3. ในโลกศาสนานั้น พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสถือครองอำนาจ  พวกเขาเดินในเส้นทางของพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด และถึงแม้พวกเราติดตามพวกเขาและทำตามที่พวกเขาพูด แต่พวกเราก็เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ไม่ใช่เชื่อในพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส  เช่นนั้นแล้ว พวกคุณสามารถพูดได้อย่างไรเล่าว่าพวกเราก็เดินในเส้นทางของพวกฟาริสีด้วยเช่นกัน?  พวกคุณกำลังพูดหรือว่า พวกเราเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าที่อยู่ในศาสนาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดจริงๆ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“เขาทั้งหลายเป็นผู้นำที่ตาบอด [ของคนตาบอด] ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)

“เพราะพวกคนที่นำชนชาตินี้ได้นำเขาทั้งหลายให้หลง และคนที่ถูกพวกเขานำก็ถูกกลืนกินไป” (อิสยาห์ 9:16)

“ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้” (โฮเชยา 4:6)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่?  พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงของชีวิต  และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร  พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร?  พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์  และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับเพียงแค่พระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้  โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง  หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์  การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?  เราถามพวกเจ้าต่อไปอีกว่า  ด้วยความที่พวกเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเยซูเลยแม้แต่น้อย พวกเจ้าจะไม่ทำผิดพลาดอย่างพวกฟาริสีในช่วงยุคเริ่มแรกได้อย่างง่ายดายสุดขีดหรอกหรือ?  เจ้ามีความสามารถที่จะหยั่งรู้หนทางแห่งความจริงได้หรือไม่?  เจ้ามีความสามารถที่จะรับประกันได้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเจ้าจะไม่ต่อต้านพระคริสต์?  เจ้ามีความสามารถที่จะติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  หากเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าจะต่อต้านพระคริสต์หรือไม่ เช่นนั้นแล้วเราพูดเลยว่าเจ้าก็กำลังใช้ชีวิตหมิ่นเหม่ใกล้ความตายแล้ว  ผู้ที่ไม่รู้จักพระเมสสิยาห์ต่างสามารถที่จะต่อต้านพระเยซู ปฏิเสธพระเยซู ใส่ร้ายป้ายสีพระองค์  ผู้คนที่ไม่เข้าใจพระเยซูล้วนสามารถที่จะปฏิเสธพระองค์และประณามพระองค์  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถมองเห็นการทรงกลับมาของพระเยซูว่าเป็นการหลอกลวงของซาตาน และผู้คนเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้นจะพากันกล่าวโทษพระเยซูผู้ที่ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนัง  ทั้งหมดนี้ไม่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกกลัวหรือ?  พวกเจ้าจะเผชิญกับการหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความย่อยยับที่พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีต่อคริสตจักรทั้งหลาย และการบอกปัดทุกสิ่งที่พระเยซูทรงแสดงออก  เจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดจากพระเยซูหรือ หากพวกเจ้ามึนงงสับสนถึงเพียงนี้?  พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจพระราชกิจของพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงกลับมาสู่เนื้อหนังบนเมฆขาวได้อย่างไร หากพวกเจ้าปฏิเสธอย่างหัวดื้อไม่ยอมที่จะตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเจ้า?  เราขอบอกพวกเจ้าถึงสิ่งนี้ว่า ผู้คนที่ไม่ได้รับความจริง แต่ยังรอการเสด็จมาถึงของพระเยซูบนเมฆขาวอย่างหูหนวกตาบอด จะหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน และพวกเขาคือหมวดหมู่ที่จะถูกทำลาย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว

จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยจินตนาการของพวกเขาเอง  พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา  หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ?  จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง  พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเองและหลอกลวงผู้คนเหล่านั้น  ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา  เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา”  มนุษย์เป็นสื่อกลางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา นั่นมิใช่ปัญหาหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า?  พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ?  ผู้คนเช่นนี้เป็นจำพวกเดียวกันกับเปาโล…

ก่อนหน้านั้น บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าอาจจะได้ติดตามบุคคลผู้หนึ่ง หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า ในช่วงระยะสุดท้ายนี้ พวกเขาจะได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หากรากฐานของเจ้าคือการที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับช่วงระยะแห่งพระราชกิจนี้ แต่เจ้าก็ยังคงติดตามบุคคลผู้หนึ่งต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่อาจได้รับการอภัยได้ และจะมีจุดจบเช่นเดียวกับที่เปาโลมี

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ผู้คนบางคนไม่ได้ชื่นบานในความจริง นับประสาอะไรกับคำพิพากษา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับชื่นบานในอำนาจและความมั่งคั่ง ผู้คนเช่นนั้นเรียกกันว่าผู้แสวงหาอำนาจ พวกเขาค้นหาเฉพาะบรรดานิกายในโลกที่มีอิทธิพล และพวกเขาก็ค้นหาเฉพาะบรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งหลาย แม้ว่าพวกเขาจะได้ยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว พวกเขาก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาได้ทั้งหมด ปากของพวกเขาพูดถึงการสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่บรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่ได้ชายตามองมาที่พระคริสต์อีกเลย หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ความมีโชคและความรุ่งโรจน์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะสามารถพิชิตได้มากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นจะสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกนอกสายตาเหล่านี้ท่ามกลางฝุ่นและกองขยะจะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนเช่นนั้นคือวัตถุแห่งความรอดของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นแล้วสวรรค์และโลกก็คงจะกลับด้านกัน และผู้คนทุกคนก็คงจะหัวเราะจนท้องแข็ง พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนอกสายตานั้นเพื่อที่จะทำให้มีความเพียบพร้อมถ้าอย่างนั้นแล้วบรรดามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าไปเสียเอง มุมมองของพวกเขานั้นด่างพร้อยไปด้วยการไม่เชื่อเกินกว่าที่กำลังไม่เชื่อ พวกเขาเป็นแค่สัตว์ป่าที่วิปริตผิดแปลก เพราะว่าพวกเขาเห็นคุณค่าเฉพาะสถานภาพเกียรติยศและอำนาจเท่านั้น และพวกเขาก็เคารพนับถือเฉพาะบรรดากลุ่มและนิกายใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความนับถือสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระคริสต์แม้แต่น้อย พวกเขาเป็นแค่เหล่าคนทรยศที่หันหลังให้กับพระคริสต์ กับความจริง และกับชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีตำแหน่งอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปัญญาของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนัง คำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น  นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น  ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้าและไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราพูดเลยว่า ผู้คนทุกคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของความจริงคือพวกที่ไม่เชื่อและพวกที่หักหลังความจริง  พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์  บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด? เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้วเจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ  เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดาผู้ที่ไม่มีการหยั่งรู้จะนำพวกเขาไปสู่ความย่อยยับในมือของคนชั่ว พวกเขาจะถูกล่อลวงออกไปโดยคนชั่วเหล่านั้น ไม่มีวันจะคืนกลับมา  และการบำบัดเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ เพราะพวกเขาไม่รักความจริง เพราะพวกเขาไม่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงได้ เพราะพวกเขาติดตามผู้คนที่ชั่วร้ายและยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกับผู้คนที่ชั่วร้าย และเพราะพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้คนที่ชั่วร้ายและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า  พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าสิ่งที่ผู้คนชั่วร้ายเหล่านั้นแผ่ออกมาคือความชั่ว ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังทำหัวใจให้แข็งกระด้างและหันหลังให้กับความจริงเพื่อติดตามพวกเขา  ผู้คนเหล่านี้ผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติความจริงแต่ปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่ทำลายล้างและน่ารังเกียจไม่ได้กำลังกระทำความชั่วกันทุกคนหรอกหรือ?  ถึงแม้ว่าท่ามกลางพวกเขาจะมีบรรดาผู้ที่แต่งลักษณะของตนเองเสมือนเป็นกษัตริย์ และคนอื่นๆ ที่ติดตามพวกเขา ธรรมชาติที่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด?  พวกเขามีข้อแก้ตัวอะไรได้บ้างที่อ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม?  มิใช่ความชั่วของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังทำลายพวกเขา?  มิใช่ความเป็นกบฏของพวกเขาเองหรอกหรือที่กำลังลากพวกเขาลงไปในนรก?  ผู้คนที่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะได้รับการช่วยให้รอดและถูกทำให้มีความเพียบพร้อมเนื่องจากความจริง  บรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงนั้น ในที่สุดจะนำการทำลายล้างมาสู่ตัวพวกเขาเองเนื่องจากความจริง  เหล่านี้คือบทอวสานที่รอคอยบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงและพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติความจริงอยู่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

มันคงจะดีที่สุดสำหรับบรรดาผู้คนที่อ้างว่าติดตามพระเจ้าในการที่จะเปิดตาของตนและมองให้ดีเพื่อให้เห็นว่าใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อ กล่าวคือ จริงแท้หรือที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในซาตาน?  หากเจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นรูปเคารพของเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่อ้างว่าเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง  หากเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าใครที่เจ้าเชื่อแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็อีกเช่นเคย มันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ได้อ้างว่าเป็นผู้เชื่อ  การพูดเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นศาสนา!  ไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า  จงอย่าพูดว่าพวกเจ้าเชื่อในเรา เราเลิกทนกับการพูดเช่นนั้นแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อคือรูปเคารพในหัวใจของพวกเจ้าและบรรดาอันธพาลประจำถิ่นในหมู่พวกเจ้า  พวกที่ส่ายหน้าของตนเมื่อได้ยินความจริง ผู้ที่แสยะยิ้มเมื่อได้ยินการพูดถึงความตาย ล้วนเป็นลูกหลานของซาตาน และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะถูกกำจัดไป  หลายคนในคริสตจักรไม่มีการหยั่งรู้  เมื่อมีบางสิ่งที่ลวงตาเกิดขึ้น พวกเขาจะยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาถึงขั้นมีความขุ่นเคืองกับการถูกเรียกว่าสมุนของซาตาน  แม้ว่าผู้คนอาจจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีการหยั่งรู้ พวกเขาก็มักจะยืนอยู่ในฝ่ายที่ปราศจากความจริง พวกเขาไม่เคยยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงในยามวิกฤติเลย  พวกเขาไม่เคยยืนหยัดและโต้แย้งเพื่อความจริงเลย  พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างจริงแท้หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยพูดสักคำหนึ่งที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนความจริง?  สถานการณ์นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสับสนเพียงชั่วขณะของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ?  ยิ่งผู้คนมีการหยั่งรู้น้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงน้อยลงเท่านั้น  การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร?  มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนที่ปราศจากการหยั่งรู้นั้นรักความชั่ว?  มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานที่จงรักภักดีของซาตาน?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานและพูดภาษาของมันได้ตลอดเวลา?  ทุกคำพูดและการกระทำของพวกเขา การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ล้วนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ประเภทใดเลยของผู้ที่รักความจริง ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง  การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานได้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซาตานนั้นรักมารตัวน้อยเหล่านี้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตของตนต่อสู้เพื่อประโยชน์ของซาตาน  ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดอย่างท่วมท้นหรอกหรือ?  หากเจ้าคือบุคคลหนึ่งที่รักความจริงอย่างจริงแท้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง และเหตุใดเจ้าจึงติดตามพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงทันทีที่พวกเขามองมาเพียงนิดเดียว?  นี่เป็นปัญหาประเภทใดกันแน่?  เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีการหยั่งรู้หรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าได้จ่ายไปในราคาแพงเท่าใด เราไม่ใส่ใจว่ากำลังบังคับของเจ้าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน และเราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะเป็นอันธพาลประจำถิ่นหรือว่าเป็นผู้นำที่ถือธง  หากกำลังบังคับของเจ้ายิ่งใหญ่ นั่นก็เป็นเพียงด้วยความช่วยเหลือจากพละกำลังของซาตาน  หากศักดิ์ศรีของเจ้าสูงส่ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่รอบตัวเจ้ามากเกินไป  หากเจ้ายังไม่ถูกขับไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับงานแห่งการขับไล่ แต่ทว่า นี่เป็นเวลาแห่งงานของการกำจัด  ไม่มีความรีบร้อนที่จะขับไล่เจ้าในตอนนี้  เราเพียงแค่กำลังรอคอยวันที่เราจะลงโทษเจ้าหลังจากที่เจ้าได้ถูกกำจัดไปแล้ว  ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

ไม่สำคัญว่ามีผู้คนเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใด แต่ทันทีที่การเชื่อของพวกเขาถูกพระองค์ทรงนิยามว่าเป็นการเชื่อของศาสนาหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  ในผู้คนแก๊งหนึ่งหรือฝูงหนึ่งที่ปราศจากพระราชกิจและการทรงนำของพระเจ้า และที่ไม่นมัสการพระองค์เลย พวกเขานมัสการผู้ใด?  พวกเขาติดตามผู้ใด?  ในรูปแบบและในนาม พวกเขาติดตามบุคคลหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาติดตามผู้ใด?  ลึกลงไปพวกเขายอมรับรู้พระเจ้า แต่อันที่จริง พวกเขาอยู่ภายใต้การบงการ การจัดการเตรียมการ และการควบคุมของมนุษย์  พวกเขาติดตามมารซาตาน พวกเขาติดตามกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า และที่เป็นศัตรูของพระองค์  พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนหมู่หนึ่งเช่นผู้คนพวกนี้ให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใด?  พวกเขาสามารถกลับใจใหม่ได้หรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาไม่สามารถกลับใจใหม่ได้  พวกเขาโบกธงแห่งความเชื่อ ดำเนินอุตสาหกิจของมนุษย์จนเสร็จสิ้น และกระทำการบริหารจัดการของพวกเขาเอง และพวกเขาวิ่งสวนทางกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์  บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาคือบทอวสานของการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ พระองค์ไม่สามารถช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดได้ พวกเขาไม่อาจสามารถกลับใจได้ พวกเขาได้ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว—พวกเขาอยู่ในกำมือของซาตานโดยสิ้นเชิง  ในความเชื่อของเจ้า จำนวนปีที่เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามีความสำคัญหรือไม่ต่อการที่เจ้าจะได้รับการยกย่องโดยพระองค์หรือไม่?  พิธีกรรมและกฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้ายึดปฏิบัติตามสำคัญหรือไม่?  พระเจ้าทรงมองวิธีการปฏิบัติของผู้คนหรือไม่?  พระองค์ทรงมองว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดหรือไม่?  พระองค์ได้ทรงเลือกมวลมนุษย์ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว พระองค์ทรงวัดอย่างไรว่าพวกเขาสามารถและควรได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  พระองค์ทรงวางการตัดสินใจนี้บนพื้นฐานของเส้นทางต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้เดิน…ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง หรือเจ้าได้เข้าใจความจริงมากเพียงใด หากในที่สุดเจ้ายังคงติดตามพวกมนุษย์และซาตาน และในท้ายที่สุด หากเจ้ายังคงไม่สามารถติดตามหนทางของพระเจ้าได้ และไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นนี้ก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ  เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเช่นนี้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย และอาจได้มาเข้าใจความจริงมากมายแล้ว แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และไม่สามารถนบนอบอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระองค์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงนิยามพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหนึ่ง เป็นเพียงพวกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง—พวกมนุษย์แก๊งหนึ่ง—และเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับซาตาน  โดยรวมแล้วพวกเขาถูกอ้างอิงว่าเป็นแก๊งของซาตาน และผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงด้วยการยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอด

พวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจึงสูญสิ้นการสถิตของพระเจ้า และนอกจากนั้น พวกเขาย่อมปราศจากพรและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า  คำพูดและการกระทำส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงยึดมั่นอยู่กับข้อพึงประสงค์ในอดีตของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  สิ่งเหล่านั้นคือหลักข้อเชื่อ ไม่ใช่ความจริง  หลักข้อเชื่อและระเบียบข้อบังคับเช่นนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าการชุมนุมกันของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากศาสนา พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรหรือเป้าหมายของพระราชกิจของพระเจ้า  สมัชชาของผู้คนทั้งหมดท่ามกลางพวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่ของศาสนา และย่อมไม่สามารถเรียกว่าคริสตจักร  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  พวกเขาไม่มีพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่พวกเขาทำดูเหมือนชวนให้นึกถึงศาสนา สิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตดูเหมือนเต็มแน่นไปด้วยศาสนา  พวกเขาไม่มีการสถิตและพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับการบ่มวินัยหรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นซากศพที่ไร้ชีวิต และเป็นหนอนแมลงวันที่ไร้ความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณ  พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการกบฏและการต่อต้านของมนุษย์ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำชั่วทั้งหมดของมนุษย์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าและน้ำพระทัยในปัจจุบันของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้คนต่ำช้าที่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาเป็นคนทรามที่ไม่สมควรจะเรียกว่าผู้เชื่อ!  ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำส่งผลถึงการบริหารจัดการของพระเจ้า และมันยิ่งไม่สามารถทำให้แผนการของพระเจ้าด้อยคุณค่าลงได้  คำพูดและการกระทำของพวกเขาน่าขยะแขยงเกินไป น่าสมเพชเกินไป และไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเลย  สิ่งที่กระทำโดยพวกที่ไม่อยู่ในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาย่อมปราศจากวินัยแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนอกจากนั้นย่อมปราศจากความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  เพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ไม่มีความรักให้กับความจริง และเป็นผู้ที่ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรังเกียจและปฏิเสธ  พวกเขาถูกเรียกว่าคนทำชั่ว เพราะพวกเขาเดินในเนื้อหนังและทำสิ่งใดๆ ก็ตามที่ทำให้พวกเขาพอใจภายใต้แผ่นป้ายโฆษณาถึงพระเจ้า  ขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พวกเขาก็จงใจเป็นศัตรูกับพระองค์ และวิ่งไปคนละทิศทางกับพระองค์  ความล้มเหลวของมนุษย์ในการร่วมมือกับพระเจ้าจึงเป็นกบฏอย่างสูงสุดในตัวมันเอง ดังนั้น ผู้คนเหล่านั้นที่จงใจวิ่งในทางตรงข้ามกับพระเจ้าจะไม่ได้รับการลงทัณฑ์ที่ยุติธรรมของพวกเขาโดยเฉพาะหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่ตรัสโดยพระคริสต์คือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งนำพามาโดยพระคริสต์เป็นคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดไปตลอดกาล  พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้  อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์  เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้  พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้  พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้  หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้  เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก  และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์  บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน  เรายังบอกเจ้าอีกว่าหากเจ้าต่อต้านพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย หากเจ้าเหยียดหยันพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย จะไม่มีใครอื่นอีกที่จะแบกรับผลสืบเนื่องแทนเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น นับจากวันนี้ไปเจ้าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วที่จะได้รับการรับรองจากพระเจ้า ต่อให้เจ้าพยายามไถ่บาปให้แก่ตัวเจ้าเองก็ตาม เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกแล้ว  เพราะสิ่งที่เจ้าต่อต้านนั้นไม่ใช่มนุษย์ สิ่งที่เจ้าเหยียดหยันนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ อ่อนแอบางอย่าง แต่เป็นพระคริสต์  เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลสืบเนื่องของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร?  เจ้าจะไม่ได้ทำความผิดพลาดเล็กๆ แต่จะได้ก่ออาชญากรรมอันชั่วร้าย  และดังนั้นเราจึงแนะนำทุกคนไม่ให้แสดงอาการแยกเขี้ยวข่มขู่เมื่ออยู่ต่อหน้าความจริง หรือทำการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ระมัดระวัง เพราะความจริงเท่านั้นที่สามารถนำชีวิตมาสู่เจ้าได้ และไม่มีอะไรเว้นแต่ความจริงที่สามารถเปิดโอกาสให้เจ้าเกิดใหม่และได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้าอีกครั้ง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้

ก่อนหน้า: 2. พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี พวกเขามีความรู้อย่างสูงเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และความเชื่อของพวกเขานั้นก็อยู่เหนือความเชื่อของพวกเรา ดังนั้นแล้ว ในความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา พวกเราควรรับฟังพวกเขา  พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า แต่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ไม่ยอมรับการนี้ และไปไกลถึงขึ้นต่อต้านและกล่าวโทษการนี้  เมื่อเป็นดังนั้น พวกเราก็ไม่สามารถยอมรับได้เช่นกัน

ถัดไป: 1. รัฐธรรมนูญจีนระบุเงื่อนไขอย่างชัดเจนในเรื่องอิสรภาพแห่งการเชื่อทางศาสนา  การเชื่อในพระเจ้านั้นเป็นหลักธรรมอันมิอาจปรับเปลี่ยนได้ ความเชื่อนี้เป็นไปตามเหตุผลและสอดคล้องกับกฎหมาย  ดังนั้นแล้ว ทำไมเล่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงโจมตี ปราบปราม และพยายามที่จะกำจัดการเชื่อทางศาสนาให้หมดสิ้น อันเป็นการตัดขาดประชาชนจีนจากสิทธิของพวกเขาที่มีต่ออิสรภาพแห่งการเชื่อ?  ทำไมมันจึงปฏิบัติต่อเหล่าคริสตชนเหมือนเป็นอาชญากรตัวยง โดยใช้วิถีทางแบบปฏิวัติทำการปราบปราม ข่มเหง และกระทั่งทรมานพวกเขาจนถึงแก่ความตาย?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger