1. พวกคุณพูดว่า พวกเราต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายพระเจ้า เนื่องจาก เมื่อนั้นเท่านั้นที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเราจะได้รับการชำระให้สะอาดและเปลี่ยนแปลง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเราจะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งพระเจ้า  ดังนั้นพวกเราจึงถ่อมใจและยอมผ่อนปรน พวกเรารักศัตรูของพวกเรา พวกเราแบกกางเขนของพวกเรา พวกเราบ่มวินัยร่างกายของพวกเรา พวกเราละทิ้งสิ่งทั้งหลายทางโลก พวกเราทำงานและทำการประกาศเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและอื่นๆ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพึงประสงค์  เหล่านี้ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่ได้บังเกิดในตัวพวกเราหรอกหรือ?  พวกคุณกำลังพูดว่า นี่ยังคงไม่มากพอสำหรับพวกเราที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างนั้นหรือ?  ฉันเชื่อว่า ตราบที่พวกเราเพียรพยายามต่อไปในหนทางนี้ พวกเราก็จะกลายเป็นบริสุทธิ์ และจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’  เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23)

“จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ผู้คนส่วนใหญ่วางการเน้นย้ำพิเศษไปที่พฤติกรรมในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผลลัพธ์ของการนั้นก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบางอย่างในพฤติกรรมของพวกเขา  หลังจากที่พวกเขาได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็หยุดการขับเคี่ยวกับผู้อื่น หยุดการหยามหมิ่นและการต่อสู้กับผู้คน หยุดการสูบสิ่งเสพติดและการดื่ม และหยุดการขโมยสมบัติสาธารณะอันใด—ไม่ว่าจะเป็นเพียงตะปูตัวหนึ่ง หรือไม้กระดานแผ่นหนึ่ง—และพวกเขาไปไกลถึงขั้นที่ไม่นำเรื่องไปฟ้องร้องขึ้นศาลไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสียหรือถูกกระทำในทางที่ผิด  พวกเขาก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมบางอย่างจริงๆ อย่างปราศจากข้อกังขา  เนื่องเพราะทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า การยอมรับหนทางที่แท้จริงย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกดีเป็นพิเศษ และเนื่องเพราะบัดนี้พวกเขาก็ได้ลิ้มรสชาติพระคุณแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงมีความรู้สึกแรงกล้าเป็นพิเศษ และถึงขั้นที่ไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาไม่สามารถละทิ้งหรือทนทุกข์ได้  กระนั้นก็ตาม หลังจากที่ได้เชื่อไปเป็นเวลาสาม ห้า สิบหรือสามสิบปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย พวกเขาจึงจบลงตรงการไถลย้อนกลับไปสู่หนทางเก่า ความโอหังและความหยิ่งยโสของพวกเขายิ่งประกาศแจ้งออกมามากขึ้น พวกเขาเริ่มแข่งขันกันเพื่ออำนาจและผลกำไร พวกเขาละโมบในเงินทองของคริสตจักร พวกเขาทำสิ่งใดก็ตามที่รับใช้ผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาใฝ่หาสถานะและความยินดีทั้งหลาย และพวกเขาได้กลายเป็นปรสิตในพระนิเวศของพระเจ้าไป  โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว พวกที่รับใช้ในฐานะผู้นำนั้นส่วนใหญ่ถูกผู้คนทอดทิ้ง  และข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์อะไรหรือ? การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในพฤติกรรมนั้นไม่มีความยั่งยืน หากไม่มีการปรับเปลี่ยนในอุปนิสัยชีวิตของผู้คนแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว ด้านเลวทราม ของพวกเขาก็จะแสดงตนออกมา  เพราะแหล่งที่มาของการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของพวกเขานั้นคือความเร่าร้อน เมื่อควบคู่ไปกับพระราชกิจบางอย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้นแล้ว มันง่ายที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะกลายเป็นเร่าร้อน หรือไม่ก็แสดงความใจดีมีเมตตาออกมาชั่วเวลาหนึ่ง  ในขณะที่พวกผู้ไม่เชื่อพูดกันว่า “การทำความประพฤติที่ดีงามหนึ่งอย่างนั้นง่าย สิ่งที่ยากก็คือ การทำความประพฤติที่ดีงามไปตลอดชีวิต”  ผู้คนไร้ความสามารถในการทำความประพฤติที่ดีงามไปทั้งชีวิตของพวกเขา  พฤติกรรมของคนเราถูกชี้นำโดยชีวิต ไม่ว่าชีวิตของคนเราคืออะไร พฤติกรรมของคนเราก็คือสิ่งนั้น และเฉพาะพฤติกรรมที่ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้นที่เป็นตัวแทนชีวิตตลอดจนธรรมชาติของคนเรา  สิ่งทั้งหลายซึ่งจอมปลอมไม่สามารถอยู่ได้ยืนยาว  เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นไม่ใช่การประดับประดามนุษย์ด้วยพฤติกรรมที่ดีงาม—จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อแปลงสภาพอุปนิสัยของผู้คน เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเกิดใหม่ไปเป็นคนใหม่  ด้วยเหตุนี้ การพิพากษา การทดลอง และกระบวนการถลุงมนุษย์ของพระเจ้าจึงล้วนทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเขา เพื่อที่จะอาจจะสัมฤทธิ์การนบนอบเต็มที่และการอุทิศต่อพระเจ้า และมานมัสการพระองค์อย่างเป็นปกติ  นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้า  การมีพฤติกรรมดีมิได้มีความหมายเดียวกับการนบนอบต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่นั่นจะมีความหมายเท่ากับการเข้ากันได้กับพระคริสต์  การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในพฤติกรรมนั้นมีพื้นฐานอยู่บนคำสอน และเกิดมาจากความรู้สึกเร่าร้อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรืออยู่บนความจริง นับประสาอะไรที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นขึ้นอยู่กับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  แม้ว่ามีหลายคราที่บางสิ่งที่ผู้คนทำนั้นได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่นี่ก็มิใช่การแสดงออกของชีวิต นับประสาอะไรที่จะเป็นเรื่องเดียวกับการรู้จักพระเจ้า ไม่สำคัญว่า พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งจะดีงามอย่างไร นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่า พวกเขาได้นบนอบต่อพระเจ้า หรือพิสูจน์ว่า พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ  การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมทั้งหลายเป็นแต่เพียงภาพมายาชั่วครู่ชั่วยาม พวกมันเป็นแต่เพียงการสำแดงความกระตือรือร้น  พวกมันไม่สามารถนับเป็นการแสดงออกของชีวิตได้

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

แม้ว่าบุคคลหนึ่งอาจได้ทำงานที่ดีจำนวนมากนับตั้งแต่ที่ได้มาสู่ความเชื่อในพระเจ้า เรื่องมากมายอาจยังคลุมเครือสำหรับพวกเขา และนับประสาอะไรที่พวกเขาอาจได้มาสู่ความเข้าใจความจริง—กระนั้น เพราะงานที่ดีมากมายของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้มาใช้ชีวิตในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และได้นบนอบต่อพระองค์แล้ว และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์มากแล้ว  นี่เป็นเพราะเมื่อไม่มีรูปการณ์แวดล้อมที่ไม่เป็นใจเกิดขึ้น เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าถูกบอก เจ้าไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ และเจ้าไม่ต้านทาน  เมื่อเจ้าถูกบอกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ นั่นเป็นความยากลำบากที่เจ้าสามารถแบกรับได้ และเจ้าไม่เสนอคำร้องทุกข์ และเมื่อเจ้าถูกบอกให้วิ่งมาตรงนี้และตรงนั้น หรือให้ใช้แรงงาน เจ้าก็ทำเช่นนั้น  เพราะการแสดงเหล่านี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริง  กระนั้น หากคนผู้หนึ่งจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและถามว่า “ท่านคือบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  ท่านคือบุคคลที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่?  บุคคลที่มีอุปนิสัยเปลี่ยนแปลงแล้ว?” เช่นนั้นแล้ว เมื่อถูกถามดังนั้น เมื่อถูกนำมาอิงกับความจริงเพื่อการพินิจพิเคราะห์ดังนั้น เจ้า—และอาจพูดได้ว่าผู้ใดก็ตาม—คงจะถูกพบว่าต้องการ และไม่มีบุคคลใดสามารถที่จะปฏิบัติตามความจริงได้อย่างแท้จริง  ดังนั้น เมื่อรากเหง้าของการกระทำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์ ตลอดจนธาตุแท้และธรรมชาติของการกระทำของเขา ถูกนำมาอิงกับความจริง ทั้งหมดก็ถูกกล่าวโทษ  อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้?  นั่นก็คือว่ามนุษย์ไม่รู้จักตัวเขาเอง เขาเชื่อในพระเจ้าในหนทางของเขาเอง ปฏิบัติหน้าที่ของเขาในหนทางของเขาเอง และรับใช้พระเจ้าในหนทางของเขาเองเสมอ  ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขารู้สึกว่าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อและเหตุผล และในที่สุด เขารู้สึกว่าเขาได้รับมากมายแล้ว  โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขามารู้สึกว่าเขากำลังปฏิบัติตนในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ และว่าเขาได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว และกำลังติดตามน้ำพระทัยของพระองค์  หากนี่คือวิธีที่เจ้ารู้สึก หรือหากในหลายปีแห่งการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้เก็บเกี่ยวผลกำไรแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเจ้าเองมากยิ่งกว่าเดิมอีก  เจ้าควรมองดูเส้นทางที่เจ้าได้เดินในช่วงหลายปีแห่งความเชื่อของเจ้า และดูว่าการกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าสมดังพระทัยของพระองค์โดยครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่ สิ่งที่เจ้าทำที่ต้านทานพระเจ้า สิ่งที่เจ้าทำที่มีความสามารถที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และดูว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นตอบสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่—เจ้าควรชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น

คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ?  สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์  เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง?  ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น!  เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง  เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้  ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม  ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์

แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด  โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์  สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่…ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้  เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่  ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้  พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน  นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษได้ถูกทำการลงโทษไปเช่นนั้นก็เพื่อความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นการลงทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

พวกเจ้าอาจจะจินตนาการว่า จากการที่ได้เป็นผู้ติดตามมาหลายปียิ่งนัก เจ้าได้ปฏิบัติงานอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม และเจ้าก็ควรได้รับข้าวถ้วยหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าเพียงเพราะการเป็นคนปรนนิบัติคนหนึ่ง  เราคงจะกล่าวได้ว่าพวกเจ้าส่วนมากคิดแบบนี้ เพราะพวกเจ้าได้ไล่ตามเสาะหาหลักการเกี่ยวกับวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายและวิธีที่จะไม่ให้ถูกใครใช้ประโยชน์อยู่เสมอ  ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงกำลังบอกพวกเจ้าในบัดนี้อย่างจริงจังมากว่า เราไม่สนใจว่างานที่หนักของเจ้านั้นมีความดีความชอบเพียงใด คุณวุฒิของเจ้าน่าประทับใจเพียงใด เจ้าติดตามเราอย่างใกล้ชิดเพียงใด เจ้าเป็นที่รู้จักมากเพียงใด หรือว่าเจ้าได้ปรับปรุงท่าทีของเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเรา เจ้าจะไม่มีวันได้รับคำสรรเสริญจากเราเลย  จงขีดฆ่าแนวคิดและการคำนวณเหล่านั้นของพวกเจ้าออกไปทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเริ่มปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของเราอย่างจริงจัง หาไม่แล้ว เราจะแปรทุกคนไปเป็นขี้เถ้าเพื่อให้งานของเราสิ้นสุดลง และถ้ามองในแง่เลวร้ายที่สุดก็คือ แปรช่วงเวลาหลายปีของงานและการทนทุกข์ของเราไปเป็นการไม่มีอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถนำพาศัตรูทั้งหลายของเราและผู้คนเหล่านั้นที่เหม็นคลุ้งไปด้วยความชั่วและมีรูปลักษณ์ของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของเราหรือพาพวกเขาเข้าไปสู่ยุคถัดไปได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฝ่าฝืนจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก

ก่อนหน้า: 2. ก่อนหน้านี้ เหล่าศิษยาภิบาลได้ทำการประกาศบ่อยครั้งว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พวกเราจะได้รับการรับกลับเข้าไปสู่สวรรค์ก่อนความวิบัติทั้งหลาย แต่ตอนนี้ พวกเรามองเห็นความวิบัติครั้งใหญ่ทุกประเภทกำลังตกมาถึงแผ่นดินโลก และพวกเราก็ยังไม่ได้ถูกรับกลับไปเลย  เหล่าศิษยาภิบาลกล่าวว่า ที่พวกเรายังไม่ได้ถูกรับกลับไปนั้นหมายความว่า องค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทรงกลับมา ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏต่อพวกเราท่ามกลางความวิบัติทั้งหลาย และพวกเราก็จะได้รับการรับกลับเข้าไปสู่สวรรค์ในช่วงระหว่างความวิบัติทั้งหลาย  ฉันไม่เข้าใจว่า พวกเราจะต้องได้รับการรับกลับไปก่อนความวิบัติหรือในช่วงระหว่างความวิบัติเหล่านั้น?

ถัดไป: 2. อัครทูตเปาโลได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว 8ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8)  พวกเราได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และตลอดมา พวกเราก็ได้เอาอย่างเปาโลในการวิ่งไปตามครรลองและการทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเราได้เผยแผ่ข่าวประเสริฐและปลูกสร้างคริสตจักร และพวกเราได้รักษาพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าและหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ไม่มีคำถามเลยว่ามงกุฎแห่งความชอบธรรมควรถูกวางไว้รอท่าพวกเรา  ตราบเท่าที่พวกเราขยันขันแข็งในการตรากตรำของพวกเราเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและระแวดระวังในการรอคอยการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะได้รับการรับกลับเข้าไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์โดยตรง  พวกคุณกำลังพูดว่ามีบางสิ่งที่ผิดไปกับสิ่งที่พวกเราฝึกฝนปฏิบัติอย่างนั้นหรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger