ประการที่สอง: พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง
พวกเราได้สามัคคีธรรมเรื่องการเอาชนะใจผู้คนกันจบแล้ว ซึ่งเป็นการสำแดงประการแรกของวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ควบคุมผู้คน และตอนนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเรื่องการสำแดงประการที่สอง วิถีทางประการที่สองที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ในการควบคุมผู้คนก็คือการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง วิถีทางประการแรกเกี่ยวข้องกับการชักพาผู้คนให้หลงผิดและการเอาชนะใจพวกเขา คนเช่นนี้ดูภายนอกจะเหมือนพูดจาอย่างสุภาพมากและเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น พวกเขาจะค่อนข้างรู้กาลเทศะและซ่อนอำพราง คนอื่นไม่สามารถมองเห็นเจตนาที่ชั่วและการสำแดงที่มุ่งร้าย กระหายเลือด และชอบการต่อสู้ของพวกเขาได้ และพวกเขาใช้แต่เพียงวิธีการที่กลับกลอกเท่านั้น วิถีทางประการที่สอง การโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างนั้น เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดกว่า จากความหมายของคำว่า “โจมตีและกีดกัน” นั้น คนเราก็สามารถบอกได้ว่าคำเหล่านี้ไม่ได้เป็นบวกแต่เป็นไปในทางที่ไม่ดี วิถีทางของการโจมตีและกีดกันเช่นนี้เป็นบางสิ่งที่เปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างชัดเจนและทุกคนสามารถมองเห็นได้ การนี้ก็เหมือนกับผู้หญิงอารมณ์ร้ายด่าทอกันบนท้องถนน โดยเปิดโปงข้อบกพร่องของกันและกัน คำพูดของพวกเขาตรงไปตรงมาและโจ่งแจ้ง ซึ่งทุกคนที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็เข้าใจ คำพูดเหล่านี้มีความก้าวร้าวอยู่ระดับหนึ่ง และไม่แสดงความอดกลั้นแต่กลับเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีมากกว่า การที่ศัตรูของพระคริสต์กดข่ม กีดกัน และโจมตีผู้คน และเปิดโปงปัญหาของผู้คนต่อสาธารณชนนั้นล้วนเป็นการมุ่งไปที่เป้าหมาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาใช้วิถีทางดังเช่นวิถีทางเหล่านี้เพื่อมุ่งเป้าไปที่บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถหยั่งรู้พวกเขาได้ โดยการทำลายผู้คนเหล่านี้ พวกเขาจึงสัมฤทธิ์เป้าหมายในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฐานะตำแหน่งของตนเอง การโจมตีและกีดกันผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่มุ่งร้ายตามธรรมชาติ มีความก้าวร้าวในภาษาและลักษณะการพูดจาของพวกเขา ได้แก่ การเปิดโปง การกล่าวโทษ การใส่ร้าย และการป้ายสีที่ชั่ว พวกเขาถึงกับบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยพูดถึงสิ่งที่เป็นบวกราวกับสิ่งเหล่านั้นเป็นลบ และพูดถึงสิ่งที่เป็นลบราวกับสิ่งเหล่านั้นเป็นบวก การพลิกกลับดำเป็นขาวและผสมปนเประหว่างสิ่งที่ถูกและผิดเช่นนี้ทำให้เป้าหมายของศัตรูของพระคริสต์ในการเอาชนะผู้คนและทำลายชื่อเสียงของพวกเขาสำเร็จลุล่วง แนวความคิดใดที่ก่อให้เกิดการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างเช่นนี้? ส่วนใหญ่แล้วการนี้มาจากแนวความคิดที่อิจฉาริษยา ในอุปนิสัยที่ชั่วร้าย ความอิจฉาริษยาจะนำพาความเกลียดชังอย่างรุนแรงมาด้วย และความอิจฉาริษยาของพวกเขาส่งผลให้ศัตรูของพระคริสต์โจมตีและกีดกันผู้คน ในสถานการณ์เช่นนี้ หากศัตรูของพระคริสต์ถูกเปิดโปง ถูกรายงาน สูญเสียสถานะของพวกเขา และในใจเป็นทุกข์เพราะถูกโจมตี พวกเขาจะไม่ยอมจำนนและไม่เป็นสุขกับเรื่องนี้ และยิ่งง่ายขึ้นไปอีกที่พวกเขาจะเกิดแนวความคิดรุนแรงที่จะแก้แค้น การแก้แค้นเป็นแนวความคิดแบบหนึ่ง และยังเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบหนึ่งด้วย เมื่อศัตรูของพระคริสต์เห็นว่าสิ่งที่ใครบางคนทำนั้นส่งผลร้ายกับตน คนอื่นมีความสามารถมากกว่าตน หรือถ้อยแถลงและข้อเสนอแนะของใครบางคนดีกว่าหรือหลักแหลมกว่าของตน และทุกคนเห็นด้วยกับถ้อยแถลงและข้อเสนอแนะของคนคนนั้น ศัตรูของพระคริสต์จะรู้สึกว่าฐานะตำแหน่งของตนถูกคุกคาม ความอิจฉาริษยาและความเกลียดชังเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา แล้วพวกเขาก็โจมตีและแก้แค้น ตอนที่แก้แค้น ส่วนใหญ่ศัตรูของพระคริสต์จะโจมตีเป้าหมายของพวกเขาไม่ให้ทันตั้งตัว พวกเขาแข็งขันในการโจมตีและทำลายผู้คน จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมจำนน เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะรู้สึกว่าตนได้ระบายโทสะออกไป การโจมตีและกีดกันผู้คนนั้นมีการสำแดงอื่นใดอีกบ้าง? (การดูแคลนผู้อื่น) การดูแคลนผู้อื่นเป็นหนึ่งในหนทางที่การนั้นสำแดงออกมา ไม่ว่าเจ้าจะทำงานได้ดีเพียงใด ศัตรูของพระคริสต์ก็จะยังคงดูแคลนหรือกล่าวโทษเจ้า จนกระทั่งเจ้าเป็นคนคิดลบและอ่อนแอและทนไม่ไหว เมื่อนั้นพวกเขาจะมีความสุข และพวกเขาจะได้ทำเป้าหมายของตนให้สำเร็จลุล่วงแล้ว การกล่าวโทษเป็นส่วนหนึ่งของความหมายของการดูแคลนผู้อื่นใช่หรือไม่? (ใช่) ศัตรูของพระคริสต์กล่าวโทษผู้คนอย่างไร? พวกเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ตัวอย่างเช่น เจ้าได้ทำบางสิ่งที่ไม่เป็นปัญหา แต่พวกเขาต้องการทำให้เรื่องนั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่เพื่อที่จะโจมตีเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงคิดหาหนทางต่างๆ นานาเพื่อป้ายสีและกล่าวโทษเจ้าโดยทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เพื่อให้คนอื่นที่ฟังอยู่คิดว่าสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์กล่าวนั้นสมเหตุสมผลและเจ้าได้ทำบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยวิธีนี้ ศัตรูของพระคริสต์ก็ได้ทำให้เป้าหมายของพวกเขาสำเร็จลุล่วงแล้ว นี่คือการกล่าวโทษ การโจมตี และการกีดกันคนที่เห็นต่าง การกีดกันหมายความว่าอย่างไร? การนี้หมายความว่าในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขารู้ว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง แต่พวกเขาอิจฉาและเกลียดชังเจ้า และพยายามโจมตีเจ้าโดยเจตนา ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นไม่ถูกต้อง จากนั้นพวกเขาก็จะใช้ทัศนะและตรรกะวิบัติของตนเองเพื่อโต้เถียงเอาชนะเจ้า โดยพูดจาในลักษณะที่จับใจเพื่อให้ทุกคนที่ฟังรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นถูกต้องและกล่าวได้ดี จากนั้นผู้คนทั้งหมดนั้นจะเห็นชอบกับพวกเขา และจะยืนอยู่ข้างพวกเขาเพื่อต่อต้านเจ้า ศัตรูของพระคริสต์ใช้วิธีนี้โจมตีเจ้า เพื่อทำให้เจ้าคิดลบและอ่อนแอ ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็ได้สัมฤทธิ์เป้าหมายในการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างแล้ว บางครั้งการกีดกันคนที่เห็นต่างสามารถเกิดขึ้นในรูปแบบของการโต้เถียงซึ่งหน้าได้ หรือบางครั้งก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ใครบางคน การก่อความวุ่นวาย การใส่ร้ายพวกเขา หรือการกุเรื่องเกี่ยวกับพวกเขาลับหลังพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อศัตรูของพระคริสต์ต้องการกีดกันคนที่เห็นต่าง ก่อนอื่นพวกเขาจะพิจารณาว่าคนที่เห็นต่างนั้นมีสัมพันธภาพอันดีกับใคร จากนั้นพวกเขาก็ไปหาคนนั้นและกล่าวว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่า คนนั้นเขาบอกว่าคุณขาดขีดความสามารถ มีความสามารถในการจับใจความที่ย่ำแย่ และไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และทำหน้าที่ของคุณโดยไร้หลักธรรม ฉันโต้เถียงกับพวกเขาเพราะฉันคิดว่าแท้จริงแล้วคุณเป็นคนดีทีเดียว” หลังจากบ่มเพาะความบาดหมางเช่นนี้ สัมพันธภาพระหว่างสองคนนี้ก็เริ่มพลิกผันไปในทางที่แย่ลง ศัตรูของพระคริสต์จะอยู่ที่ข้างสนาม พลางพัดกระพือเปลวไฟแห่งความบาดหมางอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสัมพันธภาพแตกหักลงโดยสิ้นเชิง ในหนทางนี้ ศัตรูของพระคริสต์บ่มเพาะความบาดหมางระหว่างผู้คนกับคนที่เห็นต่าง โดยทำให้ผู้คนรักษาระยะห่างจากคนที่เห็นต่างเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายในการโดดเดี่ยวคนที่เห็นต่าง พวกเขาคอยหาโอกาสที่จะใช้อำนาจงัดกับคนที่เห็นต่าง จนกระทั่งพวกเขาพ่ายแพ้และชื่อเสียงของพวกเขาถูกทำลาย ศัตรูของพระคริสต์เห็นว่านี่เป็นการโค่นล้มคู่ต่อสู้เพื่อที่คนคนนี้จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าการกำราบคนที่เห็นต่างเป็นการดีที่สุด แต่หากไม่สามารถกำราบพวกเขาได้ เช่นนั้นแล้วศัตรูของพระคริสต์ย่อมทำทุกสิ่งที่เป็นไปได้เพื่อโดดเดี่ยวพวกเขาและจากนั้นก็กีดกันพวกเขา หากไม่สามารถกีดกันพวกเขาออกไปได้ ศัตรูของพระคริสต์ก็จะโดดเดี่ยวพวกเขาต่อไป โดยบังคับให้พวกเขาเชื่อฟังและทำให้พวกเขาร้องขอความกรุณาในที่สุด ศัตรูของพระคริสต์ดึงดูดและใช้กำลังบังคับบางอย่างในการโจมตีผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือผู้คนที่มีความคิดเห็นซึ่งไม่เป็นไปตามความคิดเห็นของตนเอง พวกเขาฉีกคริสตจักรออกและแบ่งแยกคริสตจักรให้เป็นพรรคเป็นพวก และในที่สุดคริสตจักรก็ถูกแบ่งออกเป็นสองหรือสามกลุ่ม—กลุ่มที่ฟังพวกเขา กลุ่มที่ไม่ฟังพวกเขา และกลุ่มที่เป็นกลาง ภายใต้การนำที่ “ชาญฉลาด” ของพวกเขา ผู้คนที่ฟังพวกเขาก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ และผู้คนที่ไม่ฟังพวกเขาก็น้อยลงเรื่อยๆ ผู้คนที่ยอมจำนนต่อพวกเขามีมากขึ้น และบรรดาผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์ก็กลายเป็นผู้ที่โดดเดี่ยวและไม่อาจหาญที่จะพูดอะไรออกมา ผู้คนที่สามารถหยั่งรู้หรือต่อต้านพวกเขาได้ก็มีน้อยลงเรื่อยๆ และในหนทางนี้ ศัตรูของพระคริสต์จึงค่อยๆ เข้าควบคุมคนส่วนใหญ่ในคริสตจักร โดยถือเอาฐานะตำแหน่งซึ่งมีสิทธิอำนาจ นี่คือเป้าหมายที่ศัตรูของพระคริสต์มุ่งหวัง ในยามที่ติดต่อสัมพันธ์กับผู้คนซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างจากพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์จะไม่แสดงความใจกว้างใดๆ พวกเขาคิดว่า “ต่อให้คุณมีความคิดเห็นที่แตกต่าง คุณก็ต้องยอมจำนนต่อการเป็นผู้นำของฉัน เพราะตอนนี้ฉันเป็นผู้ที่มีสิทธิชี้ขาด คุณอยู่ภายใต้ฉัน หากคุณเป็นมังกร คุณย่อมต้องขดตัวเองไว้ หากเป็นเสือ คุณย่อมต้องนอนหมอบ ไม่ว่าคุณจะมีความสามารถใด ตราบใดที่ฉันอยู่ที่นี่ คุณสามารถลืมเรื่องการได้เปรียบหรือการก่อเรื่องวุ่นวายไปได้เลย!” นี่คือเป้าหมายที่ศัตรูของพระคริสต์มุ่งหวัง—การควบคุมคริสตจักรแต่ฝ่ายเดียวและการควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร
สิ่งใดคือวัตถุประสงค์หลักของศัตรูพระคริสต์เมื่อพวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง? พวกเขาเสาะแสวงที่จะสร้างสถานการณ์ขึ้นมาภายในคริสตจักรที่ไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านพวกเขา เป็นสถานการณ์ที่อำนาจของพวกเขา สถานะผู้นำของพวกเขา และคำพูดของพวกเขาถือเป็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดทั้งสิ้น ทุกคนต้องฟังพวกเขา และต่อให้ผู้คนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป ทุกคนก็ต้องไม่แสดงความคิดเห็นนั้นออกมา ปล่อยให้หมักหมมอยู่ในหัวใจของตนเท่านั้น ใครก็ตามที่กล้าคัดค้านพวกเขาอย่างเปิดเผยย่อมกลายเป็นอริกับศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาจะคิดหาหนทางอันใดก็ตามที่พวกเขาสามารถคิดได้เพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ยากลำบากสำหรับคนเหล่านั้น และแทบจะทนรอให้คนเหล่านั้นปลาสนาการไปไม่ไหว นี่คือหนึ่งในหลายหนทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้โจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างเพื่อช่วยพยุงสถานะและปกป้องอำนาจของตน พวกเขาคิดว่า “ไม่เป็นไรเลยที่คุณจะมีความคิดเห็นทั้งหลายที่ต่างออกไป แต่คุณไม่สามารถเที่ยวไปพูดคุยเกี่ยวกับความคิดเห็นเหล่านั้นตามแต่คุณจะยินดีได้ นับประสาอะไรที่จะทำให้อำนาจและสถานะของฉันต้องเสี่ยง หากคุณมีบางสิ่งจะพูด ก็สามารถพูดสิ่งนั้นกับฉันได้เป็นการส่วนตัว หากคุณพูดสิ่งนั้นต่อหน้าทุกคนและเป็นเหตุให้ฉันเสียหน้า คุณก็กำลังหาเรื่องใส่ตัว และฉันก็จำเป็นที่จะต้องจัดการคุณ!” นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดอย่างอิสระ หากผู้อื่นมีความเห็น—ไม่ว่าจะเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์หรือสิ่งอื่นใด—พวกเขาก็ไม่อาจพูดขึ้นมาตามสบายได้ พวกเขาต้องคำนึงถึงหน้าตาของศัตรูพระคริสต์ ถ้าไม่อย่างนั้น ศัตรูของพระคริสต์ก็จะตราหน้าพวกเขาว่าเป็นศัตรู และโจมตีและกีดกันพวกเขาออกจากกลุ่ม นี่คือธรรมชาติประเภทใดหรือ? นี่ก็คือธรรมชาติของศัตรูพระคริสต์ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้? พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้คริสตจักรส่งเสียงเป็นอื่น พวกเขาไม่อนุญาตให้มีคนที่เห็นต่างในคริสตจักร พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามัคคีธรรมความจริงและใช้วิจารณญาณแยกแยะผู้คนอย่างเปิดเผย สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกผู้คนเปิดโปงและรู้ทัน พวกเขาพยายามตลอดเวลาที่จะเสริมสร้างอำนาจของตนและสถานะที่พวกเขามีอยู่ในหัวใจของผู้คน ซึ่งพวกเขารู้สึกว่าจะต้องไม่มีวันถูกสั่นคลอน พวกเขาไม่มีวันสามารถทนยอมรับสิ่งใดก็ตามที่คุกคามหรือส่งผลกระทบต่อความภาคภูมิใจ ความมีหน้ามีตา หรือสถานะและคุณค่าของพวกเขาในฐานะผู้นำ นี่สำแดงถึงธรรมชาติที่มุ่งร้ายของศัตรูพระคริสต์มิใช่หรือ? ด้วยความที่ไม่พอใจในอำนาจที่พวกเขามีอยู่แล้ว พวกเขาจึงสร้างความมั่นคงให้กับอำนาจนั้น พิทักษ์อำนาจนั้นไว้ และแสวงหาการครอบครองชั่วนิรันดร์ พวกเขาไม่เพียงต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่นเท่านั้น แต่ต้องการควบคุมหัวใจของคนเหล่านั้นด้วย วิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้นี้ล้วนเป็นไปเพื่อปกป้องอำนาจและสถานะของตน และเป็นผลจากการที่พวกเขาอยากรักษาอำนาจเอาไว้ทั้งสิ้น หากศัตรูของพระคริสต์กระทำการอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และเป็นไปตามความจริง เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงกลัวการที่คนอื่นพูดอะไรออกมา เสนอแนะสิ่งที่แตกต่าง และเปิดโปงพวกเขา? นั่นเป็นเพราะพวกเขามีเหตุจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามและมีมโนธรรมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ศัตรูของพระคริสต์รู้ว่าพวกเขาได้กระทำความชั่วไปมากมาย และเมื่อพวกเขาถูกเปิดโปง ไม่เพียงแต่การรักษาสถานะของพวกเขาไว้จะยากลำบาก แต่ยังจะมีอันตรายที่จะถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ด้วย เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่ลดละความพยายามที่จะตีกรอบและจำกัดผู้อื่น โดยกีดกันไม่ให้พวกเขาสามัคคีธรรมความจริงและใช้วิจารณญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่มีสำนึกแห่งความยุติธรรมอันเข้มแข็งหรือผู้ที่กล้าเปิดโปงคนชั่วนั้นเป็นหนามยอกอกของศัตรูของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่สร้างความขัดเคืองใจให้พวกเขาอยู่ร่ำไป ศัตรูของพระคริสต์คิดว่าหากบรรดาผู้ที่มีสำนึกแห่งความยุติธรรมถูกตีจนยอมจำนนและถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ก็จะไม่มีใครอาจหาญที่จะเปิดโปงพวกเขาอีกต่อไปและจะไม่มีเสียงที่เห็นต่างอีกต่อไป ซึ่งทำให้ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกปลอดภัย นี่เป็นกลยุทธ์ที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้อย่างสม่ำเสมอ พวกเขาจะไม่คลายมือที่กุมอำนาจของตนเอาไว้โดยเด็ดขาดและจะไม่มีวันคลายความพยายามที่จะรวบรวมอำนาจนั้นไว้—ทุกประโยคที่พวกเขาพูดและทุกสิ่งที่พวกเขาทำนั้นมุ่งหวังไปที่การคุ้มครองอำนาจและสถานะของพวกเขา ข้อนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนที่ห็นต่างอยู่ด้วย และพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ได้ยินมาว่าคนที่เห็นต่างนั้นพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตนหรือวิพากษ์วิจารณ์ตนลับหลัง ในกรณีเช่นนี้พวกเขาจะแก้ไขเรื่องดังกล่าวทันที ต่อให้นั่นหมายถึงการอดนอนทั้งคืนและอดอาหารทั้งวันก็ตาม เหตุใดพวกเขาจึงพยายามถึงขนาดนั้น? เพราะพวกเขารู้สึกว่าสถานะของตนตกอยู่ในอันตราย และกำลังถูกท้าทาย พวกเขารู้สึกว่าถ้าตนไม่ลงมือเช่นนั้น อำนาจและสถานะของพวกตนก็จะมีภัย—และทันทีที่ความประพฤติชั่วและการปฏิบัติตนอันเสื่อมเสียของพวกเขาถูกเปิดโปง ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สามารถรักษาสถานะและอำนาจของตนเอาไว้ได้เท่านั้น แต่ยังจะถูกพาตัวออกไปหรือขับไล่ออกจากคริสตจักรอีกด้วย นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาใจร้อนอย่างยิ่งในการคิดหาทางระงับเรื่องเอาไว้และปัดเป่าโพยภัยทั้งปวงที่ซ่อนเร้นอยู่ นี่เป็นวิธีเดียวที่พวกเขาจะสามารถรักษาสถานะของตนเอาไว้ได้ สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว สถานะก็คือลมหายใจแห่งชีวิต ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามีคนกำลังจะเปิดโปงหรือรายงานเรื่องของตน พวกเขาก็หวาดกลัวจนว้าวุ่น กลัวว่าเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง พวกเขาจะสูญเสียสถานะตนเองและไม่มีวันได้ชื่นชมความรู้สึกของการมีอภิสิทธิ์ที่สถานะนำมาให้รวมทั้งผลประโยชน์จากสถานะอีกด้วย พวกเขากลัวว่าจะไม่มีใครยอมทำตามพวกเขาหรือติดตามพวกเขาอีกต่อไป และจะไม่มีใครประจบเอาใจหรือทำตามคำสั่งของตนอีกแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาทนยอมรับไม่ได้มากที่สุดไม่ได้มีเพียงการสูญสิ้นสถานะและอำนาจเท่านั้น แต่เป็นการที่พวกเขาอาจถึงกับถูกนำตัวออกไปหรือขับไล่ออกไป ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น ความได้เปรียบและความรู้สึกทั้งปวงของการมีอภิสิทธิ์ซึ่งสถานะและอำนาจมอบให้แก่พวกเขามาโดยตลอด รวมทั้งความหวังที่จะได้รับพรและรางวัลทั้งมวลจากการเชื่อในพระเจ้า ก็จะสูญสิ้นไปทันที ความน่าจะเป็นเช่นนี้คือสิ่งที่พวกเขาทนรับได้ยากที่สุด เมื่อพวกเขาสูญสิ้นความได้เปรียบและความรู้สึกมีอภิสิทธิ์ซึ่งอำนาจและสถานะของตนมอบให้ วันดีๆ ของพวกเขาจะสิ้นสุดลง อีกทั้งเนื่องจากได้กระทำความชั่วไว้มากมาย พวกเขาย่อมจะพบตนเองตกอยู่ในความวิบัติ พลางรอคอยการลงโทษจากพระเจ้า
คนที่เห็นต่างเป็นอย่างไร? ใครคือคนที่ศัตรูของพระคริสต์มองว่าเป็นคนที่เห็นต่าง? อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็คือบรรดาผู้ที่ไม่เห็นจริงจังว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นผู้นำ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่เลื่อมใสหรือบูชาศัตรูของพระคริสต์ แต่ปฏิบัติต่อศัตรูของพระคริสต์เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง นั่นคือประเภทหนึ่ง แล้วก็มีบรรดาผู้ที่รักความจริง ไล่ตามเสาะหาความจริง ไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตน และไล่ตามเสาะหาการมีความรักให้พระเจ้า พวกเขาเลือกถนนสายที่ต่างไปจากเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาก็เป็นคนที่เห็นต่างในสายตาของศัตรูของพระคริสต์ มีคนอื่นอีกหรือไม่? (บรรดาผู้ที่มีข้อเสนอแนะให้ศัตรูของพระคริสต์อยู่เสมอ และผู้ที่อาจหาญที่จะเปิดโปงพวกเขา) ใครก็ตามที่อาจหาญที่จะให้ข้อเสนอแนะของตนแก่ศัตรูของพระคริสต์และเปิดโปงพวกเขา หรือผู้ที่มีทัศนะที่แตกต่างจากพวกเขา จะถูกพวกเขามองว่าเป็นคนที่เห็นต่าง และยังมีอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถและความสามารถทัดเทียมกับศัตรูของพระคริสต์ ผู้ที่มีความสามารถในการพูดและการกระทำเหมือนกับพวกเขา หรือผู้ที่พวกเขาเห็นว่าเหนือกว่าตนและสามารถหยั่งรู้พวกเขาได้ สำหรับศัตรูของพระคริสต์ เรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขา ผู้คนเช่นนั้นคือคนที่เห็นต่างที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์ไม่กล้าละเลยผู้คนเช่นนั้นหรือย่อหย่อนแม้แต่น้อย ศัตรูของพระคริสต์มองว่าพวกเขาเป็นหนามยอกอกของตน เป็นสิ่งที่ทำให้ขัดเคืองใจอยู่ร่ำไป ศัตรูของพระคริสต์จึงเฝ้าระวังและปกป้องตนเองจากพวกเขาอยู่ตลอดเวลา และหลีกเลี่ยงพวกเขาในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศัตรูของพระคริสต์มองเห็นว่าคนที่เห็นต่างกำลังจะหยั่งรู้และเปิดโปงพวกเขา พวกเขาจะตื่นตระหนกเป็นพิเศษ พวกเขาจะกีดกันและโจมตีคนที่เห็นต่างเช่นนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ถึงขนาดที่พวกเขาจะไม่พึงพอใจจนกว่าพวกเขาจะได้เอาคนที่เห็นต่างคนนั้นออกไปจากคริสตจักร ด้วยกรอบความคิดเช่นนั้นและหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง? พวกเขาจะปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงเหล่านี้ในฐานะศัตรูและคิดหาหนทางที่จะทำให้พวกเขาลงจากตำแหน่งแล้วกำจัดพวกเขาหรือไม่? พวกเขาจะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเขาจะเค้นสมองของตนในการคิดหาหนทางที่จะบังคับให้คนที่เห็นต่างเชื่อฟังและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะพวกเขามิใช่หรือ? การบังคับให้คนที่เห็นต่างเชื่อฟังหมายถึงการที่ศัตรูของพระคริสต์ทำให้ทุกคนฟังพวกเขา โดยทำให้ไม่มีใครจะกล้าพูดอะไรอีกหรือยึดถือความคิดเห็นที่แตกต่าง นับประสาอะไรกับการเปิดโปงพวกเขา การเอาชนะคนที่เห็นต่างหมายถึงการที่ศัตรูของพระคริสต์ใส่ความและกล่าวโทษพวกเขา โดยสร้างความประทับใจผิดๆ บางอย่างเพื่อทำให้คนที่เห็นต่างกลายเป็นคนโง่และถูกตัดแต่ง จึงเป็นเหตุให้ความมีหน้ามีตาของพวกเขาตกต่ำถึงขีดสุด การทำอะไรเช่นนี้เป็นการทำชั่วในรูปแบบที่ใหญ่หลวงที่สุดมิใช่หรือ? การนี้ก้าวล่วงอุปนิสัยของพระเจ้ามิใช่หรือ? ศัตรูของพระคริสต์มีวิถีทางและวิธีการมากมายในการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง นอกจากการเผชิญหน้าและการปฏิเสธต่อหน้าสาธารณชนแล้ว วิถีทางที่น่าประทับใจที่สุดของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการดึงดูดและการเกณฑ์คนที่เห็นต่างเข้ามา โดยทำให้คนที่เห็นต่างทุกคนฟังพวกเขา หากคนที่เห็นต่างไม่ฟัง ศัตรูของพระคริสต์จะกดข่มพวกเขา ปราบปรามพวกเขา และทำให้พวกเขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ในหนทางเดียวกันกับที่ผู้ไม่มีความเชื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ทางการเมือง ศัตรูของพระคริสต์นั้นเลวร้ายและโหดร้ายถึงเพียงนี้ แต่บางครั้ง ศัตรูของพระคริสต์ก็จะใช้วิธีการที่นุ่มนวลเพื่อดึงดูดผู้คนเข้ามา ตัวอย่างเช่น หากมีคนที่เห็นต่างซึ่งมีความคิดเห็นไม่ตรงกับที่พวกเขามี พวกเขาก็จะมองดูว่าคนคนนั้นชอบอะไรและมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง โดยใช้วิถีทางที่น่าเหยียดหยามนานาสารพัดเพื่อบังคับให้พวกเขาเชื่อฟัง หรือพวกเขาก็จะแสร้งทำเป็นยอมจำนนและยอมรับความผิดพลาดของตนต่อหน้าคนที่เห็นต่าง หรือทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนที่เห็นต่างได้รับประโยชน์และทำให้พวกเขาพึงพอใจ หรือบางทีก็ให้เพื่อนสนิทของพวกเขาโน้มน้าวคนที่เห็นต่าง แล้วจากนั้นพวกเขาก็แสร้งทำเป็นว่าตนกำลังสามัคคีธรรมความจริงกับคนที่เห็นต่างนั้น โดยกล่าวว่า “การที่พวกเราจับคู่กันเพื่องานของคริสตจักรนั้นสมบูรณ์แบบจริงๆ ในอนาคตพวกเราสามารถแบ่งคริสตจักรแห่งนี้กันคนละครึ่ง ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นผู้นำ แต่ฉันก็จะรับฟังข้อเสนอแนะใดก็ตามที่คุณมี ตามข้อเท็จจริงแล้ว ฉันเองคือคนที่จะให้ความร่วมมือกับคุณ” หากคนที่เห็นต่างคนนี้เป็นบุคคลที่ไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว ย่อมเป็นการง่ายสำหรับศัตรูของพระคริสต์ที่จะคัดพวกเขามาใช้งานใช่หรือไม่? บรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงจะรู้ทันการนี้และพูดว่า “เอาล่ะ คนผู้นี้เป็นจอมวางอุบาย พวกเขาไม่ใช่กำลังโจมตีอย่างเปิดเผย แต่กำลังใช้เล่ห์เหลี่ยม—แทนที่จะใช้ชั้นเชิงทั้งหลายที่ยากลำบาก พวกเขากลับกำลังมาอย่างนุ่มนวล” สำหรับศัตรูของพระคริสต์แล้ว คนที่เห็นต่างคนนี้เป็นภัยคุกคามต่อสถานะและอำนาจของพวกเขา ใครก็ตามที่คุกคามสถานะและอำนาจของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นใคร พวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะ “จัดการ” พวกเขา หากไม่สามารถบีบให้ผู้คนเหล่านี้ยอมเชื่อฟังหรือยอมเป็นพวกตนได้ เช่นนั้นแล้ว ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะโค่นล้มหรือเอาตัวพวกเขาออกไป สุดท้ายแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ก็จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาในการมีอำนาจเด็ดขาด และอยู่เหนือกฎเกณฑ์ นี่คือหนึ่งในวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ธำรงสถานะและอำนาจของตนเป็นประจำ—พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง
วิธีการ การสำแดง เหตุจูงใจในการกระทำ และแหล่งที่มาของการกระทำในการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างของศัตรูของพระคริสต์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากอะไร? (ซาตาน) โดยเฉพาะเจาะจงแล้ว สิ่งเหล่านี้มาจากความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของมนุษย์ และมาจากธรรมชาติของซาตาน เช่นนั้นเป้าหมายของศัตรูของพระคริสต์คือสิ่งใด? เป้าหมายของพวกเขาคือการยึดอำนาจ การควบคุมหัวใจของผู้คน และการสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นศัตรูของพระคริสต์ตัวจริง จากมุมมองของวิถีทางสองประการคือ การเอาชนะใจผู้คน และการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง ศัตรูของพระคริสต์ตีความความหมายของคำว่า “ผู้นำ” และบทบาทที่ผู้นำเล่นอย่างไร? พวกเขาเชื่อว่าผู้นำคือใครบางคนที่มีอำนาจและสถานะ พวกเขามีอำนาจในการสั่งการ ดึงดูด ชักพาให้หลงผิด คุกคาม และควบคุมผู้คนที่พวกเขานำ นี่คือวิธีที่พวกเขาจับใจความคำว่า “ผู้นำ” ดังนั้นเมื่อพวกเขาอยู่ในบทบาทของผู้นำ พวกเขาจึงนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ให้เกิดผลในงานของพวกเขา และนี่คือวิธีที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน เช่นนั้นเมื่อพวกเขาทำหน้าที่ของตน ที่จริงแล้วพวกเขากำลังทำสิ่งใด? สามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าพวกเขากำลังกระทำชั่ว และเพื่อให้ตรงประเด็น พวกเขากำลังก่อตั้งอาณาจักรเอกเทศของตนเอง โดยแย่งชิงประชากรที่ทรงเลือกสรร หัวใจของผู้คน และสถานะจากพระเจ้า พวกเขาต้องการแทนที่ตำแหน่งของพระเจ้าในหัวใจของผู้คน และทำให้ผู้คนบูชาพวกเขา พวกเจ้ามักจะเก็บงำเจตนาและแรงจูงใจเช่นนั้น และแสดงพฤติกรรมและการปฏิบัติเช่นนั้นเป็นประจำมิใช่หรือ? พวกเจ้าเผยให้เห็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานเหล่านี้อยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ? (พวกเราทำเช่นนั้น) การเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานเหล่านี้สามารถร้ายแรงได้ถึงเพียงใด? การนี้เคยไปถึงจุดที่พวกเจ้าไม่อาจควบคุมตนเองได้หรือไม่? เมื่อการนี้เกิดขึ้น พวกเจ้าสามารถมีความตระหนักรู้ การยับยั้งชั่งใจ และวินัยได้บ้างหรือไม่? (สามารถมีได้) จงบอกเราเถิดว่า มีใครบ้างที่ไม่พึงปรารถนาอำนาจเลย? มีใครบ้างที่ไม่ชอบอำนาจ? มีใครบ้างที่ไม่โหยหาผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง? ไม่มีเลย เหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร? นี่เป็นเพราะผู้คนล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาทุกคนจึงมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันก็คือพวกเขาชื่นชอบอำนาจ สถานะ และสุขสำราญกับผลประโยชน์ที่อำนาจมอบให้พวกเขา นี่คือลักษณะนิสัยที่ทุกคนมีร่วมกัน เช่นนั้นแล้วเหตุใดจึงถือว่าบางคนเป็นศัตรูของพระคริสต์ ในขณะที่คนอื่นเพียงแค่เผยอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ หรือเดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เท่านั้น? สองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร? ก่อนอื่น เราจะกล่าวถึงความแตกต่างในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์มีความเป็นมนุษย์หรือไม่? ความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่เดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และศัตรูของพระคริสต์เองมีความแตกต่างกันอย่างไร? (ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ ในขณะที่ผู้คนซึ่งเดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ยังคงมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่เล็กน้อย พวกเขายังคงสามารถยอมรับความจริงและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้ และยังแสดงให้เห็นการกลับใจที่แท้จริงด้วย) การแสดงให้เห็นการกลับใจนั้นเป็นจุดที่แตกต่าง ศัตรูของพระคริสต์รู้จักการกลับใจหรือไม่? (พวกเขาไม่รู้จัก) ศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความจริงแม้เพียงน้อยนิด ต่อให้พวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาก็จะไม่กลับใจ พวกเขาจะไม่มีวันรู้จักตนเองเลย เมื่อกล่าวถึงความเป็นมนุษย์ มีอีกหนทางหนึ่งซึ่งผู้คนที่เดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งก็คือความแตกต่างระหว่างคนดีโดยทั่วไปกับคนชั่ว คนดีพูดและทำสิ่งทั้งหลายด้วยมโนธรรมและเหตุผล ในขณะที่คนชั่วไม่มีมโนธรรมและเหตุผล เมื่อคนชั่วทำสิ่งที่ไม่ดีและถูกเปิดโปง พวกเขาก็ไม่ยอมและกล่าวว่า “ต่อให้ทุกคนรู้ พวกเขาจะทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้? ฉันจะทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ! ฉันไม่สนหรอกว่าใครจะเปิดโปงหรือวิพากษ์วิจารณ์ฉัน ใครจะทำอะไรฉันจริงๆ ได้?” ไม่ว่าคนชั่วทำสิ่งที่ไม่ดีมากมายเพียงใด พวกเขาก็ไม่รู้สึกละอายใจ เมื่อคนธรรมดาทำสิ่งที่ไม่ดี พวกเขาก็ต้องการที่จะอำพรางและปิดบังสิ่งนั้น หากใครบางคนลงเอยด้วยการเปิดโปงพวกเขา พวกเขาย่อมละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้และถึงกับไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป และกล่าวว่า “ฉันทำเรื่องแบบนี้ไปได้อย่างไร? ฉันนี่ช่างไร้ยางอายจริงๆ!” พวกเขาสำนึกผิดเป็นที่สุดและถึงกับสาปแช่งตนเอง โดยสาบานว่าพวกเขาจะไม่มีวันทำอะไรเช่นนี้อีก พฤติกรรมประเภทนี้เป็นการพิสูจน์ว่าพวกเขามีสำนึกแห่งความละอาย และพวกเขายังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง ใครบางคนที่ไร้ยางอายนั้นไม่มีมโนธรรมและเหตุผล และคนชั่วทุกคนย่อมไร้ยางอาย ไม่ว่าคนชั่วจะกระทำความชั่วประเภทใด ก็จะไม่ทำให้พวกเขาหน้าแดงหรือไม่ทำให้หัวใจของพวกเขาเต้นเร็วขึ้น และพวกเขาจะยังคงแก้ต่างให้การกระทำของตนอย่างไร้ศีลธรรม โดยบิดเบือนแง่มุมที่เป็นลบให้กลายเป็นบวก และกล่าวถึงการทำไม่ดีราวกับว่าเป็นสิ่งที่ดี คนประเภทนี้มีสำนึกแห่งความละอายหรือไม่? (ไม่มี) หากพวกเขามีท่าทีประเภทนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะกลับใจอย่างแท้จริงในภายภาคหน้าหรือไม่? ไม่ พวกเขาจะยังคงปฏิบัติตนอย่างที่พวกเขาเคยทำมานั่นเอง นี่หมายความว่าพวกเขาไร้ยางอาย และความไร้ยางอายก็หมายถึงการไม่มีมโนธรรมและเหตุผล ผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผลย่อมละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้หลังจากที่พวกเขาถูกเปิดโปงถึงสิ่งไม่ดีบางอย่างที่พวกเขาทำ และพวกเขาก็ไม่มีวันทำสิ่งนี้อีกเลย เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นี่เป็นเพราะว่าพวกเขารู้สึกว่าเรื่องที่ทำลงไปเป็นสิ่งที่น่าละอายและเต็มเปี่ยมไปด้วยความละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้ และมีสำนึกแห่งความละอายอยู่ในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับความเป็นมนุษย์ที่ปกติมิใช่หรือ? (ใช่) ยังคงสามารถเรียกใครบางคนที่ไม่รู้สึกละอายใจเลยด้วยซ้ำว่ามนุษย์ได้หรือไม่? ไม่สามารถเรียกพวกเขาว่ามนุษย์ได้ ใครบางคนที่ไม่รู้สึกละอายใจนั้นมีจิตใจที่เป็นปกติหรือไม่? (พวกเขาไม่มี) พวกเขาไม่มีจิตใจที่เป็นปกติ นับประสาอะไรกับความรักในสิ่งที่เป็นบวก สำหรับพวกเขา การมีมโนธรรมและเหตุผลถือเป็นมาตรฐานที่สูงเกินไป นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มี ทีนี้ความแตกต่างพื้นฐานที่สุดระหว่างศัตรูของพระคริสต์และบรรดาผู้คนที่เดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์คืออะไร? เมื่อคนคนหนึ่งซึ่งมีแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ถูกเปิดโปงโดยใครคนอื่นเพราะการที่ขับเคี่ยวกับพระเจ้าเพื่อให้ได้สถานะ พวกเขาจะไม่คิดว่าพวกเขาได้ทำผิดไป ต่อมา พวกเขาไม่เพียงแค่จะไม่เรียนรู้บทเรียนของตนและหันเข้าหาพระเจ้าเท่านั้น แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทันทีที่พวกเขามีโอกาสที่จะได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาจะยังขับเคี่ยวกับพระเจ้าต่อไปเพื่อให้ได้สถานะ โดยดำเนินการต่อเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ให้ตายลงในเร็ววันก็ยังดีกว่าให้กลับใจ ผู้คนเหล่านี้ มีความมีเหตุมีผลหรือไม่? (พวกเขาไม่มีความมีเหตุมีผล) แล้วผู้คนที่ไม่มีความมีเหตุมีผลใดเลยรู้สึกถึงความละอายอันใดหรือไม่? (พวกเขาไม่รู้สึก) ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความมีเหตุผลและไม่มีสำนึกแห่งความละอาย เมื่อผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มโนธรรม และเหตุผลได้ยินผู้อื่นพูดว่าพวกเขากำลังขับเคี่ยวกับพระเจ้าเพื่อให้ได้สถานะ พวกเขาจะคิดว่า “ไม่นะ นี่เป็นเรื่องร้ายแรง! ฉันเป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของพระเจ้า! ฉันจะขับเคี่ยวกับพระองค์เพื่อให้ได้สถานะได้อย่างไร? การแย่งแย่งชิงดีกับพระเจ้าเพื่อให้ได้สถานะนั้น ช่างน่าละอายเสียจริง! ฉันได้กลายเป็นคนด้านชา โง่เง่า และไร้เหตุผลเสียจริงที่ทำเช่นนี้! ฉันทำสิ่งเช่นนั้นไปได้อย่างไร?” พวกเขาจะรู้สึกตะขิดตะขวงและอับอายสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำไป และเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน สำนึกแห่งความละอายก็จะยับยั้งพฤติกรรมของพวกเขา แก่นแท้ธรรมชาติของทุกคนคือแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน แต่บรรดาผู้ที่มีเหตุผลของความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะมีสำนึกแห่งความละอาย และพฤติกรรมของพวกเขาก็จะถูกยับยั้งไว้ เมื่อการจับใจความความจริงของคนคนหนึ่งค่อยๆ ลงลึก และเมื่อความรู้และความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าและการนบนอบความจริงได้รับความลึกซึ้ง สำนึกแห่งความละอายนี้ย่อมจะไม่ใช่ขีดแบ่งขั้นต่ำอีกต่อไป พวกเขาจะถูกความจริงและหัวใจของพวกเขาที่ยำเกรงพระเจ้าคอยยับยั้งมากขึ้นทุกที พวกเขาจะยังปรับปรุงตัวเองอยู่ต่อไป และปฏิบัติตนตามความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพระคริสต์จะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่? พวกเขาจะไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีเหตุผลปกติของมนุษย์ ไม่รู้ว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงหมายถึงสิ่งใด และรังเกียจความจริงและไม่มีความรักสำหรับความจริงเลยสักนิดเดียว แล้วพวกเขาจะสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไรเล่า? การไล่ตามเสาะหาความจริงคือความต้องการจำเป็นปกติของมนุษย์ ทั้งนี้ มีเพียงบรรดาผู้ที่หิวและกระหายความชอบธรรมเท่านั้นที่จะรักและไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเหล่านั้นที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติจะไม่มีวันไล่ตามเสาะหาความจริง
ผู้คนที่เดินในเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์นั้นแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์ตัวจริง บางคนมองเห็นว่าพวกเขาเต็มไปด้วยอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าและหวงแหนชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอย่างลึกซึ้ง และไม่มีวันสามารถปล่อยมือได้ พวกเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าตนมีธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์และไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด หากเจ้าไม่รู้จักตนเองอย่างแท้จริงและไม่รู้ว่าเจ้าเป็นศัตรูของพระคริสต์หรือคนชั่วหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรทบทวนว่าเจ้ามีความรู้สึกหรือสำนึกแห่งความละอายบ้างหรือไม่ หากเจ้าไม่มี เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย และอาจกล่าวได้ว่าเจ้ามีแก่นแท้ธรรมชาติของคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ ต่อให้ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ในภายภาคหน้าเจ้าก็อาจกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้ สิ่งที่บรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเต็มใจที่จะทำน้อยที่สุดก็คือการทบทวนและรู้จักตนเอง พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่ใส่ใจว่าใครจะพูดว่าฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ มีใครบ้างที่ไม่ชอบชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ? ใครก็ตามที่บอกว่าพวกเขาไม่ชอบชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ก็กำลังโกหก มีใครบ้างที่สามารถมีสถานะได้และไม่สุขสำราญกับประโยชน์ที่ได้รับจากสถานะนั้น? มีแต่คนเขลาเท่านั้นที่เป็นเช่นนั้นได้ การสามารถสุขสำราญกับประโยชน์ที่ได้รับจากสถานะ นั่นเรียกว่าความสามารถ!” คนประเภทใดกล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนี้? นี่คือใครบางคนที่รังเกียจความจริงมิใช่หรือ? คนประเภทนี้เป็นคนดื้อรั้นอย่างหัวชนฝา—พวกเขาจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่? พวกเขาไม่สามารถได้รับความรอดโดยสิ้นเชิง เพราะพระเจ้าไม่ทรงช่วยคนชั่วให้รอด ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกของซาตาน พวกเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางคนไม่รู้ว่าพวกเขาสามารถเป็นวัตถุที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดได้ ในกรณีนี้ เมื่อพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า จงสังเกตว่าเจ้าสามารถสำนึกถึงสิ่งนี้และรู้สึกละอายใจอยู่ภายในหรือไม่ และเจ้าคิดว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงนั้นเป็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่ ซึ่งจากนั้นจะเป็นเหตุให้เจ้ารู้สึกละอายใจและรู้สึกราวกับว่าเจ้าไม่มีที่แห่งใดให้ตนเองหลบซ่อนเลย หากเจ้ามีความรู้สึกละอายใจเช่นนี้ หากเจ้ามีความตระหนักรู้เช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่ดี ถึงกับมีบางคนที่กล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโปงฉันอย่างหมดเปลือก ฉันรู้สึกละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้และไม่มีที่แห่งใดให้ฉันหลบซ่อนเลย ฉันคิดว่าฉันควรถูกส่งไปนรก ฉันไม่สมควรได้รับความรอดจากพระเจ้า ความคิดลบของฉันมากจนกระทั่งฉันไม่คิดว่าตัวเองสมควรมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป ฉันควรตายไปเลยจะได้จบเรื่องไป” ความรู้สึกในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี? นี่เป็นสิ่งที่ดี บางคนไม่เข้าใจ และกล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดีได้อย่างไร?” (นี่แสดงให้เห็นว่าคนคนนี้มีสำนึกแห่งความละอาย) เรื่องนี้ไม่ได้ตัดสินด้วยความละอายใจ ประการแรกเลย การมีความรู้สึกประเภทนี้หมายความว่าอย่างน้อยเจ้าก็เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ประการที่สอง รากฐานของความรู้จักตนเองของเจ้าคืออะไร? (การยอมรับพระวจนะของพระเจ้า) นั่นถูกต้องแล้ว เจ้ายอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง ซึ่งหมายความว่าเจ้ากำลังใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานในการประเมินวัดว่าตนจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่และเจ้าเป็นคนประเภทใด—เจ้าได้ทำให้พระวจนะของพระองค์เป็นมาตรฐานในการประเมินวัดตนเองแล้ว นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ามีความเชื่อในพระวจนะของพระองค์อย่างแท้จริง เมื่อเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถถือว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง และเป็นมาตรฐานในการประเมินวัดตนเองได้ คนที่ทำเช่นนี้ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด—เรื่องนี้ไม่ได้เรียบง่ายแค่คนเรามีสำนึกแห่งความละอายหรือไม่เท่านั้น
ในส่วนของการสำแดงนี้—การที่ศัตรูของพระคริสต์โจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง—พวกเราได้พูดคุยถึงคำจำกัดความของคำว่า “คนที่เห็นต่าง” กันไปแล้ว ดังนั้นมีคนประเภทใดบ้างที่ตกอยู่ภายใต้ขอบเขตของคำนี้? ส่วนใหญ่ก็คือบรรดาผู้คนที่มีทัศนะต่อสิ่งทั้งหลายแตกต่างจากศัตรูของพระคริสต์และบรรดาผู้คนที่เดินในเส้นทางที่แตกต่างจากพวกเขา ในสายตาของศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนเหล่านี้ล้วนกลายเป็นคนที่เห็นต่าง และพวกเขาก็คือเป้าหมายในการโจมตีของศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์เชื่อว่าการโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่างนั้นเป็นสิ่งที่ชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ การนี้เป็นการคุ้มครองงานของพระนิเวศของพระเจ้าและการคุ้มครองชีวิตคริสตจักร ทว่าในความเป็นจริงการนี้เป็นวิถีทางและวิธีการคุ้มครองสถานะและอำนาจของพวกเขาเอง การนี้ไม่ได้ทำหน้าที่คุ้มครองงานของพระนิเวศของพระเจ้าเลย นับประสาอะไรกับการรักษาระเบียบที่เป็นปกติของชีวิตคริสตจักรสำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร คนที่เห็นต่างบางคนที่กล่าวถึงในที่นี้เป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเรามั่นใจในเรื่องนี้ได้เพราะว่าศัตรูของพระคริสต์เป็นปรปักษ์ต่อคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมีเพียงผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่สามารถหยั่งรู้ศัตรูของพระคริสต์ได้
22 มกราคม ค.ศ. 2019