7. พวกคุณให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  แต่พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของโลกศาสนาพูดว่า สิ่งที่พวกคุณเชื่อนั้นไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้า และว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่เป็นของศาสนาคริสต์  คำพูดทั้งหลายของพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสนั้นมีความน่าเชื่อถือบ้างหรือไม่?

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

หลังจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินการในแบบแยกไปตามลำพัง แต่ทรงก่อขึ้นบนพระราชกิจของพระยาห์เวห์  เป็นพระราชกิจสำหรับยุคใหม่ที่พระเจ้าทรงทำหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติ  ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่พระราชกิจของพระเยซูสิ้นสุดลง พระเจ้าก็ทรงไปต่อกับพระราชกิจของพระองค์สำหรับยุคถัดไป เพราะการบริหารจัดการทั้งมวลของพระเจ้ากำลังก้าวไปข้างหน้าเสมอ  เมื่อยุคเก่าผ่านไป ก็จะถูกแทนที่ด้วยยุคใหม่ และเมื่อพระราชกิจเก่าเสร็จบริบูรณ์แล้วก็จะมีพระราชกิจใหม่เพื่อสานต่อการบริหารจัดการของพระเจ้าต่อไป  การทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้เป็นการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าซึ่งตามหลังพระราชกิจของพระเยซูมา  แน่นอนว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเอกเทศ แต่เป็นช่วงระยะที่สามของพระราชกิจหลังยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงริเริ่มช่วงระยะใหม่ของพระราชกิจ จะต้องมีการเริ่มต้นใหม่เสมอและจะต้องนำยุคใหม่มาเสมอ  ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันในพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในลักษณะของการทรงพระราชกิจของพระองค์ ในที่ตั้งของพระราชกิจของพระองค์และในพระนามของพระองค์อีกด้วย  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคใหม่ได้ยาก แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์จะถูกมนุษย์ต่อต้านอย่างไร พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจของพระองค์เสมอและทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงไปข้างหน้าเสมอ  เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร  บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง  แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

ในกาลเวลาที่พระเยซูกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์  ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร  มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ  ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และภาพลักษณ์มีใจศรัทธาของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้  เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด  ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ  มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ?  ยัง!  ดังนั้นหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่  ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม  ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา  มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว  แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย  นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก  เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

พระเยซูและเรามาจากวิญญาณหนึ่งเดียว  แม้เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหนังมนุษย์ของเรา แต่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียว แม้เนื้อหาของสิ่งที่เราทำและงานที่เราดำเนินจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เราก็มีแก่นแท้ที่เหมือนกัน เนื้อหนังมนุษย์ของเรามีรูปร่างแตกต่างกัน แต่นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและข้อพึงประสงค์ที่ต่างกันออกไปในงานของเรา พันธกิจของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นงานที่เราทำให้เกิดขึ้นและอุปนิสัยที่เราเปิดเผยต่อมนุษย์จึงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่มนุษย์มองเห็นและเข้าใจในวันนี้จึงไม่เหมือนกับในอดีต นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย  ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงแตกต่างกันในเพศและรูปสัณฐานของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสอง และที่พระองค์ทั้งสองจะไม่ได้ทรงกำเนิดในครอบครัวเดียวกัน และยิ่งไม่ได้ทรงกำเนิดในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กระนั้น พระวิญญาณของพระองค์ทั้งสองก็เป็นหนึ่งเดียว  แม้เนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองไม่ได้ร่วมสายโลหิตกันและไม่มีความเป็นญาติมิตรในลักษณะใดต่อกันทางกายภาพ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์ทั้งสองทรงเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาในสองช่วงเวลาที่ต่างกัน  เป็นความจริงที่มิอาจหักล้างได้ว่าพระองค์ทั้งสองเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทั้งสองไม่ได้ทรงเป็นสายเลือดเดียวกันและไม่ได้ทรงร่วมใช้ภาษามนุษย์เดียวกัน (พระองค์หนึ่งเป็นชายซึ่งตรัสภาษาของพวกยิว และอีกพระองค์เป็นหญิงซึ่งตรัสภาษาจีนเท่านั้น) ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พระองค์ทั้งสองจึงทรงใช้ชีวิตคนละประเทศ เพื่อปฏิบัติพระราชกิจตามที่มีความเหมาะสมกับแต่ละพระองค์ และในช่วงเวลาที่แตกต่างด้วยเช่นกัน  แม้พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันที่มีแก่นแท้เดียวกัน แต่เปลือกนอกของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็ไม่มีความคล้ายกันโดยสิ้นเชิง  ทั้งหมดที่พระองค์ทั้งสองทรงมีเหมือนกันคือสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของเนื้อหนังมนุษย์และรูปการณ์แวดล้อมในการประสูติของพระองค์ทั้งสองแล้ว พระองค์ทั้งสองไม่เหมือนกัน  สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อพระราชกิจเฉพาะของทั้งสองพระองค์ หรือความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระองค์ทั้งสอง เพราะในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายแล้ว พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันและไม่มีใครสามารถแยกพระองค์ทั้งสองออกจากกันได้  ถึงแม้ว่าพระองค์ทั้งสองไม่ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่การดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ทั้งสองอยู่ภายใต้การควบคุมโดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งทรงจัดสรรพระราชกิจที่แตกต่างกันในช่วงเวลาที่แตกต่างกันให้แก่พระองค์ทั้งสอง และเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็มีสายเลือดที่ต่างกัน  พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระบิดาของพระวิญญาณของพระเยซู และพระวิญญาณของพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  พระวิญญาณเหล่านี้เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกัน  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์ในวันนี้กับพระเยซูนั้นมิได้ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แต่พระองค์ทั้งสองทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่เป็นเพราะพระวิญญาณของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจแห่งความปรานีและความรักมั่นคง รวมทั้งพระราชกิจการพิพากษาอันชอบธรรมและการตีสอนมนุษย์ และพระราชกิจการสาปแช่งมนุษย์ และในท้ายที่สุด พระองค์จึงทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจในการทำลายโลกและการลงโทษคนชั่วได้  พระองค์ไม่ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์

สำหรับผู้คนแล้ว พระราชกิจของเนื้อหนังซึ่งพระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองดูไม่เหมือนกับของครั้งแรกเอาเสียเลย ไม่เหมือนมากจนเนื้อหนังทั้งสองครั้งดูไม่มีสิ่งใดร่วมกันเลย และไม่มีสิ่งใดในพระราชกิจครั้งที่หนึ่งที่สามารถพบได้ในครั้งนี้  แม้ว่าพระราชกิจของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองจะแตกต่างจากครั้งแรก นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าแหล่งกำเนิดของทั้งสองครั้งไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน  แหล่งกำเนิดของทั้งสองครั้งจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพระราชกิจที่เนื้อหนังทั้งสองได้กระทำ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเปลือกนอกของเนื้อหนังนั้น  ในระหว่างพระราชกิจสามช่วงระยะของพระองค์ พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์สองครั้ง และในทั้งสองครั้งพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็เปิดฉากยุคใหม่และนำพระราชกิจใหม่เข้ามา  การจุติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งนั้นเสริมซึ่งกันและกัน  เป็นไปไม่ได้เลยที่ตามนุษย์จะบอกได้ว่าเนื้อหนังทั้งสองมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันจริงๆ  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่อยู่เหนือความสามารถของตามนุษย์หรือจิตใจมนุษย์  แต่ในแก่นสารของเนื้อหนังทั้งสองแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะพระราชกิจของเนื้อหนังทั้งสองมีจุดเริ่มต้นจากพระวิญญาณเดียวกัน  เนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งจะเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดเดียวกันหรือไม่นั้นไม่สามารถตัดสินได้โดยยุคและสถานที่ที่เนื้อหนังทั้งสองเกิดขึ้นหรือปัจจัยดังกล่าวอื่นๆ แต่ตัดสินได้โดยพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าที่เนื้อหนังทั้งสองได้แสดงออก  เนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองไม่ได้กระทำพระราชกิจใดๆ ที่พระเยซูทรงได้กระทำ เพราะพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ยึดติดอยู่กับแบบแผน แต่เปิดเส้นทางใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง  เนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ความประทับใจที่จิตใจของผู้คนมีเกี่ยวกับเนื้อหนังครั้งแรกลึกซึ้งหรือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เพื่อเสริมและทำให้ความประทับใจนั้นเพียบพร้อม เพื่อทำให้ความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น เพื่อทำลายกฎทั้งหมดที่มีอยู่ในหัวใจของผู้คน และเพื่อขจัดภาพเกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่ถูกต้องในหัวใจของพวกเขา  สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีช่วงระยะใดของพระราชกิจของพระเจ้าเองที่สามารถให้ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างบริบูรณ์แก่มนุษย์  แต่ละช่วงระยะให้ความรู้เพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด  แม้ว่าพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ทั้งหมด แต่เพราะศักยภาพในการทำความเข้าใจที่จำกัดของมนุษย์ ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าจึงยังคงไม่บริบูรณ์  เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารถึงทั้งหมดทั้งปวงของพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยใช้ภาษาของมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์จะสามารถแสดงออกถึงพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร?  พระองค์ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังภายใต้การบังตาด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์ และคนเราสามารถรู้จักพระองค์ได้จากการแสดงออกถึงเทวสภาพของพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่จากเปลือกร่างกายของพระองค์  พระเจ้าเสด็จมาในเนื้อหนังเพื่อให้มนุษย์สามารถรู้จักพระองค์ได้โดยวิถีทางแห่งพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์ และไม่มีช่วงระยะสองช่วงใดๆ ของพระราชกิจของพระองค์ที่เหมือนกัน  มนุษย์สามารถมีความรู้ที่ครบถ้วนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังได้ในหนทางนี้เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในด้านเหลี่ยมมุมหนึ่งเดียว  แม้ว่าพระราชกิจของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์สองครั้งจะแตกต่างกัน แต่แก่นสารของเนื้อหนังและแหล่งกำเนิดของพระราชกิจของเนื้อหนังทั้งสองนั้นเหมือนกัน เป็นเพียงแค่ว่าเนื้อหนังทั้งสองมีอยู่เพื่อกระทำพระราชกิจที่แตกต่างสองช่วงระยะ และเกิดขึ้นในยุคที่แตกต่างกันสองยุค  ไม่ว่าอะไรก็ตาม เนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้ามีแก่นสารเดียวกันและจุดกำเนิดเดียวกัน—นี่คือความจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

ก่อนหน้า: 6. พวกคุณให้คำพยานว่าพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และว่า พระองค์กำลังทรงแสดงความจริงทั้งมวลเพื่อการพิพากษา การชำระให้บริสุทธิ์ และความรอดของมวลมนุษย์  กระนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังกล่าวอ้างว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ที่พวกคุณเชื่อนั้นเป็นแค่บุคคลธรรมดาสามัญคนหนึ่ง  พรรคคอมมิวนิสต์จีนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับภูมิหลังครอบครัวของบุคคลผู้นี้ และได้ถึงขั้นติดประกาศภาพถ่าย ชื่อ และที่อยู่ครอบครัวของบุคคลผู้นี้ออนไลน์  ฉันไม่สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้เลย—สิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนพูดนั้นแท้จริงหรือเป็นเท็จ?

ถัดไป: 8. คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และพวกคุณก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐไปยังผู้คนของทุกศาสนาและนิกาย  ผู้คนมากมายที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงได้ไปจากคริสตจักรของพวกเขา และได้เริ่มการที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—พวกคุณไม่ใช่กำลังขโมยแกะจากคริสตจักรอื่นๆ หรอกหรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger