจะมุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งความรู้ทางศาสนศาสตร์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาจดจ่ออยู่กับการจับใจความความจริงและการจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ตลอดจนการสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระอุปนิสัยและความน่ารักของพระเจ้า  เปโตรยังได้พยายามที่จะเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์จากพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ตลอดจนธรรมชาติ แก่นแท้ และข้อบกพร่องตามจริงของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเพื่อที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย  เปโตรมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากมายเหลือเกินที่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  การนี้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และนั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถร่วมมือได้ในขณะที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  เมื่อผ่านประสบการณ์กับบททดสอบหลายร้อยครั้งที่พระเจ้าส่งมา เปโตรได้ตรวจสอบตัวเขาเองอย่างเข้มงวดโดยใช้พระวจนะทุกคำที่พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงมนุษย์เอาไว้ และพระวจนะทุกคำในข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ และเพียรพยายามที่จะหยั่งลึกถึงความหมายของพระวจนะเหล่านั้นอย่างถูกต้องแม่นยำ  เขาพยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะไตร่ตรองและจดจำทุกพระวจนะที่พระเยซูตรัสกับเขา และเขาก็สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีมาก  ด้วยการปฏิบัติในหนทางนี้ เขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาเองจากพระวจนะของพระเจ้า และเขาไม่เพียงมาเข้าใจสภาวะที่เสื่อมทรามและข้อบกพร่องนานาของมนุษย์เท่านั้น แต่เขายังมาเข้าใจแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  นี่คือความหมายของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง  จากพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่เพียงสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเขาเองเท่านั้น แต่เขายังมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น น้ำพระทัยของพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์ และข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์  จากพระวจนะเหล่านี้เขาจึงมารู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง  เขาได้มารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเนื้อแท้ของพระองค์ เขาได้มารู้จักและเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ตลอดจนความดีงามของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์  แม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสในตอนนั้นมากเท่ากับที่พระองค์ตรัสในวันนี้ กระนั้นก็ตามผลลัพธ์ในแง่มุมเหล่านี้ก็สัมฤทธิ์ในเปโตร  นี่คือสิ่งที่หายากและล้ำค่าสิ่งหนึ่ง  เปโตรได้ก้าวผ่านการทดสอบหลายร้อยครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้ทนทุกข์โดยสูญเปล่า  เขาไม่เพียงได้มาเข้าใจตัวเขาเองจากพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังได้มารู้จักพระเจ้าเช่นกัน  นอกจากนี้ เขาได้มุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ซึ่งบรรจุอยู่ในพระวจนะของพระองค์  ไม่ว่าจะในแง่มุมใดก็ตามที่มนุษย์ควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพื่ออยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เปโตรสามารถทุ่มเทความพยายามอันยิ่งใหญ่ออกไปในแง่มุมเหล่านั้นและสัมฤทธิ์ความกระจ่างชัดเต็มที่  นี่เป็นประโยชน์อย่างที่สุดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตของเขา  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ตรัสถึงสิ่งใด ตราบเท่าที่พระวจนะเหล่านั้นคือความจริงและสามารถกลายเป็นชีวิตได้ เปโตรสามารถสลักพระวจนะเหล่านั้นไว้ในหัวใจของเขาเพื่อไตร่ตรองและซึ้งคุณค่าพระวจนะเหล่านั้นได้เป็นนิจศีล  เมื่อได้ฟังพระวจนะของพระเยซู เขาก็สามารถเก็บพระวจนะเหล่านั้นไปคิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่พระวจนะของพระเจ้า และเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในที่สุดอย่างแท้จริง  กล่าวคือ เขาสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้อย่างเป็นอิสระ ปฏิบัติตามความจริงและอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ กระทำการโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้โดยทั้งหมดทั้งมวล และละวางความคิดเห็นและความคิดฝันส่วนตัวของเขาเอง  ในหนทางนี้ เปโตรได้เข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า  การรับใช้ของเปโตรเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยหลักแล้วก็เพราะเขาได้ทำการนี้แล้ว

หากใครคนหนึ่งสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง มีหลักธรรมในคำพูดและการกระทำของตน และเข้าสู่ความเป็นจริงในทุกแง่มุมของความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นบุคคลที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้ามีประสิทธิผลกับพวกเขาอย่างสมบูรณ์ ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาได้มาซึ่งความจริง และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า  หลังจากนี้ ธรรมชาติของเนื้อหนังของพวกเขา—กล่าวคือ รากฐานที่แท้จริงของการดำรงอยู่ดั้งเดิมของพวกเขา—จะสั่นสะเทือนจนแยกจากกันและพังทลาย  เฉพาะเมื่อผู้คนมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นดังชีวิตของพวกเขาแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นคนใหม่  หากพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นชีวิตของผู้คน หากนิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า การเปิดเผยและข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติ และมาตรฐานสำหรับชีวิตมนุษย์ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำได้ กลายเป็นชีวิตของพวกเขา หากผู้คนใช้ชีวิตตามพระวจนะและความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นเกิดใหม่และได้กลายเป็นผู้คนใหม่โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า  นี่คือเส้นทางซึ่งเปโตรใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง  นี่คือเส้นทางของการได้รับการทำให้เพียบพร้อม  เปโตรได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวจนะของพระเจ้า เขาได้รับชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้า ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงไว้ได้กลายเป็นชีวิตของเขา และเขาก็กลายเป็นบุคคลที่ได้มาซึ่งความจริง  พวกเราต่างรู้ว่าในช่วงที่พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เปโตรมีมโนคติอันหลงผิด มีความไม่เชื่อฟัง และมีความอ่อนแออยู่มากมาย  เหตุใดหลังจากนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง?  เรื่องนี้สัมพันธ์โดยตรงกับการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขา  ในการไล่ตามเสาะหาชีวิต คนเราต้องมุ่งปฏิบัติความจริง การเข้าใจเพียงแค่คำสอนนั้นไม่มีประโยชน์อันใด จำนวนคำสอนที่คนเราสามารถพูดถึงก็เช่นกัน  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเราได้  การเข้าใจเพียงแค่ความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้านั้นไม่เทียบเท่ากับการเข้าใจความจริง  สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าเป็นแก่นแท้และหลักธรรมต่างหากที่เป็นความจริง  ทุกบรรทัดของถ้อยดำรัสของพระองค์บรรจุความจริง แม้ว่าผู้คนอาจไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจความจริงนั้น  ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้าต้องเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์” มีความจริงอยู่ในถ้อยแถลงนี้  มีความจริงมากไปกว่านั้นอีกในถ้อยแถลงจากพระองค์ อาทิ “พวกเจ้าต้องกลายเป็นผู้คนที่นบนอบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้ซึ่งรักพระเจ้า และผู้ซึ่งนมัสการพระเจ้า  พวกเจ้าต้องลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะเหล่ามนุษย์”  แต่ละบรรทัดในพระวจนะของพระเจ้าอธิบายแง่มุมของความจริง และความจริงแต่ละประการนี้ก็สัมพันธ์กันอย่างแนบชิดกับความจริงข้ออื่นๆ  ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงแสดงความจริงไว้ในทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส และพระเจ้าก็ตรัสถึงความจริงแต่ละประการอย่างกว้างขวาง  จุดมุ่งหมายของการนี้คือเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของความจริง  มีเพียงผู้ที่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ถึงระดับนี้เท่านั้นที่เรียกได้ว่าเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  หากเจ้าเพียงเข้าใจและอธิบายพระวจนะของพระเจ้าไปตามความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะเหล่านั้นและกล่าวคำสอนที่กลวงเปล่าเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความเข้าใจของเจ้าย่อมไม่ใช่ความเข้าใจในเรื่องของความจริง  เจ้าแค่กำลังโอ้อวด มีแต่ลมปาก ไม่ลงมือทำ เอาคำสอนมาทำเป็นเล่นเท่านั้น

ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว  สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ?  ตัวอย่างเช่น  เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น?  อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้?  ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์  ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน?  สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า “ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร?  ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?”  ผู้คนก็จะตอบว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม”  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น  “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม”—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว และเป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้  ธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว  มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานทำก็เพื่อความหิว ความทะเยอทะยาน และจุดมุ่งหมายของมันเอง  มันปรารถนาที่จะล้ำเลิศกว่าพระเจ้า หลุดพ้นจากพระเจ้า และยึดอำนาจการควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง  วันนี้ขอบข่ายที่ผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเป็นดังนี้คือ พวกเขาล้วนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน พวกเขาทั้งหมดพยายามปฏิเสธและต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาต้องการควบคุมชะตากรรมของตนเอง และพยายามต่อต้านการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  ความทะเยอทะยานและความหิวของพวกเขาก็เหมือนกับของซาตานอย่างไม่ผิดเพี้ยน  เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์จึงเป็นธรรมชาติของซาตานนั่นเอง  ในข้อเท็จจริงนั้น คติพจน์และภาษิตของผู้คนมากมายแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์และสะท้อนให้เห็นแก่นแท้แห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์  สิ่งที่ผู้คนเลือกคือสิ่งที่พวกเขาชอบ และสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนของอุปนิสัยและการไล่ตามเสาะหาของผู้คน  ในทุกคำที่บุคคลหนึ่งๆ พูด และในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่ว่าจะอำพรางอย่างไร ทุกการกระทำและคำพูดก็ไม่สามารถปกปิดธรรมชาติของพวกเขา  ตัวอย่างเช่น ปกติแล้วพวกฟาริสีประกาศได้ดีมาก แต่เมื่อพวกเขาได้ฟังคำเทศนาและความจริงที่พระเยซูทรงแสดง แทนที่จะยอมรับ พวกเขากลับกล่าวโทษทั้งสองสิ่งนี้  นี่เปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกฟาริสีที่เบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง  ผู้คนบางคนพูดจาไพเราะมากและอำพรางตนเองเก่ง แต่หลังจากที่ผู้อื่นคบค้าสมาคมกับพวกเขาไปสักระยะหนึ่ง ผู้อื่นก็พบว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นเจ้าเล่ห์และไม่ซื่อสัตย์อย่างยิ่ง  หลังจากคบค้าสมาคมกับพวกเขาเป็นเวลานาน ทุกคนก็ค้นพบแก่นแท้และธรรมชาติของพวกเขา  ในที่สุด ผู้อื่นก็ลงความเห็นดังต่อไปนี้ว่า พวกเขาไม่เคยพูดความจริงสักคำและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง  ถ้อยแถลงนี้แสดงให้เห็นธรรมชาติของผู้คนดังกล่าว ทั้งยังเป็นตัวอย่างและข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดของธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา  ปรัชญาของพวกเขาเกี่ยวกับชีวิตคือการไม่บอกความจริงแก่ใครเลย ตลอดจนการไม่ไว้วางใจใครเลย  ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์บรรจุปรัชญาและพิษของซาตานเอาไว้มากมาย  บางครั้งเจ้าเองก็ไม่ทันตระหนักรู้ถึงปรัชญาเหล่านี้ด้วยซ้ำและไม่เข้าใจ ถึงกระนั้น ทุกขณะของชีวิตเจ้าก็มีพื้นฐานอยู่บนสิ่งเหล่านี้  ที่มากกว่านั้นคือเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องและมีเหตุผลทีเดียว และไม่ใช่การเข้าใจผิดแต่อย่างใด  นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าปรัชญาของซาตานได้กลายเป็นธรรมชาติของผู้คนไปแล้ว และว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตตามปรัชญาเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ คิดไปว่าหนทางในการใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี และไม่ได้สำนึกกลับใจแต่ประการใด  ดังนั้น พวกเขากำลังเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่เนืองนิตย์ และพวกเขายังใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานอยู่ตลอดเวลา  ธรรมชาติของซาตานคือชีวิตของมนุษยชาติ และเป็นธรรมชาติและแก่นแท้ของมนุษยชาติ  ธรรมชาตินั้นคืออะไรสามารถสื่อออกมาด้วยการสรุปเป็นคำพูดได้ทั้งสิ้น  ในธรรมชาติของมนุษย์มีความโอหัง ความทะนง และความอยากที่จะโดดเด่นอยู่  อีกทั้งมีความโลภเงินทองที่เห็นแก่ผลกำไรยิ่งกว่าทุกสิ่งและไม่คำนึงถึงชีวิต  ในธรรมชาติของมนุษย์ยังมีความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ความคดโกง และมีแนวโน้มที่จะโกงผู้คนอยู่ทุกเมื่อ รวมถึงมีความชั่วร้ายและความโสมมอันเหลือทน  นี่คือข้อสรุปเรื่องธรรมชาติของมนุษย์  หากเจ้าแยกแยะแง่มุมต่างๆ ที่ถูกเปิดเผยในธรรมชาติของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็มีความเข้าใจในเรื่องนี้  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่ถูกเปิดเผยในธรรมชาติของเจ้าเลย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไร้ความเข้าใจในธรรมชาติของตัวเองโดยสิ้นเชิง  เปโตรเสาะแสวงที่จะรู้จักตัวเขาเองและมองเห็นว่าสิ่งใดที่ได้ถูกเปิดเผยในตัวเขา โดยผ่านทางกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า และภายในบททดสอบนานาที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้เขา  เมื่อเขาได้มาเข้าใจตัวเขาเองอย่างแท้จริง เปโตรจึงได้ตระหนักว่า เหล่ามนุษย์นั้นเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเพียงใด พวกเขาช่างไร้ค่าและไม่ควรค่าที่จะรับใช้พระเจ้าเพียงใด และว่าพวกเขาไม่สมควรที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  จากนั้นเปโตรจึงทรุดลงหมอบราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อมีประสบการณ์มามากมายนักแล้ว เปโตรก็มารู้สึกในท้ายที่สุดว่า “การรู้จักพระเจ้าคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด!  หากฉันตายไปก่อนที่จะรู้จักพระองค์ นั่นคงจะเป็นความน่าเวทนาเสียจริง  การรู้จักพระเจ้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุดและมีความหมายที่สุดเท่าที่มีอยู่  หากมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่สมควรที่จะดำรงชีวิตอยู่ เป็นเหมือนสัตว์ และไร้ซึ่งชีวิต”  เมื่อถึงเวลาที่ประสบการณ์ของเปโตรได้ไปถึงจุดนี้ เขาได้มารู้ธรรมชาติของเขาเอง และเขาก็ได้รับความเข้าใจค่อนข้างดีเกี่ยวกับธรรมชาติของตน  ถึงแม้ว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้มีความสามารถที่จะอธิบายการนั้นได้อย่างชัดเจนดังที่ผู้คนจะอธิบายทุกวันนี้ แต่เปโตรก็ได้ไปถึงสภาวะนี้แล้วโดยแท้  ดังนั้นการเดินบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า จึงพึงต้องมีการรู้จักธรรมชาติของคนเราเองจากภายในถ้อยดำรัสของพระเจ้า ตลอดจนการทำความเข้าใจแง่มุมต่างๆ ในธรรมชาติของคนเราและบรรยายธรรมชาติของคนเราเป็นคำพูดอย่างถูกต้องแม่นยำ โดยพูดอย่างชัดเจนและง่าย  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และมีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าย่อมจะบรรลุผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์แล้ว  หากความรู้ของเจ้ายังไม่ได้ไปถึงจุดนี้ แต่เจ้ากล่าวอ้างว่ารู้จักตัวเจ้าเองและพูดว่าเจ้าได้รับชีวิตแล้ว เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ได้เพียงแค่กำลังคุยโวหรอกหรือ?  เจ้าไม่รู้จักตัวเจ้าเอง อีกทั้งเจ้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าคือสิ่งใดเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้า ว่าเจ้าได้บรรจบกับมาตรฐานของการเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงหรือไม่ หรือว่าเจ้ายังคงมีองค์ประกอบเยี่ยงซาตานกี่อย่างภายในตัวเจ้า  เจ้ายังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับว่าเจ้าเป็นของใคร และเจ้าไม่มีการรู้จักตนเองแต่อย่างใดเลยเสียด้วยซ้ำ—ดังนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถครองเหตุผลเมื่ออยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร?  เมื่อเปโตรกำลังไล่ตามเสาะหาชีวิตอยู่นั้น เขามุ่งเน้นไปที่การเข้าใจตัวเขาเองและการแปลงสภาพอุปนิสัยของเขาตลอดครรลองแห่งบททดสอบของเขา และเขาเพียรพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า  สุดท้ายแล้ว เขาก็คิดว่า “ผู้คนต้องแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าในชีวิต การรู้จักพระองค์คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  หากฉันไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ฉันก็ย่อมไม่สามารถหยุดพักอย่างสันติสุขได้เมื่อฉันตาย  ทันทีที่ฉันรู้จักพระองค์ หลังจากนั้นหากพระเจ้าทรงให้ฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้ว ฉันก็คงรู้สึกปลาบปลื้มอย่างที่สุด ฉันจะไม่ร้องทุกข์คร่ำครวญแม้แต่น้อย และทั้งชีวิตของฉันย่อมจะได้รับการทำให้ลุล่วงไปแล้ว”  เปโตรไม่มีความสามารถที่จะได้รับความเข้าใจระดับนี้ หรือไปถึงจุดนี้ได้ทันทีหลังจากที่เขาได้เริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า เขาจึงก้าวผ่านบททดสอบมากมายมหาศาลแทน  ประสบการณ์ของเขาจำต้องไปถึงหลักชัยหนึ่ง และเขาจำเป็นที่จะต้องเข้าใจตัวเขาเองอย่างครบบริบูรณ์ ก่อนที่เขาจะสามารถสำนึกรับรู้คุณค่าของการรู้จักพระเจ้า  เพราะฉะนั้น เส้นทางที่เปโตรใช้จึงเป็นเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง และเป็นเส้นทางของการได้รับชีวิตและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  นี่คือแง่มุมซึ่งมุ่งเน้นที่การปฏิบัติแบบเฉพาะเจาะจงของเขาเป็นหลัก

ในความเชื่อที่พวกเจ้ามีในพระเจ้า บัดนี้พวกเจ้าทั้งหมดกำลังเดินอยู่บนเส้นทางใด?  หากเจ้าไม่แสวงหาชีวิต ความเข้าใจในตัวเจ้าเอง และความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เหมือนที่เปโตรทำ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปโตร  ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะแบบนี้คือ เพื่อให้ได้รับพร ฉันต้องสละตัวเองเพื่อพระเจ้าและยอมลำบากเพื่อพระองค์ เพื่อให้ได้รับพร ฉันต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้า ฉันต้องทำสิ่งที่พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ฉันทำให้เสร็จสิ้น และฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี  สภาวะเช่นนี้มีเจตนาที่อยากได้รับพรครอบงำอยู่ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการสละตัวเองเพื่อพระเจ้าจนหมดสิ้นเพื่อจุดประสงค์ของการได้มาซึ่งบำเหน็จรางวัลจากพระองค์และได้รับมงกุฎ  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความจริงในหัวใจของพวกเขา และแน่นอนว่าความเข้าใจของพวกเขานั้นมีแต่คำสอนไม่กี่คำที่พวกเขาโอ้อวดทุกที่ที่พวกเขาไป  เส้นทางของพวกเขานั้นคือของเปาโล  ความเชื่อของผู้คนเช่นนั้นคือบทบาทของการตรากตรำทำงานเป็นนิตย์ และลึกลงไปแล้วพวกเขารู้สึกว่า ยิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด นั่นก็จะยิ่งเป็นการพิสูจน์มากขึ้นเท่านั้นถึงความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า ว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด แน่นอนว่าพระองค์ก็ยิ่งจะพึงพอพระทัยมากขึ้นเท่านั้น และว่ายิ่งพวกเขาทำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสมควรมากขึ้นเท่านั้นที่จะได้รับการมอบมงกุฎเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพรที่พวกเขาได้รับก็มีแต่จะยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาสามารถสู้ทนความทุกข์ ทำการประกาศ และตายเพื่อพระคริสต์ได้ หากพวกเขาสามารถพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาเองได้ และหากพวกเขาสามารถทำหน้าที่ทั้งหมดซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาจนครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเป็นผู้ที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่ที่สุด และพวกเขาย่อมแน่ใจว่าตนจะได้รับมอบมงกุฎ  แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เปาโลจินตนาการและสิ่งที่เขาแสวงหา  นี่คือเส้นทางอันแน่ชัดที่เขาเดิน และนั่นอยู่ภายใต้การนำของความคิดที่ว่า เขาทำงานเพื่อรับใช้พระเจ้า  ความคิดและเจตนาเหล่านั้นไม่มีจุดกำเนิดมาจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานหรอกหรือ?  มันก็เป็นเหมือนเหล่ามนุษย์ทางโลก ที่เชื่อว่าในขณะที่อยู่บนแผ่นดินโลกนั้นพวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความรู้ และว่าหลังจากที่มีความรู้แล้ว พวกเขาจึงจะสามารถโดดเด่นออกมาจากฝูงชน ได้เป็นเจ้าหน้าที่ และมีฐานะ  พวกเขาคิดว่า ทันทีที่พวกเขามีฐานะ พวกเขาสามารถทำให้ความทะเยอทะยานของพวกเขาเป็นจริง และทำให้ธุรกิจและกิจการในครอบครัวของพวกเขาเจริญรุ่งเรืองได้ถึงระดับหนึ่ง  ผู้ไม่เชื่อทั้งหมดไม่เดินบนเส้นทางนี้หรอกหรือ?  พวกที่ถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ครอบงำ สามารถเพียงเป็นเหมือนเปาโลในความเชื่อของพวกเขาเท่านั้น  พวกเขาคิดว่า “ฉันต้องสลัดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อสละตัวฉันเองเพื่อพระเจ้า  ฉันต้องสัตย์ซื่อเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในที่สุด ฉันจะได้รับรางวัลอันยิ่งใหญ่และมงกุฎอันเกรียงไกร”  นี่คือท่าทีเดียวกับท่าทีของผู้คนทางโลกที่ไล่ตามเสาะหาสิ่งของทางโลกทั้งหลาย  พวกเขาไม่ได้ต่างออกไปแต่อย่างใดเลย และพวกเขาก็อยู่ภายใต้ธรรมชาติแบบเดียวกัน  เมื่อผู้คนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตานจำพวกนี้ เมื่อออกไปอยู่ในโลก พวกเขาจะเสาะแสวงที่จะได้มาซึ่งความรู้ การเรียนรู้ สถานะ และเพื่อโดดเด่นจากฝูงชน  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะพยายามให้ได้มาซึ่งมงกุฎอันยิ่งใหญ่และพรอันยิ่งใหญ่  หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็จะต้องใช้เส้นทางนี้อย่างแน่นอน  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เป็นกฎธรรมชาติ  เส้นทางซึ่งผู้คนที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงเลือกเดินนั้นสวนทางอย่างตรงกันข้ามกับเส้นทางของเปโตร  เส้นทางใดหรือที่พวกเจ้าทั้งหมดอยู่กันในปัจจุบันนี้?  แม้ว่าเจ้าอาจยังไม่ได้วางแผนการที่จะรับเอาเส้นทางของเปาโลไว้ แต่ธรรมชาติของเจ้าก็ได้กำหนดให้เจ้าเดินบนเส้นทางนี้ และเจ้าก็กำลังไปในทิศทางนั้นโดยไม่คำนึงถึงตัวเจ้าเอง  แม้ว่าเจ้าต้องการก้าวเท้าไปบนเส้นทางของเปโตร แต่หากเจ้าไม่ชัดเจนถึงวิธีที่จะทำการนั้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะรับเอาเส้นทางของเปาโลไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ  นี่คือความเป็นจริงของสถานการณ์  คนเราควรเดินบนเส้นทางของเปโตรทุกวันนี้อย่างไรกันแน่?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะจำแนกความต่างระหว่างเส้นทางของเปโตรและเปาโล หรือหากเจ้าไม่คุ้นเคยกับเส้นทางเหล่านั้นเลย เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะกล่าวอ้างมากเพียงใด ว่ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปโตร คำพูดเหล่านั้นของเจ้ารังแต่กลวงเปล่าเท่านั้น  ก่อนอื่นเจ้าจำเป็นต้องมีแนวคิดที่ชัดเจนว่าเส้นทางของเปโตรคืออะไร และเส้นทางของเปาโลคืออะไร  ต่อเมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเส้นทางของเปโตรคือเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาชีวิต และเป็นเส้นทางไปสู่ความเพียบพร้อมเพียงเส้นเดียวเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเดินไปบนเส้นทางของเปโตร ไล่ตามเสาะหาดังที่เขาไล่ตามเสาะหา และปฏิบัติตามหลักธรรมที่เขาปฏิบัติได้  หากเจ้าไม่เข้าใจเส้นทางของเปโตร เช่นนั้นแล้ว เส้นทางที่เจ้าใช้ก็ย่อมเป็นเส้นทางของเปาโลอย่างแน่นอน ด้วยเหตุที่จะไม่มีเส้นทางอื่นสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้  ผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะพบว่า ต่อให้พวกเขามีปณิธาน การเดินบนเส้นทางของเปโตรก็ยังลำบากยากเย็น  สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเพราะพระคุณและการยกชูของพระเจ้า พระองค์จึงได้ทรงเปิดเผยเส้นทางสู่ความรอดและความเพียบพร้อมให้แก่พวกเจ้าในตอนนี้  พระองค์นั่นเองที่ทรงนำพวกเจ้าไปบนเส้นทางของเปโตร  หากปราศจากการทรงนำและความรู้แจ้งของพระเจ้า ย่อมจะไม่มีผู้ใดสามารถเดินบนเส้นทางของเปโตร และทางเลือกเดียวเท่านั้นที่มีอยู่ย่อมจะเป็นการเดินไปตามเส้นทางของเปาโล เป็นการติดตามในย่างก้าวของเปาโลสู่การทำลายล้าง  ในตอนนั้น เปาโลไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการผิดที่จะเดินไปบนเส้นทางนั้น เขาเชื่ออย่างเต็มที่ว่าการนั้นถูกต้อง  เขาไม่มีความจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  เขาเชื่อในตัวเขาเองมากเกินไป และรู้สึกว่าการเชื่อในหนทางนั้นไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย  เขายังคงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เต็มไปด้วยความมั่นใจและมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงสุด  เมื่อถึงที่สุด เขาก็ไม่เคยรู้สำนึกเลย  เขายังคงคิดว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์  เมื่อเป็นเช่นนั้น เปาโลจึงยังคงเดินบนเส้นทางนั้นอย่างต่อเนื่องไปจวบจนวาระสุดท้าย และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ได้ถูกลงโทษในท้ายที่สุด ทั้งหมดนั่นก็จบแล้วสำหรับเขา  เส้นทางของเปาโลไม่ได้เกี่ยวข้องกับการมารู้จักตัวเขาเอง นับประสาอะไรกับการแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย  เขาไม่เคยวิเคราะห์ธรรมชาติของเขาเองเลย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้รับความรู้อันใดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็น  เขาเพียงแค่รู้ว่าเขาเป็นตัวการหลักในการข่มเหงพระเยซู  แต่เขาไม่ได้มีความเข้าใจในธรรมชาติของเขาเองแม้แต่น้อย และหลังจากที่เสร็จสิ้นงานของเขาเแล้ว เปาโลก็รู้สึกว่าเขากำลังใช้ชีวิตประหนึ่งพระคริสต์และควรได้รับบำเหน็จ  งานที่เปาโลทำนั้นเป็นเพียงแค่การปรนนิบัติที่ทำเพื่อพระเจ้า  โดยส่วนตัวแล้วสำหรับเปาโล แม้ว่าเขาจะได้รับคำวิวรณ์บางอย่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เขาก็ไม่ได้รับความจริงหรือชีวิตแต่อย่างใด  เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้ทรงช่วยเขาให้รอด  แต่เขากลับถูกพระเจ้าลงโทษ  เหตุใดหรือจึงกล่าวกันว่า เส้นทางของเปโตรคือเส้นทางสู่ความเพียบพร้อม?  นั่นเป็นเพราะ ในการปฏิบัติของเปโตร เขาได้วางการเน้นย้ำโดยเฉพาะไปที่ชีวิต ไปที่การเสาะแสวงที่จะรู้จักพระเจ้า และไปที่การรู้จักตัวเขาเอง  เขาได้มารู้จักตัวเขาเอง ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เรียนรู้ข้อบกพร่องของเขาเอง และค้นพบสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาก็โดยผ่านทางประสบการณ์ของเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  เขามีความสามารถที่จะรักพระเจ้าอย่างจริงใจ เขาเรียนรู้วิธีชดใช้คืนพระเจ้า เขาได้รับความจริงอยู่บ้าง และเขาครองความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  จากสรรพสิ่งทั้งปวงที่เปโตรกล่าวในช่วงระหว่างบททดสอบของเขา สามารถเห็นได้ว่า โดยแท้นั้น เขาคือผู้ที่มีความเข้าใจมากที่สุดกี่ยวกับพระเจ้า  เพราะเขาได้มาเข้าใจความจริงมากมายเหลือเกินจากพระวจนะของพระเจ้า เส้นทางของเขาจึงสว่างขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  หากเปโตรไม่ได้ครองความจริงนี้ เช่นนั้นแล้ว เส้นทางที่เขารับเอาไว้นั้นก็ย่อมจะไม่สามารถถูกต้องได้เช่นนั้น

ขณะนี้ยังคงมีคำถามอยู่ว่า หากเจ้ารู้ว่าเส้นทางของเปโตรเป็นเช่นไร เจ้าจะสามารถเดินไปตามทางนั้นได้หรือไม่?  นี่คือคำถามตามความเป็นจริง  เจ้าต้องจำแนกได้อย่างชัดเจนว่าคนประเภทใดที่สามารถเดินตามเส้นทางของเปโตรได้ และคนประเภทใดที่เดินไม่ได้  ผู้ที่เดินไปบนเส้นทางของเปโตรต้องเป็นคนที่ถูกต้องเหมาะสม  เจ้าต้องเป็นคนที่ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้นจึงจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมได้  เมื่อผู้คนไม่ใช่คนที่ถูกต้องเหมาะสม พวกเขาก็ไม่อาจถูกทำให้เพียบพร้อม  ผู้ที่เป็นเหมือนเปาโลไม่สามารถเดินบนเส้นทางของเปโตรได้  คนประเภทหนึ่งย่อมจะเดินบนเส้นทางประเภทหนึ่ง  เรื่องนี้ถูกธรรมชาติของพวกเขากำหนดไว้แล้วโดยสมบูรณ์  ไม่ว่าเจ้าจะอธิบายเส้นทางของเปโตรให้ซาตานฟังอย่างแจ่มแจ้งเพียงใด มันก็ไม่สามารถเดินบนทางเส้นนี้ได้  ต่อให้มันอยากจะเดิน มันก็จะไม่สามารถลงเดินบนเส้นทางนี้  ธรรมชาติของซาตานกำหนดไว้แล้วว่ามันไม่สามารถเดินบนเส้นทางของเปโตร  มีเพียงผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่สามารถเดินบนเส้นทางของเปโตรได้  คำกล่าวที่ว่า “เสือดาวเปลี่ยนแปลงลายของมันไม่ได้” เป็นเรื่องจริง  หากภายในธรรมชาติของเจ้าไร้ซึ่งองค์ประกอบของการรักความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถเดินบนเส้นทางของเปโตรได้  หากเจ้าคือผู้ที่รักความจริง หากเจ้าสามารถยอมรับความจริงได้แม้จะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามก็ตาม และเจ้าสามารถน้อมรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  เช่นนั้นแล้วในหนทางนี้ เจ้าย่อมจะละทิ้งเนื้อหนังและเชื่อฟังแผนการของพระเจ้าได้  เมื่อเจ้ามีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางอุปนิสัยหลังพานพบบททดสอบบางอย่าง นี่ย่อมหมายความว่าเจ้ากำลังค่อยๆ ก้าวเข้าสู่เส้นทางของเปโตรซึ่งเป็นเส้นทางที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม

ฤดูหนาว ค.ศ. 1998

ก่อนหน้า: นัยสำคัญและการปฏิบัติเรื่องการอธิษฐาน

ถัดไป: สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger