9. ความเชื่อได้มาจากการพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้น

โดย เฉิงเฉิง ประเทศอิตาลี

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม  หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทรงทำการนี้ได้  พระเจ้าจะทรงมอบสิ่งใดก็ตามที่เจ้าหวังจะได้รับให้แก่เจ้า  หากเจ้าไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะมองเห็นการกระทำของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์  เมื่อเจ้ามีความเชื่อว่าเจ้าจะมองเห็นการกระทำของพระองค์ในประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะทรงปรากฏต่อเจ้า และพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าจากภายใน  หากปราศจากความเชื่อนั้น พระเจ้าจะทรงไร้ความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้  หากเจ้าได้สูญเสียความหวังในพระเจ้าไปแล้ว เจ้าจะมีความสามารถที่จะผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ได้อย่างไรเล่า?  เพราะฉะนั้น เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อและเจ้าไม่ได้เก็บงำความคลางแคลงใจต่อพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์โดยไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด พระองค์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่เจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถมองเห็นการกระทำของพระองค์ได้  สิ่งเหล่านี้ล้วนสัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางความเชื่อ  ความเชื่อมาโดยผ่านทางกระบวนการถลุงเท่านั้น และในกรณีที่ไม่มีกระบวนการถลุง ความเชื่อก็ไม่สามารถพัฒนาขึ้นได้  คำว่า ‘ความเชื่อ’ นี้อ้างอิงถึงอะไรเล่า?  ความเชื่อคือการเชื่อที่จริงแท้และหัวใจที่จริงใจซึ่งมนุษย์ควรครองเมื่อพวกเขาไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งได้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เมื่อมันอยู่ไกลเกินเอื้อมของมนุษย์  นี่คือความเชื่อที่เราพูดถึง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)  พระวจนะของพระเจ้าบอกเราว่าการมีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้านั้นสำคัญมาก ไม่ว่าเราจะเผชิญการทดสอบแบบไหน หรือความยากลำบากของเราจะยิ่งใหญ่เพียงใด พระเจ้าก็มีพระประสงค์ให้ทุกคนเชื่อพระวจนะของพระองค์และเชื่อในพระองค์ เพื่อพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงและร่วมมือกับพระองค์ นั่นเป็นทางเดียวที่จะได้ประจักษ์ในกฎเกณฑ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและกิจการของพระองค์ผ่านประสบการณ์ ต้องขอบคุณการทรงนำของพระเจ้า ที่ทำให้ฉันได้รับประสบการณ์นี้ด้วยตัวเองมาพอควร

เช้าวันที่ 18 พฤศจิกายน ปี 2016 ฉันได้รับข้อความออนไลน์จากพี่ชายคนหนึ่งจากอิตาลี ว่าเขารู้สึกแห้งแล้งทางจิตวิญญาณและอยากรู้เรื่องของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น พอฉันได้อ่าน ฉันก็รู้สึกได้ว่าเขาถวิลหาและต้องการการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเร่งด่วน ฉันเริ่มสื่อสารกับเขาโดยใช้โปรแกรมแปลภาษา เขากำลังรู้สึกผิดหวังจากการคอร์รัปชั่นและการทุจริตในคริสตจักรคาทอลิก ก็เลยมองหาคริสตจักรแท้จริงไปทั่วมาตั้งแต่ปี 1991 เขาอ่านหนังสือของวอทช์แมน นี และวิทเนส ลีแล้วด้วย แต่ก็ไม่เคยได้รับการบำรุงเลี้ยงทางจิตวิญญาณจริงๆ เลย เขาบอกว่าการมีชีวิตอยู่โดยปราศจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเจ็บปวด ขาดความหมาย และไร้ซึ่งความหวัง เขาเห็นวิดีโอและรูปภาพบางส่วนจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ออนไลน์ แล้วก็ประทับใจในทันที เขาบอกว่ามันดูเหมือนคริสตจักรแท้จริงจริงๆ และเขาอยากศึกษาคริสตจักรนี้เพิ่มเติม พอเห็นว่าเขากำลังแสวงหาอย่างเร่งด่วนแค่ไหนจากทุกอย่างที่เขาว่ามา ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเร่งด่วนยิ่งกว่าเขาเสียอีก ฉันมีอะไรที่อยากจะบอกเขามากมายเหลือเกิน แต่ฉันอธิบายเป็นภาษาอิตาลีไม่ได้ ฉันอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เขาฟัง แต่ฉบับแปลเป็นภาษาอิตาลีก็ยังไม่ได้ตีพิมพ์ ฉันอยากให้เขาดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐบางเรื่อง แต่ภาพยนตร์เหล่านั้นก็ยังไม่มีภาคภาษาอิตาลีออกมาเหมือนกัน เขาไม่เข้าใจภาษาอื่นเลย ฉันทำได้แค่ส่งมิวสิกวิดีโอให้เขา เพราะดนตรีและการเต้นรำเป็นภาษาสากล แต่หลังจากดูแล้วเขากลับยิ่งกังวลมากขึ้นอีก และพูดแกมขอร้องว่า “หากคริสตจักรมีเว็บไซต์ภาษาอิตาลีเมื่อไรช่วยบอกผมทันทีเลยนะครับ” ท่าทีของเขาเตือนให้ฉันนึกถึงสิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสเอาไว้ว่า “เจ้าจะถ่ายทอดสิ่งที่เจ้าได้เห็นและได้รับประสบการณ์ไปสู่บรรดาผู้เชื่อที่เคร่งศาสนาซึ่งน่าสงสาร อ่อนด้อยและเปี่ยมศรัทธาผู้ซึ่งหิวกระหายความชอบธรรมและกำลังรอคอยให้เจ้ามาเป็นผู้เลี้ยงต่อพวกเขาอย่างไร?  ผู้คนประเภทไหนกันที่กำลังรอให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงต่อพวกเขา?  เจ้าพอจะจินตนาการออกไหม?  เจ้าได้ตระหนักรู้ถึงภาระบนบ่าของเจ้า พระบัญชาสำหรับเจ้า และความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่? สำนึกรับรู้แห่งภารกิจประวัติศาสตร์ของเจ้าอยู่ที่ไหน?  เจ้าจะทำหน้าที่ในฐานะของเจ้านายคนหนึ่งในยุคถัดไปอย่างพอเหมาะพอควรได้อย่างไร?  เจ้ามีสำนึกรับรู้อันแรงกล้าต่อสถานะแห่งความเป็นนายหรือไม่?  เจ้าจะอธิบายถึงเจ้านายแห่งสรรพสิ่งอย่างไร?  สิ่งนั้นคือเจ้านายเหนือสิ่งสร้างซึ่งมีชีวิตทั้งมวลและเหนือสรรพสิ่งทางกายภาพในโลกนี้จริงๆ หรือ?  แผนการของเจ้าสำหรับความก้าวหน้าของงานระยะต่อไปคืออะไร? มีผู้คนมากเพียงใดที่กำลังรอคอยให้เจ้าเป็นผู้เลี้ยงของพวกเขา?  งานของเจ้าเป็นงานหนักใช่ไหม?  พวกเขาอ่อนด้อย น่าสงสาร ตาบอดและหลงทางพลางกำลังร้องคร่ำครวญอยู่ในความมืดมิด—หนทางนั้นอยู่แห่งใด?  พวกเขาช่างโหยหาความสว่างนั้นเหลือเกิน ความสว่างซึ่งเหมือนดาวตก ที่พลันตกลงมาและขับไล่อำนาจแห่งความมืดที่บีบคั้นมนุษย์มานานหลายปีเหลือเกิน  ใครเลยจะสามารถรู้ว่าพวกเขาตั้งความหวังอย่างกระวนกระวายใจ และร่ำร้องหาสิ่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืนมากมายสักเพียงไหน?  แม้กระทั่งในวันที่ความสว่างนั้นส่องแสงวาบผ่านไปแล้ว ผู้คนที่ทุกข์ทนอย่างล้ำลึกเหล่านี้ก็ยังคงถูกจองจำอยู่ในคุกใต้ดินอันมืดมิดโดยไม่มีหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อยเลย เมื่อไรที่พวกเขาจะไม่ต้องร่ำไห้อีกต่อไป?  ที่เลวร้ายก็คือความโชคร้ายของจิตวิญญาณอันเปราะบางเหล่านี้ไม่เคยได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเลย และพวกเขาได้ถูกพันธนาการอยู่ในสภาวะนี้โดยพันธะซึ่งไร้ปรานีและประวัติศาสตร์อันเยือกเย็นเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกิน  และใครกันเล่าที่ได้สดับฟังเสียงร้องคร่ำครวญของพวกเขา?  ใครกันเล่าที่ได้มองดูสภาพอันน่าเวทนาของพวกเขา?  เจ้าเคยฉุกคิดบ้างไหมว่าพระหทัยของพระเจ้าโทมนัสและกระวนกระวายเพียงใด?  พระองค์ทรงทนเห็นมวลมนุษย์ซึ่งไร้เดียงสา ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองต้องทนทุกข์ทรมานเยี่ยงนี้ได้อย่างไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรจะเข้าร่วมภารกิจในอนาคตของเจ้าอย่างไร)  หลังจากอ่านบทตอนนี้ ฉันก็เห็นว่าพระเจ้าได้ทรงฝากฝังให้เราเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยาน แต่ถึงแม้จะมีพระประสงค์อันเร่งด่วนของพระเจ้า ฉันก็ยังรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ฉันไม่สามารถเป็นพยานให้พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้ ฉันไม่สามารถช่วยเหลือพี่ชายคนนั้น ซึ่งหลงอยู่ในความมืดและหาที่ยึดเหนี่ยวมานานหลายปี ให้ได้รับการบำรุงเลี้ยงของพระวจนะของพระเจ้าได้ ฉันรู้สึกแย่มากค่ะ ฉันแทบอยากร้องไห้ตอนที่เห็นข้อความของเขา และรู้สึกว่าฉัน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกค่ะ หากฉันถอย ก็จะทำให้การพิจารณาหนทางที่แท้จริงซึ่งเขาแสวงหาและถวิลหาอยู่นั้นล่าช้าออกไป หากฉันเดินหน้า ฉันก็จะต้องฝากความหวังไว้ที่เครื่องมือแปลที่ไม่แม่นยำเพราะฉันพูดภาษาอิตาลีไม่ได้ บางครั้งแม้แต่ประโยคง่ายๆ เครื่องมือพวกนี้ก็ยังแปลผิด คำศัพท์ทางจิตวิญญาณนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย แล้วเราจะสื่อสารกันได้อย่างไรล่ะคะ ฉันรู้สึกเหมือนถูกปิดปาก ตาของฉันเปิดกว้าง แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ฉันคิดด้วยนะคะว่าจะหาพี่น้องที่รู้ภาษาอิตาลี แต่ก็หาคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไม่ได้ ตอนนั้นฉันมืดแปดด้านจริงๆ ค่ะ และฉันคิดว่า “ฉันรู้ภาษาอิตาลีอยู่แค่ คำว่า ‘สวัสดี’ กับ ‘ลาก่อน’ เท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าฉันจะพยายามแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางเป็นพยานให้พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้” ฉันรู้สึกสลดจริงๆ ค่ะ

รุ่งเช้าวันต่อมา ฉันได้รับข้อความจากเขาว่า สิ่งแรกสุดที่เขาคิดถึง ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาก็คือจะถามฉันเรื่องคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาคอยส่งข้อความหาฉันทำให้ฉันกังวลจริงๆ ค่ะ ฉันรีบกล่าวอธิษฐานอย่างเร่งด่วนว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่เคยเรียนภาษาอิตาลี และข้าพระองค์ไม่รู้จริงๆ ว่าจะแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่ชายคนนี้อย่างไร พระเจ้า โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ก็ผุดขึ้นในใจฉันค่ะ “เจ้าต้องมีความเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเชื่อว่าเหล่ามนุษย์นั้นก็แค่กำลังร่วมมือกับพระองค์  หากหัวใจของเจ้านั้นจริงใจ พระเจ้าจะทอดพระเนตรเห็น และพระองค์จะทรงเปิดกว้างเส้นทางทั้งหมดสำหรับเจ้า อันเป็นการทำให้ความลำบากยากเย็นทั้งหลายนั้นไม่ลำบากยากเย็นอีกต่อไป  นี่เองคือความเชื่อที่เจ้าต้องมี(“การเข้าสู่ชีวิตสำคัญที่สุดต่อความเชื่อในพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งอันใดในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ตราบเท่าที่เจ้าใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้าและใส่หัวใจของเจ้าเข้าไปในการนั้น  พระเจ้าจะไม่ทรงทำให้สิ่งทั้งหลายนั้นลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า หรือบังคับเจ้าให้ทำในสิ่งที่เจ้าไม่มีความสามารถที่จะทำได้(“การเข้าสู่ชีวิตสำคัญที่สุดต่อความเชื่อในพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การอ่านบทตอนนี้เสริมความเชื่อและความกล้าหาญของฉันค่ะ เป็นความจริงที่ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และทุกสรรพสิ่งเป็นไปได้กับพระองค์ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการจากเราที่สุดเมื่อเราประสบความยากลำบากคือความจริงใจและความร่วมมือ ให้เราเชื่อใจและพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง และทำดีที่สุดเพื่อทำงานกับพระองค์ แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ของเรา แต่เมื่อฉันเผชิญปัญหาแบบนั้น ฉันก็ตระหนักว่า พระเจ้าไม่มีที่ในหัวใจของฉันเลย ฉันกำลังใช้ชีวิตอยู่ในมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของฉันเอง คิดไปว่าในเมื่อฉันไม่สามารถพูดภาษาอิตาลีได้ ฉันก็ไม่สามารถสื่อสารตามปกติกับพี่คนนั้นได้ ฉันจึงไม่มีทางเป็นพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ ฉันกลายเป็นติดหล่มอยู่ในความยากลำบากนี้ รู้สึกเชิงลบและสงวนท่าที แล้วแบบนั้นฉันจะได้รับการทรงนำของพระเจ้าและประจักษ์ในกิจการของพระองค์ได้อย่างไร ฉันจำเป็นต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงและทำทุกอย่างเต็มความสามารถเพื่อร่วมมือกับพระองค์ และเชื่อใจว่าพระองค์จะทรงเปิดเส้นทางให้แก่ฉันค่ะ ด้วยชุดความคิดแบบนั้น ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีข้อพระคัมภีร์ภาษาอิตาลีบางบทที่ฉันรวบรวมไว้ สองคืนก่อนการเผยพระวจนะพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายค่ะ ฉันคิดว่าฉันสามารถใช้ข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นสื่อสารกับพี่คนนั้นได้ ดังนั้น เช้าวันหนึ่งฉันก็ส่งข้อพระคัมภีร์พวกนั้นไปให้เขาเพื่อช่วยในการสื่อสารของเรา บ่ายวันนั้นฉันก็ต้องประหลาดใจอย่างน่ายินดี ที่เห็นว่าตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง ความล้ำลึกของความเลื่อมใสในศาสนา ภาคภาษาอิตาลีเผยแพร่ออกมาแล้ว ฉันส่งให้เขาทันทีเลยค่ะ ต่อมาเขาพูดว่าเขาเข้าใจ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงการเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาถามฉันอย่างตื่นเต้นว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาหรือยังครับ พระองค์อยู่ที่เมืองจีนหรือเปล่า ตอนนี้พระนามของพระองค์คืออะไรครับ” ในจังหวะนั้น ฉันรู้สึกเหมือนเขาเป็นแกะหลงทางที่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกของผู้เลี้ยงแกะ และมองหาที่มาของเสียงนั้นไปทั่ว ฉันกลั้นน้ำตาเขียนกลับไป “พระนามของพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ และพระองค์คือสิ่งที่เผยพระวจนะไว้ในวิวรณ์ ‘พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด(วิวรณ์ 1:8)”  ณ จุดนี้ ฉันเห็นว่ากฎเกณฑ์ของพระเจ้าทุกระยะเรียงต่อกันอย่างเหมาะเจาะแค่ไหน ฉันไม่รู้ภาษาอิตาลีนอกจากคำทักทายง่ายๆ สองสามคำ แต่ประสบการณ์นี้ให้ความตระหนักรู้ที่ลึกล้ำแก่ฉัน ว่าฉันได้สื่อสารกับพี่คนนั้นอย่างราบรื่นผ่านการทรงนำของพระเจ้า และฉันได้เห็นผลลัพธ์บางอย่างด้วยซ้ำไป ฉันเห็นว่าทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เห็นว่าเราควรเชื่อใจและพึ่งพิงพระเจ้าอย่างแท้จริง และทำงานกับพระองค์อย่างหมดหัวใจ

ฉันเผชิญการทดสอบอีกบทหนึ่งหลังจากนั้น พี่คนนี้ถามฉันเสมอ ว่าเมื่อไรฉันจะให้คำพยานเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าแก่เขา ฉันก็อยากอยู่เหมือนกันแหละค่ะ แต่เรายังมีกำแพงภาษาอยู่เหมือนเดิม และฉันก็ยังไม่สามารถหาพี่น้องมาช่วยได้สักคน หากฉันหาผู้ไม่เชื่อมาแปล พวกเขาก็จะไม่เข้าใจคำทางจิตวิญญาณและอาจจะทำงานได้ไม่ดี พอคิดถึงปัญหาเหล่านี้ ฉันก็หมดหวัง ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฉันเป็นเหมือนหนูติดจั่น ฉันเรียกหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “โอ้พระเจ้า มือของข้าพระองค์ถูกมัดไว้ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และข้าพระองค์ไม่รู้ ว่าข้าพระองค์ควรจะเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ โปรดทรงนำข้าพระองค์และทรงเปิดเส้นทางให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันนึกถึงเรื่องที่โมเสสข้ามทะเลแดง โมเสสเผชิญอุปสรรคทุกรูปแบบในขณะที่เขานำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ แต่เขาไม่เคยเสื่อมศรัทธาในพระเจ้า เขาอธิษฐานและร่วมมือกับพระเจ้า และได้ประจักษ์ในการอัศจรรย์ของพระเจ้ามากมาย หากไม่มีทะเลแดงและกองทัพที่ไล่ตามพวกเขา และหากเขาไม่ได้ใช้เวลา 40 ปีในทะเลทราย โมเสสจะมีความเชื่อและประจักษ์แบบนั้นได้อย่างไร หากไม่ได้เผชิญอุปสรรคเหล่านั้นในหน้าที่ ฉันจะได้รับความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าได้อย่างไร นี่ยังไม่รวมว่าฉันไม่ได้เผชิญกับอะไรอย่างการข้ามทะเลแดงนะคะ และตั้งแต่ฉันพบพี่คนนั้นออนไลน์ พระเจ้าก็ได้ทรงเปิดเส้นทางให้ฉันเสมอ และฉันได้ประจักษ์ในกิจการอัศจรรย์ของพระองค์มากมาย ฉันรู้ว่าฉันควรเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นและพึ่งพาพระองค์มากขึ้น พอคิดถึงตรงนี้ฉันก็ตระหนักขึ้นมา ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์จะทรงทำให้ความเชื่อและการพึ่งพาพระองค์ของฉันเพียบพร้อมผ่านความยากลำบากเหล่านี้ เพื่อให้ฉันมีความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น ถึงกฎอันทรงฤทธานุภาพของพระเจ้าผ่านประสบการณ์จริงของฉัน พอฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ฉันก็ไม่สงสัยเลยว่าพระเจ้าจะทรงเปิดเส้นทางให้ฉัน เรานัดวันพบกันออนไลน์ และพี่น้องชายหญิง ก็จัดการเตรียมการให้น้องสาววัย 15 ปีที่เคยเรียนภาษาอิตาลีมาช่วยเป็นล่ามให้ ฉันได้ยินว่าน้องสาววัย 15 ปีจะช่วยเป็นล่ามให้ ฉันคิดถึงตัวเองและน้องสาวอ่อนวัยคนนั้น ตอนนั้นฉันอายุน้อยมาก ยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้ามานานนัก และไม่เคยประกาศข่าวประเสริฐเลย ให้เด็กอายุน้อยขนาดนี้มาช่วยประกาศข่าวประเสริฐมันจะได้เรื่องหรือ ฉันรู้สึกไม่แน่ใจจริงๆ ค่ะ แต่พอฉันฟังน้องสาวคนนี้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นภาษาอิตาลีอย่างคล่องแคล่ว และเธอพูดว่าตัวเองจดจำคำใหม่ๆ ได้ทันที ฉันทั้งประหลาดใจและละอายใจระคนกัน พระเจ้าได้ทรงรวบรวมคนที่เหมาะสมทั้งหมดสำหรับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐแล้วค่ะ เรื่องนี้เตือนฉันให้นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เมื่อข้อผูกพันหรือสัญญาหนึ่งถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งจะทำหน้าที่เพื่อการทำให้ข้อผูกพันหรือสัญญานั้นลุล่วง และถูกยักย้ายเพื่อประโยชน์ของการทำให้ข้อผูกพันหรือสัญญานั้นลุล่วง สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงถูกจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง โดยแสดงบทบาทตามลำดับของพวกมัน และปฏิบัติหน้าที่ตามลำดับของพวกมัน นี่คือการสำแดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)  ผ่านประสบการณ์นั้น ฉันเห็นว่า พระเจ้าจะทรงนำฉันตราบเท่าที่ฉันพึ่งพิงพระองค์ด้วยความจริงใจ และฉันจะเห็นกิจการอัศจรรย์ของพระองค์

หลังจากได้น้องสาวคนนี้มาเป็นล่าม ในที่สุดฉันก็สามารถสื่อสารเป็นปกติกับพี่ชายคนนั้นได้ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยละค่ะ แต่ก่อนที่ฉันจะรู้ ฉันก็ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะพึ่งพิงพระเจ้าขนาดนั้น และน้องสาวคนนั้นก็เกิดติดธุระสำคัญจนไม่สามารถช่วยแปลให้ได้อีกต่อไป พอได้ข่าวฉันก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลม ฉันยังมีเรื่องที่อยากจะบอกพี่ชายคนนั้นเยอะมาก เขาจะได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริง แต่ไม่มีล่ามฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย แล้วฉันก็ได้ยินว่ามีคนที่กำลังแสวงหาหนทางที่แท้จริง ถูกข่าวลือที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนและชุมชมศาสนาแพร่กระจายชี้นำให้หลงผิด พวกเขาจึงไม่กล้าตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป ฉันกลัวว่าหากเขาไม่ได้รับการรดน้ำทันเวลา พี่น้องชาวอิตาลีคนนี้จะถูกขัดขวางเหมือนกัน ฉันรู้สึกไร้อำนาจและไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะทำอย่างไร แต่แล้ววันหนึ่ง ฉันก็เห็นพี่ชายคนนั้นแชร์ที่เพจของเขาเองว่า “เพื่อนๆ พี่น้องชายหญิง พระเยซูคริสต์ทรงกลับมาแล้ว!  จงยินดีเถอะ!” พอเห็นเขาโพสต์แบบนั้นฉันก็กังวลมาก เพราะเขามีเพื่อนในวงศาสนามากกว่า 3,000 คน หากมีแค่สองสามคนที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ที่สามารถนำเขาให้หลงผิดและก่อกวนเขาได้ละก็ เขาจะทำอย่างไร ฉันรู้สึกหวั่นใจ จึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “โอ้พระเจ้า หากไม่มีล่าม พี่ชายคนนี้ก็ไม่สามารถได้รับการรดน้ำทันทีได้ และข้าพระองค์กลัวว่าเขาจะห่างหายไปหลังจากถูกข้อโต้แย้งของคนอื่นนำให้หลงผิด ข้าพระองค์ควรได้รับประสบการณ์ พระวจนะของพระองค์และเรียนรู้บทเรียนในสถานการณ์นี้อย่างไร โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐานฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ค่ะ “ผู้คนใช้ส่วนใหญ่ของเวลาของพวกเขาไปกับการดำรงชีวิตในสภาวะแห่งความไม่รู้สึกตัว  พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาควรพึ่งพาพระเจ้าหรือตัวพวกเขาเอง  เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงโน้มเอียงที่จะเลือกพึ่งพาตัวพวกเขาเองและภาวะกับสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่เป็นประโยชน์รอบตัวพวกเขา ตลอดจนพึ่งพาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นข้อได้เปรียบต่อพวกเขา  นี่คือสิ่งที่ผู้คนทำได้ดีที่สุด  สิ่งที่พวกเขาทำได้แย่ที่สุดคือการพึ่งพาพระเจ้าและการนิยมบูชาพระองค์ เพราะพวกเขารู้สึกว่าการทำเช่นนั้นเป็นการรบกวนมากเกินไป  พวกเขารู้สึกว่าการนิยมบูชาพระเจ้านั้นไม่ปรากฏแก่ตาและไม่สามารถแตะต้องได้ การทำเช่นนั้นคลุมเครือและไม่เป็นจริงยิ่งนัก  ด้วยเหตุนี้ ในแง่มุมนี้ของบทเรียนของพวกเขา ผู้คนปฏิบัติสิ่งที่แย่ที่สุด และการเข้าสู่การนั้นของพวกเขาคือสิ่งที่ตื้นเขินที่สุด  หากเจ้าไม่เรียนรู้วิธีนิยมบูชาและพึ่งพาพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันเห็นพระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวเจ้า ทรงนำเจ้า หรือให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า  หากเจ้าไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วคำถามทั้งหลาย อาทิ ‘พระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่และพระองค์ทรงนำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของมวลมนุษย์หรือไม่’ ก็ย่อมจะจบลงในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของเจ้าด้วยเครื่องหมายคำถามแทนที่จะเป็นเครื่องหมายมหัพภาคหรืออัศเจรีย์  ‘พระเจ้าทรงนำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของมวลมนุษย์หรือไม่?’  ‘พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์หรือไม่?’  ด้วยเหตุผลใดเจ้าจึงทำให้เหล่านี้เป็นประโยคคำถาม?  หากเจ้าไม่พึ่งพาหรือนิยมบูชาพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะก่อให้เกิดความเชื่อจริงแท้ในพระองค์ได้  หากเจ้าไม่สามารถก่อให้เกิดความเชื่อจริงแท้ในพระองค์ เช่นนั้นแล้วสำหรับเจ้า เครื่องหมายคำถามเหล่านั้นจะอยู่ตรงนั้นไปตลอดกาล เคียงข้างกันไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำ และจะไม่มีมหัพภาคเลย(“บรรดาผู้เชื่อต้องเริ่มต้นโดยการมองกระแสนิยมชั่วของโลกให้ทะลุปรุโปร่ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าปลุกฉันให้ตื่น และในที่สุดฉันก็รู้ตัวว่าฉันหลงลืมพระเจ้าอีกแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงจัดวางให้ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ฉันรู้สึกหมดหนทาง ที่ฉันไม่สามารถสื่อสารได้และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ฉันเห็นพระเจ้าเป็นที่ยึดเหนี่ยวชีวิตของฉัน แต่เมื่อปัจจัยแวดล้อมเป็นใจและมีคนที่เหมาะสม ฉันก็พึ่งพาคนอื่นๆ ทันที เพราะฉันรู้สึกว่านั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่า เมื่อน้องสาวคนนั้นมาช่วยในยามที่จำเป็น ฉันรู้ว่าเป็นการกระทำของพระเจ้า แต่หลังจากนั้น ฉันก็ยังคิดว่าพี่ชายคนนั้นจะยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับล่ามคนนั้นทั้งหมด ฉันยังขาดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ฉันนึกถึงบางสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราทรงเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีใครสามารถชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้(ยอห์น 10:29)  แกะของพระเจ้าย่อมฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่มีข่าวลือ คำโกหก หรือความยากลำบากใดสามารถยื้อประชากรของพระเจ้าไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ นี่คือการสำแดงพระสิทธิอำนาจของพระเจ้า ฉันควรเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ทำหน้าที่ของฉันเอง และสำรวจทุกหนทางเพื่อสามัคคีธรรมกับพี่ชายคนนั้น เขาจะถูกข่าวลือและคำโกหกนำไปผิดทางหรือไม่ ฉันไม่ได้เป็นคนกำหนด

หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์่ค่ะ “ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเรื่อยมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันได้ทำความชั่วจำนวนนับไม่ถ้วน ได้หลอกลวงผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และได้ก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายในโลก มันได้ทำทารุณกรรมมนุษย์ หลอกลวงมนุษย์ หลอกล่อมนุษย์ให้ต่อต้านพระเจ้า และได้กระทำพฤติการณ์ชั่วที่ได้ลดคุณค่าและทำให้แผนการบริหารจัดการของพระเจ้างุนงงสับสนครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้น ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว ทุกสรรพสิ่งและสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทั้งหลายยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้อย่างต่อเนื่อง เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติและการอาละวาดเพ่นพ่านอันชั่วร้ายของซาตานนั้นอัปลักษณ์ยิ่งนัก น่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นยิ่งนัก และช่างเล็กน้อยและอ่อนไหวเปราะบางยิ่งนัก ถึงแม้ว่าซาตานจะเดินอยู่ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้าง แต่มันก็ไม่สามารถมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยนิดในผู้คน สิ่งของ หรือวัตถุใดๆ ที่พระเจ้าได้ทรงบัญชา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันปล่อยวางค่ะ เป็นความจริงที่ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพระเจ้า และไม่มีใครสามารถยืนขวางทางสิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์จะทำได้ ไม่มีใครสามารถนำแกะของพระเจ้าไปได้ หากใครที่ไม่ใช่แกะของพระเจ้าเข้าไปอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า วันหนึ่งเขาจะถูกเปิดโปงและกำจัดทิ้ง นี่คือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันไม่เข้าพระเจ้าจริงๆ ฉันคือตัวอย่างตัวเป็นๆ เลยค่ะ ก่อนจะยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันได้ฟังคำโกหกของโลกศาสนาและพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ห้าปี แม้ฉันจะมีขวากหนามอยู่มาก พระวจนะของพระเจ้าได้ดึงดูดให้ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ และตอนนี้ ไม่ว่าความนอกศาสนาและคำโกหกมากมายเท่าไรที่พวกเขาเผยแพร่กันก็ไม่สามารถมาขวาง ไม่ให้ฉันติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ มันเพียงแค่ช่วยให้ฉันเห็นโฉมหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานชัดเจนขึ้น และเสริมความเชื่อของฉันที่จะติดตามพระเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งหมดนี้ลุล่วงในตัวฉันโดยพระวจนะของพระเจ้าค่ะ ฉันคิดย้อนไปตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่สื่อสารกับพี่ชายคนนั้น เราพูดกันคนละภาษาและสื่อสารกันตามปกติไม่ได้ แต่เราก็ไปต่อจนเขายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เขาถึงกับพูดเรื่องการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและจัดตั้งคริสตจักรในอิตาลีด้วยนะคะ เรื่องพวกนี้จะลุล่วงโดยปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ปราศจากการพิชิตผู้คนของพระวจนะของพระเจ้าได้ไหมคะ ฉันเห็นว่าฉันขาดความเข้าใจในพระเจ้าจริงๆ เวลาฉันเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันจะพูดว่าพระสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน และไม่มีอำนาจใดสามารถขัดขวางพระราชกิจของพระองค์ได้ แต่ฉันวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ตามตรรกะเสมอ เมื่อฉันเผชิญกับความยากลำบากด้านกำแพงภาษา ฉันกลัวว่าพี่ชายคนนั้น จะถูกข่าวลือและคำโกหกของศัตรูของพระคริสต์ผลักดันออกไป ฉันใช้ชีวิตอยู่ในความกลัว แต่ที่จริงแล้ว เขาจะสามารถยอมรับหนทางที่แท้จริงได้หรือไม่นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้ว แทนที่จะตีตนไปก่อนไข้ ฉันควรทำหน้าที่ให้ดีและมีความรับผิดชอบเท่านั้น พอคิดแบบนั้น ฉันก็กล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้า พร้อมจะนบนอบต่อกฎและการจัดการเตรียมการของพระองค์ น่าแปลกใจที่ต่อมาไม่นาน น้องสาวคนนั้นก็ส่งข้อความมาบอกฉันว่าเธอมีเวลาว่างแล้ว และสามารถช่วยเป็นล่ามให้อีกได้ ในที่สุดฉันก็สามารถสื่อสารกับพี่ชายชาวอิตาลีคนนั้นได้อย่างราบรื่น

แม้ว่าบางครั้งฉันจะรู้สึกท้อใจไปหมด และบางครั้งฉันก็กังวลอย่างน่าเหลือเชื่อในกระบวนการของ การแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่ชายคนนั้น เมื่อฉันพึ่งพาพระเจ้าจริงๆ ฉันก็ได้ประจักษ์ในการทรงนำและกิจการของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดนั้นทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง และความเชื่อในพระองค์ก็เติบโตขึ้น ทั้งหมดนี้คือพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าการแบ่งปันข่าวประเสริฐคือการช่วยคนอื่นๆ ให้รอด แต่แล้วในที่สุดฉันก็ตระหนัก ว่าในกระบวนการนั้น ฉันก็ได้รับประสบการณ์พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าด้วย ผ่านประสบการณ์นี้ ฉัน “ทอมัสขี้สงสัย” ได้รับประสบการณ์พระสิทธิอำนาจและความซื่อตรงของพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังที่กล่าวไว้ในพระวจนะของพระเจ้าว่า “เมื่อใครบางคนเผชิญความลำบากยากเย็นคล้ายขวากหนามเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาไม่มีใครให้หันไปหา และเมื่อพวกเขารู้สึกอับจนหนทางเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาฝากความหวังเดียวของพวกเขาไว้กับพระเจ้า  คำอธิษฐานของพวกเขาเป็นเหมือนสิ่งใดหรือ?  สภาวะจิตใจของพวกเขาคือสิ่งใด?  พวกเขาจริงใจหรือไม่?  มีความเจือปนอันใดในเวลานั้นหรือไม่?  เพียงเมื่อเจ้าไว้วางใจพระเจ้าราวกับพระองค์ทรงเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เจ้ากำแน่นเอาไว้เพื่อช่วยชีวิตของเจ้าให้รอดนั่นเอง หัวใจของเจ้าจึงจริงใจ  แม้ว่าเจ้าอาจไม่ได้พูดมากมาย แต่หัวใจของเจ้านั้นปั่นป่วนแล้ว  นั่นคือ เจ้ามอบหัวใจที่ซื่อสัตย์ของเจ้าแด่พระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสดับรับฟัง  เมื่อพระเจ้าทรงสดับรับฟัง พระองค์ทอดพระเนตรความลำบากยากเย็นของเจ้า และพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า นำทางเจ้า และช่วยเจ้า(“บรรดาผู้เชื่อต้องเริ่มต้นโดยการมองกระแสนิยมชั่วของโลกให้ทะลุปรุโปร่ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  การรู้จักพระเจ้ากำหนดให้เราปฏิบัติและรับประสบการณ์พระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผ่านผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่เราเผชิญทุกวัน และในกระบวนการการทำหน้าที่ของเรา นั่นเป็นทางเดียวที่จะรู้จักและเกรงกลัวพระเจ้าอย่างแท้จริง ประสบการณ์ของฉันได้สอนฉันให้ชื่นชมสิ่งนี้ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ก่อนหน้า: 8. การรู้จักสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าในชีวิต

ถัดไป: 10. หัวใจหลุดพ้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger