1. เป็นเวลาสองพันปีที่ทั้งชุมชนศาสนาได้เชื่อในตรีเอกานุภาพ นั่นคือ พระบิดาผู้ทรงบริสุทธิ์ พระบุตรผู้ทรงบริสุทธิ์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ตรีเอกานุภาพคือหนึ่งในหลักความเชื่ออันเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ ดังนั้นแล้ว ทำไมพวกคุณจึงพูดว่าตรีเอกานุภาพเป็นเหตุผลวิบัติอันใหญ่หลวงที่สุดของโลกศาสนา และว่าตรีเอกานุภาพก็เพียงแค่ไม่มีอยู่จริง?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์’ ฟีลิปทูลพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว’ พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ? คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?” ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์ จงเชื่อเราว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้น’” (ยอห์น 14:6-11)

“เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

 

ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?

(บทที่คัดสรรจาก พระวจนะของพระเจ้า)

หลังจากที่เกิดมีความจริงขึ้นมาเกี่ยวกับการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู มนุษย์เชื่อว่าในสวรรค์มิใช่มีเพียงพระบิดา แต่ยังมีพระบุตรด้วย และมีแม้กระทั่งพระวิญญาณ  นี่คือมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมที่มนุษย์ยึดถือ ว่ามีพระเจ้าดังเช่นที่กล่าวนี้อยู่ในสวรรค์ กล่าวคือ พระเจ้าตรีเอกภาพผู้ซึ่งทรงเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  มวลมนุษย์ทั้งปวงมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ นั่นคือพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์หนึ่ง แต่ทรงประกอบด้วยสามพระภาค สิ่งที่พวกเหล่านั้นทั้งหมดฝังจิตฝังใจกันหนักหนาในมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมทั้งหลาย ดูเหมือนจะเป็นพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพียงบรรดาพระภาคทั้งสามที่รวมเป็นเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นทั้งหมดของพระเจ้า  หากปราศจากพระบิดาผู้บริสุทธิ์แล้วพระเจ้าก็คงจะไม่ทรงครบองค์รวม  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงครบองค์รวมด้วยเช่นกัน หากปราศจากพระบุตรหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าทั้งพระบิดาเพียงลำพัง หรือพระบุตรแต่เพียงลำพังนั้นไม่สามารถถือได้ว่าเป็นพระเจ้า  มีเพียงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ด้วยกันเท่านั้นที่สามารถถือว่าเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  บัดนี้ผู้เชื่อทางศาสนาทั้งหมดและแม้กระทั่งผู้ติดตามแต่ละคนท่ามกลางพวกเจ้าก็ยึดถือความเชื่อนี้  ทว่าสำหรับเรื่องที่ว่า การเชื่อนี้จะถูกต้องหรือไม่นั้น ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ เพราะพวกเจ้าอยู่ในหมอกแห่งความสับสนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายของพระเจ้าพระองค์เองเสมอ  ถึงแม้ว่าเหล่านี้จะเป็นมโนคติอันหลงผิด แต่พวกเจ้าก็ไม่รู้ว่ามันถูกหรือผิด เพราะพวกเจ้าได้กลายเป็นติดเชื้ออย่างสาหัสเกินไปด้วยมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา  พวกเจ้าได้ยอมรับมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมทางศาสนาเหล่านี้อย่างดิ่งลึกเกินไป และพิษนี้ได้ซึมลึกเกินไปภายในตัวพวกเจ้า  เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน พวกเจ้าได้ยอมจำนนกับอิทธิพลที่เป็นอันตรายร้ายแรงนี้ เพราะพระเจ้าตรีเอกภาพนั้นเพียงแค่ไม่มีอยู่จริง  นั่นคือ ตรีเอกานุภาพแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็แค่ไม่มีอยู่จริง  เหล่านี้ล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดดั้งเดิมของมนุษย์ และเป็นการเชื่อแบบเหตุผลวิบัติของมนุษย์  ตลอดหลายศตวรรษมานี้มนุษย์เชื่อในตรีเอกานุภาพนี้ซึ่งก่อเกิดขึ้นโดยมโนคติอันหลงผิดในใจของมนุษย์ มนุษย์กุเรื่องขึ้นมา และมนุษย์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย  ตลอดหลายปีเหล่านี้ ได้มีผู้อธิบายความมากมายที่ได้อธิบาย “ความหมายที่แท้จริง” ของตรีเอกานุภาพ แต่คำอธิบายเช่นนั้นเกี่ยวกับพระเจ้าตรีเอกภาพ ว่าเป็นสามพระองค์ในร่างเดียวที่ต่างกันชัดเจนนั้น เป็นคำอธิบายที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน และผู้คนล้วนฉงนสนเท่ห์กับ “โครงสร้าง” ของพระเจ้า  ไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนใดเคยมีความสามารถในการให้คำอธิบายที่ละเอียดครบถ้วนเลย คำอธิบายส่วนใหญ่ผ่านการรวบรวมในแง่ของการให้เหตุผลและเป็นเชิงทฤษฎี แต่ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่มีความเข้าใจที่ชัดเจนอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับความหมายของมัน  นี่เป็นเพราะตรีเอกานุภาพอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ยึดถืออยู่ในหัวใจนั้นเพียงแค่ไม่มีอยู่จริง  เพราะไม่มีผู้ใดเคยเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้าเลย อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดวาสนาดีพอที่จะได้ขึ้นไปเยี่ยมเยือนยังที่พำนักของพระเจ้าเพื่อที่จะได้ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งของใดบ้างปรากฏอยู่ในสถานที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ เพื่อกำหนดพิจารณาว่า แท้ที่จริงแล้วมีชนกี่หมื่นหรือกี่ร้อยล้านรุ่นอยู่ใน “พระนิเวศของพระเจ้า” หรือเพื่อเจาะลึกว่ามีกี่พระภาคที่ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างเนื้อในของพระเจ้า  สิ่งที่จำเป็นต้องได้รับการตรวจดูเป็นหลักก็คือการนี้ นั่นก็คือยุคของพระบิดากับพระบุตร ตลอดจนพระวิญญาณบริสุทธิ์ การทรงปรากฏตามลำดับของแต่ละพระองค์ การที่พวกพระองค์ทรงแยกจากกันนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ และการที่พวกพระองค์ทรงรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นอย่างไร  น่าเสียดายที่ในทั้งหมดหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่สามารถกำหนดพิจารณาความจริงของเรื่องเหล่านี้ได้  พวกเขาทั้งหมดเพียงแค่คาดเดาเพราะไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่ได้เคยขึ้นไปเยี่ยมเยือนยังสวรรค์ และกลับมาพร้อมกับ “รายงานเชิงสืบค้น” สำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงเพื่อรายงานเกี่ยวกับความจริงของเรื่องนี้แก่บรรดาผู้เชื่อทางศาสนาทั้งหมดที่เปี่ยมศรัทธาและไฟแรงที่กังวลเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ  แน่นอนว่าไม่สามารถติเตียนมนุษย์ได้สำหรับการก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายเช่นนี้ เพราะเหตุใดเล่าพระยาห์เวห์พระบิดาจึงมิได้ทรงให้พระเยซูพระบุตรทรงอยู่ร่วมกับพระองค์ด้วยเมื่อครั้งที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา?  หากในปฐมกาลนั้น ทั้งหมดได้ดำเนินไปโดยพระนามของพระยาห์เวห์ ก็คงจะเป็นการดีกว่านี้  หากต้องมีการติเตียน ก็ขอให้ติเตียนไปที่การพลาดพลั้งชั่วขณะของพระยาห์เวห์พระเจ้า ผู้ซึ่งมิได้ทรงเรียกพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ในเวลาแห่งการทรงสร้าง แต่กลับทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียวมากกว่า  หากพวกพระองค์ได้ทรงพระราชกิจโดยพร้อมเพรียงกันทั้งหมด เช่นนั้นแล้ว พวกพระองค์จะไม่ทรงกลายเป็นหนึ่งเดียวกันไปแล้วหรอกหรือ?  หากตั้งแต่การเริ่มต้นจนถึงปลายทาง จะมีเพียงพระนามของพระยาห์เวห์เท่านั้น และไม่มีพระนามของพระเยซูจากยุคพระคุณ หรือหากในขณะนั้นพระองค์ยังคงได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงได้รับการละเว้นจากความทุกข์ของการแบ่งแยกนี้โดยมวลมนุษย์หรอกหรือ?  แน่นอนว่า ไม่สามารถติเตียนพระยาห์เวห์สำหรับทั้งหมดนี้ได้ หากต้องมีการติเตียน ก็ขอให้ติเตียนไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายพันปีโดยพระนามของพระยาห์เวห์ ของพระเยซู และแม้กระทั่งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยสร้างความมึนงงสับสนให้แก่มนุษย์จนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าพระเจ้าคือพระองค์ใด  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์พระองค์เองได้ทรงพระราชกิจโดยปราศจากรูปสัณฐานหรือพระฉายา และยิ่งไปกว่านั้น โดยปราศจากพระนามดังเช่นพระเยซู และมนุษย์ไม่สามารถทั้งสัมผัสหรือมองเห็นพระองค์ได้ มีเพียงการได้ยินเสียงทั้งหลายของฟ้าร้องเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจประเภทนี้จะไม่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์มากกว่าหรอกหรือ?  ดังนั้น ตอนนี้จะสามารถทำอะไรได้เล่า?  มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ได้สุมรวมกันจนสูงดังภูเขาและกว้างดังทะเล ถึงขนาดที่พระเจ้าในยุคปัจจุบันก็ไม่ทรงสามารถสู้ทนมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นได้อีกต่อไปและอับจนหนทางโดยสิ้นเชิง  ในอดีตเมื่อครั้งที่มีเพียงพระยาห์เวห์ พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์ระหว่างพวกพระองค์เท่านั้น มนุษย์ก็อับจนหนทางที่จะรับมือได้อยู่แล้ว และบัดนี้มีการเพิ่มเข้ามาขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ซึ่งกล่าวกันไปอีกว่าทรงเป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าพระองค์คือใคร และเป็นพระบุคคลใดจากตรีเอกานุภาพที่พระองค์ได้ทรงผสมรวมอยู่ด้วยหรือซ่อนเร้นอยู่ภายในมาเป็นเวลากี่ปีแล้วก็ตาม?  มนุษย์สามารถแบกรับการนี้ได้หรือไม่?  พระเจ้าตรีเอกภาพแต่เพียงพระองค์เดียวก็มากพอที่จะทำให้มนุษย์ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่ออธิบายแล้ว แต่บัดนี้มี “พระเจ้าหนึ่งเดียวในสี่พระองค์”  การนี้จะสามารถอธิบายได้อย่างไรหรือ?  เจ้าสามารถอธิบายการนี้ได้หรือไม่?  พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย!  อย่างไรพวกเจ้าจึงได้เชื่อในพระเจ้าเช่นนี้มาจนกระทั่งถึงวันนี้?  เราขอเปิดหมวกคำนับพวกเจ้าเลยจริงๆ  พระเจ้าตรีเอกภาพก็หนักพออยู่แล้ว พวกเจ้าสามารถมีความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนเช่นนั้นต่อไปได้อย่างไรในพระเจ้าหนึ่งเดียวในสี่พระองค์นี้?  พวกเจ้าได้รับการเร่งเร้าให้ออกไป แต่พวกเจ้าก็ยังปฏิเสธ  ช่างเหลือเชื่อนัก!  พวกเจ้าช่างน่าทึ่งจริงๆ!  บุคคลหนึ่งสามารถไปไกลถึงขนาดที่เชื่อในพระเจ้าสี่พระภาคได้อย่างเป็นจริงเป็นจังและก็ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่คิดว่านี่เป็นปาฏิหาริย์หรอกหรือ?  เมื่อมองดูพวกเจ้า ไม่มีใครจะรู้เลยนะว่าพวกเจ้าสามารถทำงานที่เป็นปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้!  เราขอบอกพวกเจ้าเลยว่า ในความจริงนั้น พระเจ้าตรีเอกภาพไม่มีอยู่จริงไม่ว่าที่ใดในจักรวาลนี้  พระเจ้าไม่ทรงมีพระบิดาและไม่ทรงมีพระบุตร และนับประสาอะไรที่จะมีมโนทัศน์ว่าพระบิดาและพระบุตรทรงร่วมกันใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ  ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลวิบัติอันใหญ่หลวงที่สุดในโลกนี้และก็แค่ไม่มีอยู่จริงเอาเสียเลย!  แต่ทว่าแม้กระทั่งเหตุผลวิบัติเช่นนั้นก็มีจุดกำเนิดของมันและไม่ใช่ว่าปราศจากพื้นฐานโดยสิ้นเชิง เพราะจิตใจของพวกเจ้าไม่เรียบง่ายเพียงนั้น และความคิดของพวกเจ้าก็มิใช่ว่าปราศจากเหตุผล  ในทางตรงกันข้าม ทั้งความคิดและจิตใจของพวกเจ้านั้นพอเหมาะพอควรและชาญฉลาดมากทีเดียว มากจนถึงขั้นที่ไม่อาจมีสิ่งใดสามารถผ่านเข้าไปในพวกมันได้แม้แต่ซาตานตนใด  ความน่าเสียดายก็คือว่า ความคิดเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลวิบัติและแค่ไม่มีอยู่จริงเอาเสียเลย!  พวกเจ้าไม่ได้มองเห็นความจริงที่แท้จริงเลย พวกเจ้าเพียงกำลังทำการคาดเดาและจินตนาการเท่านั้น จากนั้นก็สร้างมันทั้งหมดขึ้นมาเป็นเรื่องราวหนึ่งเพื่อให้ได้รับความเชื่อใจของคนอื่นอย่างเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และเพื่อให้ได้รับอำนาจครอบงำเหนือบรรดาผู้คนที่โง่เขลาที่สุดเหล่านั้นซึ่งไม่มีเชาวน์ปัญญาและเหตุผล เพื่อที่พวกเขาจะเชื่อใน “คำสอนที่เชี่ยวชาญ” อันยิ่งใหญ่และเป็นที่เลื่องลือของพวกเจ้า  การนี้เป็นความจริงหรือไม่?  นี่คือหนทางแห่งชีวิตที่มนุษย์ควรได้รับหรือไม่?  ทั้งหมดนั้นช่างไร้สาระ!  ไม่มีคำพูดที่เหมาะสมเลยสักคำ!  ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พระเจ้าได้ทรงถูกพวกเจ้าแบ่งให้แยกออกมาในลักษณะนี้ โดยถูกแบ่งแยกให้บางลงเรื่อยๆ ในแต่ละชั่วคน จนถึงขนาดที่พระเจ้าหนึ่งเดียวได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นพระเจ้าสามพระภาคอย่างเปิดเผย  และบัดนี้มันก็แค่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะรวมพระเจ้าให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง เพราะพวกเจ้าได้แบ่งพระองค์ออกอย่างละเอียดเกินไปแล้ว! หากไม่ใช่เพราะงานแบบทันควันของเราก่อนที่มันจะสายเกินไป ก็คงพูดยากว่าพวกเจ้าจะยังคงดำเนินในหนทางนี้อย่างโจ่งแจ้งต่อไปอีกนานเพียงใด!  ในการแบ่งพระเจ้าให้แยกออกในลักษณะนี้ต่อไปนั้น พระองค์จะยังคงสามารถเป็นพระเจ้าของพวกเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าจะยังคงจำพระเจ้าได้อยู่หรือ?  พวกเจ้าจะยังคงค้นหาจุดกำเนิดของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?  หากเรามาถึงล่าช้ากว่านี้สักนิด ก็มีแววว่าพวกเจ้าคงจะได้ส่ง “พระบิดาและพระบุตร” คือพระยาห์เวห์และพระเยซู กลับไปยังอิสราเอล และอ้างไปแล้วว่าตัวพวกเจ้าเองก็เป็นพระภาคหนึ่งของพระเจ้า  โชคดีที่บัดนี้เป็นยุคสุดท้าย  ในที่สุดวันนี้ที่เรารอคอยมานานได้มาถึงแล้ว และมีเพียงหลังจากเราได้ดำเนินงานช่วงระยะนี้ด้วยมือของเราเองเท่านั้น การแบ่งพระเจ้าพระองค์เองของพวกเจ้าจึงจะได้ยุติลง  หากไม่ใช่เพราะการนี้ พวกเจ้าก็คงจะได้บานปลายออกไป กระทั่งวางซาตานทั้งหมดในหมู่พวกเจ้าไว้บนโต๊ะของพวกเจ้าเพื่อนมัสการไปแล้ว  นี่คือชั้นเชิงของพวกเจ้า!  นี่คือวิถีทางของพวกเจ้าในการแบ่งพระเจ้าให้แยกออก!  บัดนี้พวกเจ้าจะทำเช่นนี้ต่อไปหรือไม่?  เราขอถามพวกเจ้าว่า  มีพระเจ้ากี่องค์?  พระเจ้าองค์ใดที่จะนำความรอดมาให้พวกเจ้า?  ที่พวกเจ้าอธิษฐานอยู่เสมอนั้นคืออธิษฐานต่อพระเจ้าองค์ที่หนึ่ง องค์ที่สอง หรือองค์ที่สาม?  องค์ใดที่พวกเจ้าเชื่ออยู่เสมอ?  คือพระบิดาใช่หรือไม่?  หรือว่าพระบุตร?  หรือว่าคือพระวิญญาณ?  จงบอกเรามาว่าเจ้าเชื่อในองค์ใด  ถึงแม้ว่าด้วยทุกคำพูดเจ้าจะบอกว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า สิ่งที่พวกเจ้าเชื่ออย่างแท้จริงนั้นก็คือสมองของพวกเจ้าเอง!  พวกเจ้าเพียงแค่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า!  และถึงกระนั้นในจิตใจของพวกเจ้าคือตรีเอกานุภาพเช่นนั้นจำนวนหนึ่ง!  พวกเจ้าไม่ยอมรับหรอกหรือ?

หากพระราชกิจสามช่วงระยะเหล่านี้ถูกประเมินโดยสอดคล้องกับมโนทัศน์ของตรีเอกานุภาพ เช่นนั้นแล้ว ก็ต้องมีพระเจ้าสามพระภาคเนื่องจากพระราชกิจที่แต่ละพระองค์ทรงดำเนินการไม่เป็นแบบเดียวกัน  หากคนใดท่ามกลางพวกเจ้ากล่าวว่าตรีเอกานุภาพมีอยู่จริง เช่นนั้นแล้วก็จงอธิบายทีเถิดว่า แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคลนี้คือสิ่งใดกันแน่  พระบิดาผู้บริสุทธิ์คือสิ่งใด?  พระบุตรคือสิ่งใด?  พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใด?  พระยาห์เวห์คือพระบิดาผู้บริสุทธิ์กระนั้นหรือ?  พระเยซูคือพระบุตรกระนั้นหรือ?  เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใดเล่า?  พระบิดาไม่ใช่พระวิญญาณหรอกหรือ?  แก่นแท้ของพระบุตรมิใช่พระวิญญาณด้วยหรอกหรือ?  พระราชกิจของพระเยซูมิใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  พระราชกิจของพระยาห์เวห์ ณ เวลาที่ดำเนินการโดยพระวิญญาณมิใช่แบบเดียวกันกับของพระเยซูหรอกหรือ?  พระเจ้าสามารถมีพระวิญญาณได้กี่ดวง?  ตามคำอธิบายของเจ้านั้น ทั้งสามพระองค์ที่มีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือหนึ่งเดียว หากนี่เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณก็มีสามดวงสินะ แต่การมีพระวิญญาณสามดวงย่อมหมายความว่าพระเจ้ามีสามพระองค์  การนี้หมายความว่าไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงหนึ่งเดียวอยู่เลย พระเจ้าประเภทนี้จะยังคงทรงมีแก่นแท้ที่เป็นเนื้อในของพระเจ้าได้อย่างไร?  หากเจ้ายอมรับว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะสามารถเป็นบิดาและมีบุตรได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าหรอกหรือ?  มีพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์เดียวเท่านั้นในพระเจ้าพระองค์นี้ และมีพระวิญญาณของพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังที่มีการเขียนลงในพระคัมภีร์ว่า “มีพระวิญญาณบริสุทธิ์หนึ่งเดียวเท่านั้น และพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น”  ไม่ว่าพระบิดาและพระบุตรที่เจ้าพูดถึงนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมีเพียงพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้นและแก่นแท้ของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พวกเจ้าเชื่อนั้นคือแก่นแท้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ แต่พระองค์ทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์ได้ รวมถึงทรงอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง  พระวิญญาณของพระองค์ทรงครอบคลุมทั้งหมดและปรากฏพร้อมทุกแห่งหนแห่ง  พระองค์สามารถสถิตในเนื้อหนังและในจักรวาลและเหนือจักรวาลได้ในเวลาเดียวกัน  ในเมื่อผู้คนทั้งหมดกล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบ่งแยกพระองค์ได้ตามใจชอบ!  พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวเท่านั้น และพระองค์หนึ่งเดียวเท่านั้น และนั่นคือพระวิญญาณของพระเจ้า  หากการเป็นดังเช่นที่เจ้ากล่าว เช่นนั้นแล้ว พวกพระองค์ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าสามพระองค์หรอกหรือ?  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสิ่งหนึ่ง พระบุตรเป็นอีกสิ่งหนึ่ง และพระบิดาก็ยังทรงเป็นอีกสิ่งหนึ่ง  องค์บุคคลทั้งหลายของพวกพระองค์แตกต่างกันและแก่นแท้ของพวกพระองค์ก็แตกต่างกัน เช่นนั้นแล้ว แต่ละพระองค์จะสามารถเป็นพระภาคของพระเจ้าพระองค์เดียวได้อย่างไร?  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณ นี่เข้าใจง่ายสำหรับมนุษย์  หากนี่เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว พระบิดาก็ยิ่งต้องทรงเป็นพระวิญญาณ  พระองค์ไม่เคยได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกและไม่เคยได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าในหัวใจของมนุษย์ และพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณด้วยอย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพระหว่างพระองค์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอย่างไรเล่า?  มันคือสัมพันธภาพระหว่างพระบิดากับพระบุตรใช่หรือไม่?  หรือมันคือสัมพันธภาพระหว่างพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระวิญญาณของพระบิดา?  แก่นแท้ของพระวิญญาณแต่ละดวงเหมือนกันหรือไม่?  หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นเครื่องมือหนึ่งของพระบิดา?  การนี้จะสามารถอธิบายได้อย่างไร?  และเช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพระหว่างพระบุตรกับพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นอย่างไร?  มันคือสัมพันธภาพระหว่างพระวิญญาณทั้งสองหรือสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับพระวิญญาณ?  เหล่านี้ทั้งหมดคือเรื่องที่ไม่สามารถมีคำอธิบายได้!  หากพวกพระองค์ล้วนเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียว เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถมีการพูดถึงสามพระองค์ได้ เพราะพวกพระองค์ทรงมีพระวิญญาณดวงเดียว  หากพวกพระองค์ทรงเป็นองค์บุคคลที่แตกต่างเด่นชัด เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณของพวกพระองค์ก็คงจะมีพระพละกำลังที่ผันแปร และพวกพระองค์ก็คงไม่อาจเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวดวงเดียวได้โดยสิ้นเชิง  มโนทัศน์เกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้เหลวไหลไร้สาระที่สุด!  การนี้แบ่งพระเจ้าออกเป็นส่วนๆ และแยกพระองค์ออกเป็นสามพระองค์ แต่ละพระองค์มีหนึ่งสถานะและมีพระวิญญาณ เช่นนั้นแล้วพระองค์จะยังคงสามารถเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวและพระเจ้าหนึ่งเดียวได้อย่างไร?  จงบอกเราที ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งนั้นถูกสร้างโดยพระบิดา พระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์กันแน่?  บางคนกล่าวว่าพวกพระองค์ได้ทรงสร้างมันทั้งหมดมาด้วยกัน  เช่นนั้นแล้ว พระองค์ใดเล่าที่ได้ทรงไถ่มวลมนุษย์?  เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบุตร หรือพระบิดากันแน่?  บางคนกล่าวว่าพระบุตรนั่นเองคือผู้ที่ได้ทรงไถ่มวลมนุษย์  เช่นนั้น ในแก่นแท้แล้ว พระบุตรคือผู้ใด?  พระองค์มิใช่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณของพระเจ้าหรอกหรือ?  การทรงปรากฏในรูปมนุษย์เรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์ผู้ถูกสร้าง  เจ้าไม่ตระหนักหรือว่าพระเยซูประสูติโดยผ่านทางการปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์?  ภายในพระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวอย่างไรก็ตาม พระองค์ยังคงทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าในสวรรค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณของพระเจ้า  แนวคิดเกี่ยวกับพระบุตรนี้ไม่จริงเลย  พระวิญญาณหนึ่งเดียวนั่นเองที่เป็นผู้ซึ่งดำเนินการพระราชกิจทั้งหมด พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น นั่นคือพระวิญญาณของพระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ใดคือพระวิญญาณของพระเจ้า?  มิใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  มิใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือที่ทรงพระราชกิจในพระเยซู?  หากพระราชกิจนั้นมิได้รับการดำเนินการโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (นั่นคือ พระวิญญาณของพระเจ้า) เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระองค์จะสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เองแล้วได้หรือ?  เมื่อพระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาในขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน การนี้ทำจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่ปกติและธรรมดาสามัญ และทรงมีเครื่องห่อหุ้มภายนอกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น  ถึงแม้ว่าภายในพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า แต่การปรากฏภายนอกของพระองค์ยังคงเป็นการปรากฏของมนุษย์ปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็น “บุตรมนุษย์” ที่มนุษย์ทั้งหมดได้กล่าวถึง รวมถึงพระเยซูพระองค์เองได้ตรัสถึง  เมื่อคำนึงถึงว่าพระองค์ได้รับการเรียกขานว่าบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลหนึ่ง (ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง คนเราจะมีเปลือกนอกเป็นมนุษย์ในทุกกรณี) ที่ถือกำเนิดมาในครอบครัวปกติครอบครัวหนึ่งของผู้คนธรรมดา  เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาก็เป็นแบบเดียวกับวิธีที่พวกเจ้าเรียกพระองค์ว่าพระบิดาในตอนแรก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้าง  พวกเจ้ายังจำคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระเยซูได้ทรงสอนให้พวกเจ้าท่องจำได้หรือไม่?  “พระบิดาของพวกเราในสวรรค์…” พระองค์ได้ทรงขอให้มนุษย์ทุกคนเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดา  และในเมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกพระองค์ว่าพระบิดาเช่นกัน พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ในฐานรากที่เท่าเทียมกับพวกเจ้าทั้งหมด  ในเมื่อพวกเจ้าได้เรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดา พระเยซูทรงมองพระองค์เองว่าอยู่บนรากฐานที่เท่าเทียมกับพวกเจ้า และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งบนแผ่นดินโลกที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร (นั่นคือ พระบุตรของพระเจ้า)  หากพวกเจ้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา นี่ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งหรอกหรือ?  ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูบนแผ่นดินโลกจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก่อนหน้าการตรึงกางเขนนั้น พระองค์ทรงเป็นเพียงบุตรมนุษย์ ที่ถูกปกครองดูแลโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (นั่นคือ พระเจ้า) และเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายของแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ยังมิได้ทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์  เพราะฉะนั้น การที่พระองค์ทรงเรียกพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ว่าพระบิดาจึงเป็นเพียงความถ่อมพระทัยและการเชื่อฟังของพระองค์เท่านั้น  อย่างไรก็ตามการที่พระองค์ตรัสกับพระเจ้า (นั่นคือ พระวิญญาณในสวรรค์) ในลักษณะเช่นนั้น ไม่เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระวิญญาณของพระเจ้าในสวรรค์  ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเพียงว่ามุมมองของพระองค์นั้นแตกต่างไป ไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บุคคลที่แตกต่างกัน  การมีอยู่ขององค์บุคคลทั้งหลายที่แตกต่างกันชัดเจนนั้นเป็นการเข้าใจผิด!  ก่อนหน้าการตรึงกางเขนของพระองค์นั้น พระเยซูทรงเป็นบุตรมนุษย์ที่ถูกพันธนาการโดยข้อจำกัดต่างทั้งหลายของเนื้อหนัง และพระองค์มิได้ทรงมีสิทธิอำนาจของพระวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์สามารถเพียงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น  นั่นเป็นดังที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานสามครั้งในเกทเสมนีว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”  ก่อนที่พระองค์จะถูกขึงบนกางเขน พระองค์ทรงเป็นแต่เพียงองค์กษัตริย์ของชาวยิว พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ บุตรมนุษย์ และไม่ใช่พระวรกายที่มีพระสิริ  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาจากจุดยืนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง  บัดนี้ เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่า ทุกคนที่เรียกพระเจ้าว่าพระบิดานั้นเป็นพระบุตร  หากการนี้เป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ พวกเจ้าจะไม่ได้กลายเป็นพระบุตรกันทั้งหมด ในทันทีที่พระเยซูได้ทรงสอนคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้แก่พวกเจ้าหรอกหรือ?  หากพวกเจ้ายังคงไม่เชื่อ เช่นนั้นแล้วจงบอกเรามา พระองค์ใดคือผู้ที่พวกเจ้าเรียกว่าพระบิดา?  หากเจ้ากำลังอ้างอิงถึงพระเยซู เช่นนั้นแล้ว สำหรับพวกเจ้าแล้ว พระองค์ใดเล่าคือพระบิดาของพระเยซู?  หลังจากที่พระเยซูเสด็จจากไปแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับพระบิดาและพระบุตรนี้ก็ไม่มีอีกแล้ว  แนวคิดนี้เหมาะสมเฉพาะกับหลายปีที่พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมอื่นๆ ทั้งหมดนั้น สัมพันธภาพนั้นคือสัมพันธภาพระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งซึ่งในระหว่างเวลานั้น พวกเจ้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา  แนวคิดเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้เลยไม่ว่า ณ เวลาใด มันคือเหตุผลวิบัติที่แทบจะไม่ได้พบเห็นตลอดหลายยุคมา และมันไม่มีอยู่จริง!

นี่อาจทำให้ผู้คนส่วนใหญ่นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าจากหนังสือปฐมกาลความว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเราตามอย่างของเรา”  เมื่อคำนึงถึงว่าพระเจ้าตรัสว่า“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา” เช่นนั้นแล้ว “เรา” บ่งบอกถึงสองขึ้นไปเนื่องจากพระองค์ได้ทรงระบุว่า “เรา” เช่นนั้นแล้วก็ไม่ใช่มีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียวในหนทางนี้มนุษย์ได้เริ่มคิดในความเป็นนามธรรมขององค์ที่แตกต่างกันชัดเจนและจากพระวจนะเหล่านี้ก็ได้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ขึ้นมา เช่นนั้นแล้วพระบิดาทรงเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  พระบุตรทรงเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  มันอาจสามารถเป็นไปได้หรือไม่ที่มวลมนุษย์ของวันนี้จะถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาขององค์หนึ่งเดียวที่เกิดจากการรวมกันของสามองค์?  เช่นนั้นแล้วฉายาของมนุษย์จะเป็นเหมือนพระฉายาของพระบิดา พระบุตร หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์กันเล่า?  มนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาของพระองค์ใดของพระเจ้ากันเล่า?  แนวคิดนี้ของมนุษย์ก็แค่ไม่ถูกต้องและไร้สาระสิ้นดี!  มันทำได้เพียงแค่แบ่งพระเจ้าหนึ่งเดียวออกเป็นพระเจ้าหลายพระองค์เท่านั้น  ณ เวลาที่โมเสสได้เขียนหนังสือปฐมกาล เป็นเวลาหลังจากที่มวลมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นภายหลังการทรงสร้างโลก  ในแรกเริ่มนั้นเมื่อโลกได้เริ่มต้นขึ้น โมเสสไม่ได้ดำรงอยู่  และโมเสสได้เขียนพระคัมภีร์ขึ้นก็เมื่อหลังจากนั้นนานมากแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่เขาอาจสามารถรู้ว่าพระเจ้าในสวรรค์ได้ตรัสสิ่งใด?  เขาไม่ได้ระแคะระคายเลย ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้  ในพันธสัญญาเดิมของพระคัมภีร์ ไม่มีการกล่าวถึงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีก็เพียงการกล่าวถึงพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวเท่านั้น คือพระยาห์เวห์ที่ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอล  พระองค์ได้รับการเรียกขานโดยพระนามที่แตกต่างกันไปตามการเปลี่ยนแปลงของยุค แต่นี่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า แต่ละพระนามอ้างอิงถึงองค์ที่แตกต่างกัน  หากการนี้เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว จะไม่มีองค์ทั้งหลายแบบนับไม่ถ้วนอยู่ในพระเจ้าหรอกหรือ?  สิ่งที่เขียนไว้ในพันธสัญญาเดิมก็คือ พระราชกิจของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นพระราชกิจช่วงระยะของพระเจ้าพระองค์เองสำหรับการเริ่มต้นในยุคธรรมบัญญัติ  นั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งอยู่ ณ แห่งหนตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ และได้ยืนหยัดตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชา  ไม่มีสักครั้งที่พระยาห์เวห์ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาที่เสด็จมาเพื่อดำเนินพระราชกิจ และพระองค์ก็ไม่เคยเผยพระวจนะถึงการที่พระบุตรเสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์  เมื่อมาถึงกาลสมัยของพระเยซู ก็ถูกกล่าวไว้เพียงว่าพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้น มิใช่กล่าวว่าเป็นพระบุตรผู้ซึ่งได้เสด็จมา  เพราะยุคทั้งหลายนั้นไม่เหมือนกันและพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงกระทำนั้นก็แตกต่างกันไปด้วย พระองค์จึงทรงจำเป็นต้องดำเนินพระราชกิจของพระองค์ภายในอาณาจักรที่แตกต่างกัน  ในหนทางนี้ อัตลักษณ์ที่พระองค์ทรงเป็นตัวแทนก็แตกต่างกันด้วยเช่นกัน  มนุษย์เชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระบิดาของพระเยซู แต่การนี้มิได้เป็นที่ยอมรับโดยแท้จริงจากพระเยซูผู้ซึ่งได้ตรัสว่า “พวกเราไม่เคยถูกแยกความต่างออกเป็นพระบิดาและพระบุตร เราและพระบิดาในสวรรค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา ยามที่มนุษย์มองเห็นพระบุตร พวกเขากำลังมองเห็นพระบิดาแห่งสวรรค์”  เมื่อมีการกล่าวถึงทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็นพระบิดาหรือพระบุตรพวกพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวมิได้ถูกแบ่งออกเป็นองค์ทั้งหลายที่แยกจากกัน  ครั้นมนุษย์พยายามที่จะอธิบาย เรื่องทั้งหลายก็สลับซับซ้อนไปด้วยแนวคิดเกี่ยวกับองค์ทั้งหลายที่ต่างกันเด่นชัด รวมถึงสัมพันธภาพระหว่างพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณ  เมื่อมนุษย์กล่าวถึงองค์ทั้งหลายที่แยกจากกัน นี่มิใช่การทำให้พระเจ้าทรงมีรูปทรงขึ้นมาหรอกหรือ?  มนุษย์ถึงขั้นจัดอันดับองค์ทั้งหลายให้เป็นองค์ที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม  ทั้งหมดเหล่านี้เป็นแต่เพียงการจินตนาการของมนุษย์เท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การอ้างอิงและไม่อยู่กับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง!  หากเจ้าถามเขาว่า “พระเจ้ามีกี่องค์?” เขาก็คงจะกล่าวว่า พระเจ้าคือตรีเอกานุภาพแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  นั่นคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว  หากเจ้าถามต่อไปว่า “พระบิดาคือใคร?” เขาก็คงจะกล่าวว่า “พระบิดาคือพระวิญญาณของพระเจ้าในสวรรค์ พระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่ง และทรงเป็นองค์เจ้านายแห่งสวรรค์”  “เช่นนั้นแล้วพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระวิญญาณกระนั้นหรือ?” เขาก็คงจะกล่าวว่า “ใช่!”  หากเจ้าถามเขาต่อจากนั้นว่า “พระองค์ใดคือพระบุตร?” เขาก็คงจะกล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรอย่างแน่นอน “เช่นนั้นแล้วเรื่องราวของพระเยซูคืออะไร?  พระองค์เสด็จมาจากที่ไหน?”  เขาก็คงจะกล่าวว่า “พระเยซูประสูติจากนางมารีย์โดยผ่านทางการปฏิสนธิของพระวิญญาณบริสุทธิ์”  เช่นนั้นแล้วแก่นแท้ของพระองค์มิใช่พระวิญญาณด้วยหรอกหรือ?  พระราชกิจของพระองค์มิใช่ตัวแทนของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกันหรอกหรือ?  พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระวิญญาณและแก่นแท้ของพระเยซูก็เป็นดังนั้นด้วยเช่นกัน  บัดนี้ในยุคสุดท้าย มีจำเป็นน้อยลงที่จะต้องกล่าวว่า นั่นยังคงเป็นพระวิญญาณ พวกพระองค์จะสามารถเป็นองค์ทั้งหลายที่แตกต่างกันได้อย่างไร?  มันมิใช่แค่เพียงพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงดำเนินพระราชกิจของพระวิญญาณจากมุมมองที่แตกต่างกันไปเท่านั้นหรอกหรือ?  เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีความแตกต่างระหว่างองค์ทั้งหลาย  พระเยซูได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระราชกิจของพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน  ในช่วงระยะแรกของพระราชกิจที่ดำเนินการโดยพระยาห์เวห์นั้น พระองค์มิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ อีกทั้งมิได้ทรงปรากฏต่อมนุษย์  ดังนั้นมนุษย์จึงไม่เคยมองเห็นการทรงปรากฏของพระองค์  ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงยิ่งใหญ่เพียงใดและสูงเพียงใดพระองค์ยังคงทรงเป็นพระวิญญาณพระเจ้าพระองค์เองที่ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นในปฐมกาล  นั่นคือพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า  พระองค์ได้ตรัสกับมนุษย์จากท่ามกลางหมู่เมฆ ทรงเป็นเพียงพระวิญญาณและไม่มีผู้ใดได้เป็นพยานการทรงปรากฏของพระองค์  มีเพียงในยุคพระคุณเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในแคว้นยูเดียเท่านั้น มนุษย์จึงได้มองเห็นพระฉายาแห่งการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งแรกในฐานะชาวยิวคนหนึ่ง  ไม่มีสิ่งใดจากพระยาห์เวห์มาเกี่ยวกับพระองค์เลย  อย่างไรก็ตามพระองค์ได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือได้รับการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณของพระยาห์เวห์พระองค์เอง และพระเยซูยังคงได้ประสูติมาเป็นรูปจำแลงของพระวิญญาณของพระเจ้า  สิ่งที่มนุษย์ได้มองเห็นครั้งแรกคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสด็จลงมายังพระเยซูเสมือนนกพิราบ นั่นมิใช่พระวิญญาณของพระเยซูแต่เพียงพระองค์เดียว แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหาก  เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณของพระเยซูสามารถแยกออกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กระนั้นหรือ?  หากพระเยซูทรงเป็นพระเยซู พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนั้นแล้วพวกพระองค์จะสามารถเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร?  พระราชกิจคงมิอาจได้รับการดำเนินการได้หากเป็นเช่นดังนั้น  พระวิญญาณภายในพระเยซู พระวิญญาณในสวรรค์และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ล้วนเป็นหนึ่งเดียว  พระวิญญาณนั้นเรียกกันว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณของพระเจ้า พระวิญญาณซึ่งมีความแก่กล้าเป็นเจ็ดเท่า และพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด  พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถดำเนินพระราชกิจได้มากมาย  พระองค์สามารถสร้างโลกและทำลายมันโดยการให้น้ำท่วมแผ่นดินโลก พระองค์สามารถไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงและยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงสามารถพิชิตและทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงได้  พระราชกิจนี้ล้วนได้รับการดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เองและไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้โดยสภาวะความเป็นบุคคลอื่นใดของพระเจ้า  พระวิญญาณของพระองค์สามารถได้รับการเรียกขานโดยพระนามของพระยาห์เวห์และพระเยซู รวมถึงองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์  พระองค์สามารถกลายเป็นบุตรมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน  พระองค์สถิตในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกด้วยเช่นกัน  พระองค์สถิตอยู่สูงเหนือจักรวาลทั้งหลายและท่ามกลางฝูงชน  พระองค์ทรงเป็นองค์เจ้านายองค์เดียวแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก!  นับตั้งแต่กาลสมัยแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงบัดนี้ พระราชกิจนี้ได้รับการดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าพระองค์เอง  ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจในฟ้าสวรรค์หรือในเนื้อหนัง ทั้งหมดล้วนดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระองค์เอง  สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก ล้วนอยู่ในฝ่าพระหัตถ์อันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองและไม่มีผู้ใดสามารถดำเนินการแทนพระองค์ได้  ในฟ้าสวรรค์นั้น พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ แต่ก็ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองด้วยเช่นกัน  ท่ามกลางพวกมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนัง แต่ก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองอยู่  ถึงแม้ว่าพระองค์อาจได้รับการเรียกขานโดยหลายแสนพระนาม แต่พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระองค์เอง เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณของพระองค์  การไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงโดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระองค์นั้น เป็นพระราชกิจโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดังนั้นจึงเป็นการกล่าวประกาศต่อชนชาติทั้งมวลและแผ่นดินทั้งมวลในระหว่างยุคสุดท้ายด้วยเช่นกัน  ตลอดเวลานั้นพระเจ้าสามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวและผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด  องค์ทั้งหลายที่แตกต่างกันนั้นไม่มีอยู่จริง นับประสาอะไรที่จะมีแนวคิดนี้เกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก มีพระเจ้าอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!

แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ากินระยะเวลานานหกพันปีและถูกแบ่งออกเป็นสามยุคตามความแตกต่างในพระราชกิจของพระองค์ กล่าวคือ ยุคแรกคือยุคธรรมบัญญัติแห่งพันธสัญญาเดิม ยุคที่สองคือยุคพระคุณ และยุคที่สามคือยุคสุดท้าย—ยุคแห่งราชอาณาจักร  ในแต่ละยุคนั้นเป็นตัวแทนของพระอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน  นี่ก็เป็นเพราะความแตกต่างในพระราชกิจเท่านั้น  นั่นก็คือ ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจช่วงระยะแรกของพระราชกิจในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้นได้รับการดำเนินการในอิสราเอล และช่วงระยะที่สองซึ่งเป็นการสรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการไถ่นั้นได้รับการดำเนินการในแคว้นยูเดีย  สำหรับพระราชกิจแห่งการไถ่นั้น พระเยซูได้ประสูติผ่านทางการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทรงเป็นพระบุตรพระองค์เดียว  ทั้งหมดนั้นก็เนื่องมาจากข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจนี้  ในยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะขยายพระราชกิจของพระองค์เข้าไปในชนต่างชาติทั้งหลายและพิชิตผู้คนที่นั่น เพื่อที่พระนามของพระองค์อาจยิ่งใหญ่ในหมู่พวกเขา  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทรงนำมนุษย์ในการทำความเข้าใจและการเข้าสู่ความจริงทั้งปวง  พระราชกิจทั้งหมดนี้ดำเนินการโดยพระวิญญาณหนึ่งเดียว  ถึงแม้ว่าพระองค์อาจทรงทำเช่นนั้นจากจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่ธรรมชาติและหลักธรรมของพระราชกิจก็ยังคงเป็นอย่างเดียวกันอยู่  ทันทีที่เจ้าเฝ้าสังเกตหลักธรรมทั้งหลายและธรรมชาติของพระราชกิจที่ทุกพระองค์ได้ทรงดำเนินการ เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าทั้งหมดนั้นดำเนินการโดยพระวิญญาณหนึ่งเดียว  ถึงกระนั้นบางคนอาจยังคงกล่าวอยู่ดีว่า “พระบิดาทรงเป็นพระบิดา พระบุตรทรงเป็นพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในที่สุด พวกพระองค์จะทรงประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียว”  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำให้พวกพระองค์เป็นหนึ่งเดียวอย่างไร?  พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร?  หากโดยแก่นแท้ภายในแล้วพวกพระองค์ทรงเป็นสอง เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกพระองค์จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างไร พวกพระองค์จะไม่ทรงยังคงเป็นสองพระภาคอยู่หรอกหรือ?  เมื่อเจ้าพูดถึงการทำให้พวกพระองค์เป็นหนึ่ง นั่นมิใช่เป็นเพียงการเชื่อมต่อสองพระภาคที่แยกกันอยู่เพื่อทำให้เป็นองค์รวมหนึ่งเดียวหรอกหรือ?  แต่พวกพระองค์ทรงเป็นสองพระภาคก่อนที่จะถูกทำให้รวมเป็นหนึ่งมิใช่หรือ?  แต่ละวิญญาณทรงมีแก่นแท้ที่แตกต่างเด่นชัด และสองวิญญาณไม่สามารถประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวได้  วิญญาณมิใช่วัตถุที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นเหมือนสิ่งอื่นใดในโลกทางวัตถุ  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระบิดาทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่ง พระบุตรอีกหนึ่ง และยังเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณทั้งสามก็ผสมกันเหมือนกับน้ำสามแก้วมารวมอยู่ในแก้วเดียว  เช่นนั้นแล้ว นั่นมิใช่สามรวมเป็นเป็นหนึ่งหรอกหรือ?  นี่เป็นคำอธิบายที่ผิดพลาดและไร้เหตุผลล้วนๆ!  นี่มิใช่การแยกพระเจ้าออกจากกันหรอกหรือ?  พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมดนั้นจะทรงประกอบขึ้นเป็นหนึ่งได้อย่างไร?  ก็พวกพระองค์ทรงเป็นสามพระภาคที่แต่ละพระภาคทรงมีธรรมชาติที่แตกต่างกันมิใช่หรือ?  มีผู้อื่นที่กล่าวว่า “พระเจ้าได้ทรงกล่าวระบุไว้อย่างเปิดเผยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์มิใช่หรือ?”  พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานยิ่ง—การนี้ได้ถูกตรัสไว้โดยพระเจ้าพระองค์เองอย่างแน่นอน  นั่นคือการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง เพียงแต่ว่าจากมุมมองที่แตกต่างกัน นั่นเป็นมุมมองของพระวิญญาณในสวรรค์ที่ทรงเป็นพยานต่อการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์เอง  พระเยซูทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ มิใช่พระบุตรของพระองค์ในสวรรค์  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  พระวจนะของพระเยซูที่ว่า “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” บ่งบอกว่าพวกพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวมิใช่หรือ?  และนั่นมิใช่เป็นเพราะการปรากฏในรูปมนุษย์หรอกหรือที่พวกพระองค์ได้ถูกแยกห่างระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก?  ในความเป็นจริงแล้ว พวกพระองค์ยังคงทรงเป็นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง  เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของยุคทั้งหลาย ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจ และช่วงระยะที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์จึงแตกต่างกันไปด้วย  เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาดำเนินพระราชกิจช่วงระยะแรกนั้น พระองค์สามารถได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ ผู้ที่ทรงเป็นผู้เลี้ยงของชาวอิสราเอลเท่านั้น  ในช่วงระยะที่สอง พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถได้รับการเรียกขานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์เท่านั้น  แต่ ณ เวลานั้น พระวิญญาณในสวรรค์ทรงตรัสระบุแต่เพียงว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเท่านั้น และมิได้ทรงกล่าวถึงการที่พระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด  การนี้แค่ไม่เคยเกิดขึ้น  พระเจ้าจะทรงมีบุตรเพียงพระองค์เดียวได้อย่างไร?  เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะมิได้ทรงกลายมาเป็นมนุษย์แล้วหรอกหรือ?  เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า และจากการนี้เองจึงเป็นที่มาของสัมพันธภาพระหว่างพระบิดาและพระบุตร  นั่นก็เป็นเพียงเพราะการแยกห่างกันระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก  พระเยซูได้ทรงอธิษฐานจากมุมมองของมนุษย์  ในเมื่อพระองค์ได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเช่นนั้น พระองค์จึงได้ตรัสจากมุมมองของเนื้อหนังว่า “เปลือกนอกของเราเป็นเปลือกนอกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง เนื่องจากเราได้สวมเนื้อหนังในการมายังแผ่นดินโลกนี้ บัดนี้เราอยู่ห่างไกลแสนไกลจากฟ้าสวรรค์”  ด้วยเหตุผลนี้เอง พระองค์จึงสามารถเพียงแค่อธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์เท่านั้น  นี่คือหน้าที่ของพระองค์ และนั่นคือหน้าที่ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งทรงมาปรากฏในรูปมนุษย์ควรประดับมากับพระองค์  มิอาจกล่าวได้ ว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงเพราะพระองค์ได้ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงได้รับการเรียกขานว่าพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า แต่พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นแต่เพียงการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณ และแก่นแท้ของพระองค์ยังคงทรงเป็นพระวิญญาณอยู่  ผู้คนฉงนฉงายว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงอธิษฐาน หากพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  การนี้เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าซึ่งดำรงพระชนม์ชีพภายในเนื้อหนัง และมิใช่พระวิญญาณในสวรรค์  ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนทรงเป็นพระเจ้า  มีเพียงการที่ทั้งสามภาคนี้ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถถือว่าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวได้ และในหนทางนี้ ฤทธานุภาพของพระองค์จึงยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ  มีบรรดาผู้ซึ่งกล่าวว่า ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณที่แก่กล้าเป็นเจ็ดเท่า  เมื่อพระบุตรได้ทรงอธิษฐานหลังจากการเสด็จมาถึงของพระองค์นั้น พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณนั้นนั่นเอง  ในความเป็นจริง พระองค์กำลังทรงอธิษฐานจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง  เนื่องจากเนื้อหนังไม่ใช่องค์รวม พระองค์จึงมิได้ทรงเป็นองค์รวม และทรงมีจุดอ่อนมากมายเมื่อครั้งที่พระองค์ได้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงประสบความเดือดร้อนมากมายขณะที่พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง  นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาสามครั้งก่อนการตรึงกางเขนของพระองค์ รวมถึงหลายครั้งก่อนหน้านั้นอีกด้วย  พระองค์ได้ทรงอธิษฐานท่ามกลางบรรดาสาวกของพระองค์ พระองค์ได้ทรงอธิษฐานตามลำพังบนภูเขา พระองค์ได้ทรงอธิษฐานขณะอยู่บนเรือประมง พระองค์ได้ทรงอธิษฐานท่ามกลางมวลชนมากมาย พระองค์ได้ทรงอธิษฐานขณะกำลังทรงหักขนมปัง และพระองค์ได้ทรงอธิษฐานขณะกำลังทรงอวยพรแก่ผู้อื่น  เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำเช่นนั้น?  พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณนั่นเอง พระองค์กำลังทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณ ต่อพระเจ้าในสวรรค์ จากมุมมองของมนุษย์  เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงได้ทรงกลายเป็นพระบุตรในพระราชกิจช่วงระยะนั้นจากจุดยืนของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะนี้ พระองค์ก็มิได้ทรงอธิษฐาน  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า?  การนี้เป็นเพราะสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้เกิดผลก็คือพระราชกิจแห่งพระวจนะ และการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะ พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต่อคำอธิษฐาน และพันธกิจของพระองค์คือการตรัส  พระองค์ไม่ทรงถูกนำขึ้นไปบนกางเขน และพระองค์ไม่ทรงถูกมนุษย์ทำให้หันกลับไปหาบรรดาผู้ที่อยู่ในอำนาจ พระองค์เพียงทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์  ในเวลาที่พระเยซูได้ทรงอธิษฐานนั้น พระองค์ได้กำลังทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาเพื่อการเคลื่อนลงสถิตของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพื่อให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระบิดา และเพื่อให้พระราชกิจนั้นมาถึง  ในช่วงระยะนี้ ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้เคลื่อนลงสถิตแล้ว ดังนั้น พระองค์ยังคงทรงจำเป็นต้องอธิษฐานอยู่หรือ?  พระราชกิจของพระองค์คือการนำพายุคนี้ไปสู่ปลายทาง และจะไม่มียุคใหม่อันใดอีกแล้ว ดังนั้น มีความจำเป็นหรือที่จะต้องอธิษฐานเพื่อช่วงระยะต่อไป?  เราเกรงว่าจะไม่มี!

มีความย้อนแย้งอยู่มากมายในคำอธิบายของมนุษย์  แท้จริงแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้คือมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ หากไม่มีการพินิจพิเคราะห์เพิ่มเติม พวกเจ้าทั้งหมดก็คงจะเชื่อว่ามโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นถูกต้อง  เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าแนวคิดเอย่างเช่นพระเจ้าตรีเอกานุภาพนี้เป็นแต่เพียงมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์?  ไม่มีความรู้ใดของมนุษย์ที่ครบและถี่ถ้วน  มีความไม่ผุดผ่องอยู่เสมอ และมนุษย์ก็มีแนวคิดมากมายเกินไปด้วยเช่นกัน นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งก็แค่ไม่สามารถอธิบายพระราชกิจของพระเจ้าได้  มีหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไปในจิตใจของมนุษย์ ทั้งหมดล้วนมาจากตรรกะและความคิดที่ขัดแย้งกับความจริง  ตรรกะของเจ้าสามารถชำแหละพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างถ้วนทั่ว หรือไม่?  เจ้าสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระราชกิจทั้งหมดของพระยาห์เวห์หรือไม่?  เจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่งคือผู้ที่สามารถมองทะลุมันทั้งหมดนั้นได้ หรือว่าพระเจ้าพระองค์เองที่สามารถมองเห็นตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลกันเล่า?  เจ้านั่นหรือคือผู้ที่สามารถมองเห็นตั้งแต่นิรันดร์กาลนานมาแล้วถึงนิรันดร์กาลที่จะมา หรือว่า เป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงสามารถทำเช่นนั้นได้?  เจ้าจะว่าอย่างไรหรือ?  เจ้าคู่ควรเพียงใดที่จะอธิบายเกี่ยวกับพระเจ้า?  คำอธิบายของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  เจ้าคือพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าพระองค์เอง  เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้ทำการนี้ ดังนั้น เหตุใดเจ้าจึงกำลังให้คำอธิบายทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องเล่า?  บัดนี้ เจ้ายังเชื่อในพระเจ้าตรีเอกภาพต่อไปกระนั้นหรือ?  เจ้าไม่คิดว่าหนทางนี้เป็นภาระหนักเกินไปหรอกหรือ?  มันจะเป็นการดีที่สุดสำหรับเจ้าที่จะเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว ไม่ใช่สาม  การมีน้ำหนักเบานั้นเป็นการดีที่สุด เพราะพระภาระขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเบา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองเหนือสรรพสิ่งและทรงบริหารจัดการทุกสิ่ง  พระองค์ทรงสร้างทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงบริหารทั้งหมดที่มี พระองค์ทรงปกครองทั้งหมดที่มี และพระองค์ทรงจัดเตรียมสำหรับทั้งหมดที่มี  นี่คือสถานะของพระเจ้า และนี่คือพระอัตลักษณ์ของพระองค์  สำหรับทุกสรรพสิ่งและทั้งหมดที่มีนั้น พระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระเจ้าคือพระผู้สร้างและองค์ปกครองของทุกสิ่งแห่งการทรงสร้าง  เช่นนั้นคือพระอัตลักษณ์ที่พระเจ้าทรงครอง และพระองค์ทรงมีเอกลักษณ์ท่ามกลางสรรพสิ่ง  ไม่มีสิ่งทรงสร้างใดของพระเจ้า—ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์หรือในโลกฝ่ายวิญญาณ—ที่สามารถใช้วิถีทางหรือข้ออ้างใดๆ เพื่อปลอมแฝงหรือแทนที่พระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าได้ เพราะท่ามกลางสรรพสิ่งมีเพียงองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงถือครองพระอัตลักษณ์ ฤทธานุภาพ สิทธิอำนาจ และความสามารถในการปกครองสิ่งทรงสร้างนี้ ซึ่งก็คือ พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ของพวกเรา  พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพและทรงเคลื่อนไหวท่ามกลางสรรพสิ่ง พระองค์สามารถขึ้นสู่ที่สูงสุดเหนือทุกสรรพสิ่งได้  พระองค์สามารถถ่อมพระทัยพระองค์เองโดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ บังเกิดเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีเลือดและเนื้อหนัง มาพบหน้าผู้คน และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา แต่ในเวลาเดียวกันนั้นพระองค์ก็ทรงบัญชาทั้งหมดที่มี ทรงตัดสินชะตากรรมของทั้งหมดที่มีและทิศทางที่ทั้งหมดจะเคลื่อนไหว  ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงนำทางชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง และทรงคุมทิศทางของมวลมนุษย์  พระเจ้าเช่นนี้ควรได้รับการนมัสการ ได้รับการเชื่อฟัง และเป็นที่รู้จักของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

ก่อนหน้า: 2. แม้ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ถูกรังควานโดยการต่อต้านและการกล่าวโทษอย่างบ้าระห่ำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและชุมชนศาสนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันมองเห็นว่า คริสตจักรได้กำลังผลิตภาพยนตร์และวิดีโอออนไลน์มากขึ้นทุกทีที่เป็นการให้คำพยานต่อพระเจ้า  เนื้อหาของภาพยนตร์และวิดีโอเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาพยนตร์และวิดีโอเหล่านี้กำลังกลายเป็นสำเร็จลุล่วงในเชิงวิชาการมากขึ้นทุกที  อีกทั้งความจริงทั้งหลายที่ผลงานการผลิตเหล่านี้สามัคคีธรรมนั้นยังให้ความเจริญต่อผู้คนอย่างเหลือเชื่อด้วยเช่นกัน  ทั้งชุมชนศาสนาไม่ได้มีการผลิตภาพยนตร์ที่ให้คำพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ดีเท่านี้เลย  ตอนนี้มีผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงจากทุกศาสนาและนิกายได้เข้าร่วมคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้นทุกที  ทำไมคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงกำลังเจริญรุ่งเรืองในขณะที่ทั้งชุมชนศาสนานั้นช่างร้างว่างเปล่ายิ่งนัก?

ถัดไป: 1. นิกายโรมันคาทอลิกที่พวกเราเชื่อกันนั้นได้ถูกส่งต่อมาจากเหล่าอัครทูต และเก่าแก่ดั้งเดิมที่สุดในบรรดาศาสนาทั้งหมด  คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นของศาสนาคริสต์ และศาสนาคริสต์เป็นหน่อแขนงหนึ่งของนิกายโรมันคาทอลิก  หากพวกเราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเราจะไม่ใช่กำลังเปลี่ยนไปสู่ศาสนาคริสต์หรอกหรือ?  และในการทำเช่นนั้นเราจะไม่ใช่กำลังหันหลังให้กับพระเจ้าหรอกหรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger