66. ฉันเปลี่ยนแปลงตัวตนที่โอหังได้อย่างไร

โดย จิ้งเว่ย ประเทศสหรัฐอเมริกา

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจของพระเจ้าทุกขั้นตอน—ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะที่เกรี้ยวกราด หรือการพิพากษา หรือการตีสอน—ทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และถูกต้องเหมาะสมอย่างแน่นอน  ตลอดยุคทั้งหลายพระเจ้ามิเคยได้ทรงพระราชกิจเหมือนเช่นนี้เลย วันนี้ พระองค์ทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะซึ้งคุณค่าในพระปรีชาญาณของพระองค์  ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้ทนทุกข์กับความเจ็บปวดบางอย่างภายในตัวพวกเจ้า แต่หัวใจของพวกเจ้ารู้สึกมั่นคงและอยู่อย่างสงบ มันเป็นพรของพวกเจ้าที่มีความสามารถชื่นชมกับพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้าได้  ไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับในอนาคตจะเป็นอะไร แต่ทั้งหมดที่พวกเจ้ามองเห็นจากพระราชกิจของพระเจ้าในตัวพวกเจ้าวันนี้คือความรัก  หากมนุษย์ไม่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและกระบวนการถลุงของพระเจ้า การกระทำทั้งหลายและความเร่าร้อนของเขาก็จะคงอยู่ในระดับผิวเผินตลอดเวลา และอุปนิสัยของเขาก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  สิ่งนี้นับว่าเป็นการได้ถูกพระเจ้ารับไว้กระนั้นหรือ?  วันนี้ ถึงแม้ว่าภายในมนุษย์ยังคงโอหังและทะนงตนอยู่มาก แต่อุปนิสัยของมนุษย์ก็มั่นคงมากกว่าแต่ก่อนมากนัก  การจัดการกับเจ้าของพระเจ้ากระทำไปเพื่อที่จะช่วยเจ้าให้รอด และถึงแม้ว่าเจ้าอาจจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดบ้าง ณ เวลานั้น แต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอุปนิสัยของเจ้าจะมาถึง  ณ เวลานั้น เจ้าจะมองกลับไปและเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าชาญฉลาดเพียงใด และ ณ เวลานั้น เจ้าจะมีความสามารถที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความดีงามของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับการทดสอบอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น)  ฉันเคยคิดว่า แค่เพียงความกระตือร้นและความสมัครใจยอมลำบากในการทำหน้าที่ของตัวเอง ก็ทำให้ได้รับการทรงเห็นชอบของพระเจ้าแล้ว ฉันไม่ได้จดจ่อกับการยอมรับการพิพากษาและตีสอนแห่งพระวจนะของพระองค์ หรือการไล่ตามการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ฉันเพียงแต่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างโอหังและเผด็จการ ฉันบังคับฝืนใจและเป็นภัยต่อพี่น้องชายหญิง แถมยังสร้างความเสียหายให้งานของคริสตจักร ในที่สุดฉันก็ได้เห็นว่า หากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉันคงไม่ได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงได้ และฉันคงไม่มีวันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีเพื่อสนองต่อพระเจ้าได้ ฉันได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าคือความรอดของพวกเราค่ะ

ในปี 2016 ฉันได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ออกแบบฉาก ฉันตื่นเต้นมากพลางคิดว่า “ฉันเรียนการออกแบบภายในมาและมีประสบการณ์ในด้านนี้มากกว่าสี่ปี ฉันจะต้องใช้ประโยชน์จากทักษะวิชาชีพของตัวเองเพื่อทำงานนี้ให้ดีและสนองพระเจ้าให้ได้” หลังจากนั้น ฉันได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ กับพี่น้องชายหญิงและเราได้สามัคคีธรรมกันบนหลักปฏิบัติ ผ่านไปสักระยะฉันก็เริ่มเห็นผลลัพธ์บางอย่างในหน้าที่ของตัวเอง เวลาที่ฉันได้ยินใครบางคนพูดว่า “พวกคุณทำฉากนี้ได้ดีมาก มันดูสมจริงมากเลย” แม้ฉันจะตอบไปว่ามันคือการทรงนำของพระเจ้า แต่สิ่งที่ฉันคิดคือ “ก็ต้องดีอยู่แล้วสิ คุณไม่รู้หรือว่าใครออกแบบ ฉันคือมืออาชีพนะ!” ฉันเริ่มเดินเชิดหน้าชูคอและพูดเสียงดังขึ้น เวลาที่ฉันเห็นความผิดพลาดบางอย่างในหน้าที่ของคนอื่น ฉันก็ดูถูกพวกเขา ฉันเลิกหารือเรื่องการจัดการเตรียมการฉากกับพวกเขา ฉันคิดว่าเนื่องจากตัวเองเรียนด้านการออกแบบมา มันเลยไม่จำเป็น คิดว่ามันเสียเวลาเพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คงทำตามแนวคิดของฉันอยู่แล้ว ฉันจะคิดแผนงานไว้ในใจคนเดียวแล้วเอาไปหารือกับผู้กำกับ

หลังจากที่ฉันได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าทีม ฉันก็ยิ่งไม่แยแสพี่น้องชายหญิงมากกว่าเดิม ครั้งหนึ่งตอนที่เรากำลังจัดฉากร้านอาหารกันอยู่ พี่จางที่อยู่ในทีมก็พูดว่า “ประตูหน้ายังสูงไม่พอ มันดูไม่ดีเลยนะ” ฉันไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นและคิดว่า “ฉันออกแบบฉากร้านอาหารมาตั้งหลายครั้ง คุณคิดว่าฉันไม่รู้จริงๆ หรือว่าประตูควรสูงเท่าไหร่ คุณซะอีกที่ทำฉากมาไม่เท่าไหร่ ไม่ได้เรียนออกแบบหรือมีประสบการณ์ในทางปฏิบัติมา แต่คุณกลับอยากสอนปลาให้ว่ายน้ำเนี่ยนะ” ฉันปฏิเสธข้อเสนอแนะของเขาไปอย่างไม่สบอารมณ์ และให้ทุกคนทำตามที่ฉันต้องการเหมือนเดิม พอตากล้องเห็นประตูนั้น เขาก็บอกว่าประตูมันต่ำเกินไปและจะบังภาพที่จะถ่ายเอา เขาถ่ายทำแบบนั้นไม่ได้ เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำประตูบานใหม่ หลังจากนั้น เราจำเป็นต้องสร้างตู้กับข้าว ฉันจึงบอกให้พี่เฉินทำตามรูปที่ฉันวาดไว้ เขาบอกว่า “ช่วงตรงกลางตู้กว้างเกินไปนะ มันดูไม่ดีเลย สร้างให้มันแคบลงอีกหน่อยดีไหม” ฉันก็คิดว่า “ฉันดูไอ้ตู้นี่ทางออนไลน์มาหมดทุกแบบแล้ว และนี่แหละสัดส่วนที่ถูกต้อง ทำตามที่ฉันบอกเถอะจะได้ไม่ผิด” ด้วยความยืนหยัดกับความคิดของตัวเองฉันเลยพูดไปว่า “คุณพูดเรื่องอะไรกัน ทำตามที่ฉันวาดไปเถอะน่า!” แต่สุดท้ายทุกคนก็บอกว่าช่วงตรงกลางมันกว้างเกินไปและดูไม่สวย พี่เฉินต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อแก้ไขตู้นี้ ซึ่งมันทำให้ความคืบหน้าในการถ่ายทำนั้นล่าช้า ฉันยังคงไม่ไตร่ตรองหรือพยายามรู้จักตัวเอง แถมกลับไม่ใส่ใจมันเลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่า “ใครมันจะไม่ทำผิดพลาดกันบ้างล่ะ แค่เสียเวลาและวัสดุซ่อมมันนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเสียหน่อย”

หลังการชุมนุมครั้งหนึ่ง พี่จางได้มีผลตอบรับมาที่ฉันว่า “ผมสังเกตเห็นว่าช่วงนี้เวลาร่วมงานกับคนอื่นคุณค่อนข้างหัวดื้อ คุณไม่ฟังข้อเสนอแนะของพวกเราเลย แถมคุณยังปฏิเสธบางอันที่ดูใช้ได้จริงมากๆ ไปอีก คุณพูดจาแบบวางท่า แถมยังทำให้คนอื่นอึดอัด มักจะยืนกรานให้พวกเราทำตามวิธีของคุณอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้คือการแสดงออกของอุปนิสัยที่โอหัง” ฉันยอมรับเรื่องนี้ทางวาจา แต่ก็คิดว่า “ฉันโอหัง แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักหน่อย” ไม่กี่วันต่อมา พี่หลิวก็ได้จัดการกับฉันทีเป็นคนโอหังด้วยเช่นกัน โดยบอกว่าฉันไม่ฟังคนอื่น แถมยังทำให้พวกเขาอึดอัด ฉันตั้งกำแพงใส่โดยที่เขายังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ ฉันคิดว่า “พวกคุณไม่มีใครเทียบฉันได้สักคน กล้าดีอย่างไรมาจัดการกับฉัน” ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ฉันก็ยิ่งรับไม่ได้ ถึงขนาดที่ฉันหาข้อแก้ตัวในการอธิษฐานต่อพระเจ้าเลยค่ะ ยิ่งฉันทำแบบนั้น จิตวิญญาณของฉันก็ยิ่งดำมืดและหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันกลายเป็นคนที่ไม่มีระเบียบในการออกแบบฉาก แต่ฉันก็ยังไม่ไตร่ตรองตัวเองอยู่ดี วันหนึ่งขาของฉันกระแทกเข้ากับขอบเก้าอี้โลหะ จนเป็นแผลเปิดลึกที่ยาวมากๆ ฉันถูกเย็บเจ็ดเข็มที่โรงพยาบาล ฉันรู้ตัวดีว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แน่ ในที่สุดฉันก็สงบใจตัวเองและไตร่ตรองได้จริงๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่พี่น้องชายหญิงมีข้อเสนอแนะหรือตัวบ่งชี้ที่เป็นประโยชน์ ฉันก็ไม่ยอมเชื่อแถมยังต่อต้าน ฉันไม่ยอมรับหรือยอมจำนนเลย ฉันดื้ออย่างเหลือเชื่อเลยค่ะ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า วอนขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ได้รู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง

ฉันได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าในการอุทิศตนตอนเช้า: “หากเจ้าถือว่าผู้อื่นด้อยกว่าเจ้า เจ้าก็คิดว่าเจ้าเป็นฝ่ายถูกเสมอ ทะนงตน และไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 22)  “จงอย่าคิดว่าเจ้าเป็นอัจฉริยบุคคลที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิด ซึ่งต่ำกว่าฟ้าสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไม่สิ้นสุด  เจ้าห่างไกลจากการเป็นคนฉลาดกว่าผู้ใดอื่น—และอาจกล่าวได้ด้วยซ้ำว่าการที่เจ้าโง่กว่าผู้คนใดๆ ที่มีเหตุผลบนแผ่นดินโลกอย่างมากก็ดูน่ารักดี เพราะเจ้าคิดถึงตัวเองอย่างอวดดีเกินไปและไม่เคยได้มีสำนึกรับรู้ของความด้อยกว่าเลย ราวกับว่าเจ้าสามารถมองทะลุการกระทำของเราลงไปถึงรายละเอียดที่เล็กกระจิริดที่สุด  ในประเด็นที่เป็นข้อเท็จจริงนั้น เจ้าคือใครสักคนที่โดยพื้นฐานแล้วขาดพร่องเหตุผล เพราะเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าเราตั้งใจที่จะทำอะไร และเจ้ายิ่งตระหนักรู้น้อยลงไปใหญ่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้  และดังนั้นเราจึงพูดว่าเจ้าไม่แม้แต่จะทัดเทียมกับชาวนาเฒ่าที่กำลังตรากตรำทำงานบนผืนดิน ชาวนาที่ไม่ได้มีการล่วงรู้ถึงชีวิตมนุษย์แม้แต่น้อย แต่ก็ยังมอบความไว้วางใจทั้งหมดของเขาไว้กับพระพรแห่งฟ้าสวรรค์เมื่อเขาทำการเพาะปลูกบนแผ่นดิน  เจ้าไม่เจียดความคิดแม้เพียงวินาทีเดียวให้กับชีวิตของเจ้า เจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชื่อเสียง และเจ้ายิ่งมีความรู้จักตัวเองน้อยกว่านั้นอีก  เจ้าช่าง ‘อยู่เหนือเรื่องทั้งหมด’ เหลือเกิน!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกที่ไม่เรียนรู้และยังคงไม่รู้เท่าทัน: พวกเขาไม่ใช่สัตว์เดียรัจฉานหรอกหรือ?)  หลังได้อ่านพระวจนะนี้แล้วฉันรู้สึกเสียใจมากค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกตีแผ่โดยทุกถ้อยคำ ตั้งแต่ที่ฉันได้มาเป็นนักออกแบบฉาก ฉันก็คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความสามารถพิเศษที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากฉันรู้จักวงการนี้และมีประสบการณ์มาแล้ว ฉันทำตัวจองหองกับพี่น้องชายหญิง คิดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพ จึงไม่มีใครควรค่ากับเวลาของฉันทั้งนั้น ฉันมักจะถือสิทธิ์เด็ดขาดและไม่อยากหารือเรื่องงานกับคนอื่น ฉันคิดว่ามันเสียเวลาเพราะพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้ใดๆ เรื่องการออกแบบอยู่แล้ว เวลาที่ฉันหารือบางเรื่องอย่างไม่เต็มใจ ฉันคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเชี่ยวชาญมากกว่า ฉันจึงเห็นสิ่งต่างๆ ได้ครอบคลุมมากกว่า ฉันไม่เคยสืบค้นในสิ่งที่พวกเขาเสนอแนะ แต่กลับปฏิเสธข้อเสนอแนะเหล่านั้น ฉันไม่มีแม้แต่ความเคารพขั้นพื้นฐานที่สุดต่อคนอื่นด้วยซ้ำ เวลาพี่น้องชายหญิงบอกว่าฉันโอหังและสนับสนุนให้ฉันไตร่ตรองตัวเอง ฉันก็รับเรื่องนั้นไม่ได้ และยังคงต่อต้าน ฉันได้เห็นว่าตัวเองไม่ได้เปิดเผยสิ่งใดทั้งสิ้นนอกจากความโอหัง การใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยที่โอหังทำให้ฉันดูถูกคนอื่น และเอาแต่ทำให้พี่น้องชายหญิงอึดอัดและเจ็บปวด ฉันเป็นคนที่โอหังและเผด็จการในการทำงาน บีบบังคับให้คนอื่นฟังฉัน เป็นสาเหตุให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งก่อกวนงานของคริสตจักร ฉันทำสิ่งที่ชั่วร้ายจริงๆ ค่ะ!  พอตระหนักทั้งหมดนี้ได้ ฉันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ฉันอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้า ฉันไม่อยากทำอะไรด้วยความโอหังอีกต่อไปแล้ว

ในการทำหน้าที่ของฉันหลังจากนั้น ฉันก็ตั้งใจวางตัวเองลง และฟังข้อเสนอแนะจากคนอื่นๆ ให้มากขึ้นเพื่อชดเชยในข้อบกพร่องของฉัน บางครั้งที่ฉันร่างงานออกแบบ และพี่น้องชายหญิงก็จะมีข้อเสนอแนะมากมายที่แตกต่างจากแนวคิดของฉัน ฉันกำลังจะปฏิเสธความคิดพวกนั้น แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าตัวเองโอหังขึ้นมาอีก ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจ วอนขอให้พระองค์ทรงนำฉันให้ละทิ้งตัวเองและไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอีก ฉันอยากทำตามข้อเสนอแนะของใครก็ตามที่จะเป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้ามากที่สุด พอฉันเริ่มยอมรับแนวคิดของคนอื่นๆ ได้ ฉันก็พบว่าอุปกรณ์ประกอบฉากของเราเข้าท่ามากขึ้น พวกมันเป็นประโยชน์และใช้งานได้จริงมากขึ้น แถมยังสร้างได้เร็วขึ้น ฉันได้ลิ้มรสชาติอันหอมหวานของการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าแล้วค่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้เข้าใจถึงธรรมชาติที่โอหังของตัวเองอย่างถ่องแท้ และขาดการตระหนักรู้ในตัวเอง ไม่กี่เดือนต่อมา ฉันได้เห็นว่าฉากของเราเป็นที่ยอมรับอย่างดีจากทุกคน และฉันประสบความสำเร็จในหน้าที่ของตัวเองบ้างแล้ว โดยไม่ทันรู้ตัว อุปนิสัยที่โอหังของฉันก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

ครั้งหนึ่งตอนที่เรากำลังประกอบฉากบ้านคนรวย ฉันคิดว่า “คนแบบนั้นคงจะมีข้าวของชั้นสูง เพื่อสะท้อนสถานะของพวกเขาแน่” ฉันให้พี่น้องชายหญิงจัดการเตรียมการฉากในแบบที่ฉันต้องการ พี่จางชี้ให้เห็นว่ามันดูทันสมัยมากเกินไป และไม่เหมาะกับรุ่นของตัวละครหลัก ฉันไม่พอใจนักที่ได้ยินแบบนั้น ฉันคิดว่า “คุณจะไปรู้อะไร นี่เขาเรียกว่ายืดหยุ่นได้ต่างหาก เราต้องออกแบบฉากตามสถานะของเขาโดยไม่จำกัดมันไว้ที่ช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง เท่าที่ฉันเห็น คุณก็คิดไม่ออกสินะว่าบ้านแบบนี้ควรมีลักษณะแบบไหน แนวคิดของคุณช่างล้าสมัยเหลือเกิน” สิ่งที่ฉันพูดกับเขาคือ “ฉันเข้าใจเรื่องช่วงเวลาดีค่ะ เรื่องนี้ไว้ใจฉันเถอะ” หลังจากนั้นไม่นานพี่เฉินก็บอกว่าหน้าต่างมันดูทันสมัยเกินไปเช่นกัน ฉันหงุดหงิดมาก และสงสัยว่า ทำไมพวกเขาล้าหลังและเข้มงวดนัก ฉันข่มอารมณ์เอาไว้และยืนหยัดในมุมมองของตัวเอง พี่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พอฉากเสร็จเรียบร้อย ฉันก็ประหลาดใจเมื่อผู้กำกับ บอกว่าการออกแบบของเราไม่สมจริง มันฉูดฉาดเกินไป และไม่เข้ากับอายุของตัวละครหลักเลย เราต้องทำฉากกันใหม่ ฉันก็ยังคงไม่ใส่ใจเรื่องนั้นอยู่ดี ฉันรู้สึกว่าพวกเขาแค่ไม่สามารถชื่นชมมันได้ แต่ด้วยความที่ทุกคนบอกว่ามันใช้ไม่ได้ ฉันเลยตกลงทำฉากใหม่แบบไม่เต็มใจนัก

ผ่านไปสักระยะ เราต้องการเตียงคังโบราณแบบยุค 80 มาเข้าฉาก ฉันคิดว่าเราคงต้องใช้งบสำหรับเตียงนี้มากทีเดียว แต่พี่จางบอกว่าถ้าเขาสร้างเตียงนี้เองเราจะประหยัดเงินไปได้เยอะ และเขามีแผนอย่างละเอียดอยู่ในใจแล้ว แต่ฉันกลับดูถูกแนวคิดนั้นอย่างเดียวเลยค่ะ เราสามารถสร้างเองได้เพื่อประหยัดเงิน แต่มันคงไม่ทนทานเท่า มันจะไม่เป็นความพยายามที่สูญเปล่าหรือ ฉันยังบอกผู้กำกับด้วยว่าแนวคิดของพี่จางใช้ไม่ได้หรอก ผู้กำกับบอกว่างบของฉันมันสูงเกินไป เขาจึงตัดฉากที่มีเตียงคังทิ้งไป ต่อจากนั้นพี่จางก็ได้พูดข้อเสนอแนะอีกอย่างขึ้นมา และฉันได้สั่งสอนเขาไปค่ะ คิดว่าเขาไม่เข้าใจและกำลังดันทุรัง พี่สาวอีกคนเห็นว่าฉันกำลังทำให้เขาอึดอัด และบอกว่าฉันโอหัง ฉันก็ปฏิเสธที่จะยอมรับมัน แม้แต่ตอนที่หารือกันเรื่องการจัดการเตรียมการฉากกับผู้กำกับ ฉันก็ยังคงโอหังและไม่ยอม ผลที่ออกมาคือ บางครั้งฉากที่ได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ และถึงขั้นต้องทำใหม่เลยด้วยซ้ำ สิ่งนี้ทำให้การถ่ายทำล่าช้าค่ะ

ในไม่ช้าฉันก็ถูกถอดออกจากหน้าที่ ผู้นำบอกฉันว่า “พี่น้องชายหญิงบอกมาตลอดว่าคุณโอหัง คุณทำอะไรตามวิธีของตัวเองและมักถือสิทธิ์ขาด คุณสั่งสอนคนอื่นอย่างวางท่า คุณทำตัวเหมือนตัวเองเป็นหัวหน้าและพวกเขาเป็นลูกน้อง ทุกคนรู้สึกอึดอัดเพราะคุณ” พอได้ยินแบบนี้ฉันก็ชะงักไปเลย ฉันไม่เคยคิดว่าในสายตาคนอื่นฉันดูโอหังและไร้เหตุผลเหลือเกิน ฉันผิดหวังมาก จนไม่ได้ยินเรื่องที่ผู้นำพูดเลยค่ะ ฉันทุกข์ใจมากอยู่สองสามวัน ฉันกินไม่ได้หรือนอนหลับดีๆ ไม่ได้เลย พระวจนะของพระเจ้าบรรทัดหนึ่งได้ผุดขึ้นมาในความคิด ระหว่างที่ฉันกำลังไตร่ตรองตัวเอง: “เจ้าทุกคนควรตรวจสอบใหม่ว่า ตลอดชั่วชีวิตของเจ้า เจ้าได้เชื่อในพระเจ้าอย่างไร(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ)  ฉันใคร่ครวญถึงพระวจนะนี้พลางคิดว่า “ตอนนี้ฉันก็เชื่อในพระเจ้ามาห้าปีแล้ว แต่ฉันไม่เคยไตร่ตรองหรือรู้จักตัวเองจริงๆ เลย ฉันได้เปิดเผยความโอหังมากมายโดยไม่รู้ตัว ฉันต้องไตร่ตรองในตัวเองอย่างจริงจังแล้วจริงๆ” ฉันได้กล่าวคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้า: “โอ้พระเจ้า ได้โปรดทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ที เพื่อที่ข้าพระองค์อาจได้รู้ถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตัวเอง อีกทั้งสามารถเกลียดชังและละทิ้งตัวเองได้ ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับใจ” วันหนึ่งฉันไปทำธุระที่กองถ่ายทำภาพยนตร์ ซึ่งฉันเห็นเตียงคังโบราณแบบยุค 80 ถูกสร้างขึ้นตามที่พี่จางเสนอแนะ มันใช้เงินสร้างน้อยกว่างบที่ฉันตั้งไว้ตอนแรกมากกว่าครึ่ง พี่จางและคนอื่นๆ ยังได้ทำของประกอบฉากอื่นๆ อีกมากมายจากกระดาษแข็ง ของพวกนั้นออกมาดีมาก ทั้งประหยัดเวลาและพลังงาน รวมถึงยังใช้วัสดุน้อยกว่าอีกด้วย พอเห็นแบบนี้ฉันก็ละอายใจมากเลย ฉันได้เห็นว่าที่ผ่านมาตัวเองโอหังแค่ไหน และฉันทำให้การถ่ายทำของเราล่าช้าอย่างร้ายแรงแค่ไหน ฉันเริ่มถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงโอหัง ทำให้คนอื่นเชื่อฟังฉันเสมอขนาดนี้ รากเหง้าที่แท้จริงของสิ่งนี้คืออะไรกัน”

ในการอุทิศตนของเช้าวันถัดมา ฉันก็ได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้าความว่า “หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง  หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ  ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์  เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ  สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง  ในที่สุด เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ  จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  ฉันรู้สึกแย่มากตอนที่อ่านพระวจนะนี้ ฉันรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยที่โอหังของตัวเองมาตลอด แต่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผลที่ตามมาของความโอหัง ในที่สุดฉันก็ได้เห็นจากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผย และจากการไตร่ตรองคำพูดและการกระทำของตัวเองว่ามันผลักให้ฉันทำสิ่งชั่วร้ายและต่อต้านพระเจ้า ธรรมชาติที่โอหังของฉันขับเคลื่อนให้ฉันคิดถึงแต่ตัวเอง ฉันจึงไม่คิดถึงคนอื่นเพราะฉันเองก็มีทักษะอยู่บ้าง ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันเริ่มต้นมักถูกต้องเสมอและไม่มีใครเทียบเท่าฉัน คิดว่าพวกเขาต้องทำตามที่ฉันบอก ถ้าฉันบอกว่า “ซ้าย” ก็ห้ามมีใครไปทางขวา และไม่มีใครเสนอแนะอย่างอื่นได้ ฉันดุด่าใครก็ตามที่ไม่ฟังฉัน อีกทั้งฉันยังเอาแต่ใจและเผด็จการ ฉันเอาแต่ควบคุมและเลือกเส้นทางแห่งการเป็นศัตรูของพระคริสต์ พระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า “ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ” ทำให้คิดถึงการที่ฉันโอ้อวดในหน้าที่ของตัวเองเป็นพิเศษ ฉันไม่เคยแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือหลักปฏิบัติแห่งความจริงเลย เวลาที่คนอื่นๆ มีข้อเสนอแนะ ฉันก็ไม่เคยพิจารณาว่ามันมาจากพระเจ้าหรือเปล่า มันเป็นการทรงนำของพระเจ้าไหม ถ้ามันไม่ใช่แนวคิดของฉัน ฉันก็จะไม่ฟัง ฉันได้เห็นว่าตัวเองไม่มีความยำเกรงใดๆ ต่อพระเจ้าเลย ฉันช่างโอหังที่ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยการดูถูกและไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจของฉัน ในการเชื่อ ฉันควรนบนอบต่อความจริงและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงจะมีข้อเสนอแนะอะไร ไม่ว่าจะตรงกับแนวคิดของฉันหรือไม่ มันก็อาจจะมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ได้ ฉันควรยอมรับและสำรวจมันด้วยหัวใจแห่งการนบนอบที่เกรงกลัวต่อพระเจ้า ถ้ามันสอดคล้องกับความจริงและจะเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันก็ควรเชื่อฟังและนำมันไปใช้ ถ้าฉันปฏิเสธบางสิ่งจากความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันจะเป็นการขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณและเป็นการต่อต้านพระเจ้าได้ สิ่งนั้นทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคือง ฉันทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความโอหัง และฉันเป็นคนเผด็จการ ทำให้พี่น้องชายหญิงอึดอัดใจและเก็บแนวคิดที่ดีใส่ลิ้นชัก สิ่งนี้รบกวนงานของคริสตจักร การถูกปลดออกคือพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าที่มาสู่ฉัน พอคิดถึงความเสียหายต่อพี่น้องชายหญิงที่ฉันทำมา รวมถึงความสูญเสียต่องานของคริสตจักรที่ฉันเป็นต้นเหตุ ฉันก็รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดอย่างมาก ฉันเกลียดความเสื่อมทรามของตัวเองจริงๆ ในขณะเดียวกันฉันก็เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณพระเจ้า เพราะถ้าฉันไม่ได้ถูกพิพากษาและตีสอนอย่างดุดัน จากความโอหังและความดื้อด้านของฉันเอง ฉันก็คงไม่มีวันได้รู้จักตัวเอง ฉันคงจะต่อต้านพระเจ้าต่อไป

หลังจากนั้นฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งค่ะ: “ส่วนมากแล้ว ความคิด การกระทำ ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนที่มีความสามารถพิเศษและมีพรสวรรค์นั้นไม่ลงรอยกันกับความจริง แต่พวกเขาเองนั้นไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้  พวกเขายังคงคิดว่า ‘ดูสิว่าฉันฉลาดเพียงใด ฉันได้ทำการเลือกที่เก่งเช่นนั้น!  ช่างเป็นการตัดสินใจที่มีปัญญา!  พวกเธอไม่มีสักคนที่สามารถเทียบฉันได้’  พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความหลงตัวเองและชื่นชมตัวเองตลอดกาล  มันยากสำหรับพวกเขาที่จะสงบใจและไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงขอสิ่งใดจากพวกเขา ว่าความจริงคืออะไร และว่าหลักการแห่งความจริงคือสิ่งใด  มันยากสำหรับพวกเขาที่จะเข้าสู่ความจริงและพระวจนะของพระเจ้า และมันยากสำหรับพวกเขาที่จะค้นหาหรือจับความเข้าใจหลักการแห่งการนำความจริงมาปฏิบัติ และที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งความจริง(“สิ่งที่ผู้คนพึ่งพาอย่างแท้จริงมาโดยตลอดในการดำรงชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็น ว่าถ้าเราพึ่งพาพรสวรรค์และจุดแข็งในชีวิต เราจะกลายเป็นคนที่โอหังและพอใจในตัวเองมากขึ้น และคิดว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริงโดยไม่แสวงหาหลักปฏิบัติแห่งความจริง ฉันเคยคิดว่าตัวเองมีทักษะอยู่บ้าง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถออกแบบฉากและอุปกรณ์ประกอบฉากได้ถ้าไม่มีฉัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาบางคนก็ทำหน้าที่ได้ดีโดยไม่ต้องมีประสบการณ์แบบมืออาชีพใดๆ หรือแม้แต่ทำอุปกรณ์ประกอบฉากได้ดีกว่าฉันด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าตัวเองชาญฉลาด มีฝีมือ และมีแนวคิดที่ดี แต่ฉันกลับก่อความวุ่นวายในหลายเรื่อง ของที่ฉันเป็นคนทำไม่มีประโยชน์แถมยังต้องทำใหม่อยู่บ่อยครั้ง เสียทั้งเวลา พลังงาน และเงิน ฉันได้เห็นว่าการพึ่งพาพรสวรรค์และจุดแข็งโดยไม่แสวงหาหลักปฏิบัติของความจริง ทำให้ฉันขาดพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจึงไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีได้ ถ้าหัวใจของใครบางคนอยู่ในที่ที่ถูกต้อง พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเขา พระเจ้าประทานพระปรีชาญาณที่ไม่มีมนุษย์คนใดจินตนาการได้ ฉันตระหนักได้ว่า พรสวรรค์และทักษะทั้งหลายที่ฉันภาคภูมิใจเหลือเกินมันไร้ค่านัก การพยายามใช้ประโยชน์จากพวกมันช่างโอหังและไร้เหตุผลจริงๆ พอคิดถึงมันฉันก็รู้สึกละอายใจมากค่ะ ต่อมาฉันได้เอ่ยคำอธิษฐานนี้ต่อพระเจ้า “ข้าพระองค์ไม่อยากมีชีวิตอยู่ด้วยอุปนิสัยที่โอหังอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะไล่ตามอย่างหนักแน่นและปฏิบัติความจริง และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”

ต่อมา ฉันได้ทำหน้าที่รดน้ำให้แก่ผู้เชื่อใหม่ และทำตัวให้ไม่เป็นจุดสนใจเวลาร่วมงานกับคนอื่นๆ เวลามีบางอย่างเกิดขึ้นฉันก็ตั้งใจแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และรับฟังข้อเสนอแนะของคนอื่นมากขึ้น วันหนึ่งพี่ชายที่อยู่ในทีมได้พูดกับฉันว่า “ลักษณะของการรดน้ำและการสนับสนุนพี่น้องชายหญิงของคุณเข้มงวดอยู่นิดหน่อย มันไม่ได้มีผลขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าคุณจดจ่อกับการรดน้ำบนความอ่อนแอของแต่ละคน มันคงดีกว่านะ” แต่ฉันไม่คล้อยตามเอาซะเลย ฉันรู้สึกว่าตัวเองนำเอาประสบการณ์ทั้งหมดมาสนับสนุน แล้วฉันจะทำอะไรผิดพลาดได้อย่างไร ฉันกำลังจะปฏิเสธเขาไปอยู่แล้วตอนที่ตระหนักได้ว่าความโอหังของตัวเองมันโผล่ขึ้นมาอีก ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ แล้วพระวจนะของพระองค์บทตอนนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด: “เมื่อผู้คนอื่นๆ ออกเสียงแสดงข้อคิดเห็นที่เห็นต่าง—การปฏิบัติใดหรือ ที่เจ้าสามารถนำมาใช้เพื่อกันไม่ให้เกิดการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น?  ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีของความถ่อมใจ พักวางสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องลงไว้ก่อน และปล่อยให้ทุกคนมีการสามัคคีธรรม  ต่อให้เจ้าเชื่อว่าหนทางของเจ้านั้นถูกต้อง แต่เจ้าก็ไม่ควรเอาแต่ยืนกรานในการนั้น  ก่อนอื่น นั่นเป็นการปรับปรุงประเภทหนึ่ง นั่นแสดงให้เห็นท่าทีของการแสวงหาความจริง ของการปฏิเสธตัวเจ้าเอง และของการทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า  ทันทีที่เจ้ามีท่าทีนี้ ในเวลาเดียวกับที่เจ้าไม่ยึดติดกับข้อคิดเห็นของเจ้าเอง เจ้าก็อธิษฐาน  ขณะที่เจ้าไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เจ้าจงยอมให้พระเจ้าทรงเปิดเผยและบอกเจ้าว่าสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดที่จะทำคือสิ่งใด  เมื่อทุกคนเข้าร่วมในการสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำพาความรู้แจ้งทั้งหมดมาสู่เจ้า(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  เมื่อก่อนฉันโอหังและดื้อรั้นมากเกินไป ทำให้คนอื่นอึดอัดและก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ฉันรู้ว่าฉันอยู่บนทางที่ทำให้คนอื่นอึดอัดและต่อต้านพระเจ้าแบบนั้นต่อไปไม่ได้ แต่ฉันต้องรับฟังข้อเสนอแนะของคนอื่นๆ ฉันควรยอมรับและยอมทำตามมันไปก่อน แล้วค่อยแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ได้รับการทรงนำของพระเจ้า ดังนั้น ฉันจึงอดทนฟังพี่ชายคนนี้จนจบ และตระหนักได้ว่าวิธีการของฉันมีพื้นที่สำหรับการปรับปรุงอยู่ วิธีที่เขาเสนอแนะมานั้นยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้มากกว่า ฉันนำเอามันมาปฏิบัติและพบว่ามันมีประสิทธิภาพมาก หลังจากนั้นเวลาที่พี่น้องชายหญิงบ่งชี้ให้ฉันเห็นอะไร ฉันก็ไม่ต่อต้านอีกต่อไป แต่กลับยอมรับและสำรวจสิ่งเหล่านั้น อีกทั้งหารือเรื่องต่างๆ กับคนอื่นเพื่อหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่ดีกว่า ในตอนหลัง ทุกคนบอกว่าพวกเขาได้อะไรมากมายจากการรดน้ำในลักษณะนั้น ฉันก็รู้สึกได้ถึงสันติสุขที่แท้จริง ฉันได้รู้ว่านี่คือการทรงนำของพระเจ้า และทำได้เพียงถวายคำขอบคุณกับการสรรเสริญแก่พระองค์ ฉันยังได้รับประสบการณ์ในพระพรของพระเจ้าซึ่งมาจาก การปฏิบัติตามหลักปฏิบัติแห่งความจริง แทนที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างโอหังด้วย

ก่อนหน้า: 65. สภาพเสมือนมนุษย์นั้นบรรลุได้โดยการแก้ไขความโอหัง

ถัดไป: 67. การใช้ชีวิตอย่างคล้ายมนุษย์บ้างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่แน่นอน

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger