2. อัครทูตเปาโลได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว 8ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  พวกเราได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และตลอดมา พวกเราก็ได้เอาอย่างเปาโลในการวิ่งไปตามครรลองและการทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเราได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐและปลูกสร้างคริสตจักร และพวกเราได้รักษาพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าและหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ไม่มีคำถามเลยว่ามงกุฎแห่งความชอบธรรมควรถูกวางไว้รอท่าพวกเรา  ตราบเท่าที่พวกเราขยันขันแข็งในการตรากตรำของพวกเราเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและระแวดระวังในการรอคอยการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะได้รับการรับกลับเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์โดยตรง  พวกคุณกำลังพูดว่ามีบางสิ่งที่ผิดไปกับสิ่งที่พวกเราฝึกฝนปฏิบัติอย่างนั้นหรือ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

แม้ว่าบุคคลหนึ่งอาจได้ทำงานที่ดีจำนวนมากนับตั้งแต่ที่ได้มาสู่ความเชื่อในพระเจ้า เรื่องมากมายอาจยังคลุมเครือสำหรับพวกเขา และนับประสาอะไรที่พวกเขาอาจได้มาสู่ความเข้าใจความจริง—กระนั้น เพราะงานที่ดีมากมายของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้มาใช้ชีวิตในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และได้นบนอบต่อพระองค์แล้ว และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์มากแล้ว  นี่เป็นเพราะเมื่อไม่มีรูปการณ์แวดล้อมที่ไม่เป็นใจเกิดขึ้น เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าถูกบอก เจ้าไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ และเจ้าไม่ต้านทาน  เมื่อเจ้าถูกบอกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ นั่นเป็นความยากลำบากที่เจ้าสามารถแบกรับได้ และเจ้าไม่เสนอคำร้องทุกข์ และเมื่อเจ้าถูกบอกให้วิ่งมาตรงนี้และตรงนั้น หรือให้ใช้แรงงาน เจ้าก็ทำเช่นนั้น  เพราะการแสดงเหล่านี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริง  กระนั้น หากคนผู้หนึ่งจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและถามว่า “ท่านคือบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  ท่านคือบุคคลที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่?  บุคคลที่มีอุปนิสัยเปลี่ยนแปลงแล้ว?” เช่นนั้นแล้ว เมื่อถูกถามดังนั้น เมื่อถูกนำมาอิงกับความจริงเพื่อการพินิจพิเคราะห์ดังนั้น เจ้า—และอาจพูดได้ว่าผู้ใดก็ตาม—คงจะถูกพบว่าต้องการ และไม่มีบุคคลใดสามารถที่จะปฏิบัติตามความจริงได้อย่างแท้จริง  ดังนั้น เมื่อรากเหง้าของการกระทำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์ ตลอดจนธาตุแท้และธรรมชาติของการกระทำของเขา ถูกนำมาอิงกับความจริง ทั้งหมดก็ถูกกล่าวโทษ  อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้?  นั่นก็คือว่ามนุษย์ไม่รู้จักตัวเขาเอง เขาเชื่อในพระเจ้าในหนทางของเขาเอง ปฏิบัติหน้าที่ของเขาในหนทางของเขาเอง และรับใช้พระเจ้าในหนทางของเขาเองเสมอ  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขารู้สึกว่าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อและเหตุผล และในที่สุด เขารู้สึกว่าเขาได้รับมากมายแล้ว  โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขามารู้สึกว่าเขากำลังปฏิบัติตนในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ และว่าเขาได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว และกำลังติดตามน้ำพระทัยของพระองค์  หากนี่คือวิธีที่เจ้ารู้สึก หรือหากในหลายปีแห่งการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้เก็บเกี่ยวผลกำไรแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเจ้าเองมากยิ่งกว่าเดิมอีก  เจ้าควรมองดูเส้นทางที่เจ้าได้เดินในช่วงหลายปีแห่งความเชื่อของเจ้า และดูว่าการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าสมดังพระทัยของพระองค์โดยครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่ สิ่งที่เจ้าทำที่ต้านทานพระเจ้า สิ่งที่เจ้าทำที่มีความสามารถที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และดูว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นตอบสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่—เจ้าควรชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น

ผู้ติดตามพระเจ้ามากมายเพียงห่วงกับวิธีที่จะได้รับพระพร หรือไม่ก็วิธีที่จะป้องกันยับยั้งการเกิดความวิบัติ  ทันทีที่มีการเอ่ยถึงพระราชกิจและการบริหารจัดการของพระเจ้า พวกเขาจะเงียบกริบและหมดความสนใจไป  พวกเขาคิดว่า การเข้าใจหัวข้อต่างๆ ดังกล่าวที่น่าเหนื่อยหน่ายเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต หรือให้ผลประโยชน์ใดๆ  ผลสืบเนื่องตามมาก็คือ แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้ามาแล้ว พวกเขาก็ให้การใส่ใจเพียงน้อยนิด  พวกเขาไม่ได้มองว่าเป็นบางสิ่งอันล้ำค่าที่ควรยอมรับ  นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา  ผู้คนเหล่านั้นมีเพียงจุดมุ่งหมายอันเรียบง่ายอยู่หนึ่งอย่างในการติดตามพระเจ้า และจุดมุ่งหมายนั้นก็คือ เพื่อที่จะได้รับพระพร  ผู้คนดังกล่าวไม่พยายามที่จะให้การใส่ใจกับสิ่งอื่นใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายนี้  สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีเป้าหมายใดที่ถูกทำนองคลองธรรมมากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพร—นั่นคือคุณค่าแท้จริงของความเชื่อของพวกเขา  หากบางสิ่งไม่มีส่วนช่วยให้จุดมุ่งหมายนี้สัมฤทธิ์ พวกเขาจะยังคงไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง  นี่เป็นกรณีของผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเชื่อในพระเจ้าทุกวันนี้  จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาดูเหมือนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะในขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาสละให้พระเจ้าทั้งหมด มอบอุทิศตนเองให้กับพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน  พวกเขายอมละทิ้งชีวิตวัยเยาว์ ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงาน  และถึงขั้นใช้เวลาหลายปีจากบ้านไปผูกพันตัวเองกับกิจธุระมากมาย  เพื่อเห็นแก่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา พวกเขาเปลี่ยนแปลงความสนใจต่างๆ ของตนเอง เปลี่ยนทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิต และถึงขั้นเปลี่ยนทิศทางที่พวกเขาแสวงหา กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ พวกเขาวุ่นสาละวนกับการบริหารจัดการอุดมคติต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะยาวไกลเพียงใด ไม่ว่าความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ จะมากมายเพียงใดตลอดเส้นทางนั้น พวกเขายังคงยืนกรานและหาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่  พลังอำนาจอะไรกันที่ขับดันพวกเขาให้มอบอุทิศตัวเองต่อไปในหนทางนี้?  นี่คือมโนธรรมของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?  นี่คือบุคลิกลักษณะอันยิ่งใหญ่และสง่างามของพวกเขาอย่างนั้นหรือ?  นี่คือความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้รบกับกองกำลังของความชั่วไปจนถึงที่สุดเลยหรือ?  นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้าโดยปราศจากการแสวงหาบำเหน็จรางวัลหรือ?  นี่คือความจงรักภักดีของพวกเขาในความเต็มใจที่จะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อสัมฤทธิ์น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือ?  หรือว่านี่คือจิตวิญญาณแห่งการอุทิศของพวกเขาที่จะละแล้วซึ่งความต้องการฟุ้งเฟ้อส่วนตัวอย่างนั้นหรือ?  การที่บางคนซึ่งไม่เคยเข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมอบให้อย่างมากมายนั้นเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ!  ณ ตอนนี้ พวกเราจงหยุดหารือกันเถิดว่า ผู้คนเหล่านี้ได้ให้มาแล้วเท่าไรแล้ว  ไม่ว่าจะอย่างไร พฤติกรรมของพวกเขานั้นก็มีค่าควรแก่การวิเคราะห์ของพวกเราอย่างยิ่ง  นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ต่างๆ ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมากแล้ว พอจะสามารถมีเหตุผลอื่นใดหรือไม่ว่า เหตุใดผู้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจพระเจ้าเลย จึงจะมอบให้พระองค์อย่างมากมาย?  พวกเราค้นพบปัญหาหนึ่งซึ่งไม่เคยถูกระบุมาก่อนหน้าอยู่ในการนี้ นั่นก็คือ สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง  เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร  กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง  ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้  ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น  ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี  ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น  ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น  

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น

มาตรฐานที่มนุษย์ใช้ตัดสินมนุษย์คนอื่นๆ อยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขานั้นดีก็เป็นคนชอบธรรม ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขาน่าสะอิดสะเอียนก็เป็นคนชั่ว  ส่วนมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษามนุษย์นั้นอยู่บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาว่านบนอบต่อพระองค์หรือไม่ กล่าวคือ บุคคลผู้ซึ่งนบนอบต่อพระเจ้าคือคนชอบธรรม ในขณะที่บุคคลผู้ซึ่งไม่นบนอบเป็นศัตรูและเป็นคนชั่ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้ดีหรือชั่ว และโดยไม่คำนึงถึงว่าวาทะของพวกเขาถูกหรือผิด  ผู้คนบางคนปรารถนาที่จะใช้ความประพฤติที่ดีเพื่อให้ได้มาซึ่งบั้นปลายที่ดีในอนาคต และผู้คนบางคนปรารถนาที่จะใช้คำพูดที่น่าฟังเพื่อให้ได้รับบั้นปลายที่ดี  ทุกคนเชื่อโดยเข้าใจผิดว่าพระเจ้าทรงกำหนดบทอวสานของผู้คนหลังจากที่เฝ้ามองพฤติกรรมของพวกเขาหรือหลังจากที่รับฟังวาทะของพวกเขา ดังนั้นผู้คนมากมายจึงปรารถนาที่จะถือประโยชน์จากการนี้เพื่อหลอกลวงพระเจ้าให้ประทานความโปรดปรานชั่วคราวแก่พวกเขา  ในอนาคต ผู้คนซึ่งจะรอดชีวิตในสภาวะแห่งการหยุดพักล้วนจะได้สู้ทนวันแห่งความทุกข์ลำบาก และยังจะได้เป็นพยานให้พระเจ้าอีกด้วย พวกเขาล้วนจะเป็นผู้คนซึ่งได้ทำหน้าที่ของตนลุล่วงและผู้ซึ่งได้นบนอบต่อพระเจ้าโดยตั้งใจ  บรรดาผู้ซึ่งเพียงปรารถนาที่จะใช้โอกาสเพื่อทำการปรนนิบัติด้วยเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติความจริงนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้หลงเหลืออยู่  พระเจ้าทรงมีมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการจัดการเตรียมการบทอวสานของแต่ละคนทุกคน กล่าวคือ พระองค์ไม่เพียงแค่ตัดสินพระทัยในสิ่งเหล่านี้ไปตามคำพูดและความประพฤติของคนเรา อีกทั้งไม่ตัดสินพระทัยในสิ่งเหล่านั้นบนพื้นฐานของวิธีที่คนเรากระทำในระหว่างระยะเวลาเดียว  พระองค์จะไม่ทรงผ่อนผันเกี่ยวกับความประพฤติเลวทรามของบุคคลหนึ่งเนื่องจากการปรนนิบัติต่อพระองค์ในอดีตของพวกเขาโดยเด็ดขาด อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงไว้ชีวิตบุคคลหนึ่งจากความตายเนื่องจากการใช้จ่ายใดๆ เพื่อพระเจ้าครั้งเดียว  ไม่มีผู้ใดสักคนสามารถหลบเลี่ยงการลงทัณฑ์อันสาสมสำหรับความชั่วของพวกเขาได้ และไม่มีผู้ใดสักคนสามารถปิดบังพฤติกรรมชั่วร้ายของตนและด้วยเหตุนั้นจะหลบเลี่ยงความทรมานแห่งการทำลายล้างได้  หากผู้คนสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาเองได้ลุล่วงโดยแท้จริง นั่นหมายความว่าพวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระเจ้านิรันดร์ และไม่แสวงหาบำเหน็จรางวัล โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือทนทุกข์กับความโชคร้ายหรือไม่ก็ตาม  หากผู้คนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเมื่อพวกเขามองเห็นพร แต่สูญเสียความสัตย์ซื่อไปเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นพรใดๆ และหากว่าในท้ายที่สุด พวกเขายังคงไม่สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าและทำหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติให้ลุล่วงได้แล้วไซร้ พวกเขาก็จะยังคงเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้างแม้พวกเขาจะเคยได้ให้การปรนนิบัติอย่างสัตย์ซื่อต่อพระเจ้ามาก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม  สรุปคือ คนชั่วไม่สามารถรอดชีวิตตลอดชั่วนิรันดร์ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถเข้าสู่การหยุดพักได้ เฉพาะผู้คนชอบธรรมเท่านั้นที่เป็นนายทั้งหลายแห่งการหยุดพัก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

จงจินตนาการว่าเจ้าสามารถทำงานเพื่อพระเจ้าได้ ทว่าเจ้ากลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  ในหนทางนี้ ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าคือใครบางคนที่ไม่ครองความจริง ที่ไม่สามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้ และที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เจ้าเพียงใส่ใจกับการทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น และไม่ใส่ใจกับการนำความจริงไปปฏิบัติหรือการรู้จักตัวเจ้าเอง  เจ้าไม่เข้าใจหรือรู้จักพระผู้สร้าง และไม่เชื่อฟังหรือรักพระผู้สร้าง  เจ้าคือใครบางคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้ามาแต่กำเนิด และดังนั้นแล้วผู้คนเช่นนั้นจึงไม่เป็นที่รักโดยพระผู้สร้าง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

ผู้คนพากันพูดว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม และพูดว่าตราบเท่าที่มนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดปลายทาง แน่นอนว่าพระองค์จะทรงเป็นธรรมต่อมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงชอบธรรมที่สุด  หากมนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดทาง พระองค์จะสามารถทอดทิ้งมนุษย์ได้อย่างไรเล่า?  เราเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน และพิพากษามนุษย์ทุกคนด้วยอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา ทว่ามีสภาพเงื่อนไขที่เหมาะสมต่อข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อมนุษย์  และสิ่งที่เราพึงประสงค์จะต้องถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร  เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างไร หรือเจ้ามีคุณสมบัติเช่นนั้นมานานเท่าใดแล้ว เราใส่ใจเพียงว่าเจ้าเดินไปในหนทางของเรา และไม่ว่าเจ้ารักและกระหายความจริงหรือไม่ หากเจ้าขาดความจริง แต่กลับนำความอับอายมาสู่นามของเรา และไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับหนทางของเรา แค่ทำตามโดยปราศจากความใส่ใจหรือความห่วงใย เช่นนั้นแล้ว ณ เวลานั้น เราจะบดขยี้เจ้าและลงโทษเจ้าสำหรับความชั่วของเจ้า และเจ้าจะต้องพูดอะไรอีกเล่าเมื่อถึงตอนนั้น?  เจ้าจะสามารถพูดว่า พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมอย่างนั้นหรือ?  ในวันนี้หากเจ้าปฏิบัติตามวจนะที่เราได้พูดไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือบุคคลประเภทที่เราเห็นชอบ  เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นทุกข์เสมอขณะกำลังติดตามพระเจ้า พูดว่าเจ้าได้ติดตามพระองค์ผ่านร้อนผ่านหนาว และได้ใช้เวลาที่ดีและที่เลวร้ายร่วมกับพระองค์ แต่เจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ เจ้าปรารถนาเพียงสาละวนวุ่นวายเพื่อพระเจ้าและสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าในแต่ละวัน และไม่เคยคิดที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมาย  เจ้ายังพูดด้วยว่า “ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ข้าพระองค์เชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ข้าพระองค์ได้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ และอุทิศตัวข้าพระองค์เพื่อพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำงานหนักทั้งที่ไม่ได้รับการให้ความสำคัญอันใด พระองค์จะทรงจดจำข้าพระองค์ได้อย่างแน่นอน” เป็นความจริงที่พระเจ้านั้นทรงชอบธรรม ทว่าความชอบธรรมนี้ไม่ได้ด่างพร้อยด้วยราคีอันใด กล่าวคือ มันไม่มีเจตจำนงของมนุษย์อยู่ในนั้นเลย และมันไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยโดยเนื้อหนัง หรือโดยการแลกเปลี่ยนของมนุษย์  พวกที่เป็นกบฏและต่อต้านทั้งหมด พวกที่ไม่ปฏิบัติตามหนทางของพระองค์จะถูกลงโทษ ไม่มีใครเลยที่ได้รับการอภัย และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้น!  ผู้คนบางคนพูดว่า “ในวันนี้ ข้าพระองค์สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ เมื่อบทอวสานมาถึง พระองค์จะสามารถมอบพระพรให้ข้าพระองค์สักเล็กน้อยได้หรือไม่?”  ดังนั้นเราจึงถามเจ้าว่า “เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราแล้วหรือยัง?”  ความชอบธรรมที่เจ้าพูดถึงนั้นมีพื้นฐานอยู่บนการทำการแลกเปลี่ยน  เจ้าเพียงแต่คิดว่าเราชอบธรรมและเป็นธรรมกับมนุษย์ทุกคน และคิดว่าบรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดและได้รับพรของเราอย่างแน่นอน  วจนะของเราที่ว่า “บรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน” มีความหมายแฝงเร้นอยู่ กล่าวคือ บรรดาผู้คนที่ติดตามเราไปจนสุดทางนั้นคือผู้ที่จะได้รับการรับไว้โดยเราอย่างครบถ้วน พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หลังจากที่ถูกเราพิชิตแล้ว  สภาพเงื่อนไขใดหรือที่เจ้าได้สัมฤทธิ์?  เจ้าเพียงสัมฤทธิ์การติดตามเราไปจนสุดทาง ว่าแต่อย่างอื่นเล่า?  เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราหรือไม่?  เจ้าได้สำเร็จลุล่วงหนึ่งในข้อพึงประสงค์ทั้งห้าของเรา กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้อีกสี่ข้อที่เหลือนั้นสำเร็จลุล่วง  เจ้าก็แค่ได้พบเส้นทางซึ่งธรรมดาที่สุด ง่ายดายที่สุด และได้ไล่ตามเสาะหามันไปด้วยท่าทีของการที่แค่หวังว่าจะโชคดี  กับบุคคลเช่นเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของเราย่อมเป็นอุปนิสัยแห่งการตีสอนและการพิพากษา เป็นอุปนิสัยแห่งการลงทัณฑ์อันสาสมและชอบธรรม และเป็นการลงโทษอันชอบธรรมสำหรับพวกคนทำชั่วทุกคน นั่นก็คือ พวกที่ไม่เดินในหนทางของเราทั้งหมดจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาติดตามมาจนสุดทางก็ตาม  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษได้ถูกทำการลงโทษไปเช่นนั้นก็เพื่อความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นการลงทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน  แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเรื่องที่มิอาจยอมผ่อนปรนได้ต่อธรรมบัญญัติแห่งฟ้าที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา!  ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้เสนอช่องทางอันง่ายดายสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา  นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้!  เจ้าต้องแสวงหาชีวิต  วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง และผู้ที่เต็มใจที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  หากเจ้าเพียงมุ่งหวังบำเหน็จ และไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า—นี่คือความจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้อย่างหนึ่ง!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

ก่อนหน้า: 1. พวกคุณพูดว่า พวกเราต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายพระเจ้า เนื่องจาก เมื่อนั้นเท่านั้นที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเราจะได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งพระเจ้า  ดังนั้นพวกเราจึงถ่อมใจและยอมผ่อนปรน พวกเรารักศัตรูของพวกเรา พวกเราแบกกางเขนของพวกเรา พวกเราบ่มวินัยร่างกายของพวกเรา พวกเราละทิ้งสิ่งทั้งหลายทางโลก พวกเราทำงานและทำการประกาศเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและอื่นๆ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพึงประสงค์  เหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ได้บังเกิดในตัวพวกเราหรอกหรือ?  พวกคุณกำลังพูดว่า นี่ยังคงไม่มากพอสำหรับพวกเราที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างนั้นหรือ?  ฉันเชื่อว่า ตราบที่พวกเราเพียรพยายามต่อไปในหนทางนี้ พวกเราก็จะกลายเป็นบริสุทธิ์ และจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์

ถัดไป: 3. องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้  เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’(มัทธิว 7:21-23)  บรรดาผู้ที่กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า” ล้วนรับใช้และเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาได้จัดทำเครื่องบูชา ได้สละตัวพวกเขา และได้ทำงานอย่างหนักเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ และพวกเขาได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐและปลูกสร้างคริสตจักร  พวกเขาไม่ได้ติดตามน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการทำการนี้ทั้งหมดหรือ?  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา ทำไมพวกเขาจะไม่ได้รับการชมเชยโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า และกลับถูกพระองค์ทรงกล่าวโทษว่าเป็นพวกคนทำชั่วแทนเล่า?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger