ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)
ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมกันเรื่องใด? พวกเราสามัคคีธรรมกันว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร ซึ่งสัมพันธ์กับหัวข้อใหญ่ๆ สองเรื่องคือการปฏิบัติสองแง่มุมเป็นสำคัญ แง่มุมแรกคืออะไร? (แง่มุมแรกคือการปล่อยมือ) แล้วแง่มุมที่สองคือ? (แง่มุมที่สองคือการอุทิศตน) แง่มุมแรกคือการปล่อยมือ และแง่มุมที่สองคือการอุทิศตน ในส่วนของแนวทางปฏิบัติสำหรับ “การปล่อยมือ” นั้น ก่อนอื่นพวกเราสามัคคีธรรมถึงการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ แง่มุมแรกที่เป็น “การปล่อยมือ” นี้เกี่ยวพันกับการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ และเมื่อพวกเรากล่าวถึงการปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ พวกเราเอ่ยถึงภาวะอารมณ์ใดบ้าง? (ครั้งแรกพระเจ้าตรัสถึงความต่ำต้อย ความเกลียดชัง และความโกรธ แล้วในครั้งที่สองก็ตรัสถึงความหดหู่) ครั้งแรกเราพูดถึงความจำเป็นที่จะต้องปล่อยมือจากความเกลียดชัง ความโกรธ และความต่ำต้อย—ภาวะอารมณ์เชิงลบสามอย่างนี้คือสิ่งที่เรากล่าวถึงเป็นหลัก และเราก็กล่าวถึงความหดหู่ไปบ้างเช่นกัน ครั้งที่สองเราพูดถึงการปล่อยมือจากความหดหู่ซึ่งเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบอย่างหนึ่ง ผู้คนอาจรู้สึกหดหู่ได้ด้วยเหตุผลสารพัดอย่าง และครั้งล่าสุดเราพูดถึงลักษณะมากมายที่สามารถทำให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบที่หดหู่ได้เป็นหลัก จงบอกเราเถิดว่าสาเหตุสำคัญของการเกิดภาวะอารมณ์ที่หดหู่ซึ่งเรากล่าวไว้มีอะไรบ้าง? (ข้าแต่พระเจ้า สาเหตุมีอยู่ด้วยกันสามข้อ ข้อแรกคือผู้คนรู้สึกเสมอว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี ข้อสองคือผู้คนโทษว่าตนโชคไม่ดีเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ กับตน และข้อที่สามคือผู้คนเคยกระทำผิดร้ายแรงในอดีต หรือเคยทำเรื่องโง่เขลาหรือไม่รู้ความ ซึ่งทำให้พวกเขาจมอยู่ในความหดหู่) นี่คือสาเหตุสำคัญสามข้อ ข้อแรกเป็นเพราะผู้คนเชื่อว่าชะตากรรมของตนไม่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะหดหู่ ข้อสองเป็นเพราะผู้คนเชื่อว่าตนโชคไม่ดี ดังนั้นจึงมักจะหดหู่เช่นกัน และข้อสามเป็นเพราะผู้คนเคยกระทำผิดร้ายแรง ซึ่งพาให้พวกเขามักจะรู้สึกหดหู่ นี่คือสาเหตุสำคัญสามประการ ภาวะอารมณ์ที่หดหู่ไม่ใช่ความรู้สึกในทางลบหรือเศร้าเสียใจชั่ววูบ แต่เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบในจิตใจที่เกิดขึ้นเป็นนิสัยและเป็นประจำด้วยสาเหตุบางอย่าง ภาวะอารมณ์เชิงลบนี้ทำให้ผู้คนมีความคิด ทัศนะ และจุดยืนมากมายที่เป็นลบ และถึงกับมีความคิด ทัศนะ พฤติกรรม และวิธีการมากมายที่สุดโต่งและบิดเบี้ยว นี่ไม่ใช่อารมณ์ชั่วแล่นหรือแนวคิดชั่ววูบ นี่คือภาวะอารมณ์เชิงลบที่เกิดกับผู้คนตลอดเวลา เป็นประจำและเป็นนิสัย ตามติดผู้คนไปในชีวิต ในหัวใจส่วนลึกสุด และลึกลงไปในดวงจิตของพวกเขา และอยู่กับพวกเขาทั้งในความคิดและในการกระทำ ไม่เพียงภาวะอารมณ์เชิงลบนี้จะส่งผลต่อมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติของผู้คนเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อจุดยืน ทัศนะ และมุมมองต่างๆ ที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย ใช้วางตนและกระทำการในชีวิตประจำวันของตนได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่พวกเราจะต้องวิเคราะห์ ชำแหละ และตระหนักรู้ความรู้สึกเชิงลบต่างๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงและปล่อยมือจากความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้ไปทีละอย่างในภายหลัง พากเพียรที่จะค่อยๆ ทิ้งมันไว้ข้างหลังเพื่อให้มโนธรรมและเหตุผลของเจ้า รวมทั้งการคิดอ่านตามความเป็นมนุษย์ของเจ้า กลายเป็นปกติและสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเพื่อให้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วิธีวางตนและทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเจ้า ไม่ถูกความรู้สึกในทางลบเหล่านี้ส่งผลกระทบ ควบคุม หรือแม้กระทั่งกดขี่อีกต่อไป—นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการชำแหละและใช้วิจารณญาณแยกแยะภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ เหล่านี้ วัตถุประสงค์หลักไม่ใช่ให้เจ้าฟังสิ่งที่เรากล่าว รู้ไว้ เข้าใจไว้ แล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น แต่เพื่อให้เจ้ารู้ตามวจนะของเราว่าแท้จริงแล้วภาวะอารมณ์เชิงลบเป็นอันตรายต่อผู้คนอย่างไร รู้ว่าเป็นภัยเพียงใดและมีผลมากเท่าใดต่อชีวิตประจำวันของผู้คน ต่อวิธีที่พวกเขาใช้มองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย รวมทั้งวิธีการวางตนและประพฤติตัวของพวกเขา
ก่อนหน้านี้พวกเราเคยสามัคคีธรรมไปบ้างแล้วว่า ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ยังไม่ถึงขั้นเป็นอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและแก่นแท้ที่เสื่อมทราม แต่ก็ช่วยส่งเสริมและทำให้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนหนักข้อขึ้นบ้าง เป็นเหตุให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน และทำให้ผู้คนยิ่งมีเหตุให้ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน ทั้งยังได้แรงสนับสนุนจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ตลอดจนทำให้พวกเขายิ่งมีเหตุที่มองใครหรืออะไรตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนอีกด้วย เพราะฉะนั้น ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้จึงส่งผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คนในระดับต่างๆ กันทั้งสิ้น รวมทั้งควบคุมและมีผลต่อความคิดอ่านนานัปการของผู้คน มีอิทธิพลต่อท่าที มุมมอง และจุดยืนที่พวกเขามีต่อความจริงและพระเจ้าอยู่บ้าง อาจกล่าวได้ว่าภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่ได้มีผลดีต่อผู้คนเลย และไม่มีผลในทางบวกหรือในทางที่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม กลับได้แต่ทำร้ายผู้คนเท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ก็เป็นธรรมดาที่หัวใจของพวกเขาจะถูกภาวะอารมณ์เชิงลบครอบงำและควบคุม และพวกเขาก็ไม่สามารถเลิกใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบได้ ถึงกับมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายอย่างสุดโต่งตามจุดยืนที่ไร้สาระ เมื่อผู้คนมองคนหรือสิ่งหนึ่งๆ ตามมุมมองและจุดยืนที่เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบ ก็เป็นธรรมดาที่พฤติกรรม แนวทาง และผลที่เกิดจากการวางตนและกระทำการของพวกเขา จะมีภาวะอารมณ์ที่สุดโต่ง เป็นลบ และหดหู่เจือปนอยู่ ภาวะอารมณ์เชิงลบที่หดหู่และสุดโต่งเหล่านี้ย่อมจะทำให้ผู้คนไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่พอใจพระเจ้า โทษพระเจ้า ท้าทายพระองค์ ถึงขั้นต่อต้านพระองค์ และแน่นอนว่าย่อมเกลียดชังพระองค์ ตัวอย่างเช่น เมื่อคนคนหนึ่งเชื่อว่าตนมีชะตากรรมที่ไม่ดี พวกเขาย่อมโทษใครในเรื่องนี้? พวกเขาอาจไม่พูดออกมา แต่ในหัวใจ พวกเขาย่อมเชื่อว่าพระเจ้าทำผิด พระองค์ไม่เป็นธรรม และพวกเขาก็คิดไปว่า “ทำไมพระเจ้าถึงทำให้เขาคนนั้นหน้าตาดีขนาดนั้น? ทำไมพระเจ้าเปิดโอกาสให้เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น? ทำไมพระองค์ถึงประทานพรสวรรค์แบบนั้นให้เขา? ทำไมพระองค์ถึงประทานขีดความสามารถที่ดีขนาดนั้นให้เขา? ทำไมขีดความสามารถของฉันถึงแย่อย่างนี้? ทำไมพระเจ้าถึงทรงจัดเตรียมให้เขาเป็นผู้นำ? ทำไมไม่เคยถึงตาฉันบ้าง ทำไมฉันถึงไม่เคยได้เป็นผู้นำแม้แต่ครั้งเดียว? ทำไมทุกอย่างสำหรับเขาถึงดำเนินไปอย่างราบรื่นปานนั้น แล้วพอฉันทำอะไร กลับไม่เคยถูกหรือราบรื่นเลย? ทำไมชะตากรรมของฉันถึงรันทดอย่างนี้? ทำไมสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับฉันถึงต่างกันอย่างนี้? ทำไมถึงมีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับฉัน?” แม้ความคิดที่เกิดจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่นี้จะไม่ได้ทำให้ผู้คนตำหนิพระเจ้า หรือต่อต้านพระเจ้าและชะตากรรมของตนอยู่ในจิตสำนึกส่วนตัวของพวกเขา แต่ก็ทำให้ผู้คนมักจะจมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่ไม่เชื่อฟัง ไม่พอใจ ขุ่นเคือง อิจฉา และจงเกลียดจงชังภายในหัวใจส่วนลึกสุดของตนโดยไม่ได้ตั้งใจ ในกรณีที่ร้ายแรง ภาวะอารมณ์เหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนมีความคิดและพฤติกรรมที่สุดโต่งยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น เมื่อบางคนเห็นคนอื่นปฏิบัติดีกว่าตนและได้รับการชมเชยจากพระเจ้า พวกเขาก็รู้สึกอิจฉาและชิงชัง ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำที่ใจแคบอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ พวกเขาพูดถึงอีกฝ่ายในทางที่ไม่ดีและบ่อนทำลายอีกฝ่ายลับหลัง พวกเขาแอบทำเรื่องไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ไร้เหตุผล เป็นต้น การเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์โดยตรงกับความหดหู่และภาวะอารมณ์เชิงลบของพวกเขา ความคิด พฤติกรรม และท่าทีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของพวกเขานี้อาจดูเหมือนเป็นเพียงภาวะอารมณ์ชนิดต่างๆ เท่านั้นในตอนแรก แต่เมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไป ภาวะอารมณ์เชิงลบที่หดหู่เหล่านี้ก็สามารถหนุนให้ผู้คนใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี ถ้าผู้คนเข้าใจความจริงและใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เมื่อภาวะอารมณ์เชิงลบที่หดหู่เหล่านี้เกิดขึ้นในตัวพวกเขา มโนธรรมและเหตุผลของพวกเขาย่อมจะลงมือทำงานได้อย่างทันท่วงที และผู้คนเหล่านี้ก็จะสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่และการก่อกวนของภาวะอารมณ์ที่หดหู่เหล่านี้และรู้เท่าทันภาวะอารมณ์เหล่านี้ได้ จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถทิ้งภาวะอารมณ์ที่หดหู่ของตนไว้ข้างหลังได้เร็วมาก และเมื่อพวกเขาพบเจอผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายในสถานการณ์ปัจจุบันของตน พวกเขาก็จะสามารถใช้ดุลพินิจได้อย่างมีเหตุผล มองสถานการณ์ที่ตนพบเจอและสิ่งทั้งหลายที่ตนมีประสบการณ์ด้วยได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลตามมุมมองที่ถูกต้อง เมื่อผู้คนทำเรื่องทั้งปวงนี้อย่างมีเหตุผล เรื่องพื้นฐานที่สุดที่พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์ได้ก็คือการยอมรับการกำกับดูแลจากมโนธรรมและเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ที่ดียิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ถ้าพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็จะสามารถกระทำการตามหลักธรรมความจริงในลักษณะที่เป็นเหตุเป็นผลยิ่งขึ้นตามหลักมโนธรรมและเหตุผลของตน และจะไม่วางตนหรือกระทำการภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน อย่างไรก็ดี ถ้าภาวะอารมณ์เชิงลบเข้ายึดที่ทางส่วนใหญ่ในหัวใจของพวกเขา มีอิทธิพลต่อความคิด ทัศนะ และวิธีรับมือเรื่องราวและวิธีวางตนของพวกเขา เช่นนั้นแล้วก็เป็นธรรมดาที่ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้จะมีผลต่อความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา และพาให้ความคิด ตัวเลือก พฤติกรรม และแนวทางปฏิบัติของพวกเขามีอุปสรรคและถูกรบกวนในสถานการณ์ทุกรูปแบบ ด้านหนึ่งนั้น ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ส่งเสริมอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คน ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและรู้สึกว่าการใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนนั้นชอบด้วยเหตุผล ส่วนอีกด้านหนึ่ง ภาวะอารมณ์เหล่านี้ยังสามารถทำให้ผู้คนต้านทานสิ่งที่เป็นบวกและใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นลบ ไม่เต็มใจที่จะมองเห็นความสว่างอีกด้วย เมื่อเป็นดังนี้ ภาวะอารมณ์เชิงลบในตัวผู้คนจึงยิ่งลุกลามและยิ่งร้ายแรง และแน่นอนว่าไม่ยอมให้ผู้คนกระทำการอย่างมีเหตุผลภายในขอบเขตของมโนธรรมและเหตุผล แต่กลับขัดขวางไม่ให้ผู้คนแสวงหาความจริงและดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะยิ่งเสื่อมลงอีก ไม่เพียงรู้สึกในทางลบเท่านั้น แต่ยังออกห่างจากพระเจ้าอีกด้วย และเมื่อสิ่งต่างๆ เป็นเช่นนี้ต่อไป ผลที่ตามมาย่อมจะเป็นเช่นไร? ไม่เพียงภาวะอารมณ์เชิงลบจะไม่สามารถแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนได้เท่านั้น แต่ยังจะส่งเสริมอุปนิสัยเหล่านั้น ซึ่งจะพลอยทำให้ผู้คนรับมือเรื่องต่างๆ และวางตนตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนและทำอะไรตามวิธีของตนเอง เมื่อผู้คนถูกความคิดและทัศนะที่คลาดเคลื่อนและสุดโต่งครอบงำ พวกเขาย่อมจะทำเช่นไร? พวกเขาจะก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่? พวกเขาจะแพร่กระจายความคิดที่เป็นลบ ตัดสินพระเจ้าและการจัดแจงเตรียมงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาจะตำหนิพระเจ้าและท้าทายพระองค์หรือไม่? แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะทำ! เหล่านี้คือผลที่จะตามมาในที่สุด ท่าที เช่น การไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ การคิดลบ และการต่อต้านย่อมจะเกิดขึ้นในตัวผู้คนอย่างต่อเนื่อง—ทั้งหมดนี้คือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการที่ภาวะอารมณ์เชิงลบเข้าไปยึดที่ทางส่วนใหญ่ในหัวใจของผู้คนเป็นเวลานานๆ จงดูเถิด ภาวะอารมณ์เชิงลบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น—ภาวะอารมณ์ที่ผู้คนดูเหมือนจะไม่สามารถรู้สึกได้ ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่หรือรู้สึกถึงผลอันใดก็ตามที่มันมีต่อพวกเขา—แต่ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เล็กน้อยนี้ก็ยังคงติดตามพวกเขาไปทั่ว เหมือนอยู่กับพวกเขามาตั้งแต่เกิด ก่ออันตรายทุกรูปแบบและทุกขนาดให้แก่ผู้คน และถึงกับล้อมกรอบ ข่มขวัญ พันธนาการ และกดเจ้าเอาไว้อย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นที่ตามติดเจ้าอยู่ตลอดเวลาเหมือนที่ชีวิตตามติดเจ้าไม่มีผิด กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้ตระหนักรู้แต่อย่างใด มักจะใช้ชีวิตอยู่กับมันและมองเป็นเรื่องธรรมดา คิดอะไรทำนองว่า “ผู้คนควรคิดกันอย่างนี้ ไม่มีอะไรผิด นี่ปกติมาก มีใครบ้างที่ไม่คิดอะไรบางอย่างแบบนี้อยู่ตลอดเวลา? มีใครบ้างที่ไม่มีภาวะอารมณ์เชิงลบบางอย่าง?” เจ้าไม่สามารถรู้สึกถึงอันตรายที่ภาวะอารมณ์เชิงลบนี้ก่อให้แก่เจ้า แต่อันตรายนี้ก็เป็นจริงมาก และเป็นธรรมดาที่เจ้ามักจะถูกภาวะอารมณ์เชิงลบกระตุ้นให้พรั่งพรูอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ กระตุ้นให้กระทำการและวางตนตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า จนในที่สุดเจ้าก็ทำทุกสิ่งตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน เจ้าสามารถจินตนาการได้ว่าผลสุดท้ายของเรื่องนี้ย่อมเป็นเช่นใด นั่นคือ ผลย่อมจะเป็นลบทั้งสิ้น เป็นโทษทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่เป็นผลดีหรือเป็นบวก และยิ่งไม่มีอะไรที่สามารถช่วยให้ผู้คนได้รับความจริงและการชมเชยจากพระเจ้า—เหล่านี้ไม่ใช่ผลลัพธ์ในแง่ดี เพราะฉะนั้น ตราบใดที่มีภาวะอารมณ์เชิงลบอยู่ในตัวคนคนหนึ่ง ความคิดและทัศนะที่เป็นลบทุกชนิดย่อมจะมีอิทธิพลและครอบงำชีวิตของพวกเขาอย่างมาก ตราบใดที่ความคิดและทัศนะที่เป็นลบมีอิทธิพลและครอบงำชีวิตของพวกเขา ก็ย่อมจะมีอุปสรรคใหญ่โตคอยหยุดยั้งพวกเขาจากการไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ดังนั้นจึงจำเป็นที่พวกเราจะต้องเปิดโปงและชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้กันต่อไป เพื่อให้สามารถแก้ไขภาวะอารมณ์เชิงลบทั้งหมดได้
ภาวะอารมณ์เชิงลบที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมกันไปมีผลร้ายแรงและก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรงแก่ผู้คน แต่ก็มีภาวะอารมณ์เชิงลบอื่นๆ ที่ครอบงำและทำร้ายผู้คนในทำนองเดียวกันอีกด้วย นอกจากภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความเกลียดชัง ความโกรธ ความต่ำต้อย และความหดหู่ ซึ่งพวกเราพูดถึงกันไปแล้ว ยังมีภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเช่นกัน ภาวะอารมณ์เหล่านี้ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของผู้คนเช่นเดียวกัน และคอยตามติดผู้คนในชีวิตประจำวันของพวกเขา รวมทั้งในวาจาและการกระทำของพวกเขา แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับผู้คน สิ่งเหล่านั้นย่อมส่งผลต่อความคิดและทัศนะที่ก่อเกิดในตัวพวกเขา รวมทั้งจุดยืนและมุมมองที่พวกเขามี วันนี้พวกเราจะชำแหละและเปิดโปงภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลกัน และพยายามช่วยให้ผู้คนค้นพบภาวะอารมณ์เหล่านี้ในตัวพวกเขา หลังจากที่ผู้คนค้นพบภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ในตัวพวกเขาแล้ว เป้าหมายสุดท้ายก็คือให้พวกเขารู้จักภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้อย่างถ่องแท้ ขจัดภาวะอารมณ์เหล่านี้ออกไป ไม่ใช้ชีวิตอยู่ใต้อิทธิพลของมันอีกต่อไป ไม่ดำเนินชีวิตและวางตนโดยมีภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เป็นหลักการและรากฐานของตนอีกต่อไป ก่อนอื่นพวกเรามาดูคำว่า “ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล” กันเถิด นี่คือลักษณะของการแสดงภาวะอารมณ์ออกมามิใช่หรือ? (ใช่) ก่อนที่พวกเราจะสามัคคีธรรมหัวข้อนี้ พวกเรามาใคร่ครวญเรื่องนี้กันก่อนเถิด เพื่อให้พวกเจ้ามีแนวคิดในระดับพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับ “ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล” จากนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะเกิดความเข้าใจในถ้อยคำเหล่านี้ตามตัวอักษร หรือมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งกว่าความหมายตามตัวอักษรก็ตาม ถึงตอนนั้นพวกเจ้าย่อมจะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้แล้ว ก่อนอื่นจงบอกเราเถิดว่าที่ผ่านมามีอะไรบ้างที่ทำให้พวกเจ้าวิตกกังวล หรือว่าพวกเจ้ารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดอยู่เสมอบ้าง สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นเหมือนหินก้อนใหญ่ที่บดขยี้เจ้า หรือเหมือนเงาที่ตามเจ้าอยู่ตลอดเวลา พันธนาการเจ้าเอาไว้ (พระเจ้า ข้าพระองค์จะพูดเพียงไม่กี่คำ เวลาที่ข้าพระองค์ไม่สัมฤทธิ์ผลใดๆ ในหน้าที่ของตน ภาวะอารมณ์นี้ก็เด่นชัดทีเดียว ข้าพระองค์เลยกังวลว่าตัวเองจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไปหรือไม่ จะมีอนาคตที่ดีและบั้นปลายที่ดีงามหรือไม่ พอสัมฤทธิ์ผลในหน้าที่ของตน ข้าพระองค์ก็ไม่รู้สึกแบบนี้ แต่เมื่อใดก็ตามที่ไม่ได้สัมฤทธิ์ผลในหน้าที่สักระยะหนึ่ง ภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้ก็จะชัดเจนมาก) นี่คือการสำแดงภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลมิใช่หรือ? (ใช่) ถูกต้อง ภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของผู้คนตลอดเวลา ครอบงำความคิดของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แม้ผู้คนจะไม่สามารถรู้สึกถึงภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้ในยามที่ไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แต่มันก็เหมือนกลิ่น หรือเหมือนแก๊สบางชนิด หรือที่ยิ่งกว่านั้นอีกก็คือเหมือนคลื่นไฟฟ้า เจ้าไม่สามารถมองเห็นมันได้ และเมื่อเจ้าไม่ตระหนักรู้ เจ้าก็ยิ่งไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี เจ้าสามารถรู้สึกได้เสมอว่ามีมันอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของเจ้า เหมือนสิ่งที่เรียกกันว่าสัมผัสที่หก และเจ้าก็สามารถรู้สึกได้เสมอทางจิตใต้สำนึกว่ามีความคิดและภาวะอารมณ์แบบนี้อยู่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม อยู่ในที่ที่เหมาะสม และในบริบทที่เหมาะสม ภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้ย่อมจะลอยขึ้นมาทีละนิด และผุดออกมาทีละหน่อย ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) แล้วสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลมีอะไรอีก? ไม่มีอะไรนอกเหนือจากที่เพิ่งเอ่ยไปแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ต้องใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขมาก ไร้ซึ่งความวิตกกังวล ปราศจากความกระวนกระวาย และไม่รู้สึกทุกข์ใจเรื่องใดเลย—เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมจะเป็นอิสรชนอย่างแท้จริง เป็นเช่นนั้นกันหรือไม่? (ไม่) ถ้าอย่างนั้นก็จงบอกความในใจของพวกเจ้าให้เราฟังเถิด (เวลาที่ข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี ก็จะวิตกกังวลอยู่เสมอเรื่องการสูญเสียความมีหน้ามีตาและสถานะ วิตกกังวลว่าพี่น้องชายหญิงจะคิดอย่างไรกับข้าพระองค์ และผู้นำจะคิดอย่างไรกับข้าพระองค์ นอกจากนี้เมื่อข้าพระองค์ทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงในการทำหน้าที่ของตน และข้าพระองค์ก็เผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเองออกมาอยู่เรื่อย ข้าพระองค์ก็วิตกกังวลเสมอว่าตัวเองเชื่อในพระเจ้ามานานมาก แต่กลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เช่นนั้นแล้วบางทีสักวันหนึ่งข้าพระองค์ก็อาจจะถูกกำจัดออกไป เหล่านี้คือความเคลือบแคลงที่ข้าพระองค์มี) เมื่อเจ้ามีความเคลือบแคลงเหล่านี้ ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลย่อมเกิดขึ้นในตัวเจ้าใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็กระวนกระวายและวิตกกังวลกันเพราะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดี ถูกต้องหรือไม่? (ส่วนใหญ่แล้วข้าพระองค์วิตกกังวลถึงอนาคตและชะตากรรมของตนเอง) วิตกกังวลถึงอนาคตและชะตากรรมของตนเองกันคือสาเหตุส่วนใหญ่ เมื่อผู้คนไม่สามารถรู้เท่าทัน เข้าใจ ยอมรับ หรือนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าและสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียงไว้ให้ และเมื่อผู้คนเผชิญความยุ่งยากต่างๆ นานาในชีวิตประจำวันของตน หรือเมื่อความยุ่งยากเหล่านี้มีมากเกินกว่าที่ผู้คนปกติจะสามารถรับได้ พวกเขาก็รู้สึกอยู่ในจิตใต้สำนึกถึงความวิตกกังวลและความกระวนกระวายสารพัดอย่าง และแม้แต่ความทุกข์ใจ พวกเขาไม่รู้ว่าวันพรุ่งหรือวันมะรืนจะเป็นเช่นไร หรือสิ่งต่างๆ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หรืออนาคตของตนจะเป็นเช่นใด ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลถึงเรื่องต่างๆ สารพัดรูปแบบ บริบทที่ผู้คนรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลถึงเรื่องต่างๆ สารพัดรูปแบบย่อมเป็นเช่นไร? ก็คือพวกเขาไม่เชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า—หมายถึงพวกเขาไม่สามารถมองออกและเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า ต่อให้พวกเขามองเห็นด้วยตาของตนเอง พวกเขาก็จะไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อ พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของพวกเขา ไม่เชื่อว่าชีวิตของตนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงเกิดความไม่เชื่อใจในอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า และแล้วจึงเกิดการตำหนิ และพวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบได้ นอกจากการตำหนิและไม่สามารถนบนอบแล้ว พวกเขายังอยากเป็นเจ้านายเหนือชะตากรรมของตนและกระทำการตามที่ตนริเริ่มเอง เมื่อเป็นดังนั้น หลังจากที่พวกเขาตั้งต้นกระทำการตามที่ริเริ่มเองแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงย่อมเป็นเช่นใด? ทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาขีดความสามารถและฝีมือของตน แต่ก็มีสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ หรือเข้าถึง หรือสำเร็จลุล่วงได้ด้วยขีดความสามารถและฝีมือของตน ตัวอย่างเช่น ต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ เมื่อจบมหาวิทยาลัยแล้ว พวกเขาจะมีงานที่ดีได้หรือไม่ และเมื่อพวกเขาได้งานแล้ว ทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดีสำหรับพวกเขาหรือไม่ และถ้าพวกเขาอยากไต่เต้าและร่ำรวย พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์อุดมคติและความอยากได้อยากมีของตนภายในเวลาไม่กี่ปีหรือไม่ และแล้วเมื่อพวกเขาอยากหาคู่ครองและแต่งงาน สร้างครอบครัว คู่ครองแบบใดที่จะเหมาะกับพวกเขา? สำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ เมื่อเรื่องเช่นนี้ไม่มีใครรู้ ผู้คนก็ย่อมรู้สึกจนปัญญา เมื่อผู้คนรู้สึกว่าจนปัญญา พวกเขาก็ย่อมทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล—พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในทุกสิ่งที่อนาคตอาจเตรียมไว้ให้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะในขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ผู้คนทนรับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เลย ไม่มีใครรู้ว่าตนเองจะเป็นเช่นใดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่มีใครรู้ว่างาน หรือชีวิตสมรส หรือลูกๆ ของตนจะเป็นเช่นไรในอนาคต—ผู้คนไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย นี่คือเรื่องที่ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ภายในขอบเขตความสามารถของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และนั่นคือสาเหตุที่ผู้คนรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ ไม่ว่าความรู้สึกนึกคิดของคนคนหนึ่งจะเรียบง่ายเพียงใด ตราบใดที่พวกเขาสามารถใช้ความคิด เมื่อเข้าวัยผู้ใหญ่ ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ย่อมจะก่อเกิดอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขาทีละอย่าง เหตุใดความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลจึงก่อเกิดในตัวผู้คน? เพราะผู้คนมัวพะวงและร้อนใจอยู่เสมอในเรื่องที่อยู่นอกขอบข่ายความสามารถของตน พวกเขาอยากรู้ อยากเข้าใจ และอยากสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ ที่พ้นขอบเขตความสามารถของตนกันตลอดเวลา และถึงกับอยากควบคุมสิ่งต่างๆ ที่อยู่พ้นขอบเขตความสามารถของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พวกเขาอยากควบคุมทั้งหมดนี้ และไม่ได้มีเพียงเท่านี้—พวกเขายังอยากให้กฎการพัฒนาและผลลัพธ์ที่เกิดจากพัฒนาการของสิ่งเหล่านี้ดำเนินและลุล่วงตามเจตจำนงของตนอีกด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อถูกความคิดที่ไร้เหตุผลแบบนี้ครอบงำ ผู้คนจึงรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล และผลสืบเนื่องของภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็ย่อมแตกต่างกันไปในคนแต่ละคน ไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย หรือวิตกกังวลมากมายในเรื่องอันใด แล้วเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เพราะเหตุนั้น ผู้คนก็ควรจริงจังกับเรื่องดังกล่าวให้มากและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องดังกล่าว
พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลกันสองแง่มุมหลักๆ คือ แง่มุมแรกจะเป็นการชำแหละเรื่องยุ่งยากที่ผู้คนมีในการมองเห็นภาวะอารมณ์เหล่านี้ตามที่มันเป็น แล้วจากนั้นค่อยดูว่าที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลนั้นคืออะไร และแท้จริงแล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร แง่มุมที่สองจะเป็นการชำแหละภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลในแง่ท่าทีต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อพระราชกิจของพระเจ้า พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) มีอยู่กี่แง่มุม? (สอง) พวกเราจะชำแหละสาเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลกัน อันดับแรกในเรื่องความยุ่งยากที่ผู้คนมี และอันดับที่สองในเรื่องท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระราชกิจของพระเจ้า จงทวนคำให้เราฟังเถิด (พวกเราจะชำแหละสาเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลกัน อันดับแรกในเรื่องความยุ่งยากที่ผู้คนมี และอันดับที่สองในเรื่องท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระราชกิจของพระเจ้า) มีเรื่องยุ่งยากมากมายที่ผู้คนอาจมีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนพบเจอในชีวิตประจำวันของพวกเขาทั้งสิ้น เป็นเรื่องยุ่งยากที่มักจะเกิดขึ้นในขอบข่ายการใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แล้วเรื่องยุ่งยากเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดขึ้นเพราะผู้คนพยายามทำอะไรเกินตัวอยู่เสมอ พยายามควบคุมชะตากรรมของตนเองและพยายามที่จะรู้อนาคตของตนเองล่วงหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าอนาคตของพวกเขาดูท่าจะไม่ดี พวกเขาก็จะไปตามหาผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยหรือหมอดูให้เยียวยาแก้ไขเรื่องนี้ทันที นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนเผชิญเรื่องยุ่งยากมากมายในชีวิตประจำวันของตน และเรื่องยุ่งยากเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้คนมักจะถลำเข้าสู่ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลกัน เรื่องยุ่งยากเหล่านี้มีอะไรบ้าง? พวกเรามาดูสิ่งที่ผู้คนมองว่าเป็นเรื่องยากที่สุดของตนกันก่อน—นั่นคือเรื่องอะไร? เป็นเรื่องความน่าจะเป็นในอนาคตของพวกเขา หมายความว่าอนาคตของคนคนหนึ่งจะเป็นเช่นไรในชีวิตนี้ พวกเขาจะเป็นคนมั่งมีหรือคนธรรมดาทั่วไปในกาลข้างหน้า พวกเขาจะสามารถโดดเด่น ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ และเจริญรุ่งเรืองในโลกท่ามกลางผู้คนทั้งหลายได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนที่เชื่อในพระเจ้านั้น พวกเขาอาจไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้อื่นในอนาคต แต่พวกเขาก็มักจะวิตกกังวลถึงอนาคตของตนเองและนึกสงสัยอยู่เสมอว่า “การเชื่อในพระเจ้ามีเพียงเท่านี้หรือ? ในอนาคต ฉันจะมีวันโดดเด่นเหนือคนอื่นบ้างหรือไม่? ฉันจะสามารถมีบทบาทสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าบ้างหรือไม่? ฉันจะสามารถเป็นผู้นำทีมหรือผู้ดูแลบ้างหรือไม่? ฉันจะเป็นผู้นำได้หรือไม่? จะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนแบบนี้อย่างสม่ำเสมอในพระนิเวศของพระเจ้า ท้ายที่สุดแล้วฉันจะเป็นเช่นไร? ฉันจะได้รับความรอดหรือไม่? ฉันจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในอนาคตบ้างหรือไม่? ฉันยังคงต้องทำงานทางโลกของตัวเองต่อไปหรือไม่? จำเป็นต้องร่ำเรียนทักษะในสายงานที่เคยร่ำเรียนมาต่อไป หรือเรียนให้สูงขึ้นหรือไม่? ถ้าฉันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเต็มเวลาในพระนิเวศของพระเจ้าต่อไปได้ ฉันก็ไม่ควรมีปัญหาเรื่องปัจจัยพื้นฐานในชีวิต แต่ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ดีและถูกย้าย ถูกแทนที่ เช่นนั้นแล้วฉันจะดำรงชีวิตอย่างไร? ฉันควรใช้โอกาสก่อนที่จะถูกแทนที่หรือถูกกำจัดออกไปนี้ เตรียมตัวรับมือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นนั้นหรือเปล่า?” พวกเขานึกสงสัยเรื่องเหล่านี้และเห็นว่าตนเองพอมีเงินออมอยู่บ้าง จึงคิดว่า “ฉันจะอยู่ได้ด้วยเงินที่ออมไว้นี้สักกี่ปี? ฉันอายุสามสิบกว่าแล้ว อีกสิบปีฉันก็จะอายุสี่สิบกว่า ถ้าถูกถอดออกจากคริสตจักร เวลากลับสู่ทางโลก ฉันจะตามสถานการณ์ได้ทันหรือไม่? สุขภาพของฉันจะดีพอให้ฉันทำงานต่อไปหรือไม่? ฉันจะสามารถหาได้มากพอแก่การดำรงชีวิตต่อไปหรือไม่? ฉันจะใช้ชีวิตได้ยากหรือเปล่า? ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่พระเจ้าจะทรงเก็บฉันไว้จนถึงวาระสุดท้ายหรือไม่?” แม้พวกเขาจะคิดเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ แม้จะไม่เคยมีบทสรุป แต่พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดเรื่องเหล่านี้ต่อไป—พวกเขาควบคุมอะไรไม่ได้ เมื่อพวกเขาเผชิญเรื่องติดขัดหรือความยุ่งยากบางอย่าง หรือเมื่อบางสิ่งไม่เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาย่อมคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดโดยไม่ปริปากบอกใคร เมื่อบางคนถูกตัดแต่ง เมื่อพวกเขาถูกแทนที่ในหน้าที่ของตน เมื่อพวกเขาถูกย้ายไปทำหน้าที่ที่ต่างออกไป หรือเผชิญวิกฤตการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเขาก็มองหาทางถอยและอดไม่ได้ที่จะวางแผนและออกอุบายสำหรับก้าวต่อไปของตนโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในท้ายที่สุด ผู้คนก็มักจะวางแผนและออกอุบายในเรื่องที่ตนรู้สึกวิตกกังวล กระวนกระวาย และทุกข์ใจอยู่ดี เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนครุ่นคิดเกี่ยวกับความน่าจะเป็นในอนาคตของตนมิใช่หรือ? ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะผู้คนปล่อยมือจากความน่าจะเป็นในอนาคตของตนไม่ได้มิใช่หรือ? (ใช่) เมื่อผู้คนรู้สึกกระตือรือร้นเป็นพิเศษและเมื่อสิ่งต่างๆ ราบรื่นมากเวลาพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพวกเขาได้เลื่อนตำแหน่งและถูกใช้ให้ทำงานสำคัญบางอย่าง เมื่อพวกเขาได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ และเมื่อคุณค่าของพวกเขาเป็นที่ประจักษ์ พวกเขาย่อมไม่นึกถึงภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ทันทีที่ความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ของพวกเขาถูกคุกคาม พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอยกลับเข้าไปอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล เมื่อพวกเขากลับเข้าไปอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ ท่าทีที่พวกเขามีต่อภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่ใช่การหนีหรือปฏิเสธ แต่กลับคอยตอบสนองภาวะอารมณ์ดังกล่าว และพยายามอย่างยิ่งที่จะจมอยู่ในความรู้สึกที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล พยายามจมให้ลึกลงไปอีก เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เมื่อผู้คนจมอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมมีข้อแก้ตัวมากขึ้น มีเหตุผลมากขึ้นที่จะวางแผนให้อนาคตและก้าวต่อไปของตน และสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้น ระหว่างที่พวกเขาวางแผนเหล่านี้ พวกเขาก็คิดไปว่านี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว นี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ และพวกเขาก็ใช้คำกล่าวที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไป” และอีกคำกล่าวหนึ่งคือ “คนที่ไม่วางแผนอนาคตย่อมจะมีปัญหาตามมาติดๆ” ซึ่งหมายความว่าถ้าเจ้าไม่วางแผนและไม่คำนึงถึงอนาคตและชะตาชีวิตของตนล่วงหน้า เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีใครอื่นวิตกกังวลในเรื่องเหล่านั้นแทนเจ้า และจะไม่มีใครอื่นใส่ใจเรื่องเหล่านั้นแทนเจ้า เมื่อเจ้าไม่รู้ว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร เจ้าจะเผชิญความกระอักกระอ่วน ความเจ็บปวด และความอับอาย และคนที่จะทนทุกข์และทนฝ่าความยากลำบากไปย่อมจะเป็นเจ้า ดังนั้น ผู้คนจึงรู้สึกว่าตนหลักแหลมมาก และทุกก้าวที่เดินไป พวกเขาย่อมจะมองไปข้างหน้าสิบก้าว ทันทีที่พวกเขาเผชิญเรื่องยุ่งยากหรือความผิดหวัง พวกเขาย่อมกลับมาหาภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลทันทีเพื่อปกป้องตัวเอง เพื่อให้อนาคตและก้าวต่อไปในชีวิตของตนไม่มีอะไรผิดพลาด มีอาหารกินและมีเสื้อผ้าใส่ ไม่เร่ร่อนไปตามถนน และไม่ขาดแคลนอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม เพราะฉะนั้น เมื่อตกอยู่ใต้อิทธิพลของภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ พวกเขาจึงมักจะเตือนตัวเองด้วยการคิดไปว่า “ฉันต้องวางแผนล่วงหน้า ดึงๆ อะไรไว้บ้าง ให้ตัวเองมีทางถอยมากพอ ฉันต้องไม่ทำตัวโง่เขลา—ชะตาชีวิตของฉันอยู่ในมือของฉันเอง ผู้คนมักจะพูดว่า ‘ชะตากรรมของพวกเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมนุษย์’ แต่นี่เป็นเพียงคำพูดเสนาะหูที่ว่างเปล่า แท้จริงแล้วมีใครเคยเห็นเรื่องนี้บ้าง? พระเจ้าครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของพวกเราอย่างไร? อันที่จริง มีใครเคยเห็นพระเจ้าจัดเตรียมอาหารสามมื้อต่อวันให้ผู้คนหรือจัดเตรียมทุกสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้ในชีวิตด้วยพระองค์เองบ้าง? ไม่มีใครเคยเห็น” ผู้คนเชื่อว่าเมื่อตนมองไม่เห็นอธิปไตยของพระเจ้า และถ้าพวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเรื่องความน่าจะเป็นในอนาคตของตน เมื่อนั้นภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก็เป็นเหมือนเครื่องป้องกันตัว เหมือนโล่ที่คอยปกป้อง เป็นที่พักพิงอันปลอดภัย พวกเขาเตือนและบอกตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าให้วางแผนอนาคต ต้องวิตกกังวลถึงวันพรุ่ง ต้องไม่เอาแต่กินให้อิ่มตลอดวันและไม่ทำงานทำการ การวางแผนให้ตนเอง การหาทางออกให้ตนเอง และการทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่ออนาคตของตนเองย่อมไม่ผิด พวกเขาบอกตัวเองว่านี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ ไม่ใช่เรื่องให้รู้สึกละอาย ดังนั้น แม้ผู้คนจะเชื่อว่าความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบ แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าการรู้สึกถึงภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องไม่ดี พวกเขาไม่เคยนึกเลยว่าภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้อาจจะทำร้ายตัวพวกเขาเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรืออาจจะเป็นอุปสรรคต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงของพวกเขา แต่พวกเขากลับสำราญอยู่กับภาวะอารมณ์เหล่านี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เต็มใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้โดยไม่รู้สึกเหนื่อยหน่าย นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่ามีแต่การใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลถึงความน่าจะเป็นในอนาคตของตนอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น พวกเขาจึงจะปลอดภัย หาไม่แล้ว จะมีใครอื่นอีกที่รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในอนาคตของพวกเขา? ไม่มีใครเลย ไม่มีใครรักพวกเขามากไปกว่าตัวพวกเขาเอง ไม่มีใครเข้าใจพวกเขาเหมือนที่พวกเขาเข้าใจตนเอง หรือรู้จักพวกเขาเหมือนตัวพวกเขาเอง ดังนั้น ต่อให้ผู้คนยอมรับถึงระดับหนึ่งทั้งในแง่คำพูดและคำสอนว่าการมีอยู่ของภาวะอารมณ์เชิงลบเช่นนี้ย่อมทำร้ายตนเอง แต่พวกเขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะทิ้งภาวะอารมณ์เชิงลบดังกล่าวเพราะภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เปิดโอกาสให้พวกเขาริเริ่มได้อย่างมั่นคงที่จะไขว่คว้าและควบคุมอนาคตของตนเอง พูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) เพราะฉะนั้น สำหรับผู้คนแล้ว การวิตกกังวล รู้สึกกระวนกระวาย และรู้สึกทุกข์ใจถึงอนาคตของตนจึงเป็นเรื่องของความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ไม่ใช่เรื่องน่าละอาย น่าสังเวช หรือควรจงเกลียดจงชัง แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่กลับเป็นอย่างที่สิ่งต่างๆ ควรเป็นโดยแท้ นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้กันยากมาก ราวกับว่าเป็นสิ่งที่อยู่กับพวกเขามาตั้งแต่เกิด ทุกสิ่งที่ผู้คนคิดคำนึงมาตั้งแต่เกิดล้วนเป็นไปเพื่อตนเอง และเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือความน่าจะเป็นในอนาคตของตน พวกเขาคิดว่าถ้าพวกเขากุมอนาคตของตนได้อย่างมั่นคงและจับตามองเอาไว้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะมีชีวิตที่ไร้กังวล พวกเขาคิดว่าเมื่อมีความน่าจะเป็นอันดีงามรออยู่ข้างหน้า พวกเขาย่อมจะมีทุกสิ่งที่ต้องการ และทุกสิ่งนั้นย่อมจะเป็นเรื่องแน่นอนทั้งสิ้น ดังนั้นผู้คนจึงไม่เคยเอือมระอากับการรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลถึงอนาคตของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อให้พระเจ้าประทานสัญญาของพระองค์ ต่อให้ผู้คนได้ชื่นชมหรือได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้า ต่อให้พวกเขาได้เห็นพระเจ้าประทานพรสารพัดอย่างแก่มวลมนุษย์ รวมทั้งข้อเท็จจริงอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ผู้คนก็ยังคงอยากใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล อยากวางแผนและออกแบบอนาคตของตน
นอกจากความน่าจะเป็นในอนาคตแล้ว ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญอีก เป็นเรื่องที่ผู้คนมักจะรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเช่นกัน นั่นก็คือการสมรส บางคนไม่วิตกกังวลในเรื่องนี้และไม่ห่วงเรื่องที่ตนยังไม่ได้แต่งงานในวัยสามสิบกว่าปี เพราะตอนนี้มีผู้คนมากมายในวัยสามสิบกว่าปีที่ไม่แต่งงาน นี่เป็นเรื่องที่มักจะพบเห็นกันในสังคม และไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้าเพราะเรื่องนี้ ไม่มีใครบอกว่าเจ้าผิดปกติ อย่างไรก็ดี ถ้ามีคนไม่แต่งงานเมื่อพวกเขาอายุได้สี่สิบกว่าปี พวกเขาย่อมจะเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยอยู่ลึกๆ ในใจ และคิดไปว่า “ฉันควรมองหาคู่ครองหรือเปล่า? ฉันควรแต่งงานหรือเปล่า? ถ้าฉันไม่แต่งงานมีครอบครัว ถ้าฉันไม่มีลูก พออายุมากขึ้น จะมีใครคอยดูแลฉันหรือไม่? เวลาเจ็บป่วย จะมีใครดูแลฉันหรือไม่? พอฉันตาย จะมีคนจัดงานศพให้หรือไม่?” ผู้คนวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ คนที่ไม่ได้วางแผนว่าจะแต่งงานย่อมจะไม่รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลขนาดนั้น ตัวอย่างเช่น บางคนบอกว่า “ตอนนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า และเต็มใจที่จะสละตนเองเพื่อพระเจ้า ฉันจะไม่มองหาคู่ครอง และจะไม่แต่งงาน ไม่ว่าจะอายุมากเท่าใด ฉันก็จะไม่ทุกข์ใจด้วยเรื่องเหล่านี้” คนโสด ผู้คนที่เป็นโสดมาตลอด 10 หรือ 20 ปี เป็นโสดมาตั้งแต่อายุ 20 ปีจนอายุ 40 ปี ไม่ควรมีเรื่องใหญ่ๆ ให้ห่วง แม้พวกเขาจะรู้สึกวิตกกังวลและทุกข์ใจบ้างเป็นครั้งคราวเพราะปัจจัยทางสภาพแวดล้อมหรือสาเหตุเกี่ยวกับสภาพความเป็นจริง แต่เพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและสาละวนปฏิบัติหน้าที่ของตน เพราะปณิธานในปัจจุบันของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ความวิตกกังวลแบบที่พวกเขารู้สึกจึงคลุมเครือและเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น และไม่ใช่เรื่องใหญ่ ภาวะอารมณ์ชนิดที่ไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามปกตินี้ย่อมไม่ทำร้ายผู้คน และไม่อาจนับได้ว่าเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบ นั่นคือ เรื่องนี้ไม่เคยกลายเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบสำหรับเจ้า ส่วนคนที่แต่งงานแล้วนั้น พวกเขาวิตกกังวลในเรื่องแบบใด? ถ้าทั้งสามีและภรรยาเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วจะรักษาชีวิตแต่งงานนี้ไว้ได้หรือไม่? มีครอบครัวดังกล่าวอยู่หรือไม่? แล้วลูกๆ เป็นเช่นไร? นอกจากนี้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วอีกฝ่ายไม่ทำ ถ้าคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงคอยไล่ตามโลกอยู่เสมอ ไล่ตามไขว่คว้าชีวิตที่มั่งคั่ง และฝ่ายที่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็อยากปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอ ส่วนฝ่ายที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงกลับพยายามหยุดยั้งอีกฝ่ายตลอดเวลา แต่ก็รู้สึกอายที่ทำเช่นนั้น จึงออกปากบ่นบ้างเป็นบางโอกาสหรือพูดอะไรที่เป็นลบเพื่อให้คู่ของตนหมดกำลังใจ เช่นนั้นแล้ว ฝ่ายที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะนึกสงสัยว่า “อ้อ สามีของฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แล้วเราสองคนจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต? ถ้าพวกเราหย่ากัน ฉันก็จะเป็นโสดและไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ ถ้าฉันอยู่กับเขา พวกเราก็จะไม่เดินไปบนเส้นทางเดียวกัน พวกเราจะมีความฝันที่ต่างกัน และแล้วฉันจะทำอย่างไร?” พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ เมื่อพี่น้องหญิงบางคนเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเธอก็เชื่อว่าแม้สามีของตนจะไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็จะไม่พยายามขัดขวางการเชื่อในพระเจ้าของพวกเธอกันมากนัก และจะไม่ข่มเหงพวกเธอ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะหย่าร้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกัน พวกเธอย่อมรู้สึกว่าถูกควบคุมและครอบงำอยู่ตลอดเวลา พวกเธอถูกอะไรครอบงำ? ถูกความรักใคร่ของตนเองคอยควบคุมและครอบงำ เรื่องยุ่งยากต่างๆ ในชีวิตครอบครัวและชีวิตสมรสย่อมปลุกเร้าสิ่งทั้งหลายในหัวใจส่วนลึกของพวกเธอขึ้นมา ทำให้พวกเธอมีประสบการณ์เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลบ้าง ชนิดที่ไม่มากและไม่น้อย ภายใต้รูปการณ์ดังกล่าว ชีวิตสมรสจึงเป็นแบบแผนที่ใช้รักษาชีวิตครอบครัวให้เป็นปกติ และกลายเป็นสิ่งที่คอยล่ามการคิดอ่านตามปกติและชีวิตตามปกติของฝ่ายภรรยาเอาไว้ และแม้กระทั่งการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของพวกเธอด้วย—การรักษาชีวิตสมรสให้ดำเนินต่อไปจึงยาก แต่พวกเธอก็ไม่สามารถถอนตัวได้ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษที่จะรักษาชีวิตแต่งงานแบบนี้เอาไว้ และไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษให้พวกเธอหย่าร้างเช่นกัน ไม่มีเหตุผลมากพอให้ลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง พวกเธอจึงไม่รู้ว่าอะไรคือทางเลือกที่ถูกต้อง และไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วผิด เพราะฉะนั้นจึงเกิดความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลขึ้นในตัวพวกเธอ ความรู้สึกที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเหล่านี้ลอยขึ้นมาในจิตใจของพวกเธอและพันธนาการพวกเธอเอาไว้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ทั้งยังส่งผลต่อชีวิตตามปกติของพวกเธออีกด้วย เวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน ภาวะอารมณ์เหล่านี้ก็ลอยขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิดและเกิดขึ้นในหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเธออยู่เสมอ ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามปกติ แม้สิ่งเหล่านี้จะดูไม่เหมือนถ้อยคำที่ชัดเจนว่าภรรยาเหล่านี้ควรทำเช่นไรหรือควรเลือกอะไร แต่เรื่องเหล่านี้ก็ทำให้พวกเธอจมลึกอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล ซึ่งทำให้พวกเธอรู้สึกว่าถูกกดขี่และติดกับ นี่ก็เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่งมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องยุ่งยากที่เกิดจากชีวิตแต่งงาน
ยังมีผู้ที่ไม่มีเวลาพบปะลูกๆ ที่ไม่เชื่อของตนตามปกติ รวมทั้งภรรยา (หรือสามี) พ่อแม่ หรือเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องของตน เพราะพวกเขามาเชื่อในพระเจ้า ดำรงชีวิตคริสตจักร อ่านพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของตนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาจะไม่สามารถดูแลลูกๆ ที่ไม่เชื่อของตนได้อย่างถูกควร หรือทำอะไรที่ลูกๆ ของตนอยากให้ทำ ดังนั้นพวกเขาจึงวิตกกังวลถึงอนาคตและความสำเร็จของลูกๆ ยิ่งเมื่อลูกๆ ของพวกเขาเติบโตขึ้นมา บางคนก็จะเริ่มกลัดกลุ้มว่า ลูกของฉันจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือเปล่า? ถ้าเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาจะเลือกอะไรเป็นวิชาเอก? ลูกของฉันไม่เชื่อในพระเจ้าและอยากเข้ามหาวิทยาลัย แล้วฉันในฐานะคนที่เชื่อในพระเจ้าควรออกค่าเล่าเรียนให้พวกเขาหรือไม่? ฉันควรดูแลสิ่งที่พวกเขาต้องใช้ในแต่ละวันและเกื้อหนุนพวกเขาด้านการเรียนหรือไม่? แล้วพอเป็นเรื่องการแต่งงานของพวกเขา การหางานทำ และแม้กระทั่งมีครอบครัวมีลูกของตนเอง ฉันควรมีบทบาทอย่างไร? ฉันควรทำและไม่ทำอะไรบ้าง? พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย ทันทีที่เรื่องแบบนี้ผ่านเข้ามา ทันทีที่พวกเขาพบเจอสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็จนปัญญาและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ไม่รู้ว่าควรรับมือเรื่องดังกล่าวอย่างไร เมื่อเวลาผ่านไป ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ก็เกิดขึ้น กล่าวคือ ถ้าพวกเขาทำเรื่องเหล่านี้ให้ลูก พวกเขาก็กลัวว่าจะขัดเจตนารมณ์ของพระเจ้าและทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย แล้วถ้าพวกเขาไม่ทำเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็กลัวว่าจะไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนในฐานะพ่อแม่ และจะถูกลูกกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวตำหนิ ถ้าพวกเขาทำเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็กลัวว่าตนจะสูญเสียคำพยาน และถ้าพวกเขาไม่ทำเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็กลัวว่าจะถูกผู้คนทางโลกเย้ยหยัน ถูกเพื่อนบ้านของตนหัวเราะเยาะ ถากถาง และตัดสิน พวกเขาเกรงว่าจะหมิ่นเกียรติพระเจ้า แต่ก็กลัวเช่นกันว่าจะทำให้ตนเองเสียชื่อและรู้สึกละอายใจจนไม่สามารถสู้หน้าใครได้ ขณะที่พวกเขาลังเลใจในเรื่องเหล่านี้อยู่นั้น ก็เกิดความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลขึ้นในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้สึกทุกข์ใจที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร พวกเขารู้สึกกระวนกระวายว่าจะทำผิดไม่ว่าจะเลือกสิ่งใด กระวนกระวายที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดก็ตามที่ตนทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ และพวกเขาก็วิตกกังวลว่าถ้าเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่งพวกเขาย่อมจะไม่สามารถรับมือได้ และถ้าพวกเขาคุมสติไม่อยู่ เช่นนั้นแล้วสิ่งต่างๆ ก็จะยิ่งยากขึ้นอีกสำหรับพวกเขา ผู้คนที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็ก เมื่อเกิดความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้ขึ้นในตัวพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมจมปลักอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลนี้ ไม่สามารถพาตัวเองหลุดเป็นอิสระได้ กล่าวคือ ถ้าพวกเขาทำเช่นนี้ย่อมผิด ถ้าพวกเขาทำเช่นนั้นก็ย่อมผิด และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วถูกต้อง พวกเขาอยากเอาใจผู้อื่น แต่ก็กลัวว่าจะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย พวกเขาอยากทำสิ่งต่างๆ เพื่อผู้อื่น คนเหล่านั้นจะได้พูดถึงพวกเขาในทางที่ดี แต่พวกเขาก็ไม่อยากหมิ่นเกียรติพระเจ้าหรือทำให้พระเจ้ารังเกียจตน ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงจมปลักอยู่ในความรู้สึกที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเหล่านี้เสมอ พวกเขารู้สึกทุกข์ใจทั้งในเรื่องของผู้อื่นและในเรื่องของตนเอง พวกเขารู้สึกกระวนกระวายในเรื่องต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับผู้อื่นและเกี่ยวกับตนเอง และพวกเขาก็วิตกกังวลทั้งในเรื่องของผู้อื่นและในเรื่องของตนเองเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงจมปลักอยู่ในเรื่องยากสองชั้นที่ตนเองไม่สามารถหนีพ้น ภาวะอารมณ์เชิงลบเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลต่อชีวิตประจำวันของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วย และแน่นอนว่าส่งผลต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของพวกเขาอยู่บ้าง นี่คือเรื่องยุ่งยากอย่างหนึ่ง กล่าวคือ เหล่านี้คือเรื่องยุ่งยากที่เชื่อมโยงกับชีวิตสมรส ชีวิตครอบครัว และชีวิตส่วนตัว และเป็นเพราะเรื่องยุ่งยากเหล่านี้นี่เองที่ผู้คนมักจะติดอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล เมื่อผู้คนติดอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้ พวกเขาย่อมน่าเวทนามิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาน่าเวทนาหรือไม่? พวกเจ้ายังคงตอบว่า “น่าเวทนา” แสดงว่าพวกเจ้ายังคงเห็นใจพวกเขากันมาก เมื่อใครบางคนจมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบ ไม่ว่าการเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบนั้นๆ จะมีความเป็นมาเช่นไรก็ตาม สาเหตุที่เกิดภาวะอารมณ์เช่นนั้นขึ้นคืออะไร? เป็นเพราะสภาพแวดล้อม เพราะผู้คน เหตุการณ์ และเรื่องราวรอบตัวคนคนนั้น? หรือเป็นเพราะความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นรบกวนพวกเขา? สภาพแวดล้อมส่งผลต่อคนคนนั้น หรือว่าพระวจนะของพระเจ้ารบกวนชีวิตของพวกเขา? แท้จริงแล้วอะไรคือสาเหตุ? พวกเจ้ารู้หรือไม่? จงบอกเรามาเถิด ไม่ว่าจะในชีวิตที่ปกติของผู้คนหรือในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ถ้าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและเต็มใจปฏิบัติความจริง จะมีเรื่องยุ่งยากเหล่านี้เกิดขึ้นหรือไม่? (ไม่) เรื่องยุ่งยากเหล่านี้มีอยู่ในแง่ที่เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ พวกเจ้าบอกว่าไม่มีเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ ดังนั้นเป็นไปได้ไหมว่าพวกเจ้าแก้ไขเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ได้แล้ว? พวกเจ้าสามารถทำเช่นนั้นได้หรือ? เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ไม่อาจแก้ไขได้ และมีอยู่ในแง่ที่เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ แล้วผลลัพธ์ที่เกิดจากเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ในตัวผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมจะเป็นเช่นไร? แล้วในตัวผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ย่อมจะส่งผลเช่นไร? ทั้งสองฝ่ายย่อมจะมีผลลัพธ์สองอย่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะไม่ถูกเรื่องยุ่งยากเหล่านี้พัวพันเอาไว้และจะไม่จมอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล ในทางกลับกัน ถ้าผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ย่อมจะมีอยู่ในตัวพวกเขาอยู่ดี แล้วผลลัพธ์ย่อมจะเป็นเช่นไร? เรื่องเหล่านี้จะเกาะเกี่ยวเจ้าเอาไว้จนเจ้าหนีออกมาไม่ได้ และถ้าเจ้าไม่สามารถแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้ มันก็จะกลายเป็นภาวะอารมณ์เชิงลบในท้ายที่สุด ขมวดตัวเป็นเงื่อนปมอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของเจ้า และจะส่งผลต่อชีวิตตามปกติของเจ้า ต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของเจ้า และจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าถูกกดขี่ ไม่สามารถหาทางออกได้—นี่คือผลลัพธ์ที่เรื่องยุ่งยากเหล่านี้จะก่อให้เกิดขึ้นในตัวเจ้า ผลลัพธ์สองอย่างนี้ต่างกันมิใช่หรือ? (ใช่) ดังนั้น พวกเรากลับมาหาคำถามที่เราเพิ่งถามไปเมื่อครู่นี้กันเถิด เราถามว่าอย่างไร? (ภาวะอารมณ์เชิงลบในตัวผู้คนเกิดจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อมหรือเป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้ารบกวนผู้คน?) แล้วอะไรคือสาเหตุ? คำตอบคืออะไร? (เป็นเพราะผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง) ถูกต้อง ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่เป็นเพราะผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็มักจะจมปลักอยู่ในความคิดที่สุดโต่งและภาวะอารมณ์เชิงลบ ไม่สามารถพาตัวเองเป็นอิสระได้ จงทวนคำถามที่เราเพิ่งถามไปเมื่อครู่เถิด (สาเหตุของการเกิดภาวะอารมณ์เชิงลบในตัวผู้คนเป็นเพราะสภาพแวดล้อมของพวกเขา รวมทั้งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ รอบตัวพวกเขา หรือเป็นเพราะความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นรบกวนผู้คน?) กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป็นเพราะอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมหรือเพราะพระวจนะของพระเจ้ารบกวนผู้คน? เป็นอย่างไหน? (ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง) ถูกต้อง ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง สภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อทุกคนเท่าๆ กัน ถ้าเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่จมอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเพราะสภาพแวดล้อมบางอย่าง อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ก็เป็นธรรมดามากที่เจ้าจะถูกสภาพแวดล้อมทำให้คิดอะไรไม่ออกครั้งแล้วครั้งเล่า และย่อมจะติดอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล เมื่อมองในแง่นี้ การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงสำคัญมิใช่หรือ? (ใช่) มีหลักธรรมความจริงให้แสวงหาในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง หาไม่แล้ว พวกเขาย่อมรู้ชัดว่าพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใด อะไรคือหลักธรรมความจริง พวกเขาควรปฏิบัติตามเส้นทางใด และอะไรคือหลักเกณฑ์ของการปฏิบัติ แต่พวกเขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้หรือทำตาม เมื่อพวกเขาเลือกและวางแผนด้วยตัวเองอยู่เสมอ ท้ายที่สุดแล้วย่อมเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา? เมื่อผู้คนไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า กังวลเรื่องนี้เรื่องนั้นอยู่เสมอ เมื่อนั้นก็ย่อมมีผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นคือพวกเขาย่อมจมปลักอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้อีก เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้คนจะพึ่งพาการคิดฝันของตนอยู่เสมอ เพื่อให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่ตนต้องการตลอดเวลา ทำให้ผู้อื่นยินดี และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าอีกด้วย? นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้! พวกเขาอยากจัดการสิ่งต่างๆ ในแบบที่ทำให้ทุกคนรอบตัวพวกเขามีความสุข ยินดี และมีแต่คำสรรเสริญให้พวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาอยากได้ชื่อว่าเป็นคนดี และอยากให้พระเจ้าพอพระทัย และถ้าพวกเขาทำไม่ได้ตามมาตรฐานนี้ พวกเขาก็รู้สึกทุกข์ใจ และพวกเขาก็สมควรทุกข์ใจแล้วมิใช่หรือ? (ใช่) นี่คือสิ่งที่ผู้คนเลือกให้ตัวเอง
บางคนซึ่งมีแนวโน้มที่จะบิดเบือนอะไรได้ง่ายย่อมกล่าวว่า “ถ้าพระเจ้าไม่ตรัสพระวจนะมากมายอย่างนั้น ฉันย่อมจะทำสิ่งต่างๆ ตามมาตรฐานทางศีลธรรมของการเป็นคนดี นั่นย่อมจะง่ายมาก และจะไม่มีการกล่าวอะไรมากมาย นั่นเหมือนยุคพระคุณเลย ผู้คนรักษาพระบัญญัติ พวกเขาสู้ทนและยอมผ่อนปรน แบกกางเขนและทนทุกข์ เรื่องก็ง่ายอย่างนั้น แบบนั้นก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? มาตอนนี้พอพระเจ้าตรัสความจริงไว้มากมายและประทานหลักปฏิบัติเอาไว้มากมายเวลาสามัคคีธรรม ผ่านมานานอย่างนี้แล้ว ทำไมผู้คนถึงยังสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นไม่ได้? ขีดความสามารถของผู้คนยังบกพร่องอยู่มาก และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดนั้นได้ มีความจริงมากมายที่พวกเขาไม่อาจสัมฤทธิ์ได้ มีเรื่องยุ่งยากมากมายในการที่ผู้คนจะปฏิบัติความจริงอีกด้วย แล้วต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาก็สัมฤทธิ์ความจริงได้ยากอยู่ดี ถ้าคุณเข้าใจความจริง แต่ไม่นำไปปฏิบัติ คุณย่อมไม่สบายใจ แต่พอคุณปฏิบัติความจริง ก็มีเรื่องยุ่งยากมากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง” ผู้คนเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้ารบกวนพวกเขา แต่ที่จริงแล้วเป็นเช่นนี้หรือไม่? (ไม่) นี่เรียกว่าไร้เหตุผลและไม่สมเหตุสมผล พวกเขารังเกียจความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาก็ยังอยากแสร้งทำเป็นว่ามีสภาวะฝ่ายวิญญาณ เสแสร้งว่าปฏิบัติความจริง และพวกเขาก็อยากได้รับความรอด สุดท้ายแล้วเมื่อพวกเขาสัมฤทธิ์เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ พวกเขาก็รู้สึกหดหู่และทุกข์ใจ คิดไปว่า “ใครจะสามารถทำเรื่องทั้งหมดนี้อย่างมีสมดุลได้? จะเป็นการดีกว่าถ้าพระเจ้าลดมาตรฐานของพระองค์ลงมาบ้าง แบบนั้นผู้คนถึงจะไม่เป็นไร พระเจ้าก็จะสบายดี ทุกคนก็จะสบายดี—นั่นย่อมจะเหมือนชีวิตบนสวรรค์เลยทีเดียว!” ผู้คนดังกล่าวคิดเสมอว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไม่คำนึงถึงมนุษย์ อันที่จริง เมื่อพวกเขามีความรู้สึกที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล พวกเขาย่อมไม่พอใจพระเจ้าในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของท่าทีที่พวกเขามีต่อหลักธรรมความจริง พวกเขาไม่สามารถทำตามหรือบรรลุหลักธรรมความจริงได้ พวกเขาไม่สามารถพูดคุยเรื่องหลักธรรมความจริงได้เลย และนี่ก็มีผลต่อความมีหน้ามีตาและเกียรติยศของพวกเขาในสายตาของผู้อื่นอย่างมาก รวมทั้งความอยากได้พรของพวกเขาด้วย ทำให้พวกเขาจมปลักอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล และเพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงเชื่อว่ามีเรื่องมากมายที่พระเจ้าทำแล้วพวกเขาไม่ชอบใจ ถึงกับมีบางคนบอกว่า “พระเจ้าทรงชอบธรรม ฉันไม่ปฏิเสธเรื่องนั้น พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ฉันก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนั้นเช่นกัน ทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน เพียงแต่น่าเสียดายที่สิ่งที่พระเจ้าตรัสในตอนนี้สูงส่งเกินไป ข้อกำหนดที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนก็เข้มงวดเกินไป และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะสัมฤทธิ์ทั้งหมดนั้น!” พวกเขาไม่รักความจริง และเอาความรับผิดชอบทั้งหมดมาลงที่พระเจ้า พวกเขาเริ่มต้นด้วยหลักการเบื้องต้นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพวกเขาก็เชื่อว่าทั้งหมดนี้จริง พระเจ้าทรงชอบธรรม พระเจ้าทรงบริสุทธิ์—จำเป็นหรือไม่ที่เจ้าจะต้องยอมรับแก่นแท้ของพระเจ้า? เหล่านี้คือข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นจริงเพียงเพราะเจ้ายอมรับรู้เท่านั้น พวกเขารีบพูดว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ก็เพื่อให้ตนไม่ถูกกล่าวโทษที่ตำหนิพระเจ้า อย่างไรก็ดี ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวว่าอย่างไรในเรื่องที่พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขาก็ยังคงมีอยู่ และไม่เพียงมีภาวะอารมณ์เหล่านี้อยู่เท่านั้น แต่พวกเขายังไม่เต็มใจที่จะปล่อยมือจากภาวะอารมณ์เหล่านี้อีกด้วย ไม่เต็มใจที่จะทิ้งมันไว้ข้างหลัง ไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงหลักปฏิบัติของตน เปลี่ยนแปลงทิศทางของการไล่ตามไขว่คว้าของตน และเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่ตนเดินในชีวิต ผู้คนดังกล่าวทั้งน่าเวทนาและน่าชิงชัง พวกเขาไม่สมควรได้รับความเห็นใจโดยแท้ และไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์มากเท่าใด พวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะให้พวกเราสงสาร สิ่งที่พวกเราต้องทำมีเพียงการกล่าววาจาไม่กี่คำนี้แก่พวกเขาว่า สมแล้ว! ถ้าเจ้าตายไปเพราะรู้สึกทุกข์ใจขนาดนั้น ก็จะไม่มีใครสงสารเจ้าอยู่ดี! ใครใช้ให้เจ้าไม่แสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาของตนเอง? ใครทำให้เจ้าไม่สามารถนบนอบพระเจ้าและปฏิบัติความจริง? เจ้าจะรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลไปเพื่อใคร? เจ้ารู้สึกถึงภาวะอารมณ์เหล่านี้เพื่อให้ได้รับความจริงกระนั้นหรือ? หรือเพื่อน้อมรับพระเจ้า? หรือเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า? หรือเพื่อพระสิริของพระเจ้า? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้สึกถึงภาวะอารมณ์เหล่านี้เพื่ออะไร? ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อตัวเจ้าเอง เพื่อลูกๆ ของเจ้า เพื่อครอบครัว เพื่อความเคารพที่เจ้ามีให้ตัวเอง เพื่อความมีหน้ามีตาของเจ้า เพื่ออนาคตและความสำเร็จของเจ้า เพื่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้า คนแบบนี้ไม่ยอมล้มเลิกอะไร หรือยอมปล่อยมือจากอะไร หรือต่อต้านอะไร หรือยอมทิ้งอะไร พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และไม่มีความจงรักภักดีที่แท้จริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้สละตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาเชื่อเพียงเพื่อให้ได้พร และเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะปักใจเชื่อว่าจะได้รับพรเท่านั้น พวกเขาเต็มไปด้วย “ความเชื่อ” ในพระเจ้า ในพระราชกิจของพระเจ้า และในสัญญาของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงชมเชยความเชื่อแบบนี้ และพระองค์ก็ไม่ทรงจดจำเอาไว้ แต่พระองค์กลับทรงรังเกียจ ผู้คนดังกล่าวไม่เดินตามหรือปฏิบัติตามหลักธรรมของการรับมือเรื่องราวดังที่พระเจ้าทรงกำหนดให้พวกเขาทำ พวกเขาไม่ปล่อยมือจากสิ่งที่พวกเขาควรปล่อยมือ พวกเขาไม่ล้มเลิกสิ่งที่พวกเขาควรล้มเลิก ไม่ทิ้งสิ่งที่พวกเขาควรทิ้ง และไม่มอบความจงรักภักดีที่พวกเขาควรมอบ ดังนั้นพวกเขาจึงสมควรจมอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์มากเท่าใดก็ตาม พวกเขาก็ทนทุกข์เพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อหน้าที่ของตน และไม่ใช่เพื่องานของคริสตจักร เพราะฉะนั้น ผู้คนดังกล่าวจึงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้—พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ในนาม อันที่จริง พวกเขารู้ว่านี่คือหนทางที่แท้จริง แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติ และไม่เดินตาม ความเชื่อของพวกเขาช่างน่าสมเพชและไม่สามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และพระเจ้าก็ไม่ทรงจดจำเอาไว้ ผู้คนแบบนี้จมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล ก็เพราะความยุ่งยากนานาประการในชีวิตครอบครัวของตนเอง
จากนั้นยังมีคนที่สุขภาพไม่ดี มีสภาพร่างกายอ่อนแอและไร้กำลังวังชา ป่วยบ่อยด้วยโรคร้ายหรือโรคที่ไม่หนักหนาอะไร และถึงกับไม่สามารถทำเรื่องจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ ไม่สามารถใช้ชีวิตหรือทำอะไรอย่างคนปกติได้ ผู้คนเช่นนี้มักจะรู้สึกอึดอัดและไม่สบายเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน บ้างก็มีร่างกายอ่อนแอ บ้างก็เจ็บป่วยจริงๆ และแน่นอนว่ามีบางคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคที่รู้จักกันดีไม่โรคใดก็โรคหนึ่ง เนื่องจากพวกเขามีความลำบากกายในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงดังกล่าว ผู้คนเช่นนี้จึงมักจะจมจ่อมอยู่ในอารมณ์ที่เป็นลบ รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเรื่องอะไร? พวกเขากังวลว่าถ้าตัวเองยังปฏิบัติหน้าที่ของตนแบบนี้ต่อไป สละตนและวิ่งวุ่นเพื่อพระเจ้าอยู่แบบนี้ และรู้สึกเหนื่อยอย่างนี้อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วสุขภาพของพวกเขาจะแย่ลงเรื่อยๆ หรือไม่? เมื่อพวกเขาอายุเข้าสี่สิบหรือห้าสิบปี พวกเขาจะป่วยติดเตียงหรือไม่? ความกังวลเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่? มีใครจะเสนอวิธีรับมือเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมบ้าง? ใครจะรับเรื่องนี้ไปตอบ? ใครจะตอบได้บ้าง? ผู้คนที่สุขภาพไม่ดีและมีร่างกายไม่แข็งแรงย่อมรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องแบบนี้ ผู้คนที่มีโรคภัยย่อมจะคิดบ่อยครั้งว่า “ฉันมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี แต่ฉันกลับเป็นโรคนี้ ฉันขอให้พระเจ้าคุ้มครองฉันจากภยันตราย และเพราะพระเจ้าทรงคุ้มครอง ฉันจึงไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ถ้าฉันเหนื่อยอ่อนเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง อาการของฉันจะแย่ลงหรือไม่? ถ้าอาการแย่ลงจริงๆ ฉันจะทำอย่างไร? ถ้าฉันต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล ฉันก็ไม่มีเงินจ่าย แล้วถ้าฉันไม่ยืมเงินมาจ่ายค่ารักษา อาการของฉันจะยิ่งทรุดหนักหรือไม่? แล้วถ้าอาการไม่ดีจริงๆ ฉันจะตายไหม? การตายแบบนั้นมองว่าเป็นการตายตามปกติได้ไหม? ถ้าฉันตายไปจริงๆ พระเจ้าจะทรงจดจำหน้าที่ที่ฉันปฏิบัติมาตลอดหรือเปล่า? ฉันจะได้รับการพิจารณาว่าทำเรื่องที่ดีงามมาตลอดหรือเปล่า? ฉันจะได้รับความรอดหรือไม่?” นอกจากนี้ยังมีบางคนที่รู้ว่าตนเองป่วย นั่นคือ พวกเขารู้ว่าตนเองเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งจริง เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคปวดหลังปวดขา โรคข้ออักเสบ โรครูมาติสซั่ม รวมทั้งโรคผิวหนัง โรคทางนรีเวช โรคตับ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และอื่นๆ พวกเขาจึงคิดว่า “ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อไป พระนิเวศของพระเจ้าจะออกค่ารักษาโรคที่ฉันเป็นไหม? ถ้าโรคของฉันเป็นหนักและส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน พระเจ้าจะทรงรักษาฉันให้หายหรือไม่? คนอื่นหายจากโรคหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นฉันก็จะหายขาดด้วยหรือเปล่า? พระเจ้าจะทรงรักษาฉันเหมือนที่พระองค์ทรงแสดงความใจดีมีเมตตาต่อคนอื่นหรือไม่? ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าก็ควรรักษาฉัน แต่ถ้าฉันเอาแต่อยากให้พระเจ้ารักษา แล้วพระองค์ไม่ทำ แบบนั้นฉันจะทำอย่างไร?” เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีความกระวนกระวายใจลึกๆ เกิดขึ้นในหัวใจของตน แม้พวกเขาจะไม่เคยหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาก็ทำสิ่งที่ตนควรทำอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็คิดเรื่องความเจ็บป่วย สุขภาพ อนาคต และความเป็นความตายของตนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดพวกเขาก็สรุปออกมาเป็นความคิดฝันเฟื่องว่า “พระเจ้าจะรักษาฉัน พระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันให้ปลอดภัย พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งฉัน และพระเจ้าจะไม่ทรงยืนเฉยและไม่ทำอะไรถ้าพระองค์ทรงเห็นว่าฉันป่วย” ความคิดเช่นนี้ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย และอาจพูดได้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง ผู้คนไม่มีวันแก้ปัญหาในชีวิตจริงที่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทำนองนี้ และในหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลอยู่รางๆ เกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บไข้ได้ป่วยของตน พวกเขาไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ หรือว่าจะมีใครรับผิดชอบตัวพวกเขาบ้างหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่รู้ว่าตนมีโรคบางอย่างแฝงอยู่ แม้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่รู้สึกเจ็บป่วยและไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นอะไรก็ตาม โรคที่แฝงตัวอยู่คืออะไร? ยกตัวอย่าง นี่อาจเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง หรืออาจเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน หรือมะเร็งบางชนิดก็ได้—ทั้งหมดนี้คือโรคที่แฝงตัวอยู่ทั้งสิ้น บางคนรู้ว่าในเมื่อตนเกิดมาในครอบครัวดังกล่าว โรคทางพันธุกรรมนี้ก็ย่อมจะเกิดกับพวกเขาไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจึงนึกสงสัยว่าถ้าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี ทำความดีมากพอ และสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ โรคที่แฝงตัวอยู่นี้จะข้ามพวกเขาไปและไม่แสดงอาการกับพวกเขาหรือไม่? อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่เคยทรงสัญญาอะไรแบบนี้กับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เคยมีความเชื่อแบบนี้ในพระเจ้า ไม่เคยกล้ารับรองหรือมีแนวคิดอะไรที่ไม่อยู่กับความเป็นจริง ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่ได้รับคำรับรองหรือคำสัญญาใดๆ พวกเขาจึงทุ่มเทพละกำลังมากมายและทุ่มเทความพยายามมากมายในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขามุ่งเน้นการทนทุกข์และจ่ายราคา และจะทำให้มากกว่าผู้อื่นและเด่นกว่าผู้อื่นเสมอ คิดไปว่า “ฉันจะเป็นคนแรกที่ทนทุกข์และคนสุดท้ายที่จะสุขใจ” พวกเขาจูงใจตัวเองตลอดเวลาด้วยคติประจำใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถขับไล่ความกลัวและความวิตกกังวลลึกๆ ในตัวพวกเขาเรื่องโรคที่แฝงอยู่ในตัวได้ และความวิตกกังวลนี้ ความทุกข์ใจนี้ก็อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา แม้พวกเขาจะสามารถสู้ทนความทุกข์และงานหนัก เต็มใจที่จะจ่ายราคาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าตนนั้นไม่สามารถได้คำสัญญาจากพระเจ้าหรือพระวจนะอันเที่ยงตรงจากพระเจ้าในเรื่องดังกล่าว ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลในเรื่องนี้ต่อไป แม้พวกเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ทำอะไรกับโรคที่แฝงอยู่ในตัว แต่โดยจิตใต้สำนึกแล้ว บางครั้งบางคราวพวกเขาก็ยังคงมองหาตำรับยาพื้นบ้านสารพัดอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้โรคที่แฝงตัวอยู่นั้นพลันเกิดกับตนในวันใดวันหนึ่ง เวลาใดเวลาหนึ่ง หรือโดยที่พวกเขาไม่ทันตระหนัก บางคนอาจเตรียมยาสมุนไพรจีนไว้ใช้เป็นครั้งคราว ในบางโอกาสบางคนก็ไปขอวิธีเตรียมยาพื้นบ้านที่ตนสามารถใช้ได้เมื่อจำเป็น ขณะที่บางคนก็ค้นหาเกร็ดการออกกำลังกายทางอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งคราว เพื่อให้ตนสามารถออกกำลังกายและลองอะไรใหม่ๆ ได้ แม้จะเป็นเพียงโรคที่แฝงตัวอยู่ แต่พวกเขาก็ครุ่นคิดถึงโรคนี้ตลอดเวลา แม้ผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้รู้สึกไม่สบายหรือมีอาการใดๆ เลย แต่พวกเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลและความกระวนกระวายในเรื่องนี้ รู้สึกทุกข์ใจและหดหู่อยู่ลึกๆ ด้วยเรื่องนี้ หวังอยู่เสมอว่าจะแก้ไขหรือขจัดภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไปจากใจได้ด้วยการอธิษฐานหรือการปฏิบัติหน้าที่ของตน ผู้คนที่เป็นโรคหรือมีโรคแฝงอยู่นี้ รวมทั้งผู้ที่วิตกกังวลว่าจะเจ็บป่วยในอนาคต ผู้ที่เกิดมาสุขภาพไม่ดี ผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แต่ก็ทนทุกข์กับการเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ ผู้คนเหล่านี้รู้สึกทุกข์ใจและวิตกกังวลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและความยุ่งยากต่างๆ นานาของเนื้อหนังตลอดเวลา พวกเขาอยากหลบลี้ อยากหนีไปให้พ้น แต่ก็ไม่มีหนทางให้ทำเช่นนั้น พวกเขาอยากปล่อยมือจากมัน แต่ก็ทำไม่ได้ พวกเขาอยากขอให้พระเจ้าเอาโรคภัยไข้เจ็บและความยุ่งยากเหล่านี้ไปจากตน แต่ก็พูดไม่ออกและรู้สึกกระดากใจ เพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่มีเหตุอันควรที่จะขออะไรแบบนี้ พวกเขารู้ดีว่าไม่ควรวิงวอนขอเรื่องเหล่านี้จากพระเจ้า แต่พวกเขาก็รู้สึกอับจนหนทางอยู่ในหัวใจ พวกเขานึกสงสัยว่าถ้าตนฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่พระเจ้า พวกเขาจะรู้สึกสบายใจขึ้นหรือไม่ และมโนธรรมของพวกเขาจะได้รับการปลอบประโลมหรือไม่? เพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงอธิษฐานเรื่องนี้เงียบๆ เป็นครั้งคราวอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของตน ถ้าพวกเขาได้รับการเกื้อกูลบางอย่างหรือพระคุณจากพระเจ้าเพิ่มเติมหรืออย่างไม่คาดคิด พวกเขาย่อมรู้สึกเบิกบานหรือชูใจอยู่บ้าง ถ้าพวกเขาไม่ได้รับการเอาใจใส่เป็นพิเศษจากพระนิเวศของพระเจ้าเลย และไม่รู้สึกถึงความเมตตาจากพระเจ้าแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมถลำเข้าสู่ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง แม้การเกิด แก่ เจ็บ และตายจะเป็นเรื่องที่เกิดอยู่เสมอในหมู่มวลมนุษย์และหลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต แต่ก็มีผู้ที่มีอาการทางกายหรือมีโรคพิเศษบางอย่าง ตกอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเพราะความยุ่งยากและโรคภัยของเนื้อหนังไม่ว่าคนเหล่านั้นจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่หรือไม่ก็ตาม พวกเขาวิตกกังวลเรื่องโรคภัยของตน วิตกกังวลเรื่องความยากลำบากมากมายที่อาจเกิดจากโรคภัยของตน กังวลว่าโรคของตนจะร้ายแรงหรือไม่ ถ้าร้ายแรง ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร และพวกเขาจะตายเพราะโรคหรือไม่ ในสถานการณ์ที่พิเศษและในบริบทบางอย่าง คำถามเหล่านี้ทำให้พวกเขาจมปลักอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล ไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ บางคนถึงขั้นใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล เพราะโรคร้ายที่พวกเขารู้อยู่แล้วว่าตนเป็น หรือเพราะโรคที่แฝงตัวอยู่ซึ่งพวกเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงมันได้ และพวกเขาก็ถูกภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ครอบงำ ส่งผล และควบคุมเอาไว้ เมื่อตกอยู่ภายใต้การควบคุมของภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ บางคนก็ทิ้งโอกาสและความหวังทั้งปวงที่จะได้รับความรอดไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเลือกที่จะทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ของตนและแม้กระทั่งโอกาสที่จะได้รับความเมตตาจากพระเจ้า แต่พวกเขากลับเลือกที่จะเผชิญหน้าและรับมือโรคภัยของตนโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากใครอื่นและไม่รอโอกาสใดๆ พวกเขาอุทิศตนให้กับการรักษาโรคของตน ไม่ปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป และต่อให้ร่างกายของพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ พวกเขาก็ไม่ทำอยู่ดี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? พวกเขากังวลว่า “ถ้าโรคของฉันยังเป็นอย่างนี้ต่อไป และพระเจ้าไม่ทรงรักษาฉันให้หาย ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างที่ทำอยู่ในตอนนี้ก็ได้ แล้วก็ตายในท้ายที่สุดอยู่ดี ถ้าฉันเลิกปฏิบัติหน้าที่และแสวงหาวิธีรักษา ฉันย่อมจะมีชีวิตอยู่ได้อีกสองปี และบางทีอาจจะหายขาดจากโรคได้ด้วยซ้ำ ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ต่อไปและพระเจ้าไม่ตรัสว่าพระองค์จะทรงรักษาฉันให้หาย สุขภาพของฉันก็อาจจะถึงกับแย่ลง ฉันไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตนไปอีก 10 หรือ 20 ปี แล้วก็ตาย ฉันอยากมีชีวิตอยู่อีกสักสองสามปี ฉันไม่อยากตายไวอย่างนั้น เร็วอย่างนั้น!” ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ระยะหนึ่ง สังเกตการณ์อยู่สักพัก และพวกเราก็สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาเฝ้าดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสงสัยว่า “ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนมาพักหนึ่งแล้ว แต่โรคภัยของฉันก็ไม่ได้ดีขึ้นและไม่ได้ทุเลาลงเลย ดูเหมือนไม่มีหวังว่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ก่อนนั้นฉันวางแผนเอาไว้ คิดว่าถ้าตัวเองทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสัตย์ซื่อ บางทีพระเจ้าอาจจะทรงเอาโรคนี้ไปจากฉัน แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ฉันวางแผน คิด และตั้งความปรารถนาเอาไว้ โรคภัยของฉันยังเป็นเหมือนที่เคยเป็นอยู่ดี เวลาล่วงเลยไปหลายปีแล้ว และโรคนี้ก็ยังไม่ทุเลาลงแต่อย่างใด ดูเหมือนฉันต้องรักษาโรคนี้ด้วยตัวเอง ฉันไม่อาจพึ่งพาใครอื่นได้ ไม่มีใครอื่นให้ฉันพึ่งพาได้ ฉันต้องคว้าชะตากรรมของตัวเองมาไว้ในมือ ตอนนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนาไปมากแล้ว การแพทย์ก็เช่นกัน มีตัวยาที่มีประสิทธิผลไว้รักษาโรคสารพัดชนิด และมีวิธีรักษาที่ก้าวหน้าสำหรับทุกสิ่ง ฉันมั่นใจว่าโรคนี้จะรักษาได้” เมื่อวางแผนดังนั้นแล้ว พวกเขาก็เริ่มค้นหาทางออนไลน์หรือถามไถ่ไปทั่วและสอบถามข้อมูล จนในที่สุดพวกเขาก็พบทางออกบางอย่าง ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะใช้ยาตัวไหน จะรักษาโรคของตนอย่างไร ออกกำลังกายอย่างไร และจะดูแลสุขภาพของตนอย่างไร พวกเขาคิดไปว่า “ถ้าฉันไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และมุ่งรักษาโรคนี้ เช่นนั้นก็มีหวังที่จะหายขาด มีคนที่หายขาดจากโรคชนิดนี้อยู่มากมายหลายราย” หลังจากวางแผนและออกอุบายแบบนี้อยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ตัดสินใจในที่สุดที่จะไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป และการรักษาโรคของตนก็กลายเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของพวกเขา—สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่ ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขากลายเป็นการกระทำชนิดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ความกระวนกระวายและความวิตกกังวลของพวกเขาเปลี่ยนจากการเป็นเพียงความคิดไปสู่การกระทำอย่างหนึ่ง ผู้ไม่มีความเชื่อมีคำกล่าวอย่างหนึ่งว่า “การกระทำย่อมดีกว่าความคิด และที่ยิ่งดีกว่าทำก็คือทำทันที” ผู้คนแบบนี้คิดแล้วจึงทำ และพวกเขาก็ลงมือทำอย่างฉับไว วันหนึ่งพวกเขาคิดเรื่องการรักษาโรคของตน แล้วรุ่งขึ้นพวกเขาก็เก็บข้าวของพร้อมจากไป ไม่กี่เดือนต่อมาก็มีข่าวร้ายว่าพวกเขาตายโดยที่ไม่ทันรักษาโรคของตนให้หายขาด พวกเขาหายจากโรคหรือไม่? (ไม่) การรักษาโรคให้หายขาดด้วยตัวเจ้าเองนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นไปได้ แต่เป็นเรื่องแน่นอนหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ป่วยเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า? ไม่มีใครสัญญากับเจ้าเช่นนั้นได้ แล้วเจ้าควรเลือกอย่างไร เจ้าควรรับมือเรื่องการเจ็บป่วยอย่างไร? นี่ง่ายมากและมีเพียงทางเดียวให้เดินคือไล่ตามเสาะหาความจริง จงไล่ตามเสาะหาความจริงและมองเรื่องราวตามพระวจนะของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง—ผู้คนควรมีความเข้าใจตามนี้ แล้วเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร? เจ้านำประสบการณ์ทั้งหมดนี้ นำความเข้าใจที่ได้และหลักธรรมความจริงที่เจ้าเข้าใจตามความจริงและพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ และทำให้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า รวมทั้งชีวิตของเจ้า—นี่คือแง่หนึ่ง อีกแง่หนึ่งก็คือว่าเจ้าต้องไม่ทิ้งหน้าที่ของตน ไม่ว่าเจ้าจะป่วยหรือเจ็บปวดอยู่ก็ตาม ตราบใดที่เจ้ายังมีลมหายใจเหลืออยู่สักห้วงหนึ่ง ตราบใดที่เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่เจ้ายังสามารถพูดได้เดินได้ ตราบนั้นเจ้าย่อมมีกำลังวังชาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าก็ควรประพฤติตัวให้ดีขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยสองเท้าที่ยืนหยัดมั่นคงอยู่กับพื้น เจ้าต้องไม่ทิ้งหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือความรับผิดชอบที่พระผู้สร้างมอบหมายให้เจ้าทำ ตราบใดที่เจ้ายังไม่ตาย เจ้าก็ควรทำหน้าที่ของเจ้าให้เสร็จสิ้นและลุล่วงเป็นอย่างดี บางคนกล่าวว่า “สิ่งที่พระองค์ตรัสมานี้ไม่ค่อยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นเท่าใดนัก ข้าพระองค์ป่วยและทนรับอาการได้ยาก!” เมื่อมันยากสำหรับเจ้า เจ้าก็พักได้ เจ้าสามารถดูแลตัวเองและเข้ารับการรักษาได้ ถ้าเจ้ายังอยากปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่ เจ้าก็สามารถลดปริมาณงานของเจ้าลงได้และปฏิบัติหน้าที่บางอย่างที่เหมาะสม หน้าที่ที่ไม่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเจ้า นี่ย่อมจะพิสูจน์ว่าในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ของตน หัวใจของเจ้าไม่ได้ออกห่างจากพระเจ้า เจ้าไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และในหัวใจของเจ้า เจ้าก็ไม่ได้ละทิ้งความประสงค์ที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ถูกควร บางคนกล่าวว่า “ฉันทำทั้งหมดนั้นแล้ว ฉะนั้นพระเจ้าจะทรงเอาความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ไปจากฉันหรือไม่?” พระองค์จะทรงทำเช่นนั้นหรือไม่? (ไม่จำเป็น) ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเอาโรคนั้นไปจากเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าหายขาดหรือไม่ สิ่งที่เจ้าทำก็คือเรื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำ ไม่ว่าร่างกายของเจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะรับงานใดๆ ไปทำได้หรือไม่ ไม่ว่าสุขภาพของเจ้าจะเปิดทางให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหรือไม่ หัวใจของเจ้าก็ต้องไม่ออกห่างจากพระเจ้า และในหัวใจ เจ้าก็ต้องไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน เมื่อเป็นดังนี้ เจ้าจึงจะลุล่วงความรับผิดชอบ ภาระผูกพัน และหน้าที่ของตน—นี่คือความสัตย์ซื่อที่เจ้าควรยึดถือเอาไว้ เจ้าต้องไม่คิดว่าพระเจ้าควรที่จะรักษาเจ้าเพียงเพราะเจ้าไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยมือของเจ้า หรือไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป หรือดวงตาของเจ้ามองไม่เห็นอีกแล้ว หรือเจ้าไม่สามารถขยับร่างกายได้อีกแล้ว และถ้าพระองค์ไม่ทรงรักษาเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อยากปฏิเสธพระองค์อยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของตน อยากละทิ้งหน้าที่ของตน และทิ้งพระเจ้าไว้ข้างหลัง ธรรมชาติของการทำเช่นนี้คืออะไร? (คือการทรยศพระเจ้า) นี่คือการทรยศ! เวลาที่พวกเขาไม่ได้เจ็บป่วย บางคนก็มักจะมาเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่ออธิษฐาน และพอพวกเขาเจ็บป่วยและหวังว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพวกเขา ฝากความหวังทั้งหมดของพวกเขาไว้ที่พระเจ้า พวกเขาก็จะยังคงมาเบื้องหน้าพระเจ้าและไม่ทอดทิ้งพระองค์ อย่างไรก็ดี หลังผ่านไประยะหนึ่งและพระเจ้ายังคงไม่รักษาพวกเขาให้หายขาด พวกเขาก็ผิดหวังในพระเจ้า ลึกๆ ในหัวใจนั้นพวกเขาทอดทิ้งพระเจ้า และพวกเขาก็ละทิ้งหน้าที่ของตน เมื่อโรคภัยของพวกเขาไม่ได้เลวร้ายมากนักและพระเจ้าไม่ได้ทรงรักษาพวกเขา บางคนก็ไม่ได้ทิ้งพระเจ้าไป อย่างไรก็ดี พอโรคของพวกเขาร้ายแรงขึ้นมา และพวกเขาเผชิญหน้าความตาย เมื่อนั้นพวกเขาจึงรู้แน่ว่าแท้จริงพระเจ้าไม่ได้ทรงรักษาพวกเขาเลย ตลอดเวลามานี้พวกเขาเฝ้ารอเพียงเพื่อที่จะรอคอยความตายเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงทอดทิ้งและปฏิเสธพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตน พวกเขาเชื่อว่าถ้าพระเจ้าไม่ทรงรักษาพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ต้องไม่มีอยู่จริง และถ้าพระเจ้าไม่ทรงรักษาพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็ต้องไม่ใช่พระเจ้าแต่อย่างใด และไม่คู่ควรที่จะเชื่อ ด้วยเหตุที่พระเจ้าไม่ทรงรักษาพวกเขา พวกเขาจึงเสียใจที่เคยเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาก็เลิกเชื่อในพระองค์ นี่คือการทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ? นี่คือการทรยศพระเจ้าอย่างร้ายแรง เพราะฉะนั้น เจ้าต้องไม่เดินไปทางนั้นอย่างเด็ดขาด—มีแต่ผู้ที่นบนอบพระเจ้าจนตายเท่านั้นที่มีความเชื่อที่แท้จริง
เมื่อโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน ผู้คนควรเดินไปตามเส้นทางแบบใด? พวกเขาควรเลือกอย่างไร? ผู้คนไม่ควรจมจ่อมอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล และไม่ควรใคร่ครวญความน่าจะเป็นและเส้นทางในอนาคตของตน ในทางตรงข้าม ยิ่งผู้คนตกอยู่ในห้วงเวลาแบบนี้ ในสถานการณ์และบริบทที่พิเศษเช่นนี้ และยิ่งพวกเขาตกอยู่ในความลำบากอย่างกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งควรแสวงหาความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้น คำเทศนาที่เจ้าได้ฟังในเวลาที่ผ่านมาและความจริงที่เจ้าเข้าใจจึงจะไม่สูญเปล่าและให้ผล ยิ่งเจ้าตกอยู่ในความยุ่งยากเช่นนี้ เจ้าก็ยิ่งควรทิ้งความอยากได้อยากมีของเจ้าเองและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาและจัดเตรียมภาวะเหล่านี้ให้เจ้านั้นไม่ใช่เพื่อที่จะทำให้เจ้าจมจ่อมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล และไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถทดสอบพระเจ้าเพื่อดูว่าพระองค์จะทรงรักษาเจ้าให้หายขาดหรือไม่เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา โดยใช้การนั้นหยั่งเชิงดูว่าความจริงของเรื่องเป็นเช่นไร พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์และภาวะพิเศษเหล่านี้ให้เจ้าก็เพื่อให้เจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในสถานการณ์และภาวะดังกล่าว ให้เจ้าบรรลุการเข้าสู่ความจริงและการนบนอบพระเจ้าได้มากขึ้น และเพื่อให้เจ้ารู้ชัดและถูกต้องยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งปวงอย่างไร ชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกได้หรือไม่ในเรื่องนี้ ไม่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะตระหนักรู้เรื่องนี้หรือไม่ พวกเขาก็ควรนบนอบและไม่ขัดขืน ไม่ปฏิเสธ และแน่นอนว่าไม่ทดสอบพระเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ย่อมจะตาย และถ้าเจ้าขัดขืน ปฏิเสธ และทดสอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องพูดเลยว่าปลายทางของเจ้าจะเป็นเช่นใด ในทางกลับกัน ถ้าในสถานการณ์และภาวะแบบเดียวกันนั้น เจ้าสามารถแสวงหาว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างอย่างไร แสวงหาว่าเจ้าพึงเรียนรู้บทเรียนใดและเจ้าต้องทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามข้อใดในสถานการณ์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาให้เจ้า ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในสถานการณ์ดังกล่าว และเป็นคำพยานที่ดีเพื่อให้ทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เมื่อพระเจ้าทรงจัดแจงให้ใครบางคนเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจะหนักหรือเบา จุดประสงค์ของพระองค์ในการทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่การทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของการไม่สบาย ว่าโรคภัยทำร้ายเจ้าอย่างไร ความเจ็บไข้ได้ป่วยสร้างความทุกข์ยากและความลำบากให้เจ้าอย่างไร และรู้ถึงความรู้สึกนานัปการที่โรคภัยไข้เจ็บจะก่อให้เจ้า—จุดประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ารู้จักความเจ็บป่วยผ่านทางการไม่สบาย แต่จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อให้เจ้าเรียนรู้บทเรียนจากอาการป่วย เรียนรู้วิธีที่จะรู้สึกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาและท่าทีผิดๆ ที่เจ้าใช้กับพระเจ้าเวลาเจ้าไม่สบาย และเรียนรู้ว่าจะนบนอบอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร เพื่อให้เจ้าสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า—แน่นอนว่านี่คือกุญแจสำคัญ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยเจ้าให้รอดและชำระเจ้าให้สะอาดผ่านทางความเจ็บป่วย พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระสิ่งใดในตัวเจ้าให้สะอาด? พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระล้างความอยากและข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อทั้งปวงที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และถึงขั้นชำระล้างแผนการ การตัดสิน และกลอุบายต่างๆ ที่เจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดและการดำรงชีวิตไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าสร้างแผนการขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าตัดสิน และไม่ได้ทรงเปิดโอกาสให้เจ้ามีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อต่อพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเพียงว่าให้เจ้านบนอบพระองค์ และในการปฏิบัติและประสบการณ์แห่งการนบนอบของเจ้า ก็ให้รู้ท่าทีที่เจ้าเองมีต่อความเจ็บป่วย รู้ท่าทีที่เจ้ามีต่ออาการทางกายเหล่านี้ที่พระองค์ประทานแก่เจ้า ตลอดจนความปรารถนาส่วนตนของเจ้าเอง เมื่อเจ้ามารู้จักสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะรู้ซึ้งได้ว่าการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมรูปการณ์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้เจ้าหรือประทานอาการทางกายเหล่านี้แก่เจ้า เป็นผลดีต่อเจ้าเพียงใด และเจ้าย่อมจะรู้ซึ้งได้ว่าทั้งหมดนี้ช่วยเปลี่ยนอุปนิสัยของเจ้า ช่วยให้เจ้าได้รับความรอด และช่วยเกื้อกูลการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ามากเพียงใด นั่นคือสาเหตุที่เมื่อโรคภัยมาเยือน เจ้าต้องไม่นึกสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าจะหลบลี้หรือหนีไปหรือปฏิเสธโรคภัยไข้เจ็บนั้นได้อย่างไร บางคนกล่าวว่า “พระองค์ตรัสว่าข้าพระองค์ต้องไม่หนีหรือปฏิเสธ ข้าพระองค์ต้องไม่พยายามหลบลี้ ดังนั้นความหมายของพระองค์ก็คือข้าพระองค์ต้องไม่เข้ารับการรักษา!” เราไม่เคยกล่าวเช่นนั้น นั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของเจ้า เราสนับสนุนให้เจ้ากระตือรือร้นที่จะรักษาโรคของตน แต่เราก็ไม่อยากให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วยหรือตกอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเพราะผลกระทบที่เกิดจากโรคภัยของเจ้า จนในที่สุดเจ้าก็ออกห่างและทอดทิ้งพระเจ้าเพราะความเจ็บปวดทั้งปวงที่เกิดจากโรคภัยของเจ้า ถ้าโรคภัยของเจ้าทำให้เจ้ามีความทุกข์มากนักและเจ้าอยากเข้ารับการรักษา อยากให้โรคของเจ้าหาย เช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่านั่นย่อมเป็นเรื่องดี นั่นเป็นสิทธิ์ของเจ้า เจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะเข้ารับการรักษา และไม่มีใครมีสิทธิ์ยับยั้งเจ้า อย่างไรก็ดี เจ้าต้องไม่ใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บป่วยและไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ของตน หรือทิ้งหน้าที่ของตน หรือปฏิเสธการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้าเพราะเจ้ารับการรักษาอยู่ ถ้าโรคภัยของเจ้าไม่อาจหายขาดได้ เจ้าก็จะตกอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล และจะเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและความสงสัยในพระเจ้าด้วยเหตุนั้น และถึงกับสูญสิ้นความเชื่อในพระเจ้า หมดหวัง และบางคนก็เลือกที่จะทิ้งหน้าที่ของตน—นี่คือสิ่งที่เจ้าไม่ควรทำโดยแท้ เวลาเผชิญโรคภัย เจ้าอาจแข็งขันที่จะแสวงหาการรักษา แต่เจ้าก็ควรรับมือโรคภัยด้วยท่าทีที่เป็นบวกเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ว่าโรคของเจ้าควรที่จะรักษาได้มากเท่าใดและจะหายขาดได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในท้ายที่สุด เจ้าก็ควรนบนอบอยู่เสมอและไม่พร่ำบ่น นี่คือท่าทีที่เจ้าควรใช้ เพราะเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าไม่สามารถกล่าวว่า “ถ้าฉันหายขาดจากโรคนี้ เช่นนั้นแล้วฉันก็จะเชื่อว่าเป็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่ถ้าฉันไม่หาย เช่นนั้นแล้วฉันก็จะไม่พอใจพระเจ้า ทำไมพระเจ้าถึงประทานโรคนี้แก่ฉัน? ทำไมพระองค์ถึงไม่รักษาโรคนี้ให้หาย? ทำไมฉันถึงเป็นโรคนี้ แล้วคนอื่นไม่เป็น? ฉันไม่อยากเป็น! ทำไมฉันถึงต้องตายเร็วอย่างนี้ทั้งที่อายุน้อยขนาดนี้? ทำไมคนอื่นถึงมีชีวิตกันต่อไป? ทำไม?” จงอย่าถามว่าทำไม นี่คือการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ไม่มีเหตุผล และเจ้าก็ไม่ควรถามว่าทำไม การถามว่าทำไมคือคำสนทนาที่เป็นกบฏ และนี่ก็ไม่ใช่คำถามที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรถาม จงอย่าถามว่าทำไม ไม่มีสาเหตุ พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งทั้งหลายและวางแผนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เช่นนี้เอง ถ้าเจ้าถามว่าทำไม เช่นนั้นแล้วก็กล่าวได้แต่เพียงว่าเจ้าเป็นกบฏเกินไป ดื้อแพ่งเกินไป เมื่อมีสิ่งที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ หรือพระเจ้าไม่ทรงทำตามที่เจ้าต้องการหรือไม่ปล่อยให้เจ้าทำตามใจชอบ เจ้าย่อมไม่มีความสุข เกิดความไม่พอใจ และถามอยู่เสมอว่าทำไม ดังนั้นพระเจ้าย่อมตรัสถามเจ้าบ้างว่า “ในฐานะสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิต ทำไมเจ้าถึงไม่ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี? ทำไมเจ้าถึงไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ?” แล้วเจ้าจะตอบว่าอย่างไร? เจ้าย่อมตอบว่า “ไม่มีสาเหตุ ข้าพระองค์เพียงแต่เป็นเช่นนี้เท่านั้น” นั่นเป็นที่ยอมรับกันหรือไม่? (ไม่) นั่นเป็นที่ยอมรับเมื่อพระเจ้าตรัสกับเจ้าเช่นนั้น แต่ไม่เป็นที่ยอมรับเมื่อเจ้าพูดกับพระเจ้าแบบนั้น มุมมองของเจ้าผิด และเจ้าก็ไร้สำนึกเกินไป ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะเผชิญเรื่องยุ่งยากเช่นใด ก็เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ที่เจ้าจะพึงนบนอบการจัดเตรียมและการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้าง ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของเจ้าให้กำเนิดเจ้า เลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ และเจ้าก็เรียกพวกเขาว่าแม่และพ่อ—นี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ และนี่ก็เป็นอย่างที่ควรเป็นแล้ว ไม่มีเหตุผลว่าทำไม แล้วพระเจ้าก็ทรงจัดวางเรียบเรียงทั้งหมดนี้ให้แก่เจ้า ไม่ว่าเจ้าจะได้ชื่นชมพรหรือทนทุกข์กับความยากลำบาก นี่ก็เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้เช่นกัน และเจ้าก็ไม่มีทางเลือกในเรื่องนี้ ถ้าเจ้าสามารถนบนอบจวบจนวาระสุดท้ายได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะได้รับความรอดเหมือนที่เปโตรได้รับ อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าตำหนิพระเจ้า ทอดทิ้งพระเจ้า และทรยศพระเจ้าเพราะโรคภัยชั่วคราวบางอย่าง เช่นนั้นแล้วการละทิ้ง การสละ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และการจ่ายราคาที่เจ้าเคยทำมาก่อน ทั้งหมดนั้นย่อมจะสูญเปล่า นี่เป็นเพราะงานหนักที่เจ้าเคยทำมาทั้งหมดย่อมจะไม่ได้วางรากฐานไว้ให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีหรือเข้าประจำที่ทางอันถูกควรในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างแต่อย่างใด และไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดในตัวเจ้าเลย และแล้วนี่ย่อมจะทำให้เจ้าทรยศพระเจ้าเพราะความเจ็บป่วยของเจ้า และวาระสุดท้ายของเจ้าก็จะเป็นเช่นเปาโล ถูกลงโทษในที่สุด สาเหตุที่มีความมุ่งมั่นเช่นนี้ก็เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำมาโดยตลอดนั้นเป็นไปเพื่อให้เจ้าสามารถได้รับมงกุฎและเพื่อการได้รับพร ในที่สุดเมื่อเจ้าเผชิญโรคภัยและความตาย ถ้าเจ้ายังคงนบนอบได้โดยไม่พร่ำบ่น นั่นย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เจ้าเคยทำไว้นั้นทำไปด้วยความจริงใจและเต็มใจเพื่อพระเจ้า เจ้านบนอบพระเจ้า และท้ายที่สุดความนบนอบของเจ้าก็จะเป็นเครื่องหมายแห่งบทอวสานที่สมบูรณ์แบบของชีวิตที่มีความเชื่อในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมชมเชยเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น โรคภัยสามารถทำให้เจ้ามีบทอวสานที่ดีได้ หรืออาจทำให้เจ้ามีบทอวสานที่ไม่ดีก็ได้ บทอวสานชนิดที่เจ้าจะลงเอยด้วยนั้นขึ้นอยู่กับเส้นทางที่เจ้าเดินและท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า
ทีนี้ปัญหาเรื่องที่ผู้คนตกอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบเพราะโรคภัยก็ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) คราวนี้พวกเจ้าก็มีแนวคิดและทัศนะที่ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่ว่าควรเผชิญหน้าโรคภัยอย่างไร? (ใช่) พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าควรปฏิบัติตามนี้อย่างไร? ถ้าไม่รู้ เราจะให้เคล็ดลับแก่เจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เจ้าพึงทำ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคืออะไร? ถ้าเจ้าเป็นโรค และไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจคำสอนมากเท่าใด เจ้าก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามมันได้ หัวใจของเจ้าย่อมจะเป็นทุกข์ กระวนกระวาย และวิตกกังวลอยู่ดี และไม่เพียงเจ้าจะไม่สามารถเผชิญเรื่องนี้ได้ด้วยความสงบนิ่งเท่านั้น แต่หัวใจของเจ้าจะเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นอีกด้วย เจ้าจะสงสัยตลอดเวลาว่า “ทำไมคนอื่นถึงไม่ป่วยเป็นโรคนี้? ทำไมถึงให้ฉันเป็นโรคนี้? นี่เกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร? เป็นเพราะฉันโชคไม่ดีและมีชะตากรรมที่ไม่ดี ฉันไม่เคยล่วงเกินใครและไม่เคยทำบาปอะไร แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นกับฉัน? พระเจ้าไม่ยุติธรรมกับฉันเอามากๆ!” เจ้าดูเถิด นอกจากความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลแล้ว เจ้ายังตกอยู่ในความหดหู่อีกด้วย เกิดภาวะอารมณ์เชิงลบตามกันมาติดๆ และไม่มีหนทางที่จะหนีพ้นไม่ว่าเจ้าจะอยากหนีไปให้พ้นมากเพียงใดก็ตาม เนื่องจากนี่เป็นโรคที่เกิดขึ้นจริง จึงไม่ง่ายที่จะเอาไปจากเจ้าหรือรักษาให้หายขาด แล้วเจ้าควรทำอย่างไร? เจ้าอยากนบนอบ แต่เจ้าก็ทำไม่ได้ และถ้าวันหนึ่งเจ้านบนอบ วันถัดมาอาการของเจ้าเกิดแย่ลงและทำให้เจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นเจ้าก็ไม่อยากนบนอบอีกต่อไป และเจ้าเริ่มบ่นอีก เจ้ากลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ดังนั้นเจ้าควรทำเช่นไร? ให้เราบอกเคล็ดลับแห่งความสำเร็จแก่เจ้าเถิด ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญโรคภัยที่หนักหรือเบาก็ตาม ชั่วขณะที่ความเจ็บป่วยของเจ้าร้ายแรงขึ้นมาหรือเจ้ากำลังเผชิญหน้าความตาย จงจำไว้เพียงอย่างเดียวว่า อย่ากลัวความตาย ต่อให้เจ้าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ต่อให้โรคที่เจ้าเป็นมีอัตราการตายสูงมาก ก็จงอย่าได้เกรงกลัวความตาย ไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด หากเจ้าเกรงกลัวความตาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่นบนอบ บางคนกล่าวว่า “ได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนี้ ข้าพระองค์รู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจและมีแนวคิดที่ดีขึ้นด้วยซ้ำ ไม่เพียงข้าพระองค์จะไม่เกรงกลัวความตายเท่านั้น แต่จะร้องขอความตายด้วย นั่นย่อมจะทำให้ผ่านพ้นไปง่ายขึ้นไม่ใช่หรือ?” จะร้องขอความตายไปทำไม? การร้องขอความตายเป็นแนวคิดที่สุดโต่ง ขณะที่การไม่เกรงกลัวความตายเป็นการใช้ท่าทีที่สมเหตุสมผล ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ท่าทีที่ถูกต้องที่เจ้าควรใช้เพื่อที่จะไม่เกรงกลัวความตายนั้นเป็นเช่นไร? ถ้าโรคภัยของเจ้าร้ายแรงจนเจ้าอาจตาย และอัตราการตายของโรคนั้นก็สูงไม่ว่าคนที่เป็นโรคจะอยู่ในวัยใดก็ตาม และช่วงเวลาตั้งแต่ผู้คนติดโรคจนถึงตอนที่พวกเขาตายก็สั้นมาก เจ้าควรคิดอยู่ในใจว่าอย่างไร? “ฉันต้องไม่กลัวความตาย ทุกคนย่อมตายในท้ายที่สุด อย่างไรก็ดี การนบนอบพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ และฉันก็สามารถใช้โรคนี้มาฝึกฝนการนบนอบพระเจ้า ฉันควรมีการคิดอ่านและท่าทีที่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันต้องไม่กลัวความตาย” การตายนั้นง่าย ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่มากนัก เจ้าอาจเจ็บปวดสุดขีดก็ได้ แล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก ทันทีที่ดวงตาของเจ้าปิดสนิท ลมหายใจของเจ้าขาดหาย ดวงจิตของเจ้าย่อมออกจากร่าง และชีวิตของเจ้าก็สิ้นสุด ความตายดำเนินไปเช่นนี้ ง่ายเช่นนี้ การไม่กลัวความตายคือท่าทีอย่างหนึ่งที่ควรนำมาใช้ นอกจากนี้เจ้าต้องไม่กังวลว่าโรคภัยของเจ้าจะแย่ลงหรือไม่ หรือเจ้าจะตายหรือไม่ถ้าไม่อาจหายขาดได้ หรืออีกนานไหมกว่าเจ้าจะตาย หรือพอถึงเวลาตาย เจ้าจะเจ็บปวดอย่างไร เจ้าต้องไม่วิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวลถึง นี่เป็นเพราะวันนั้นต้องมาถึง และต้องมาสักปี สักเดือน และสักวันหนึ่ง เจ้าไม่อาจซ่อนตัวจากมันได้และไม่สามารถหนีพ้น—นั่นคือชะตากรรมของเจ้า สิ่งที่เจ้าเรียกว่าชะตากรรมนั้นถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และพระองค์ก็ทรงจัดเตรียมไว้แล้ว อายุขัยของเจ้า วัยและเวลาที่เจ้าตาย พระเจ้าก็ทรงกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นเจ้าจะกังวลอะไร? เจ้าจะกังวลก็ได้ แต่นั่นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด เจ้าวิตกได้ แต่เจ้าก็จะไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น เจ้าจะวิตกกังวลเรื่องความตายก็ได้ แต่เจ้าก็หยุดยั้งไม่ให้วันนั้นมาถึงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความกังวลของเจ้าจึงมากเกินควร และมีแต่จะทำให้โรคภัยของเจ้าเป็นภาระที่หนักอึ้งยิ่งขึ้น ในด้านหนึ่งคือไม่วิตกกังวล อีกด้านหนึ่งคือการไม่กลัวความตาย และอีกด้านหนึ่งก็คือการไม่รู้สึกกระวนกระวายพลางพูดไปว่า “พอฉันตาย สามีของฉัน (หรือภรรยา) จะแต่งงานใหม่หรือไม่? ใครจะดูแลลูกของฉัน? ใครจะรับทำหน้าที่ต่อจากฉัน? ใครจะจดจำฉันบ้าง? หลังจากที่ฉันตาย พระเจ้าจะทรงกำหนดปลายทางแบบใดให้ฉัน?” เรื่องราวแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรวิตกกังวล ทุกคนที่ตายล้วนมีที่อันถูกควรให้ไป และพระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ไว้แล้ว ผู้ที่มีชีวิตก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป การดำรงอยู่ของใครคนหนึ่งจะไม่ส่งผลต่อกิจกรรมตามปกติและการอยู่รอดของมวลมนุษย์ และการหายไปของใครคนหนึ่งก็จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรวิตกกังวล ไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลถึงญาติพี่น้องทั้งหลายของเจ้า และยิ่งไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลว่าใครจะจำเจ้าได้หรือไม่หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว การมีคนจดจำเจ้าได้จะมีประโยชน์อะไร? ถ้าเจ้าเป็นอย่างเปโตร เช่นนั้นแล้วย่อมจะมีคุณค่าบางอย่างในการจดจำเจ้าเอาไว้ ถ้าเจ้าเป็นอย่างเปาโล เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าจะนำมาให้ผู้คนย่อมจะมีแต่ความหายนะ แล้วจะมีคนอยากจดจำเจ้าเอาไว้ด้วยเหตุใด? มีอีกเรื่องที่วิตกกังวลกันซึ่งเป็นหนึ่งในความคิดที่อยู่กับความเป็นจริงที่สุดที่ผู้คนมี พวกเขากล่าวว่า “พอฉันตายก็จะไม่มีวันได้มองดูโลกนี้อีก และจะไม่มีวันสุขสำราญกับชีวิตทางวัตถุที่เป็นสิ่งทั้งปวงนี้ได้อีก ทันทีที่ฉันตาย ก็ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะเกี่ยวข้องกับฉันอีกแล้ว และความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่ก็จะหายไปด้วย พอตายแล้ว ฉันจะไปไหน?” ที่ที่เจ้าไปไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวลถึง และไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรรู้สึกกระวนกระวายด้วย เจ้าจะไม่ใช่คนเป็นอีกต่อไป แต่เจ้ากลับวิตกกังวลว่าจะไม่มีวันสามารถรู้สึกถึงผู้คน เหตุการณ์ สิ่งทั้งหลาย สภาพแวดล้อม และอื่นๆ ของโลกวัตถุได้อีก นี่ยิ่งเป็นเรื่องที่เจ้าไม่ควรวิตกกังวลถึงเข้าไปใหญ่ และต่อให้เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่างไรก็ดี สิ่งที่สามารถนำความชูใจมาให้เจ้าได้บ้างก็คือเรื่องที่ว่า บางทีความตายหรือการจากไปของเจ้าอาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตครั้งต่อไปของเจ้าก็เป็นได้ เป็นการเริ่มต้นที่ดีขึ้น การเริ่มต้นของสุขภาพที่ดี การเริ่มต้นที่รู้สึกสบายดีทุกอย่าง เป็นการเริ่มต้นที่ดวงจิตของเจ้าได้กลับมาอีกครั้ง นี่ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องไม่ดี เพราะบางทีเจ้าอาจจะกลับมาเพื่อมีชีวิตในหนทางที่แตกต่างและในรูปสัณฐานที่ต่างออกไป ส่วนแท้จริงแล้วชีวิตใหม่จะมีรูปสัณฐานเช่นไรย่อมขึ้นอยู่กับการจัดเตรียมของพระเจ้าและของพระผู้สร้าง ในเรื่องนี้สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนควรรอดูเท่านั้น ถ้าเจ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตในหนทางที่ดีขึ้นและในรูปสัณฐานที่ดีขึ้นหลังจากที่เจ้าตายจากชีวิตนี้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าโรคของเจ้าจะแย่เพียงใด สิ่งสำคัญที่สุดย่อมเป็นว่าเจ้าเผชิญหน้าโรคภัยอย่างไรและเจ้าควรเตรียมตัวทำความดีอะไรบ้าง ไม่ใช่ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลที่ไร้ประโยชน์ของเจ้า เมื่อเจ้าคิดแบบนี้ ความกลัว ความหวาดหวั่น และการปฏิเสธความตายของเจ้าย่อมลดระดับลงมิใช่หรือ? (ใช่) นี่พวกเราพูดกันมากี่แง่มุมแล้ว? หนึ่งคือไม่กลัวความตาย แล้วแง่มุมอื่นคืออะไร? (พวกเราต้องไม่วิตกกังวลว่าโรคภัยของตนจะแย่ลงหรือไม่ และต้องไม่รู้สึกกระวนกระวายเรื่องคู่ครองหรือลูกๆ ของตน หรือเรื่องบทอวสานและบั้นปลายของตนเอง เป็นต้น) ปล่อยเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า มีอะไรอีก? (พวกเราต้องไม่วิตกกังวลว่าตนเองจะไปไหนหลังจากตายแล้ว) ไม่มีประโยชน์ที่จะวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ จงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันและทำสิ่งต่างๆ ที่เจ้าควรทำที่นี่และตอนนี้ให้ดี เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายจะดำเนินไปเช่นใดในอนาคต ดังนั้นเจ้าก็ควรฝากทั้งหมดนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า มีอะไรอีก? (พวกเราควรเร่งเตรียมทำความดีเพื่อบั้นปลายในอนาคตของตน) ถูกต้อง ผู้คนควรเตรียมตัวทำความดีให้มากขึ้นเพื่ออนาคต และควรไล่ตามเสาะหาความจริง เป็นคนที่เข้าใจความจริง และมีความเป็นจริงความจริง บางคนกล่าวว่า “ตอนนี้พระองค์กำลังตรัสถึงความตาย ดังนั้นพระองค์ก็หมายความว่าทุกคนจะต้องเผชิญความตายในอนาคตใช่หรือไม่? นี่เป็นลางไม่ดีหรือเปล่า?” นี่ไม่ใช่ลางไม่ดี และไม่ได้เป็นการให้วัคซีนป้องกันความตายแก่เจ้า และยิ่งไม่ใช่การสาปแช่งใครให้ตาย—วจนะเหล่านี้ไม่ใช่คำสาปแช่ง แล้วเป็นอะไร? (เป็นเส้นทางปฏิบัติสำหรับผู้คน) ถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรปฏิบัติ เป็นทัศนะและท่าทีที่ถูกต้องซึ่งผู้คนควรยึดถือ และเป็นความจริงที่ผู้คนควรทำความเข้าใจ แม้กระทั่งผู้คนที่ไม่ได้เป็นโรคอะไรก็ควรใช้ท่าทีเช่นนี้ในการเผชิญหน้าความตายด้วย แล้วบางคนก็กล่าวว่า “ถ้าพวกเราไม่กลัวความตาย นั่นหมายความว่าความตายจะไม่มาถึงตัวพวกเราใช่หรือไม่?” นี่ใช่ความจริงหรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วนี่คืออะไร? (เป็นมโนคติที่หลงผิดและเป็นการคิดฝันของพวกเขาเอง) นี่คือเรื่องบิดเบือน เป็นการใช้เหตุผลเชิงตรรกะและเป็นปรัชญาของซาตาน—นี่ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ว่าถ้าเจ้าไม่กลัวหรือวิตกกังวลเรื่องความตาย เช่นนั้นแล้วความตายก็จะไม่มาถึงตัวและเจ้าก็จะไม่ตาย—นี่ไม่ใช่ความจริง สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่คือเรื่องท่าทีที่ผู้คนควรมีต่อความตายและโรคภัย เมื่อเจ้าใช้ท่าทีแบบนี้ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะสามารถทิ้งภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลไว้ข้างหลังได้ และแล้วเจ้าก็จะไม่ถูกโรคภัยของตนรั้งตัวเอาไว้ การคิดอ่านของเจ้าและโลกของวิญญาณของเจ้าก็จะไม่ถูกข้อเท็จจริงเรื่องโรคภัยของเจ้าทำร้ายหรือรบกวน หนึ่งในเรื่องยุ่งยากที่ผู้คนพบเจอด้วยตนเองก็คือความน่าจะเป็นในอนาคตของตน และอีกอย่างก็คือความเจ็บป่วยและความตาย ความน่าจะเป็นในอนาคตและความตายสามารถควบคุมหัวใจของผู้คนได้ แต่ถ้าเจ้าสามารถเผชิญปัญหาสองอย่างนี้ได้อย่างถูกต้องและเอาชนะภาวะอารมณ์เชิงลบของตนได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่พ่ายแพ้ให้แก่เรื่องยุ่งยากที่พบเจอกันทั่วไป
นอกจากโรคภัยแล้ว ผู้คนมักจะรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลถึงปัญหาอื่นๆ บางอย่างที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของตน มีปัญหาที่เกิดขึ้นจริงอยู่มากมายในชีวิต ตัวอย่างเช่น มีคนสูงอายุหรือเด็กๆ ในบ้านของเจ้าที่ต้องการการดูแลหรือเลี้ยงดู เงินที่ลูกๆ ของเจ้าต้องใช้เล่าเรียนและใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องใช้เงินรักษาโรคประจำตัว และเงินก้อนโตที่ต้องใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิตในแต่ละวัน เจ้าอยากปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ถ้าเจ้าออกจากงาน เจ้าจะดำรงชีวิตอย่างไร? เงินออมในบ้านของเจ้าย่อมจะหมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่มีเงิน ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร? ถ้าเจ้าออกไปหาเงิน ก็จะทำให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แต่ถ้าเจ้าออกจากงานมาปฏิบัติหน้าที่ของตน เจ้าก็จะไม่มีหนทางแก้ไขเรื่องยุ่งยากที่บ้าน ดังนั้น เจ้าควรทำเช่นไร? ผู้คนมากมายดิ้นรนและสับสนในเรื่องแบบนี้ ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงถวิลหาให้วันของพระเจ้ามาถึง และนึกสงสัยว่าเมื่อไรความวิบัติครั้งใหญ่จะบังเกิดและพวกเขาต้องกักตุนอาหารกันหรือไม่ ถ้าพวกเขาเตรียมตัว พวกเขาย่อมไม่มีเงินสำรองติดบ้านและชีวิตก็จะลำบากมาก พวกเขาเห็นผู้อื่นสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีกว่าและกินอาหารที่ดีกว่า และพวกเขาก็รู้สึกไม่มีความสุข รู้สึกว่าชีวิตของตนลำบากเกินไป พวกเขาไม่ได้กินเนื้อสัตว์อยู่เป็นนาน และถ้าพอจะมีไข่อยู่บ้าง พวกเขาก็รู้สึกลังเลที่จะกินไข่เหล่านั้น และรีบไปที่ตลาดเพื่อขายไข่ให้ได้เงินมาสักสองสามดอลลาร์ ขณะที่พวกเขาครุ่นคิดถึงความยุ่งยากทั้งหมดนี้ พวกเขาก็เริ่มกังวลว่า “เมื่อไรวันเวลาที่ยากลำบากเหล่านี้จึงจะสิ้นสุดลง? มีคนพูดเสมอว่า ‘วันของพระเจ้ากำลังจะมาแล้ว วันของพระเจ้ากำลังจะมา’ และ ‘พระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเร็วๆ นี้’ แต่เมื่อไรถึงจะมีคนบอกฉันว่านี่จะเกิดขึ้นจริงเมื่อใด? ใครจะบอกเรื่องนี้ได้อย่างแน่ชัดบ้าง?” บางคนใช้เวลาหลายปีปฏิบัติหน้าที่ของตนไกลบ้าน และบางครั้งพวกเขาก็คิดขึ้นมาว่า “ฉันไม่รู้เลยว่าตอนนี้ลูกๆ โตเท่าใดแล้ว หรือพ่อแม่มีสุขภาพดีหรือไม่ หลายปีมานี้ฉันจากบ้านมาและไม่ได้ดูแลพวกเขา พวกเขามีเรื่องลำบากกันบ้างหรือไม่? ถ้าพวกเขาไม่สบายขึ้นมา พวกเขาจะทำอย่างไร? จะมีใครดูแลพวกเขาหรือเปล่า? ถึงตอนนี้พ่อแม่ของฉันต้องอยู่ในวัย 80 หรือ 90 ปีกันแล้ว และฉันก็ไม่รู้แม้กระทั่งว่าพวกท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เมื่อพวกเขานึกถึงเรื่องเหล่านี้ ความกระวนกระวายที่บอกไม่ถูกว่าเป็นเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นในหัวใจของตน นอกจากรู้สึกกระวนกระวายแล้ว พวกเขายังวิตกกังวลด้วย แต่การวิตกกังวลไม่เคยแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มรู้สึกทุกข์ใจ เมื่อพวกเขารู้สึกทุกข์ใจอย่างยิ่ง พวกเขาก็หันไปสนใจพระราชกิจของพระเจ้าและวันของพระเจ้า และนึกสงสัยว่า “ทำไมวันของพระเจ้าถึงยังมาไม่ถึง? พวกเราต้องใช้ชีวิตที่เร่ร่อนและโดดเดี่ยวกันอย่างนี้ตลอดเวลากระนั้นหรือ? เมื่อไรวันของพระเจ้าจึงจะมาถึง? พระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด? พระเจ้าจะทรงทำลายล้างโลกนี้เมื่อใด? ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะสำแดงให้เห็นบนแผ่นดินโลกเมื่อใด? พวกเราจะเห็นสภาวะบุคคลของพระเจ้าปรากฏขึ้นเมื่อใด?” พวกเขาครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย และความทุกข์ใจจึงเอ่อท้นเข้าสู่หัวใจของพวกเขา สีหน้าของพวกเขาพลันวิตกกังวล พวกเขาไม่รู้สึกเบิกบานอีกต่อไป เดินอย่างเงื่องหงอย กินโดยที่ไม่อยากอาหาร และความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาก็ตกอยู่ในความมึนงงทุกวัน การใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบแบบนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่? (ไม่) แม้แต่เรื่องยุ่งยากที่เล็กกระจิริดในชีวิตก็สามารถทำให้ผู้คนตกอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เฉื่อยชาเหล่านี้ได้เป็นครั้งคราว และแม้บางครั้งจะไม่มีเหตุผลใดๆ อย่างสิ้นเชิง หรือไม่มีบริบทอะไรเป็นพิเศษ หรือไม่มีใครคนใดพูดอะไรเป็นพิเศษ แต่ภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ก็จะเอ่อท้นเข้าสู่หัวใจของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว เมื่อภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้เอ่อท้นเข้าไปในหัวใจของผู้คน พวกเขาก็ยิ่งดึงดันในความปรารถนาที่ตนมี โหยหาให้วันของพระเจ้ามาถึง ให้พระราชกิจของพระองค์สิ้นสุดลง และให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเยือน บางคนถึงกับคุกเข่าอย่างจริงจังและอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เกลียดโลกนี้ ข้าพระองค์เกลียดมวลมนุษย์เหล่านี้ ได้โปรดทำให้ทั้งหมดนี้จบสิ้นลงโดยเร็ว จบชีวิตทางเนื้อหนังของผู้คน และจบความทุกข์ยากทั้งมวลนี้ด้วยเถิด” พวกเขาอธิษฐานอยู่อย่างนี้หลายครั้งอย่างไร้ผล และภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย และความทุกข์ใจก็ยังคงห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา ยังคงมีอยู่ในความคิดและลึกลงไปในวิญญาณของพวกเขา ครอบงำพวกเขาอยู่ลึกๆ และครอบตัวพวกเขาเอาไว้ อันที่จริง นี่เกิดขึ้นด้วยสาเหตุเพียงเพราะว่าพวกเขาถวิลหาให้วันของพระเจ้ามาถึงเร็วขึ้น ให้พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดเร็วขึ้น ให้ตนได้รับพรโดยเร็วเท่าที่จะเร็วได้ ให้ตนมีบั้นปลายอันดีงาม เข้าสู่สวรรค์หรือราชอาณาจักรที่พวกเขาจินตนาการและถวิลหาอยู่ในมโนคติอันหลงผิดของตน นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาตื่นเต้นกับเรื่องเหล่านี้อยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของตนเสมอ พวกเขาแสดงให้เห็นภายนอกว่าตนนั้นตื่นเต้น แต่แท้จริงแล้วพวกเขากำลังรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล เมื่อความรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลดังกล่าวล้อมรอบผู้คนอยู่ตลอดเวลา พวกเขาย่อมเกิดความคิดที่วิ่งไม่หยุด นึกเอาว่า “ถ้าวันของพระเจ้าไม่มาในเร็ววัน และพระราชกิจของพระเจ้าไม่เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว ฉันก็ควรใช้ความได้เปรียบซึ่งก็คือความเยาว์วัยและความสามารถของตนมาทำงานให้หนัก ฉันอยากทำงานหาเงิน ทำงานหนักในโลกสักพักหนึ่งและสุขสำราญกับชีวิต ถ้าวันของพระเจ้าไม่ได้มาถึงเร็วๆ นี้ ฉันก็อยากกลับบ้านไปอยู่ร่วมกับครอบครัวอีกครั้ง หาคู่ครอง ใช้ชีวิตให้ดีสักระยะ จุนเจือพ่อแม่ เลี้ยงดูลูกๆ ของตนให้เติบใหญ่ พอแก่ตัวลง ฉันก็จะมีลูกหลายคน และพวกเขาก็จะใช้ชีวิตร่วมกับฉัน พวกเราจะสุขสำราญกับชีวิตครอบครัว—นั่นย่อมเป็นฉากที่วิเศษทีเดียว! เป็นภาพที่หวานชื่นอย่างยิ่ง!” เมื่อคิดดังนี้ พวกเขาจึงตั้งตารอคอยที่จะสุขสำราญกับชีวิตแบบนั้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนคิดว่าวันของพระเจ้าจะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า และพระราชกิจของพระเจ้าก็จะสิ้นสุดลงในเร็ววัน ความอยากของพวกเขาย่อมเผาแรงขึ้นอีก และความโหยหาให้พระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดโดยเร็วก็ยิ่งร้อนแรงขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามที่ผู้คนปรารถนา เมื่อผู้คนไม่สามารถมองเห็นสิ่งบ่งชี้ว่าพระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุดหรือวันของพระเจ้ากำลังจะมา ความรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลของพวกเขาย่อมจะรุนแรงขึ้นอีก พวกเขาวิตกกังวลถึงช่วงเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเมื่อตนแก่ตัวและยังไม่พบคู่ครองที่จะคอยดูแลตนในวัยชรา พวกเขาวิตกกังวลว่าถ้าพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องและตัดสายสัมพันธ์กับสังคมหมดแล้ว เวลากลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน พวกเขาจะสามารถกลับเข้าสังคมได้อย่างกลมกลืนหรือไม่ พวกเขาวิตกกังวลว่าถ้าพวกเขากลับไปทำธุรกิจในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรือกลับไปทำงาน พวกเขาจะสามารถตามทันยุคสมัยหรือไม่ จะโดดเด่นเหนือคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่ และจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่ ยิ่งพวกเขาวิตกกังวลในเรื่องแบบนี้ รู้สึกกระวนกระวายและทุกข์ใจในเรื่องดังกล่าว พวกเขาก็ยิ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างสงบ ด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงวิตกกังวลถึงอนาคตของตน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จ และชีวิตครอบครัวของตนมากขึ้นทุกที ทั้งยังวิตกกังวลว่าในอนาคตอาจเกิดความยุ่งยากทั้งปวงนั้นขึ้นในชีวิตอีกด้วย พวกเขาครุ่นคิดทุกเรื่องที่นึกได้ วิตกกังวลในทุกสิ่งที่กังวลได้ พวกเขาถึงกับวิตกกังวลถึงหลานชายของตนและวิตกว่าชีวิตลูกหลานของหลานชายจะเป็นเช่นใด ความคิดของพวกเขาเตลิดไปไกลนัก พวกเขาคิดรอบด้านอย่างยิ่ง และคิดทุกเรื่องอย่างละเอียด เมื่อผู้คนมีความวิตกกังวล ความกระวนกระวาย และความรู้สึกทุกข์ใจเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสงบ และไม่สามารถติดตามพระเจ้าได้โดยตรง แต่มักจะมีความคิดที่วิ่งไม่หยุดและโลเลกลับไปกลับมา เมื่อพวกเขาเห็นว่างานข่าวประเสริฐดำเนินไปได้ดียิ่ง พวกเขาก็คิดว่า “วันของพระเจ้าจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้ว ฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี ใช่แล้ว! ลุยเลย! ฉันต้องไปต่ออีกสักสองสามปี ทีนี้ก็อีกไม่นานแล้ว ความทุกข์ทั้งหมดนี้ย่อมจะคุ้มค่าและให้ผลทั้งสิ้น และฉันก็จะไม่มีความวิตกกังวลอีกต่อไป!” อย่างไรก็ดี ผ่านไปไม่กี่ปี ความวิบัติครั้งใหญ่ก็ยังมาไม่ถึง และไม่มีใครเอ่ยถึงวันของพระเจ้า ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงคลายความกระตือรือร้น ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลนี้ รวมทั้งความคิดที่วิ่งไม่หยุดของพวกเขา ยังคงมาแล้วก็ไปสลับกันอยู่อย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า หมุนเวียนเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบตามสถานการณ์ระหว่างประเทศและสถานการณ์ในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อที่จะควบคุมมันได้—พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ตนเป็นอยู่ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม มีผู้คนแบบนี้อยู่หรือไม่? (มี) ง่ายหรือไม่ที่ผู้คนแบบนี้จะตั้งมั่น? (ไม่ง่าย) ท่าทีและอารมณ์ที่พวกเขาใช้ปฏิบัติหน้าที่ของตน และการที่พวกเขาจะใช้พละกำลังทำหน้าที่ของตนมากน้อยเท่าใดนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับ “ข่าวล่าสุด” ทั้งสิ้น บางคนกล่าวว่า “ตามข่าวที่เชื่อถือได้ ข่าวประเสริฐของพระเจ้ากำลังเผยแผ่ไปได้อย่างวิเศษมาก!” และบางคนก็กล่าวว่า “ข่าวล่าสุดบอกว่าตอนนี้ทั่วโลกเกิดความวิบัติบ่อยมาก เห็นได้ชัดว่าขณะนี้สถานการณ์ของโลกและความวิบัติต่างๆ เป็นไปตามความวิบัตินั้นๆ ในหนังสือวิวรณ์แล้ว พระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า วันของพระเจ้าจะมาที่นี่เร็วๆ นี้ และโลกศาสนาก็โกลาหลไปหมด!” เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ฟัง “ข่าวล่า” หรือ “ข่าวที่เชื่อถือได้” ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขาก็ยุติลงชั่วคราว ไม่รบกวนพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาก็ปล่อยมือจากความคิดที่วิ่งไม่หยุดของตนไปพักหนึ่ง อย่างไรก็ดี พอพวกเขาไม่ได้ยิน “ข่าวที่เชื่อถือได้” หรือ “ข่าวที่เที่ยงตรง” อันใดในระยะนี้ ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขา รวมทั้งความคิดที่วิ่งพล่านของพวกเขาก็เริ่มไหลบ่าออกมา บางคนถึงกับเตรียมตัวโดยคิดว่าจะสมัครงานที่ไหน จะทำงานที่ไหน จะมีลูกกี่คน อีกไม่กี่ปีลูกๆ ของตนจะเข้าโรงเรียนไหน จะเตรียมค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยอย่างไร และพวกเขาก็ถึงกับวางแผนซื้อบ้าน ที่ดิน หรือรถ อย่างไรก็ดี พอได้ฟัง “ข่าวที่เชื่อถือได้” สิ่งเหล่านี้ก็ถูกพักไว้ชั่วคราว นี่ดูเหมือนเรื่องตลกเลยมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาเชื่อในพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้ปักใจในเรื่องนี้และไม่ยอมกล่าวว่าความเชื่อในพระเจ้าคือเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง เป็นชีวิตที่มีความหมายที่สุด การดำรงชีวิตเช่นนี้มีคุณค่าที่สุด ไม่ว่าพระเจ้าจะนำทางพวกเขาอย่างไรหรือพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด พวกเขาก็มั่นใจว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทำย่อมทำไปเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ดังนั้นพวกเขาจะติดตามพระเจ้าจวบจนวาระสุดท้าย ไม่ว่าจะใช้เวลาจวบจนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกยิ่งเพิ่มพูนความเก่าแก่ จวบจนดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่ง ไม่ว่าจะใช้เวลาจวบจนทะเลเหือดแห้ง หินสลายเป็นผงคลี หรือทะเลกลายเป็นผืนดินและผืนดินกลายเป็นทะเล หัวใจของพวกเขาก็ยังคงเหมือนเดิม พวกเขาตั้งใจแน่วแน่แล้ว พวกเขาจะมอบหัวใจให้พระเจ้าไปชั่วชีวิต และถ้ามีอีกชีวิตหนึ่งต่อจากชีวิตนี้ พวกเขาก็จะยังคงติดตามพระเจ้า อย่างไรก็ดี ผู้คนที่มีความยุ่งยากมากมายในชีวิตของตนเหล่านี้ไม่ได้คิดเช่นนี้ ความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าต้องประกอบด้วยการเฝ้าดูไปก่อนในตอนนี้ และพวกเขาก็ใช้ชีวิตในแบบที่คิดว่าตนเองควรใช้ พวกเขาจะไม่เปลี่ยนวิธีและวิถีที่ตนใช้ชีวิตหรือเปลี่ยนความปรารถนาหรือแผนการของตนเพียงเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าแผนการของพวกเขาจะเป็นเช่นใดก็ตามในตอนเริ่มต้น พวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแผนเพียงเพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใดเลย และเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตในหนทางที่ผู้ไม่มีความเชื่อดำเนินชีวิตกัน กระนั้น ความเชื่อในพระเจ้าก็เกี่ยวข้องกับเรื่องพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือวันของพระเจ้าจะมาถึงในไม่ช้า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงในไม่ช้า และความวิบัติครั้งใหญ่ก็จะบังเกิด ถึงตอนนั้นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะสามารถหนีพ้นความวิบัติได้ พวกเขาจะไม่ตกอยู่ในความวิบัติ สามารถได้รับการช่วยให้รอด และเป็นเพราะเรื่องพิเศษนี้เท่านั้น พวกเขาถึงสนใจที่จะเชื่อในพระเจ้ามากมายอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขามุ่งเน้นในการเชื่อในพระเจ้าจึงมีเพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวตลอดมา ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนากี่ครั้ง หรือฟังผู้คนสามัคคีธรรมความจริงไปกี่ข้อ หรือเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใดแล้ว วิธีเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และพวกเขาก็ไม่เคยทิ้งวิธีดังกล่าว พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ปล่อยมือจากทัศนะผิดๆ ที่ตนมีในการเชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะเพราะคำเทศนาที่ตนได้ฟังหรือเพราะความจริงที่ตนเข้าใจ ดังนั้น การที่มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างหรือมีการกล่าวถึงสถานการณ์ของโลกภายนอกหรือในพระนิเวศของพระเจ้าอยู่บ้าง ย่อมมีผลต่อเรื่องที่พวกเขานึกห่วงที่สุดอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของตนนี้เสมอ ถ้าพวกเขาได้ยินว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า พวกเขาย่อมลิงโลด อย่างไรก็ดี ถ้าพวกเขาได้ยินว่ายังเร็วเกินไปที่พระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาก็ไม่อาจไปต่อได้ ความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของพวกเขาจะเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน และพวกเขาก็จะเริ่มเตรียมตัวเพื่อที่จะผละจากพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิงของตนไปทุกเมื่อ แยกตัวจากพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่ายังมีผู้ที่เริ่มเตรียมลบข้อมูลการติดต่อทั้งหมดและข้อความทั้งหมดของพี่น้องชายหญิง และเตรียมคืนหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่พระนิเวศของพระเจ้าเคยส่งไปให้พวกเขากลับมาที่คริสตจักรอยู่ทุกขณะ พวกเขาคิดไปว่า “ฉันไม่สามารถเดินตามเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงนี้ต่อไปได้จริงๆ ฉันนึกว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายความว่าฉันจะมีชีวิตที่เป็นสุข มีลูก ได้รับพร และเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ ตอนนี้ความฝันที่สวยงามนี้แหลกสลายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ฉันก็จะยังคงเลือกการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีลูกๆ และสุขสำราญกับชีวิต ถึงกระนั้นฉันก็ยังไม่สามารถเลิกเชื่อในพระเจ้าได้ ถ้ามีโอกาสที่ฉันจะสามารถได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในชีวิตที่จะมาถึง นั่นก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ไม่ใช่หรือ?” นี่คือทัศนะที่พวกเขามีต่อการเชื่อในพระเจ้า นี่คือแผนการของพวกเขา และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาลงมือทำอีกด้วย นี่คือการคิดและการวางแผนอยู่ในหัวใจส่วนลึกสุดของผู้ที่พึ่งพาการคิดฝันของตนในการเชื่อในพระเจ้า และรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในชีวิตทางเนื้อหนังของตนอยู่เสมอ นี่แสดงให้เห็นสิ่งที่พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและเส้นทางที่พวกเขาเลือกเดินในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดมากที่สุด? เรื่องที่พวกเขาหมกมุ่นที่สุดก็คือว่าเมื่อใดวันของพระเจ้าจะมาถึง เมื่อใดพระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุด เมื่อใดความวิบัติครั้งใหญ่จะบังเกิด และพวกเขาจะสามารถหนีพ้นความวิบัติครั้งใหญ่หรือไม่—นี่คือเรื่องที่พวกเขาหมกมุ่นด้วยที่สุด
ในความคิดเห็นของผู้ที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในชีวิตทางเนื้อหนังของตนอยู่เสมอนั้น การไล่ตามเสาะหาในการเชื่อในพระเจ้าก็คือการ “ได้รับเป็นร้อยเท่าในชีวิตนี้และได้รับชีวิตนิรันดร์ในชีวิตที่จะมาถึง” อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ชอบฟังว่าพระราชกิจของพระเจ้าก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะสัมฤทธิ์ผลเป็นการได้รับความรอดหรือไม่ มีผู้คนที่ได้รับความจริง มารู้จักพระเจ้า และเป็นคำพยานอันดีงามกันกี่คนแล้ว ราวกับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน แล้วพวกเขาอยากฟังอะไร? (เมื่อใดพระราชกิจของพระเจ้าจึงจะสิ้นสุด) พวกเขามีความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่า ถูกต้องหรือไม่? ผู้คนส่วนใหญ่มีความคิดคับแคบเกินไป จงดูสิ่งที่พวกเขาหมายตาเอาไว้เถิด พวกเขาหวังแต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น—พวกเขาช่างมีสภาวะที่สูงส่ง! แท้จริงแล้วผู้คนส่วนใหญ่หยาบกระด้างกันอย่างยิ่ง พูดคุยอยู่เสมอเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย การนบนอบพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสัตย์ซื่อ การทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง—ผู้คนเหล่านั้นย่อมเป็นเช่นไร? พวกเขามองโลกคับแคบเกินไป! คนจีนกล่าวกันว่าอย่างไร? พวกเขาต่ำต้อยเกินไป ต่ำต้อยหมายความว่าอย่างไร? ก็คือหยาบกระด้างเกินไป แล้วผู้คนเหล่านี้หมายตาสิ่งใดไว้? พวกเขาหวังในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่สูงส่ง สิ่งที่เลิศหรู ผู้ที่หวังในสิ่งที่เลิศหรูย่อมต้องการที่จะก้าวขึ้นสูงอยู่เสมอ ยังคงหวังอย่างไร้แก่นสารว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงยกพวกเขาขึ้นไปในอากาศเพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ เจ้าอยากพบพระเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ถามว่าพระเจ้าอยากพบเจ้าหรือไม่—เจ้าเอาแต่อยากได้สิ่งที่น่าทึ่งเหล่านี้อยู่ร่ำไป! เจ้าเคยเฝ้าพระเจ้าเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นละหรือ? ผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นเมื่อเจ้าได้พบพระองค์ เจ้าก็จะท้าทายพระองค์อยู่ดี แล้วสาเหตุเบื้องหลังความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของผู้คนเหล่านี้คืออะไร? ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความยุ่งยากในชีวิตของพวกเขาจริงหรือ? ไม่จริง ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความยุ่งยากในชีวิตจริงๆ แต่เป็นเพราะพวกเขาตั้งธงให้ความเชื่อในพระเจ้าของตนมุ่งเน้นชีวิตทางเนื้อหนัง การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นความจริง แต่กลับเป็นไปเพื่อให้มีชีวิตที่เป็นสุข สุขสำราญกับชีวิตที่ดี และมีอนาคตที่ดี ปัญหาของผู้คนเหล่านี้แก้ง่ายหรือไม่? มีผู้คนแบบนี้ในคริสตจักรหรือไม่? พวกเขาถามผู้อื่นเสมอว่า “วันของพระเจ้าจะมาเมื่อไร? พูดกันไว้เมื่อสองปีก่อนไม่ใช่หรือว่าพระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุดแล้ว? แล้วทำไมถึงยังไม่สิ้นสุด?” มีวิธีจัดการผู้คนแบบนี้บ้างหรือไม่? จงพูดกับพวกเขาเพียงคำเดียวก็พอ บอกพวกเขาไปว่า “เร็วๆ นี้!” เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนแบบนี้ ก่อนอื่นจงถามพวกเขาว่า “คุณถามเรื่องนี้อยู่เสมอ คุณวางแผนอะไรไว้กระนั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็อย่าลำบากอยู่ที่นี่ทั้งที่คุณไม่อยากอยู่เลย เดินหน้าทำสิ่งที่คุณอยากทำก็แล้วกัน อย่าทำอะไรขัดกับความอยากได้อยากมีของคุณ และอย่าทำให้ชีวิตของตัวเองยากลำบากเลย พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้รั้งตัวคุณไว้ที่นี่ พระนิเวศไม่ได้กักตัวคุณไว้ที่นี่ คุณจากไปได้ทุกเวลาที่คุณต้องการ อย่าถามอยู่เรื่อยว่ามีเสียงเล่าลือใหม่ๆ ว่าอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือเรื่องใด คุณก็จะได้รับการบอกว่า ‘เร็วๆ นี้!’ เท่านั้น ถ้าคุณไม่ชอบใจคำตอบนี้ ถ้าคุณมีแผนการในหัวใจอยู่แล้วและจะทำตามนั้นอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว เช่นนั้นแล้วก็ทำตามคำแนะนำของฉันเถิด ซึ่งก็คือ เอาหนังสือพระวจนะของพระเจ้ามาคืนคริสตจักรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เก็บข้าวของของคุณและไปเสีย พวกเราจะกล่าวอำลากันเท่านั้น และคุณก็จะไม่ต้องรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย หรือวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้อีกเลย กลับไปใช้ชีวิตของคุณที่บ้านเถิด ฉันขอให้คุณโชคดี! ฉันขอให้คุณมีชีวิตที่มีความสุขความพอใจ และฉันหวังว่าทุกสิ่งในอนาคตของคุณจะเป็นไปด้วยดี!” เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้? (ดีงาม) จงแนะนำให้พวกเขาไปจากคริสตจักร อย่าพยายามรั้งตัวพวกเขาไว้ ทำไมถึงไม่พยายามรั้งตัวพวกเขาไว้? (พวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งพวกเขาไว้) ถูกต้อง พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ! การรั้งตัวผู้ไม่เชื่อเอาไว้และไม่ไล่พวกเขาออกไปจะมีประโยชน์อันใด? บางคนกล่าวว่า “แต่พวกเขาไม่ได้ทำเรื่องชั่ว และไม่ได้ขัดขวางอะไร” พวกเขาจำเป็นต้องขัดขวางอะไรด้วยหรือ? จงบอกเราเถิดว่าการมีคนแบบนี้อยู่ในกลุ่มย่อมก่อให้เกิดการขัดขวางมิใช่หรือ? ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด การวางตัวและการกระทำของพวกเขาก็ก่อให้เกิดการขัดขวางอยู่แล้ว พวกเขาไม่เคยอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ ไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยอธิษฐานหรือสามัคคีธรรมในการชุมนุม พวกเขาเพียงแต่ทำหน้าที่ไปตามขั้นตอนเท่านั้น คอยไถ่ถามอยู่เสมอว่ามีเสียงลือเสียงเล่าอ้างอะไรใหม่ๆ บ้าง พวกเขาใช้อารมณ์และไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นอย่างยิ่ง และพวกเขายังมุ่งเน้นที่จะกิน ดื่ม และสนุกสนานเป็นพิเศษอีกด้วย ถึงกับมีบางคนที่เกียจคร้าน มัวเมาอยู่กับการกิน การนอน พวกเขาเที่ยวเล่น และอยู่ตรงนั้นเพียงเพื่อให้พระนิเวศของพระเจ้ามีคนครบจำนวนเท่านั้น พวกเขาไม่สนใจการปฏิบัติหน้าที่ของตน และเป็นเพียงคนเกียจคร้านเท่านั้น เมื่อพวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็อยู่ที่นั่นเพียงเพื่อมองหาสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับตนและฉวยโอกาสเท่านั้น ถ้าพวกเขาไม่สามารถฉวยโอกาสได้ พวกเขาก็จะจากไปทันที ในเมื่อพวกเขาจะจากไปทันทีอยู่แล้ว การที่พวกเขาจากไปเร็วขึ้นย่อมดีกว่าจากไปภายหลังมิใช่หรือ? ผู้คนแบบนี้ทำงานออกแรงไปจนจบงานไม่ได้ด้วยซ้ำ และการออกแรงทำงานของพวกเขาย่อมไม่มีผลดี เมื่อพวกเขาทำงานออกแรง พวกเขาย่อมไม่ทำสิ่งที่ถูกต้อง—พวกเขาเป็นเพียงผู้ไม่เชื่อเท่านั้น ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาย่อมมองเรื่องต่างๆ จากมุมมองของบุคคลที่สาม เวลาที่พระนิเวศของพระเจ้าเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็มีความสุข พลางคิดว่าตนมีหวังที่จะได้รับพร ตนมีความได้เปรียบ การเชื่อที่ตนมีในพระเจ้าไม่ได้สูญเปล่า ตนไม่ได้พลาดอะไร และถือเดิมพันข้างที่ชนะ อย่างไรก็ดี ถ้าพระนิเวศของพระเจ้าถูกกองกำลังของซาตานกดขี่ ถูกสังคมทอดทิ้ง ถูกใส่ร้าย ข่มเหง และตกระกำลำบาก เช่นนั้นแล้วไม่เพียงพวกเขาจะไม่เสียใจเท่านั้น แต่ยังหัวเราะเยาะอีกด้วย พวกเราจะเก็บผู้คนแบบนี้เอาไว้ในคริสตจักรได้หรือ? (ไม่ได้) พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อและเป็นศัตรู! ถ้าศัตรูอยู่ถัดจากเจ้า แต่เจ้ากลับมองพวกเขาเป็นพี่น้องชายหรือหญิง นั่นย่อมทำให้เจ้าดูโง่มิใช่หรือ? ถ้าผู้คนแบบนี้ไม่สามารถทำงานออกแรงด้วยความเต็มใจได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรถูกไล่ออกไป ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ถูกต้องโดยแท้ จงทำเช่นนั้นทันทีและทำให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องแนะนำพวกเขา จงทำตัวสบายๆ พลางขอให้พวกเขาจากไปก็พอ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองลมปากกับพวกเขา เจ้าควรให้พวกเขาเก็บข้าวของกลับบ้านเท่านั้น ตามแก่นแท้แล้วพวกเขาไม่ใช่ผู้คนแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นเพียงผู้ไม่เชื่อที่เดินเข้ามาในคริสตจักรเท่านั้น พวกเขาสามารถกลับไปยังที่ที่ตนจากมาได้เลย และเจ้าก็สามารถขอให้พวกเขาจากไปเป็นพอ อันที่จริง หลังเข้าสู่คริสตจักร บางคนขีดเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างตนเองกับพี่น้องชายหญิงและพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นเพราะพวกเขารู้ว่าตนมาทำอะไร พวกเขารู้ว่าพวกเขาเชื่อจริงหรือไม่ และนอกจากความหวังของพวกเขาเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงเมื่อใดและพวกเขาจะสามารถได้รับพรบ้างหรือไม่แล้ว ก็ไม่มีงานอะไรในพระนิเวศของพระเจ้าหรือความจริงที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนเข้าสู่ข้อใดเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย พวกเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ไม่อ่านหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่คริสตจักรส่งให้อ่าน มีแต่ปล่อยให้วางกระจัดกระจายโดยที่ยังไม่ได้แกะห่อหนังสือ ผู้คนดังกล่าวเอาแต่พูดว่าตนเชื่อในพระเจ้า ดูภายนอกพวกเขาก็เหมือนจะเชื่ออย่างที่ผู้อื่นเชื่อ และปฏิบัติหน้าที่ของตนไปตามขั้นตอน แต่พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยเปิดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าเลยสักครั้ง ไม่เคยพลิกหน้ากระดาษสักแผ่น—พวกเขาไม่เคยอ่านสักหน้า พวกเขาไม่เคยดูวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์ ภาพยนตร์ข่าวประเสริฐ หรือเพลงนมัสการ และอื่นๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าเผยแพร่ทางออนไลน์อีกด้วย แล้วปกติพวกเขาดูอะไร? พวกเขาดูข่าว ดูรายการยอดนิยม ดูคลิปวิดีโอ และหนังตลก ดูแต่สิ่งที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนเหล่านี้เป็นเช่นไร? พวกเขาเข้าคริสตจักรเป็นครั้งคราวเพื่อที่จะถามว่า “ตอนนี้เผยแผ่ข่าวประเสริฐไปกี่ประเทศแล้ว? มีผู้คนหันมาหาพระเจ้ากี่คนแล้ว? ปัจจุบันมีกี่ประเทศที่มีการจัดตั้งคริสตจักร? มีคริสตจักรกี่แห่งแล้ว? พระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในระยะไหนแล้ว?” ยามว่าง พวกเขาก็ถามเรื่องเหล่านี้อยู่เสมอ ไม่ระแวงกันบ้างหรือว่าคนคนนี้เป็นสายลับหรือเปล่า? จงบอกเราเถิดว่า การเก็บคนแบบนี้เอาไว้ไม่เป็นไรหรอกหรือ? (เป็น) ถ้าพวกเขาไม่ไปจากคริสตจักรด้วยตนเอง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ต้องเอาพวกเขาออกไปทันทีที่พบเจอและขจัดคนที่สร้างความเดือดร้อนพวกนี้ให้หมดไปจากคริสตจักร การเก็บพวกเขาเอาไว้ย่อมไร้ประโยชน์และจะก่อปัญหา ดังนั้น สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลด้วยจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเราแต่อย่างใด จงอย่าลำบากให้คำแนะนำแก่พวกเขา และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสามัคคีธรรมความจริงแก่พวกเขา เอาพวกเขาออกไปให้จบเรื่องก็พอ—นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการผู้คนแบบนี้
นอกจากผู้ไม่เชื่อแล้ว ยังมีผู้สูงอายุในหมู่พี่น้องชายหญิง ซึ่งอยู่ในวัยตั้งแต่ 60 ไปจนถึงประมาณ 80 หรือ 90 ปี และเพราะสูงวัยจึงพลอยประสบความลำบากบางอย่างไปด้วย แม้จะมีอายุ แต่การคิดอ่านของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกต้องหรือเป็นเหตุเป็นผลนัก แนวคิดและทัศนะของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามความจริง คนสูงอายุเหล่านี้มีปัญหาเหมือนกันเลย พวกเขาวิตกกังวลเสมอว่า “สุขภาพของฉันไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว และฉันก็มีข้อจำกัดว่าจะปฏิบัติหน้าที่อะไรได้บ้าง ถ้าฉันเอาแต่ปฏิบัติหน้าที่เล็กๆ นี้ พระเจ้าจะทรงจดจำฉันหรือไม่? บางครั้งฉันไม่สบาย และต้องมีใครสักคนดูแล เวลาที่ไม่มีใครคอยดูแล ฉันก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ แล้วฉันจะสามารถทำอะไรได้? ฉันแก่แล้ว เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็จำพระวจนะไม่ได้ และเข้าใจความจริงได้ยาก เวลาสามัคคีธรรมความจริง ฉันก็พูดจาเลอะเลือน ไม่เป็นเหตุเป็นผล และฉันก็ไม่มีประสบการณ์อะไรที่ควรค่าแก่การแบ่งปัน ฉันแก่แล้ว ไม่มีกำลังวังชามากพอ สายตาก็ไม่ดีนัก และฉันก็ไม่ได้แข็งแรงอีกแล้ว ทุกสิ่งยากลำบากสำหรับฉัน ไม่เพียงฉันจะปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่ไหวเท่านั้น แต่ฉันยังลืมง่ายและผิดพลาดง่าย บางครั้งฉันก็สับสนและก่อปัญหาให้คริสตจักรและพี่น้องชายหญิง ฉันอยากบรรลุความรอดและไล่ตามเสาะหาความจริง แต่นั่นก็ยากมาก ฉันจะทำอะไรได้?” เมื่อพวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มกลัดกลุ้ม คิดไปว่า “ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้าในวัยนี้ได้อย่างไร? ทำไมฉันถึงไม่เป็นอย่างคนอายุยี่สิบสามสิบ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวัยสี่สิบห้าสิบปี? ทำไมฉันถึงเพิ่งมาเจอพระราชกิจของพระเจ้าเอาตอนที่ฉันแก่อย่างนี้? ไม่ใช่ว่าชะตากรรมของฉันไม่ดี อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ได้มาเจอพระราชกิจของพระเจ้า ชะตากรรมของฉันนี้ดี และพระเจ้าก็ทรงเมตตาฉันมาตลอด! มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ฉันไม่มีความสุข นั่นก็คือฉันแก่เกินไป ความจำของฉันไม่ค่อยดีนัก สุขภาพของฉันก็ไม่ได้ดีเยี่ยมขนาดนั้น แต่ฉันมีหัวใจที่แข็งแรง เพียงแต่ว่าร่างกายไม่เชื่อฟังฉัน เวลาชุมนุม พอฟังไปสักพัก ฉันก็ง่วงนอน บางครั้งฉันหลับตาอธิษฐานแล้วก็ผล็อยหลับไป เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้า ความรู้สึกนึกคิดของฉันก็ล่องลอยไปไหนๆ พออ่านไปนิดหนึ่ง ฉันก็ง่วงและงีบหลับ พระวจนะเลยไม่เข้าหัว ฉันจะทำอย่างไรได้? เมื่อมีความลำบากในการลงมือทำแบบนี้ ฉันจะยังคงไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริงได้หรือ? ถ้าไม่ได้ และถ้าฉันปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงไม่ได้ เช่นนั้นแล้วความเชื่อทั้งหมดที่ฉันมีจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? ฉันจะไม่ได้รับความรอดใช่ไหม? แล้วฉันจะทำอะไรได้? ฉันวิตกกังวลเหลือเกิน! พอถึงวัยนี้ อะไรๆ ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว ตอนนี้เมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ไม่มีความวิตกกังวลหรือมีอะไรให้กระวนกระวายใจอีกแล้ว ลูกๆ ของฉันก็โตแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ฉันคอยดูแลหรือเลี้ยงดูอีกต่อไป ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของฉันก็คือการไล่ตามเสาะหาความจริง ปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และท้ายที่สุดก็ได้รับความรอดในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ดี พอมองดูสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ตามจริง ดวงตาก็มืดมัวเพราะวัย ความรู้สึกนึกคิดสับสน สุขภาพก็แย่ ปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดี และบางครั้งก็สร้างปัญหาเวลาพยายามทำให้มากเท่าที่จะทำได้ การได้รับความรอดเลยดูเหมือนจะไม่ง่ายสำหรับฉัน” พวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาและยิ่งกระวนกระวายใจ และแล้วก็คิดไปว่า “ดูเหมือนสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นแต่กับผู้คนหนุ่มสาวร่ำไป ไม่ใช่กับคนแก่ ดูเหมือนว่าไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะดีเพียงใด ฉันก็จะไม่สามารถชื่นชมได้อีกต่อไป” ยิ่งพวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็ยิ่งกลัดกลุ้มและยิ่งกระวนกระวาย พวกเขาไม่เพียงวิตกกังวลเรื่องตัวเองเท่านั้น แต่ยังรู้สึกเสียใจอีกด้วย ถ้าพวกเขาร้องไห้ พวกเขาก็รู้สึกว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การร้องไห้ และถ้าพวกเขาไม่ร้องไห้ ความเจ็บปวดนั้น ความเสียใจนั้นก็คงอยู่กับพวกเขาเสมอ ดังนั้นพวกเขาควรทำเช่นไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้สูงอายุบางคนที่อยากใช้เวลาทั้งหมดของตนในการสละตนเพื่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่สุขภาพของพวกเขานั้นไม่ดี บ้างก็มีความดันโลหิตสูง บ้างก็มีน้ำตาลในเลือดสูง บ้างก็มีปัญหาด้านระบบทางเดินอาหาร และเรี่ยวแรงของพวกเขาก็ไม่สามารถตอบสนองตามที่หน้าที่ของตนเรียกร้องได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลัดกลุ้ม พวกเขามองเห็นคนหนุ่มสาวสามารถกินและดื่ม วิ่งและกระโดด พวกเขาจึงรู้สึกอิจฉา ยิ่งพวกเขามองเห็นคนหนุ่มสาวทำเรื่องดังกล่าว พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ คิดไปว่า “ฉันอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริง และฉันก็อยากปฏิบัติความจริงด้วย แล้วทำไมถึงได้ยากอย่างนี้? ฉันแก่และไร้ประโยชน์เหลือเกิน! พระเจ้าไม่ทรงต้องการคนแก่หรือไร? คนแก่ไม่มีประโยชน์จริงหรือ? พวกเราบรรลุความรอดไม่ได้กระนั้นหรือ?” ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ พวกเขาก็เศร้าและไม่อาจรู้สึกเป็นสุขได้ พวกเขาไม่อยากพลาดช่วงเวลาที่วิเศษเช่นนี้และโอกาสที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสละตนและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจและดวงจิตทั้งดวงเหมือนคนหนุ่มสาวได้ คนสูงอายุเหล่านี้ตกอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลอย่างยิ่งก็เพราะอายุของตน ทุกครั้งที่พวกเขาพบเจอความลำบาก ปัญหา ความทุกข์ยาก หรืออุปสรรคบางอย่าง พวกเขาก็นึกโทษอายุของตนเอง ถึงกับเกลียดตัวเองและไม่ชอบตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีทางออก และพวกเขาก็ไม่มีหนทางให้ไปต่อ เป็นไปได้หรือที่พวกเขาไม่มีหนทางให้ไปต่อจริงๆ? ไม่มีทางออกเลยหรือ? (คนสูงอายุก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้เช่นกัน) การที่คนสูงอายุปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้มากเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถูกต้องไหม? คนสูงอายุไม่อาจไล่ตามเสาะหาความจริงได้อีกแล้วเพราะอายุของพวกเขากระนั้นหรือ? พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงได้กระนั้นหรือ? (พวกเขาสามารถ) คนสูงอายุสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถเข้าใจได้บ้าง และแม้กระทั่งคนหนุ่มสาวก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมดเช่นกัน ตลอดเวลาคนสูงอายุมีแนวคิดที่ผิดอยู่อย่างหนึ่ง เชื่อไปว่าตนนั้นสับสน ความจำไม่ดี ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ พวกเขาเข้าใจถูกต้องหรือไม่? (ไม่) แม้คนหนุ่มสาวจะมีกำลังวังชามากกว่าคนสูงอายุมากนัก ร่างกายก็แข็งแรงกว่า แต่แท้จริงแล้วความสามารถในการทำความเข้าใจ จับใจความ และรับรู้ของพวกเขานั้นเหมือนกับของคนสูงอายุไม่มีผิด คนสูงอายุก็เคยเป็นหนุ่มเป็นสาวเช่นกันมิใช่หรือ? พวกเขาไม่ได้เกิดมาแก่ และสักวันหนึ่งคนหนุ่มสาวทุกคนก็จะแก่ตัวด้วย คนสูงอายุต้องไม่คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเพราะตนเองแก่ ร่างกายอ่อนแอ สุขภาพไม่ดี และความจำก็ไม่ดี พวกเขาจึงต่างจากคนหนุ่มสาว ที่จริงแล้วไม่มีความแตกต่าง เวลาที่เราบอกว่าไม่มีความแตกต่าง เราหมายความว่าอย่างไร? ไม่ว่าใครบางคนจะแก่หรือเป็นหนุ่มเป็นสาว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมเหมือนกัน ท่าทีและทัศนะที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ สารพัดรูปแบบย่อมเหมือนกัน มุมมองและจุดยืนที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆ นานัปการย่อมเหมือนกัน ดังนั้นคนสูงอายุต้องไม่คิดว่าเพราะตนเองแก่ มีความอยากอันฟุ้งเฟ้อน้อยกว่าคนหนุ่มสาว และดำรงตนได้มั่นคงกว่า พวกเขาจึงไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งซ่าน และมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามน้อยกว่า—นี่เป็นความคิดที่ผิด คนหนุ่มสาวสามารถวิ่งเต้นเพื่อตำแหน่ง แล้วคนสูงอายุไม่สามารถวิ่งเต้นเพื่อตำแหน่งกระนั้นหรือ? คนหนุ่มสาวอาจทำสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมและกระทำการตามอำเภอใจได้ แล้วคนสูงอายุทำเรื่องเดียวกันไม่ได้กระนั้นหรือ? (ทำได้) คนหนุ่มสาวโอหังได้ แล้วคนสูงอายุโอหังด้วยไม่ได้กระนั้นหรือ? อย่างไรก็ดี เวลาที่คนสูงอายุโอหัง เนื่องจากความสูงวัย พวกเขาจึงไม่ก้าวร้าวเท่าใดนัก แล้วก็ไม่ได้เป็นความโอหังที่ใหญ่โตอะไร คนหนุ่มสาวนั้นแสดงให้เห็นลักษณะที่โอหังได้ชัดเจนกว่าเพราะมีร่างกายและความรู้สึกนึกคิดที่ยืดหยุ่นกว่า ส่วนคนที่อายุมากกว่าย่อมแสดงลักษณะที่โอหังไม่ชัดเจนเท่าเพราะร่างกายแข็งเกร็งและความรู้สึกนึกคิดก็ไม่ยืดหยุ่น อย่างไรก็ดี แก่นแท้ของความโอหังและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากลับเหมือนกัน ไม่ว่าคนสูงอายุจะเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใด หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนมานานกี่ปี ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาย่อมจะยังมีอยู่ ตัวอย่างเช่น คนสูงอายุบางคนที่ใช้ชีวิตตามลำพัง ย่อมเคยชินกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียวและมีวิถีทางที่แน่นอน กล่าวคือ พวกเขามีตารางเวลาและการจัดแจงเรื่องการกิน การนอน และการพักผ่อนของตนเองที่แน่นอน และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมให้สิ่งต่างๆ ในชีวิตของตนนั้นเสียระเบียบ มองภายนอก คนสูงอายุเหล่านี้ดูเหมือนเป็นคนที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาก็ยังคงมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเจ้าค่อยมารู้เรื่องนี้หลังจากที่เจ้าคบหากับพวกเขามานานแล้ว คนสูงอายุบางคนเอาแต่ใจและโอหังมาก แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้กินสิ่งที่อยากกิน และเมื่อพวกเขาอยากไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งก็จะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้ เมื่อพวกเขาตั้งใจว่าจะทำอะไรสักอย่าง ม้าป่าก็ไม่สามารถลากพวกเขาออกมาได้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ และพวกเขาก็ทำอะไรตามใจตนเองไปตลอดชีวิตของตน คนแก่ที่ดื้อรั้นเช่นนี้ยิ่งสร้างปัญหามากกว่าคนหนุ่มสาวที่หัวแข็งเสียอีก! เพราะฉะนั้น เมื่อบางคนกล่าวว่า “คนแก่ไม่เสื่อมทรามมากเท่าคนหนุ่มสาว คนแก่มีชีวิตในสมัยที่ค่อนข้างอนุรักษนิยมและปิดกั้นมากกว่า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คนแก่รุ่นนี้ไม่ค่อยเสื่อมทรามมากนัก” คำกล่าวนี้จริงหรือไม่? (ไม่จริง) นี่เป็นเพียงการเถียงเข้าข้างตนเอง คนหนุ่มสาวไม่ชอบทำงานร่วมกับผู้อื่น แล้วคนสูงอายุก็เป็นเหมือนกันไม่ได้เลยกระนั้นหรือ? (เป็นได้) คนสูงอายุบางคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ร้ายแรงยิ่งกว่าของคนหนุ่มสาวเสียอีก อวดอ้างความแก่เฒ่าของตนอยู่เสมอและภูมิใจที่ตนอายุมาก บอกว่า “ฉันอายุมากแล้ว เธออายุเท่าไร? ฉันแก่กว่า หรือว่าเธอแก่กว่า? เธออาจไม่ชอบฟังเรื่องนี้ แต่ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเธอ และเธอก็ต้องฟังฉัน ฉันมีประสบการณ์และรอบรู้ เด็กๆ อย่างเธอเข้าใจอะไรบ้าง? ฉันเชื่อในพระเจ้ามาก่อนเธอเกิดด้วยซ้ำ!” นี่เป็นปัญหามากกว่ามิใช่หรือ? (ใช่) พอพวกเขาได้ตำแหน่ง “สูงวัย” คนที่แก่กว่ากลับสร้างปัญหาได้มากกว่า ดังนั้นไม่ใช่ว่าคนสูงอายุไม่มีอะไรทำ หรือปฏิบัติหน้าที่ของตนไม่ได้ และยิ่งไม่ใช่ว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงไม่ได้—มีหลายสิ่งหลายอย่างให้พวกเขาทำ ความคิดนอกรีตและเหตุผลวิบัติต่างๆ ที่เจ้าสะสมมาในช่วงชีวิตของตน รวมทั้งแนวคิดและมโนคติดั้งเดิมที่หลงผิด เรื่องที่ดื้อรั้นไม่รู้ความ เรื่องอนุรักษนิยม เรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล และเรื่องบิดเบือนทั้งหลายที่เจ้าสะสมเอาไว้ล้วนกองสุมอยู่ในหัวใจของเจ้า และเจ้าก็ควรใช้เวลาขุด ชำแหละ และตระหนักรู้เรื่องพวกนี้ให้มากกว่าคนหนุ่มสาวเสียอีก นี่ไม่ใช่เรื่องว่าเจ้าไม่มีอะไรทำ หรือเรื่องที่เจ้าควรรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเมื่อเจ้าไม่รู้จะทำอะไร—นี่ไม่ใช่ทั้งกิจและความรับผิดชอบของเจ้า ก่อนอื่น คนสูงอายุควรมีวิธีคิดที่ถูกต้อง แม้เจ้าจะมีวัยที่ล่วงเลยไปทุกที และร่างกายก็ค่อนข้างมีอายุแล้ว แต่เจ้าก็ควรมีวิธีคิดที่เป็นหนุ่มเป็นสาว แม้เจ้าจะอายุมากขึ้น การคิดอ่านช้าลงและความจำก็ไม่ดี แต่ถ้าเจ้ายังคงทำความรู้จักตัวเองได้ ยังคงทำความเข้าใจวจนะที่เรากล่าวได้ และยังคงทำความเข้าใจความจริงได้ เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้แก่และขีดความสามารถของเจ้าก็ไม่ได้บกพร่อง ถ้าใครบางคนมีอายุเจ็ดสิบกว่าปี แต่ไม่สามารถเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วนี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและมีความสามารถไม่ถึง เพราะฉะนั้น พอเป็นเรื่องของความจริง อายุจึงไม่มีความเกี่ยวข้อง และยิ่งไปกว่านั้น พอเป็นเรื่องของอุปนิสัยที่เสื่อมทราม อายุย่อมไม่มีความเกี่ยวข้อง ซาตานดำรงอยู่มาหลายหมื่นปี หลายร้อยล้านปีแล้ว และมันก็ยังคงเป็นซาตาน กระนั้นพวกเราก็ยังต้องเติมคุณศัพท์บอกลักษณะเข้าไปหลังคำว่า “ซาตาน” นั่นคือ “ซาตานเฒ่า” หมายความว่ามันชั่วอย่างที่สุด ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) ดังนั้น ผู้สูงอายุควรปฏิบัติอย่างไร? ในแง่หนึ่ง เจ้าควรมีวิธีคิดเหมือนคนหนุ่มสาว ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำความรู้จักตนเอง และเมื่อเจ้ามารู้จักตนเองแล้ว เจ้าก็ควรกลับใจ ในอีกแง่หนึ่ง เจ้าควรแสวงหาหลักธรรมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริง เจ้าไม่ควรมองว่าตัวเองไร้หนทางที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง บอกว่าตนเองแก่ อายุมากแล้ว ความคิดอ่านไม่แล่นเหมือนคนหนุ่มสาว และเจ้าก็ไม่ได้มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอย่างที่คนหนุ่มสาวมี เจ้าผ่านประสบการณ์มาทุกอย่างแล้วในชีวิตนี้ มีความเข้าใจเชิงลึกในทุกเรื่อง ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีอันคึกคะนอง แท้จริงแล้วความหมายของเจ้าในการพูดเช่นนี้ก็คือ “อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ดังนั้นการไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนแก่อย่างพวกเราเลย คนชราอย่างพวกเราก็แค่ทำงานทุกอย่างที่ทำได้และใช้ความพยายามทุกทางที่ใช้ได้ในพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น และแล้วพวกเราก็ย่อมจะทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดีและได้รับการช่วยให้รอด ส่วนเรื่องที่พระเจ้าทรงเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คน อุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ และแก่นแท้แห่งศัตรูของพระคริสต์ นั่นเป็นเรื่องที่คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอควรทำความเข้าใจ พวกเธออาจตั้งใจฟังก็ได้ ส่วนพวกเรานั้นเป็นเจ้าภาพรับรองพวกเธอให้ดีและคอยจับตามองสภาพรอบตัวเพื่อดูแลความปลอดภัยให้พวกเธอก็พอ คนสูงอายุอย่างพวกเราไม่มีความทะเยอทะยานที่คึกคะนอง พวกเราแก่ตัวลงทุกที สมองก็ตอบสนองช้า นั่นคือสาเหตุที่การตอบสนองของพวกเราล้วนเป็นบวก ก่อนที่พวกเราจะตาย พวกเราจึงกลายเป็นคนใจดีมีเมตตา เวลาผู้คนแก่ตัว พวกเขากลายเป็นคนที่ประพฤติดี ฉะนั้นพวกเราจึงเป็นคนที่ประพฤติตัวดี” ความหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็คือพวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแต่อย่างใด พวกเราเคยพูดกันเมื่อไรว่าผู้คนที่สูงอายุไม่จำเป็นต้องไล่ตามเสาะหาความจริงหรือว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงแตกต่างกันไปตามอายุของเจ้า? พวกเราเคยพูดเช่นนี้หรือไม่? ไม่เคย ผู้สูงอายุเป็นคนกลุ่มพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้าและในเรื่องของความจริงกระนั้นหรือ? ไม่ได้เป็น อายุไม่เกี่ยวอะไรเมื่อเป็นเรื่องของความจริง เช่นเดียวกับที่ไม่เกี่ยวอะไรเมื่อเป็นเรื่องอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า เรื่องว่าเจ้าเสื่อมทรามมากเท่าใด เจ้ามีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถได้รับความรอดหรือไม่ หรืออะไรคือความน่าจะเป็นของการที่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเราสามัคคีธรรมความจริงมาหลายปีมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความจริงชนิดต่างๆ ตามอายุที่แตกต่างกันของผู้คน ไม่เคยมีการสามัคคีธรรมความจริงและเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของคนหนุ่มสาวหรือคนสูงวัยกันเป็นการเฉพาะ และไม่เคยมีการกล่าวว่าเพราะพวกเขาอายุมาก คิดอ่านตายตัว และไม่สามารถยอมรับสิ่งใหม่ๆ ได้ จึงเป็นธรรมดาที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจะลดน้อยลงและเปลี่ยนแปลง—ไม่เคยมีการกล่าวเรื่องเหล่านี้เลย ไม่เคยมีการสามัคคีธรรมความจริงตามอายุของผู้คนกันเป็นการเฉพาะโดยไม่รวมคนสูงอายุเอาไว้ด้วยแม้แต่เรื่องเดียว ผู้สูงอายุไม่ใช่คนกลุ่มพิเศษในคริสตจักร ในพระนิเวศของพระเจ้า หรือเบื้องหน้าพระเจ้า แต่เป็นเช่นเดียวกับกลุ่มอายุอื่นๆ ไม่มีอะไรพิเศษในเรื่องของพวกเขา เพียงแต่ว่าพวกเขาผ่านชีวิตมานานกว่าคนอื่นนิดหน่อย มาถึงโลกนี้ก่อนคนอื่นไม่กี่ปี ผมเผ้าก็หงอกขาวกว่าคนอื่นบ้าง และร่างกายก็ชราภาพก่อนคนอื่นหน่อยเท่านั้นเอง นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้วก็ไม่มีข้อแตกต่าง ดังนั้น ถ้าคนสูงอายุคิดเสมอว่า “ฉันแก่แล้ว ฉะนั้น นั่นย่อมหมายความว่าฉันเป็นคนที่ประพฤติตัวดี ไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ฉันมีความเสื่อมทรามเพียงนิดเดียวเท่านั้น” เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนมิใช่หรือ? (ใช่) นี่ค่อนข้างจะไร้ความละอายใจมิใช่หรือ? ผู้สูงอายุบางคนเป็นอันธพาลเฒ่าเหลี่ยมจัดที่เจ้าเล่ห์เป็นที่สุด พวกเขาบอกว่าตัวเองไม่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และถึงกับบอกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาเลือนหายไปหมดแล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้พรั่งพรูอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาน้อยกว่าของผู้อื่นเลย ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราสามารถบรรยายอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและลักษณะความเป็นมนุษย์ของคนสูงอายุประเภทนี้ได้มากมายหลายทาง ตัวอย่างเช่น “อันธพาลเฒ่าเหลี่ยมจัด” และ “ขิงแก่เผ็ดที่สุด ประสบการณ์ย่อมชนะวัยเยาว์”—ทั้งสองตัวอย่างนี้ใช้คำว่า “แก่เฒ่า” ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) มีคำบรรยายอื่นใดอีกที่ใช้คำว่า “แก่เฒ่า”? (จอมวางแผนเฒ่า) ใช่แล้ว คำนี้ดี “จอมวางแผนเฒ่า” เจ้าดูเถิด ทั้งหมดนี้ใช้คำว่า “แก่เฒ่า” ทั้งสิ้น แล้วยังมี “ซาตานเฒ่า” และ “พวกมารเฒ่า”—ซึ่งก็คือผู้อาวุโสตัวจริงเสียงจริงทั้งหลาย! เวลาที่ผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนสูงอายุ พวกเขาเชื่อว่าอย่างไร? พวกเขาเชื่อว่า “อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเราเลือนหายไปหมดแล้ว อุปนิสัยที่เสื่อมทรามเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอ พวกเธอเสื่อมทรามหนักกว่าพวกเรา” นี่คือการจงใจบิดเบือนมิใช่หรือ? พวกเขาอยากวาดตัวเองให้ดูดีและพูดจาสรรเสริญตัวเอง แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น และเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น “พวกมารเฒ่า” “ซาตานเฒ่า” “จอมวางแผนเฒ่า” “อันธพาลเฒ่าเหลี่ยมจัด” และ “การอวดอ้างความแก่เฒ่าของตน”—คำบรรยายที่ใช้คำว่า “แก่เฒ่า” เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องดี และไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก
พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้อยู่ในขณะนี้ก็เพื่อตักเตือนผู้สูงอายุ แนะนำ และชี้ทางให้พวกเขา ทั้งยังเป็นการให้วัคซีนป้องกันแก่คนหนุ่มสาวอีกด้วย จุดประสงค์ที่กล่าวสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อแก้ปัญหาอะไรเป็นหลัก? เพื่อแก้ไขความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลของคนสูงอายุเหล่านี้ และเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะเข้าใจว่าความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเป็นสิ่งที่เกินการและไม่จำเป็น ถ้าเจ้าอยากปฏิบัติหน้าที่และเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ พระนิเวศของพระเจ้าจะปฏิเสธเจ้าหรือไม่? (ไม่) แน่นอนว่าพระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะให้เจ้ามีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ พระนิเวศจะไม่กล่าวเป็นอันขาดว่า “คุณปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้เพราะคุณอายุมากแล้ว ออกไปเถิด พวกเราจะไม่ให้โอกาสคุณ” ไม่ พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเป็นธรรม ตราบใดที่เจ้าเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่และไม่มีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ พระนิเวศของพระเจ้าย่อมจะให้โอกาสเจ้าและอนุญาตให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ได้มากเท่าที่เจ้าจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้าอยากทำความรู้จักตัวเองและไล่ตามเสาะหาความจริง จะมีใครเย้ยหยันเจ้าและพูดหรือไม่ว่า “คนมีอายุอย่างคุณมีคุณสมบัติที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยหรือ?” จะมีใครเย้ยหยันเจ้าหรือไม่? (ไม่) จะมีใครพูดหรือไม่ว่า “คุณทั้งแก่และสับสน คุณจะไล่ตามเสาะหาความจริงให้ได้อะไรขึ้นมา? พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยคนแก่อย่างคุณให้รอดหรอก”? (ไม่มี) จะไม่มีใครพูด ทุกคนล้วนเสมอภาคต่อหน้าความจริง และทุกคนก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม เพียงแต่เจ้าอาจจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเลี่ยงงานอยู่เสมอ คิดตลอดเวลาว่า “ฉันแก่แล้ว จะหน้าที่อะไรก็ปฏิบัติไม่ไหว” อันที่จริงมีหน้าที่มากมายที่เจ้าปฏิบัติได้ตามระดับความสามารถของเจ้า ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่อันใด แต่กลับอวดอ้างว่าเจ้าแก่เฒ่า อยากสั่งสอนผู้อื่น เช่นนั้นแล้วใครจะอยากฟังเจ้า? ไม่มีใครอยากฟัง เจ้าพูดเสมอว่า “โอ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอช่างไม่เข้าใจอะไรเลย!” และ “โอ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอเห็นแก่ตัวกันเสียจริง!” และ “โอ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอโอหังโดยแท้!” และ “โอ คนหนุ่มสาวอย่างพวกเธอเกียจคร้านกันจัง คนสูงอายุอย่างพวกเราขยันทำงาน สมัยฉันนี่พวกเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้” มีประโยชน์อะไรที่จะพูดเรื่องแบบนั้น? จงอย่ามัวแต่เล่าประวัติอัน “เลิศลอย” ของเจ้า ไม่มีใครอยากฟังหรอก การเล่าเรื่องที่พ้นสมัยพวกนั้นย่อมไร้ประโยชน์ เรื่องเหล่านั้นไม่ได้แสดงให้เห็นความจริง ถ้าเจ้าอยากเล่าอะไร เช่นนั้นแล้วก็จงพยายามกับความจริงบ้าง ทำความเข้าใจความจริงให้มากขึ้นอีกหน่อย ทำความรู้จักตนเอง มองตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มพิเศษที่ควรเป็นที่เคารพของผู้อื่น เป็นที่เทิดทูนของผู้อื่น เป็นที่ยกย่องของผู้อื่น และมีผู้อื่นคอยรุมล้อม นี่คือความอยากอันฟุ้งเฟ้ออย่างหนึ่ง และเป็นการคิดที่ผิด อายุไม่ใช่สัญลักษณ์บ่งบอกตัวตนของเจ้า อายุไม่ได้แสดงว่ามีสิทธิ์ อายุไม่ได้แสดงว่าอาวุโสกว่า และยิ่งไม่ได้แสดงว่าเจ้ามีความจริงหรือมีความเป็นมนุษย์ และอายุก็ไม่สามารถทำให้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้าเบาบางลง ดังนั้นเจ้าจึงเป็นเหมือนคนอื่นไม่มีผิด จงอย่าเรียกตัวเองว่า “ผู้สูงอายุ” อยู่เสมอเพื่อที่จะแยกตัวออกจากผู้อื่น และถึงกับทำตัวบริสุทธิ์แตกต่างจากผู้อื่น นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้รู้จักตนเองเลย! ยามที่มีชีวิตอยู่นั้น คนสูงอายุควรพากเพียรให้มากยิ่งขึ้นอีกในการไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิต และทำงานร่วมกับพี่น้องชายหญิงอย่างกลมเกลียวเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของตน ด้วยวิธีนี้เท่านั้น วุฒิภาวะของพวกเขาจึงจะสามารถเติบโตได้ ผู้สูงอายุต้องไม่ทึกทักเป็นอันขาดว่าตนนั้นอาวุโสกว่าผู้อื่นและอวดอ้างความแก่เฒ่าของตน คนหนุ่มสาวสามารถเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามสารพัดชนิดของตนออกมาได้ เจ้าก็เช่นกัน คนหนุ่มสาวสามารถทำเรื่องโง่เขลาสารพัดอย่างได้ เจ้าก็ทำได้ คนหนุ่มสาวมีมโนคติที่หลงผิด คนสูงอายุก็มีเช่นกัน คนหนุ่มสาวเป็นกบฏได้ คนสูงอายุก็เป็นได้ คนหนุ่มสาวเผยอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ได้ คนสูงอายุก็ทำได้ คนหนุ่มสาวมีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอันคึกคะนอง คนสูงอายุก็มี ไม่ได้แตกต่างกันแม้แต่น้อย คนหนุ่มสาวสามารถก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนและถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรได้ คนสูงอายุก็ด้วย เพราะฉะนั้น นอกจากจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีอย่างสุดความสามารถแล้ว พวกเขายังสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมาย มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เจ้าควรทำ เว้นแต่เจ้าจะโง่ วิกลจริต ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ และเว้นแต่เจ้าจะไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เจ้าสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวไม่มีผิด สามารถแสวงหาความจริง และควรมาเบื้องหน้าพระเจ้าบ่อยๆ เพื่ออธิษฐาน แสวงหาหลักธรรมความจริง พากเพียรที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลาย วางตนและกระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าทุกประการโดยมีความจริงเป็นหลักเกณฑ์ของเจ้า นี่คือเส้นทางที่เจ้าควรเดิน และเจ้าก็ไม่ควรรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย หรือวิตกกังวลเพราะว่าเจ้าอายุมาก เพราะเจ้าเป็นหลายโรค หรือเพราะร่างกายของเจ้าแก่ตัวลง การรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลไม่ใช่เรื่องพึงทำ—ภาวะอารมณ์เหล่านี้เป็นลักษณะที่สำแดงออกมาอย่างไม่มีเหตุผล คนสูงอายุควรปล่อยมือจากตำแหน่ง “ผู้สูงวัย” ของตน ทำตัวกลมกลืนกับคนหนุ่มสาว และนั่งกับพวกเขาอย่างคนที่ทัดเทียม เจ้าต้องไม่อวดอ้างความแก่เฒ่าของตน คิดอยู่เสมอว่าเจ้ามีคุณธรรมอันสูงส่งควรค่าแก่การเคารพนับถือ เจ้ามีคุณสมบัติเป็นเลิศ สามารถบริหารจัดการคนหนุ่มสาวได้ เป็นผู้มากวัยวุฒิและเป็นผู้อาวุโสของคนหนุ่มสาว มีความทะเยอทะยานอยู่เสมอที่จะควบคุมคนหนุ่มสาว และมีความอยากที่จะบริหารจัดการคนหนุ่มสาวอยู่ตลอดเวลา—นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามโดยแท้ ในเมื่อคนสูงอายุมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเหมือนคนหนุ่มสาวไม่มีผิด และมักจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนออกมาในชีวิตและขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนที่คนหนุ่มสาวทำไม่มีผิด แล้วเหตุใดคนสูงอายุจึงไม่ทำสิ่งที่ถูกควร กลับรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลอยู่เสมอถึงวัยชราของตนและจะเกิดอะไรขึ้นกับตนหลังความตาย? ทำไมพวกเขาถึงไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหมือนที่คนหนุ่มสาวทำ? ทำไมพวกเขาถึงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหมือนที่คนหนุ่มสาวทำ? เจ้าได้โอกาสนี้ไปแล้ว ดังนั้นถ้าเจ้าไม่คว้าเอาไว้ และเจ้าก็แก่ตัวลงจริงๆ จนไม่สามารถได้ยินหรือมองเห็นหรือดูแลตัวเองได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเสียใจ และชีวิตของเจ้าก็จะล่วงเลยไปแบบนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ)
คราวนี้ปัญหาเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบของผู้สูงอายุก็ได้รับการแก้ไขแล้วใช่หรือไม่? เมื่อพวกเจ้าอายุมากขึ้น เจ้าจะอวดอ้างความแก่เฒ่าของตนหรือไม่? เจ้าจะกลายเป็นอันธพาลเฒ่าเหลี่ยมจัดและจอมวางแผนเฒ่าหรือไม่? เวลาพวกเจ้าเห็นคนมีอายุ เจ้าจะเรียกพวกเขาว่า “พี่ชายเฒ่า” หรือ “พี่หญิงเฒ่า” หรือไม่? พวกเขามีชื่อ แต่พวกเจ้าก็ไม่เรียกชื่อของพวกเขา กลับเติมคำว่า “เฒ่า” เข้าไป ถ้าเจ้าเติมคำว่า “เฒ่า” อยู่เสมอเวลาพูดจากับคนสูงอายุ นั่นจะไม่ทำร้ายความรู้สึกของพวกเขาหรอกหรือ? พวกเขาคิดอยู่แล้วว่าตนนั้นแก่ และมีภาวะอารมณ์เชิงลบบางอย่าง ดังนั้น ถ้าเจ้าเรียกพวกเขาว่า “เฒ่า” ก็เหมือนเจ้ากำลังบอกพวกเขาว่า “คุณแก่แล้ว แก่กว่าฉัน และคุณก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว” พวกเขาจะรู้สึกชูใจหรือไม่เวลาพวกเขาได้ยินเจ้าเรียกอย่างนี้? พวกเขาจะไม่รู้สึกเป็นสุขอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าเรียกพวกเขาแบบนี้ ก็ย่อมจะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขามิใช่หรือ? ผู้สูงอายุบางคนปลาบปลื้มเมื่อได้ยินเจ้าเรียกพวกเขาเช่นนี้ และคิดว่า “ดูสิ ฉันมีคุณธรรมสูงส่ง คู่ควรแก่การได้รับความเคารพ และฉันก็เป็นที่นับหน้าถือตา เวลาพี่น้องชายหญิงพบหน้าฉัน พวกเขาไม่ได้เรียกชื่อฉัน ในพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนไม่เรียกคนมีอายุว่าลุง หรือตา หรือยาย แต่เวลาพี่น้องชายหญิงเรียกฉัน พวกเขาเติมคำว่า ‘เฒ่า’ และเรียกฉันว่า ‘พี่ชายเฒ่า’ (หรือ ‘พี่หญิงเฒ่า’) ดูเถิดว่าฉันนี้ภาคภูมิขนาดไหน ดูเถิดว่าฉันเป็นที่เคารพขนาดไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น พระนิเวศของพระเจ้านี้ดีงาม—ผู้คนเคารพผู้เฒ่าและเอาใจใส่ผู้เยาว์!” เจ้าคู่ควรที่จะได้รับความเคารพกระนั้นหรือ? เจ้านำความเจริญใจอันใดมาให้พี่น้องชายหญิงของตน? เจ้านำประโยชน์อะไรมาให้พวกเขา? เจ้าทำคุณความดีอะไรให้แก่พระนิเวศของพระเจ้า? เจ้าเข้าใจความจริงมากเพียงใด? เจ้าปฏิบัติความจริงมากเพียงใด? เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณธรรมสูงส่งคู่ควรที่จะได้รับความเคารพ แต่กลับไม่เคยทำคุณความดีเลย แล้วเจ้าสมควรได้รับการเรียกขานว่า “พี่ชายเฒ่า” หรือ “พี่หญิงเฒ่า” จากพี่น้องชายหญิงกระนั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่สมควร! เจ้าอวดอ้างความแก่เฒ่าของตน และอยากให้ผู้อื่นเคารพเจ้าอยู่เสมอ! การมีคนเรียกหาว่า “พี่ชายเฒ่า” หรือ “พี่หญิงเฒ่า” นั้นใช่เรื่องดีหรือไม่? (ไม่ใช่) ไม่ใช่เรื่องดี แต่เราก็ได้ยินอยู่บ่อยๆ นี่เป็นเรื่องที่แย่มาก แต่ผู้คนก็มักจะเรียกหาคนสูงอายุกันแบบนี้อยู่ดี นี่สร้างบรรยากาศแบบใดขึ้นมา? น่าขยะแขยงมิใช่หรือ? ยิ่งเจ้าเรียกหาคนสูงอายุว่า “พี่ชายเฒ่า” หรือ “พี่หญิงเฒ่า” พวกเขาก็ยิ่งนึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติ คิดว่าตัวเองมีคุณธรรมอันสูงส่งคู่ควรแก่การได้รับความเคารพ ยิ่งเจ้าเรียกหาพวกเขาว่า “นั่นเฒ่า นี่เฒ่า” พวกเขาก็ยิ่งนึกว่าตัวเองเป็นคนพิเศษ มีความสำคัญและดีงามกว่าผู้อื่น หัวใจของพวกเขาอยากจะนำผู้อื่น และพวกเขาก็ยิ่งออกห่างจากการไล่ตามเสาะหาความจริงมากขึ้น พวกเขาอยากนำผู้อื่นและบริหารจัดการผู้อื่นอยู่เสมอ มองตัวเองดีกว่าผู้อื่นตลอดเวลา คิดเห็นอยู่ร่ำไปว่าผู้อื่นนั้นคบยาก มองอยู่เสมอว่าผู้อื่นมีปัญหาและตนเองไม่มี จงบอกเราเถิดว่า คนแบบนี้ยังจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือไม่? พวกเขาทำไม่ได้ ดังนั้นการเรียกหาผู้คนว่า “พี่ชายเฒ่า” หรือ “พี่หญิงเฒ่า” จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ได้แต่ทำร้ายและทำอันตรายพวกเขาเท่านั้น ถ้าเจ้าเพียงแต่เรียกชื่อของพวกเขาและตัดคำว่า “เฒ่า” ออก ถ้าเจ้ามองพวกเขาอย่างถูกต้องและนั่งกับพวกเขาอย่างคนที่ทัดเทียม เช่นนั้นแล้ว สภาวะและวิธีคิดของพวกเขาย่อมจะเป็นปกติ และพวกเขาก็จะไม่ภาคภูมิใจในความสูงวัยของตนและไม่ดูแคลนผู้อื่นอีกต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมง่ายที่พวกเขาจะมองตัวเองว่าเสมอกับผู้อื่น พวกเขาจะสามารถมองตัวเองและผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง สามารถมองเห็นว่าตนนั้นเป็นเหมือนผู้อื่นไม่มีผิด เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปไม่มีผิด และไม่ได้ดีกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด เมื่อเป็นดังนี้ เรื่องยุ่งยากของพวกเขาก็จะลดน้อยลง และพวกเขาก็จะไม่มีประสบการณ์เป็นภาวะอารมณ์เชิงลบที่อาจเกิดขึ้นได้เพราะความสูงอายุของตนและเพราะพวกเขาไม่เคยได้รับความจริง และแล้วพวกเขาย่อมจะมีความหวังในการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อภาวะอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น พวกเขาก็จะมองปัญหาของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน ด้วยวิธีคิดที่ถูกต้อง นี่ย่อมให้ผลที่เป็นบวกและเป็นประโยชน์ต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง การทำความรู้จักตนเอง และความสามารถของพวกเขาในการที่จะเดินไปตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหาเรื่องภาวะอารมณ์เชิงลบในตัวผู้สูงอายุก็ย่อมจะได้รับการแก้ไขมิใช่หรือ? (ใช่) ปัญหาเหล่านั้นย่อมจะได้รับการแก้ไข และจะไม่มีเรื่องยุ่งยากอีกต่อไป แล้ววิธีคิดที่ผู้สูงอายุควรใช้ก่อนอื่นย่อมเป็นเช่นใด? พวกเขาต้องใช้วิธีคิดที่เป็นบวก ไม่เพียงพวกเขาต้องรอบคอบเท่านั้น แต่พวกเขาต้องเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อีกด้วย พวกเขาต้องไม่จุกจิกกับคนหนุ่มสาวในเรื่องต่างๆ แต่ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง ชี้ทางให้คนหนุ่มสาว และไม่เกรี้ยวกราดกับพวกเขามากเกินไปเช่นกัน คนหนุ่มสาวนั้นโกรธง่ายและเร่งร้อนพูดจา ดังนั้นอย่าไปจุกจิกอะไรกับพวกเขา พวกเขาอายุยังน้อย ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ และขาดประสบการณ์ การใช้เวลาสักสองสามปีฝึกพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้นย่อมจะช่วยพวกเขาเอง เรื่องราวก็ควรเป็นเช่นนี้ และผู้สูงอายุก็ควรเข้าใจตามนี้ ดังนั้น วิธีคิดที่ผู้สูงอายุควรใช้และเป็นไปตามความจริงย่อมเป็นเช่นไร? พวกเขาควรปฏิบัติต่อคนหนุ่มสาวอย่างถูกต้อง และพร้อมกันนั้น พวกเขาก็ต้องไม่โอหังและทะนงตน คิดไปว่าตนนั้นผ่านประสบการณ์มามากมายและมีความเข้าใจที่ลึกซึ้ง พวกเขาควรมองตนเองเป็นคนธรรมดาและเหมือนกับผู้อื่นไม่มีผิด—นี่คือเรื่องถูกต้องที่พึงทำ ผู้สูงอายุต้องไม่ถูกอายุของตนฉุดรั้งเอาไว้ และต้องไม่เปลี่ยนไปมีวิธีคิดอย่างคนหนุ่มสาว การเปลี่ยนไปมีวิธีคิดอย่างคนหนุ่มสาวก็ไม่ปกติเช่นกัน ดังนั้นจงอย่ายอมให้อายุของเจ้าดึงรั้งเจ้าไว้ จงอย่าคิดอยู่เสมอว่า “แย่ละ ฉันแก่มากแล้ว ทำนี่ก็ไม่ได้ พูดนี่ก็ไม่ได้ ทำนั่นก็ไม่ได้ เป็นเพราะฉันแก่ขนาดนี้ ฉันถึงต้องนี่ ฉันถึงต้องนั่น ฉันต้องนั่งแบบนี้และยืนแบบนั้น และฉันถึงกับต้องกินให้ดูดี ทั้งหมดก็เพื่อให้คนหนุ่มสาวเห็น พวกเขาจะได้ไม่ดูแคลนผู้สูงอายุ” วิธีคิดแบบนี้ผิด และด้วยการคิดเช่นนี้ เจ้าถึงถูกการคิดอ่านแบบผิดๆ ควบคุมและฉุดรั้งเอาไว้ และเจ้าก็ทำตัวไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ออกจะปลอมและเทียมเท็จ จงอย่ายอมให้อายุมาดึงรั้งเจ้าเอาไว้ จงทำตัวเหมือนผู้อื่น ทำทุกสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ และทำสิ่งที่เจ้าพึงทำ—เมื่อทำดังนี้ เจ้าย่อมจะมีวิธีคิดที่ปกติ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? (เข้าใจ) ดังนั้น เมื่อผู้สูงอายุมีวิธีคิดที่ปกติ ภาวะอารมณ์เชิงลบต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในตัวพวกเขาเพราะอายุที่เพิ่มขึ้น ก็ย่อมจางหายไปโดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว ภาวะอารมณ์เหล่านี้ไม่อาจเกาะเกี่ยวตัวเจ้าเอาไว้ได้อีกต่อไป ภัยที่มันก่อให้แก่เจ้าก็ย่อมหมดไปด้วย และแล้วความเป็นมนุษย์ เหตุผล และมโนธรรมของเจ้าก็จะค่อนข้างเป็นปกติทั้งหมด ภายใต้หลักการเบื้องต้นของการมีมโนธรรมและการใช้เหตุผลที่ปกติ จุดตั้งต้นของผู้คนย่อมจะค่อนข้างถูกต้องสำหรับการไล่ตามเสาะหาความจริง การปฏิบัติหน้าที่ของตน และการเข้าร่วมกิจกรรมและงานใดๆ ส่วนผลสัมฤทธิ์ก็จะค่อนข้างถูกต้องไปด้วย ก่อนอื่นผู้สูงอายุจะต้องไม่ถูกอายุของตนดึงรั้งเอาไว้ แต่กลับสามารถประเมินตนเองได้ตามความเป็นจริงและในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ทำสิ่งที่พวกเขาพึงทำ เป็นเหมือนผู้อื่น และปฏิบัติหน้าที่ที่พวกเขาพึงปฏิบัติอย่างสุดความสามารถของตน คนหนุ่มสาวก็ไม่ควรคิดไปว่า “คุณมีอายุขนาดนี้ คุณกลับไม่เคยหลีกทางให้ฉัน และไม่เคยดูแลฉัน คุณอายุมากอย่างนี้ คุณควรมีประสบการณ์มาก แต่คุณก็ไม่บอกเคล็ดลับให้ฉันรู้ว่าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างไร และการอยู่กับคุณก็ไม่ให้ประโยชน์อะไร คุณมีอายุ แล้วทำไมคุณถึงไม่รู้ว่าควรเข้าอกเข้าใจคนหนุ่มสาวอย่างไร?” การพูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) ไม่เหมาะสมที่จะเรียกร้องกับผู้สูงอายุแบบนี้ เพราะฉะนั้น ทุกคนล้วนเสมอภาคต่อหน้าความจริง ถ้าการคิดอ่านทั้งปวงของเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริง เป็นไปตามข้อเท็จจริง ถูกต้อง และสมเหตุสมผล เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงอย่างแน่นอน ถ้าภาวะ เหตุ และสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริง หรือแม้กระทั่งปัจจัยใดๆ ไม่มีผลต่อเจ้าเลย ถ้าเจ้าทำแต่สิ่งที่ผู้คนควรทำและทำแต่สิ่งที่พระเจ้าทรงสอนให้ผู้คนทำเท่านั้น เช่นนั้นแล้วก็แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าทำย่อมจะเหมาะสม ถูกควร และมีพื้นฐานที่สอดคล้องกับความจริง เจ้าจะไม่จมปลักอยู่ในภาวะอารมณ์เชิงลบที่เป็นความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวลเพราะความสูงวัยของเจ้าเช่นกัน และปัญหาข้อนี้ย่อมจะได้รับการแก้ไข
เยี่ยมเลย เราจะจบสามัคคีธรรมของวันนี้ไว้ตรงนี้ ลาก่อน!
22 ตุลาคม ค.ศ. 2022