3. พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของโลกศาสนาล้วนรับใช้พระเจ้าอยู่ในคริสตจักร  พวกเขาน่าจะต้องระแวดระวังและใส่ใจในการรอคอยการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ดังนั้นแล้ว ทำไมพวกเขาจึงไม่เพียงเจาะลึกหรือแสวงหาให้พบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยแทบไม่ต้องอาศัยความพยายามอะไรเลยเท่านั้น แต่กลับกระจายข่าวลือ ทำการตัดสิน และกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพยายามที่จะหลอกลวงผู้เชื่อทั้งหลาย และหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้เจาะลึกหนทางที่แท้จริงแทนเล่า?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า ‘เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา’…นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์” (ยอห์น 11:47-48, 53)

“พวกท่านก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้าโดยข้อนี้ คือวิญญาณทุกดวงที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งพวกท่านได้ยินว่าจะมา และขณะนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว” (1 ยอห์น 4:2-3)

“เพราะว่ามีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก เป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนประเภทนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นศัตรูของพระคริสต์” (2 ยอห์น 1:7)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า  พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์  พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์  ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า  พวกเขาอาจดูมี “องค์ประกอบอันเพียบพร้อม” แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยเชื่อฟังพระองค์ และไม่ยอมรับพระวจนะของพระองค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลับขอให้พระเจ้าทรงนบนอบต่อเจ้าและทรงกระทำตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็คือกบฏตัวร้ายที่สุดในบรรดาทั้งหมด เจ้าก็คือผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่งนั่นเอง  ผู้คนเช่นนั้นจะเชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าซึ่งไม่ประจวบพ้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้อย่างไรกัน?  ที่เป็นกบฏที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือพวกที่เยาะเย้ยท้าทายและต้านทานพระเจ้าโดยเจตนา  พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า เป็นศัตรูของพระคริสต์  ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์  พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบต่อผู้ใด  เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น  พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง “ขุมทรัพย์” ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา  ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น “วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้” รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า  พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา  ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ “อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้” ของตนอย่างกร้าวแกร่ง  ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย  พวกเขากลายเป็น “กษัตริย์” ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า  ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราสามารถยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไรกันเล่า?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน

ในกาลที่พระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การวัดว่ามนุษย์ต่อต้านพระเจ้าหรือไม่นั้นมีพื้นฐานจากการที่มนุษย์นมัสการและชื่นชมบูชาพระเจ้าผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตาบนสวรรค์หรือไม่  การต่อต้านพระเจ้าซึ่งมีการให้คำนิยามในเวลานั้น ไม่เป็นไปในวิถีทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากนัก เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าพระฉายาของพระเจ้าเป็นอย่างไร หรือพระองค์ทรงพระราชกิจและตรัสอย่างไร  มนุษย์ไม่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลยไม่ว่าอะไรก็ตาม และเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างคลุมเครือเพราะพระเจ้ายังไม่เคยปรากฏต่อมนุษย์  ดังนั้น ไม่สำคัญว่ามนุษย์ได้เชื่อในพระเจ้าในจินตนาการของเขาอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็มิได้ทรงกล่าวโทษมนุษย์หรือทรงเรียกร้องจากเขามากเกินไปนัก เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง  ครั้นพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทุกคนมองเห็นพระองค์และได้สดับตรับฟังพระวจนะของพระองค์ และทั้งหมดมองเห็นกิจการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจจากภายในกายมนุษย์ของพระองค์  ณ ขณะนั้นเอง มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทุกคนจึงปลาสนาการไป  สำหรับผู้ที่เคยเห็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์แล้วนั้น พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวโทษหากพวกเขาเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ ในขณะที่พวกซึ่งยืนต้านพระองค์อย่างมีจุดประสงค์จะถูกถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า  ผู้คนดังกล่าวคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นศัตรูที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า  

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

ผู้คนมากมายต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจอันหลากหลายและแตกต่างกันของพระเจ้า และนอกจากนั้นเพราะพวกเขามีความรู้และคำสอนแค่หางอึ่งที่จะใช้ประเมินพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มิใช่หรือ?  แม้ว่าประสบการณ์ต่างๆ ของผู้คนเช่นนี้จะผิวเผิน แต่พวกเขาก็โอหังและหลงใหลในธรรมชาติ และพวกเขาคำนึงถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการเหยียดหยาม เพิกเฉยต่อการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยิ่งกว่านั้นใช้ข้อโต้แย้งเก่าๆ ไร้สาระของพวกเขาเพื่อ “ยืนยัน” พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขายังเล่นละครตบตาอีกด้วย และหลงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการเรียนรู้และความคงแก่เรียนของตัวเอง และหลงเชื่อมั่นว่าพวกเขามีความสามารถที่จะเดินทางข้ามโลกได้  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พวกที่ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดูหมิ่นและทรงปฏิเสธหรอกหรือ และพวกเขาจะไม่ถูกยุคใหม่ขจัดสิ้นหรอกหรือ?  พวกที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย ไม่ใช่บุคคลน่าดูหมิ่นที่ไม่รู้เท่าทันและได้รับข่าวสารน้อยเกินไป ซึ่งเพียงกำลังพยายามอวดว่าพวกเขาหลักแหลมเพียงใดหรอกหรือ?  ด้วยความรู้เรื่องพระคัมภีร์เพียงน้อยนิด พวกเขาพยายามก่อจลาจลใน “สถาบันวิชาการ” ของโลก ด้วยคำสอนเพียงผิวเผินเพื่อใช้สอนผู้คน พวกเขาพยายามพลิกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพยายามทำให้พระราชกิจหมุนรอบกระบวนการขบคิดของพวกเขาเอง  เพราะพวกเขามีสายตาสั้นพวกเขาจึงพยายามมองดู 6,000 ปีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วยการชำเลืองครั้งเดียว  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับรู้ที่มีค่าคู่ควรต่อการกล่าวถึงแต่อย่างใด!  อันที่จริงยิ่งผู้คนมีความรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตัดสินพระราชกิจของพระองค์ช้าลงเท่านั้น  นอกจากนี้พวกเขาพูดถึงความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นในการตัดสินของพวกเขา  ยิ่งผู้คนรู้เรื่องพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโอหังและหลงตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งประกาศการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างหยาบคายมากขึ้นเท่านั้น—กระนั้น พวกเขาก็พูดถึงทฤษฎีเท่านั้น และไม่เสนอหลักฐานจริงแท้ใดๆ  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่าอะไรเลย  พวกที่เห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเล่นนั้นเป็นคนเหลาะแหละ!  พวกที่ไม่ระมัดระวังเมื่อพวกเขาเผชิญกับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพูดมาก ด่วนตัดสิน ผู้ซึ่งให้อิสระเต็มที่แก่อารมณ์ของพวกเขาที่จะปฏิเสธความถูกต้องของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ซึ่งดูแคลนและหมิ่นประมาทพระราชกิจด้วยเช่นกัน—ผู้คนที่ขาดความเคารพเช่นนี้ไม่ได้ขาดความรู้เท่าทันต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่โอหังอย่างหนัก ผู้คนที่ทะนงตนและไม่สามารถควบคุมได้โดยสันดานหรอกหรือ?  แม้ว่าสักวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อผู้คนเช่นนี้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา  พวกเขาไม่เพียงดูถูกพวกที่ทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังหมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เองอีกด้วย  ผู้คนที่หมดหวังเช่นนี้จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งในยุคนี้และในยุคที่จะมา และพวกเขาจะต้องพินาศในนรกตลอดกาล!  ผู้คนที่ขาดความเคารพและหลงระเริงเช่นนี้กำลังเสแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า และยิ่งผู้คนเป็นเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะล่วงเกินประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกคนโอหังเหล่านั้นผู้ซึ่งปราศจากการควบคุมแต่กำเนิด และผู้ซึ่งไม่เคยได้เชื่อฟังผู้ใด ต่างก็ไม่เดินบนเส้นทางนี้ทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ต่อต้านพระเจ้าวันแล้ววันเล่า พระเจ้าผู้ทรงใหม่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

มนุษย์เพียงสามารถยอมรับพระราชกิจประเภทหนึ่ง หรือการปฏิบัติวิธีหนึ่ง และมันยากที่มนุษย์จะยอมรับพระราชกิจ หรือวิธีปฏิบัติ ที่ขัดแย้งกับ หรือสูงส่งกว่าพวกเขา  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังทรงพระราชกิจใหม่อยู่เสมอ และดังนั้นจึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาปรากฏขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าซึ่งต่อต้านพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเพราะมนุษย์ไม่มีความรู้ว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าอย่างไร และไม่มีความรู้ในหลักการของพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ไม่มีความรู้ในวิธีมากมายที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะบอกได้ว่าเป็นพระราชกิจที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเป็นพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  ผู้คนมากมายยึดติดกับท่าทีซึ่งหากบางสิ่งบางอย่างสอดคล้องกับคำพูดที่มาก่อนหน้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะยอมรับ และหากมีความแตกต่างกับพระราชกิจก่อนหน้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะต่อต้านและปฏิเสธ  วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการเช่นนี้หรอกหรือ?…จงรู้ไว้ว่าพวกเจ้าต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า หรือใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าเองในการประเมินพระราชกิจของวันนี้ เพราะพวกเจ้าไม่รู้จักหลักการต่างๆ ของพระราชกิจของพระเจ้า และเพราะการปฏิบัติต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างหุนหันพลันแล่นของพวกเจ้า  การที่พวกเจ้าต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดจากมโนคติอันหลงผิดและความโอหังแต่กำเนิดของพวกเจ้า  ไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้านั้นผิด แต่เพราะพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเกินไปโดยธรรมชาติ  หลังจากที่พวกเขาได้พบการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนบางคนก็ถึงกับไม่สามารถพูดด้วยความมั่นใจว่ามนุษย์ได้มาจากไหน กระนั้นพวกเขากล้าที่จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเพื่อประเมินความถูกและความผิดของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาถึงกับสั่งสอนบรรดาอัครทูตที่มีพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ความคิดเห็น และแย่งกันพูด สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต่ำเกินไป และไม่มีสำนึกรับรู้ในพวกเขาแม้แต่น้อย  วันนั้นจะไม่มาถึงหรอกหรือเมื่อผู้คนเช่นนี้ถูกปฏิเสธโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกเผาด้วยไฟแห่งนรก?  พวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กลับวิจารณ์พระราชกิจของพระองค์แทน และยังพยายามอบรมพระเจ้าถึงวิธีทรงพระราชกิจอีกด้วย  ผู้คนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?  มนุษย์มารู้จักพระเจ้าในระหว่างกระบวนการแสวงหาและการมีประสบการณ์ ไม่ใช่โดยผ่านทางการวิจารณ์ตามอำเภอใจว่ามนุษย์มารู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้าของผู้คนถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต่อต้านพระองค์น้อยลงเท่านั้น  ในทางกลับกันยิ่งผู้คนรู้จักพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต่อต้านพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  มโนคติที่หลงผิดของเจ้า ธรรมชาติเก่าของเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย และทรรศนะด้านศีลธรรมของเจ้าเป็น “ทุน” ที่เจ้าใช้ในการต้านทานพระเจ้า และยิ่งศีลธรรมของเจ้าเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด คุณภาพของเจ้าน่าเกลียดน่าชังมากขึ้นเท่าใด  และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าต่ำต้อยมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกที่ถูกครอบงำโดยมโนคติที่หลงผิดอย่างแรงกล้า และที่มีอุปนิสัยเห็นตัวเองถูกเสมอจะยิ่งมีความเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์มากขึ้นไปอีก ผู้คนเช่นนี้คือศัตรูของพระคริสต์  หากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกมันก็จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีวันเข้ากันได้กับพระเจ้า และจะอยู่ห่างจากพระองค์เสมอ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

ก่อนหน้า: 2. เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของโลกศาสนานั้นล้วนแก่ประสบการณ์ในพระคัมภีร์ และบ่อยครั้งที่กล่าวอธิบายพระคัมภีร์ให้กับผู้อื่น โดยขอให้ผู้อื่นยึดติดอยู่กับพระคัมภีร์  ในการทำเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขายกระดับและให้คำพยานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ?  พวกคุณสามารถพูดได้อย่างไรว่า พวกเขากำลังหลอกลวงผู้คน ว่าพวกเขาเป็นพวกฟารีสีหน้าซื่อใจคด?

ถัดไป: 4. โลกศาสนาลนลานต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  โลกศาสนากระทำการชั่วครั้งแล้วครั้งเล่า โดยกำลังกลายเป็นกองรบอันเหนียวแน่นของพวกศัตรูของพระคริสต์  ว่าแต่ผลสุดท้ายและบทอวสานของโลกศาสนาจะเป็นสิ่งใดเล่าสำหรับการที่เชื่อในพระเจ้าแต่กำลังต่อต้านพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger