ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (4)

หลังจากที่เชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้ พวกเจ้ารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนและสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า รวมทั้งในสถานการณ์ของโลกภายนอกบ้างหรือไม่?  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พวกเจ้าเคยเห็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่?  (เคย)  พวกเจ้าเคยเห็นเรื่องนี้มาแล้ว  แล้วพวกเจ้าได้ข้อสรุปอะไรในเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  (พระราชกิจของพระเจ้าใกล้จะสิ้นสุดแล้ว)  ถูกต้อง พระราชกิจของพระเจ้าใกล้จะสิ้นสุดแล้วจริงๆ และผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย และสภาพแวดล้อมทั้งหมดรอบตัวเจ้าก็อยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ตัวอย่างเช่น เคยมีคนสิบคนอยู่ในกลุ่มนี้ ตอนนี้มีแปดคน  เกิดอะไรขึ้นกับอีกสองคน?  คนหนึ่งถูกเชิญออกไป และอีกคนหนึ่งมีคนมาทำหน้าที่แทน  ผู้คนนานาประเภทในคริสตจักรล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและถูกเปิดโปงอยู่ตลอดเวลา  ตอนแรกบางคนดูกระตือรือร้นมาก  แต่ผ่านไปสักพักพวกเขาก็พลันอ่อนแอลงและคิดลบมากเสียจนไม่สามารถไปต่อได้  ความกระตือรือร้น พลังงานอันร้อนแรง และสิ่งที่เรียกกันว่าความจงรักภักดีที่พวกเขามีในตอนต้นหายวับไปหมด ความมุ่งมั่นที่จะสู้ทนความทุกข์ก็หายไป พวกเขาไม่สนใจการเชื่อในพระเจ้าแต่อย่างใด พวกเขาพลันดูเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง และไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด  สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  สภาพแวดล้อมของผู้คนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?  สภาพแวดล้อมบางแห่งไม่เป็นมิตรและมีการข่มเหงกันอย่างหนัก ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถชุมนุมกันอีกต่อไปหรือติดต่อพี่น้องชายหญิงของตนได้ ในที่บางแห่งสภาพแวดล้อมค่อนข้างดีและปลอดภัยกว่า ส่วนที่แห่งอื่นนั้น สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราและสภาพความเป็นอยู่ออกจะได้เปรียบกว่า เงียบสงบกว่า และมั่นคงกว่าที่เคยเป็นมา และผู้คนที่นั่นก็ดีกว่าผู้คนที่เคยอยู่มาก่อนมาก พวกเขาทุกคนสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ ผู้คนที่สามารถสู้ทนความทุกข์และจ่ายราคาก็มีจำนวนมากขึ้น งานทุกโครงการก้าวหน้าไปอย่างราบรื่นขึ้น ตัวงานคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลลัพธ์และผลกระทบที่มองเห็นกันก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นและน่าพอใจมากขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้น แผนการ รูปแบบ หนทางและวิธีการดำเนินงานของโครงการทั้งหลายก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  โดยสรุปแล้ว แม้จะมองเห็นผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายสารพัดอย่างที่ผิดพลาดและเป็นลบเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แน่นอนว่าย่อมมีผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายสารพัดอย่างที่ดีงาม ถูกต้อง และเป็นบวกเกิดขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมซึ่งมีสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวกและเป็นลบสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนรอบตัวตลอดเวลาเช่นนี้ คนที่ได้ประโยชน์ในท้ายที่สุด แท้จริงแล้วก็คือผู้ที่ประสงค์ในพระเจ้าอย่างแรงกล้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และโหยหาความจริง  คนเหล่านี้คือผู้ที่โหยหาความสว่างและความยุติธรรม ส่วนผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ปล่อยตัวให้จมอยู่กับความชั่วช้าและรู้สึกรังเกียจความจริง ย่อมถูกเปิดโปง ถูกกำจัด และถูกทิ้งไว้กับผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย และสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน  จากสภาพแวดล้อม ผู้คน และเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหมดที่ถูกเปิดโปง และจากสภาพแวดล้อม ผู้คน และเหตุการณ์ใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นอยู่ตลอดเวลา เจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร?  จากการเชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้ พวกเจ้ามีความเข้าใจในเรื่องนี้หรือไม่?  อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้ และพระเจ้าทรงชี้นำสิ่งเหล่านี้เสมอมา?  (รู้สึก)  จุดประสงค์และความหมายของพระเจ้าในการทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้ที่ติดตามพระองค์สามารถเรียนรู้บทเรียน มีความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น และเพราะเหตุนี้จึงค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  พวกเจ้าเคยสัมฤทธิ์เรื่องนี้ด้วยตนเองหรือไม่?  ไม่ว่าผู้คนจะมีงานยุ่งเพียงใด หรือสภาพแวดล้อมของพวกเขาจะได้เปรียบหรือไม่เป็นมิตรเพียงใด จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง  ผู้คนต้องไม่ลืมไล่ตามเสาะหาความจริงเพราะมัวยุ่งอยู่กับงาน เพราะสาละวนอยู่กับสิ่งต่างๆ หรือเพราะพวกเขาอยากหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรของตน หรือลืมไปว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสถานการณ์ทั้งหมดนี้ไว้ให้ หรือลืมว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการให้พวกเขาเรียนรู้บทเรียนในสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เรียนรู้ว่าจะใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายสารพัดอย่างนี้ได้อย่างไร ทำความเข้าใจความจริง มีความเข้าใจเชิงลึกมากขึ้น และมารู้จักพระเจ้า  พวกเจ้าทุกคนควรตั้งใจสรุปอย่างจริงจังว่าพวกเจ้าสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง

งานของคริสตจักรยุ่งมากในช่วงหลายปีมานี้ ดังนั้นการโอนย้ายและปรับเปลี่ยนหน้าที่ รวมทั้งการเผย การกำจัด และการชำระสมาชิกของแต่ละกลุ่มออกไปจึงเกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยครั้ง  ในกระบวนการดำเนินงานนี้ การโอนย้ายสมาชิกในทีมก็เกิดขึ้นถี่เป็นพิเศษและอย่างกว้างขวาง  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีการโยกย้ายกี่ครั้งหรือมีสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าใด ความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงในตัวผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและประสงค์ในพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ความปรารถนาของพวกเขาที่จะบรรลุความรอดย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าย่อมไม่ลดน้อยถอยลง พวกเขาพัฒนาไปในทิศทางที่ดีงามอยู่เสมอ และตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนมาจนถึงทุกวันนี้  ยังมีผู้ที่ทำได้ดีกว่านี้อีกมาก เป็นผู้ที่ค้นพบที่ทางที่เหมาะสมกับตน และเรียนรู้วิธีการแสวงหาหลักธรรมและปฏิบัติหน้าที่ของตนผ่านทางการถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่อย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ดี ผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่รักสิ่งที่เป็นบวก และรู้สึกรังเกียจความจริง ย่อมปฏิบัติได้ไม่ดี  ปัจจุบันบางคนบังคับตัวเองให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ทั้งที่แท้จริงแล้ว สภาวะภายในตัวพวกเขายุ่งเหยิงไปหมดแล้ว และพวกเขาต่างหดหู่และคิดลบอย่างสิ้นเชิง  อย่างไรก็ดี พวกเขายังคงไม่ไปจากคริสตจักร พวกเขาดูเหมือนเชื่อในพระเจ้าและยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ในความเป็นจริงนั้น หัวใจของพวกเขาเปลี่ยนไป รวมทั้งพวกเขาได้ทอดทิ้งและผละจากพระเจ้าไปแล้ว  บางคนแต่งงานและกลับบ้านไปใช้ชีวิตของตนโดยกล่าวว่า “ฉันไม่อาจปล่อยให้วัยหนุ่มสาวของตัวเองสูญเปล่า  พวกเราเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเพียงครั้งเดียว และฉันไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่าเป็นอันขาด!  ฉันเชื่ออยู่ในหัวใจว่ามีพระเจ้า แต่ฉันไม่สามารถคิดอะไรง่ายๆ แบบพวกคุณที่พลีอุทิศวัยหนุ่มสาวของตัวเองเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริง  ฉันควรแต่งงานและใช้ชีวิตของตนเอง  ชีวิตนี้สั้นนัก และพวกเราก็เป็นหนุ่มเป็นสาวกันเพียงไม่กี่ปี  ชีวิตสิ้นสุดลงในชั่วพริบตา  ฉันเอาวัยหนุ่มสาวของตัวเองมาทิ้งไว้ที่นี่ไม่ได้จริงๆ  ก่อนที่วัยหนุ่มสาวของฉันจะล่วงเลยไป ฉันสามารถอยู่อย่างไร้กังวลและใช้ชีวิตให้เต็มที่ได้ไม่กี่ปี”  บางคนยังคงไล่ตามไขว่คว้าความฝันของตนที่จะกลายเป็นคนร่ำรวย บ้างก็ไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานในหน่วยงานรัฐและทำให้ความฝันของตนที่จะเป็นเจ้าหน้าที่หรือเป็นใหญ่เป็นโตในหน่วยงานรัฐกลายเป็นจริงขึ้นมา บ้างก็ไล่ตามไขว่คว้าความเจริญรุ่งเรืองด้วยการมีบุตร ดังนั้นพวกเขาจึงมีภรรยาที่สามารถให้กำเนิดลูกชายหลายๆ คนแก่ตน บางคนถูกไล่ล่าเพราะมาเชื่อในพระเจ้า ถูกข่มเหงอยู่หลายปีจนพวกเขาอ่อนแอและเจ็บป่วย และแล้วพวกเขาก็ละทิ้งหน้าที่ของตนและกลับบ้านไปใช้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่  สถานการณ์ของทุกคนแตกต่างกันไป  บางคนสมัครใจจากไปเองและให้ลบชื่อของตนออก บ้างก็เป็นผู้ไม่เชื่อที่ถูกเอาตัวออกไป และบ้างก็ทำเรื่องชั่วสารพัดรูปแบบและถูกขับไล่ออกไป  มีอะไรอยู่ในกระดูกของผู้คนทั้งหมดนี้?  อะไรคือแก่นแท้ของพวกเขา?  พวกเจ้าเคยมองเห็นได้อย่างชัดเจนหรือไม่?  เจ้ารู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่งทุกครั้งที่เรื่องราวของผู้คนเหล่านี้ไปถึงหูเจ้าหรือไม่?  เจ้าอาจคิดว่า “พวกเขาลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร?  พวกเขาตกต่ำจนลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร?  เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้เป็นแบบนี้ พวกเขายอดเยี่ยมมาก แล้วพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”  ไม่ว่าเจ้าจะครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้มากมายเพียงใด ก็ไม่อาจหาคำตอบหรือเข้าใจได้  เจ้าพิจารณาอยู่สักพักหนึ่งและคิดว่า “คนคนนี้ไม่รักสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ”  ผ่านไประยะหนึ่ง สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ทำ การปฏิบัติ พฤติกรรม คำพูดและความคิดเห็นบางส่วนของพวกเขา รวมทั้งการไล่ตามไขว่คว้าของพวกเขาย่อมจางหายไปจากความรู้สึกนึกคิดของเจ้าหรือจิตสำนึกของผู้คน หลังจากนั้นเจ้าก็ลืมเรื่องเหล่านี้ และความรู้สึกที่เจ้ามีต่อเรื่องเหล่านี้ก็ค่อยๆ เลือนหายไป  เมื่อผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งทั้งหลายดังกล่าวปรากฏขึ้นอีกครั้ง เจ้าก็คิดอีกว่า “เหลือเชื่อ!  พวกเขาเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?  เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้เป็นแบบนี้  ฉันคิดไม่ออกจริงๆ”  เจ้าเกิดความรู้สึกต่างๆ ในทำนองเดียวกันอีกครั้งและมีความเข้าใจเหมือนเดิม  จงบอกเราเถิดว่า เวลาที่ผู้คนเหล่านี้ถูกเปิดโปงและกำจัดออกไปนั้นน่าเสียดายหรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าไม่คิดถึงผู้คนเหล่านี้กันหรอกหรือ?  (ไม่)  พวกเจ้าไม่ได้สู้เพื่อผู้คนเหล่านี้กันหรอกหรือ?  (เปล่า)  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ต้องอำมหิตมาก  ทำไมพวกเจ้าทุกคนถึงไร้ความเห็นอกเห็นใจกันนัก?  พวกเขาไปจากคริสตจักร แล้วพวกเจ้าไม่สู้เพื่อพวกเขา ไม่มีความเห็นใจหรือความเมตตาพวกเขาได้อย่างไร?  ทำไมพวกเจ้าถึงไม่สงสารพวกเขา?  พวกเจ้าเห็นอกเห็นใจไม่เป็นจริงๆ หรือ?  พวกเจ้าอำมหิตหรือไม่?  (ไม่)  จงบอกเราเถิดว่า นี่ใช่วิธีการอันเหมาะสมที่พระนิเวศของพระเจ้าพึงใช้จัดการกับผู้คนเหล่านี้หรือไม่?  (ใช่)  เหมาะสมอย่างไร?  จงบอกเราเถิด  (ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีและได้ฟังความจริงไปมากมาย การที่พวกเขาประพฤติตนอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ การทรยศพระเจ้าและผละไปจากพระองค์ ย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อที่ไม่คู่ควรกับความสงสารของพวกเราและไม่คู่ควรแก่การคิดถึง)  ดังนั้น ตอนที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาละทิ้งบ้านเรือน ลาออกจากงานของตน รวมทั้งมอบของถวายและทำงานเสี่ยงภัยเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เป็นนิจ  ไม่ว่าเจ้าจะมองพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ล้วนสละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริง  แล้วทำไมตอนนี้พวกเขาถึงได้เปลี่ยนไป?  เป็นเพราะพระเจ้าไม่ชอบพวกเขาและทรงใช้พวกเขามาตั้งแต่ต้นกระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน และประทานโอกาสแก่ทุกคน  พวกเขาทุกคนดำเนินชีวิตคริสตจักร กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า อีกทั้งดำรงชีวิตที่ได้รับการจัดเตรียม ให้น้ำ และดูแลโดยพระเจ้า แล้วพวกเขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร?  พฤติกรรมของพวกเขาในตอนแรกที่เริ่มเชื่อในพระเจ้ากับพฤติกรรมของพวกเขาตอนที่ไปจากคริสตจักรนั้น เหมือนเป็นคนละคน  พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาสูญสิ้นความหวังกระนั้นหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าหรือกิจการของพระเจ้าทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังอย่างแรงกระนั้นหรือ?  พระเจ้า พระวจนะที่พระเจ้าตรัส หรือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำนั้น ทำร้ายศักดิ์ศรีของพวกเขากระนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้วอะไรคือสาเหตุ?  ใครสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้บ้าง?  (ข้าพระองค์คิดว่าผู้คนเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้าโดยถูกความอยากได้พรครอบงำ  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพร  ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าตนไม่มีหวังที่จะได้รับพร พวกเขาก็ผละไปจากพระเจ้า)  มีพระพรอยู่ตรงหน้าพวกเขาเลยมิใช่หรือ?  ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะเลิกปฏิบัติหน้าที่ของตน แล้วพวกเขารีบร้อนเช่นนั้นไปเพื่ออะไร?  ทำไมพวกเขาไม่สามารถเข้าใจแม้แต่เรื่องนี้?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าเริ่มแรกที่ผู้คนเหล่านี้มาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาอาศัยความกระตือรือร้นและความตั้งใจดีของตน และพวกเขาก็สามารถทำบางสิ่งได้ แต่ตอนนี้พระนิเวศของพระเจ้าจริงจังกับงานทั้งหมดของพระนิเวศมากขึ้นเรื่อยๆ  นั่นทำให้ผู้คนต้องทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง  แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริง พวกเขาจึงอาละวาดทำอะไรตามใจชอบเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขามักจะถูกตัดแต่งอยู่บ่อยครั้ง  ดังนั้นพวกเขาเลยรู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าตนไม่สามารถทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่อีกต่อไป จนในที่สุดพวกเขาก็ไปจากพระนิเวศของพระเจ้า  ข้าพระองค์คิดว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่ง)  พวกเขาไม่สามารถทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่อีกต่อไป—ที่กล่าวมานี้จริงหรือไม่?  (จริง)  พวกเขาไม่อาจทำตัวสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่อีกต่อไป—นี่กล่าวถึงผู้คนที่ทำอะไรอย่างสุกเอาเผากิน  มีบางคนที่มาเชื่อในพระเจ้าและไม่ได้ทำอะไรอย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาตั้งใจมาก และเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก แล้วทำไมพวกเขาไม่ทำเช่นนี้ต่อไปเล่า?  (เพราะตามธรรมชาติจริงๆ ของพวกเขานั้น ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้รักความจริง  พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพร  พวกเขาเห็นพระนิเวศของพระเจ้าพูดเรื่องความจริงกันอยู่เสมอ และพวกเขารู้สึกรังเกียจและต้านทานความจริง พวกเขาเริ่มเต็มใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและฟังคำเทศนาน้อยลงทุกที เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงถูกเปิดโปง)  นี่คือสถานการณ์แบบหนึ่ง และมีผู้คนมากมายที่เป็นเช่นนี้  ยังมีบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างหละหลวม ไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีหรือด้วยความรับผิดชอบไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่อะไรอยู่ก็ตาม  ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถหรือขีดความสามารถของพวกเขาไม่ถึงขั้น แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังและไม่ทำสิ่งทั้งหลายตามที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด  พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีที่พวกเขาอยากทำ จนในที่สุดพวกเขาก็ก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวนเพราะพวกเขาเที่ยวก่อความวุ่นวายและทำทุกอย่างตามใจชอบ  ไม่ว่าจะถูกตัดแต่งเช่นไรพวกเขาก็ไม่ยอมกลับใจ ดังนั้นพวกเขาจึงลงเอยด้วยการถูกไล่ออกไป  ผู้คนที่ถูกไล่ออกไปเหล่านี้มีอุปนิสัยที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งและมีความเป็นมนุษย์ที่โอหัง  ไม่ว่าจะไปที่ใด พวกเขาก็อยากมีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาด ดูแคลนทุกคน และทำตัวเผด็จการ จนในที่สุดพวกเขาก็ถูกเอาตัวออกไป  หลังจากที่บางคนถูกแทนที่และถูกกำจัดออกไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปอย่างราบรื่น และไม่มีใครเห็นค่าของพวกเขาหรือสนใจพวกเขาอีกต่อไป  ไม่มีใครยกย่องพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาไม่อาจมีสิทธิ์ตัดสินชี้ขาดได้อีก ไม่อาจได้สิ่งที่ตนอยากได้ ไม่มีหวังที่จะได้สถานะใดๆ และยิ่งไม่มีหวังที่จะได้รับพร  พวกเขารู้สึกว่าตนไม่มีหวังที่จะทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ในคริสตจักรอีกต่อไป พวกเขาจึงไม่สนใจคริสตจักรอีกแล้ว และเลือกที่จะจากไป—มีผู้คนมากมายที่เป็นเช่นนี้

นอกจากนี้ยังมีบางคนที่มีเหตุผลในการจากไปเหมือนคนส่วนใหญ่ที่ถูกกำจัดออกไป  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใดก็ตาม สิ่งที่พวกเขามองเห็นและมีประสบการณ์ด้วยตนเองในพระนิเวศของพระเจ้าก็คือ การชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องของการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริง เสวนาเรื่องการทำความรู้จักตัวเอง การปฏิบัติความจริง การยอมรับการพิพากษาและตีสอน การยอมรับการถูกตัดแต่ง การปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมความจริง และเสวนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยและทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนกันอย่างไม่รู้จบ  ส่วนเนื้อหาที่เกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำ—ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมในชีวิตคริสตจักร หรือหัวข้อที่ครอบคลุมในการเทศนาและสามัคคีธรรมที่เบื้องบนมอบหมายให้—ล้วนเป็นความจริง เป็นพระวจนะของพระเจ้า และเป็นบวกทั้งสิ้น  อย่างไรก็ดี ผู้คนเหล่านี้กลับไม่ยอมรับความจริงเลยสักนิด  เดิมทีพวกเขามาเชื่อในพระเจ้าก็เพื่อจะได้รับพรและหาประโยชน์  เมื่อดูแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาแล้ว ไม่เพียงพวกเขาจะไม่รักสิ่งที่เป็นบวกหรือความจริงเท่านั้น แต่ที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนและเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งที่เป็นบวกและความจริงอย่างยิ่งอีกด้วย  นั่นคือสาเหตุที่ยิ่งพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมความจริง พูดถึงการปฏิบัติความจริง พูดถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมมากเท่าใด ผู้คนเหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดและสะอิดสะเอียนอยู่ภายใน และไม่เต็มใจที่จะฟังมากขึ้นเท่านั้น  จงบอกเราเถิดว่า ผู้คนเหล่านี้ชอบฟังอะไร?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  (พวกเขาชอบฟังหัวข้อที่เกี่ยวกับบั้นปลายและการได้รับพร และเรื่องที่ว่างานเผยแผ่ข่าวประเสริฐดำเนินไปถึงระดับที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน)  นี่คือบางเรื่องที่พวกเขาอยากฟัง  พวกเขายังชอบป่าวร้องคติชวนเชื่อ ประกาศคำสอน และพูดถึงศาสนศาสตร์ ทฤษฎี และความล้ำลึกต่างๆ อีกด้วย  บางครั้งบางคราวพวกเขาก็พูดเรื่องที่ว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ความวิบัติครั้งใหญ่จะบังเกิดขึ้นเมื่อใด มวลมนุษย์จะมีบั้นปลายในอนาคตเช่นไร เมื่อความวิบัติมาถึง พวกกองกำลังชั่วจะค่อยๆ ถูกทำลายล้างอย่างไร พระเจ้าจะทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างไร กำลังคนและขนาดของพระนิเวศของพระเจ้าจะแผ่ขยายและเติบโตไปเรื่อยๆ อย่างไร รวมทั้งพวกเขาจะเดินกร่างอวดตัวกันอย่างไรอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือการที่พวกเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งและถูกใช้งานในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  เมื่อเป็นดังนี้ พวกเขาก็จะสามารถทำตัวเลอะเลือนในพระนิเวศของพระเจ้าได้สักระยะหนึ่ง แต่ระหว่างที่พวกเขาทำตัวเลอะเลือนนั้น พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำหรืองานที่พระนิเวศของพระเจ้าทำกลับไม่มีสิ่งใดเป็นไปตามที่พวกเขาอยากให้เป็นเลย และทุกสิ่งที่พวกเขาได้ยินได้ฟังและมองเห็นก็ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความจริง  ด้วยเหตุนั้น หัวใจของพวกเขาจึงรังเกียจชีวิตคริสตจักรเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สนใจชีวิตคริสตจักร รู้สึกทุรนทุราย อยู่ต่อไม่ได้ และรู้สึกทรมานเพราะชีวิตคริสตจักร  บางคนหาข้อแก้ตัว หาเหตุผล ข้ออ้าง และหาทางไปจากคริสตจักร พลางกล่าวว่า “ฉันจะทำชั่วสักเรื่อง ระบายความคิดลบบางอย่างออกมา และทำบางสิ่งที่ไม่ดี  เมื่อนั้นคริสตจักรย่อมจะขับไล่และเอาตัวฉันออกไป ดังนั้นฉันก็จะมีเหตุอันควรเพียงพอที่จะไปจากคริสตจักร”  นอกจากนั้นยังมีคนที่คืนหนังสือพระวจนะของพระเจ้า เก็บข้าวของและจากไปเมื่อพวกเขาต้องไปจัดการขอใบอนุญาตเข้าประเทศอื่น โดยไม่กล่าวคำอำลาเสียด้วยซ้ำ  ผู้คนเหล่านี้ก็เหมือนพวกอันธพาลและหญิงแพศยา พวกเขาไม่ทำสิ่งต่างๆ ในแบบที่ผู้คนปกติทำกัน  สิ่งที่ผู้หญิงที่มีคุณธรรมกับคนปกติคิดและสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้กล่าวถึงเวลาอยู่กับผู้อื่นก็คือประเด็นสำคัญต่างๆ ในการดำเนินชีวิต  การมีชีวิตที่ดี การทำให้คนทั้งครอบครัวกินดี มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ และมีที่ทางดีๆ ให้อยู่อาศัย การเลี้ยงลูกๆ ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และการทำให้ลูกๆ ของตนเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง—เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาคิดกัน  อย่างไรก็ดี พวกอันธพาลและหญิงแพศยาไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้  ถ้าเจ้าคุยเรื่องที่ถูกที่ควรเหล่านี้กับพวกเขา พวกเขาย่อมโมโหเจ้า เกลียดเจ้า และพาตัวเองออกห่างจากเจ้า  แล้วพวกเขาคิดเรื่องอะไรกันอยู่?  พวกเขาคิดเรื่องกิน ดื่ม และสังสรรค์อยู่เสมอใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเขาคิดเรื่องกิน ดื่ม สังสรรค์ และเรื่องที่เต็มไปด้วยความกำหนัดอยู่เสมอ  เวลาที่พวกเขาพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับคนปกติ ผู้คนปกติย่อมไม่โต้ตอบ ผู้คนปกติไม่ได้เป็นอย่างพวกเขา ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกันและไม่ได้มีคลื่นความคิดที่ตรงกัน  สิ่งที่คนปกติคุยกันก็ไม่ได้อยู่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมทนไม่ได้ และไม่อยากฟังเรื่องเหล่านั้น  พวกเขาคิดไปว่าการใช้ชีวิตแบบนั้นก็คือการทำผิดกับตัวเองอย่างร้ายแรง เป็นชีวิตที่ถูกล่ามและไร้อิสรภาพ  พวกเขาคิดว่าการแต่งตัวสวยงามตลอดเวลาเพื่อยั่วยวนเพศตรงข้ามคือวิถีชีวิตที่น่าตื่นเต้นและไร้กังวล—สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือชีวิตที่สมบูรณ์แบบ!  ผู้คนที่ไปจากคริสตจักรนี้อิจฉาชีวิตของผู้ไม่มีความเชื่อ อิจฉาความรื่นเริงหรรษาที่ได้จากบาป และคิดว่าการใช้วันเวลาของตนและใช้ชีวิตอย่างผู้ไม่มีความเชื่อนั้นเป็นเพียงวิธีเดียวที่พวกเขาจะสามารถมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นและเป็นสุขได้ และเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะใช้ชีวิตได้โดยไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้เป็นเหมือนอันธพาลและหญิงแพศยาไม่มีผิด พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติและไม่ใช่คนปกติ  ถ้าเจ้าขอให้พวกเขาทำบางสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาไม่ยอมทำตามอย่างแน่นอนเพราะลึกลงไปในกระดูกและในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้น พวกเขาไม่รักสิ่งที่เป็นบวกและรู้สึกรังเกียจความจริง  แล้วพวกเขาทำอะไร?  พวกเขาทำสิ่งใดในคริสตจักร เมื่ออยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง และระหว่างปฎิบัติหน้าที่ของตน?  พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างหละหลวม พูดถึงทฤษฎีที่ฟังดูสูงส่ง ป่าวร้องคำขวัญชวนเชื่ออยู่เสมอ แต่ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง—นี่คือพฤติกรรมที่ปกติของพวกเขา  พวกเขาไม่เคยทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาทำอย่างฉาบฉวยเสมอ และทำแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ด้วยการทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อให้ผู้อื่นเห็น พลางแย่งชิงเกียรติยศและผลประโยชน์จากผู้อื่น  คนชั่วเหล่านี้ทำให้ผู้อื่นต้องทนทุกข์ แถมยังกดขี่พวกเขาเอาไว้อีกด้วย และไม่ว่าคนชั่วจะอยู่ที่ใด ที่นั่นย่อมไร้สันติสุขและไม่มีความสงบ—มีแต่ความวุ่นวายเท่านั้น  เมื่อมีคนชั่วควบคุมดูแล ไม่เพียงงานจะไม่คืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นอัมพาตอีกด้วย เมื่อมีคนชั่วคอยควบคุมคริสตจักร คนดีย่อมถูกรังแก คริสตจักรก็กลายเป็นวุ่นวายอย่างเหลือรับ ความเชื่อของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะขาดความกระตือร้น และพวกเขาก็จะกลายเป็นคนคิดลบและอ่อนแอ  ไม่ว่าคนชั่วไปอยู่ที่ใด บทบาทของพวกเขาย่อมเป็นการก่อกวนและบ่อนทำลาย  การสำแดงออกที่เด่นชัดที่สุดของคนชั่วก็คือความไม่เต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ต่อให้พวกเขายอมปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาก็ทำอย่างฉาบฉวยและไม่เคยปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง หนำซ้ำยังก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่นอีกด้วย  ยังมีอีกประเด็นให้กล่าวถึง นั่นคือ คนชั่วไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยอธิษฐาน ไม่เคยสามัคคีธรรมความจริงร่วมกับผู้อื่น และไม่เคยแม้กระทั่งเปิดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่ตนมีเสียด้วยซ้ำ  บางคนก็ให้ข้อโต้แย้งที่ลวงโลกแทนคนชั่วว่า “แม้จะไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังฟังคำเทศนา”  แต่พวกเขาเข้าใจคำเทศนาเหล่านั้นหรือไม่?  พวกเขาไม่ได้ตั้งใจฟังแต่อย่างใด ไม่เคยดูวิดีโอและภาพยนตร์ที่สร้างโดยพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ฟังเพลงนมัสการ ไม่ฟังคำพยานจากประสบการณ์ และไม่ฟังบันทึกคำเทศนา  เวลาร่วมชุมนุม พวกเขาก็ง่วงนอน และถึงกับมีบางคนที่มัวยุ่งอยู่กับการเล่นโทรศัพท์มือถือและดูรายการบันเทิง แล้วก็มีบางคนที่ดูภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่อีกด้วย  สิ่งที่พวกเขาทำมาตลอดทั้งวันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าหรือการไล่ตามเสาะหาความจริงเลย  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมความจริงโดยลงรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนที่พวกเขามีต่อความจริงและสิ่งที่เป็นบวกก็ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกที  พวกเขารู้สึกกระวนกระวาย และในช่วงเวลาอันจำกัดที่พวกเขายังทนได้อยู่นั้น พวกเขาไม่สามารถมองเห็นบั้นปลายที่ดี ปลายทางที่ดีงาม และความวิบัติครั้งใหญ่ที่พวกเขาเฝ้ารอคอยได้ และพวกเขาก็รอคอยสิ่งเหล่านี้อย่างไร้ผล  พวกเขารอคอยสิ่งเหล่านี้อย่างไร้ผล เช่นนั้นหัวใจของพวกเขาจะไม่ปั่นป่วนหรือ?  (ปั่นป่วน)  เป็นความปั่นป่วนแบบใด?  พวกเขาไม่ได้คิดคำนวณอยู่ในหัวใจตลอดเวลาหรอกหรือ?  พวกเขาไม่เคยเตรียมใจที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระเจ้า ไม่เคยเตรียมใจยอมรับอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า นบนอบการจัดแจงเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทุ่มเททุกสิ่งที่มีให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกเวลาและทุกสถานที่  กรอบความคิดของพวกเขาเป็นอย่างไร?  พวกเขาพร้อมที่จะเก็บข้าวของของตนและจากไปทุกแห่งและทุกเมื่อ  พวกเขาพร้อมที่จะจากไปทุกเมื่อ พร้อมที่จะอำลาคริสตจักรและพี่น้องชายหญิง พร้อมที่จะตัดขาดอย่างสิ้นเชิงและสะบั้นสายสัมพันธ์ทั้งหมดมานานแล้ว  ยามที่พวกเขาจากไปก็คือยามที่พวกเขาถึงขีดจำกัดที่พวกเขาจะสามารถทนได้แล้ว  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)

หลังจากถูกแทนที่หรือถูกกำจัดออกไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม คนบางคนก็ยังคงสามารถตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ  บางคนก็ไม่แสวงหาความจริงเลย ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป  ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่นั้น พวกเขาก็แสดงความสะอิดสะเอียนและเหลืออดต่อหน้าที่ออกมา พวกเขาไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตนและอยากหนีไปให้พ้นชีวิตคริสตจักรอยู่ตลอดเวลา  ด้วยเหตุที่ผู้คนเหล่านี้ไม่สนใจความจริง พวกเขาจึงไม่สุขสำราญกับการใช้ชีวิตคริสตจักร และไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาเอาแต่ตั้งตารอให้วันของพระเจ้ามาถึง เพื่อที่ตนจะได้รับพร พวกเขาไม่สามารถทำตัวเลอะเลือนต่อไปเหมือนที่ทำอยู่ได้ และมองเห็นว่าความวิบัติร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ จึงคิดว่าถ้าตนไม่แสวงหาความรื่นเริงหรรษาทางเนื้อหนังในตอนนี้ พวกเขาก็จะหมดโอกาสทำเช่นนั้นอีก  ดังนั้นพวกเขาจึงไปจากคริสตจักรโดยไม่เหลียวกลับมามองเลยสักนิด และไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย  นับแต่นั้นมาพวกเขาก็หายไปในคลื่นฝูงชนอันกว้างใหญ่ไพศาล และไม่มีใครในคริสตจักรได้ยินข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย—ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้จึงถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไปด้วยประการฉะนี้  ยิ่งพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและกำหนดให้ผู้คนปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนและไม่อยากได้ยินอีกเลย  ไม่เพียงพวกเขาจะไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่พวกเขายังต้านทานอีกด้วย  พวกเขาเข้าใจสถานการณ์อย่างดียิ่ง พวกเขารู้ว่าคนอย่างพวกเขาไม่มีที่ทางในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้สละตนเพื่อพระเจ้าในความเชื่อของตนอย่างแท้จริง และไม่ได้ทุ่มเททุกสิ่งที่ตนมีให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาทำหน้าที่อย่างฉาบฉวยเสมอ อีกทั้งรู้สึกสะอิดสะเอียนและชิงชังความจริงเป็นอย่างยิ่ง พวกเขายังรู้ด้วยว่าไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะถูกกำจัดออกไป และแน่นอนว่านี่จะเป็นจุดจบ  พวกเขาวางแผนมานานแล้ว และคิดว่า “ไม่ว่าอย่างไร คนอย่างฉันก็จะไม่ได้รับพรเป็นแน่ ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดถ้าฉันจากไปในตอนนี้ สุขสำราญกับชีวิตในโลกสักสองสามปี มีชีวิตที่ดีสักสองสามปี และไม่ทำให้ตัวเองผิดหวัง”  พวกเขาวางแผนไว้เช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อมีเจตนาและแผนการเช่นนี้ ผู้คนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้หรือไม่?  ไม่สามารถ  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม พวกเขาก็ไม่รู้สึกลังเลที่จะไปจากพระเจ้า พระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร พี่น้องชายหญิง หรือชีวิตคริสตจักร  พวกเขาพูดขึ้นมาในวันหนึ่งว่าตนกำลังจะจากไป แล้วรุ่งขึ้นพวกเขาก็แต่งตัวเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ แต่งตัวเลิศหรูและแต่งหน้าจัดจ้าน อยู่ๆ ก็แต่งกาย พูดจา และทำตัวเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อไม่มีผิด พวกเขาสวมชุดแปลกประหลาด และดูไม่ถูกต้องในสายตาของเจ้า แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ตระหนักว่าตนดูเป็นเช่นไรในสายตาของเจ้า  เหตุใดพวกเขาจึงเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้?  (เพราะพวกเขาวางแผนมานานแล้ว และธรรมชาติของพวกเขาก็เป็นอย่างนี้)  ถูกต้อง  พวกเขาวางแผนเอาไว้นานแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งคิดแผนการเหล่านี้ขึ้นมาเพียงไม่กี่วันก่อนที่พวกเขาจะจากไป แต่พวกเขาตัดสินใจไว้นานแล้วว่าตนจะทำเช่นนี้  พวกเขาคิดอุบายและวางแผนมานานแล้วว่าตนจะกิน ดื่ม และสังสรรค์อย่างไร จะวางตัวอย่างไร และจะใช้ชีวิตอย่างไร  พวกเขาไม่ชอบการใช้ชีวิตคริสตจักร หรือการปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือการสามัคคีธรรมความจริง และยิ่งไม่ชอบฟังคำเทศนาและเข้าร่วมชุมนุมทุกวัน  พวกเขาเอือมระอาชีวิตคริสตจักรแบบนี้จะตายอยู่แล้ว และถ้าไม่ใช่เพื่อให้ได้รับพร เพื่อให้ได้มาซึ่งบั้นปลายอันดีงาม และหนีพ้นความวิบัติครั้งใหญ่ พวกเขาจะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้แม้แต่วันเดียว—นี่คือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขา  ดังนั้น เมื่อพวกเจ้าพบเจอผู้คนแบบนี้อีก พวกเจ้าควรรับมือพวกเขาอย่างไร?  พวกเจ้าจะขอร้องพวกเขาด้วยวาจาที่ถนอมน้ำใจ หรือเสนอความช่วยเหลือและเกื้อหนุนพวกเขาให้มากขึ้นหรือไม่?  หรือพวกเจ้าจะเสียใจที่เห็นพวกเขาจากไปและใช้ความรักของเจ้ามาพยายามเปลี่ยนแปลงพวกเขา?  พวกเจ้าควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  (พวกเราควรขอให้พวกเขารีบจากไปยังโลกของผู้ไม่มีความเชื่อทันที)  ถูกต้อง จงขอให้พวกเขากลับสู่ทางโลกและจงอย่าไปยุ่งกับพวกเขาอีก  เจ้าจงบอกพวกเขาว่า “คิดให้รอบคอบ คุณจะได้ไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตนเองทีหลัง”  พวกเขาย่อมกล่าวว่า “ฉันคิดรอบคอบแล้ว และไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับความยุ่งยากอะไรในอนาคต ฉันก็จะไม่หันกลับมาและจะไม่รู้สึกเสียใจ”  เจ้าก็จะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถิด  ไม่มีใครหยุดคุณไว้หรอก  พวกเราทุกคนขอให้คุณโชคดีและหวังว่าคุณจะสัมฤทธิ์อุดมคติของคุณและทำให้ความฝันที่คุณปรารถนากลายเป็นจริง  พวกเรายังหวังด้วยว่าเมื่อถึงวันที่คุณมองเห็นคนอื่นได้รับการช่วยให้รอด คุณจะไม่รู้สึกอิจฉาหรือเสียใจ  ลาก่อน”  นี่เป็นสิ่งที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะกล่าวกับพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนแบบนี้ ในแง่หนึ่ง เจ้าต้องเห็นแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างชัดเจน ในอีกแง่หนึ่ง เจ้าต้องจัดการกับพวกเขาด้วยวิธีการที่เหมาะสม  ถ้าพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ เป็นผู้ไม่มีความเชื่อ แต่ก็เต็มใจที่จะลงแรง รวมทั้งเชื่อฟังและนบนอบได้ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็จงอย่าไปกวนใจพวกเขาและอย่าเอาตัวพวกเขาออกไป  แต่จงยอมให้พวกเขาออกแรงทำงานต่อไป และถ้าเจ้าสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วก็จงช่วยเหลือพวกเขาเถิด  ถ้าพวกเขาไม่อยากทำแม้แต่จะออกแรงทำงาน เริ่มทำตัวเหลวไหลและทำชั่ว ถึงตอนนั้นพวกเราก็ได้ทำทุกสิ่งที่จำเป็นต้องทำแล้ว  ถ้าพวกเขาต้องการที่จะจากไป เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาจากไปเถิด และเมื่อพวกเขาไปแล้ว ก็จงอย่าคิดถึงพวกเขา  พวกเขามาถึงจุดที่ควรจากไปแล้ว และผู้คนแบบนั้นก็ไม่คู่ควรที่เจ้าจะสงสาร เพราะพวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  สิ่งที่น่าเวทนาที่สุดก็คือมีบางคนที่เบาปัญญาอย่างยิ่ง ยึดมั่นในความรู้สึกส่วนตนที่มีต่อผู้คนที่ถูกไล่ออกไปอยู่เสมอ คิดถึงพวกเขาตลอดเวลา พูดจาออกตัวแทนพวกเขา สู้เพื่อพวกเขา และถึงกับร้องไห้ อธิษฐาน และวอนขอเพื่อพวกเขา  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ทำลงไป?  (เป็นเรื่องที่โง่เขลามาก)  โง่เขลาอย่างไร?  (คนที่จากไปก็คือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่ยอมรับความจริง ไม่คู่ควรจริงๆ ที่จะอธิษฐานให้ และไม่ควรค่าแก่การคิดถึง  มีแต่ผู้ที่พระเจ้าประทานโอกาสให้และผู้มีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดเท่านั้นที่คู่ควรกับน้ำตาและคำอธิษฐานจากผู้อื่น  ถ้ามีใครอธิษฐานให้ผู้ไม่เชื่อหรือมาร เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็โง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่ง)  ในแง่หนึ่ง พวกเขาไม่เชื่ออย่างแท้จริงว่ามีพระเจ้า—พวกเขาจึงเป็นผู้ไม่เชื่อ อีกแง่หนึ่งก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนเหล่านี้เป็นแก่นแท้ธรรมชาติของผู้ไม่มีความเชื่อ  ความหมายแฝงในที่นี้คืออะไร?  คือพวกเขาไม่ใช่คนเลยสักนิด แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นแก่นแท้ธรรมชาติของมาร ของซาตาน และผู้คนเหล่านี้ก็ต่อต้านพระเจ้า  สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นเช่นนี้  ถึงกระนั้นก็ยังมีอีกแง่หนึ่งซึ่งก็คือ พระเจ้าทรงคัดเลือกผู้คน ไม่ได้ทรงเลือกมาร  ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่ามารเหล่านี้คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และพระเจ้าทรงเลือกพวกเขาใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ดังนั้นถ้าเจ้ามีภาวะอารมณ์ที่พัวพันอยู่กับผู้คนเหล่านี้ตลอดเวลาและเศร้าใจที่เห็นพวกเขาจากไป เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมทำให้เจ้าเป็นคนโง่เขลามิใช่หรือ?  นั่นทำให้เจ้าต่อต้านพระเจ้ามิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้กับพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง แต่กลับเก็บงำความรู้สึกที่ลึกซึ้งไว้ให้มารเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะเป็นเช่นไร?  อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็จะเลอะเลือน ไม่ได้มองผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้ายังไม่ได้วางตนตามจุดยืนที่ถูกต้อง และไม่ได้รับมือกับเรื่องราวต่างๆ ตามหลักธรรม  เจ้าก็คือคนที่เลอะเลือนคนหนึ่ง  ถ้าเจ้ามีความรู้สึกให้กับหนึ่งในมารเหล่านี้ เช่นนั้นเจ้าจะคิดว่า “โอ แต่เขาเป็นคนที่ดีมาก และพวกเราก็มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกันนัก!  เราทั้งคู่เข้ากันได้ดี และเขาก็ช่วยฉันเอาไว้มากมาย!  เวลาที่ฉันอ่อนแอ เขาก็ให้ความชูใจฉันอย่างมาก และพอฉันทำอะไรผิด เขาก็ยอมผ่อนปรนและอดทนกับฉัน  เขาเปี่ยมรักอย่างยิ่ง!”  เขาเป็นเช่นนี้กับเจ้าเท่านั้น แล้วเจ้าเล่าเป็นเช่นไร?  เจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์ทั่วไปที่เสื่อมทรามอีกคนหนึ่งมิใช่หรือ?  แล้วคนแบบนั้นปฏิบัติต่อความจริง ต่อพระเจ้า และหน้าที่ที่พระนิเวศของพระเจ้าไว้วางใจมอบหมายให้เขาทำอย่างไร?  ทำไมเจ้าถึงไม่มองสิ่งต่างๆ จากมุมมองเหล่านี้?  การมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตนของเจ้า ด้วยสายตาและความรู้สึกทางเนื้อหนังของเจ้านั้นถูกต้องแม่นยำแล้วหรือ?  (ไม่ถูกต้อง)  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้อง!  และเพราะไม่ใช่วิธีมองสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้องแม่นยำ เจ้าจึงควรปล่อยมือจากมัน เปลี่ยนมุมมองและจุดยืนที่เจ้าใช้กับคนคนนั้น  เจ้าควรเสาะแสวงที่จะจัดการและรับมือคนคนนั้นโดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหลักการพื้นฐานของตน—นี่คือจุดยืนซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรนำมาใช้และเป็นท่าทีที่พวกเขาควรมี  จงอย่าเป็นคนโง่!  เจ้านึกหรือว่าตนเองเป็นคนใจดีมีเมตตาเพราะรู้สึกสงสารผู้อื่น?  เจ้าโง่เขลาอย่างยิ่ง ไร้หลักธรรมอย่างสิ้นเชิง  เจ้าไม่ปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้ากำลังเข้าข้างซาตาน กำลังเห็นใจซาตานและพวกมาร  ความเห็นอกเห็นใจที่เจ้ามีไม่ได้มุ่งไปที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือผู้ที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะช่วยให้รอด และไม่ได้มุ่งไปที่พี่น้องชายหญิงที่แท้จริง

ผู้คนที่เป็นผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ไม่เคยเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขามักปฏิบัติหน้าที่ตามใจชอบอยู่เสมอ  ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับ และต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงบ้างเล็กน้อย พวกเขาก็ไม่นำไปปฏิบัติอยู่ดี  ยังมีการสำแดงสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่พวกเขาแสดงออกมาให้เห็น—นั่นคืออะไร?  ก็คือพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างหละหลวมอยู่เสมอ พวกเขาประมาทเลินเล่อตลอดเวลา และดื้อรั้นไม่ยอมกลับใจ  พวกเขาเอาใจใส่ ตั้งใจ และละเอียดรอบคอบในกิจธุระของตนเองอย่างยิ่ง โดยไม่กล้าปล่อยปละละเลยแต่อย่างใด  พวกเขาคิดอ่านอย่างถี่ถ้วนในเรื่องอาหารและเสื้อผ้าของตน สถานะ ความมีหน้ามีตา ความนับถือตนเอง ความสุขสำราญทางเนื้อหนัง ความเจ็บไข้ได้ป่วย อนาคต โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ การเกษียณอายุ และแม้กระทั่งเรื่องที่เกี่ยวกับความตายของตน—พวกเขาก็ได้เตรียมการไว้พร้อมทั้งหมดแล้ว  อย่างไรก็ดี พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขากลับไม่เอาใจใส่เอาเสียเลย และยิ่งไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  บางคนง่วงนอนและเผลองีบหลับทุกครั้งที่เข้าร่วมชุมนุม และพวกเขาถึงกับรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อได้ยินเสียงของเรา  พวกเขารู้สึกอึดอัดอยู่ลึกๆ รู้สึกกระวนกระวาย พวกเขาทั้งเหยียดตัวและหาวนอน เกาหูและถูแก้ม  พวกเขาประพฤติตัวเหมือนสัตว์ทั้งหลาย  บางคนบอกว่า “คำเทศนาในการชุมนุมนั้นยาวนานมาก บางคนนั่งนิ่งนานขนาดนั้นไม่ไหว”  อันที่จริง บางครั้งการชุมนุมเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น พวกเขาก็อยู่ไม่สุขกันแล้ว และพวกเขาก็ฟังด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียน  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาไม่เคยฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้าเลย  ทันทีที่พวกเขาได้ยินใครสักคนสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียน เอือมระอาและเหนื่อยหน่ายการมองเห็นผู้คนรับฟังด้วยความเอาใจใส่อย่างจดจ่อ  ผู้คนแบบนี้มีแก่นแท้ธรรมชาติเช่นไร?  พวกเขาสวมหนังมนุษย์ ดูภายนอกพวกเขาก็คือมนุษย์ แต่ถ้าเจ้าลอกหนังออกมา พวกเขาคือมาร ไม่ใช่มนุษย์  พระเจ้าต้องประสงค์ให้ผู้คนมากมายได้รับการช่วยให้รอด ประสงค์ให้ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ได้รับการช่วยให้รอด พระองค์ไม่ได้ต้องประสงค์ให้มารได้รับการช่วยให้รอด  พระเจ้าไม่ทรงช่วยมารให้รอด!  เจ้าต้องจำเรื่องนี้ไว้เสมอและต้องไม่ลืม!  เจ้าต้องไม่คบค้าสมาคมกับใครก็ตามที่สวมหนังมนุษย์แต่มีธรรมชาติและแก่นแท้เป็นมาร  ถ้าเจ้าไม่ตัดสัมพันธ์ทั้งหมดกับคนประเภทนี้ และพยายามที่จะเอาใจพวกเขา ประจบพวกเขา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะกลายเป็นตัวตลกของซาตาน พระเจ้าจะทรงชังเจ้าและตรัสว่า “เจ้าคนเขลาตามืดบอด เจ้าไม่อาจเข้าใจใครได้เลย!”  พระเจ้าไม่ทรงช่วยมารให้รอด เข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจ)  พระเจ้าไม่ทรงช่วยมารให้รอด และพระองค์ก็ไม่ทรงเลือกมาร  ไม่มีวันที่พวกมารจะสามารถรักความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริงได้ และยิ่งไม่มีวันที่จะนบนอบพระเจ้า—ไม่มีวันที่พวกมารจะยอมนบนอบพระเจ้าได้  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เพราะพวกเขารักความชอบธรรมและความเที่ยงธรรมของพระองค์ และไม่ใช่เพื่อให้ตนสามารถไล่ตามเสาะหาการได้รับความรอด  พวกเขาแสดงความรู้สึกรังเกียจและเหยียดหยามการที่โยบยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว หัวใจของพวกเขารู้สึกสะอิดสะเอียนและต้านทานการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นอย่างยิ่ง  ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อเรา เช่นนั้นแล้วก็จงมองดูผู้คนรอบตัวพวกเจ้าที่ถูกไล่ออกไปและถูกเปิดโปงก็พอ ดูว่ามีอะไรอยู่ในจิตใจลึกๆ ของพวกเขา เวลาไม่มีใครอื่นฟังอยู่ พวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน พวกเขาใส่ใจเรื่องใด ท่าทีที่พวกเขามีต่อชีวิตและการอยู่รอดของตนเอง ต่อผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเป็นเช่นไร พวกเขากล่าวอะไร และแสดงทัศนะเช่นใดออกมา  จากการแสดงออกและสิ่งที่พรั่งพรูออกมาทั้งหมดนี้ เจ้าย่อมมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นเช่นใด เหตุใดพวกเขาจึงสามารถจากไป และเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าถึงอยากเอาตัวพวกเขาออกไป  นี่คือบทเรียนที่คู่ควรแก่การเรียนรู้มิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วพวกเจ้าเรียนรู้บทเรียนอะไรไปแล้วบ้าง?  พวกเจ้าเข้าใจอะไรแล้วบ้าง?  (พวกเราได้เรียนรู้วิธีการมีวิจารณญาณแยกแยะ และเข้าใจแล้วว่าลึกลงไปในจิตใจของผู้คนเหล่านี้ พวกเขาไม่รักความจริงและรู้สึกรังเกียจความจริง  พวกเขาเอาแต่ทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า และในไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะถูกเอาตัวออกไป)  ถ้าเจ้ามองสิ่งต่างๆ ตามนี้ ก็แสดงว่าพวกเจ้าเรียนรู้บทเรียนแล้ว

เจ้าสามารถมองเห็นหรือไม่ว่าซาตานและพวกมารในโลกวิญญาณรู้สึกรังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงกันอย่างไร?  เจ้าสามารถมองเห็นหรือไม่ว่าซาตานและพวกมารท้าทายพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้ากันอย่างไร?  เจ้าสามารถมองเห็นหรือไม่ว่าซาตานและพวกมารใช้วาจา คำกล่าว และวิธีการเช่นไรโจมตีพระเจ้า?  เจ้าสามารถมองเห็นหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้ซาตานและพวกมารทำอะไรบ้าง พวกมันทำเช่นนั้นกันอย่างไร และมีท่าทีเช่นไร?  (ไม่สามารถ)  เจ้าไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดก็เป็นเพียงการคิดฝันหรือภาพในใจของเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง  ด้วยเหตุที่เจ้าไม่เคยมองเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง สิ่งที่เจ้าทำได้จึงมีแต่การพึ่งพาจินตนาการของตนและนึกภาพไปตามนั้น หรือจินตนาการการกระทำบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น  อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าเผชิญหมู่มารและเหล่าซาตานที่มีลมหายใจและสวมหนังมนุษย์เหล่านี้ เจ้าย่อมจะมาสัมผัสวาจาและการกระทำของหมู่มารและเหล่าซาตานในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง รวมทั้งข้อเท็จจริงและหลักฐานเกี่ยวกับการที่พวกเขาตัดสิน เล่นงาน ท้าทาย และหมิ่นประมาทพระเจ้า—เจ้าย่อมจะมองเห็นอุปนิสัยที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงของพวกเขาอย่างชัดเจนยิ่ง  หมู่มารและเหล่าซาตานที่สวมหนังมนุษย์พวกนี้โจมตีพระเจ้าแบบเดียวกันกับที่ซาตานและพวกมารในโลกวิญญาณโจมตีพระเจ้าไม่มีผิด พวกมันเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่หมู่มารและเหล่าซาตานที่สวมหนังมนุษย์ใช้รูปสัณฐานที่ต่างออกไปมาเล่นงานพระเจ้า—แต่แก่นแท้ของพวกมันยังคงเหมือนเดิม  พวกมันสวมหนังมนุษย์และแปลงร่างเป็นมนุษย์ แต่พวกมันยังคงมาตัดสิน โจมตี ท้าทาย และหมิ่นประมาทพระเจ้า  ลักษณะที่หมู่มารและเหล่าซาตานในเนื้อหนังและผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ตัดสิน โจมตี และท้าทายพระเจ้า รวมทั้งวิธีที่พวกเขารื้อทำลายพระราชกิจของพระองค์และก่อกวนงานของคริสตจักรนั้น เป็นวิธีเดียวกับที่ซาตานและพวกมารในโลกวิญญาณทำสิ่งเหล่านี้ไม่มีผิด  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้ามองเห็นว่าหมู่มารและเหล่าซาตานในโลกท้าทายพระเจ้าอย่างไร เจ้าก็กำลังมองเห็นวิธีที่ซาตานและพวกมารในโลกวิญญาณท้าทายพระเจ้าอย่างนั้น—ไม่แตกต่างกันเลย  พวกมันมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันและมีแก่นแท้ธรรมชาติเหมือนกัน นั่นคือสาเหตุที่พวกมันทำสิ่งเดียวกัน  ไม่ว่าพวกมันจะใช้รูปสัณฐานใด พวกมันก็ล้วนทำสิ่งเดียวกันทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้นหมู่มารและเหล่าซาตานที่สวมหนังมนุษย์เหล่านี้จึงท้าทายพระเจ้าและโจมตีพระเจ้า แสดงความสะอิดสะเอียนและการต้านทานความจริงออกมาอย่างสุดโต่งเพราะธรรมชาติของพวกมัน และเพราะพวกมันอดใจไม่ไหว  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกมันอดใจไม่ไหว?  พวกมันดูเหมือนมนุษย์ ใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์คนอื่นๆ กินอาหารครบหมู่วันละสามมื้อ เล่าเรียนมีการศึกษาและความรู้อย่างมนุษย์ มีทักษะชีวิตและวิถีชีวิตเหมือนที่มนุษย์คนอื่นมี อย่างไรก็ดี วิญญาณข้างในตัวพวกมันไม่เหมือนกับวิญญาณของมนุษย์คนอื่น และแก่นแท้ก็ไม่เหมือนกัน  ดังนั้นสิ่งที่บ่งชี้ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นเช่นไรก็คือแก่นแท้ รากเหง้า และแหล่งกำเนิดเบื้องหลังทัศนะที่พวกเขายึดถือและสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้นั่นเอง  ถ้าพวกเขาโจมตีพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือมาร ไม่ใช่มนุษย์  ภายใต้หนังมนุษย์ ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวจะฟังดูดีหรือถูกต้องเพียงใด แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกมาร  พวกมารสามารถพูดสิ่งที่ฟังดูดีเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดได้ แต่พวกมันไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และยิ่งไม่นำไปปฏิบัติ—แน่นอนว่าเป็นเช่นนี้  จงดูพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นและดูพวกที่ท้าทายและทรยศพระเจ้าเถิด—พวกเขาเป็นคนประเภทนี้มิใช่หรือ?  พวกเขาล้วนสามารถพูดสิ่งที่ฟังดูดี แต่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  พวกเขาสามารถแสดงความเคารพได้บ้างและสามารถพูดสิ่งที่ฟังดูดีต่อผู้คนที่มีสถานะและอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตน แต่เมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขากลับไม่แสดงความเคารพพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์แม้แต่น้อย  ถ้าเจ้าขอให้พวกเขาจัดการเรื่องบางอย่างให้พระเจ้า แท้จริงแล้วพวกเขาย่อมไม่อยากทำ และต่อให้พวกเขาลงมือทำ พวกเขาก็ทำอย่างฉาบฉวย  เหตุใดพวกเขาถึงสามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าเช่นนี้ได้?  ความจริงทำให้พวกเขาเป็นทุกข์กระนั้นหรือ?  พระเจ้าทำให้พวกเขาไม่มีความสุขกระนั้นหรือ?  พระเจ้าเคยมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามาก่อนหรือไม่?  คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็คือไม่ และพระเจ้าก็ไม่เคยทรงพบเจอพวกเขาด้วยซ้ำ  แล้วเหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงมีท่าทีเช่นนี้ต่อพระเจ้าและความจริง?  มีเหตุผลอยู่ข้อเดียวก็คือ แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาต่อต้านพระเจ้าโดยกำเนิด  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยและหมิ่นประมาทพระเจ้า ดูหมิ่น ตัดสิน และโจมตีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน แม้การทำเช่นนั้นจะผิดทำนองคลองธรรมโดยสิ้นเชิง—นี่เป็นไปตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา  พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม คำพูดคำจาก็หลุดจากปากโดยไม่มีการคิดคำนึง ไม่ใส่ใจ สิ่งเหล่านี้พรั่งพรูออกมาตามธรรมชาติจริงๆ  พวกเขาสามารถแสดงความเคารพผู้อื่น เคารพผู้คนที่มีสถานะ และเคารพคนธรรมดาทั่วไป แต่พวกเขากลับดูหมิ่นพระเจ้าและความจริงอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาเป็นอะไร?  (เป็นพวกมาร)  ถูกต้อง ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใด พวกเขาก็เป็นมาร ไม่ใช่มนุษย์  บางคนกล่าวว่า “บางทีพวกเขาอาจจะยังหนุ่มสาวกันอยู่และไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ”  เจ้าคิดว่าพวกเขาหนุ่มสาวและไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ แต่พอพวกเขาออกไปสู่โลกและสังคม และพบเจอผู้คนที่อายุมากกว่า พวกเขาก็เรียกขานคนเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเสมอ  มีแต่เวลาที่พวกเขาพบเจอพระเจ้าเท่านั้นที่พวกเขาไม่เรียกพระองค์ แต่กลับกล่าวว่า “เฮ้” หรือ “คุณคนนั้น” หรือแค่ “คุณ”  พวกเขาไม่เรียกพระเจ้า  พวกเขารู้จักเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์ในสังคม พวกเขามีอารยธรรมและสุภาพ  แต่พอมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขากลับไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้และไม่เข้าใจว่าควรให้เกียรติพระองค์อย่างไร  ดังนั้นพวกเขาเป็นอะไร?  (เป็นมาร)  พวกเขาเป็นมาร มารที่แท้จริง!  พวกเขาสามารถแสดงความเคารพและสุภาพกับผู้คนที่มีเกียรติในสังคม ผู้ที่มีสถานะ ผู้ที่พวกเขาเลื่อมใส และแม้กระทั่งผู้ที่พวกเขาสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางอย่างได้ เพียงแต่พอพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขากลับไม่แสดงความเคารพหรือความสุภาพใดๆ เลย แต่จะต้านทานทันที ดูหมิ่นพระองค์อย่างเปิดเผย และปฏิบัติต่อพระองค์ด้วยท่าทีที่เหยียดหยาม  พวกเขาเป็นอะไร?  พวกเขาเป็นมาร มารที่แท้จริง!  ผู้ไม่เชื่อเหล่านี้ หมายถึงผู้คนที่หาทางแอบแฝงเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าแล้วถูกถอดถอนและเอาตัวออกไปเหล่านี้ ร้อยทั้งร้อยล้วนเป็นคนแบบนี้ทั้งสิ้น  พวกเขาต้านทานและปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างเหยียดหยามแบบนี้ และเมื่อเป็นเรื่องหน้าที่ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนปฏิบัติ พวกเขาก็ยิ่งไม่ใส่ใจเข้าไปใหญ่  ไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะใดในสังคม มีการศึกษาสูงเท่าใด หรือมีอายุหรือเพศสภาพเช่นใด แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็เป็นเหมือนกัน  เมื่อพวกเขาอยู่ในโลกและพบเจอเจ้าหน้าที่ที่ขอให้พวกเขาทำอะไรบางอย่าง พวกเขากลับกระตือรือร้นที่จะคุกเข่าลงหมอบกราบอยู่กับพื้น  พวกเขามีความสุขและเต็มใจที่จะเป็นทาสของเจ้าหน้าที่ และพยายามประจบสอพลอเจ้าหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถคิดออก  ถ้าคนดังหรือประธานาธิบดีมาจับมือหรือโอบกอดพวกเขา พวกเขาย่อมรู้สึกเป็นเกียรติ และบางทีอาจจะไม่ยอมล้างมือหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเลยตราบเท่าที่ตนยังมีชีวิตอยู่  พวกเขารู้สึกว่าคนดังและผู้คนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้สูงส่งและยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าเสียอีก และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงสามารถดูหมิ่นพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดหรือทรงพระราชกิจใด ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่คิดว่าคู่ควรที่จะเอ่ยถึง  ไม่เพียงคิดว่าไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงเท่านั้น พวกเขายังอยากจัดการและเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา อยากเพิ่มเติมความหมายของตนเองเข้าไป ทำให้พระวจนะทั้งปวงเป็นไปตามที่ตนคิดอีกด้วย—ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขามีปัญหา  จงบอกเราเถิดว่าเหมาะสมหรือไม่ที่จะยอมให้ผู้คนเหล่านี้ที่เป็นพวกมาร หรือผู้คนเหล่านี้ที่มีแก่นแท้ธรรมชาติของมารคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า?  (ไม่เหมาะสม)  ไม่เหมาะสม  พวกเขาไม่เหมือนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรตรงที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นคนของพระเจ้า ส่วนผู้คนเหล่านี้เป็นคนของซาตานและพวกมาร

ต้องมีผู้คนเช่นใดชุมนุมกันจึงจะได้ชื่อว่าคริสตจักร?  พระนิเวศของพระเจ้าต้องการผู้คนเช่นใด และพระนิเวศของพระเจ้าเป็นของผู้คนแบบใด?  จงบอกเรามาเถิด  (ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง)  นี่ก็ออกจะเข้มงวดไปสักหน่อย  ตามมุมมองของเรานั้น อย่างน้อยที่สุดและตามมาตรฐานขั้นต่ำสุดก็ต้องเป็นผู้คนที่เต็มใจลงแรง  พวกเขาอาจไม่รักความจริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขารู้สึกรังเกียจความจริง พวกเขาทำสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าขอให้ทำโดยที่ไม่ตั้งคำถาม และพวกเขาก็เชื่อฟังและสามารถนบนอบได้  เมื่อพูดถึงภาวะของการไล่ตามเสาะหาความจริง บางคนอาจคิดว่าตนนั้นไม่มีขีดความสามารถ พวกเขาไม่สนุกกับการทำเช่นนั้นและไม่ได้สนใจขนาดนั้น  พวกเขาอาจคิดไปว่าการฟังคำเทศนาเป็นครั้งคราวก็ดีพอแล้ว และบางครั้งเวลาฟังคำเทศนา พวกเขาก็ผล็อยหลับ พอตื่นขึ้นมา พวกเขาก็นึกสงสัยว่า “ฉันเพิ่งฟังอะไรไปบ้างนะ?  ฉันลืมไปแล้ว  ฉันควรกลับไปทำงานจะดีที่สุด  แค่ทำงานของตัวเองก็พอ”  พวกเขาไม่เกะกะเกเรหรือขัดขวางรบกวน และไม่ว่าจะถูกจัดแจงให้ทำงานอะไร พวกเขาก็ทุ่มเททำงานหนัก  พวกเขามีความจริงใจอย่างแท้จริงและเป็นเหมือนเหล่าม้างานชรา—เจ้าของเพียงแค่บอกให้ม้าเหล่านั้นทำงานก็พอ แล้วไม่ว่าจะเป็นการหมุนโม่หิน ลากคันไถ ทำงานในท้องไร่ท้องนา หรือลากเกวียน พวกมันก็มีความจริงใจเสมอและสามารถทำงานให้เสร็จสิ้นโดยไม่ก่อปัญหาใดๆ  แล้วคนเหล่านั้นคิดอะไรอยู่?  “มีคนบอกว่าฉันเป็นคนลงแรง ดังนั้นฉันก็จะลงแรง  ฉันไม่มีค่าอะไรเลย  เป็นคนต่ำต้อยที่ไร้ความสำคัญ  ด้วยการทำงานรับใช้พระเจ้า พระองค์ย่อมยกชูฉัน และฉันก็จะไม่รู้สึกเลยว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม”  เจ้าดูเอาเถิด นี่คือท่าทีที่พวกเขามี  ดังนั้นจึงควรเก็บผู้คนแบบนี้ไว้ในพระนิเวศของพระเจ้า  แม้พวกเขาจะมีข้อเสีย มีข้อบกพร่อง และมีนิสัยที่ไม่ดีอยู่บ้าง หรืออาจจะไร้ขีดความสามารถหรือเบาปัญญา เราก็สามารถทนและรวมผู้คนเหล่านี้ไว้ด้วยกันได้ ไม่เป็นปัญหา และเราจะให้โอกาสแก่ผู้คนเหล่านี้  โอกาสอะไร?  เราจะให้โอกาสลงแรงแก่พวกเขาหรือให้โอกาสที่จะได้รับความรอด?  แน่นอนว่าทั้งสองอย่าง  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาเต็มใจที่จะลงแรงเพื่อพระเจ้า ออกแรงทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความปรารถนาที่พวกเขามีนี้ พวกเขาก็ควรมีโอกาสที่จะได้รับความรอด  กระนั้นก็มีบางคนที่บอกว่า “แต่พวกเขาไม่เสาะแสวงที่จะได้รับความรอด!”  ถ้าพวกเขาไม่เสาะแสวงที่จะได้รับความรอด เช่นนั้นก็เป็นเรื่องของพวกเขา แต่อย่างน้อยที่สุด ผู้คนเหล่านี้ก็สามารถได้รับความกรุณาเป็นพิเศษและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอด และพวกเขาก็มีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ที่กล่าวว่า “พวกเขามีโอกาส” เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าพวกเขาไร้ขีดความสามารถ เบาปัญญาอยู่บ้าง พวกเขาไม่สามารถทำงานใหญ่หรืองานสำคัญมากๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ ได้แต่ทำหน้าที่ทั่วไป พวกเขาไม่ได้มีบทบาทที่สำคัญมากนักในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ได้ทำงานสำคัญใดๆ ในระหว่างที่พระเจ้าแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ และพวกเขาก็ไม่ได้ทำคุณูปการยิ่งใหญ่อันใด อย่างไรก็ดี เป็นเพราะพวกเขามีความปรารถนาที่จะลงแรงเพื่อพระเจ้าด้วยความเต็มใจ พวกเขาจึงได้รับความกรุณาเป็นพิเศษและมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด—นี่คือความกรุณาเป็นพิเศษที่พวกเขาได้รับ  พระเจ้าประทานโอกาสมากมายแก่คนทุกคน  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมหรือไม่?  (เป็นธรรม)  เพราะไม่ว่าพวกเขาจะอ่อนแอเพียงใด ไร้ขีดความสามารถขนาดไหน เบาปัญญาอย่างไร พวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เสื่อมทราม เพียงแต่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยตนเองอย่างแข็งขันนัก แต่พวกเขายังคงเป็นผู้คนที่เหมาะสม  ในท้ายที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถได้ความจริงหรือได้รับความรอดหรือไม่ สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ย่อมประทานความเมตตาแก่พวกเขาและแสดงความกรุณาต่อพวกเขาเป็นพิเศษ เพราะผู้คนเหล่านี้ถูกสร้างจากแม่พิมพ์ที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากผู้ไม่เชื่อและมารเหล่านั้นที่ต่อต้านพระเจ้า และทั้งสองฝ่ายก็มีแก่นแท้ที่แตกต่างกัน  ผู้คนเหล่านั้นคือพวกมารและศัตรูของพระเจ้า ส่วนผู้คนเหล่านี้ แม้จะเสาะแสวงเพียงการลงแรงและยอมออกแรงทำงานเท่านั้นก็ตาม แต่ในหัวใจก็ไม่ได้ต้านทานพระเจ้า  พวกเขาไม่มีวันกระตือรือร้นที่จะโจมตีพระเจ้า ตัดสินพระเจ้า หรือหมิ่นประมาทพระเจ้า และพวกเขาก็มีท่าทีที่ถูกต้องและเป็นบวกต่อพระเจ้า นั่นคือ พวกเขาเต็มใจที่จะลงแรงเพื่อพระเจ้าไม่ว่าตนจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่ก็ตาม  นอกจากนั้นก็มีบางคนที่ดีกว่านี้เล็กน้อย และในระหว่างออกแรงทำงานก็สามารถนำความจริงบางอย่างไปปฏิบัติเท่าที่ตนจะทำได้ แสวงหาหลักธรรมความจริงบางประการอย่างแข็งขันและในทางที่เป็นบวก พากเพียรที่จะไม่ทำอะไรขัดกับหลักธรรม  นี่คือความประสงค์และท่าทีที่พวกเขามี ดังนั้นพระเจ้าจึงประทานความเมตตาแก่พวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม พระองค์ย่อมไม่ทรงทิ้งพวกเขาเป็นอันขาดและมักประทานโอกาสแก่พวกเขาอยู่เสมอ  เมื่อถึงเวลาที่พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง ถ้าพวกเขาสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าและสามารถหนีพ้นอิทธิพลของซาตานได้ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมจะนำพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักร—นี่คือบั้นปลายที่พวกเขาพึงมี  พระเจ้าประสงค์ที่จะช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอด และพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา ส่วนเรื่องที่ว่าพระเจ้าจะทรงทำตามนี้และทำให้วจนะเหล่านี้ลุล่วงไปอย่างไรนั้น สักวันหนึ่งพวกเจ้าก็จะรู้เอง  พระเจ้าทรงมีท่าทีอย่างไรต่อหมู่มารและเหล่าซาตาน?  (พระองค์ทรงรู้สึกรังเกียจพวกนั้น)  ท่าทีของพระองค์ก็คือพระองค์ทรงรู้สึกรังเกียจพวกนั้น  ไม่ต้องกล่าวเลยว่าพระองค์ทรงรู้สึกรังเกียจพวกนั้น  พระเจ้าทรงใช้หมู่มารและเหล่าซาตานทำงานรับใช้ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ในสถานการณ์ที่เหมาะสม และในเรื่องที่เหมาะสม และเมื่อพวกเขาทำงานรับใช้เสร็จแล้ว พวกเขาย่อมถูกขับออกไปโดยไม่มีการพิจารณาใดๆ  แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและรังเกียจความจริงย่อมถูกเปิดโปงอยู่ตลอดเวลาในสถานการณ์สารพัดรูปแบบ  พระเจ้าไม่ประทานความเมตตาต่อพวกเขา เพราะพระเจ้าทรงชิงชังพวกเขาอย่างยิ่งและขยะแขยงพวกเขาอย่างมาก  อย่างไรก็ดี ผู้คนเบาปัญญาเหล่านี้มีขีดความสามารถอ่อนด้อย ซึ่งบางคนก็อาจถึงขั้นเลอะเลือนด้วยซ้ำ กลับเต็มใจที่จะลงออกแรงเพื่อพระเจ้า และพวกเขาก็มีท่าทีและความมุ่งมั่นของ “ความปรารถนาที่จะลงแรงเพื่อพระเจ้าและไม่มีวันที่จะเสียใจ”  เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน พระเจ้าย่อมจะทรงอภัยให้แก่ความเบาปัญญาของพวกเขาและยอมผ่อนปรนให้กับความอ่อนแอของพวกเขา รวมทั้งจะทรงคุ้มครองและคอยสอดส่องดูแลพวกเขาเสมอ  เวลาที่เราพูดว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองและคอยสอดส่องดูแลพวกเขา เราหมายความว่าอย่างไร?  เราหมายความว่าพระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขาเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของความจริงไม่กี่ข้อที่พวกเขาสามารถตระหนักได้ และจะทรงอนุญาตให้พวกเขาเข้าใจความจริงที่พวกเขาสามารถทำความเข้าใจได้ พระเจ้าสถิตอยู่กับพวกเขา ประทานสันติสุขและความเบิกบานแก่พวกเขา และเมื่อพวกเขาเผชิญการทดลอง พระเจ้าก็จะทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้แก่พวกเขาเพื่อคุ้มครองพวกเขาจากการทดลองนั้นๆ  การทดลองหลักๆ มีอะไรบ้าง?  มีการทดลองอยู่มากมาย ได้แก่ การสมรส ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างชายหญิง เงินทอง สถานะ ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ความมีหน้ามีตา ตลอดจนการงานที่ดีพร้อมค่าจ้างและสิทธิประโยชน์โดยรวมที่ดี เป็นต้น—ทั้งหมดนี้คือการทดลองทั้งสิ้น  แล้ววิธีอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงใช้คุ้มครองผู้คนมีอะไรอีก?  พระองค์ทรงรักษาความเจ็บป่วยของเจ้าให้หายขาดเพื่อปกป้องเจ้าจากความทุกข์ พระองค์ทรงปกป้องเจ้าจากการถูกคนชั่วล่อหลอกให้ติดกับและเล่นงาน เป็นต้น  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเจ้าเผชิญความยุ่งยากบางอย่างหรือเรื่องบางเรื่องที่ดูจะก่อให้เกิดความหายนะ พระเจ้าย่อมจะทรงจัดเตรียมผู้คนบางคน บางเหตุการณ์ และบางสิ่งไว้คุ้มครองเจ้าจากความหายนะและความยุ่งยากเหล่านี้ ทำให้เจ้าสามารถลงแรงเพื่อพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์ได้อย่างราบรื่นจนสุดทางดังที่เจ้าปรารถนา—นี่เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น การที่ทุกสิ่งสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาได้นั้นเกิดจากอะไร?  (การคุ้มครองของพระเจ้า)  ถูกต้อง นี่ย่อมเกิดจากการคุ้มครองของพระเจ้า จากการที่พระเจ้าคอยสอดส่องดูแลเจ้า และจากความเมตตาของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เป็นพวกของมารย่อมอดไม่ได้ที่จะทำสิ่งต่างๆ แบบมาร  พวกเขาทำผิดพลาดในทุกสิ่งที่ทำ และล้วนเก็บงำเจตนาชั่วเอาไว้  จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขามักจะตกอยู่ในการทดลอง แท้จริงแล้วนั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องพบเจอ เหมือนหินก้อนใหญ่ที่พลันตกลงมาจากฟ้า หล่นใส่หัวของพวกเขา และทับพวกเขาตาย  ผู้คนที่เต็มใจออกแรงทำงานเพื่อพระเจ้าย่อมจะเผชิญสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน แต่ด้วยความคุ้มครองอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า ความวิบัตินี้จึงไม่เกิดขึ้นกับพวกเขา กลับข้ามพวกเขาไป และพวกเขาก็กล่าวอยู่ในหัวใจว่า “พระเจ้าทรงคุ้มครองฉันอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะตาย!”  พระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้าให้มีชีวิตอยู่เพราะเจ้ายังคงมีประโยชน์ต่อพระองค์  พระเจ้าประทานชีวิตแก่เจ้า และในเมื่อเจ้าเต็มใจที่จะออกแรงทำงานเพื่อพระองค์และมอบถวายตัวเจ้าแก่พระองค์ แล้วทำไมพระเจ้าจะไม่ทรงคุ้มครองเจ้าเล่า?  แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองเจ้า  พระเจ้าต้องประสงค์จากผู้คนมากหรือไม่?  (ไม่)  จริงๆ แล้วผู้คนที่เต็มใจออกแรงทำงานเพื่อพระเจ้านี้ไม่ได้มีความสามารถพิเศษมากนัก และขีดความสามารถของพวกเขาก็ไม่ได้ดีเยี่ยมขนาดนั้น พวกเขามีความเข้าใจความจริงอย่างจำกัด จนถึงขั้นที่สามารถเข้าใจเพียงคำพูดและคำสอนบางอย่าง และเรียนรู้ที่จะพูดจาเหมือนคนอื่นเท่านั้น  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมความจริง และไม่สามารถเข้าถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือการได้รับความรอดแต่อย่างใด  ความนบนอบที่พวกเขามีต่อพระเจ้าคือการทำสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าบอกให้พวกเขาทำเท่านั้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถนบนอบความจริงได้ก็เท่านั้นเอง  ดังนั้น ด้วยเหตุที่พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เสื่อมทราม และเพราะพวกเขาเต็มใจที่จะออกแรงทำงานเพื่อพระเจ้า พระเจ้าจึงไม่ได้ทรงทอดทิ้งพวกเขา  เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่าผู้คนที่ถูกชำระออกไปย่อมไม่มีอะไรดีเลย  ถ้าเจ้าเป็นคนดีจริง ถ้าเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าทรงคัดสรรแล้วจริง ถ้าเจ้ามีท่าทีที่นบนอบพระเจ้าจริง มีความปรารถนาและท่าทีที่เต็มใจลงแรงเพื่อพระเจ้าและไม่เคยนึกเสียใจ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่มีวันที่พระเจ้าจะทรงทอดทิ้งเจ้าเป็นแน่ แต่จะทรงแสดงความเมตตาให้เจ้าเห็นแทน  นี่จะเป็นพรแก่เจ้า และพระเจ้าก็ต้องประสงค์ผู้คนเช่นนี้  พระเจ้าประสงค์ผู้คนแบบนี้—พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่สามารถเข้าใจความจริงเพราะพวกเขาไร้ขีดความสามารถ แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะออกแรงทำงานเพื่อพระเจ้า  ผู้คนอีกประเภทหนึ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ก็คือผู้ที่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เป็นผู้ที่รักความจริง รักความยุติธรรม ความชอบธรรม และสิ่งที่เป็นบวก ปรารถนาที่จะนบนอบความจริง และเมื่อพวกเขาเข้าใจและตระหนักรู้ความจริงแล้ว เมื่อพวกเขามารู้และเข้าใจความจริงแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาก็สามารถเชื่อฟัง นบนอบ และปฏิบัติตามความจริงได้  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้ยังมีความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับความรอด และไม่เคยสงสัยพระเจ้าเลย  แน่นอนว่าผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่พระเจ้าทรงรักและปรารถนาที่จะช่วยให้รอด  แต่เจ้าสามารถทำได้ถึงมาตรฐานนี้หรือไม่?  แล้วเจ้าจะทำเช่นไรถ้าเจ้าไม่สามารถทำตามมาตรฐานนี้ได้?  อย่างน้อยที่สุด ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าและความจริงต้องไม่เป็นอย่างซาตานและพวกมาร อย่างน้อยเจ้าก็ต้องเข้าใกล้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ และต้องเต็มใจที่จะออกแรงทำงานเพื่อพระเจ้า  ถ้าเจ้าตั้งตนต่อต้านพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง กระทำการตรงข้ามกับพระเจ้า และถ้าเจ้าโจมตีพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระองค์อยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดเวลา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและอันตราย  เจ้าควรชัดเจนในหัวใจของตนเกี่ยวกับท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และเจ้าก็ควรจำแนกตัวเองตามประเภทต่างๆ ของผู้คนที่เราพูดถึงอยู่ในที่นี้

การไล่ตามเสาะหาความจริงมีความสำคัญมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าถ้าผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแล้วพวกเขาจะไม่สามารถไปถึงปลายทางได้ ไม่ใช่เรื่องแน่นอนเช่นนั้น  ผู้คนทุกคนคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และตราบใดที่พวกเขาไม่ใช่หมู่มารหรือเหล่าซาตาน ตราบนั้นพวกเขาย่อมจะไม่กระตือรือร้นที่จะโจมตีพระเจ้า หรือกระตือรือร้นที่จะโจมตีและหมิ่นประมาทพระเจ้าโดยที่รู้ตัวอย่างชัดเจน  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงยุติธรรมและมีเหตุผลกับมวลมนุษย์ธรรมดาทั่วไปที่เสื่อมทราม และพระองค์ก็ประทานโอกาสที่จะได้รับความรอดทั้งหมดให้แก่พวกเขา  ระหว่างที่มนุษย์มีประสบการณ์กับการได้รับความรอด พระเจ้าย่อมทรงเมตตาพวกเขา พระองค์ทรงคุ้มครองและดูแลพวกเขา  แล้วพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไรต่อผู้คนที่เป็นหมู่มารและเหล่าซาตานพวกนั้น?  พวกเขามองพระเจ้าเป็นศัตรูของตน ตัดสิน โจมตี และหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ทำลายพระราชกิจของพระองค์ และไม่เคยรู้จักการกลับใจ  ถ้าพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น พวกเขาก็จะเข้ากับบางคนได้ดี แต่พอมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น พวกเขากลับเข้ากับพระองค์ไม่ได้เลย ไม่ว่าหนึ่งนาทีหรือหนึ่งวินาที พวกเขาก็ไม่สามารถทำงานกับพระเจ้าหรืออยู่ร่วมกับพระองค์หรือเห็นพ้องต้องกันกับพระองค์ได้ไม่ว่าในเรื่องใด และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือหมู่มารและเหล่าซาตานที่แท้จริง  แน่นอนว่าพระเจ้าย่อมไม่ทรงยอมทนกับผู้คนแบบนี้ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่เก็บผู้คนแบบนี้เอาไว้เด็ดขาด  เมื่อพบเจอหนึ่งคน ก็ถูกเอาตัวออกไป เมื่อพบเจอสองคน ก็ถูกเอาตัวออกไป ไม่ว่าจะถูกเปิดโปงมากแค่ไหน ก็ถูกเอาตัวออกไปมากเท่านั้น—วันที่พวกเขาถูกเปิดโปงจึงเป็นวันที่พวกเขาจบสิ้น  เจ้าดูเถิด เวลาคนดีได้เลื่อนตำแหน่งและถูกใช้ให้ทำเรื่องสำคัญบางอย่าง นั่นคือเวลาที่พวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อม ได้รับพร และเก็บเกี่ยวดอกผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยามที่คนชั่วและพวกมารได้เลื่อนตำแหน่งและถูกใช้งาน ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะถูกเปิดโปงและถูกกำจัดออกไป และวันสุดท้ายของพวกเขาได้มาถึงแล้ว  จงนึกถึงคนรอบตัวพวกเจ้าที่ถูกเปิดโปง ถูกกำจัดออกไป หรือถูกเอาตัวออกไปเมื่อไม่นานมานี้หรือเมื่อก่อนนี้ และคนที่ถูกลบชื่อออกไปในที่สุด  พวกเขาถูกกำจัดออกไปตอนที่ “อาชีพการงาน” ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้าไปถึงจุดสูงสุด วันสุดท้ายของพวกเขาย่อมมาถึงแล้ว และมีการเขียนจุดจบขนาดใหญ่ไว้บนชีวิตแห่งความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  ในคริสตจักรนั้น ผู้ไม่เชื่อเข้ามาแล้วก็จากไป ไม่สามารถพบที่ทางที่เหมาะสมสำหรับตนเอง และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อันใดได้  ทันทีที่พวกเขาทำความชั่วบางอย่าง พวกเขาก็ถูกเปิดโปง และวันสุดท้ายของพวกเขาย่อมมาถึง  พวกมารชอบทำเรื่องใหญ่โตและสร้างชื่อให้ตนเอง วันที่พวกเขาหลงใหลได้ปลื้มในความรุ่งโรจน์มากที่สุดจึงเป็นวันสุดท้ายของพวกเขา  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  สิ่งทั้งหลายล้วนเป็นเช่นนี้  เมื่อพวกเขาหลงใหลได้ปลื้มในความรุ่งโรจน์มากที่สุด พวกเขาย่อมลำพองใจที่สุด และยามที่พวกเขาลำพองใจที่สุดก็คือเวลาที่พวกเขามีแนวโน้มที่จะลืมตัวมากที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  เวลาที่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและไร้ซึ่งความรุ่งโรจน์ มารเหล่านี้ย่อมสงบเสงี่ยม  แต่เพียงเพราะเราพูดว่าพวกเขาสงบเสงี่ยมไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้ เพียงแต่หมายความว่าพวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างรอบคอบและระมัดระวังยิ่ง ด้วยหัวใจที่คอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ทันทีที่พวกเขามองเห็นโอกาส หรือพบว่าตนพอจะมีอำนาจและสถานะ สามารถสั่งลมสั่งฝนให้ทำตามคำสั่งของตนได้ พวกเขาก็ลำพองใจและลืมตัว คิดว่า “ถึงเวลาของฉันแล้ว  ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันจะใช้ความสามารถและจุดแข็งของฉัน และแสดงฝีมือให้เห็นแล้ว!”  แล้วพวกเขาก็ลงมือทันที  อะไรคือแรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา และอะไรคือที่มาของการกระทำเหล่านั้น?  แรงจูงใจและที่มาของการกระทำของพวกเขามาจากไหน?  มาจากพวกมาร จากซาตาน และจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่ป่าเถื่อนของพวกเขา  ภายใต้รูปการณ์ดังกล่าว สิ่งที่พวกเขาทำสามารถเป็นไปตามหลักธรรมของความจริงได้หรือไม่?  เวลาทำสิ่งต่างๆ พวกเขาสามารถมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ตามข้อกำหนดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้หรือไม่?  คำตอบของคำถามทั้งหมดนี้คือไม่ได้ พวกเขาทำไม่ได้  แล้วผลที่ตามมาเป็นเช่นใด?  (พวกเขาย่อมก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน)  ถูกต้อง ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนอย่างร้ายแรง และถึงกับก่อให้เกิดการรบกวนและความสูญเสียอันร้ายแรงแก่พระนิเวศของพระเจ้าและงานของคริสตจักร  แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น ตามหลักธรรมของการจัดการผู้คนในพระนิเวศของพระเจ้า ควรจัดการผู้คนที่ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องดังกล่าวแก่งานของคริสตจักรอย่างไร?  ถ้าเป็นเรื่องเล็ก พวกเขาก็ควรถูกแทนที่ และถ้าเป็นเรื่องร้ายแรง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรถูกเอาตัวออกไป  เมื่อใครบางคนได้เลื่อนตำแหน่งและถูกใช้ให้ทำเรื่องสำคัญบางอย่าง หรือถูกจัดแจงให้ทำงานบางอย่าง พระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมของการทำงานแก่พวกเขาอย่างชัดเจนอยู่เสมอ  มีการบอกกล่าวหลักธรรมและรายละเอียดมากมายแก่คนคนนั้น และต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจ จับใจความ และจดทั้งหมดเอาไว้แล้วเท่านั้น จึงจะถือว่าเสร็จสิ้นการมอบหมายงาน  อย่างไรก็ดี พอถึงเวลาที่พวกเขาควรทำงานบางอย่างและปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขากลับลงมือด้วยการเผยกรงเล็บมารของตนออกมา แล้วมารที่พวกเขาเป็นโดยแท้ก็เริ่มปรากฏตัว  พวกเขาไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้แต่อย่างใด กลับทำสิ่งต่างๆ ตามใจอยากอย่างสิ้นเชิง ทำอะไรตามใจชอบ ตามแต่ใจของตนจะปรารถนา  ไม่มีใครสามารถควบคุมพวกเขาได้ และพวกเขาก็ไม่ฟังใคร โดยคิดว่า “พระนิเวศของพระเจ้า พระเจ้า และความจริงหลบไปให้หมดได้เลย!  ที่นี่ฉันคือคนตัดสินใจ!”  นี่คือวิธีที่มารทำสิ่งต่างๆ และเป็นท่าทีที่มารมีต่อหน้าที่และความจริง  ถ้าเจ้ามีท่าทีแบบนี้ต่อความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะถูกเปิดโปง  ถ้าเจ้ามองว่างานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและหน้าที่ของเจ้าเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ และเจ้าไม่ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้เจ้าทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับการปฏิบัติด้วยอย่างสุภาพอ่อนน้อม  พระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมที่ใช้จัดการผู้คน คนที่ควรถูกปลดจากตำแหน่งย่อมถูกปลด และคนที่ควรถูกเอาตัวออกไปย่อมถูกเอาตัวออกไป นั่นคือทั้งหมดที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าย่อมทำเช่นนั้นมิใช่หรือ?  และมารพวกนั้นก็ถูกเผยตัวกันแบบนี้มิใช่หรือ?  นี่คือแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขา เป็นที่มาของการกระทำของพวกเขา และวิธีทำสิ่งต่างๆ ของพวกเขามิใช่หรือ?  (ใช่)  ด้วยการจัดการพวกเขาเช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความไม่ยุติธรรมหรือไม่?  (ไม่)  นี่เป็นวิธีจัดการพวกเขาอย่างเหมาะสมหรือไม่?  (ใช่)  เหมาะสมมากจริงๆ!  คนที่ปกติย่อมยอมรับหน้าที่ของตน ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และถูกใช้ให้ทำเรื่องสำคัญบางอย่าง  พวกเขาย่อมทำงานของตนตามฝีมือและขีดความสามารถ และตามหลักธรรมของการทำงานที่พวกเขาเข้าใจไม่มากก็น้อย หรือตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้พวกเขาทำตาม  แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าพวกเขามักจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมา แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญเรื่องยุ่งยากอันใด อยู่ในสภาวะที่ไม่ถูกต้องเช่นไร หรือเผชิญการขัดขวางแบบใดอยู่ ในที่สุดพวกเขาก็จะสัมฤทธิ์ผลบางอย่างที่เป็นบวกในการปฏิบัติหน้าที่ของตน และผลเหล่านี้ย่อมเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผู้ไม่เชื่อเหล่านั้นจะปฏิบัติหน้าที่ของตนมานานเพียงใด ก็ไม่เคยสัมฤทธิ์ผลที่เป็นบวกแต่อย่างใด  พวกเขามักทำเรื่องไม่ดีและพยายามทำลายสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ นี่ไม่เพียงส่งผลต่องานของคริสตจักรเท่านั้น แต่ยังทำให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรเสียหาย สร้างบรรยากาศที่เป็นพิษรอบๆ งานของตนและทำให้งานยุ่งเหยิงอีกด้วย  ถ้ามารหนึ่งตนขัดขวางและทำลายงานบางอย่าง ก็ต้องมีผู้คนมากมายหลังฉากทำงานนั้นใหม่ตั้งแต่ต้น สิ้นเปลืองทรัพยากรบุคคลและการเงินของพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากมายโกรธเคือง  เมื่อมารนั้นถูกนำตัวออกไปแล้ว งานของคริสตจักรย่อมมีรูปโฉมใหม่ที่สดใสในทันที และผลลัพธ์ของงานที่ได้ย่อมแตกต่างออกไป  มารที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนย่อมถูกกันออกไป ผู้คนจึงมีวิธีคิดที่เป็นอิสระและเสรี ประสิทธิภาพของงานก็เพิ่มขึ้น และทุกคนก็ปฏิบัติหน้าที่ของตนกันตามปกติ  เพราะฉะนั้น ผู้คนที่เป็นซาตานและพวกมารเหล่านี้จึงดูเหมือนผู้คนจากภายนอก และไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุเท่าใดหรือมีการศึกษาสูงเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาเป็นคนชั่ว ตราบนั้นพวกเขาก็สามารถทำเรื่องชั่ว และย่อมทำตัวเป็นซาตานและพวกมารที่ก่อกวนและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  ตัวอย่างเช่น เจ้าทำต้มจืดไก่หม้อหนึ่งที่ทุกคนรอกิน แล้วจู่ๆ แมลงวันตัวหนึ่งก็ตกลงไปในน้ำแกง  จงบอกเราเถิดว่า ต้มจืดไก่นี้ยังกินได้หรือไม่?  ทำอะไรไม่ได้แล้ว เจ้ามีแต่ต้องเททิ้งเท่านั้น และงานที่ทำมาสองสามชั่วโมงก็สูญเปล่า  จากนั้นเจ้าก็ต้องล้างหม้ออยู่หลายครั้ง และแม้เจ้าจะล้างไปแล้ว มันก็ยังดูไม่สะอาดสำหรับเจ้า และเจ้าก็มีความรู้สึกขยะแขยงหลงเหลืออยู่  อะไรที่รบกวนเจ้า?  (แมลงวัน)  แม้แมลงวันจะเล็กมาก แต่แก่นแท้ที่สกปรกของมันก็น่าขยะแขยงอย่างยิ่ง  ผู้คนของพวกมารก็เหมือนแมลงวันทั้งหลาย  พวกเขาหาทางเข้ามาในคริสตจักรและขัดขวางระเบียบแบบแผนที่ปกติของชีวิตคริสตจักรอย่างหนัก พวกเขารบกวนความคืบหน้าตามปกติในงานของคริสตจักร  ดังนั้น คราวนี้พวกเจ้าก็เข้าใจผู้คนเหล่านี้ที่เป็นของพวกมารอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  การพยายามให้พวกเขาลงแรงบ้างเล็กน้อยและปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีย่อมยากกว่าการพยายามให้วัวปีนต้นไม้เสียอีก เหมือนการพยายามให้เป็ดเกาะคอน  สิ่งที่ยากที่สุดคือการพยายามทำให้หมู่มารและเหล่าซาตานปฏิบัติความจริง ซึ่งก็เหมือนการพยายามให้ผู้ไม่เชื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี  เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นเช่นนี้เอง  ถ้าเจ้าพบเจอผู้คนที่เป็นพวกของซาตานและผู้ไม่เชื่อ และเจ้าจำต้องขอให้พวกเขาช่วยเจ้าทำบางสิ่งเป็นการชั่วคราว เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก  แต่ถ้าเจ้าจัดแจงให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่บางอย่างหรือทำงานบางชิ้น เช่นนั้นเจ้าก็มืดบอดและกำลังถูกหลอกใช้เหมือนเป็นคนเขลา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเจ้าขอให้พวกเขาทำงานสำคัญบางอย่าง เช่นนั้นเจ้าก็ยิ่งเขลาเข้าไปใหญ่  ถ้าเจ้าหาคนที่เหมาะสมมาช่วยเจ้าทำบางสิ่งไม่ได้จริงๆ และด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงไปขอให้พวกเขาช่วย เช่นนั้นการขอให้พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างย่อมไม่เป็นไร แต่เจ้าต้องจับตาดูพวกเขาเอาไว้และไม่ละเลยเรื่องดังกล่าว  ผู้คนแบบนั้นเชื่อถือไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพวกมาร พวกเขาจึงเชื่อถือไม่ได้อย่างสิ้นเชิง  ทีนี้ก็จงมองไปรอบๆ ดูผู้คนที่ควบคุมดูแลหรือเป็นผู้นำกลุ่ม และผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญและงานสำคัญ จงดูว่าพวกเขาเป็นเหมือนมารเหล่านี้หรือไม่  ถ้าเจ้าแทนที่พวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วก็จงแทนที่พวกเขาในทันทีที่ทำได้ ถ้าเจ้าไม่สามารถแทนที่พวกเขาได้เพราะไม่มีใครในที่นั้นเหมาะสมที่จะแทนที่พวกเขา เช่นนั้นแล้วก็จงจับตาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด กำกับดูแลและตามดูพวกเขาอย่างไม่ห่าง  เจ้าต้องไม่เปิดโอกาสให้หมู่มารและเหล่าซาตานก่อกวนได้  มารย่อมเป็นมารวันยังค่ำ พวกมันไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล—เจ้าต้องจดจำเรื่องนี้ไว้เสมอ!  ผู้ไม่เชื่อล้วนเป็นมารและซาตานทั้งสิ้น และเจ้าต้องไม่เชื่อพวกเขา!  พวกเราจบสามัคคีธรรมเรื่องนี้ไว้ตรงนี้เถิด

ก่อนหน้านี้พวกเราสามัคคีธรรมกันว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร พวกเราเสวนากันไว้สองเรื่อง  เรื่องแรกคืออะไร?  (การปล่อยมือ)  หนึ่งในนั้นคือการปล่อยมือ  อีกเรื่องหนึ่งคืออะไร?  (การอุทิศตน)  การอุทิศตน  พวกเราพูดคุยเรื่องแรกคือ “การปล่อยมือ” กันไปสามครั้งแล้ว  ครั้งก่อนพวกเราสามัคคีธรรมกันว่าอย่างไร?  (ครั้งก่อนพระเจ้าทรงชำแหละสาเหตุว่าทำไมภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลจึงเกิดขึ้นในตัวผู้คน จากมุมมองของความยากลำบากที่พวกเขาพบเจอ และท่าทีที่พวกเขามีต่อพระราชกิจของพระเจ้าและความจริง)  มีสาเหตุมากมายที่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลสามารถเกิดขึ้นได้ แต่โดยทั่วไปแล้วภาวะอารมณ์เหล่านี้เกิดจากสาเหตุตามความเป็นจริงคือผู้คนไม่เข้าใจความจริง  นี่เป็นสาเหตุหนึ่ง  มีอีกสาเหตุหนึ่งและเป็นสาเหตุหลักก็คือผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจหรือไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เมื่อนั้นพวกเขาย่อมไม่นบนอบอย่างแท้จริง และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดอย่างขึ้นมาในตัวพวกเขาเป็นธรรมดา  ในชีวิตประจำวันนั้น ด้วยเหตุที่ผู้คนมีประสบการณ์ความยากลำบากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในชีวิตตน และปัญหาต่างๆ นานาที่พวกเขาพบเจอในการคิดอ่านของตน พวกเขาจึงลงเอยด้วยการรู้สึกถึงภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดอย่างในสภาพแวดล้อมตามจริงของตน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลซึ่งพวกเราพูดถึงในครั้งก่อน ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นเพราะผู้คนเผชิญความยากลำบากและปัญหาสารพัดชนิดที่เกี่ยวข้องกับชีวิตในเนื้อหนังของตน  เป็นเพราะเวลาที่ผู้คนเผชิญปัญหาเหล่านี้ พวกเขาไม่แสวงหาความจริงหรือเชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัส และยิ่งไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาควรทำความเข้าใจและปฏิบัติ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้พวกเขาปล่อยมือจากทัศนะที่ผิดพลาดของตน ปล่อยมือจากความคิดและทัศนะที่ผิดพลาดที่พวกเขามีในเรื่องเหล่านี้ รวมทั้งปล่อยมือจากวิธีรับมือและการจัดการสิ่งเหล่านี้อย่างผิดๆ เมื่อวันวารผ่านพ้นและกาลเวลาล่วงเลยไป ความยากลำบากต่างๆ ที่ผู้คนพบเจอในชีวิตประจำวันจึงก่อให้เกิดความคิดอ่านสารพัดรูปแบบที่รบกวนและตีกรอบพวกเขาอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ  ความคิดเหล่านี้ก่อให้เกิดความรู้สึกของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเกี่ยวกับชีวิตในเนื้อหนังของพวกเขาและปัญหาต่างๆ ทั้งมวลที่พวกเขาเผชิญอยู่โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว  อันที่จริง เวลาที่ผู้คนยังไม่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือยังไม่มีความเข้าใจความจริง เรื่องเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลขึ้นในตัวคนทุกคนมากน้อยแตกต่างกันไป—นี่เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้  สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพวกเขาย่อมจะก่อให้เกิดการรบกวนบางอย่างและส่งผลต่อชีวิตและความคิดอ่านของพวกเขา  เมื่อการรบกวนและผลกระทบนี้มีมากเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถทนฝ่าและทนรับได้ หรือเมื่อสัญชาตญาณ ความสามารถ และสถานะทางสังคมของพวกเขาไม่เพียงพอที่จะประคับประคองพวกเขา หรือแก้ไข หรือปัดเป่าความยากลำบากเหล่านี้ไปได้ ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลย่อมจะเกิดขึ้นในหัวใจส่วนลึกของพวกเขาและพอกพูนอยู่ตรงนั้นเป็นธรรมดา และความรู้สึกเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสภาวะตามปกติของพวกเขา  การกลัดกลุ้มกับเรื่องต่างๆ อย่างเช่น ความน่าจะเป็นในอนาคตของตน อาหาร เครื่องดื่ม และการแต่งงาน การอยู่รอดหรือสุขภาพในอนาคตของตน วัยชรา สถานะและความมีหน้ามีตาของคนเราในสังคม เป็นภาวะที่มวลมนุษย์ล้วนต้องเผชิญด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่เข้าใจความจริงและไม่เชื่อในพระเจ้า  อย่างไรก็ดี ทันทีที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้า เมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงบ้างแล้ว ความแน่วแน่ของพวกเขาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อเป็นดังนี้ ความยากลำบากและปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาเผชิญอยู่ก็จะค่อยๆ ลดลง และภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลก็จะค่อยๆ บรรเทาเบาบางลง—นี่เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง  นี่เป็นเพราะหลังจากที่ผู้คนได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากเข้าและมาเข้าใจความจริงบางอย่างในการเชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกเขาย่อมจะชั่งใจและจัดการแก่นแท้ ต้นกำเนิด และที่มาของปัญหาที่พวกเขาเผชิญมาตลอดชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าเสมอ  เมื่อวิเคราะห์รอบด้านแล้ว ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะมาเข้าใจว่าชะตากรรมและสิ่งที่พวกเขามีประสบการณ์ในชีวิตของตนทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจจากมุมมองทั่วไปว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และไม่มีสิ่งใดขึ้นอยู่กับพวกเขาเลย  เพราะฉะนั้น เรื่องง่ายที่สุดที่ผู้คนควรทำก็คือนบนอบ—นบนอบการจัดเตรียมการและอธิปไตยของฟ้าสวรรค์  พวกเขาไม่ควรดิ้นรนต่อสู้กับชะตากรรมของตน แต่ควรแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทางที่เป็นบวกและแข็งขันอยู่เสมอเมื่อเผชิญเรื่องใดก็ตาม แล้วจากนั้นจึงค้นหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหานั้นๆ—นี่คือเรื่องพื้นฐานที่สุดที่ผู้คนควรเข้าใจ  กล่าวคือ หลังจากที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้า เป็นเพราะความจริงที่พวกเขาเข้าใจและเพราะพวกเขานบนอบพระเจ้าเป็นพื้นฐาน ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขาจึงค่อยๆ เบาบางลง  นี่หมายความว่าภาวะอารมณ์เหล่านี้จะไม่สามารถสร้างปัญหาที่หนักหนาสาหัสให้แก่พวกเขาอีกต่อไป หรือทำให้พวกเขารู้สึกสับสนหรืองุนงง หรืออนาคตของพวกเขามืดมนและไม่แน่นอน อันเป็นเหตุที่มักจะทำให้พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้  ในทางตรงกันข้าม ด้วยเหตุที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้าและเข้าใจความจริงบางอย่าง มีวิจารณญาณและความเข้าใจในเรื่องต่างๆ สารพัดอย่างในชีวิตบ้างแล้ว หรือมีวิธีรับมือกับเรื่องเหล่านี้อย่างเหมาะสมมากขึ้นแล้ว ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขาย่อมจะค่อยๆ เบาบางลง  อย่างไรก็ดี แม้เจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีและฟังคำเทศนาไปมากมาย แต่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของเจ้ายังไม่ถูกกำจัดหรือบรรเทาลง—นั่นหมายความว่าท่าทีของเจ้าในการมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ในการวางตัวและปฏิบัติตน ความคิดและทัศนะของเจ้า อีกทั้งวิธีที่เจ้าใช้รับมือสิ่งต่างๆ ก่อนที่เจ้าจะมาเชื่อในพระเจ้า หาได้เปลี่ยนแปลงไปไม่—ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่เจ้ามาเชื่อในพระเจ้าแล้ว เจ้าไม่ได้ยอมรับความจริงหรือได้รับความจริง หรือหลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนาแล้ว เจ้าไม่ได้ใช้ความจริงแก้ปัญหาเหล่านี้ ซึ่งจะแก้ไขภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลไปด้วย  ถ้าเจ้าไม่เคยแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ นี่ย่อมแสดงให้เห็นมิใช่หรือว่าเจ้ามีปัญหา?  (ใช่)  นี่แสดงให้เห็นปัญหาใด?  เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี และยังคงรู้สึกว่าอนาคตของเจ้าดูมืดมัวและหม่นหมองไปหมด  เจ้ายังคงรู้สึกว่างเปล่าและอับจนหนทางอยู่ในหัวใจของเจ้าอยู่บ่อยครั้ง และบ่อยครั้งที่เจ้ายังคงรู้สึกหลงทาง ไม่มีทางให้เดินไปข้างหน้า  เจ้าไม่รู้ว่าชีวิตของเจ้ามุ่งหน้าไปที่ใด และยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองคลำทางอยู่ในม่านหมอก ไร้เส้นทาง และไม่มีทิศทางให้ไปข้างหน้า  นี่หมายความว่าอย่างไร?  อย่างน้อยที่สุดนี่ก็หมายความว่าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง ถูกต้องหรือไม่?  และถ้าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง ตลอดหลายปีมานี้เจ้ามัวทำอะไรอยู่?  เจ้าได้ไล่ตามเสาะหาความจริงบ้างหรือไม่?  (ไม่)  ระหว่างที่เจ้าละทิ้งสิ่งต่างๆ สละตน และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ถ้าเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ได้ใช้ความจริงแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แล้วตลอดเวลามานี้เจ้ามัวทำอะไรอยู่?  (อยู่ว่างๆ และทำตัวเลอะเลือนไปเรื่อยๆ)  มีผู้คนมากมายที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างหละหลวม และแท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้กำลังออกแรงทำงานอยู่  คนที่ออกแรงทำงานย่อมพอใจกับการสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ จ่ายราคาได้บ้าง และทนทุกข์ได้เล็กน้อย แต่พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี  แท้จริงแล้วผู้คนเหล่านี้คือคนออกแรงทำงาน และถ้าพวกเราพูดอย่างที่เคยพูดกัน พวกเราก็อาจพูดได้ว่าพวกเขากำลังมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางศาสนา  จงดูกิจกรรมทางศาสนาเหล่านั้นในโลกศาสนาเถิด—ผู้คนไปนมัสการและชุมนุมกันทุกวันอาทิตย์ และโดยปกติแล้วพวกเขาอธิษฐานกันทุกเช้า อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าก่อนอาหาร ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง อวยพรผู้คนด้วยคำอธิษฐานของตน และเมื่อพวกเขาพบเจอผู้อื่น พวกเขาก็กล่าวว่า “ขอพระเจ้าอวยพรคุณ ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณ”  พอพวกเขาพบหน้าผู้ที่มีแนวโน้มจะได้รับตำแหน่ง พวกเขาก็ประกาศข่าวประเสริฐและอ่านบทตอนหนึ่งในพระคัมภีร์ให้คนเหล่านั้นฟัง  ส่วนคนที่ดีกว่านั้นก็ไปทำความสะอาดคริสตจักร และเมื่อผู้ประกาศมาถึง พวกเขาก็กระตือรือร้นที่จะต้อนรับขับสู้ผู้ประกาศที่บ้านของตน เมื่อพบเจอผู้สูงอายุที่ประสบความยุ่งยากในชีวิต พวกเขาก็ช่วยเหลือคนเหล่านั้น และสุขใจที่ได้ช่วยเหลือ  ทั้งหมดนี้คือกิจกรรมทางศาสนามิใช่หรือ?  การกินไข่อีสเตอร์ในวันอีสเตอร์ การฉลองวันคริสต์มาสและร้องเพลงคริสต์มาส—เหล่านี้คือกิจกรรมที่พวกเขาทำร่วมกัน  กิจกรรมของพวกเจ้าในเวลานี้ทำกันค่อนข้างบ่อยกว่ากิจกรรมที่ผู้คนทางศาสนาทำกัน  พวกเจ้าหลายคนจากบ้านมาปฏิบัติหน้าที่ของตนเต็มเวลา  เจ้าอุทิศตนฝ่ายวิญญาณในตอนเช้า ทำงานบางอย่างให้คริสตจักรในตอนกลางวัน เจ้าไปชุมนุมอย่างสม่ำเสมอและอ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วก่อนเข้านอนในตอนค่ำ เจ้าก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์คุ้มครองเจ้า ให้เจ้านอนหลับสนิท และไม่ฝันร้าย จากนั้นเจ้าก็ทำทั้งหมดนั้นใหม่อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น  ชีวิตประจำวันของพวกเจ้าเป็นไปอย่างปกติธรรมดามาก แต่ก็จืดชืดและน่าเบื่ออย่างยิ่ง  เจ้าไม่ได้อะไรและไม่เข้าใจอะไรเลยอยู่เป็นเวลานาน ไม่เคยคิดทบทวนหรือตระหนักถึงภาวะอารมณ์ที่เป็นลบขั้นพื้นฐานที่สุดเหล่านี้ และไม่เคยขุดคุ้ยขึ้นมาหรือแก้ไขมันเลย  ในเวลาว่างหรือยามเมื่อเจ้าเผชิญบางสิ่งที่เจ้าไม่ชอบในหน้าที่ของเจ้า หรือได้รับข้อความจากทางบ้านว่าพ่อแม่ของเจ้าไม่สบาย หรือมีเคราะห์ร้ายบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้าน เจ้าก็รู้สึกไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอีกต่อไป ทั้งยังอ่อนแออยู่หลายวัน  ระหว่างที่เจ้ารู้สึกอ่อนแออยู่นั้น ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบที่สะสมอยู่ในตัวเจ้ามาเป็นเวลานานก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง  เจ้าคิดถึงภาวะอารมณ์เหล่านั้นทั้งวันทั้งคืน และมันก็ติดตามเจ้าเหมือนเงา  ถึงกับมีบางคนที่พอรู้สึกอ่อนแอและคิดลบ ความคิดและทัศนะที่พวกเขาเคยเก็บงำเอาไว้ก่อนที่จะมาเชื่อในพระเจ้าก็พลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง และพวกเขาก็คิดว่า “บางทีถ้าฉันเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าฉันได้เรียนบางอย่างสาขาวิชา และได้งานดีๆ ก็คงจะดีกว่านี้—ป่านนี้ฉันอาจจะแต่งงานไปแล้วด้วยซ้ำ  ตอนเรียนหนังสือในโรงเรียนด้วยกัน เพื่อนร่วมชั้นของฉันคนนั้นๆ ก็ไม่ได้ดูเป็นคนพิเศษอะไร แต่พอเรียนจบ พวกเขาก็ไปเข้ามหาวิทยาลัย  หลังจากได้งาน พวกเขาก็ได้เลื่อนตำแหน่ง และตอนนี้ก็มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบและมีความสุข  พวกเขามีรถ มีบ้าน และมีชีวิตที่ยอดเยี่ยม”  พอพวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้และถลำตัวลงสู่สภาวะที่เป็นลบเหล่านี้ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดอย่างก็พลันปะทุขึ้นมาพร้อมกัน  พวกเขาคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงอดีตที่สิ่งต่างๆ เคยเป็นมา ทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี เรื่องที่เจ็บปวด เรื่องที่เป็นความสุข และเรื่องที่มิอาจลืมเลือนได้ทั้งหมดก็ไหลบ่าเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา ขณะที่คิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ พวกเขาก็รู้สึกเศร้าใจ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา  ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นอะไรบ้าง?  แสดงให้เห็นว่าวิถีที่เจ้าเคยใช้ชีวิตกับวิธีที่เจ้าเคยใช้ดำเนินชีวิตสามารถผุดขึ้นมาได้เป็นครั้งคราวและรบกวนชีวิตในปัจจุบันกับสภาวะที่ชีวิตของเจ้าเป็นอยู่ในตอนนี้  สิ่งเหล่านี้ถึงกับสามารถครอบงำวิถีชีวิตของเจ้าในตอนนี้และท่าทีที่เจ้ามีต่อชีวิตรวมทั้งทัศนะที่เจ้ามีต่อสิ่งต่างๆ ด้วย  สิ่งเหล่านี้ก่อกวนและครอบงำชีวิตของเจ้าอย่างต่อเนื่อง  เจ้าเองไม่ได้เจตนาให้เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเจ้าจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ก็เป็นธรรมดาที่จะเป็นเช่นนี้  เจ้าอาจคิดอยู่ในตอนนี้ว่าเจ้าไม่ได้มีภาวะอารมณ์เหล่านี้ แต่เพียงเพราะเวลาและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมยังมาไม่ถึงเท่านั้น  ทันทีที่เวลาและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมมาถึง เจ้าก็สามารถถลำเข้าสู่ภาวะอารมณ์เช่นเดิมนี้ได้ทุกที่และทุกเวลา  ทีนี้เมื่อเจ้าถลำเข้าสู่ภาวะอารมณ์เหล่านี้แล้ว เจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย เป็นอันตรายของการย้อนกลับไปสู่วิถีชีวิตดั้งเดิมของเจ้าได้ทุกเมื่อและทุกสถานที่ และตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบงำของความคิดและทัศนะดั้งเดิมของเจ้า—นี่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง  อันตรายนี้สามารถลิดรอนโอกาสและความหวังที่จะได้รับความรอดไปจากเจ้าได้ทุกเมื่อและทุกหนแห่ง และมันสามารถพาเจ้าออกจากเส้นทางของความเชื่อในพระเจ้าได้ไม่ว่าเวลาใดและสถานที่ใด  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปณิธานและความปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในตอนนี้จะเข้มแข็งเพียงใด หรือเจ้าจะคิดว่าความจริงที่เจ้าเข้าใจนั้นลุ่มลึกและสูงส่งเพียงใด หรือวุฒิภาวะของเจ้าจะมีมากเพียงใด ตราบใดที่ความคิดของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่ทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิตไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่วิถีการใช้ชีวิตของเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง และตราบใดที่ความปรารถนาที่เจ้ามีต่อสิ่งที่ตนต้องการในชีวิตไม่เปลี่ยนปลง—ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้การชี้นำของภาวะอารมณ์เหล่านี้—ตราบนั้นเจ้าย่อมจะอยู่ในอันตรายตลอดเวลาและในทุกหนแห่ง เมื่อความคิดและทัศนะเหล่านี้สามารถกลืนกิน ครอบงำ และพาเจ้าออกไปได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ เมื่อนั้นเจ้าย่อมอยู่ในอันตราย  เพราะฉะนั้น จงอย่าดูเบาภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้  มันสามารถลิดรอนโอกาสที่จะได้รับความรอดไปจากเจ้าและทำลายโอกาสที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดไม่ว่าเวลาใดและสถานที่ใด และนี่ก็หาใช่เรื่องเล็กไม่

ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทั้งปวงของมนุษย์เกิดจากความคิดที่ผิด ทัศนะที่ผิด วิถีชีวิตที่ผิด และปรัชญาชีวิต เยี่ยงซาตานที่ผิดต่างๆ นานาของพวกเขา  นอกจากนี้ยังมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่เจ้าไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ลักษณะที่สิ่งเหล่านี้ปรากฏขึ้นอาจทำให้เจ้าหวาดกลัวและถูกครอบงำได้ง่ายมาก และเจ้าก็อาจเกิดความสับสนได้ง่ายทีเดียว ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงย้อนกลับไปหาวิถีชีวิตแบบเดิม เจ้าจะปกป้องตนเองโดยไม่รู้ตัว ทอดทิ้งพระเจ้า ละทิ้งความจริง ใช้วิธีการของตนเองและหนทางที่เจ้าเชื่อว่าเป็นวิธีการดั้งเดิมและเชื่อถือได้มากที่สุดมาแสวงหาทางออก ค้นหาว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร และมองหาความหวังที่จะดำเนินชีวิตต่อไป  แม้ว่าภายนอก ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้จะแสดงให้เห็นแต่อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น และถ้าพวกเราบรรยายภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นคำพูด ภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็ดูจะเบาลงเมื่อมองความหมายตามตัวอักษรและไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก บางคนจึงยึดเกาะภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยมือ เหมือนกำลังยึดจับฟางสักเส้นที่จะช่วยชีวิตตนไว้ แล้วพวกเขาก็ถูกสิ่งเหล่านี้พันธนาการและล่ามโซ่เอาไว้อย่างแน่นหนา  อันที่จริง การที่พวกเขาถูกภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้พันธนาการเอาไว้ แท้จริงแล้วเกิดจากวิธีการต่างๆ ที่มนุษย์พึ่งพาเพื่อให้ตนอยู่รอด รวมทั้งความคิดและทัศนะต่างๆ ที่ครอบงำพวกเขาอยู่ และท่าทีต่างๆ นานาที่พวกเขามีต่อชีวิตและการดำรงชีวิต  เพราะฉะนั้น แม้ความรู้สึกที่เป็นความหดหู่ ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล ความต่ำต้อย ความเกลียดชัง ความโกรธ และอื่นๆ จะเป็นลบทั้งสิ้น แต่ผู้คนก็ยังคงคิดว่าสิ่งเหล่านี้พึ่งพาได้ และต่อเมื่อพวกเขาถลำตัวเข้าสู่ภาวะอารมณ์เหล่านี้แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าพวกเขาได้ค้นพบตัวเอง และพวกเขามีตัวตน  ที่จริงแล้ว ผู้คนที่จมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์เหล่านี้ย่อมเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้ามและออกห่างจากความจริง จากวิธีคิดที่ถูกต้อง จากความคิดและทัศนะที่ถูกต้อง ตลอดจนท่าทีและทัศนะที่ถูกต้องต่อสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตรัสบอกให้พวกเขามี  ไม่ว่าเจ้าจะมีประสบการณ์กับภาวะอารมณ์ที่เป็นลบแบบใดอยู่ก็ตาม ยิ่งเจ้าจมลึกลงไปในภาวะอารมณ์นั้นๆ เจ้าก็จะยิ่งถูกมันพันธนาการเอาไว้ ยิ่งเจ้าถูกมันพันธนาการเอาไว้ เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกจำเป็นต้องปกป้องตัวเอง ยิ่งเจ้าจะรู้สึกว่าจำเป็นต้องปกป้องตัวเอง เจ้าก็จะยิ่งมุ่งหวังให้ตัวเองแข็งแกร่ง มีฝีมือและมีความสามารถที่จะคว้าโอกาสในการมีชีวิตอยู่และค้นพบวิถีชีวิตแบบต่างๆ ที่จะเอาชนะโลก เอ่ยอ้างชัยชนะเหนือความยากลำบากทั้งปวงที่เจ้าเผชิญในโลก และก้าวข้ามอุปสรรคและความทุกข์ยากทั้งมวลในชีวิต  ยิ่งเจ้าถลำลึกลงไปในภาวะอารมณ์เหล่านี้ เจ้าก็ยิ่งอยากควบคุมหรือแก้ไขความยุ่งยากทั้งปวงที่เจ้าพบเจอในชีวิตให้ได้จริงๆ  เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ความคิดเหล่านี้ของมนุษย์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  พวกเรามาดูตัวอย่างของการแต่งงานกันเถิด  เจ้ารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเกี่ยวกับการแต่งงาน แต่ประเด็นเบื้องหลังทั้งหมดนี้คืออะไรกันแน่?  เจ้าวิตกกังวลเรื่องอะไร?  ความวิตกกังวลนี้มาจากไหน?  มาจากการที่เจ้าไม่รู้ว่าการแต่งงานนี้มีชะตากรรมคอยจัดเตรียมและกำกับเอาไว้ และถูกจัดเตรียมและกำกับโดยฟ้าสวรรค์  เมื่อไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าจึงอยากตัดสินใจเรื่องทั้งหลายด้วยตัวเจ้าเองเสมอ อยากวางแผน อยากยื่นข้อเสนอ และออกอุบาย คิดแล้วคิดอีกถึงเรื่องทำนองที่ว่า “ฉันควรมองหาคู่ครองแบบไหน?  พวกเขาควรสูงเท่าใด?  ควรมีหน้าตาเช่นไร?  ควรมีบุคลิกแบบใด?  ควรมีการศึกษาเท่าใด?  ควรมาจากครอบครัวแบบไหน?”  ยิ่งแผนการของเจ้าละเอียดถี่ถ้วนเท่าใด เจ้าก็ยิ่งกลัดกลุ้มขึ้นเท่านั้น เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  ยิ่งเจ้าตั้งข้อกำหนดไว้สูงและยิ่งมีข้อเรียกร้องมาก เจ้าก็ยิ่งกลัดกลุ้มมาก ถูกต้องหรือไม่?  แล้วการหาคู่ก็จะยิ่งยากขึ้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  ยามที่เจ้าไม่รู้ว่าใครบางคนเหมาะสมกับเจ้าหรือไม่ เจ้าก็ยิ่งมีเรื่องยุ่งยากมากขึ้น และยิ่งเจ้ามีเรื่องยุ่งยากมากขึ้น ความรู้สึกทุกข์ใจและกระวนกระวายของเจ้าก็ยิ่งหนักข้อ ถูกต้องหรือไม่?  ยิ่งความรู้สึกทุกข์ใจและกระวนกระวายของเจ้าหนักข้อขึ้น ภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็ยิ่งพัวพันเจ้าเอาไว้  แล้วเจ้าแก้ปัญหานี้อย่างไร?  สมมุติว่าเจ้าเข้าใจแก่นแท้ของการแต่งงาน รวมทั้งเข้าใจหนทางข้างหน้าและทิศทางที่ถูกต้องในการไปต่อ—จากนั้นแนวทางที่ถูกต้องที่ควรใช้กับการแต่งงานคืออะไร?  เจ้ากล่าวว่า “การแต่งงานคือเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต และไม่ว่าผู้คนจะเลือกอะไร ทั้งหมดนั้นล้วนถูกลิขิตล่วงหน้าไว้นานแล้ว  พระเจ้าทรงลิขิตและจัดเตรียมไว้นานแล้วว่าใครจะเป็นคู่ครองของคุณและพวกเขามีรูปร่างหน้าตาอย่างไร  ผู้คนต้องไม่รีบร้อนเกินไปหรือพึ่งพาจินตนาการของตนมากเกินไป และยิ่งต้องไม่พึ่งพาความชอบส่วนตน  การที่คนเราพึ่งพาจินตนาการและความชอบส่วนตนและการรีบร้อนเกินไปล้วนเป็นการสำแดงถึงความไม่รู้ และไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทั้งสิ้น  ผู้คนต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเพ้อฝันของตนวิ่งเตลิด และการจินตนาการก็ล้วนขัดกับความเป็นจริงทั้งสิ้น  สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดที่ควรทำก็คือปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองธรรมชาติของมันและรอคอยคนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้คุณ”  แล้วเมื่อมีทฤษฎีและความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้เป็นรากฐานของเจ้า เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรกับเรื่องนี้?  เจ้าควรมีความเชื่อ รอคอยเวลาของพระเจ้า และรอคอยการจัดเตรียมการของพระเจ้า  ถ้าพระเจ้าทรงจัดเตรียมคู่ครองที่เหมาะสมไว้ให้เจ้าในชีวิตนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะปรากฏตัวเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ในสถานที่ที่เหมาะสม และในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม  เรื่องนี้ย่อมจะเกิดขึ้นเมื่อเงื่อนไขต่างๆ สุกงอม และสิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีแต่การเป็นผู้ให้ความร่วมมือในเรื่องนี้เมื่อถึงเวลาดังกล่าว ในสถานที่และสภาพแวดล้อมดังกล่าว  สิ่งเดียวที่เจ้าทำได้ก็คือรอ—รอเวลานั้น รอสถานที่นั้น รอสภาพแวดล้อมนั้น รอคนคนนั้นปรากฏตัว รอให้ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น ทั้งไม่แข็งขันและไม่นิ่งเฉย เพียงแต่รอให้ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นและมาถึงตัว  ที่บอกว่า “รอ” นี้เราหมายถึงอะไร?  เราหมายถึงการมีท่าทีที่นบนอบ ทั้งไม่แข็งขันและไม่นิ่งเฉย ท่าทีเช่นนี้คือท่าทีที่แสวงหาและนบนอบ ปราศจากการรบเร้า  เมื่อเจ้านำท่าทีแบบนี้มาใช้แล้ว เจ้าจะยังคงรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องของการแต่งงานอยู่หรือไม่?  (ไม่)  แผนการส่วนตัว การคิดฝัน ความปรารถนา ความชื่นชอบ และการคิดอ่านที่ไม่รู้ความทั้งหมดของเจ้าซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงย่อมจะอันตรธานไป  และแล้วหัวใจของเจ้าย่อมสงบนิ่ง และเจ้าก็ไม่รู้สึกถึงภาวะอารมณ์ที่เป็นลบในเรื่องของการแต่งงานอีกต่อไป  เจ้าย่อมรู้สึกผ่อนคลาย ปลดปล่อย และเป็นอิสระในเรื่องนี้ และเจ้าก็ปล่อยให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามครรลองธรรมชาติของมัน  เมื่อเจ้ามีท่าทีที่ถูกต้อง ทุกสิ่งที่เจ้าทำและทุกสิ่งที่เจ้าแสดงออกมาย่อมเป็นเหตุเป็นผลและเหมาะสม  จึงเป็นธรรมดาที่ภาวะอารมณ์ที่สำแดงออกมาจากความเป็นมนุษย์ที่ปกติของเจ้าจะไม่อาจเป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลไปได้ แต่จะเป็นความสันติสุขและความมั่นคง  ภาวะอารมณ์ย่อมไม่หดหู่หรือรุนแรง—เจ้าเพียงแต่รอเท่านั้น  วิธีปฏิบัติและท่าทีเพียงอย่างเดียวในหัวใจของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือรอและนบนอบว่า “ฉันขอนบนอบทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ฉัน  ฉันไม่มีข้อเรียกร้องหรือแผนการส่วนตัว”  ด้วยเหตุนี้ เจ้าก็ได้ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้แล้วมิใช่หรือ?  และด้วยเหตุนี้ ภาวะอารมณ์เหล่านี้ย่อมจะไม่เกิดขึ้นมิใช่หรือ?  ต่อให้เจ้ารู้สึกถึงภาวะอารมณ์เหล่านี้ ถึงตอนนั้นเจ้าย่อมจะค่อยๆ ปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เหล่านี้มิใช่หรือ?  แล้วกระบวนการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้เป็นกระบวนการประเภทใด?  เป็นการสำแดงถึงการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าทั้งไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง  ผลลัพธ์สุดท้ายที่สัมฤทธิ์ด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริงคือผลของการปฏิบัติความจริง—เป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติความจริง  เมื่อเจ้าบรรลุถึงระดับที่เป็นการปฏิบัติความจริง ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของเจ้าจะไม่ติดตามเจ้าเหมือนเงาอีกต่อไป ทั้งหมดจะถูกขจัดไปจากหัวใจส่วนลึกสุดของเจ้าอย่างสิ้นเชิง  กระบวนการของการขจัดภาวะอารมณ์เหล่านี้ใช่ขั้นตอนที่เป็นการปล่อยมือหรือไม่?  (ใช่)  การปฏิบัติความจริงนั้นง่ายเช่นนี้เอง  ง่ายหรือไม่?  การปฏิบัติความจริงคือการเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะ และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีของคนเราที่มีต่อสิ่งต่างๆ  การที่จะปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบธรรมดาๆ สักอย่างนั้น คนเราต้องปฏิบัติและสัมฤทธิ์ขั้นตอนเหล่านี้  ก่อนอื่นจงเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของตน จากนั้นก็เปลี่ยนแปลงท่าทีที่ตนมีต่อการปฏิบัติก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติ หลักธรรมของการปฏิบัติ และเส้นทางปฏิบัติของตน  เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนั้นแล้วมิใช่หรือ?  ง่ายเช่นนี้เอง  ผลลัพธ์สุดท้ายที่เจ้าจะสัมฤทธิ์ผ่านทาง “การปล่อยมือ” ก็คือ เจ้าย่อมไม่ถูกภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้รบกวน ทำให้งุนงงสับสน และควบคุมเอาไว้อีกต่อไป และพร้อมกันนั้น เจ้าก็ย่อมไม่ถูกความคิดและทัศนะสารพัดอย่างที่เป็นลบซึ่งเกิดจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนี้ตามหลอกหลอนอีกต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย อิสระ และได้รับการปลดปล่อย  แน่นอนว่าความรู้สึกผ่อนคลาย อิสระ และได้รับการปลดปล่อยเป็นเพียงความรู้สึกของมนุษย์—ประโยชน์จริงๆ ที่ผู้คนได้รับโดยแท้จริงก็คือการที่พวกเขามาเข้าใจความจริง  หลักการพื้นฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์ก็คือความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  ถ้าผู้คนพึ่งพาความคิดเพ้อฝันของตนในการใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ เพื่อที่จะปกป้องตนเอง ถ้าพวกเขาพึ่งพาตนเองและพึ่งพาความสามารถ วิถีทาง และวิธีการของตนเพื่อป้องกันตนเอง และพวกเขาก็เดินไปบนเส้นทางของตนเอง เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะออกห่างจากความจริงและพระเจ้าไปแล้ว และเป็นธรรมดาที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตาน  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าเผชิญความยุ่งยากและสถานการณ์แบบเดียวกันนี้ เจ้าจึงควรมีความเข้าใจในหัวใจของเจ้า และจะคิดขึ้นมาได้เองว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องเหล่านี้  ไม่มีประโยชน์ที่จะวิตกกังวล  ผู้คนที่เฉลียวฉลาดและมีปัญญาย่อมจะพึ่งพาพระเจ้าและจะวางใจฝากเรื่องทั้งหมดนี้ไว้กับพระเจ้า นบนอบอธิปไตยของพระองค์ รอคอยทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม และรอคอยเวลา สถานที่ บุคคล หรือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  สิ่งที่มนุษย์ควรทำและทำได้มีเพียงให้ความร่วมมือและนบนอบเท่านั้น—นี่คือทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด”  แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่ทำเช่นนี้และไม่ปฏิบัติในหนทางนี้ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้ก็ยังจะเกิดขึ้นในท้ายที่สุดอยู่ดี—ไม่มีบุคคล เหตุการณ์ และสถานการณ์ใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามเจตจำนงของมนุษย์ได้  ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของมนุษย์เป็นเพียงการพลีอุทิศที่ไร้ความหมาย เป็นเพียงความคิดที่เบาปัญญาและการสำแดงถึงความไม่รู้ของมนุษย์  ไม่ว่าความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของเจ้าจะลึกซึ้งหรือร้ายแรงเพียงใด หรือเจ้าจะคิดเรื่องหนึ่งๆ อย่างละเอียดรอบด้านเพียงใด สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้นแล้วก็ต้องทิ้งมันไป  ข้อเท็จจริงและผลลัพธ์ในท้ายที่สุดไม่อาจเปลี่ยนแปลงตามเจตจำนงของมนุษย์ได้  มนุษย์ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้าในที่สุด ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ และไม่มีใครสามารถเป็นอิสระจากทั้งหมดนี้ได้  ต้องเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)

ทีนี้พวกเราก็มาคุยเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยกันเถิด  เมื่อพูดถึงเนื้อหนังที่แก่ชราของมนุษย์นี้ ไม่สำคัญว่าผู้คนป่วยเป็นโรคอะไร จะดีขึ้นได้หรือไม่ หรือทนทุกข์กันเพียงใด ทั้งหมดนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา—ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทั้งสิ้น  เวลาเจ้าเจ็บป่วย ถ้าเจ้านบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าเต็มใจที่จะสู้ทนและยอมรับข้อเท็จจริงนี้ กระนั้นเจ้าก็ยังจะเป็นโรคนี้อยู่ดี ถึงเจ้าไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนี้ เจ้าก็จะไม่สามารถกำจัดความเจ็บป่วยนี้ออกไปได้—นี่คือข้อเท็จจริง  ในวันหนึ่งๆ เจ้าสามารถเผชิญความเจ็บป่วยของเจ้าในทางที่เป็นบวก หรือในทางที่เป็นลบก็ได้  กล่าวคือ ไม่ว่าท่าทีของเจ้าเป็นเช่นไร เจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าป่วย  ผู้คนที่เฉลียวฉลาดเขาเลือกสิ่งใด?  แล้วผู้คนที่เบาปัญญาเลือกสิ่งใด?  ผู้คนที่เบาปัญญาย่อมจะเลือกการมีชีวิตอยู่กับความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล  พวกเขาจะถึงกับจมปลักอยู่ในความรู้สึกเหล่านี้และไม่อยากปีนกลับออกมา  พวกเขาไม่ฟังคำแนะนำที่ได้รับ และนึกสงสัยว่า “โอ ฉันป่วยเป็นโรคนี้ได้อย่างไร?  เกิดจากความเหนื่อยล้าหรือเปล่า?  เกิดจากความวิตกกังวลหรือเปล่า?  หรือเป็นเพราะการคอยหักห้ามใจตัวเอง?”  ทุกวันพวกเขานึกสงสัยว่าตนเองป่วยได้อย่างไรและเริ่มป่วยเมื่อใด พลางคิดว่า “ทำไมฉันถึงไม่ทันสังเกต?  ฉันช่างโง่เขลาและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรงขนาดนี้ได้อย่างไร?  คนอื่นไปตรวจร่างกายกันทุกปี และอย่างน้อยก็ไปตรวจความดันโลหิตและรับการตรวจเอกซเรย์  ทำไมฉันถึงไม่ตระหนักว่าตัวเองควรไปตรวจร่างกายบ้าง?  คนอื่นใช้ชีวิตกันอย่างเอาใจใส่ยิ่ง  แล้วทำไมฉันถึงใช้ชีวิตอย่างไร้หัวคิดแบบนี้?  ฉันเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  แย่แล้ว ฉันต้องรักษาโรคนี้!  จะรับการรักษาแบบไหนได้บ้าง?”  จากนั้นพวกเขาก็ค้นหาทางออนไลน์ว่าตนเป็นโรคนี้ได้อย่างไร อะไรคือสาเหตุของโรค จะรักษาด้วยยาจีนได้อย่างไร จะรักษาด้วยยาแผนปัจจุบันได้อย่างไร และตำรับยาพื้นบ้านมีอะไรบ้าง—พวกเขาค้นหาทั้งหมดนี้  หลังจากนั้นพวกเขาก็กินยาจีน แล้วต่อด้วยยาแผนปัจจุบันที่บ้าน รู้สึกจริงจัง กระวนกระวาย และอดรนทนไม่ได้อยู่เสมอกับการเจ็บไข้ได้ป่วย  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ของตน โยนความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้าทิ้งไป เลิกเชื่อ และครุ่นคิดแต่ว่าจะรักษาโรคของตนให้หายขาดได้อย่างไร ตอนนี้หน้าที่ของพวกเขาคือการรักษาโรคของตนให้หาย  พวกเขาถูกความเจ็บป่วยของตัวเองกลืนกิน รู้สึกทุกข์ใจทุกวี่วันว่าตัวเองป่วย และไม่ว่าจะพบเจอใคร พวกเขาก็กล่าวว่า “โอ ฉันเป็นโรคนี้เพราะอย่างนี้  ขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นบทเรียนแก่พวกคุณ และเมื่อพวกคุณไม่สบาย ก็ต้องไปรับการตรวจและรักษา  การดูแลสุขภาพของตนเองสำคัญที่สุด  คุณต้องรู้เท่าทัน และต้องไม่ใช้ชีวิตอย่างโง่เง่าจนเกินไป”  พวกเขาบอกกล่าวสิ่งเหล่านี้กับทุกคนที่ตนพบเจอ  เป็นเพราะไม่สบาย พวกเขาถึงมีประสบการณ์และเรียนรู้บทเรียนนี้  พอพวกเขาป่วย พวกเขาก็ระมัดระวังเวลากิน ระมัดระวังเวลาเดิน และเรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพของตนเอง  ในที่สุดพวกเขาก็สรุปว่า “ผู้คนต้องพึ่งพาตัวเองในการดูแลสุขภาพของตน  สองหรือสามปีมานี้ฉันไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากเท่าไรนัก และทันทีที่ฉันไม่ได้ให้ความสนใจ ฉันก็ป่วยเป็นโรคนี้  โชคดีที่ฉันรู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ  ถ้ารู้ตัวทีหลัง ฉันต้องแย่แน่  การเจ็บป่วยแล้วต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อยย่อมจะโชคร้ายเอามากๆ  ฉันยังไม่เคยได้สุขสำราญกับชีวิตเลย มีของดีๆ มากมายที่ฉันยังไม่เคยกิน และมีที่สนุกๆ มากมายที่ฉันยังไม่เคยไป!”  พวกเขาเจ็บป่วยและได้ข้อสรุปแบบนี้  พวกเขาป่วยแต่ยังไม่ตาย พวกเขาเชื่อว่าตนนั้นชาญฉลาด และเชื่อว่าตนรู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคได้ทันเวลา  พวกเขาไม่เคยกล่าวว่าทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับอธิปไตยของพระเจ้าและพระองค์ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า และถ้าใครไม่ควรตาย เช่นนั้นแล้วไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายแรงเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจตายได้อยู่ดี แล้วถ้าใครที่ควรจะตาย เช่นนั้นพวกเขาก็จะตายต่อให้ไม่ป่วยก็ตามที—ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้  พวกเขาเชื่อว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยของตนทำให้ตนฉลาด ในขณะที่ความจริงแล้วพวกเขาใช้ “ความฉลาด” ของตนอย่างเกินกว่าเหตุและพวกเขาก็โง่เขลาเกินไป  เวลาผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บ พวกเขาจะจมปลักอยู่ในความรู้สึกที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะมีแนวทางเช่นไรจัดการกับความเจ็บไข้ได้ป่วย?  (ก่อนอื่น พวกเขาย่อมสามารถนบนอบ แล้วระหว่างที่ป่วย พวกเขาก็เสาะแสวงที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและคิดทบทวนว่าตนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดบ้าง)  คำพูดไม่กี่คำเหล่านี้สามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่?  ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การคิดทบทวน พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องรักษาโรคของตนเช่นนั้นหรือ?  (พวกเขาจะแสวงหาการรักษาด้วย)  ใช่แล้ว ถ้าเป็นการเจ็บป่วยที่ควรรักษา โรคร้ายแรง หรือโรคที่อาจทรุดหนักได้หากเจ้าไม่แสวงหาการรักษา เช่นนั้นแล้วก็ต้องรักษาโรคนั้น—นี่คือสิ่งที่คนเฉลียวฉลาดเขาทำกัน  เวลาที่คนเบาปัญญาไม่ได้เจ็บป่วยอะไร พวกเขาก็วิตกกังวลอยู่เสมอว่า “โอ ฉันจะป่วยได้หรือไม่?  แล้วถ้าฉันป่วย อาการจะแย่ลงหรือเปล่า?  ฉันจะเป็นโรคนั้นไหม?  แล้วถ้าฉันเป็นโรคนั้น ฉันจะตายก่อนวัยอันควรหรือเปล่า?  เวลาตาย ฉันจะเจ็บปวดมากไหม?  ฉันจะมีชีวิตที่เป็นสุขหรือไม่?  ถ้าฉันเป็นโรคนั้น แล้วฉันควรเตรียมการเรื่องการตายของตนเองและสุขสำราญกับชีวิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้หรือไม่?”  คนเขลามักจะรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลกับเรื่องแบบนี้  พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงหรือแสวงหาความจริงที่ตนควรเข้าใจในเรื่องนี้เลย  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เฉลียวฉลาดย่อมมีความเข้าใจและความรู้เชิงลึกบางอย่างในเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่ตอนที่ใครคนอื่นล้มป่วยก็ตอนที่ตัวพวกเขาเองยังไม่ล้มป่วย  แล้วพวกเขาควรมีความเข้าใจและความตระหนักรู้เชิงลึกว่าอะไร?  ก่อนอื่น ความเจ็บไข้ได้ป่วยจะข้ามผ่านใครบางคนไปเพราะพวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลหรือไม่?  (ไม่)  จงบอกเราทีเถิด การที่ใครบางคนจะล้มป่วยเป็นโรคบางอย่างเมื่อใด สุขภาพของพวกเขาจะเป็นเช่นไรเมื่อเข้าสู่วัยหนึ่งๆ และพวกเขาจะป่วยเป็นโรคที่หนักหนาหรือร้ายแรงบางอย่างหรือไม่นั้น ย่อมถูกลิขิตเอาไว้แล้วมิใช่หรือ?  แน่นอน เราบอกเจ้าได้เลยว่านั่นถูกลิขิตเอาไว้แล้ว  ครั้งนี้พวกเราจะไม่เสวนากันว่าพระเจ้าทรงลิขิตสิ่งต่างๆ ไว้ล่วงหน้าให้แก่เจ้าอย่างไร รูปลักษณ์ เค้าหน้า รูปร่าง และวันเกิดของผู้คนเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ชัดเจนอยู่แล้ว  ผู้ไม่มีความเชื่ออย่างนักพยากรณ์ นักโหราศาสตร์ และพวกที่สามารถอ่านดวงดาวและฝ่ามือของผู้คนได้ ย่อมสามารถบอกได้จากฝ่ามือ ใบหน้า และวันเกิดของผู้คนว่าพวกเขาจะเกิดความวิบัติเมื่อใด และจะเผชิญเคราะห์ร้ายบางอย่างเมื่อใด—สิ่งเหล่านี้ถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว  ดังนั้นเมื่อใครบางคนเจ็บป่วย ก็อาจดูเหมือนว่านั่นเกิดจากความเหนื่อยล้า ความรู้สึกโกรธ หรือเพราะพวกเขามีชีวิตที่ยากไร้และขาดโภชนาการ—ดูภายนอกก็อาจเป็นเช่นนี้  สถานการณ์นี้ใช้ได้กับทุกคน แล้วทำไมบางคนในกลุ่มวัยเดียวกันถึงป่วยเป็นโรคนี้ แต่คนอื่นไม่เป็นเล่า?  นี่ถูกลิขิตให้เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ในภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ นี่คือชะตากรรม  และถ้าใช้ถ้อยคำที่สอดคล้องกับความจริง พวกเราควรกล่าวว่าอย่างไร?  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอาหาร เครื่องดื่ม ที่อยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของเจ้าจะเป็นเช่นใด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ว่าเจ้าจะล้มป่วยเมื่อใดหรือเจ้าจะเป็นโรคใด  ผู้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าย่อมมองหาเหตุผลจากจุดยืนที่เป็นข้อเท็จจริงเสมอและกล่าวย้ำสาเหตุของโรคเสมอว่า “คุณต้องออกกำลังกายให้มากขึ้น กินผักมากขึ้นและกินเนื้อให้น้อยลง”  แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ผู้คนที่ไม่เคยกินเนื้อสัตว์เลยก็ยังมีความดันโลหิตสูงและเป็นโรคเบาหวานได้เหมือนกันอยู่ดี และคนที่กินมังสวิรัติก็ยังสามารถมีคอเลสเตอรอลสูงได้  ศาสตร์การแพทย์ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายที่ถูกต้องหรือสมเหตุสมผลในเรื่องเหล่านี้  เราบอกเจ้าได้เลยว่าอาหารต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างสรรค์ขึ้นมาให้มนุษย์คืออาหารที่มนุษย์ควรกิน แค่อย่ากินให้มากจนเกินควรเท่านั้น แต่จงกินอย่างพอประมาณ  การเรียนรู้วิธีดูแลสุขภาพของตนเป็นสิ่งจำเป็น แต่การอยากศึกษาหาวิธีป้องกันโรคอยู่เสมอย่อมไม่ถูกต้อง  ดังที่พวกเราเพิ่งกล่าวไปว่าสุขภาพของใครคนหนึ่งจะเป็นเช่นไรเมื่อถึงวัยหนึ่งๆ และพวกเขาจะเป็นโรคร้ายแรงหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการไว้แล้ว  ผู้ไม่มีความเชื่อย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าและมักไปหาใครสักคนให้ดูเรื่องเหล่านี้ตามฝ่ามือ วันเกิด และใบหน้า แล้วพวกเขาก็เชื่อในสิ่งเหล่านี้  เจ้าเชื่อในพระเจ้า มักจะฟังคำเทศนาและฟังสามัคคีธรรมความจริง ดังนั้นถ้าเจ้าไม่เชื่อดังนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นเพียงผู้ไม่เชื่อเท่านั้น  ถ้าเจ้าเชื่อโดยแท้ว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้—ทั้งโรคร้ายแรง โรคที่หนักหนา โรคเล็กๆ น้อยๆ และสุขภาพ—ต่างก็อยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า  การเกิดโรคร้ายแรงและการที่สุขภาพของใครสักคนจะเป็นเช่นไรเมื่อถึงวัยหนึ่งๆ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และการเข้าใจเช่นนี้ก็คือการมีความเข้าใจที่เป็นบวกและถูกต้อง  นี่สอดคล้องกับความจริงหรือไม่?  (สอดคล้อง)  นี่สอดคล้องกับความจริง นี่คือความจริง เจ้าควรยอมรับในเรื่องนี้ และควรเปลี่ยนแปลงท่าทีและทัศนะที่เจ้ามีในเรื่องนี้  และเมื่อสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไป สิ่งใดจะได้รับการแก้ไข?  ความรู้สึกของเจ้าที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลย่อมได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลที่เจ้ามีต่อความเจ็บไข้ได้ป่วยก็ได้รับการแก้ไขในทางทฤษฎี  เนื่องจากความเข้าใจของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงความคิดและทัศนะของเจ้าไปแล้ว ฉะนั้นจึงพลอยแก้ไขภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของเจ้าไปด้วย  นี่คือแง่มุมหนึ่ง  กล่าวคือ ไม่ว่าใครจะล้มป่วยหรือไม่ จะมีโรคร้ายแรงอันใด และสุขภาพของพวกเขาจะเป็นเช่นใดในแต่ละช่วงของชีวิต ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเจตจำนงของมนุษย์ แต่ถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว  บางคนกล่าวว่า “แล้วจะเป็นไรไหมถ้าฉันไม่อยากป่วย?  จะเป็นไรไหมถ้าฉันอยากขอให้พระเจ้าเอาโรคภัยไข้เจ็บไปจากฉัน?  จะเป็นไรไหมถ้าฉันอยากขอให้พระเจ้าพาฉันออกห่างจากความวิบัติและเคราะห์ร้ายนี้?”  พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?  สิ่งเหล่านี้ยอมรับได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเจ้ากล่าวด้วยความแน่ใจขนาดนี้ แต่ไม่มีใครสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  บางทีบางคนอาจจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีและมีความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง อีกทั้งพวกเขาก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่องานบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้า และบางทีพระเจ้าก็อาจจะเอาโรคร้ายที่ส่งผลต่อหน้าที่ งาน แรงกายและกำลังวังชาของพวกเขาไปจากพวกเขา เพราะพระเจ้าย่อมจะรับผิดชอบพระราชกิจของพระองค์  แต่มีคนแบบนี้อยู่หรือไม่?  ใครบ้างที่เป็นแบบนี้?  พวกเจ้าไม่รู้ใช่ไหม?  บางทีอาจจะมีผู้คนที่เป็นแบบนี้  ถ้ามีผู้คนแบบนี้จริง เช่นนั้นพระเจ้าย่อมจะเอาโรคภัยหรือเคราะห์ร้ายไปจากพวกเขาได้ด้วยพระวจนะเพียงคำเดียวมิใช่หรือ?  พระเจ้าจะทรงทำเช่นนั้นได้ด้วยพระดำริเท่านั้นมิใช่หรือ?  พระดำริของพระเจ้าย่อมจะเป็นว่า “คนผู้นี้จะเผชิญโรคภัยในเดือนนั้นเมื่ออายุเท่านี้  ตอนนี้พวกเขายุ่งกับงานของตนมาก ดังนั้นพวกเขาจะไม่เป็นโรคนี้  พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์กับโรคนี้  ให้มันข้ามพวกเขาไปเถิด”  ไม่มีเหตุผลที่ไม่ควรเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น และนั่นก็ใช้เพียงพระวจนะของพระเจ้าคำเดียวเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่?  แต่ใครจะสามารถรับพรเช่นนี้ได้?  ใครก็ตามที่มีความมุ่งมั่นและความจงรักภักดีเช่นนี้อย่างแท้จริง และสามารถทำหน้าที่นี้ในพระราชกิจของพระเจ้าได้จริง นั่นคือคนที่สามารถรับพรดังกล่าวได้  นี่ไม่ใช่หัวข้อที่พวกเราจำเป็นต้องพูดถึง ดังนั้นพวกเราก็จะไม่พูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้  พวกเรากำลังพูดถึงความเจ็บไข้ได้ป่วย นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะมีประสบการณ์ด้วยในช่วงชีวิตของตน  เพราะฉะนั้น ชนิดของโรคที่จะเกิดกับร่างกายของผู้คนในเวลาใดหรือเมื่อมีอายุเท่าใด และสุขภาพของพวกเขาจะเป็นเช่นไร ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการเอาไว้ และผู้คนก็ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองได้ เหมือนเวลาเกิดของคนเรานั่นเอง พวกเขาไม่สามารถกำหนดเวลาเกิดด้วยตัวเองได้  ดังนั้น การรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องที่เจ้าไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้ย่อมเบาปัญญามิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนควรลงมือแก้ไขสิ่งที่พวกเขาสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง ส่วนเรื่องที่พวกเขาไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองนั้น พวกเขาก็ควรรอพระเจ้า โดยผู้คนควรนบนอบอยู่เงียบๆ และขอให้พระเจ้าคุ้มครองตน—นี่คือวิธีคิดที่ผู้คนควรมี  เมื่อโรคภัยเล่นงานเข้าจริงและความตายก็อยู่ใกล้โดยแท้ เมื่อนั้นผู้คนควรนบนอบและไม่พร่ำบ่นหรือกบฏต่อพระเจ้า หรือกล่าวสิ่งที่หมิ่นประมาทพระเจ้าหรือสิ่งที่โจมตีพระองค์  แต่ผู้คนควรยืนหยัดในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีประสบการณ์และมองเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้า—พวกเขาไม่ควรพยายามเลือกสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง  นี่ควรเป็นประสบการณ์พิเศษที่ทำให้ชีวิตของเจ้าดีขึ้น และไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดี ถูกต้องหรือไม่?  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องโรคภัย ผู้คนควรแก้ไขความคิดและทัศนะผิดๆ ที่ตนมีในเรื่องต้นกำเนิดของโรคภัยเสียก่อน แล้วจากนั้นพวกเขาก็จะไม่วิตกกังวลในเรื่องนี้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนไม่มีสิทธิ์ควบคุมสิ่งที่รู้อยู่แล้วหรือยังไม่รู้ และพวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าทั้งสิ้น  ท่าทีและหลักธรรมของการปฏิบัติที่ผู้คนควรมีคือรอและนบนอบ  ทุกสิ่งตั้งแต่ความเข้าใจไปจนถึงการปฏิบัติควรทำให้ตรงตามหลักธรรมความจริง—นี่คือการไล่ตามเสาะหาความจริง

บางคนวิตกกังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของตนอยู่เสมอ พลางกล่าวว่า “ถ้าโรคกำเริบหนักขึ้น ฉันจะสู้ทนได้หรือไม่?  ถ้าอาการทรุดลง โรคภัยจะเอาชีวิตของฉันไปหรือไม่?  ฉันจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่?  และถ้ามีการผ่าตัด ฉันจะตายบนเตียงผ่าตัดหรือไม่?  ฉันนบนอบตลอดมา  พระเจ้าจะทรงเอาชีวิตของฉันไปด้วยโรคนี้หรือไม่?”  การคิดเรื่องเหล่านี้มีประโยชน์อะไร?  ถ้าเจ้าอดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรอธิษฐานถึงพระเจ้า  ไม่มีประโยชน์ที่จะพึ่งพาตัวเจ้าเอง เจ้าจะสู้ทนไม่ได้อย่างแน่นอน  ไม่มีใครอยากที่จะต้องสู้ทนกับโรคภัยไข้เจ็บ และไม่มีใครฉีกยิ้ม รู้สึกลิงโลด และพากันฉลองเมื่อตนเจ็บป่วย  ไม่มีใครเป็นเช่นนี้เพราะนั่นไม่ใช่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  เมื่อคนปกติเจ็บป่วย พวกเขาจะทนทุกข์และรู้สึกหมดกำลังใจเสมอ พวกเขามีขีดจำกัดว่าจะสามารถสู้ทนอะไรได้บ้าง  อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ เวลาเจ็บป่วย ถ้าผู้คนคิดพึ่งพาพละกำลังของตนในการขจัดและหลบหนีให้พ้นจากความเจ็บป่วยอยู่เสมอ ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?  เช่นเดียวกับความเจ็บป่วย พวกเขาจะยิ่งทนทุกข์และรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมมิใช่หรือ?  นั่นคือสาเหตุที่ยิ่งผู้คนถูกความเจ็บป่วยห่อหุ้มเอาไว้ พวกเขาก็ยิ่งควรแสวงหาความจริงและยิ่งควรแสวงหาวิธีปฏิบัติที่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ยิ่งผู้คนถูกห่อหุ้มด้วยความเจ็บป่วย พวกเขาก็ยิ่งควรที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำความรู้จักความเสื่อมทรามของตนและข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  ยิ่งเจ้าถูกความเจ็บไข้ได้ป่วยห่อหุ้มเอาไว้ ความนบนอบที่แท้จริงของเจ้าก็ยิ่งถูกทดสอบ  เพราะฉะนั้นเมื่อเจ้าล้มป่วย ความสามารถของเจ้าในการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและต่อต้านคำพร่ำบ่นและข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของตนเอง ย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้และนบนอบพระเจ้าจริง เจ้าเป็นคำพยาน ความจงรักภักดีและความนบนอบที่เจ้ามีให้พระเจ้านั้นจริงแท้และสามารถผ่านการทดสอบได้ ความจงรักภักดีและความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อและคำสอนเท่านั้น  นี่คือสิ่งที่ผู้คนพึงปฏิบัติเวลาที่พวกเขาล้มป่วย  เวลาเจ้าล้มป่วย นี่เป็นการเผยข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของเจ้า ความคิดเพ้อฝันที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง และมโนคติอันหลงผิดที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าทั้งหมดออกมา และนี่ยังเป็นการทดสอบความเชื่อในพระเจ้าและความนบนอบที่เจ้ามีในพระองค์อีกด้วย  ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบในเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีคำพยานที่แท้จริงและหลักฐานที่เป็นจริงมายืนยันความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า ความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้า และความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระองค์ของเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ และเป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีและควรใช้ในการดำเนินชีวิต  สิ่งเหล่านี้เป็นบวกทั้งสิ้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพระเจ้าเปิดโอกาสให้เจ้าล้มป่วย พระองค์ก็ย่อมทรงเอาโรคภัยไข้เจ็บไปจากเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลาเช่นกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  พระเจ้าทรงเอาโรคภัยไข้เจ็บไปจากเจ้าได้ทุกที่และทุกเวลา ดังนั้นพระองค์ย่อมทรงทำให้โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังอยู่ในตัวเจ้าและไม่มีวันไปจากเจ้าได้อีกด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  และถ้าพระเจ้าทรงทำให้โรคภัยไข้เจ็บเดียวกันนี้ไม่มีวันไปจากเจ้า เจ้ายังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรักษาความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเอาไว้ได้หรือไม่?  นี่คือการทดสอบมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถ้าเจ้าล้มป่วย แล้วหายป่วยในหลายเดือนให้หลัง เช่นนั้นความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ความจงรักภักดีและความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระองค์ย่อมไม่ถูกทดสอบ และเจ้าย่อมไม่มีคำพยาน  การสู้ทนความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ไม่กี่เดือนนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าการเจ็บไข้ได้ป่วยของเจ้ายืดเยื้อไปสักสองหรือสามปี แล้วความเชื่อของเจ้า ความปรารถนาของเจ้าที่จะนบนอบและจงรักภักดีต่อพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่กลับเป็นจริงมากขึ้น นี่แสดงว่าเจ้าเติบโตในชีวิตแล้วมิใช่หรือ?  เจ้าย่อมได้เก็บเกี่ยวดอกผลนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ระหว่างที่ใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงล้มป่วย พวกเขาย่อมก้าวผ่านและมีประสบการณ์ด้วยตนเองเป็นประโยชน์มากมายเหลือคณานับที่การเจ็บไข้ได้ป่วยของตนนำมาให้  พวกเขาไม่ได้พยายามหลบหนีโรคภัยด้วยความกระวนกระวายหรือวิตกกังวลว่าจุดจบจะเป็นเช่นไรถ้าการเจ็บป่วยนั้นยืดเยื้อ การเจ็บป่วยนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาเช่นใด การเจ็บป่วยจะทรุดหนักลงหรือไม่ หรือพวกเขาจะตายหรือไม่—พวกเขาไม่วิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว  และเช่นเดียวกับการไม่วิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว พวกเขาสามารถเข้าสู่ในหนทางที่เป็นบวก มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า นบนอบและจงรักภักดีต่อพระองค์อย่างแท้จริง  ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ พวกเขาจึงมีคำพยาน และนี่ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเข้าสู่ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เป็นการสร้างรากฐานอันมั่นคงให้กับการได้รับความรอดของตน  ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้!  ยิ่งไปกว่านั้น การเจ็บป่วยอาจหนักหนาสาหัสหรือไม่หนักหนาก็ได้ แต่ไม่ว่าจะหนักหนาหรือไม่ ความเจ็บป่วยก็ถลุงผู้คนเสมอ  เมื่อก้าวผ่านโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างแล้ว ถ้าผู้คนไม่สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า พวกเขานบนอบและไม่พร่ำบ่น พฤติกรรมของพวกเขาเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป พวกเขาย่อมได้เก็บเกี่ยวดอกผลบางอย่างหลังจากหายป่วยและรู้สึกยินดียิ่ง—นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนเผชิญโรคภัยไข้เจ็บทั่วไป  พวกเขาไม่เจ็บป่วยนานนักและสามารถสู้ทนได้ และโดยพื้นฐานแล้ว ความเจ็บป่วยอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาสามารถสู้ทนได้  อย่างไรก็ดี มีโรคบางอย่างที่แม้จะดีขึ้นหลังเข้ารับการรักษาไประยะหนึ่ง แต่ก็กลับมาเป็นอีกและทรุดหนักกว่าเดิม  โรคนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็ไปถึงจุดที่ไม่อาจรักษาได้อีกต่อไป และวิธีการทั้งปวงที่มีอยู่ในการแพทย์สมัยใหม่ล้วนไม่เป็นผล  โรคภัยไข้เจ็บจะไปถึงระดับใด?  ไปถึงระดับที่คนที่เป็นโรคสามารถตายได้ทุกที่และทุกเมื่อ  นี่หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าชีวิตของคนคนนั้นมีขีดจำกัด  นี่ไม่ใช่ห้วงเวลาที่พวกเขาไม่ได้ล้มป่วยและความตายก็อยู่ห่างไกลและไม่มีการรู้สึกถึงความตาย แต่คนคนนั้นกลับรู้สึกว่าใกล้จะถึงวันตายของตนแล้ว และพวกเขากำลังเผชิญหน้าความตาย  การเผชิญหน้าความตายคือสัญญาณเตือนว่าห้วงเวลาที่ยากที่สุดและสำคัญที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่งมาถึงแล้ว  ดังนั้นเจ้าจะทำอย่างไร?  คนที่รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลย่อมจะรู้สึกกระวนกระวาย ทุกข์ใจ และวิตกกังวลถึงความตายของตนอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดโมงยามที่ยากเย็นที่สุดในชีวิตของพวกเขาก็มาถึง และสิ่งที่พวกเขากระวนกระวาย ทุกข์ใจ และวิตกกังวลถึงก็กลายเป็นข้อเท็จจริงในที่สุด  ยิ่งพวกเขากลัวตาย ความตายก็ยิ่งใกล้เข้ามา และพวกเขาก็ยิ่งไม่อยากเผชิญหน้าความตายเร็วอย่างนั้น ถึงกระนั้นความตายก็จู่โจมพวกเขาอย่างไม่คาดคิดและไม่ทันให้ตั้งตัว  แล้วพวกเขาทำเช่นไร?  พวกเขาพยายามหลีกหนีความตาย ปฏิเสธความตาย ต่อต้านความตาย พร่ำบ่นเรื่องนี้ หรือว่าพยายามต่อรองกับพระเจ้า?  สองอย่างนี้ วิธีใดจะได้ผล?  ไม่ได้ผลทั้งคู่ และความทุกข์ใจและความกระวนกระวายของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์  เมื่อถึงเวลาตายของพวกเขา สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคืออะไร?  พวกเขาเคยชอบกินหมูตุ๋นน้ำแดงมาก แต่สองสามปีมานี้กลับไม่ค่อยได้กินเท่าใดนัก พวกเขาทุกข์ทนอย่างยิ่งและมาถึงวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว  พวกเขาคิดถึงหมูตุ๋นน้ำแดงและอยากกินอีก แต่สุขภาพของพวกเขาไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้น พวกเขาจึงกินไม่ได้ อาหารชนิดนี้มีไขมันมากเกินไป  พวกเขาเคยชอบทำตัวให้ชวนมอง ชอบแต่งตัวสวยงาม  ตอนนี้พวกเขากำลังจะตาย และสิ่งที่ทำได้ก็มีแต่จ้องมองตู้ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสวยงาม ไม่อาจสวมใส่ได้สักชุด  ความตายช่างน่าเศร้านัก!  ความตายคือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด และเมื่อพวกเขานึกถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกราวกับมีมีดกรีดในหัวใจ กระดูกทั่วทั้งร่างอ่อนปวกเปียก  พอพวกเขานึกถึงความตาย พวกเขาก็รู้สึกเศร้าและอยากร้องไห้ พวกเขาอยากร่ำไห้ แล้วพวกเขาก็ร้องไห้ออกมา พวกเขาร่ำไห้และรู้สึกเจ็บปวดที่ตนกำลังจะพบพานความตาย  พวกเขาคิดว่า “ทำไมฉันไม่อยากตาย?  ทำไมฉันถึงหวาดกลัวความตายมากขนาดนี้?  เมื่อก่อนตอนที่ฉันยังไม่ป่วยหนัก ฉันไม่เคยคิดว่าความตายน่ากลัว  มีใครบ้างที่จะไม่พบเจอความตาย?  ใครบ้างไม่ตาย?  เช่นนั้นก็ปล่อยให้ฉันตายเถิด!  พอคิดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดเช่นนั้น และเมื่อความตายมาถึงจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ง่ายอย่างนั้น  ทำไมฉันถึงรู้สึกเศร้าอย่างนี้?”  พวกเจ้ารู้สึกเศร้าเมื่อนึกถึงความตายหรือไม่?  เมื่อใดก็ตามที่เจ้านึกถึงความตาย เจ้ารู้สึกเศร้าและเจ็บปวด แล้วในที่สุดสิ่งที่ทำให้เจ้ากระวนกระวายและวิตกกังวลที่สุดก็มาถึง  เพราะฉะนั้นยิ่งเจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าก็ยิ่งรู้สึกกลัว รู้สึกอับจนหนทางและรู้สึกทนทุกข์มากขึ้น  หัวใจของเจ้าไม่มีความชูใจและเจ้าไม่อยากตาย  ใครจะสามารถแก้ไขเรื่องของความตายนี้ได้บ้าง?  ไม่มีใครทำได้ และแน่นอนว่าเจ้าแก้ไขด้วยตนเองไม่ได้  เจ้าไม่อยากตาย แล้วเจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง?  เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี และไม่มีใครสามารถหลบหนีความตายพ้น  ความตายล้อมรอบผู้คนเอาไว้ ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่อยากตาย แต่สิ่งที่พวกเขานึกถึงอยู่ตลอดเวลากลับมีแต่ความตาย นี่คือการตายก่อนที่พวกเขาจะตายกันเสียอีกมิใช่หรือ?  แล้วพวกเขาจะตายจริงหรือไม่?  มีใครกล้าพูดด้วยความแน่ใจว่าตนจะตายเมื่อใดหรือตนจะตายปีไหน?  มีใครสามารถรู้เรื่องเหล่านี้ได้บ้าง?  บางคนบอกว่า “ฉันไปดูดวงมา ฉันรู้วันเดือนปีที่ฉันจะตาย และรู้ว่าตัวเองจะตายอย่างไร”  เจ้ากล้าพูดเช่นนี้ด้วยความแน่ใจหรือไม่?  (ไม่กล้า)  เจ้าไม่อาจรู้แน่ในเรื่องนี้ได้  เจ้าไม่รู้ว่าตัวเองจะตายเมื่อใด—นี่เป็นเรื่องรอง  เรื่องที่สำคัญยิ่งก็คือเจ้าจะใช้ท่าทีเช่นใดเมื่อการเจ็บป่วยของเจ้าพาเจ้าเข้าไปใกล้ความตายอย่างแท้จริง  นี่คือคำถามที่เจ้าควรไตร่ตรองและครุ่นคิด  เจ้าจะเผชิญหน้าความตายด้วยท่าทีที่นบนอบ หรือเจ้าจะเข้าใกล้ความตายด้วยท่าทีขัดขืน ปฏิเสธ หรือไม่เต็มใจ?  เจ้าควรมีท่าทีเช่นใด?  (ท่าทีนบนอบ)  ความนบนอบนี้ไม่อาจสัมฤทธิ์และปฏิบัติได้ด้วยการพูดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความนบนอบนี้ได้อย่างไร?  ก่อนที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความนบนอบได้อย่างเต็มใจ เจ้าจำต้องมีความเข้าใจเช่นไร?  นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายใช่ไหม?  (ไม่ง่าย)  ดังนั้น พวกเจ้าจงบอกความในใจออกมาเถิด  (ถ้าข้าพระองค์ป่วยหนัก ข้าพระองค์ก็จะคิดว่า ต่อให้ตายไปจริงๆ ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้าและพระองค์ทรงจัดเตรียมการไว้แล้ว  มนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามหนักมากเสียจนถ้าข้าพระองค์ตาย ก็ย่อมจะเป็นเพราะความชอบธรรมของพระเจ้า  ไม่ใช่ว่าข้าพระองค์ต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเรียกร้องจากพระเจ้าเช่นนั้น  นอกจากนี้ข้าพระองค์คิดว่าในตอนนี้ที่ข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพระองค์ก็มองเห็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิตแล้วและเข้าใจความจริงมากมายจนต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายในเร็ววัน ทั้งหมดนี้ก็ย่อมจะคุ้มค่าแล้ว)  นี่ใช่วิธีคิดที่ถูกต้องหรือไม่?  นี่คือทฤษฎีบางอย่างที่เป็นข้อสนับสนุนใช่หรือไม่?  (ใช่)  ใครจะพูดอีกบ้าง?  (ข้าแต่พระเจ้า ถ้าวันหนึ่งข้าพระองค์เผชิญโรคภัยจริงและอาจจะตายได้ เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงความตายอยู่ดี  นี่คือการทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและเป็นอธิปไตยของพระเจ้า และไม่ว่าข้าพระองค์จะกลัดกลุ้มหรือวิตกกังวลมากเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์  ข้าพระองค์ควรใช้เวลาอันน้อยนิดที่เหลืออยู่มาสนใจว่าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไร  ต่อให้ข้าพระองค์ตายไปจริงๆ เมื่อนั้นข้าพระองค์ก็จะไม่มีความเสียใจ  การสามารถนบนอบพระเจ้าและนบนอบการจัดเตรียมการของพระเจ้าได้เมื่อถึงวาระสุดท้าย ย่อมดีกว่าการมีชีวิตอยู่ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมากนัก)  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับความเข้าใจเช่นนี้?  ดีขึ้นเล็กน้อยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ถูกต้อง เจ้าควรมองเรื่องของความตายในลักษณะนี้  ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความตายในชีวิตนี้ กล่าวคือ ความตายคือสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่อสิ้นสุดการเดินทางของตน  อย่างไรก็ดี ความตายมีลักษณะเฉพาะตัวต่างๆ มากมาย  หนึ่งในนั้นก็คือเมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า เจ้าย่อมเสร็จสิ้นภารกิจของตนแล้ว และพระเจ้าทรงขีดเส้นใต้ให้กับชีวิตในเนื้อหนังของเจ้า แล้วชีวิตในเนื้อหนังของเจ้าก็มาถึงจุดจบแม้นี่จะไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเจ้าสิ้นสุดลงก็ตาม  เมื่อคนคนหนึ่งไร้ซึ่งเนื้อหนัง ชีวิตของพวกเขาย่อมสิ้นสุดลง—เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  รูปสัณฐานที่ชีวิตของเจ้าดำรงอยู่หลังความตายนั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าปฏิบัติต่อพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าอย่างไรในช่วงที่เจ้ามีชีวิตอยู่—นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  รูปสัณฐานที่เจ้าดำรงอยู่หลังความตาย หรือการที่เจ้าจะดำรงอยู่หรือไม่นั้น ย่อมจะขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าและความจริงขณะที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่  ถ้าระหว่างที่เจ้ามีชีวิตอยู่ เวลาที่เจ้าเผชิญหน้าความตายและโรคภัยสารพัดอย่าง ท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงคือการเป็นกบฏ ต่อต้าน และรู้สึกรังเกียจความจริง เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาที่ชีวิตในเนื้อหนังของเจ้าสิ้นสุดลง เจ้าจะมีการดำรงอยู่ในหนทางใดหลังความตาย?  แน่นอนว่าเจ้าย่อมจะดำรงอยู่ในรูปแบบอื่น และชีวิตของเจ้าก็จะไม่ดำเนินต่อไปเป็นแน่  ในทางกลับกัน ระหว่างที่เจ้ามีชีวิตอยู่ เวลาที่เจ้ามีความรู้ตัวอยู่ในเนื้อหนัง หากท่าทีที่เจ้ามีต่อความจริงและพระเจ้าเป็นท่าทีที่นบนอบและจงรักภักดี และเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริง กระนั้นแม้ชีวิตในเนื้อหนังของเจ้าจะถึงกาลอวสาน แต่ชีวิตของเจ้าจะดำรงอยู่ต่อไปในรูปสัณฐานที่ต่างออกไปในอีกโลกหนึ่ง  นี่เป็นคำอธิบายอย่างหนึ่งในเรื่องของความตาย  ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องรู้ไว้ และนั่นก็คือเรื่องของความตายมีธรรมชาติเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนจะเลือกได้ด้วยตัวเอง และยิ่งไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเจตจำนงของมนุษย์  ความตายก็เหมือนกับเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ ในชีวิต กล่าวคือ อยู่ภายใต้การลิขิตไว้ล่วงหน้าและอธิปไตยของพระผู้สร้างทุกประการ  ถ้าใครสักคนร้องขอความตาย พวกเขาก็อาจไม่จำเป็นต้องตาย ถ้าพวกเขาอ้อนวอนขอมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็อาจไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่  ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยและการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระเจ้า มีการเปลี่ยนแปลงและตัดสินด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า ด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และด้วยอธิปไตยและการจัดเตรียมการของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น สมมุติว่าเจ้าป่วยเป็นโรคร้าย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคร้ายแรงถึงชีวิต แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องตาย—ใครตัดสินว่าเจ้าจะตายหรือไม่?  (พระเจ้า)  พระเจ้าคือผู้ตัดสิน  และในเมื่อพระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสินและผู้คนไม่อาจตัดสินใจในเรื่องดังกล่าวได้ ผู้คนจะรู้สึกกระวนกระวายและทุกข์ใจด้วยเรื่องอันใด?  นี่ก็เหมือนเรื่องที่ว่าใครเป็นพ่อแม่ของเจ้า และเจ้าเกิดเมื่อใดและที่ไหน—เจ้าไม่สามารถเลือกสิ่งเหล่านี้ได้เองเช่นกัน  ทางเลือกที่มีปัญญาที่สุดในเรื่องเหล่านี้คือปล่อยให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามครรลองธรรมชาติ นบนอบ และไม่เลือก ไม่ใช้ความคิดหรือใช้พลังงานไปกับเรื่องนี้ และไม่รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย หรือวิตกกังวลในเรื่องนี้  ในเมื่อผู้คนไม่สามารถเลือกได้ด้วยตนเอง การใช้พลังงานและความคิดมากมายไปกับเรื่องนี้ย่อมโง่เขลาและไม่ฉลาด  สิ่งที่ผู้คนพึงทำเวลาเผชิญหน้าเรื่องที่สำคัญยิ่งอย่างความตาย ไม่ใช่การทุกข์ใจ กลัดกลุ้ม หรือกลัว แต่เป็นอะไร?  ผู้คนควรรอใช่ไหม?  (ใช่)  ถูกต้องหรือไม่?  การรอหมายถึงการรอคอยความตายหรือเปล่า?  เป็นการรอที่จะตายเมื่อเผชิญหน้ากับความตายหรือเปล่า?  ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง ผู้คนควรเผชิญหน้าความตายในหนทางที่เป็นบวกและนบนอบ)  ถูกต้อง นี่ไม่ได้หมายถึงการรอคอยความตาย  จงอย่าหวาดกลัวความตาย และอย่าใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้าไปกับการคิดเรื่องของความตาย  จงอย่าคิดทั้งวันว่า “ฉันจะตายไหม?  ฉันจะตายเมื่อไร?  พอตายไปแล้ว ฉันจะทำอะไร?”  จงอย่าคิดถึงเรื่องนี้เป็นพอ  บางคนถามว่า “ทำไมถึงไม่คิดเรื่องนี้เล่า?  ทำไมถึงไม่คิดเรื่องความตายในเมื่อฉันกำลังจะตาย?”  เพราะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าจะตายหรือไม่ และไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าจะทรงอนุญาตให้เจ้าตายหรือไม่—ไม่มีใครรู้เรื่องเหล่านี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าจะตายเมื่อใด เจ้าจะตายที่ไหน เจ้าจะตายเวลาไหน หรือร่างกายของเจ้าจะรู้สึกอย่างไรในยามที่เจ้าตาย  การเค้นสมองคิดและตรึกตรองเรื่องที่เจ้าไม่รู้ แล้วรู้สึกกระวนกระวายและวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ นั่นทำให้เจ้าดูเขลามิใช่หรือ?  ในเมื่อทำให้เจ้าดูเขลา เจ้าก็ไม่ควรเค้นสมองคิดเรื่องเหล่านี้

ไม่ว่าผู้คนกำลังจัดการเรื่องใดอยู่ก็ตาม พวกเขาควรจัดการเรื่องนั้นๆ ด้วยท่าทีที่แข็งขันและเป็นบวกเสมอ และเมื่อเป็นเรื่องของความตายก็ยิ่งควรทำเช่นนี้  การมีท่าทีที่แข็งขันและเป็นบวกไม่ได้หมายถึงการคล้อยตามความตาย รอคอยความตาย หรือไล่ตามไขว่คว้าความตายในทางที่เป็นบวกและแข็งขัน  ถ้านี่ไม่ได้หมายถึงการไล่ตามไขว่คว้าความตาย การคล้อยตามความตาย หรือการรอคอยความตายแล้ว ท่าทีที่แข็งขันและเป็นบวกหมายถึงอะไร?  (การนบนอบ)  การนบนอบเป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่มีต่อความตาย การปล่อยมือจากความตายและไม่คิดเรื่องความตายย่อมเป็นวิธีรับมือความตายที่ดีที่สุด  บางคนถามว่า “ทำไมไม่คิดเรื่องความตาย?  ถ้าฉันไม่คิดให้รอบด้าน ฉันจะเอาชนะความตายได้หรือ?  ถ้าฉันไม่คิดให้ถี่ถ้วน ฉันจะสามารถปล่อยมือจากความตายได้หรือ?”  ได้สิ เจ้าย่อมทำได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  จงบอกเราเถิดว่าเมื่อพ่อแม่ของเจ้ามีเจ้า การเกิดนั้นเป็นแนวคิดของเจ้าหรือ?  รูปร่างหน้าตาของเจ้า อายุของเจ้า ธุรกิจที่เจ้าเข้าทำงาน ข้อเท็จจริงที่เจ้านั่งอยู่ที่นี่ในตอนนี้ และเจ้ารู้สึกอย่างไรในตอนนี้—เจ้าคิดทั้งหมดนี้ขึ้นมาเองหรือ?  เจ้าไม่ได้คิดทั้งหมดนี้ขึ้นมา มันเกิดขึ้นตามวันและเดือนที่ผ่านพ้นไปและตามการใช้ชีวิตที่เป็นปกติของเจ้าในแต่ละวัน จากวันหนึ่งสู่อีกวันหนึ่ง จนกระทั่งเจ้ามาถึงที่ที่เจ้าอยู่ในตอนนี้ และนี่เป็นเรื่องธรรมชาติมาก  ความตายเองก็เช่นเดียวกัน  เจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เข้าสู่วัยกลางคน กลายเป็นคนชรา เข้าสู่ช่วงไม้ใกล้ฝั่ง และแล้วความตายก็มาเยือนโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว—อย่าคิดไปถึงความตายเลย  เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องต่างๆ ที่เจ้าไม่ได้นึกถึงด้วยการไม่นึกถึงมัน และเรื่องเหล่านั้นก็ไม่สามารถมาถึงเร็วขึ้นได้ด้วยการนึกถึงมัน เพราะเรื่องเหล่านั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเจตจำนงของมนุษย์ ถูกต้องหรือไม่?  จงอย่าไปนึกถึง  เมื่อเรากล่าวว่า “จงอย่าไปนึกถึง” เราหมายความว่าอย่างไร?  เพราะถ้าเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้จริง เช่นนั้นแล้วการนึกถึงเรื่องนี้อยู่เสมอย่อมจะทำให้รู้สึกเหมือนเจ้าได้รับแรงกดดันที่มองไม่เห็น  แรงกดดันนี้จะทำให้เจ้ากลัวชีวิตและกลัวการมีชีวิตอยู่ เจ้าจะไร้ซึ่งท่าทีที่แข็งขันและเป็นบวก และกลับจะยิ่งหดหู่มากขึ้น  เนื่องจากคนที่เผชิญหน้าความตายไม่มีความสนใจหรือท่าทีที่เป็นบวกต่อสิ่งใด พวกเขาจึงมีแต่ความรู้สึกที่หดหู่เท่านั้น  พวกเขากำลังจะตาย ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ไม่มีความหมายในการไล่ตามเสาะหาสิ่งใดหรือทำอะไรอีกต่อไป พวกเขาไม่มีความน่าจะเป็นหรือแรงจูงใจใดๆ อีกต่อไป และทุกสิ่งที่พวกเขาทำเป็นการเตรียมตัวสำหรับความตายและมุ่งหน้าไปในทิศทางแห่งความตาย ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำจะมีความหมายอะไร?  เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่พวกเขาทำจึงมีองค์ประกอบและธรรมชาติของความเป็นลบและความตาย  แล้วเจ้าจะไม่คิดเรื่องความตายได้หรือไม่?  การนี้สัมฤทธิ์ได้ง่ายหรือไม่?  ถ้าเรื่องนี้เป็นเพียงผลลัพธ์ของการใช้เหตุผลตามความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้ส่งสัญญาณเทียมเท็จให้กับตัวเอง เจ้าทำให้ตัวเองหวั่นกลัว และความตายก็จะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้แต่อย่างใด ดังนั้นเจ้าจะคิดเรื่องความตายไปเพื่ออะไร?  นี่ทำให้การคิดเรื่องความตายยิ่งไม่มีความจำเป็น  สิ่งที่ควรเกิดขึ้นย่อมจะเกิดขึ้นเสมอ และสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นก็ย่อมจะไม่เกิดขึ้นไม่ว่าเจ้าจะคิดถึงเรื่องนั้นอย่างไร  การกลัวย่อมไร้ประโยชน์ เช่นเดียวกับการวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าว  ความตายไม่ใช่เรื่องที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการวิตกกังวลถึงมัน และความตายจะไม่ผ่านเจ้าไปเพียงเพราะเจ้ากลัวมัน  เพราะฉะนั้น ในแง่มุมหนึ่งเจ้าควรปล่อยมือจากเรื่องความตายภายในหัวใจของเจ้าและจงอย่าคิดว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าควรวางใจมอบเรื่องนี้ไว้กับพระเจ้า ราวกับความตายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า  นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม ดังนั้นจงปล่อยให้พระเจ้าทรงจัดเตรียมเถิด—นั่นก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายมิใช่หรือ?  ในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือเจ้าควรมีท่าทีที่แข็งขันและเป็นบวกต่อความตาย  จงบอกเราเถิดว่าในจำนวนผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกมีใครได้รับพรมากพอที่จะได้ฟังพระวจนะของพระเจ้ามากมายขนาดนี้ เข้าใจความจริงของชีวิตมากเช่นนี้ และเข้าใจความล้ำลึกมากถึงเพียงนี้?  ในหมู่พวกเขามีใครสามารถได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ได้รับการจัดเตรียมจากพระเจ้า รวมทั้งการดูแลและการคุ้มครองจากพระองค์ด้วยตนเองบ้าง?  มีใครได้รับพรมากขนาดนี้บ้าง?  น้อยมาก  เพราะฉะนั้นการที่คนส่วนน้อยอย่างพวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้ ได้รับความรอดจากพระองค์ และได้รับการจัดเตรียมจากพระองค์ ล้วนถือว่าคุ้มค่าแล้ว ต่อให้พวกเจ้าจะต้องตายเดี๋ยวนี้เลยก็ตาม  พวกเจ้าได้รับพรมากมายยิ่ง ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เมื่อมองจากมุมมองนี้ ผู้คนไม่ควรหวั่นกลัวเรื่องของความตายให้มากนัก และไม่ควรถูกเรื่องนี้ตีกรอบเอาไว้  แม้พวกเจ้าจะยังไม่ได้สุขสำราญกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งทางโลก แต่พวกเจ้าก็ได้รับความสงสารจากพระผู้สร้างและได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าไปมากมาย—นี่คือความผาสุกมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในชีวิตนี้นานกี่ปี ก็ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น และเจ้าก็ไม่มีเรื่องให้เสียใจ เพราะเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องแล้ว เจ้าได้เข้าใจความจริง เข้าใจความล้ำลึกของชีวิต และเข้าใจเส้นทางและจุดหมายที่เจ้าควรไล่ตามเสาะหาในชีวิตแล้ว—เจ้าได้รับไปมากมายเหลือเกิน!  เจ้ามีชีวิตที่คุ้มค่าแล้ว!  ต่อให้เจ้าไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจนนัก แต่เจ้าก็สามารถปฏิบัติความจริงบางประการและมีความเป็นจริงบางอย่างได้ และนั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าได้รับการจัดเตรียมชีวิตไปบ้างแล้วและเข้าใจความจริงบางประการจากพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าได้รับไปมากมายนัก—เป็นความอุดมที่แท้จริง—และนั่นก็เป็นพรที่ยิ่งใหญ่มาก!  นับแต่เริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ทุกยุคที่ผ่านมา ไม่มีใครได้ชื่นชมพรนี้เลย แต่พวกเจ้ากลับกำลังชื่นชมพรนี้  ตอนนี้พวกเจ้าก็เต็มใจที่จะตายแล้วใช่หรือไม่?  ด้วยความเต็มใจเช่นนี้ ท่าทีที่พวกเจ้ามีต่อความตายย่อมจะเป็นการนบนอบอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ในแง่มุมหนึ่ง ผู้คนควรมีความเข้าใจที่แท้จริง พวกเขาควรให้ความร่วมมือในทางที่เป็นบวกและแข็งขัน นบนอบอย่างแท้จริง และควรมีท่าทีที่ถูกต้องต่อความตาย  เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลที่ผู้คนมีต่อความตายย่อมจะลดน้อยลงอย่างมากมิใช่หรือ?  (ใช่)  ความรู้สึกเหล่านี้ย่อมลดน้อยลงมาก  บางคนกล่าวว่า “ฉันเพิ่งฟังสามัคคีธรรมนี้จบไปเมื่อครู่นี้เอง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าความรู้สึกเหล่านี้ลดลงมากนัก  อาจต้องใช้เวลาบ้างกระมัง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่สูงอายุและผู้คนที่มีการเจ็บป่วยย่อมคิดเรื่องความตายกันมาก”  ผู้คนรู้ความยากลำบากของตนเอง  เวลาที่ผู้คนบางคนเจ็บป่วยมานาน พวกเขาก็สรุปทุกอย่างและคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาตลอดหลายปีมานี้ และผู้คนที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับฉันก็เสียชีวิตไปนานแล้ว  ถ้าพวกเขาเกิดใหม่ ป่านนี้ก็น่าจะมีอายุยี่สิบกว่าหรือสามสิบกว่าปีกันแล้ว  ฉันมีชีวิตมานานหลายปีก็ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้อย่างเต็มที่  ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ป่านนี้ฉันคงจะตายไปนานแล้ว  ตอนที่ฉันไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล พวกหมอตกใจกันใหญ่  นี่เป็นข้อได้เปรียบและเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของฉัน!  ถ้าฉันตายไปเมื่อ 20 ปีก่อน ฉันก็คงจะไม่ได้ฟังและไม่ได้เข้าใจความจริงและคำเทศนาเหล่านี้ ถ้าฉันต้องตายไปแบบนั้น ฉันก็คงจะไม่ได้อะไรเลย  ต่อให้ฉันมีชีวิตยืนยาว ก็คงจะเป็นชีวิตที่ว่างเปล่าและสูญเปล่าทั้งชีวิต  ตอนนี้ฉันได้ใช้ชีวิตต่อมาอีกหลายปีและได้รับการเกื้อกูลมากเหลือเกิน  ตลอดหลายปีมานี้ฉันไม่ได้คิดเรื่องความตายเลยและฉันไม่กลัวความตาย”  ถ้าผู้คนกลัวความตายตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะคิดถามทุกอย่างเกี่ยวกับความตายอยู่เสมอ  ถ้าผู้คนไม่กลัวตายและไม่หวาดกลัวความตาย นั่นก็แสดงว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเกินพอและไม่หวาดกลัวความตายอีกต่อไป  บางคนถามว่า “ถ้าใครบางคนไม่หวาดกลัวความตาย นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังแสวงหาความตายอยู่ใช่หรือไม่?”  ไม่ใช่ นั่นไม่ถูกต้อง  การแสวงหาความตายเป็นท่าทีอย่างหนึ่งที่เป็นลบ เป็นท่าทีของการหลีกเลี่ยง  ส่วนเรื่องที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าอย่าคิดถึงความตายนั้นเป็นท่าทีที่อยู่กับความเป็นจริงและเป็นบวก นั่นคือการมองความตายอย่างไม่แยแส ไม่เห็นว่าความตายสำคัญอะไรนัก ไม่คิดว่าความตายเป็นเหตุการณ์โศกเศร้าและก่อให้เกิดความกระวนกระวายขนาดนั้น ไม่วิตกกังวลกับความตายอีกต่อไป ไม่ห่วงเรื่องนี้อีกต่อไป ไม่ถูกความตายล่ามเอาไว้ ทิ้งมันไว้ข้างหลังให้ไกลเจ้า—ผู้คนที่ทำเช่นนี้ได้ย่อมรู้จักและมีประสบการณ์ความตายบางอย่างด้วยตนเอง  ถ้าใครสักคนถูกโรคภัยไข้เจ็บและความตายพันธนาการและตีกรอบตลอดเวลา ก็มักจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลอยู่เสมอ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามปกติหรือไม่อาจใช้ชีวิตได้ตามปกติ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรฟังคำพยานจากประสบการณ์เกี่ยวกับความตายให้มากขึ้น ดูว่าคนที่สามารถมองความตายได้อย่างไม่แยแสนั้นผ่านประสบการณ์ความตายมาอย่างไรและเข้าใจความตายตามประสบการณ์ของตนว่าอย่างไร แล้วพวกเขาก็จะสามารถได้รับบางสิ่งที่ล้ำค่า

ความตายไม่ใช่ปัญหาที่แก้ได้โดยง่าย และเป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับมนุษย์  ถ้ามีใครบอกเจ้าว่า “อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคุณฝังลึกเหลือเกินและความเป็นมนุษย์ของคุณก็ไม่ดีด้วยเช่นกัน  ถ้าคุณไม่เอาจริงเอาจังกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และทำเรื่องชั่วมากมายในอนาคต เช่นนั้นแล้วคุณย่อมจะลงนรกและถูกลงโทษ!” หลังจากนั้นเจ้าอาจรู้สึกเสียใจอยู่พักหนึ่ง  เจ้าอาจตรึกตรองเรื่องนี้ และรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากนอนหลับไปหนึ่งคืน และแล้วเจ้าก็ไม่รู้สึกเสียใจมากนัก  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าล้มป่วยด้วยโรคที่ทำให้ถึงตายได้ และเจ้ามีชีวิตเหลืออยู่ไม่มากนัก เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่สามารถแก้ไขด้วยการนอนหลับหนึ่งคืนได้ และไม่สามารถปล่อยมือได้ง่ายนัก  เจ้าต้องอดทนกับเรื่องนี้ไปสักระยะหนึ่งก่อน  คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยถ่องแท้ย่อมสามารถทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลังตน แสวงหาความจริงในทุกสิ่ง และใช้ความจริงแก้ไขได้—ไม่มีปัญหาใดที่พวกเขาแก้ไม่ได้  ถ้าผู้คนใช้วิถีของมนุษย์ เช่นนั้นแล้ว ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเกี่ยวกับความตายอยู่ร่ำไป  เมื่อไม่อาจแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ พวกเขาก็พยายามแก้ไขด้วยวิธีการที่สุดโต่ง  บางคนใช้ท่าทีที่หดหู่และเป็นลบโดยกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็แค่ตายๆ ไปเสีย  ใครกลัวความตายกัน?  พอตายแล้ว ฉันจะเกิดใหม่และมีชีวิตอีกครั้งก็เท่านั้นเอง!”  เจ้าพิสูจน์ยืนยันเรื่องนี้ได้หรือไม่?  เจ้าก็แค่มองหาคำพูดชูใจบางคำ และนั่นก็ไม่ได้แก้ปัญหา  ทุกสิ่งและทุกอย่าง ทั้งที่มองเห็นหรือไม่เห็น จับต้องได้หรือไม่ได้ ล้วนมีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างคอยควบคุมและกำกับเอาไว้  ไม่มีใครสามารถควบคุมโชคชะตาของตนเองได้ และท่าทีเพียงอย่างเดียวที่มนุษย์ควรมี ไม่ว่าต่อการเจ็บป่วยหรือความตายก็ตาม ก็คือท่าทีของการเข้าใจ ยอมรับ และนบนอบ ผู้คนไม่ควรพึ่งพาความคิดเพ้อฝันหรือมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาไม่ควรแสวงหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้ และยิ่งไม่ควรปฏิเสธหรือต้านทานสิ่งเหล่านี้  ถ้าเจ้าพยายามอย่างมืดบอดที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องความเจ็บป่วยและความตายโดยใช้วิธีการของตนเอง เช่นนั้นแล้วยิ่งเจ้ามีชีวิตยาวนานเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งทนทุกข์ ยิ่งหดหู่ และรู้สึกติดกับดักมากขึ้นเท่านั้น  ในที่สุดเจ้าก็จะต้องเดินไปบนเส้นทางแห่งความตายอยู่ดี และจุดจบของเจ้าก็จะเป็นเหมือนความตายของเจ้าโดยแท้จริง—นั่นคือเจ้าจะตายจริงๆ  ถ้าเจ้าสามารถแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน และไม่ว่าจะเป็นการทำความเข้าใจโรคภัยไข้เจ็บที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เจ้าหรือเผชิญหน้าความตาย เจ้าก็สามารถแสวงหาความจริง แสวงหาการจัดวางเรียบเรียง อธิปไตย และการจัดเตรียมการของพระผู้สร้างในเรื่องของเหตุการณ์สำคัญแบบนี้ในทางที่เป็นบวกและแข็งขันได้ และสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ถ้าเจ้าพึ่งพาพละกำลังและวิธีการของมนุษย์ในการรับมือเรื่องทั้งหมดนี้ และเจ้าพยายามอย่างหนักที่จะแก้ไขหรือหนีไปให้พ้นเรื่องเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ตายและสามารถหลีกเลี่ยงความยากลำบากของความตายไปได้ชั่วคราว แต่เป็นเพราะเจ้าไม่มีความเข้าใจ การยอมรับ และความนบนอบที่แท้จริงต่อพระเจ้าและความจริง ซึ่งทำให้เจ้าไม่ได้เป็นคำพยานในเรื่องนี้ ดังนั้นผลลัพธ์สุดท้ายจะกลายเป็นว่าเมื่อเจ้าเผชิญเรื่องเดียวกันนี้อีกครั้ง ก็จะเป็นการทดสอบครั้งใหญ่สำหรับเจ้าอีกอยู่ดี  เจ้าจะยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะทรยศพระเจ้าและล้มลง และนี่ก็จะเป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย  เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้ากำลังเผชิญโรคภัยไข้เจ็บหรือความตายอยู่ในเวลานี้จริงๆ เช่นนั้นแล้วเราก็ขอบอกเจ้าว่า เป็นการดีที่จะฉวยโอกาสแสวงหาความจริงในสถานการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้ และแก้ไขเรื่องนี้จากรากเหง้า แทนที่จะรอให้ความตายมาถึงจริงๆ เพียงเพื่อที่จะถูกจู่โจมโดยไม่ทันระวังตัว รู้สึกสับสน งุนงง และอับจนหนทาง ซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าทำสิ่งต่างๆ ที่เจ้าจะเสียใจไปนานตราบเท่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่  ถ้าเจ้าทำสิ่งที่เจ้าเสียใจและรู้สึกผิด เช่นนั้นแล้วนี่ก็อาจพาให้เจ้าพินาศได้  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าปัญหาคืออะไร เจ้าก็ควรเริ่มการเข้าสู่ของเจ้าด้วยความเข้าใจที่เจ้าควรมีในเรื่องดังกล่าวอยู่เสมอ และด้วยความจริงที่เจ้าควรเข้าใจ  ถ้าเจ้ารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ อย่างความเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลา และเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในวงล้อมของภาวะอารมณ์ที่เป็นลบแบบนี้ เจ้าก็ควรเริ่มแสวงหาความจริงเสียแต่บัดนี้และแก้ปัญหาเหล่านี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่เจ้าจะทำได้

ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ เช่น ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลมีธรรมชาติเหมือนกับภาวะอารมณ์ที่เป็นลบชนิดอื่นทั้งหลาย  ทั้งหมดนั้นเป็นภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดอย่างที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและใช้ชีวิตที่ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนานัปการของตนพันธนาการเอาไว้ หรือไม่พวกเขาก็ใช้ชีวิตโดยถูกกดดันและได้รับผลกระทบจากความคิดเยี่ยงซาตานทุกรูปแบบ  ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับความคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องทุกรูปแบบอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งถูกความคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องสารพัดอย่างนี้ควบคุมเอาไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งขัดขวางและส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา  แน่นอนว่าภาวะอารมณ์ที่เป็นลบชนิดต่างๆ เหล่านี้อันได้แก่ ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล ย่อมทำให้ชีวิตของผู้คนหยุดชะงัก ชี้นำชีวิตของพวกเขา ส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขา และขัดขวางพวกเขาจากการไล่ตามเสาะหาความจริง  เพราะฉะนั้น แม้ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้จะเป็นอารมณ์ความรู้สึกในความหมายธรรมดาทั่วไป แต่ก็ต้องไม่ประเมินการทำงานของพวกมันต่ำไป ผลที่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้มีต่อผู้คนและผลสืบเนื่องที่เกิดขึ้นกับการไล่ตามเสาะหาของผู้คนและเส้นทางที่พวกเขาก้าวเดินนั้นเต็มไปด้วยอันตราย  อย่างไรก็ตาม เมื่อใครบางคนมักจะมีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบสารพัดรูปแบบผุดขึ้นมารบกวนพวกเขา พวกเขาก็ควรจะรีบค้นหาและชำแหละทันทีว่าเหตุใดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้จึงมักจะเกิดขึ้น และทำไมภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้ถึงมักจะสร้างปัญหาให้แก่พวกเขา  นอกจากนี้ ในสภาพแวดล้อมที่พิเศษบางอย่าง ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้คนคนนั้นตลอดเวลา และรบกวนการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาอย่างมาก—นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ  เมื่อพวกเขาเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว สิ่งต่อไปที่พวกเขาควรทำก็คือวิธีแสวงหาและเข้าใจความจริงในเรื่องนี้ เพียรพยายามที่จะไม่ถูกความคิดและทัศนะที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นสร้างปัญหาและส่งผลถึงตน และแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าทรงสอนพวกเขา  เมื่อพวกเขาเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้ว ขั้นต่อไปก็คือให้พวกเขาปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงที่พระเจ้าได้ทรงสอนพวกเขาเอาไว้  ระหว่างที่พวกเขาทำเช่นนี้ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทั้งปวงของพวกเขาย่อมจะผุดขึ้นมารบกวนพวกเขาอยู่เรื่อยๆ เพียงเพื่อที่จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและต่อต้านไปทีละอย่าง จนกระทั่งพวกเขาทิ้งภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทั้งหมดนี้ไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว  แล้วการแก้ไขภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ พึ่งพาสิ่งใดบ้าง?  พึ่งพาการชำแหละและการทำความเข้าใจภาวะอารมณ์เหล่านี้ของผู้คน พึ่งพาการยอมรับความจริง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือพึ่งพาการไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงของผู้คน  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  (ใช่)  ขณะที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงไปเรื่อยๆ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ ของพวกเขาก็ค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและปล่อยไปจนหมดสิ้น  ดังนั้น พอมองในตอนนี้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไหนปล่อยมือและแก้ไขง่ายกว่ากัน ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ เหล่านี้หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  (ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบแก้ไขง่ายกว่า)  พวกเจ้าคิดว่าภาวะอารมณ์ที่เป็นลบแก้ง่ายกว่ากระนั้นหรือ?  นี่ย่อมต่างกันไปในแต่ละคน  ไม่มีอย่างไหนยากหรือง่ายกว่ากัน ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น  อย่างไรก็ดี ตอนที่เริ่มสามัคคีธรรมเรื่องการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบนั้น พวกเราได้เพิ่มเติมเนื้อหาบางอย่างเข้าไปในเรื่องของการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน ซึ่งก็คือการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบต่างๆ  การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบทำไปเพื่อแก้ไขความคิดและทัศนะบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเป็นหลัก ส่วนการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรานั้นต้องมีความเข้าใจในแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  จงบอกเราเถิดว่าอย่างไหนง่ายกว่ากัน การแก้ไขภาวะอารมณ์ที่เป็นลบหรือการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทราม?  อันที่จริง ไม่มีปัญหาใดแก้ได้ง่ายๆ เลย  ถ้าเจ้ามุ่งมั่นและสามารถแสวงหาความจริงโดยแท้จริงได้ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะพยายามแก้ไขปัญหาใดก็จะไม่เป็นปัญหาเลย  อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่สามารถรับรู้ได้ว่าปัญหาทั้งสองร้ายแรงเพียงใด เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพยายามแก้ปัญหาใดก็จะไม่ใช่เรื่องง่าย  เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นลบและไม่พึงประสงค์เหล่านี้ เจ้าจำเป็นต้องยอมรับความจริง ปฏิบัติความจริง และนบนอบความจริงเพื่อที่จะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ และจำเป็นต้องแทนที่สิ่งเหล่านี้ด้วยสิ่งที่เป็นบวก  ขั้นตอนย่อมเป็นเช่นนี้เสมอ และผู้คนก็ต้องต่อต้านสิ่งที่เป็นลบอยู่ตลอดเวลา ยอมรับสิ่งที่เป็นไปในเชิงรุกและเป็นบวก และสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง  ในแง่หนึ่งเป็นการปรับปรุงความคิดและทัศนะของเจ้า ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการปรับปรุงอุปนิสัยของเจ้า ในแง่หนึ่งเป็นการการแก้ไขความคิดและทัศนะของเจ้า และในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า  แน่นอนว่าสองสิ่งนี้บางครั้งก็เกิดขึ้นมาพร้อมๆ กันและมีความเกี่ยวข้องกัน  อย่างไรก็ตาม การปล่อยมือจากภาวะอารมณ์ที่เป็นลบก็เป็นสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติเวลาไล่ตามเสาะหาความจริง  เอาละ พวกเราจบสามัคคีธรรมของวันนี้กันตรงนี้เถิด

29 ตุลาคม ค.ศ. 2022

ก่อนหน้า: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)

ถัดไป: ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (5)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger