ประการที่หนึ่ง: พวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คน

ส่วนเสริม: ความจริงเพิ่มเติมในการประกาศข่าวประเสริฐ

หัวข้อที่เสวนากันไปในการชุมนุมไม่กี่ครั้งที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ได้มาตรฐาน และพวกเราก็จำแนกหน้าที่ที่ผู้คนและบุคลากรควรปฏิบัติออกเป็นหมวดหมู่  หมวดหมู่จำเพาะมีอะไรบ้าง?  (กลุ่มแรกคือคนทำงานข่าวประเสริฐ กลุ่มที่สองประกอบด้วยผู้นำและคนทำงานระดับต่างๆ ในคริสตจักร กลุ่มที่สามครอบคลุมบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่พิเศษต่างๆ กลุ่มที่สี่คือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั่วไป กลุ่มที่ห้าเกี่ยวข้องกับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อมีเวลาว่าง และกลุ่มที่หกได้แก่ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่)  รวมแล้วมีหกกลุ่มด้วยกัน  ครั้งที่แล้วพวกเราเสวนาถึงกลุ่มแรกซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักธรรมและความจริงที่สัมพันธ์กับหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐ ประกอบด้วยทุกแง่มุมในเรื่องของการประกาศข่าวประเสริฐ รวมทั้งประเด็นที่ควรสนใจ หลักธรรมและความจริงที่เกี่ยวข้อง เรื่องที่ผู้คนควรระวัง ตลอดจนข้อผิดพลาดและความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นทั่วไประหว่างขั้นตอนของการปฏิบัติหน้าที่นี้  หลังจากฟังคำเทศนาในหัวข้อหนึ่งๆ แล้ว พวกเจ้าสามารถสรุปประเด็นสำคัญในนั้นได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถจับความเข้าใจเนื้อหาสำคัญในหัวข้อหนึ่งๆ ได้ ใส่ใจความจริงที่เกี่ยวข้อง จากนั้น ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความจริงเหล่านั้นให้กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าเอง เป็นชีวิตของเจ้าเอง และเป็นเส้นทางปฏิบัติของเจ้าเอง เช่นนั้นพวกเจ้าย่อมซึมซับเนื้อหาที่เราได้สามัคคีธรรมแล้วโดยแท้  หลังจากสามัคคีธรรมถึงคำเทศนาหนึ่งๆ หากพวกเจ้ามีเพียงแนวคิดกว้างๆ หรือจดจำเหตุการณ์และเรื่องเล่าบางอย่างได้ แต่ไม่เข้าใจว่าความจริงและหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังนั้นคืออะไร และเหตุใดจึงเสวนาถึงเรื่องเหล่านี้กัน นั่นนับเป็นความเข้าใจหรือไม่?  นับเป็นการเข้าใจความจริงหรือไม่?  (ไม่นับ)  นั่นไม่นับเป็นการเข้าใจความจริง กล่าวคือ พวกเจ้าไม่เข้าใจว่ามีการถ่ายทอดความจริงใดไปแล้วบ้าง พวกเจ้าไม่ตระหนักรู้และไม่ยอมรับความจริงเหล่านั้น  แล้วพวกเจ้าจะสามารถสรุปได้หรือไม่?  มีใครบอกประเด็นสำคัญที่พวกเราสามัคคีธรรมกันครั้งที่แล้วให้เราฟังได้บ้าง?  (พวกเราสรุปเอาไว้เจ็ดประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรกคือ การนิยามคนทำงานข่าวประเสริฐ ประเด็นที่สองคือ แก่นแท้ของหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐ ประเด็นที่สามคือ ท่าทีที่ผู้คนมีต่อหน้าที่นี้ รวมถึงมุมมองภายในของพวกเขา ประเด็นที่สี่คือ หลักธรรมของการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงในการประกาศข่าวประเสริฐ เช่น ใครตรงตามหลักธรรมที่จะได้รับการประกาศข่าวประเสริฐและใครที่ไม่ตรง ประเด็นที่ห้าคือ ควรปฏิบัติต่อผู้ที่ตรงตามหลักธรรมที่จะได้รับการประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร ประเด็นที่หกคือ ผลสืบเนื่องเมื่อคนทำงานข่าวประเสริฐทิ้งงานของตนและหนีไปขณะปฏิบัติหน้าที่ ประเด็นที่เจ็ดคือ การพลีอุทิศของวิสุทธิชนตลอดประวัติศาสตร์ของการประกาศข่าวประเสริฐ และพวกเราควรทำอย่างไรจึงจะชื่นชูโอกาสที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในตอนนี้และเตรียมตนให้มีความจริงโดยเร็ว)  โดยพื้นฐานแล้ว การสรุปของเจ้าครอบคลุมแง่มุมสำคัญของสามัคคีธรรมของพวกเราเมื่อครั้งก่อน—ดีมาก  มีอะไรตกหล่นบ้างหรือไม่?  (มีอีกประเด็นหนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้คนเพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่หน้าที่ของคนทำงานข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่เป็นความรับผิดชอบที่ทุกคนที่ติดตามและเชื่อในพระเจ้าไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้เช่นกัน  นี่คือความจริงที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องเข้าใจ)  การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของทุกคน—นี่ก็เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้  พวกเจ้ารู้จุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมความจริงนี้หรือไม่?  นี่ก็เพื่อแก้ไขความเบี่ยงเบนต่างๆ ในความเข้าใจของผู้คน  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีความเบี่ยงเบนในแง่ใดบ้าง?  (ข้าพระองค์ไม่รู้)  การไม่รู้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจความจริงในแง่มุมนี้  แล้วเหตุใดเราจึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงข้อนี้?  ในทางบวก นี่เป็นความจริงแง่มุมหนึ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ  ในทางลบ นี่คือการแก้ไขความเข้าใจที่เบี่ยงเบนของทุกคนในเรื่องของการประกาศข่าวประเสริฐ

ผู้คนมากมายมีความเข้าใจที่เบี่ยงเบนในเรื่องของการประกาศข่าวประเสริฐ  บางคนนึกว่า “ตอนนี้ฉันกำลังทำหน้าที่พิเศษ ดังนั้นการประกาศข่าวประเสริฐจึงไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  นี่ไม่ใช่เรื่องของฉัน  ฉะนั้น ความจริง หลักธรรม และข้อกำหนดต่างๆ ของพระเจ้าที่จำเป็นต้องเข้าใจเพื่อที่จะประกาศข่าวประเสริฐจึงไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  ฉันไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้”  ดังนั้น เวลาที่มีการสามัคคีธรรมความจริงในแง่ที่เกี่ยวข้องกับการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาจึงไม่ใส่ใจ ไม่พิจารณาให้รอบคอบ และไม่ให้ความสนใจ  ต่อให้รับฟัง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเสวนาเรื่องอะไรกัน  นอกจากนี้มีคนกล่าวว่า “หลังจากที่เชื่อในพระเจ้า ฉันก็ได้เป็นผู้นำเสมอมา  ฉันมีขีดความสามารถและมีฝีมือในการทำงาน  ฉันเกิดมาเป็นผู้นำ  ดูเหมือนว่าหน้าที่ที่พระเจ้าประทานแก่ฉันและภารกิจในชีวิตของฉันก็คือการเป็นผู้นำ”  ความหมายของพวกเขาแฝงนัยว่าการประกาศข่าวประเสริฐไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา  ดังนั้น เมื่อมีการสามัคคีธรรมความจริงเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขาจึงไม่ใส่ใจจริงจังกับสามัคคีธรรมนี้  เมื่อถูกขอให้สรุปสิ่งที่สามัคคีธรรมกันไปในการชุมนุมครั้งที่ผ่านมา บางคนจึงพลิกดูบันทึกของตนอยู่นานและก็ยังไม่รู้อยู่ดี  เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้?  เพราะความจำของพวกเขาไม่ดีใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เพราะพวกเขามีเรื่องต้องทำมากเหลือเกิน จึงมีเรื่องให้คิดเต็มไปหมดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ไม่ใช่อย่างนั้น  นี่แสดงให้เห็นว่าท่าทีที่ผู้คนมีต่อความจริงเป็นท่าทีที่รังเกียจและไม่รักความจริง  เพราะฉะนั้นเราจึงว่ากล่าวตักเตือนและทำให้ทุกคนรู้ว่าการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่ความรับผิดชอบของคนจำพวกใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่ติดตามพระเจ้า  เหตุใดผู้คนจึงต้องเข้าใจความจริงของการประกาศข่าวประเสริฐ?  เหตุใดผู้คนจึงจำเป็นต้องรู้ความจริงเหล่านี้?  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ในฐานะหนึ่งในผู้ที่ติดตามพระเจ้า ไม่ว่าคนเราจะอายุเท่าไร เพศอะไร จะหนุ่มสาวหรือสูงวัยเพียงใด การประกาศข่าวประเสริฐก็คือภารกิจและเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่ทุกคนต้องยอมรับ  หากภารกิจนี้มาถึงเจ้าและต้องให้เจ้าสละตนเอง ยอมลำบาก หรือแม้กระทั่งสละชีวิตของเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าควรถือเป็นหน้าที่ที่จะยอมรับภารกิจนี้  นี่คือความจริง และเป็นสิ่งที่เจ้าควรเข้าใจ  นี่ไม่ใช่คำสอนที่เรียบง่าย—นี่คือความจริง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่านี่คือความจริง?  เพราะไม่ว่าวันเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ทศวรรษ หรือสถานที่และพื้นที่จะเปลี่ยนไปอย่างไร การประกาศข่าวประเสริฐและการเป็นคำพยานให้พระเจ้าย่อมจะเป็นสิ่งที่เป็นบวกอยู่เสมอ  ความหมายและคุณค่าของภารกิจเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนไป แน่นอนว่าภารกิจเหล่านี้จะไม่ได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเวลาหรือตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์  การประกาศข่าวประเสริฐและการเป็นคำพยานให้พระเจ้าคือสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าก็ควรยอมรับและปฏิบัติภารกิจนี้  นี่คือความจริงอันเป็นนิรันดร์  บางคนกล่าวว่า “การประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่หน้าที่ที่ฉันปฏิบัติ”  อย่างไรก็ดี ความจริงที่เกี่ยวเนื่องกับการประกาศข่าวประเสริฐนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ เพราะนี่คือความจริงที่สัมพันธ์กับนิมิต ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าจึงควรเข้าใจ นี่เป็นรากฐานของความเชื่อในพระเจ้าและเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิต  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใดในคริสตจักร เจ้าย่อมจะมีโอกาสติดต่อกับผู้ไม่มีความเชื่อ ฉะนั้น การประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขาจึงเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าก็จะรู้แก่ใจว่า “การถ่ายทอดพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระราชกิจที่ทรงช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระเจ้าเป็นความรับผิดชอบของฉัน  ไม่ว่าเมื่อใดหรือที่ไหน และไม่ว่าฉันจะมีตำแหน่งหรือบทบาทเช่นใด ถ้าฉันทำหน้าที่เป็นนักแสดง ฉันก็มีภาระผูกพันที่จะประกาศข่าวประเสริฐ และถ้าฉันเป็นผู้นำคริสตจักรอยู่ในตอนนี้ ฉันย่อมมีภาระผูกพันเป็นการประกาศข่าวประเสริฐด้วย  ไม่ว่าตอนนี้ฉันจะปฏิบัติหน้าที่ใด ฉันก็มีภาระผูกพันที่จะถ่ายทอดข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร  เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาสหรือมีเวลาว่าง ฉันก็ควรออกไปประกาศข่าวประเสริฐ  นี่คือความรับผิดชอบที่ฉันไม่อาจบ่ายเบี่ยงได้”  ปัจจุบันนี้ผู้คนส่วนใหญ่คิดกันเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  แล้วผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าอย่างไร?  “ตอนนี้ฉันมีหน้าที่ที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว  ฉันกำลังค้นคว้าและศึกษาอาชีพเฉพาะ ซึ่งเป็นสาขาวิชาหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นการประกาศข่าวประเสริฐจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันเลย”  นี่เป็นท่าทีประเภทใด?  เป็นท่าทีของการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและภารกิจของตน เป็นท่าทีที่เป็นลบ  ผู้คนเหล่านี้ไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขากบฏต่อพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากเจ้าไม่แบกรับภาระในการประกาศข่าวประเสริฐ ย่อมเป็นสัญญาณว่าเจ้าไร้มโนธรรมและสำนึกมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน ไม่รับผิดชอบ และไม่นบนอบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ทำสิ่งต่างๆ อย่างขอไปทีแบบนิ่งเฉยและเป็นลบ—ท่าทีเช่นนี้ไม่อาจยอมรับได้  ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใด ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับอาชีพหรือสาขาวิชาใด หนึ่งในผลลัพธ์เบื้องต้นที่เจ้าสัมฤทธิ์ควรเป็นความสามารถในการเป็นคำพยานและถ่ายทอดข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระราชกิจในการช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระเจ้า  นี่คือข้อกำหนดขั้นต่ำของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หากแม้แต่ข้อกำหนดขั้นต่ำนี้เจ้ายังทำไม่ได้ แล้วตลอดเวลาหลายปีที่เชื่อในพระเจ้ามานี้ เจ้าได้อะไรจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้าง?  เจ้าได้รับอะไรไปแล้วบ้าง?  เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  แม้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนมาหลายปีและเก่งกาจในสายงานของตนแล้วก็ตาม แต่ยามที่ขอให้เจ้าเป็นคำพยานให้พระเจ้า หากเจ้าไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้หรือสามัคคีธรรมความจริงในแง่มุมใดก็ไม่ได้ ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ปัญหาคือเจ้าไม่เข้าใจความจริง  บางคนอาจจะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่มาบอกว่าพวกเขาไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาอาจจะคิดว่าตนปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิผลแล้ว แต่พวกเขาไม่เข้าใจนิมิตในพระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์ที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด  นี่นับเป็นการเข้าใจความจริงหรือไม่?  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ยังไม่ได้วางรากฐานในหนทางที่แท้จริงในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า  เจ้าไม่แบกรับภาระในการถ่ายทอดพระราชกิจของพระเจ้าและข่าวประเสริฐเรื่องความรอดที่พระองค์ทรงนำมาให้มนุษยชาติ และเจ้าก็ไม่มีความเข้าใจเชิงลึก ไม่มีการทำความเข้าใจ หรือการตระหนักรู้ใดๆ  เช่นนั้นแล้วจะถือได้โดยแท้หรือไม่ว่าเจ้าเป็นคนที่ติดตามพระเจ้า?  เจ้าสร้างสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้าแล้วหรือยัง?  หากไม่เคยสัมฤทธิ์สิ่งใดที่กล่าวมานี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีความเป็นจริงความจริง

คราวนี้พวกเรากลับไปยังหัวข้อที่เสวนากันไปก่อนหน้านี้เถิด  การประกาศข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  หลังจากที่เสวนาความจริงในแง่มุมนี้กันไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรเข้าใจคืออะไร?  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะจ่ายราคา ละทิ้งครอบครัวของตน และทำงานเพื่อที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า หรือแม้กระทั่งมอบถวายชีวิตของตนก็ตาม ในความเป็นจริง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ตื้นเขิน  ถึงที่สุดแล้วพระเจ้าทรงประสงค์สิ่งใดจากผู้คน?  เมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะมากขึ้นและชีวิตของเจ้าเติบโตเต็มที่ เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เจ้าจะค่อยๆ เริ่มเข้าใจความจริงต่างๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์ที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  ภาระของเจ้าในการประกาศข่าวประเสริฐและเป็นคำพยานให้พระเจ้าย่อมชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และปณิธานของเจ้าที่จะแบกรับหน้าที่นี้ก็แรงกล้าขึ้นทุกที  หากผู้นำคริสตจักรได้ทำงานมานานหลายปี แต่เมื่อเวลาในการนำคริสตจักรของพวกเขาล่วงเลยไป พวกเขากลับรู้สึกว่าแรงขับเคลื่อนลดน้อยลง แรงดลใจน้อยลง และมีภาระในเรื่องของการประกาศข่าวประเสริฐน้อยลง พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีเพียงใด?  (ไม่ดี)  เพราะเหตุใด?  ปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร?  หากพวกเขาพัฒนาหรือใช้ชีวิตในสภาวะเช่นนั้น อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ก็คือ หลายปีมานี้คนคนนี้ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ได้ทำงานจริงเลย  พวกเขาทำตัวเหมือนกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐของพญานาคใหญ่สีแดง  ผลก็คือพวกเขาไม่แบกรับภาระและไม่มีความเข้าใจเชิงลึกที่จะกล่าวประกาศพระนามของพระเจ้าและเป็นคำพยานให้พระราชกิจของพระองค์  ผลลัพธ์ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่คือผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  ไม่ว่าคนคนนี้จะทำงานมานานกี่ปีแล้วก็ตาม ต่อให้พวกเขาคิดว่าตนมีวุฒิภาวะสูง สามารถคำนึงถึงภาระของพระเจ้า และสามารถรับใช้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า แต่พอเป็นเรื่องของการประกาศข่าวประเสริฐ พวกเขากลับถอยหลัง ไม่รู้ว่าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร  เวลาพบเจอผู้คนที่กระตือรือร้นกับการทรงปรากฏของพระเจ้า แสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขากลับพูดไม่ออก  ไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้ และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ก็คือพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่เคยได้รับความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้า  เฉพาะคนที่เข้าใจความจริงเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นคำพยานให้พระเจ้าได้  การประกาศข่าวประเสริฐและการเป็นคำพยานให้พระเจ้าอยู่ในขอบเขตหน้าที่ของเจ้า  หากเจ้าเข้าใจความจริง หากเจ้าได้รับความจริงแล้ว เหตุใดเวลาพบเจอผู้คนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง เจ้ากลับไม่มีอะไรจะพูด?  นี่คือปัญหามิใช่หรือ?  พวกเจ้ามักจะพบตัวเองอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  พวกเจ้าไม่แบกรับภาระ  การไม่แบกรับภาระก็เป็นปัญหามิใช่หรือ?  พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่แบกรับภาระได้หรือ?  ต่อให้ปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่พวกเจ้าจะทำด้วยความจงรักภักดีได้หรือ?  พวกเจ้าสามารถทำได้ตามมาตรฐานกระนั้นหรือ?  แม้การไม่แบกรับภาระอาจจะไม่ใช่ปัญหาสาหัสสากรรจ์ แต่ก็เป็นปัญหาร้ายแรงอยู่ดี เพราะส่งผลว่าเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีเพียงใด  ปัญหานี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขหรือไม่?  (ต้องแก้ไข)  แล้วพวกเจ้าจะแก้ไขอย่างไร?  พวกเจ้าต้องพลิกมุมมองที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการประกาศข่าวประเสริฐให้ถูกต้องและต้องเข้าใจความจริงในเรื่องนี้  งานทั้งปวงที่พวกเจ้าทำอยู่ในตอนนี้ล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกาศข่าวประเสริฐและอยู่ในขอบข่ายของการประกาศข่าวประเสริฐทั้งสิ้น  มุ่งหมายที่จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า เผยแผ่งานข่าวประเสริฐ เป็นพยานยืนยันพระนามของพระเจ้า และถ่ายทอดข่าวประเสริฐเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เพื่อให้มีผู้คนตระหนักรู้เรื่องนี้มากขึ้น และมีผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้น ยอมรับการพิชิตของพระเจ้า น้อมรับความรอดจากพระเจ้า และในท้ายที่สุดหากพวกเขาโชคดีพอที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า—นั่นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่  การที่มีผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้นหมายถึงอะไร และควรสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นไรในท้ายที่สุด?  (เป็นการทำให้ผู้คนอีกมากได้รับความรอดจากพระเจ้า)  เหตุใดจึงควรสัมฤทธิ์เป้าหมายนี้?  เพราะเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นั่นคือสาเหตุที่พวกเราอธิบายความจริงเหล่านี้กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  หากไม่เกี่ยวข้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า การพูดคุยเรื่องเหล่านี้ก็จะไร้ประโยชน์และว่างเปล่า  ด้วยเหตุที่เป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเราจึงทำให้ชัดเจนและช่วยให้ทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ เพื่อให้พวกเขารู้ว่านี่คือความจริงและทุกคนก็ควรทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐนี้ เพื่อให้ทุกคนมีความเข้าใจเชิงลึกเช่นนี้และค่อยๆ แบกรับภาระเช่นที่กล่าวมานี้

คำถามถัดไปคือ เหตุใดพวกเราจึงควรให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถประกาศข่าวประเสริฐและลุล่วงหน้าที่ของตน?  เหตุใดจึงควรทำเช่นนี้?  บางคนอาจกล่าวว่า “พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ทุกคนได้รับการช่วยให้รอดและไม่ทรงต้องประสงค์ให้ผู้ใดประสบความพินาศ ดังนั้นพวกเราจึงควรให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า”  คำกล่าวนี้ถูกต้อง แต่ก็ไม่ใช่คำตอบที่เป็นแก่นแท้สำหรับคำถามนี้  แล้วอะไรคือคำตอบที่เป็นแก่นแท้สำหรับคำถามนี้?  พวกเจ้ารู้หรือไม่?  (พระเจ้าต้องประสงค์จะได้รับกลุ่มผู้คนที่มีหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์)  พระเจ้าต้องประสงค์จะได้รับกลุ่มผู้คนที่มีหัวใจและจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ และเรื่องนี้ต้องสัมฤทธิ์ด้วยการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  สิ่งที่พวกเรากำลังพูดถึงอยู่ในขณะนี้คือการประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้าง  มีความแตกต่างระหว่างการประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้างกับการได้กลุ่มคนมาหรือไม่?  (มี)  เช่นนั้นจุดประสงค์ของการประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้างคืออะไร?  (การช่วยผู้คนให้รอดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้)  การช่วยผู้คนให้รอดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้คือหลักธรรมแห่งความรอดของพระเจ้าแต่ไม่ใช่คำตอบสำหรับคำถามนี้  ตั้งแต่พระราชกิจช่วงระยะนี้ได้เริ่มต้น เราพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงวิธีที่พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจในครั้งนี้เพื่อเปิดตัวยุคสมัยใหม่ เพื่อนำยุคสมัยใหม่มาและสิ้นสุดยุคสมัยเก่า—เพื่อนำยุคราชอาณาจักรมาและสิ้นสุดยุคพระคุณ  คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายรู้เห็นข้อเท็จจริงนี้แล้ว  พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่แล้ว ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษามวลมนุษย์ ทรงชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์และทรงช่วยมนุษยชาติให้รอด  ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรเริ่มเผยแผ่ไปในหลายประเทศแล้ว  มนุษยชาตินี้ได้ออกมาจากยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณแล้ว  พวกเขาไม่อ่านพระคัมภีร์อีกต่อไป พวกเขาไม่ดำรงชีวิตอยู่ใต้กางเขนอีกต่อไป และพวกเขาไม่ร้องขอพระนามของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดอีกต่อไป  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับอธิษฐานในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และในเวลาเดียวกันก็ยอมรับพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าเป็นหลักธรรม วิธีการ และเป้าหมายของการอยู่รอดในชีวิตของตน  ในสำนึกรับรู้นี้ ผู้คนเหล่านี้ย่อมเข้าสู่ยุคใหม่แล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว  แล้วยุคที่ผู้คนมากขึ้นไปอีกที่ไม่ได้ยอมรับข่าวประเสริฐในยุคสุดท้ายและพระวจนะใหม่ของพระเจ้ายังคงดำรงชีวิตคือยุคใด?  พวกเขายังคงดำรงชีวิตในยุคพระคุณ  ทีนี้ความรับผิดชอบของพวกเจ้าคืออะไร?  คือการนำพวกเขาออกจากยุคพระคุณและเข้าสู่ยุคใหม่  พวกเจ้าสามารถลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้าด้วยการแค่อธิษฐานถึงพระเจ้าและร้องขอพระนามของพระองค์ได้หรือ?  แค่ประกาศพระวจนะของพระเจ้าไม่กี่คำเพียงพอหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่เพียงพอ  การนี้พึงต้องให้พวกเจ้าทุกคนมีภาระในการรับพระบัญชาว่าด้วยการประกาศข่าวประเสริฐนี้ เผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าไปในวงกว้าง ถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าด้วยวิธีต่างๆ ตลอดจนถ่ายทอดและเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร  การเผยแผ่หมายถึงอะไร?  หมายถึงการสื่อพระวจนะของพระเจ้าไปยังพวกที่ยังไม่เคยยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจใหม่แล้ว จากนั้นจึงเป็นพยานยืนยันเรื่องพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกเขาเหล่านั้น ใช้ประสบการณ์ของพวกเจ้าเพื่อเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และนำพวกเขาเหล่านั้นเข้าสู่ยุคใหม่ด้วย—ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะเข้าสู่ยุคใหม่เหมือนกันกับพวกเจ้าไม่มีผิด  เจตนารมณ์ของพระเจ้าชัดเจน  การเข้าสู่ยุคใหม่ไม่ใช่สำหรับพวกเจ้าที่ได้ยินพระวจนะของพระองค์ ยอมรับพระวจนะของพระองค์ และติดตามพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์จะทรงนำมนุษยชาติทั้งมวลเข้าสู่ยุคใหม่นี้  นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนี่คือความจริงที่ทุกคนที่กำลังติดตามพระเจ้าอยู่ในขณะนี้ควรเข้าใจ  พระเจ้าไม่ได้กำลังทรงนำกลุ่มผู้คน ฝักฝ่ายเล็กๆ หรือกลุ่มชาติพันธุ์เล็กๆ เข้าสู่ยุคใหม่ ตรงกันข้าม พระองค์ตั้งพระทัยที่จะนำมนุษยชาติทั้งมวลเข้าสู่ยุคใหม่  เป้าหมายนี้จะสัมฤทธิ์ได้อย่างไร?  (ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้าง)  แท้จริงแล้วต้องสัมฤทธิ์ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้าง ใช้วิธีการและช่องทางต่างๆ มาประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้าง  การพูดถึงการประกาศข่าวประเสริฐในวงกว้างนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่ควรทำอย่างเจาะจงอย่างไรเล่า?  (ต้องได้รับความร่วมมือจากมนุษย์)  ถูกต้อง เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากมนุษย์  หากผู้คนยึดติดอยู่กับสิ่งเก่าๆ ในหัวใจของตนเสมอ เก็บงำองค์ประกอบที่บิดเบือนบางอย่างเอาไว้ตลอดเวลา ยึดมั่นในข้อบังคับและการปฏิบัติเดิมๆ แต่ไม่จริงจังกับงานข่าวประเสริฐ และไม่ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า โดยปฏิบัติต่องานข่าวประเสริฐว่าไม่เกี่ยวข้องกับตัวพวกเขาเอง พระเจ้าจะทรงสามารถส่งเสริมและใช้คนเช่นนี้ได้หรือ?  พวกเขาสามารถมีคุณสมบัติที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือ?  พวกเขาสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าได้หรือ?  ไม่อย่างแน่นอนที่สุด  ดังนั้นเราจึงต้องแนะนำวิธีการคิดอ่านให้กับพวกเจ้า โดยจดบันทึกองค์ประกอบใดๆ ที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ และอธิบายความจริงที่สัมพันธ์กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งพวกเจ้ารู้ซึ้งถึงความจริงเหล่านี้  ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าจะด้านชาและปัญญาทึบเพียงใด เราต้องคอยพูดกับพวกเจ้าเรื่อยไปและทำให้พวกเจ้าเข้าใจว่านี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า นี่คือหน้าที่ที่พวกเจ้าต้องปฏิบัติ และนี่เป็นภารกิจและภาระผูกพันในชั่วชีวิตนี้ของพวกเจ้า  หากเจ้าไม่ใส่ใจหรือไม่เข้าใจสิ่งที่เรากล่าว เราก็ต้องยังคงพูดต่อไป  ต่อให้เจ้าเอียนกับสิ่งนี้ก็ตาม เราต้องพูดต่อไปจนกระทั่งเจ้าเข้าใจความจริง  ความจริงคือสิ่งใด?  ความจริงคือสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดง ความจริงคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า ข้อกำหนดของพระเจ้าต่อมนุษยชาติ และความเป็นจริงความจริงที่ผู้คนในยุคใหม่ต้องมี  ผู้คนควรปฏิบัติต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างไร?  พวกเขาควรยอมรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์และไร้เงื่อนไข จากนั้นจึงนบนอบและให้ความร่วมมือ เพื่อเป็นการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  นี่คือภาระผูกพันของคนคนหนึ่ง  เมื่อเรากล่าวเช่นนี้ พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  บางคนอาจจะกล่าวว่า “โอ้ พระเจ้าทรงกำหนดให้ผู้คนยอมรับพระบัญชาของพระองค์ แต่นั่นเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ไร้ความสำคัญอย่างพวกเรา?”  พวกเจ้าคิดว่าเกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือไม่?  (เกี่ยวข้อง)  เกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างไร?  ให้เราอธิบายเถิด  พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และมนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา  ระหว่าง “สร้าง” กับ “ถูกสร้าง” มีความสัมพันธ์กันเช่นไร?  เป็นความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับการถูกกระทำ ระหว่างการสร้างกับการถูกสร้าง  ในเมื่อเจ้าได้รับรู้เจตนารมณ์ของพระผู้สร้างแล้ว เจ้าควรตอบสนองด้วยท่าทีเช่นใด?  (ยอมรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลัง)  ถูกต้อง เจ้าควรนบนอบและยอมรับเจตนารมณ์ของพระเจ้า ให้ความร่วมมืออย่างเต็มกำลัง ไม่ว่าจะเป็นราคาเท่าใดก็ตาม  ความร่วมมือที่ว่านี้รวมถึงการแสวงหาความจริงด้วยหรือไม่?  รวมถึงการเข้าใจความจริงหรือไม่?  รวมทั้งสองอย่าง  ในเมื่อเจ้าเข้าใจพระประสงค์และพระบัญชาจากพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมเกี่ยวเนื่องกับภารกิจของเจ้า และเป็นหน้าที่ของเจ้า—เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เจ้าก็ควรยอมรับ  นี่คือสิ่งที่คนที่มีมโนธรรมและสำนึกพึงทำ  หากเจ้ารู้พระประสงค์และพระบัญชาของพระเจ้า แต่ไม่อาจยอมรับได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีทั้งมโนธรรมและสำนึก และไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์  บางคนอาจจะไม่เข้าใจอยู่ดี โดยคิดว่า “เจตนารมณ์ของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”  หากเจตนารมณ์ของพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่ผู้ติดตามพระเจ้าหรือสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า?  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของเจ้าให้กำเนิดเจ้าและเลี้ยงเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี เจ้ากินอาหารของพ่อแม่ อาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขา และใช้จ่ายเงินของพวกเขา  แต่พอที่บ้านมีปัญหา เจ้ากลับกล่าวว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเพิกเฉยและได้แต่วิ่งหนี นี่คือคนเลวร้ายประเภทใด?  การกล่าวว่าเจ้าเป็นคนนอกย่อมฟังดูดี แต่ในความเป็นจริง เจ้าก็คือคนเลวร้ายที่เป็นกบฏ เป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ ต่ำต้อยกว่าสัตว์เดรัจฉาน  เจ้าได้รับการชี้แจงเรื่องเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว และพระเจ้าก็ตรัสว่า “พวกเจ้ายอมรับงานในระยะนี้ของเรา และเราก็ได้มอบวจนะเหล่านี้แก่พวกเจ้าก่อน เพื่อให้พวกเจ้าได้ฟังวจนะก่อนใคร และพวกเจ้าก็ได้ฟัง ได้เข้าใจ และตระหนักรู้วจนะของเราแล้ว  คราวนี้เราจะบอกเจตนารมณ์ของเราแก่พวกเจ้า รวมทั้งสิ่งที่เราประสงค์จากพวกเจ้าอีกด้วย  พวกเจ้าควรถ่ายทอดงานของเรา วจนะของเรา และสิ่งที่เรากำลังจะสำเร็จลุล่วงเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษยชาติทั้งปวงได้ยินเสียงของเรา พวกเจ้าควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของเราเพื่อเปิดโอกาสให้มนุษยชาติทั้งปวงยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าสู่ยุคราชอาณาจักรโดยเร็ว  นี่คือเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระเจ้า”  เจ้าควรคิดทบทวนอย่างไรเมื่อได้ฟังเรื่องนี้?  เจ้าควรมีท่าทีเช่นใด?  เจ้าควรเลือกอย่างไร?  เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรลุล่วงอย่างไร?  บางคนอาจจะรู้สึกว่าภาระนี้หนักอึ้ง แต่แค่ความรู้สึกเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เจ้าจำเป็นต้องลงมือทำและมีความเข้าใจที่ถ่องแท้  เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าดังนี้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไว้วางพระทัยมอบหมายให้ข้าพระองค์รับผิดชอบการประกาศข่าวประเสริฐ—นี่คือการยกชูจากพระองค์  แม้จะเข้าใจความจริงน้อยเต็มที แต่ข้าพระองค์ก็เต็มใจทำพระบัญชานี้ให้ลุล่วงอย่างสุดความสามารถ  ข้าพระองค์ได้ฟังคำเทศนามามากมายและเข้าใจความจริงบางอย่าง—ทั้งหมดนี้คือพรจากพระองค์ และตอนนี้ข้าพระองค์ก็มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นคำพยานให้พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเพื่อที่จะทำพระบัญชานี้ให้ลุล่วง”  นั่นคือสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อผู้คนมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า พระองค์ย่อมทรงชี้แนะพวกเขา  พระเจ้าตรัสบอกผู้คนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทั้งยังตรัสว่าการถ่ายทอดข่าวประเสริฐของพระเจ้าคือภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่ไม่มีใครบ่ายเบี่ยงได้  นี่คือหน้าที่ชั่วชีวิต เป็นหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคน  พระวจนะเหล่านี้มีพระบัญชาจากพระเจ้าอยู่หรือไม่?  มีคำเตือนสติจากพระองค์หรือไม่?  (มี)  มีเจตนารมณ์ของพระองค์อยู่หรือไม่?  (มี)  มีความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจหรือไม่?  (มี)  แล้วมีหลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติที่คนเราสามารถทำตามหรือไม่?  (มี)  เราเอ่ยไปทั้งหมดกี่ประเด็นแล้ว?  (สี่ประเด็น ประเด็นแรกคือพระบัญชาและคำเตือนสติของพระเจ้า  ประเด็นที่สองคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ประเด็นที่สามคือความจริงที่พวกเราควรเข้าใจ  ประเด็นที่สี่คือหลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติที่คนเราควรเดินตาม)  ถูกต้อง เราได้เอ่ยถึงทั้งสี่ประเด็นนี้แล้ว  ต่อไปพวกเรามาสามัคคีธรรมถึงเนื้อหาจำเพาะของแต่ละประเด็นกันเถิด

ประเด็นแรกคือพระบัญชาของพระเจ้า  พระเจ้ามีพระบัญชาว่าอย่างไร?  (ให้ถ่ายทอดข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร)  ให้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรไปในวงกว้าง  ประเด็นที่สองคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  สิ่งใดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  ให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ว่าพระเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์กำลังทรงพระราชกิจใหม่ และพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนยุค สิ้นสุดยุคเก่า และนำมนุษยชาติเข้าสู่ยุคใหม่  นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  กล่าวได้หรือไม่ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ?  ไม่ง่ายเช่นนั้น  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐมีจุดประสงค์และผลลัพธ์สูงสุด—สิ่งนั้นควรเป็นอะไร?  (เพื่อให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นรู้ว่าพระเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์กำลังทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสิ้นสุดยุคเก่า และนำมนุษยชาติทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่)  ถูกต้อง เพื่อนำมนุษยชาติทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่  เรื่องนี้ส่งผลกระทบเช่นไรต่อมวลมนุษย์?  มนุษยชาติย่อมเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคนี้จะถูกเปลี่ยนแปลง  แล้วพระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์อย่างไร?  โปรดทบทวนอีกครั้งเถิด  (พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนยุค สิ้นสุดยุคเก่า และนำมนุษยชาติเข้าสู่ยุคใหม่)  พวกเจ้าไม่อาจละเว้นสิ่งใดได้—จดไว้ครบถ้วนแล้วหรือยัง?  (ครบถ้วนแล้ว)  ประเด็นที่สามคือความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ  ความจริงนี้ควรเป็นอย่างไร?  (การประกาศข่าวประเสริฐคือหน้าที่และความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคน)  นั่นคือความจริง  สิ่งที่ผู้คนควรทำในความจริงข้อนี้ก็คือยอมรับหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐ แล้วหาหลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติภายในถ้อยแถลงนี้  ถ้อยแถลงนี้คือความจริงสำหรับผู้คน  ถ้อยแถลงนี้คืออะไร?  (การประกาศข่าวประเสริฐคือหน้าที่และความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกคน)  ควรเป็นหน้าที่และภารกิจ  พวกเจ้าเข้าใจหน้าที่และภารกิจว่าอย่างไร?  หน้าที่คือความรับผิดชอบที่คนเราควรลุล่วง และความรับผิดชอบที่คนเราควรลุล่วงก็คือหน้าที่ของตนเช่นกัน  แต่ภารกิจนั้นแตกต่างออกไป ภารกิจนั้นยิ่งใหญ่กว่า เหมาะสมกว่า กินความหมายลึกกว่าและมีน้ำหนักมากกว่าความรับผิดชอบ  พวกเจ้าจดบันทึกเรื่องนี้เอาไว้หรือยัง?  (จดแล้ว)  ตอนนี้ เราสังเกตเห็นบางอย่างแล้ว เนื้อหาทั้งหมดที่พวกเราเสวนากันอยู่นี้จำเป็นต้องมีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ก่อนที่พวกเจ้าจะมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  หากพวกเจ้าไม่จดบันทึกไว้ เอาแต่ฟังอยู่อย่างนี้ ก็จะไม่เหลือแม้แต่ภาพจำ  นี่บ่งชี้สิ่งใด?  นี่แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจับความเข้าใจในคำสอนเพียงเล็กน้อย รู้จักคำนิยาม รู้แนวคิด และภาพรวมของความจริงบางประการเท่านั้น  เมื่อเป็นเรื่องรายละเอียดจำเพาะของความจริงเหล่านี้ วิธีปฏิบัติความจริงและนำความจริงไปประยุกต์ใช้ พวกเขากลับไม่รู้อะไรเลยใช่หรือไม่?  สำหรับพวกเจ้าส่วนใหญ่ การพูดถึงคำสอนสักสองสามชั่วโมงนั้นไม่ยาก แต่พอเป็นการใช้ความจริงแก้ไขสถานการณ์ ใช้หลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติที่พวกเจ้ามีประสบการณ์และเข้าใจแล้ว—นั่นเป็นเรื่องยาก  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  ไม่เข้าใจความจริง ถูกต้องหรือไม่?  คราวนี้พวกเราก็มาพูดถึงประเด็นที่สี่  ประเด็นที่สี่คืออะไร?  (หลักธรรมและเส้นทางของการปฏิบัติที่คนเราควรเดินตาม)  มีวิธีกำหนดหลักธรรมและเส้นทางเหล่านี้กันอย่างไร?  กำหนดจากสองสิ่ง สิ่งหนึ่งคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า อีกสิ่งหนึ่งคือความจริง  สองสิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้คนต้องเข้าใจ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าลังเลที่จะประกาศข่าวประเสริฐเมื่อได้รับการร้องขอให้ประกาศ แต่พระเจ้าตรัสว่าการประกาศข่าวประเสริฐคือเจตนารมณ์ของพระองค์ เจ้าควรทำอย่างไร?  หลักธรรมของการปฏิบัติของเจ้าควรเป็นเช่นใด?  ท่าทีของเจ้าควรเป็นอย่างไร?  เจ้าควรนบนอบและยอมรับโดยสมบูรณ์ ไม่ปฏิเสธ ไม่วิเคราะห์หรือพินิจพิจารณา ไม่ถามหาเหตุผล  นี่คือการนบนอบที่แท้จริง  เป็นหลักธรรมสำคัญที่ต้องทำตามในการปฏิบัติความจริง  เวลาที่พวกเราพูดถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในลักษณะที่กำหนดชัดเจน โดยทั่วไปแล้วหมายถึงสิ่งใด?  เจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยแก่นแท้ก็คือพระประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งจุดประสงค์ แหล่งที่มา และจุดเริ่มต้นแห่งการกระทำของพระองค์  ในฝ่ายวิญญาณเรียกว่า “เจตนารมณ์” หรือ “นิมิต” ของพระองค์  เมื่อพระเจ้าทรงเผยเจตนารมณ์ของพระองค์แก่เจ้า พระองค์จะประทานทิศทางกว้างๆ แก่เจ้า ให้เจ้ารู้ว่าพระองค์ตั้งพระทัยจะทำสิ่งใด  อย่างไรก็ดี หากพระเจ้าไม่ได้ประทานรายละเอียดหรือหลักธรรม เจ้าจะรู้เส้นทางและทิศทางที่แน่ชัดของการปฏิบัติหรือไม่?  เจ้าย่อมจะไม่รู้  นั่นคือเหตุผลว่าเมื่อเราบอกผู้คนให้ทำบางสิ่งบางอย่าง หลังจากรับคำแล้ว คนที่มีสามัญสำนึก คนที่มีหัวใจและมีวิญญาณ ย่อมจะรีบแสวงหารายละเอียดและวิธีจำเพาะว่าควรทำอย่างไร  ส่วนคนที่ไม่มีสามัญสำนึก ไม่มีหัวใจและวิญญาณ ก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายและรีบลงมือทำโดยไม่รอหารายละเอียดเพิ่มเติม  นี่คือความหมายของการไม่มีสามัญสำนึกและทำงานอย่างมืดบอด  เมื่อเจ้าได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าและมุ่งหมายที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้า มุ่งหมายที่จะทำพระบัญชาที่เจ้าได้รับให้แล้วเสร็จ ประการแรก เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าพระบัญชานี้มาจากพระเจ้า เป็นเจตนารมณ์ของพระองค์ และเจ้าก็ควรน้อมรับพระบัญชา ใส่ใจพระบัญชา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนบนอบพระบัญชา  ประการที่สอง เจ้าควรเสาะหาว่าเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจความจริงข้อใดบ้าง ควรทำตามหลักธรรมข้อใด และพึงปฏิบัติอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและงานในพระนิเวศของพระเจ้า  ทั้งหมดนี้คือหลักธรรมของการปฏิบัติ  หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว เจ้าควรแสวงหาและทำความเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่นี้ในทันที และเมื่อเข้าใจความจริงแล้ว จึงค่อยค้นหาหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติความจริงเหล่านี้  คำว่า “หลักธรรม” หมายถึงอะไร?  กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงแล้ว หลักธรรมหมายถึงสิ่งที่ต้องใช้เป็นรากฐานเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายหรือก่อให้เกิดผลลัพธ์เวลาปฏิบัติความจริง  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าได้รับมอบหมายให้ไปซื้อหาของชิ้นหนึ่ง หลักปฏิบัติจำเพาะมีว่าอย่างไร?  ก่อนอื่นเจ้าจำเป็นต้องเข้าใจรายละเอียดจำเพาะและรุ่นของสิ่งที่จะซื้อ เข้าใจว่าคุณภาพของสิ่งของชิ้นนั้นต้องได้มาตรฐานเช่นไร และราคาเหมาะสมหรือไม่  ในกระบวนการเสาะหานั้น เจ้าจะเกิดความชัดเจนในหลักปฏิบัติจำเพาะเหล่านี้  หลักการเหล่านี้ทำให้เจ้ามีเกณฑ์และมีขอบเขต—ตราบใดที่เจ้าอยู่ในขอบเขตนี้ เจ้าย่อมจะไม่ผิดพลาด  เมื่อเจ้าเข้าใจหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับรายละเอียดจำเพาะ คุณภาพ และราคาของสิ่งนั้นแล้ว ก็แสดงว่าเจ้าเข้าใจมาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับงานชิ้นนี้  นั่นหมายความว่าเจ้าเรียนรู้วิธีปฏิบัติในสาระสำคัญแล้ว  การที่จะปฏิบัติความจริงนั้น คนเราต้องเข้าใจหลักธรรม กล่าวคือ หลักธรรมเป็นกุญแจสำคัญ เป็นองค์ประกอบขั้นพื้นฐานที่สุด  เมื่อเจ้าเข้าใจหลักธรรมพื้นฐานของการปฏิบัติหน้าที่ของตนแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเจ้าเข้าใจมาตรฐานที่กำหนดไว้สำหรับการปฏิบัติหน้าที่นั้น  การแตกฉานในหลักธรรมเหล่านี้ก็คือการรู้จักวิธีปฏิบัติความจริง  แล้วความสามารถในการปฏิบัตินี้มีหลักการใดรองรับ?  รากฐานที่รองรับอยู่ก็คือการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและความจริง  หากเจ้ารู้เพียงประโยคเดียวในสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ จะถือเป็นการเข้าใจความจริงหรือไม่?  ไม่ถือว่าเข้าใจ  ต้องทำได้ตามมาตรฐานใดจึงจะถือว่าเข้าใจความจริง?  เจ้าต้องเข้าใจความหมายและคุณค่าของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเมื่อเจ้าเข้าใจทั้งสองแง่มุมนี้อย่างชัดเจนแล้ว เจ้าก็เข้าใจความจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าต้องทำความเข้าใจหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและเส้นทางปฏิบัติอีกด้วย  เมื่อเจ้าสามารถเข้าใจและนำหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปใช้ และบางครั้งก็ใช้ปัญญาบ้าง เจ้าย่อมแน่ใจได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าจะมีประสิทธิผล  ด้วยการเข้าใจหลักธรรมและกระทำการตามหลักธรรมเหล่านี้ เจ้าย่อมจะสามารถปฏิบัติความจริงได้  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่เอาเจตนาของมนุษย์เข้าไปปะปน หากเจ้าทำหน้าที่โดยนบนอบพระประสงค์ของพระเจ้าและสอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานโดยพระนิเวศของพระเจ้าทุกประการ เป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าทุกอย่าง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามมาตรฐานอย่างครบถ้วนแล้ว เมื่อนำผลลัพธ์ไปเทียบกับพระประสงค์ของพระเจ้า ต่อให้มีบางอย่างคลาดเคลื่อน นี่ก็นับว่าเป็นการสัมฤทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่ดี  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามหลักธรรมทุกประการ หากเจ้าจงรักภักดี ทำทุกสิ่งอย่างสุดความสามารถของเจ้า เช่นนั้นแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าย่อมตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์  เจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างด้วยหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีแล้ว ซึ่งเป็นผลที่สัมฤทธิ์ด้วยการปฏิบัติความจริง  ทีนี้ เพื่อที่จะเข้าใจหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติ เจ้าควรเข้าใจสิ่งใดก่อนจึงจะสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้?  (ก่อนอื่นพวกเราควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า จากนั้นก็น้อมรับและนบนอบเจตนารมณ์นั้นทุกประการโดยไม่ปฏิเสธ)  ในแง่ของการปฏิบัติและท่าที นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรมี  แล้วควรเข้าใจสิ่งใดในลำดับถัดไป?  เจ้าควรเข้าใจความจริง และรายละเอียดในความจริงนั้นก็คือหลักธรรมและเส้นทาง  การที่จะเข้าใจหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติที่เจ้าควรทำตามนั้น สิ่งแรกที่เจ้าต้องเข้าใจก็คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตามมาด้วยความจริง  นี่คือสองประเด็นหลัก ที่เหลือคือเนื้อหาที่มีรายละเอียดในสองประเด็นหลักนี้

คนกลุ่มแรกซึ่งก็คือคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการประกาศข่าวประเสริฐจะสรุปจบเป็นการชั่วคราวไว้ตรงนี้  วันนี้เราได้เพิ่มเนื้อหาอีกเล็กน้อยเป็นส่วนเสริมเพื่อกระตุ้นเตือนให้นึกถึงเรื่องหลักที่เสวนากันในครั้งก่อน  พร้อมกันนั้นก็เป็นการเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของความจริงนี้ เพื่อให้ทุกงานที่เจ้าทำอยู่ในตอนนี้และทุกหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติมุ่งไปในทิศทางนี้และเป้าหมายนี้ และดำเนินการอยู่บนรากฐานนี้—ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับการประกาศข่าวประเสริฐทั้งสิ้น  แม้เจ้าไม่ได้อยู่แนวหน้าที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ แต่ก็กล่าวได้ว่าหน้าที่ทั้งหมดที่เจ้าปฏิบัติอยู่ในเวลานี้ล้วนเกี่ยวเนื่องกับงานข่าวประเสริฐ  บนพื้นฐานนี้ ทุกคนก็ควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนและกระจ่างแจ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความจริงที่เชื่อมโยงกับการประกาศข่าวประเสริฐมิใช่หรือ?  (ใช่)  ด้วยส่วนเสริมในวันนี้ พวกเจ้าย่อมได้เห็นน้ำหนักและความสำคัญของหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐอย่างชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นท่าทีที่เหมาะสมและถูกควรที่สุดที่พึงมีต่อความจริงนี้ในอนาคตคืออะไร?  การเผยแผ่ข่าวประเสริฐคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะสิ้นสุดยุคเก่านี้ และนำผู้คนอีกมากมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ออกจากยุคเก่าเข้าสู่ยุคใหม่  นี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าใจ  บางคนอาจกล่าวว่า “ฉันเข้าใจ แต่ไม่สามารถรวบรวมแรงฮึดสู้ที่จำเป็นในการประกาศข่าวประเสริฐ และไม่มีใจที่จะทำในส่วนของตนเอง”  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  (ไม่มีความเป็นมนุษย์)  ถูกต้อง  เจ้ายอมรับว่าตัวเจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นผู้ติดตามพระเจ้า แต่เมื่อเป็นเรื่องเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่พระองค์มักทรงตักเตือนทุกคน เจตนารมณ์อันเร่งด่วนของพระองค์ที่อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างชัดเจน หากเจ้าไม่ให้ความสนใจและไม่ใส่ใจ นั่นย่อมทำให้เจ้าเป็นคนเช่นใด?  นั่นย่อมสำแดงถึงการไร้ความเป็นมนุษย์  เจ้าต้องการเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ อยากกล่าวว่าพระองค์คือพระเจ้าของเจ้า คือองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า แต่พอเป็นเรื่องเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้ากลับไม่สนใจโดยสิ้นเชิง และไม่คำนึงถึงเลย  นี่คือการไม่มีความเป็นมนุษย์ และคนเช่นนี้ย่อมไร้หัวใจ  หัวข้อนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้

คำนิยามทั้งหลายสำหรับบรรดาผู้นำและคนทำงาน และเหตุผลทั้งหลายสำหรับการทำให้พวกเขารู้จักอยู่ในที่ทางของตัวเอง

ต่อไป พวกเรามาเสวนาถึงกลุ่มที่สองคือคนที่ปฏิบัติหน้าที่ผู้นำและคนทำงานกันเถิด  แม้จะมีไม่มากนัก แต่ผู้คนดังกล่าวก็มีบทบาทสำคัญในแง่ธรรมชาติของงานที่พวกเขาทำ  หน้าที่ของผู้นำและคนทำงานยังเกี่ยวข้องกับความจริงมากมายอีกด้วย—เกี่ยวข้องกับความจริงมากกว่าการประกาศข่าวประเสริฐเสียอีก  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  หน้าที่เหล่านี้มีขอบข่ายที่กว้างมาก  ในแง่หนึ่ง หน้าที่เหล่านี้ก็คือการเผยแผ่งานข่าวประเสริฐสู่ภายนอก ส่วนอีกแง่หนึ่งคือการให้น้ำและมอบสิ่งหล่อเลี้ยงแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเป็นการภายใน บริหารจัดการชีวิตคริสตจักรให้ดี รวมทั้งจัดการเรื่องราวในคริสตจักรและแก้ปัญหาสารพัดชนิด  กล่าวคือ ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจความจริงมากขึ้น มีการวางข้อกำหนดสำหรับพวกเขาที่เข้มงวดยิ่งขึ้นในแง่หลักธรรมของการปฏิบัติบางประการ และพวกเขาก็ต้องมีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น  การเป็นผู้นำหรือคนทำงานเกี่ยวพันกับการปฏิบัติและการเข้าสู่ความจริงในแง่ต่างๆ เส้นทางที่ผู้คนเดิน รวมถึงแง่มุมอื่นๆ อีกมากมาย  เมื่อเทียบกับการปฏิบัติหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐแล้ว การเป็นผู้นำหรือคนทำงานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเข้าสู่ชีวิตมากกว่า และจำเป็นต้องสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอีกด้วย  นี่หมายความว่าความจริงต่างๆ ที่สัมพันธ์กับวิธีการทำงานของผู้นำให้ดีนี้มีจำนวนมากกว่าและมีขอบข่ายกว้างกว่า  แต่ไม่ว่าจะมีมากเท่าใดก็ยังคงอยู่ภายใต้หัวข้อหลักไม่กี่หัวข้อ ฉะนั้นพวกเรามาพูดถึงหัวข้อเหล่านี้ไปทีละข้อทีละประเด็นกันเถิด แล้วพวกเจ้าก็จะเข้าใจไปทีละน้อย  พวกเรามาเริ่มด้วยการพูดถึงคำนิยามสำหรับผู้นำและคนทำงานกันเถิด  เหตุใดจึงจำเป็นต้องนิยามคำเหล่านี้?  คำนิยามก็เหมือนการกำหนดตำแหน่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กล่าวคือ เป็นการบอกให้ผู้คนรู้ถึงธรรมชาติและขอบข่ายความรับผิดชอบของหน้าที่เหล่านี้ รวมทั้งชื่อเรียกอีกด้วย—กล่าวอีกนัยหนึ่งคือควรเรียกพวกเขาว่าอะไร  เมื่อนิยามหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำแล้ว ผู้คนย่อมมีความกระจ่างแจ้งในจิตใจว่าผู้คนกลุ่มนี้มีฐานะเช่นไรในพระทัยของพระเจ้า พระองค์ทรงเรียกร้องสิ่งใดจากพวกเขา และทรงมีข้อกำหนดเช่นไรแก่พวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ เส้นทางใดที่พวกเขาควรเดิน และควรปฏิบัติตามหลักธรรมใด  ไม่ว่าพวกเขาจะหนุ่มสาวหรือสูงวัย มีฐานะสูงส่งหรือมีต่ำต้อย และไม่ว่าจะมีภูมิหลังเช่นใดก็ตาม พระเจ้าได้ทรงกำหนดมาตรฐานให้กับผู้คนดังกล่าวไว้แล้ว  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีความจริงซึ่งผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต้องเข้าใจ มีหลักธรรมความจริงที่พวกเขาควรจับความเข้าใจและปฏิบัติตาม และมีบางเส้นทางที่พวกเขาควรเดินตาม  แล้วโดยปกติมีการนิยามผู้ที่ได้รับเลือกสรรจากบรรดาผู้ติดตามพระเจ้าให้นำและทำงานไว้ว่าอย่างไร?  คำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำคืออะไร?  ผู้คนเชื่อว่าคำนิยามคืออะไร?  แล้วที่จริงผู้คนดังกล่าวมีสถานะเช่นไรในหัวใจของผู้อื่น?  นี่เชื่อมโยงกับการนิยามอัตลักษณ์และสถานะของผู้คนดังกล่าวมิใช่หรือ?  คนอื่นๆ วางตำแหน่งของผู้คนกลุ่มนี้ไว้ในหัวใจของตนอย่างไร?  เป็นอัครทูตหรือไม่?  ไม่ใช่  เป็นสาวกหรือไม่?  ไม่ใช่สาวกเช่นกัน  มีใครเรียกพวกเขาว่าผู้เลี้ยงหรือไม่?  (มี)  คำว่า “ผู้เลี้ยง” เป็นชื่อเรียกที่เหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใด?  (เป็นตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง)  ผู้คนปฏิบัติบทบาทหน้าที่ของผู้เลี้ยงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ในเมื่อพวกเขาไม่ใช่อัครทูตหรือสาวก แล้ว “ผู้เลี้ยง” ก็ไม่เหมาะควรเช่นกัน แล้วชื่อใดเหมาะสมกับผู้คนที่ปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ที่สุดกันแน่?  คำที่เหมาะสมกว่าคืออะไร?  (ผู้เฝ้าระวัง)  คำว่า “ผู้เฝ้าระวัง” เหมาะสมกระนั้นหรือ?  เรามองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างชื่อนี้กับ “ผู้เลี้ยง” เลย  นี่เป็นชื่อที่ฟังดูโอ่อ่า แต่งานที่ผู้คนเหล่านี้ทำกลับเล็กน้อย  ชื่อเรียกเหล่านี้จึงไม่เหมาะสมสักชื่อ  ดังนั้น จากธรรมชาติของหน้าที่ที่ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติ อะไรคือชื่อและคำนิยามที่เหมาะสมกว่า?  หลักธรรมในการนิยามผู้คนดังกล่าวคืออะไร?  คำนิยามต้องตรงกับธรรมชาติของงาน อัตลักษณ์ รวมถึงสถานะของพวกเขา และต้องถูกต้องจริงๆ ไม่โอ่อ่าจนเกินไป  หากพวกเรานิยามผู้คนเหล่านี้ว่าเป็น “อัครทูต” นั่นก็จะเลิศลอยเกินไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  หรือหากเป็น “ผู้เฝ้าระวัง” เล่า?  (นั่นก็จะยิ่งเลิศลอยเข้าไปใหญ่)  เจ้าสามารถเฝ้าสอดส่องดูแลผู้คนได้หรือ?  หากทำไม่ได้ เจ้าก็ไม่ใช่ผู้เฝ้าระวัง  แล้ว “ผู้เลี้ยง” เล่า?  “ผู้เลี้ยง” หมายถึงใคร?  (ผู้คนที่ดูแลฝูงแกะ)  หมายถึงผู้คนที่ดูแลและเฝ้าระวังฝูงแกะ  แท้จริงแล้วชื่อนี้เหมาะกับกลุ่มนี้ตามธรรมชาติของงานที่พวกเขาทำเท่านั้น  อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสิ่งที่ผู้คนสามารถแบกรับได้ในทุกวันนี้ สิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ได้ และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขา ชื่อ “ผู้เลี้ยง” นี้เหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  นี่ค่อนข้างเลิศลอยไปสักนิด  พวกเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ และชื่อนี้ก็ไม่ตรงกับธรรมชาติหรือขอบข่ายงานที่ผู้คนทำในทุกวันนี้  เห็นได้ชัดว่าชื่อเรียกนี้ไม่เหมาะสมกับพวกเขา  เช่นนั้นแล้วควรนิยามผู้คนกลุ่มนี้อย่างไรจึงจะเหมาะที่สุด?  (เป็นผู้นำและคนทำงาน)  วลีนี้ค่อนข้างเหมาะสมทีเดียว

เหตุใดจึงมีกลุ่มคนที่เป็นผู้นำและคนทำงาน?  พวกเขาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  ในวงกว้างนั้น พระราชกิจของพระเจ้าจำเป็นต้องมีพวกเขา ในวงแคบลงมา งานของคริสตจักรจำเป็นต้องมีพวกเขา ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำเป็นต้องมีพวกเขา  ไม่ว่าอัตลักษณ์หรือสถานะของพวกเขาจะเป็นเช่นใด และไม่ว่าพวกเขาจะมีบทบาทอย่างไร พวกเขาก็เท่าเทียมกับสมาชิกทั่วไปของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร อัตลักษณ์และสถานะของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก็เหมือนกัน  แม้จะมีคำว่า “ผู้นำและคนทำงาน” อยู่ในคริสตจักร และแม้บุคคลเหล่านี้จะเป็น “ผู้นำ” และเป็น “คนทำงาน” ที่ปฏิบัติหน้าที่แตกต่างจากพี่น้องชายหญิงของตน แต่ชื่อที่เรียกว่า “สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง” เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก็ยังคงเหมือนกัน อัตลักษณ์นี้จะไม่เปลี่ยนแปลง  ความแตกต่างระหว่างผู้นำและคนทำงานกับสมาชิกทั่วไปของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งในหน้าที่ที่พวกเขาปฏิบัติ  ลักษณะที่พิเศษนี้แสดงให้เห็นอยู่ในบทบาทผู้นำของพวกเขาเป็นหลัก  ตัวอย่างเช่น ไม่ว่าคริสตจักรหนึ่งจะมีผู้คนกี่คน ผู้นำก็คือหัวหน้า  ดังนั้นผู้นำคนนี้มีบทบาทอันใดในหมู่สมาชิก?  พวกเขานำประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักร  แล้วพวกเขามีผลต่อคริสตจักรทั้งมวลอย่างไร?  หากผู้นำคนนี้ใช้เส้นทางที่ผิด ทุกคนในคริสตจักรก็จะติดตามพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด ซึ่งจะส่งผลต่อประชากรทุกคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรเป็นอย่างมาก  จงดูเปาโลเป็นตัวอย่าง  เขานำทางคริสตจักรมากมายที่เขาก่อตั้งและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  เมื่อเปาโลออกนอกลู่นอกทาง คริสตจักรและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่เขานำก็พลอยออกนอกลู่นอกทางไปด้วย  ดังนั้นเมื่อผู้นำแยกไปใช้เส้นทางของตนเองที่ต่างออกไป พวกเขาไม่ใช่พวกเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ คริสตจักรทั้งหลายและประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรซึ่งพวกเขานำทางอยู่นั้นย่อมได้รับผลกระทบเช่นกัน  หากผู้นำเป็นบุคคลที่ใช่ เป็นบุคคลหนึ่งที่เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้วผู้คนที่พวกเขานำย่อมจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและไล่ตามเสาะหาความจริงตามปกติ และในเวลาเดียวกัน ประสบการณ์ชีวิตและความก้าวหน้าของผู้นำก็จะปรากฏแก่สายตาของผู้อื่นและส่งผลต่อผู้อื่น  ดังนั้นเส้นทางที่ถูกต้องที่ผู้นำควรเดินคือสิ่งใด?  คือการสามารถนำผู้อื่นไปสู่การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความจริง และนำผู้อื่นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เส้นทางที่ไม่ถูกต้องคือสิ่งใด?  คือการไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ อวดตนและเป็นพยานให้ตนเองบ่อยๆ ไม่เคยเป็นพยานให้พระเจ้า  การนี้ส่งผลต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอย่างไร?  (เป็นการนำพวกเขามาอยู่เบื้องหน้าตนเอง)  พวกเขาจะไถลห่างไปไกลจากพระเจ้าและมาอยู่ใต้การควบคุมของผู้นำผู้นี้  หากเจ้านำผู้คนมาอยู่ต่อหน้าเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้าบุคคลที่เสื่อมทราม และเจ้ากำลังนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้าซาตาน ไม่ใช่พระเจ้า  มีเพียงการนำผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าความจริงเท่านั้นที่เป็นการนำพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เหล่าผู้นำและคนทำงานมีอิทธิพลโดยตรงต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่ว่าพวกเขาจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องหรือเส้นทางที่ผิดก็ตาม  เมื่อพวกเขายังไม่เข้าใจความจริง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่ย่อมติดตามอย่างมืดบอด  ผู้นำอาจเป็นใครบางคนที่ดี และบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะติดตามพวกเขา ผู้นำอาจเป็นใครบางคนที่แย่ และผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ยังจะติดตามพวกเขาเช่นกัน—คนเหล่านั้นไม่แยกแยะ  ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเดินตามเพราะพวกเขาได้รับการนำ ไม่ว่าผู้นำจะเป็นใครก็ตาม  ดังนั้นแล้วจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่คริสตจักรต้องเลือกคนดีมาเป็นผู้นำของตน  เส้นทางที่คนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ละคนเดินนั้นสัมพันธ์โดยตรงกับเส้นทางที่ผู้นำของพวกเขาเดิน และสามารถได้รับอิทธิพลจากผู้นำและคนทำงานเหล่านั้นได้ในระดับที่ต่างกัน  พวกเรามาเริ่มต้นด้วยการสามัคคีธรรมกันในสองเส้นทางนี้ที่ว่าด้วยความจริงอันหลากหลายเกี่ยวกับหน้าที่ของผู้นำและคนทำงานกันเถิด—ด้านหนึ่งคือเส้นทางที่ถูกต้อง อีกด้านหนึ่งคือเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง  ในเส้นทางทั้งสองนี้ พวกเราควรสามัคคีธรรมถึงเส้นทางใดก่อน?  (เส้นทางที่ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดพวกเจ้าจึงเลือกเส้นทางนี้?  ควรเสวนาถึงเส้นทางที่ถูกต้องหรือเส้นทางที่ไม่ถูกต้องก่อนกัน?  (เส้นทางที่ไม่ถูกต้อง)  แท้จริงแล้วก็ถูกทั้งคู่—แต่เส้นทางที่พวกเรานำมาเสวนาก่อนย่อมจะให้ผลที่ต่างกันออกไป  หากพวกเราเริ่มต้นด้วยการเสวนาถึงเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ผู้คนย่อมสามารถค้นพบเส้นทางที่ถูกต้องภายในเส้นทางที่ไม่ถูกต้องได้มากขึ้น และจะพบความรู้หรือสิ่งที่เป็นลบมากมายด้วยเช่นกัน ซึ่งพวกเขาสามารถใช้ตักเตือนตัวเองได้  พวกเขาสามารถได้รับสิ่งที่เป็นบวกจากการนี้ จากนั้นหากพวกเราเสวนาถึงเส้นทางที่ถูกต้องกันต่อไป ผู้คนย่อมจะสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นบวกได้ในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้นและอย่างรวดเร็วมากขึ้น  โดยพื้นฐานแล้ว แนวทางนี้ใช้การได้ และนี่ก็มีประโยชน์ต่อผู้คน  เพราะฉะนั้นพวกเรามาเริ่มโดยการเสวนาถึงเส้นทางที่ไม่ถูกต้องกันเถิด

กลวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ควบคุมผู้คน

เมื่อคัดเลือกคนคนหนึ่งมาเป็นผู้นำหรือคนทำงานและเขาได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนแล้ว เขาควรนำพฤติกรรมบางอย่างมาใช้หรือไม่?  บางคนถามว่า “พฤติกรรมอะไร?  เขาควรขี่เมฆหรือสั่งลมสั่งฝนหรือ?”  ไม่ใช่ทั้งคู่  แม้เขาไม่ควรขี่เมฆหรือสั่งลมสั่งฝน และแน่นอนว่าไม่ควรกู่ร้องลงมาจากหลังคา แต่เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทรามซึ่งมีอุปนิสัยและแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของซาตาน ในห้วงเวลาดังกล่าว ทุกคนจึงรู้สึกถึงกำลังบังคับที่สะท้านสะเทือนอยู่ในส่วนลึกของตน  พวกเขาทุกคนมีความทะเยอทะยานอันสูงส่ง และรู้สึกถึงแรงขับเคลื่อนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานของตน โอ้อวดทักษะของตน ทำให้เป็นจุดสนใจ และทุ่มเทจนสุดกำลัง  ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งเสวนากันว่าแรงขับเคลื่อนแบบนี้ถูกหรือผิด  เมื่อใครบางคนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว พวกเขาย่อมเก็บงำความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่งเอาไว้ลึกๆ ภายในใจ  ที่ว่าซับซ้อนนี้เราหมายความว่าอย่างไร?  บางคนเชื่อว่าการได้รับเลือกเป็นผู้นำนั้นไม่ง่ายเลย และแม้พวกเขาจะไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ และไม่รู้ว่าเส้นทางในอนาคตของตนจะเป็นอย่างไร แต่โดยธรรมชาติของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาดีใจมากกับโอกาสนี้ มีความสุขมากที่จะยอมรับหน้าที่รับผิดชอบอันมีเกียรติและภาระหนักหนาเช่นนี้ไว้  นอกจากนี้ ลึกลงไปพวกเขายังรู้สึกว่าตนโชคดีและพอใจในตนเองอยู่บ้าง  พวกเขารู้สึกโชคดีในเรื่องใด?  พวกเขาเชื่อว่า “ฉันได้รับเลือกจากคนอื่นๆ ตั้งหลายสิบคน—ฉันต้องโดดเด่นและมีความสามารถอย่างมาก  ฉันต้องเก่งกว่าคนทั่วไป มีความตระหนักรู้ที่ดีกว่าและมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากกว่าคนส่วนใหญ่  ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี สละตนและทุ่มเทความพยายามอย่างมาก  ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าฉันมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำในคริสตจักร ชี้แนะผู้คนในการเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าและการเข้าใจความจริง  มีผู้คนที่ฉลาดกว่า มีการศึกษาสูงกว่า และพูดจาฉะฉานกว่าฉันมากมายนัก แล้วทำไมฉันถึงได้รับเลือกแทนที่จะเป็นพวกเขาเล่า?  นี่แสดงให้เห็นว่าฉันมีความสามารถและมีความเป็นมนุษย์ที่ดี  นี่คือพระคุณของพระเจ้า”  นี่คือสิ่งที่พวกเขาบอกตัวเองอยู่ในใจ  มีคำว่า “พระคุณของพระเจ้า” ต่อท้าย แต่จริงๆ แล้วความคิดที่แท้จริงและความเข้าใจที่แท้จริงของพวกเขาอยู่ในช่วงแรกพวกเขาพูดกับตัวเอง  พวกเขาคิดว่า “แม้ฉันจะไม่ได้แข่งขันหรือต่อสู้เพื่อตำแหน่งนี้ แต่ฉันก็ยังได้รับเลือก  แล้วตอนนี้ฉันควรทำอย่างไร?  ฉันจะทำให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้ ฉันต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่!”  แล้วพวกเขาทุ่มเทอย่างเต็มที่อย่างไร?  วันแรกที่มาทำงาน พวกเขาเรียกผู้ดูแลของแต่ละทีมเข้าชุมนุม พวกเขาแสดงพฤติกรรมบางอย่างและมีพลังงานบางอย่างออกมา  พลังงานประเภทใด?  พวกเขากระทำการอย่างฉับไวและเฉียบขาด หมายความตามที่พูด กระตือรือร้นที่จะเริ่มต้นอย่างน่าประทับใจ  ก่อนอื่นพวกเขาพยายามแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด จากนั้นก็พยายามทำให้ผู้คนรู้จักแยกแยะและละทิ้งผู้นำคนก่อน  พวกเขากล่าวว่า “วันนี้พวกเรามาใช้เวลาบางส่วนชำแหละผู้นำคนก่อนกันก่อนเถิด ยกตัวอย่างเช่น วิธีการที่เขาใช้ตีกรอบผู้คน เขาละเลยหรือมีข้อเสียในงานด้านใดบ้าง และอื่นๆ—พวกเราสามารถสามัคคีธรรมเรื่องทั้งหมดนี้ได้  เมื่อสามัคคีธรรมเสร็จสิ้น และพวกคุณก็จะมีวิจารณญาณแยกแยะที่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้นำคนก่อน สามารถละทิ้งเขา ไม่ถูกเขาตีกรอบเอาไว้ และไม่ถวิลหาเขาอีกต่อไป เมื่อนั้นก็นับได้ว่าพวกคุณมีความเข้าใจ ทั้งยังมีความจงรักภักดีและนบนอบพระเจ้า  ในการชุมนุมวันนี้ พวกเราจะเริ่มด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์คนก่อน  พวกเรามาเปิดโปงเขากันเถิด”  ทุกคนกล่าวตอบว่าพวกตนสามัคคีธรรมเรื่องนี้กันไปแล้ว และได้แยกแยะแล้วว่าผู้นำคนก่อนเป็นผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้พวกเขาเปิดโปงอีก  แต่ผู้นำใหม่เหล่านี้กลับไม่เห็นด้วย และพวกเขาเริ่มเรียกให้ผู้คนสามัคคีธรรมทีละคน  การสามัคคีธรรมของคนบางคนไม่ถูกใจพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้พี่น้องชายหญิงคนหนึ่งที่สนิทกับผู้นำคนก่อนมากที่สุดมาเปิดโปงและชำแหละผู้นำคนนั้น แต่หลังจากฟังสามัคคีธรรมนี้แล้ว ผู้นำคนใหม่เหล่านี้ก็คิดว่า “คนคนนี้ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะผู้นำคนก่อน และยังไม่ละทิ้งผู้นำคนก่อนอีกด้วย  ดูราวกับว่าผู้นำคนก่อนยังคงมีที่ทางในหัวใจของคนคนนี้  จะให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด วันนี้ฉันต้องคิดหาทางเปิดโปงผู้นำคนก่อนอย่างหมดเปลือก”  หลังจากนั้นพวกเขาก็เรียกใครบางคนที่ไม่ถูกกับผู้นำคนก่อนเป็นที่สุดให้ลุกขึ้นมาเปิดโปงผู้นำคนนั้น  เมื่อคนคนนั้นเปิดโปงผู้นำคนก่อน พวกเขาจึงค่อยรู้สึกพอใจและคิดว่าคนคนนี้คู่ควรแก่การบ่มเพาะ  แล้วพวกเขาต้องการบ่มเพาะสิ่งใด?  พวกเขาต้องการบ่มเพาะผู้สมรู้ร่วมคิด บ่มเพาะขุมกำลังของตนเอง  การชุมนุมครั้งแรกดำเนินไปเช่นนี้  หลังการชุมนุมครั้งนี้ พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนหรือไม่?  ไม่ทั้งหมดหรือไม่รวดเร็วขนาดนั้น  พวกเขากำลังวางแผนใดอยู่ในใจ?  “ไม่มีอะไรเข้าใจยากไปกว่าหัวใจมนุษย์ และไม่มีอะไรร้ายกาจยิ่งกว่าหัวใจมนุษย์  ฉันต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าแต่ละคนคิดอย่างไรกับผู้นำคนก่อน และต้องชัดเจนว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับฉัน รู้เรื่องราวในอดีตของฉันบ้างหรือไม่ และพวกเขารู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับฉันหรือไม่ แล้วท้ายที่สุดก็แสดงให้พวกเขาทุกคนเห็นว่าฉันไม่ใช่คนที่จะมาวอแวได้  แต่ฉันต้องเลือกวิธีการและชั้นเชิงให้รอบคอบ  ฉันไม่อาจเปิดเผยเจตนาของตัวเองได้ ฉันต้องปิดบังเอาไว้”  แล้วความคิด วิธีการทำงาน และแรงจูงใจทั้งหมดนี้มาจากไหน?  มาจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขา  พวกเจ้ามีการสำแดงเช่นนี้บ้างหรือไม่?  วันที่พวกเจ้าได้รับเลือกเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเจ้าอาจเริ่มต้นด้วยการเตือนตัวเองไม่ให้เดินไปบนเส้นทางที่ผิด ไม่เดินไปบนเส้นทางของผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์  พวกเจ้าอาจบอกตัวเองว่าตัวเจ้าต้องปล่อยมือจากสถานะ และไม่ทำงานเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือสถานะของตนเอง หรือถูกความอยากได้อยากมีชักจูงขณะทำงาน แต่ให้ทุ่มเททำหน้าที่ของตนและจงรักภักดีต่อพระเจ้า  กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไป กลับมีคนที่อดใจไม่ไหว และทันทีที่พวกเขาพูดหรือกระทำการ เป้าหมายของพวกเขากลับชัดเจนมาก—พวกเขาพยายามเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงและเอาชนะใจผู้คนในทันที  เมื่อใครสักคนเผยวี่แววของความไม่พอใจหรือการต่อต้านแม้เพียงเล็กน้อย นั่นย่อมทำให้พวกเขาขุ่นเคือง และแม้จะกีดกันหรือเล่นงานคนคนนั้นอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่ลึกลงไปพวกเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนคนคนนั้นมาก  แล้วพวกเขาสำแดงความรู้สึกสะอิดสะเอียนนี้ออกมาอย่างไร?  (พวกเขาเพิกเฉยต่อคนคนนั้น)  การเพิกเฉยต่อคนคนนั้นเป็นการสำแดงอย่างเงียบๆ แล้วการกระทำที่เฉพาะเจาะจงใดเกี่ยวข้องกับความสะอิดสะเอียนนี้?  ตัวอย่างเช่น พวกเขาจัดให้ผู้คนที่ตนชอบนั่งตรงหน้าพวกเขาเวลาชุมนุม และหาเหตุมาจัดให้คนที่ตนไม่ชอบนั่งอยู่ห่างๆ  นี่คือการเล่นงานใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือการเริ่มเล่นงานของพวกเขา  พวกเขากำลังลงมืออยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  การกระทำนั้นจริงจังและร้ายแรงกว่าคำพูดหรือความคิด  เหตุใดจึงร้ายแรงกว่า?  การคิดสิ่งใดแต่ไม่ลงมือทำ—เกิดจากจิตใจและความคิดของคนเราเท่านั้น  แต่ทันทีที่มีการกระทำ นั่นย่อมกลายเป็นข้อเท็จจริง  เมื่อกลายเป็นพฤติกรรม ก็ไม่ได้เป็นเพียงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน แต่เป็นการทำชั่ว  หลังจากที่ผู้คนได้รับเลือกให้เป็นผู้นำแล้ว พวกเขาย่อมนำความปรารถนา ความทะเยอทะยาน และความใฝ่ฝันของตนเข้ามาในงานที่ตนทำและหน้าที่ที่ตนปฏิบัติ  แต่การสำแดงซึ่งมนุษย์ทุกคนที่มีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตานมีร่วมกันคืออะไร?  พวกเขาทุกคนมีสิ่งใดที่เหมือนกัน?  พวกเขาพยายามยึดอำนาจและเสริมสร้างสถานะของตนเองให้มั่นคง  แล้วพวกเขาพยายามยึดอำนาจด้วยวิธีการใด?  ก่อนอื่นพวกเขาเฝ้าสังเกตในกลุ่มต่างๆ ที่พยายามประจบประแจงและเข้ามาใกล้ชิดพวกเขา  จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปตีสนิทกับผู้คนเหล่านั้นอย่างแข็งขัน สร้างเครือข่ายที่ไม่เปิดเผยและทำตัวให้คนเหล่านั้นชื่นชอบ ไม่ว่าจะด้วยการประจบสอพลอหรือเสนอประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ผู้คนเหล่านี้—ซึ่งมีความชอบส่วนตน ความสนใจ และความทะเยอทะยานอันแรงกล้าร่วมกัน หรือมีธรรมชาติที่เหมือนกัน—กลายเป็นผู้ติดตามที่ภักดีสุดขั้ว และยอมผนึกกำลังกับพวกเขา  แล้วเป้าหมายที่ในการให้ผู้คนเหล่านั้นผนึกกำลังกับพวกเขาคืออะไร?  เพื่อเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงและขยายขอบข่ายขุมกำลังของตน  เมื่อพวกเขาได้อำนาจ ก็ไม่ใช่แค่เรื่องที่ว่าพวกเขามีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเพียงเท่านั้น—พวกเขาต้องการให้มีผู้คนมาติดตามพวกตนมากขึ้น สนับสนุนพวกตน และออกหน้าพูดแทนพวกตนด้วย เพื่อที่ว่าแม้ในยามที่พวกเขาพูดอะไรผิด ทำเรื่องไม่ดี หรือเล่นงานและควบคุมผู้คน ก็จะมีคนที่ทำตามที่พวกเขาพูดและเห็นชอบกับพวกเขาอยู่ดี  นี่คือเป้าหมายของพวกเขา  เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเบื้องบนพบว่าพวกเขามีปัญหาและปลดพวกเขาในวันหนึ่ง ก็จะมีผู้คนออกหน้าพูดแทนพวกเขาอย่างสุดกำลัง ตั้งรับแทนพวกเขา และพยายามปกป้องชื่อเสียงให้พวกเขาอยู่ดี  แล้วพวกเขากำลังใช้วิธีการใดในการกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เช่นนี้?  เอาชนะใจผู้คน  พวกเขาใช้วิธีการเอาชนะใจผู้คนมาเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงและขยายขอบข่ายกองกำลังของตน  นี่คือหนึ่งในวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ยึดอำนาจ

เมื่อพูดถึงกลวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้เพื่อเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคงนั้น วิธีแรกคือการเอาชนะใจผู้คน ส่วนวิธีที่สองคือเล่นงานและกีดกันคนเห็นต่าง  การเอาชนะใจผู้คนหมายความว่าพวกเขาใช้วิธีการเอาชนะใจผู้คนซึ่งก็คือคนที่เอาอกเอาใจพวกเขา เข้ามาใกล้ชิดพวกเขา ไว้วางใจพวกเขา และติดตามพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะถูกหรือผิดก็ตาม  ส่วนการเล่นงานและกีดกันคนเห็นต่างนั้นหมายความว่าพวกเขามองทุกคนที่เข้าใจความจริง คนที่สามารถแยกแยะพวกเขาได้ หลีกเลี่ยงจากการติดตามพวกเขา และอยู่ห่างจากพวกเขาว่าเป็นศัตรู  พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้เหมือนตะปูทิ่มตาและเป็นหนามยอกอกของพวกเขา และกลวิธีที่พวกเขาใช้กับผู้คนเหล่านี้ก็คือการเล่นงานและกีดกัน  ตัวอย่างเช่น สมมุติศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่ตนสามัคคีธรรม ผู้คนพากันกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก บ้างก็จดบันทึกหรือบันทึกลงในเครื่องบันทึกเสียง  มีพี่น้องหญิงที่ยังสาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยจดหรือพูดอะไรเลย  ดังนั้นเขาจึงคิดในใจว่า “เธอมีปัญหากับฉันใช่ไหม?  หรือเธอคิดว่าฉันสามัคคีธรรมไม่ดี?  ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่ฉันมาถึง คนอื่นต่างก็ทักทายและพยักหน้าให้ฉันอย่างเป็นมิตร รินน้ำให้และเชิญฉันนั่ง แต่เธอไม่เคยปฏิบัติต่อฉันแบบนั้นเลย  ดูเหมือนเธอไม่ยอมอ่อนข้อให้ฉัน—ฉันต้องคิดหาทางและหาโอกาสสอนบทเรียนให้เธอ!  ฉันควรมองหาโอกาสแบบไหน?  ฉันจะจัดแจงให้เธอไปจัดการเรื่องที่เธอแน่ใจว่าทำได้ไม่ดี—นั่นจะทำให้ฉันมีเหตุผลที่จะว่ากล่าวสั่งสอนเธอ  นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะทำให้เธออ่อนข้อให้ฉัน”  จากนั้นเขาก็จัดแจงให้พี่น้องหญิงคนนี้ไปทำงานในที่ที่อันตราย  เขาคิดว่า “ฉันจะให้เธอไปประกาศข่าวประเสริฐแก่ศิษยาภิบาลสูงอายุในศาสนา คนที่เป็นเฒ่าหัวงูหน่อยๆ และไม่ยอมรับความจริง  มาดูกันว่าเธอจะทำให้เขารับเชื่อได้ไหม  ถ้าทำไม่ได้ เธอจะพูดแก้ตัวว่าอย่างไร?  ถ้าไม่ยอมอ่อนข้อให้ฉัน ฉันก็จะขับเธอออกไป!”  และแล้วเขาก็ไปบอกเธอว่า “ตอนนี้พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ยกย่องคุณมาก  คุณเองก็เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีและเข้าใจความจริงมากมาย  มีศิษยาภิบาลในศาสนาอยู่คนหนึ่งที่รู้พระคัมภีร์ดี และคุณก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะไปประกาศข่าวประเสริฐแก่เขา”  เมื่อพี่น้องหญิงพบกับศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลเห็นว่าเธอทั้งสาวและสวย จึงชอบเธอขึ้นมา—เขาถึงกับลวนลามเธอบ้าง  เมื่อกลับมา พี่น้องหญิงจึงบอกว่าเธอไม่อยากกลับไปอีก ซึ่งศัตรูของพระคริสต์ก็ตอบว่า “คริสตจักรมอบหมายให้คุณประกาศข่าวประเสริฐแก่เขา  นี่เป็นหน้าที่ของคุณ คุณต้องไป!”  ได้ยินเช่นนี้ พี่น้องหญิงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตาม และผลก็คือเธอร้องไห้ทุกครั้งที่กลับมา  ผู้นำคนนี้ทำเรื่องเช่นนี้ได้เพื่อเล่นงานและตอบโต้ผู้อื่น  นี่คือคนเช่นใด?  คนชั่ว  หากเขาเป็นหญิง ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะไปหรือไม่?  (ไม่)  ไม่ไปแน่นอน  เขาจะหลีกเลี่ยงยิ่งกว่าใคร  เขาดูว่าใครที่ทำให้ตนไม่พอใจ ใครที่กลั่นแกล้งได้ง่าย ใครไม่ยอมอ่อนข้อให้ตนและไม่ประจบประแจงตน จากนั้นก็หาโอกาสวางอุบายเล่นงานและแก้แค้นผู้คนเหล่านี้  จงบอกเราเถิดว่า เวลาใครบางคนมีเจตนาที่ไม่ดีและชั่ว พวกเขาย่อมสามารถทำเรื่องเลวร้ายสารพัดอย่างได้มิใช่หรือ?  แล้วเจตนาที่ไม่ดีและชั่วเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?  หนึ่งในเหตุผลหลักคือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาไม่ดีและมุ่งร้ายจนเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งก็คือพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  เมื่อผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่กล้าทำ พวกเขาจะไม่เพียงทำร้ายผู้อื่น แต่ถึงกับทำเรื่องต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น การตัดสินและขายพระเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตน—การทำร้ายผู้คนจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับพวกเขา  ไม่ว่าจะทำร้ายผู้อื่นมากเพียงใด พวกเขาก็จะไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาไม่มีความเห็นใจผู้อื่น และมุ่งร้ายอย่างถึงแก่น  และศัตรูของพระคริสต์คนนี้มีเป้าหมายใดในยามที่ผลักพี่น้องหญิงคนนี้ลงสู่บ่อไฟ?  เขาไม่ได้ทำเช่นนี้เพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเพื่อให้ได้ผู้คนมา นี่เป็นเพียงการทรมานเธอเท่านั้น  เขาจะทรมานผู้คนประเภทใด?  หากเป็นคนที่ยอมคล้อยตามและเชื่อฟังพวกเขา เขาจะทรมานคนเหล่านั้นหรือไม่?  ไม่ เขาจะไม่ทำ  แล้วเหตุใดพี่น้องหญิงคนนี้จึงถูกปฏิบัติเช่นนี้?  (เพราะเธอไม่อ่อนข้อให้เขา)  เพราะเธอไม่อ่อนข้อให้เขา ไม่เอาอกเอาใจเขา ไม่ทำตามที่เขาบอก หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างคนสำคัญ แต่กลับดูหมิ่นเขา เธอจึงถูกปฏิบัติเช่นนี้และถูกทำร้ายด้วยเหตุนี้  เวลาที่ศัตรูของพระคริสต์ทำร้ายผู้คนในลักษณะนี้ โดยทั่วไปแล้วคนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริงจะมีปฏิกิริยาเช่นใด?  พวกเขาจะคิดในใจว่า “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจควบคุมมากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ  ตอนนี้พวกเราอยู่ใต้การควบคุมของคนคนนี้ ดังนั้นก็ควรทำตามที่เขาบอก ไปตามที่เขาสั่ง  คนอื่นปฏิบัติตนกับเขาอย่างไร พวกเราก็ควรปฏิบัติตนเช่นนั้น  พวกเราต้องทำตัวกลมกลืนไปกับกลุ่ม  ควรเอาอกเอาใจเขาเหมือนที่คนอื่นทำ แล้วก็ควรทำให้ดีกว่าและใส่ใจยิ่งกว่าคนอื่น  เช่นนั้นเท่านั้นผู้นำคนนี้จึงจะเลิกยุ่งกับพวกเรา  การรับใช้ผู้นำคนนี้ไม่ง่ายเลย—พวกเราไม่ควรไปยุ่งด้วย!”  และนี่คือผลลัพธ์ที่ศัตรูของพระคริสต์ต้องการเห็นโดยแท้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ในกรณีนี้ เขาได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของตนแล้ว  นี่ก็เหมือนกลวิธีที่ซาตานใช้ทารุณผู้คนมิใช่หรือ?  (ใช่)  นี่แสดงให้เห็นสิ่งใด?  การกระทำของเขาเป็นตัวแทนของซาตาน  เขากลายเป็นช่องทางและเป็นตัวแทนของซาตาน เขากระทำการแทนมัน  การทำหน้าที่ในแบบนั้นคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริงหรือไม่?  คือการรับใช้พระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  ผู้นำเช่นนี้ไม่สมควรเรียกว่าผู้นำ—พวกเขาคือคนชั่วและเหล่าซาตาน

ทันทีที่ศัตรูของพระคริสต์กลายเป็นผู้นำ สิ่งแรกที่พวกเขาทำก็คือพยายามเอาชนะใจผู้คน พยายามทำให้ผู้คนเชื่อพวกเขา ไว้ใจพวกเขา และเกื้อหนุนพวกเขา  เมื่อสถานะของพวกเขามั่นคงแล้ว พวกเขาก็เริ่มทำตัวผิดปกติ  พวกเขาเริ่มเล่นงานและกีดกันคนเห็นต่างเพื่อปกป้องสถานะและอำนาจของตน  กับคนเห็นต่าง—โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง—พวกเขาจะพยายามทำทุกอย่าง ใช้วิธีการที่แน่วแน่ แม่นยำ และไม่ลดราวาศอก มากดขี่ เล่นงาน และทรมานผู้คน  ต่อเมื่อได้โค่นล้มและใส่ความคนที่คุกคามสถานะของตนแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงรู้สึกสบายใจ  ศัตรูของพระคริสต์เป็นเช่นนี้กันทุกคน  พวกเขาใช้ชั้นเชิงมากมายนับไม่ถ้วนนี้เพื่อเอาชนะและกดขี่ผู้คนด้วยจุดมุ่งหมายใด?  เป้าหมายของพวกเขาคือการได้อำนาจ เสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคง ชักพาผู้คนให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้  เจตนาและแรงจูงใจของพวกเขาแสดงถึงสิ่งใด?  พวกเขาปรารถนาที่จะตั้งอาณาจักรอิสระของตนเอง และต้องการต่อต้านพระเจ้า  แก่นแท้เช่นนี้ยิ่งร้ายแรงกว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเสียอีก กล่าวคือ ความทะเยอทะยานอันมักใหญ่ใฝ่สูงและกลอุบายที่คิดทรยศของซาตานได้ถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือกแล้ว  นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนโอหังและคิดว่าตนถูกอยู่บ้าง หรือบางครั้งก็หลอกลวงและโป้ปดเล็กน้อย เหล่านี้เป็นเพียงการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้เห็น  ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำล้วนเป็นไปเพื่อเอาชนะใจผู้คน เล่นงานและกีดกันคนเห็นต่าง เสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคง ยึดอำนาจ และควบคุมผู้คน  การกระทำเหล่านี้มีธรรมชาติเช่นไร?  พวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือไม่?  พวกเขากำลังนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าและมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วพวกเขากำลังทำอะไรอยู่?  พวกเขากำลังแก่งแย่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกับพระองค์ แข่งขันเพื่อช่วงชิงหัวใจของผู้คน และพยายามจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองขึ้นมา  ใครควรมีที่ทางในหัวใจของผู้คน?  พระเจ้าควรมีที่ทาง  แต่ทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง  พวกเขาไม่ยอมให้พระเจ้าหรือความจริงมีที่ทางในหัวใจของผู้คน แต่กลับต้องการให้มนุษย์ซึ่งก็คือพวกเขาที่เป็นผู้นำ และซาตาน มีที่ทางในหัวใจของผู้คน  ทันทีที่พวกเขาค้นพบว่าตนไม่มีที่ทางในหัวใจของใครบางคน และคนคนนี้ก็ไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะผู้นำ พวกเขาจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และอาจจะพยายามกดขี่และทรมานคนคนนี้  ทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์พูดและทำล้วนวนเวียนอยู่กับสถานะและความมีหน้ามีตาของตน และมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนยกย่องตน ทำให้ผู้คนอิจฉาและบูชาตน—ถึงขั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัวพวกเขา  พวกเขาต้องการทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนพระเจ้า โดยคิดว่า “ไม่ว่าฉันจะอยู่ในคริสตจักรใด ผู้คนก็ต้องฟังฉัน พวกเขาต้องทำตามที่ฉันชี้นำ  ไม่ว่าใครจะรายงานปัญหาใดต่อเบื้องบน ก็ต้องรายงานผ่านฉัน พวกเขาได้รับอนุญาตให้รายงานต่อฉันเท่านั้น และห้ามรายงานต่อเบื้องบนโดยตรง  ถ้าใครพูดคำว่า ‘ไม่’ กับฉัน ฉันก็จะลงโทษคนนั้น เพื่อให้ทุกคนที่เห็นฉันรู้สึกหวาดกลัว พรั่นพรึง และสั่นสะท้านในหัวใจ  ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าฉันออกคำสั่งหรือยืนกรานสิ่งใด ก็ต้องไม่มีใครกล้าคัดค้าน ไม่ว่าฉันจะพูดอะไร ผู้คนก็ต้องยอมปฏิบัติตามนั้น  พวกเขาต้องฟังฉันโดยสิ้นเชิง ต้องเชื่อฟังฉันทุกเรื่อง และฉันต้องเป็นคนที่ตัดสินชี้ขาดที่นั่น”  นี่เป็นน้ำเสียงที่ศัตรูของพระคริสต์พูดโดยแท้ นี่คือเสียงของศัตรูของพระคริสต์ นี่คือวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์พยายามมีอำนาจเหนือคริสตจักรทั้งหลาย  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำตามที่พวกเขาพูดและเชื่อฟังพวกเขา คริสตจักรดังกล่าวย่อมกลายเป็นอาณาจักรของศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  พวกเขากล่าวว่า “การจัดการเตรียมงานที่ออกโดยเบื้องบนต้องผ่านการตรวจสอบจากฉัน ฉันต้องรับผิดชอบพวกคุณ ฉันจึงต้องเป็นคนวิเคราะห์ถูกผิด จุดจบก็ต้องให้ฉันตัดสินใจ  พวกคุณมีวุฒิภาวะไม่มากพอ และมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ  ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับฉัน”  ผู้คนที่พูดสิ่งเหล่านี้ย่อมถือดีอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วพวกเขาโอหังเสียจนไม่มีสำนึกใดๆ!  พวกเขากำลังพยายามตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองอยู่มิใช่หรือ?  ผู้คนเช่นใดมีแนวโน้มที่จะพยายามสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมา?  นี่ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ตัวจริงเสียงจริงหรอกหรือ?  ทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์พูดและทำก็เพื่อปกป้องสถานะของตนเองมิใช่หรือ?  พวกเขากำลังพยายามชักพาผู้คนให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้มิใช่หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์?  ความหมายของคำว่า “ศัตรู” คืออะไร?  หมายถึงความเป็นขั้วตรงข้ามและความเกลียดชัง  หมายถึงความเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์ ความเป็นปฏิปักษ์กับความจริง และความเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า  คำว่า “ความเป็นปฏิปักษ์” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเป็นศัตรู ราวกับว่าตนนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังอันรุนแรงและล้ำลึก หมายถึงการอยู่ตรงข้ามกับเจ้าโดยสิ้นเชิง  นี่คือวิธีคิดที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ในการปฏิบัติต่อพระเจ้า  ผู้คนที่เกลียดพระเจ้าเช่นนี้มีท่าทีเช่นใดต่อความจริง?  พวกเขาสามารถรักความจริงได้หรือไม่?  ยอมรับความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  ฉะนั้น ผู้คนที่ยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าจึงเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง  สิ่งแรกที่แสดงออกมาในตัวพวกเขาก็คือการรังเกียจความจริงและการเกลียดชังความจริง  ทันทีที่ได้ฟังความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้า หัวใจของพวกเขาก็เกิดความเกลียดชัง และเมื่อใครสักคนอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง ใบหน้าของพวกเขาก็แสดงความโกรธเคืองและความเดือดดาลออกมา เหมือนยามที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ปีศาจตนหนึ่งฟังระหว่างที่ผู้คนกำลังประกาศข่าวประเสริฐไม่มีผิด  ผู้คนที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริงย่อมรู้สึกรังเกียจพระวจนะของพระเจ้าและความจริงอยู่ในหัวใจเป็นที่สุด พวกเขามีท่าทีต่อต้าน และไปไกลถึงขั้นที่เกลียดทุกคนที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังหรือสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาถึงกับปฏิบัติต่อคนคนนั้นเหมือนเป็นศัตรูด้วยซ้ำไป  พวกเขารู้สึกรังเกียจความจริงนานัปการและสิ่งที่เป็นบวกอย่างสุดขีด  ความจริงทั้งปวง เช่น การนบนอบพระเจ้า การทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี การเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แสวงหาความจริงในทุกสิ่ง และอื่นๆ—ในใจของพวกเขามีความโหยหาหรือความรักสักนิดหรือไม่?  ไม่มีแม้แต่นิดเดียว  เพราะฉะนั้น  ดูจากประเภทของแก่นแท้ธรรมชาติที่พวกเขามีนี้ พวกเขายืนอยู่ในฝ่ายที่ต่อต้านพระเจ้าและความจริงโดยตรงอยู่แล้ว  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลึกลงไปแล้ว ผู้คนเช่นนี้ไม่รักความจริงหรือสิ่งที่เป็นบวก ลึกลงไปแล้วพวกเขารู้สึกรังเกียจความจริงและเกลียดความจริงเสียด้วยซ้ำ  ตัวอย่างเช่น ผู้คนที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำต้องสามารถยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างของพี่น้องชายหญิง พวกเขาต้องสามารถเปิดใจและตีแผ่ตนเองต่อพี่น้องชายหญิงได้ ยอมรับการตำหนิจากพี่น้องได้ และต้องไม่ยกสถานะของตนขึ้นมาอ้าง  ศัตรูของพระคริสต์จะพูดถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งหมดนี้ว่าอย่างไร?  พวกเขาจะกล่าวว่า “ถ้าฉันรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องชายหญิง แบบนั้นฉันยังจะเป็นผู้นำอยู่อีกหรือ?  ฉันยังจะมีสถานะและมีเกียรติอยู่อีกหรือ?  ถ้าไม่มีเกียรติ แล้วฉันจะสามารถทำงานอะไรได้?”  นี่คืออุปนิสัยแบบที่ศัตรูของพระคริสต์มีโดยแท้ พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ยิ่งวิธีปฏิบัติถูกต้อง พวกเขาก็ยิ่งต่อต้าน  พวกเขาไม่ยอมรับว่าการกระทำตามหลักธรรมคือการปฏิบัติความจริง  พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร?  พวกเขาคิดว่าพวกเขาต้องวางแผน ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยม และใช้ความรุนแรงกับทุกคน แทนที่จะพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และความรัก  ทุกวิถีทางและทุกเส้นทางของพวกเขาล้วนเลวร้าย  ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นแก่นแท้ธรรมชาติในตัวศัตรูของพระคริสต์ทั้งสิ้น  แรงจูงใจ ความคิดเห็น ทัศนะ และเจตนาที่พวกเขามักจะเผยออกมาล้วนเป็นอุปนิสัยที่รังเกียจและเกลียดชังความจริง ซึ่งก็คือแก่นแท้ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์  แล้วการต่อต้านความจริงและพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด?  หมายถึงการเกลียดชังความจริงและสิ่งที่เป็นบวก  ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนกล่าวว่า “ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง คนเราควรลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด ผู้คนก็ควรนบนอบ เพราะพวกเราคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง” ศัตรูของพระคริสต์คิดอย่างไร?  “นบนอบหรือ?  ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างก็จริง แต่เรื่องของการนบนอบนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์  ก่อนอื่นต้องมีประโยชน์กับฉันบ้าง ฉันต้องไม่เสียเปรียบ และผลประโยชน์ของฉันก็จะต้องมาก่อน  ถ้ามีการได้รางวัลหรือพรที่ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นฉันก็สามารถนบนอบได้ แต่ถ้าไม่มีรางวัลและไร้บั้นปลาย ฉันจะต้องนบนอบไปทำไม?  ฉันไม่อาจนบนอบได้”  นี่คือท่าทีของการไม่ยอมรับความจริง  การนบนอบของพวกเขาต่อพระเจ้านั้นมีเงื่อนไข และหากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของพวกเขา ไม่เพียงพวกเขาจะไม่นบนอบเท่านั้น แต่ยังมีแนวโน้มที่จะคัดค้านและต่อต้านพระเจ้าอีกด้วย  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนซื่อสัตย์ แต่ศัตรูของพระคริสต์พวกนี้กลับเชื่อว่ามีแต่คนเขลาเท่านั้นที่พยายามเป็นคนซื่อสัตย์ ส่วนคนฉลาดย่อมไม่พยายามที่จะซื่อสัตย์  ท่าทีดังกล่าวมีแก่นแท้เช่นไร?  เป็นการเกลียดชังความจริง  แก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์เป็นเช่นนั้น และแก่นแท้ของพวกเขาก็กำหนดเส้นทางที่พวกเขาเดิน และเส้นทางที่พวกเขาเดินกำหนดทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  เมื่อศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้ธรรมชาติที่เกลียดชังความจริงและพระเจ้า พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะทำเช่นใด?  พวกเขามีแนวโน้มที่จะพยายามเอาชนะใจผู้คน เล่นงานและกีดกันคนเห็นต่าง และทรมานผู้คน  จุดมุ่งหมายที่พวกเขาพยายามสัมฤทธิ์ในการทำสิ่งเหล่านี้คือการกุมอำนาจ ควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเอง  เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลย  ใครก็ตามที่เมื่อมีสถานะก็ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าโดยสิ้นเชิง และไม่สามารถติดตามพระเจ้าหรือไล่ตามเสาะหาความจริงได้ คนคนนั้นก็คือศัตรูของพระคริสต์

ขณะที่ทำหน้าที่ผู้นำ ศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งใดบ้าง?  พวกเราเพิ่งคุยกันว่าพวกเขาพยายามเอาชนะใจผู้คนอย่างไร ทั้งยังเล่นงานและกีดกันคนเห็นต่างอย่างไรอีกด้วย แต่ศัตรูของพระคริสต์ก็มีการสำแดงทั่วไปที่เหมือนกันอีกอย่างหนึ่ง—พวกเขามีท่าทีเช่นไรต่อคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง?  (เกลียดชัง)  แล้วนั่นทำให้พวกเขาทำสิ่งใด?  พวกเขาก็แค่เกลียดผู้คนเหล่านั้นเท่านั้นเองหรือ?  ไม่ใช่ พวกเขาหาทางกีดกันและกดขี่คนเหล่านั้น  พวกเขาเล่นงานและกีดกันคนเห็นต่าง  คนเห็นต่างเหล่านี้อาจเป็นผู้คนที่เลอะเลือนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะประจบเอาใจผู้อื่นหรือใช้ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกอย่างไร  นอกจากนี้ พวกเขาอาจเป็นคนที่ค่อนข้างกระตือรือร้นและไล่ตามเสาะหาความจริงมากพอสมควร  แล้วกลวิธีที่สามของศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?  พวกเขากีดกันและเล่นงานคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นอกจากนี้ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาพยายามจับจองที่ทางในหัวใจของผู้คนให้ตนเอง  แบบนี้เรียกว่าอะไร?  (การยึดครองหัวใจของผู้คน)  นี่คือสิ่งที่พวกเขาพยายามสัมฤทธิ์  แล้วพวกเขาใช้วิธีการใดในการทำเรื่องนี้?  (พวกเขายกชูตนเองและเป็นคำพยานให้ตนเอง)  แล้วศัตรูของพระคริสต์มีจุดมุ่งหมายเช่นใดในการยกชูตนเองและเป็นคำพยานให้ตนเอง?  ก็เพื่อยึดครองหัวใจของผู้คนและควบคุมพวกเขาเอาไว้  เวลาผู้คนยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง ปกติแล้วพวกเขาพูดถึงเรื่องจำพวกใด?  อย่างหนึ่งคือการพูดถึงคุณสมบัติของตน  ตัวอย่างเช่น บางคนก็พูดว่าตนเคยเป็นเจ้าภาพรับรองผู้นำคริสตจักรระดับสูงบางคน  บางคนถึงกับพูดว่า “ฉันเคยเป็นเจ้าภาพรับรองพระเจ้าพระองค์เอง และพระองค์ก็ทรงดีกับฉันมาก—ฉันจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมอย่างแน่นอน”  การที่พวกเขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  (พวกเขากำลังพยายามทำให้ผู้คนยกย่องพวกเขา)  พวกเขามีจุดมุ่งหมายในการกล่าวสิ่งเหล่านี้  บางคนบอกว่า “ฉันเคยติดต่อกับเบื้องบน พวกเขาชมเชยฉันอย่างมากทีเดียว และกำชับให้ฉันทุ่มเทในการไล่ตามเสาะหา”  แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าเบื้องบนคิดอย่างไรกับพวกเขา  บางคนก็พูดเกินจริงโดยแท้ และบางครั้งก็ถึงกับแต่งเรื่องขึ้นมา  หากมีกลุ่มคนมาร่วมกันพิสูจน์และตรวจสอบเรื่องเล่าของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร  เบื้องบนอาจจะกล่าวกับบางคนว่า “คุณมีขีดความสามารถที่ดีและมีความสามารถในการจับใจความ  คุณควรฝึกเขียนคำพยานจากประสบการณ์ของคุณ  เมื่อมีประสบการณ์ชีวิต คุณย่อมสามารถเป็นผู้นำได้”  คำพูดนี้แฝงนัยว่าอย่างไร?  แม้คนคนนี้จะมีความสามารถพิเศษ แต่ก็ยังจำเป็นต้องฝึกฝนและมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ สักระยะหนึ่ง  เมื่อคนคนนี้คุยโตและโอ้อวดก่อนที่จะฝึกฝนหรือได้รับประสบการณ์ นี่คือธรรมชาติเช่นใด?  พวกเขากำลังโอหัง ทะนงตน และสูญสิ้นสำนึกไปแล้วใช่หรือไม่?  ต่อให้พี่น้องชายที่อยู่เบื้องบนบอกว่าคนคนนี้มีขีดความสามารถ และมีความสามารถพิเศษ นี่ก็เป็นเพียงการหนุนใจหรือประเมินพวกเขาเท่านั้น  แล้วคนคนนี้มีจุดมุ่งหมายใดจึงเที่ยวอวดตัวเช่นนี้?  นี่เป็นการทำให้ผู้คนยกย่องตน ทำให้ผู้อื่นบูชาตน  สิ่งที่เขากำลังพูดอยู่ก็คือ “ดูสิ—พี่น้องชายที่อยู่เบื้องบนยังยกย่องฉัน แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำอย่างนั้นบ้าง?  ตอนนี้ฉันบอกเรื่องนี้กับคุณแล้ว คุณก็ควรยกย่องฉันด้วย”  นี่คือจุดมุ่งหมายที่เขาปรารถนาจะสัมฤทธิ์  นอกจากนั้นยังมีคนที่กล่าวว่า “ฉันเคยเป็นผู้นำมาก่อน  ฉันเคยเป็นผู้นำภูมิภาค ผู้นำเขต ผู้นำคริสตจักร—ฉันเคยตกต่ำลงเรื่อยๆ  และไต่เต้าขึ้นเรื่อยๆ—ฉันได้รับการเลื่อนตำแหน่งและถูกลดตำแหน่งมาแล้วหลายครั้ง  ในที่สุดสวรรค์ก็ซาบซึ้งในความจริงใจของฉัน และวันนี้ฉันก็ได้เป็นผู้นำระดับสูงอีกครั้ง  และไม่เคยเลยสักครั้งที่ฉันจะคิดลบ”  เมื่อเจ้าถามพวกเขาว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยมีความรู้สึกที่เป็นลบ พวกเขาก็ตอบว่า “ฉันมีความเชื่ออยู่ว่าทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ”  พวกเขาได้ข้อสรุปเช่นนี้  นี่คือความเป็นจริงความจริงหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วคืออะไรถ้าไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง?  นี่คือทฤษฎีที่แปลกประหลาด พวกเราอาจกล่าวได้ด้วยว่านี่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน  การที่พวกเขากล่าวเช่นนี้อาจจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร?  บางคนอาจกล่าวว่า “คนคนนี้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง  หลังจากที่ได้รับเลื่อนตำแหน่งและถูกลดตำแหน่งมาหลายครั้งหลายหนเช่นนั้น พวกเขากลับไม่คิดลบ  และตอนนี้  พวกเขาได้เป็นผู้นำอีกครั้ง—ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟจริงๆ  เหลือแต่รอเวลาให้พวกเขาได้รับการทำให้เพียบพร้อมเท่านั้น”  นี่คือสิ่งที่คนคนนั้นมุ่งหมายมิใช่หรือ?  อันที่จริง นี่คือสิ่งที่พวกเขามุ่งหมายโดยแท้จริง  ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์จะพูดจาเช่นใด ก็เป็นไปเพื่อทำให้ผู้คนนึกยกย่องและบูชาพวกเขา เพื่อครองที่ทางสักแห่งในหัวใจของผู้คน และถึงกับแทนตำแหน่งของพระเจ้าในที่แห่งนั้นเสมอ—ทั้งหมดนี้คือเป้าหมายที่ศัตรูของพระคริสต์ปรารถนาที่จะบรรลุเวลาที่พวกเขาเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง  เมื่อใดที่แรงจูงใจเบื้องหลังสิ่งที่ผู้คนพูด ประกาศ และสามัคคีธรรมคือการทำให้ผู้อื่นนึกยกย่องและบูชาตน พฤติกรรมดังกล่าวย่อมยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง เป็นการทำไปเพื่อยึดครองที่ทางในหัวใจของผู้อื่น  แม้วิธีพูดจาของผู้คนเหล่านี้จะไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่ก็มีผลในการเป็นพยานยืนยันให้ตนเองและทำให้ผู้อื่นบูชาพวกเขาไม่มากก็น้อย  พฤติกรรมดังกล่าวมีอยู่ในตัวผู้นำและคนทำงานแทบทุกคนในระดับที่แตกต่างกันไป  หากพวกเขาไปถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองได้ และพบว่าเป็นการยากที่จะยับยั้งตนเอง ทั้งพวกเขายังเก็บงำเจตนาและเป้าหมายที่แรงกล้าและชัดเจนเป็นพิเศษ ต้องการทำให้ผู้คนปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นพระเจ้าหรือรูปเคารพ ซึ่งทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายของการตีกรอบและควบคุมผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเชื่อฟังและบูชาพวกเขา เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ย่อมมีธรรมชาติเป็นการยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง ทั้งยังมีลักษณะของศัตรูของพระคริสต์อีกด้วย  ปกติแล้วผู้คนใช้วิธีการใดมายกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเอง?  (พวกเขาพูดถึงต้นทุน)  การพูดถึงต้นทุนรวมเรื่องใดเอาไว้บ้าง?  มีการพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใด ทนทุกข์มามากเท่าใด จ่ายราคาไปมากขนาดไหน ทำงานไปมากเท่าใด เดินทางไกลเพียงใด ตลอดจนได้ผู้คนมากี่คน และสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามไปมากขนาดไหนระหว่างที่ประกาศข่าวประเสริฐ  บางคนมักจะเล่าด้วยว่าตนถูกจับกุมและจำคุกไปกี่ครั้งโดยที่ไม่เคยขายคริสตจักรหรือพี่น้องชายหญิงเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่กลับตั้งมั่นในคำพยานของตน เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือการพูดถึงต้นทุน  ภายใต้เปลือกนอกว่ากำลังทำงานของคริสตจักร พวกเขากลับดำเนินกิจการของตนเอง เสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคง สร้างภาพจำที่ดีในหัวใจของผู้คน  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ใช้วิธีการและเล่ห์กลทุกรูปแบบมาเอาชนะใจผู้คน และไปไกลถึงขั้นเล่นงานและกีดกันคนที่มีทัศนะแตกต่างจากตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาทำทุกสิ่งที่สามารถเพื่อกีดกันและกดขี่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและยึดมั่นในหลักธรรม  ส่วนคนที่โง่เขลาและไม่รู้ความ ทั้งยังเลอะเลือนในความเชื่อของตน รวมทั้งคนที่เพิ่งเชื่อในพระเจ้ามาไม่นานและด้อยวุฒิภาวะ พวกเขาย่อมใช้วิธีการใดกับผู้คนเหล่านี้?  พวกเขาชักพาคนเหล่านี้ให้หลงผิด ดึงตัวไปเป็นพวก และถึงกับข่มขู่ ใช้กลยุทธ์เหล่านี้เพื่อบรรลุจุดหมายที่จะเสริมสร้างสถานะของตนให้แข็งแกร่ง  นี่คือชั้นเชิงทั้งหมดที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้

คริสตจักรทั้งหลายมักจะเกิดเรื่องแบบนี้ กล่าวคือ พี่น้องชายหญิงบางคนฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรมเรื่องที่เบื้องบนกล่าวว่าหากผู้นำหรือคนทำงานทำสิ่งที่ละเมิดการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้า ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็มีสิทธิ์รายงานเรื่องดังกล่าว  เมื่อได้ฟังเช่นนี้และแยกแยะแล้วว่าผู้นำคนหนึ่งในคริสตจักรของพวกเขากำลังทำงานในหนทางที่ไม่เป็นไปตามการจัดการเตรียมงานดังกล่าว ผู้คนบางส่วนย่อมตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการรายงานเรื่องผู้นำคนนั้น  ต่อมาผู้นำคนนั้นก็รู้เรื่องนี้เข้า และคิดในใจว่า “กลายเป็นว่ามีคนที่ยังกล้ารายงานเรื่องของฉันอยู่ดี  ช่างกล้าดีกันจริงๆ!  คนเหล่านี้เป็นใครกัน?”  จากนั้น เขาก็สืบเรื่องของสมาชิกทุกคนในคริสตจักรที่มีอยู่หลายสิบคน  ในการสืบค้นครั้งนี้เขาทำกันถึงขั้นไหน?  เขาตรวจสอบอายุของทุกคน ระยะเวลาที่เชื่อในพระเจ้า ที่ผ่านมาเคยปฏิบัติหน้าที่ใดบ้าง หน้าที่ปัจจุบันคืออะไร ติดต่อใครอยู่ สามารถติดต่อเบื้องบนได้หรือไม่ และอื่นๆ  เขาค้นหาข้อมูลทั้งหมดนี้ โดยทุ่มเทความพยายามกับเรื่องนี้มากเหลือเกิน  หลังจากเสร็จสิ้นการสืบค้นอย่างละเอียดแล้ว เขาก็พบว่ามีอยู่สองสามคนที่ดูน่าสงสัย ดังนั้นระหว่างการชุมนุมครั้งถัดไป ผู้นำคนนั้นจึงประกาศคำเทศนาที่มุ่งเป้าเรื่องนี้โดยเฉพาะ  พวกเขากล่าวว่า “ผู้คนต้องมีมโนธรรม  ในความเชื่อที่คุณมีในพระเจ้า ใครกันที่นำคุณมาจนถึงตอนนี้?  เวลานี้คุณเข้าใจความจริงตั้งมากมาย ถ้าฉันไม่ได้จัดชุมนุมและสามัคคีธรรมกับคุณ คุณจะเข้าใจความจริงเหล่านี้ได้หรือไม่?  คริสตจักรของพวกเราพาผู้คนเข้ามามากมายก็ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา งานข่าวประเสริฐของพวกเราก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ถ้าไม่มีฉันคอยกำกับอยู่ตรงนี้ พวกคุณจะสามารถพาใครเข้ามาได้อย่างนั้นหรือ?  แล้วใครล่ะที่พวกคุณต้องขอบคุณสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้?”  บางคนขบคิดเรื่องนี้ และคิดว่า “พระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียวที่ฉันควรขอบคุณ มนุษย์ได้ทำคุณงามความดีอะไรไว้บ้าง?”  แต่ผู้นำคนนั้นกลับกล่าวต่อไปว่า “ถ้าฉันไม่ได้เอาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้กลับมาให้พวกคุณ พวกคุณจะหามาได้หรือเปล่า?  ถ้าไม่มีฉันคอยจัดการชุมนุม พวกคุณจะสามารถชุมนุมกันได้หรือ?  ผู้คนต้องมีมโนธรรม!  แล้วถ้าพวกคุณมีมโนธรรม พวกคุณควรทำอย่างไร?  เวลาที่ผู้นำของพวกคุณทำผิดพลาดเล็กน้อยเป็นครั้งคราว พวกคุณก็ไม่ควรสืบสาวราวเรื่องให้ถี่ถ้วนเกินไป  ด้วยการยึดข้อบกพร่องของพวกเขาไว้โดยไม่ยอมปล่อยมือ คุณกำลังพยายามต่อต้านพวกเขาอยู่ใช่หรือไม่?  ถ้าเกิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขึ้น พวกเราก็ควรจัดการเรื่องนั้นกันเป็นการภายใน  จะรายงานขึ้นไปเพื่ออะไร?  ผู้คนที่รายงานเรื่องต่างๆ ล้วนไม่มีความสามารถและด้อยวุฒิภาวะ  การรายงานทุกสิ่งทุกอย่างต่อเบื้องบนนั้นเหมาะควรแล้วหรือ?  เบื้องบนจะมีเวลามาแก้ปัญหาพวกนี้ได้อย่างไร?  หากมีปัญหาต้องแก้ไข เช่นนั้นผู้นำคริสตจักรก็จะเป็นคนแก้ไข  นำเรื่องต่างๆ มาหารือเป็นการส่วนตัวไม่ได้หรือ?  คุณต้องรายงานทุกอย่างต่อเบื้องบนหรือไร?  นี่รังแต่จะรบกวนเบื้องบนไม่ใช่หรือ?  ฟังนะ ถ้าคุณรายงานบางเรื่องกับฉัน ฉันจะหาทางแก้ไขอย่างใจเย็นและเป็นมิตรโดยไม่ตัดแต่งคุณ  แต่ถ้าคุณรายงานต่อเบื้องบน คุณรู้หรือเปล่าว่าเบื้องบนจะมีท่าทีอย่างไร?  เบื้องบนไม่ใช่คนที่คุณจะทำเป็นเล่นได้—พวกเขาเปรียบเหมือนสิงโตและนกอินทรี  คนที่ด้อยวุฒิภาวะอย่างพวกเราจะเทียบชั้นกับพวกเขาได้หรือ?  คุณจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการรายงานปัญหาต่อเบื้องบน คุณจะต้องถูกตัดแต่งแน่นอน  เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับฉันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง คนที่ด้อยวุฒิภาวะอย่างคุณจะรับมือเรื่องนี้ได้อย่างไร?  คุณอาจจะถึงกับเลิกเชื่อไปเลย แล้วใครจะเป็นคนแบกรับผลที่ตามมาเล่า?  ถ้าคุณอยากรายงานเรื่องบางเรื่อง คุณย่อมจะแบกรับผลที่ตามมา  เมื่อถึงเวลาและคุณถูกตัดแต่ง กลายเป็นคนที่คิดลบและอ่อนแอ อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน  ถ้าคุณอยากรายงาน ฉันก็จะไม่ห้ามคุณหรอก  เอาเลย ฉันจะคอยดูว่าจะมีใครรายงานขึ้นไป!”  เมื่อผู้นำคนนี้ข่มขู่ขนาดนี้ จะมีใครกล้ารายงานหรือไม่?  (ไม่)  บางคนต้องการรายงาน แต่พวกเขาก็หวาดกลัวเกินไป  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เรื่องมิใช่หรือ?  พวกเขากลัวอะไร?  ผู้นำคนนี้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขนาดนี้ได้อย่างไร?  ต่อให้ผู้นำคนนี้ต้องการทรมานพวกเขาจนตาย ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในมือของผู้นำคนนี้ แล้วผู้นำคนนี้จะกล้าทรมานพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้ากระนั้นหรือ?  หลังจากผู้นำคนนี้พูดจาขู่เข็ญไม่กี่คำ ก็มีคนที่กลัวเกินกว่าจะกล้ารายงานขึ้นมาจริงๆ พวกเขาย่อมจะคิดในใจว่า “ไม่เห็นพระเจ้าอยู่ตรงไหนเลย  ถ้าฉันรายงาน เบื้องบนจะจัดการผู้นำคนนี้หรือเปล่า?  ถ้าเบื้องบนไม่จัดการเล่า—ผู้นำคนนี้จะมาแก้แค้นฉันไหม?  แล้วจากนั้นฉันจะยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ตามปกติหรือไม่?  อย่างนั้นฉันต้องไม่รายงาน  อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ไม่ใช่กงการของฉันด้วย  คนอื่นก็ไม่ได้รายงานกันเลย แล้วทำไมฉันถึงควรรายงานเล่า?”  พวกเขาจะถอยหนี ไม่กล้ารายงาน  ศัตรูของพระคริสต์มีแนวโน้มที่จะแสดงความกรุณาต่อผู้คนดังกล่าวหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้?  เมื่อพวกเขาสืบเสาะจนแน่ใจแล้วว่าใครกำลังวางแผนจะรายงานเรื่องของตน ใครไม่คิดแบบเดียวกับตน พวกเขาก็จะเริ่มคิดว่า “คุณแอบมีแผนบางอย่างอยู่เสมอ ชอบพรั่งพรูแนวคิดที่ฟังดูสูงส่งตลอดเวลา คอยก่อความวุ่นวายอยู่เรื่อย ต้องการรายงานเรื่องของฉันตลอดเวลา—แบบนี้ก็เกินไป!  คุณมองหาโอกาสที่จะติดต่อเบื้องบนเพื่อรายงานสถานการณ์ของฉันต่อพวกเขา  ตอนนี้คุณกำลังถอย ไม่กล้าลงมือ แต่ใครจะไปรู้ ถ้าคุณพบโอกาสเหมาะๆ ก็อาจจะรายงานเรื่องของฉันอีก  งั้นฉันต้องจัดการคุณซะ!”  ดังนั้น ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะมองหาข้ออ้างและโอกาสมาดูถูกดูหมิ่นผู้คนเหล่านั้น ทำให้พี่น้องชายหญิงรู้สึกรังเกียจพวกเขา  จากนั้นศัตรูของพระคริสต์ก็จะนึกหาสารพัดวิธีมาจับผิด สร้างปัญหาให้พวกเขา และทำให้ชื่อเสียงของพวกเขามัวหมอง  แล้วผู้คนเหล่านั้นคิดอย่างไรกับตนเองหลังจากนั้น?  “เรื่องนี้เลวร้ายมาก!  ฉันไม่เชื่อฟังผู้นำ พยายามรายงานเรื่องของพวกเขาโดยไม่ดูให้ดี มาตอนนี้ฉันก็เลยต้องทนทุกข์  ฉันต้องจดจำบทเรียนครั้งนี้ไว้ว่า ฉันต้องไม่ล่วงเกินผู้นำเป็นอันขาด!  ตอนนี้คนที่ตัดสินชี้ขาดคือผู้นำคนนี้  ถ้าเขาบอกว่า ‘ทิศตะวันออก’ ฉันไม่อาจพูดว่า ‘ทิศตะวันตก’ ถ้าพวกเขาบอกว่า ‘หนึ่ง’ ฉันก็ไม่อาจพูดว่า ‘สอง’  ฉันก็ต้องทำทุกอย่างที่ผู้นำบอกให้ทำ  ฉันต้องไม่ติดต่อเบื้องบนเพื่อรายงานปัญหาเป็นอันขาด  เรื่องนี้ร้ายแรงจริงๆ!  ผู้นำคนนี้เคยทำให้ฉันทนทุกข์แล้ว และเบื้องบนก็ไม่รู้เรื่องนี้—ใครจะลุกขึ้นมาปกป้องฉัน?  เหมือนที่กล่าวกันว่า ‘เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีอำนาจควบคุมมากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ!’”  ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นคนคิดลบไปแล้ว  พวกเขาไม่เชื่อว่าความจริงเป็นใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า และยิ่งไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  พวกเขายังคงมีพระเจ้าในหัวใจของตนหรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ  ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาต้องการรายงานปัญหา แต่กลับกลัวคนชั่วนั่น พวกเขาไม่มีวิจารณญาณแยกแยะกำลังบังคับที่เลวร้ายอันใดเลย พวกเขาถูกคนชั่วคนนั้นทำให้ทนทุกข์อยู่ในที่ที่คนชั่วคนนั้นกุมอำนาจ และพวกเขาก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว  เดิมทีพวกเขาพอจะมีสำนึกของความยุติธรรมอยู่บ้าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พึงมี แต่เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้ว่าควรกระทำการตามหลักธรรมอย่างไร พวกเขาจึงถูกคนชั่ว ผู้นำเทียมเท็จ และศัตรูของพระคริสต์คนนั้นบดขยี้จนถึงจุดที่พวกเขาสูญสิ้นความเชื่อทั้งปวง ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาพระเจ้าในการแสวงหาความจริงหรือกระทำการอย่างมีปัญญาอย่างไร  ตอนนี้ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเห็นศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาก็หวาดกลัวและตาขาวขึ้นมา  พวกเขาหวาดกลัวเพียงใด?  พวกเขาคิดว่า “คนชั่วกุมอำนาจในโลกนี้  ไม่ว่าฉันอยู่กลุ่มไหน ฉันก็ต้องประพฤติตนให้ดี  ฉันไม่มีความดุดันและความกล้าแบบนั้น ดังนั้นไม่ว่าฉันไปที่ไหน ฉันจะต้องเต็มใจสู้ทนกับการถูกข่มเหงและเต็มใจเชื่อฟังคนอื่น—ฉันต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนบรรพชนของตัวเอง  ถ้าพวกเขาบอกว่า ‘ทิศตะวันออก’ ฉันก็ไม่อาจพูดว่า ‘ทิศตะวันตก’  ฉันแสดงความเห็นที่แตกต่างออกไปไม่ได้ ไม่สามารถรายงานปัญหาของคนอื่นได้ และไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่น  ฉันทำได้แค่มุ่งเน้นกับการเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น  ฉันต้องไม่ล่วงเกินผู้นำและคนทำงาน ยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ถวิลหาความสว่าง หรือรักความเที่ยงธรรม—ไม่มีความสว่างหรือความยุติธรรมในโลกนี้  ฉันจะเพียงจดจ่ออยู่กับการสู้ทนจนถึงปลายทาง และจะจดจำไว้ว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนในวันหน้า ฉันต้องให้ความสำคัญกับความสงบสุขก่อนเสมอ!”  พวกเขาได้ข้อสรุปเช่นนี้  พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับศัตรูของพระคริสต์คนนั้นแล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  สิ่งใดยืนยันเรื่องนี้?  หลังจากถูกศัตรูของพระคริสต์คนนั้นกดขี่ พวกเขาย่อมหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก กลัวเกินกว่าที่จะพูดหรือทำสิ่งใด  พวกเขาได้สูญเสียความเชื่อที่แท้จริงไปแล้ว และไม่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีอีกต่อไป เปลวไฟแห่งความรักความยุติธรรมดวงน้อยในหัวใจของพวกเขาได้มอดดับลงแล้ว พวกเขาพ่ายแพ้และถูกศัตรูของพระคริสต์ทุบตีอย่างหมดรูป  พวกเขาไม่ได้เรื่องเลยมิใช่หรือ?  พวกเขาเป็นคนขลาดมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?  หากเจ้าถามพวกเขาว่า “คนนั้นคนนี้ที่คริสตจักรของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” พวกเขาจะตอบว่า “ก็ไม่เลว”  หากเจ้าถามว่า “แล้วผู้นำคริสตจักรคนใหม่ที่พวกคุณทุกคนเลือกกันขึ้นมาเป็นอย่างไร คุณรู้จักเขาหรือไม่?” พวกเขาก็จะตอบว่า “ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับเขามากนัก”  หากเจ้าถามว่า “ตอนนี้ชีวิตคริสตจักรที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?  มีใครเคยก่อให้เกิดการรบกวนหรือไม่?” พวกเขาก็จะตอบว่า “ก็ดี ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี”  ไม่ว่าเจ้าถามสิ่งใด พวกเขาก็จะตอบเพียงไม่กี่คำนี้เท่านั้น  นี่เป็นเพราะพวกเขาหวาดกลัวอยู่มิใช่หรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงหวาดกลัวขนาดนี้?  เพราะพวกเขาไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้า ไม่สามารถมองทะลุความเลว ความโหดร้าย ความอำมหิต และความมืดดำของซาตานได้ พวกเขาไม่รู้ว่าความจริงเป็นใหญ่หมายความว่าอย่างไร และไม่รู้ว่ามีนัยสำคัญอะไร—ดังนั้นพวกเขาจึงหวาดกลัว  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าถามอะไร คำตอบของพวกเขาก็จะคลุมเครือและกำกวม เจ้าจะไม่ได้คำตอบจากพวกเขาว่าแท้จริงแล้วกำลังเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักร หรือรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ  พวกเขาจะปิดบังตนเองไว้อย่างมิดชิดเช่นนั้น จนเจ้าจะไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร  พวกเขาจะไม่พูดถึงปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักร หรือว่าผู้นำและคนทำงานเป็นเช่นไร และเจ้าจะไม่เรียนรู้เลยว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำลังเผชิญความลำบากยากเย็นอะไรอยู่  เจ้าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย—พวกเขาจะสนทนากับเจ้าในลักษณะนี้เท่านั้น  แล้วขณะที่ฟังพวกเขา เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าจะรู้สึกว่ามีบางสิ่งคั่นกลางระหว่างหัวใจของพวกเจ้าสองคน  วิธีคิดของพวกเขาก็คือ “อย่าพยายามเรียนรู้เรื่องของฉันเลย ฉันไม่อยากเผยข้อมูลหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับคุณรู้  อยู่ห่างๆ ฉันเอาไว้ ถ้าคุณพยายามสืบหาจากฉันว่าเกิดอะไรขึ้นในคริสตจักร เช่นนั้นคุณก็กำลังพยายามสร้างปัญหาให้ฉัน ขัดขวางสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิต กิจวัตร และสถานการณ์ในปัจจุบันของฉัน  อย่ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของฉันไม่ว่าในด้านใด ปล่อยให้ฉันจัดการเรื่องเหล่านี้เองเถิด”  พวกเขากลัวว่าศัตรูของพระคริสต์จะทำให้พวกเขาทนทุกข์หรือแก้แค้นพวกเขา และพวกเขาก็หวาดกลัวที่จะรายงานปัญหาใดๆ เกี่ยวกับคริสตจักรของตน  นี่คือการยอมสยบให้กับศัตรูของพระคริสต์คนนั้นมิใช่หรือ?  พวกเขาถูกศัตรูของพระคริสต์คนนั้นชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้แล้วมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วศัตรูของพระคริสต์ก็พึงพอใจที่ได้เห็นเช่นนี้  ศัตรูของพระคริสต์ได้ทรมานผู้คนจนถึงจุดที่ผู้คนไม่กล้ารายงานประเด็นปัญหาของเขาอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงควบคุมคริสตจักรไว้อย่างมั่นคง  ผู้คนมากมายในคริสตจักรถูกศัตรูของพระคริสต์ควบคุมในหนทางนี้ใช่หรือไม่?  พวกเจ้าเองเคยห้ามใครรายงานปัญหาหรือเปล่า?  พวกเจ้าอาจจะเคยทำ แต่ไม่รู้ตัว หรืออาจจะทำเช่นนั้นในอนาคต  แล้วผู้คนที่ศัตรูของพระคริสต์ชนะใจและควบคุมเอาไว้นี้ถือเป็นปัญหาได้หรือไม่?  (ได้)  บางคนกล่าวว่า “บางคนในคริสตจักรหวาดกลัวศัตรูของพระคริสต์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อในศัตรูของพระคริสต์หรือติดตามศัตรูของพระคริสต์คนนั้น และยิ่งไม่รับใช้ศัตรูของพระคริสต์  เพียงแต่พวกเขาได้ถูกศัตรูของพระคริสต์บีบคั้นอยู่บ้าง และถูกดึงให้ล่าช้าในการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  ทำไมพระองค์ถึงตรัสว่านี่เป็นปัญหา?”  ในแง่หนึ่ง เมื่อดูวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ดึงคนไปเป็นพวกและควบคุมเอาไว้ เจ้าก็ควรมองเห็นได้ว่าแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาก็คือแก่นแท้ของซาตาน เป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและพระเจ้า  ศัตรูของพระคริสต์ต้องการแก่งแย่งผู้คนกับพระเจ้า แข่งขันช่วงชิงประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร  ในอีกแง่หนึ่ง วิธีการและหนทางที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ดำเนินการนั้นแท้จริงแล้วสามารถส่งผลต่อผู้คนที่เบาปัญญา ไม่รู้ความ สับสน และไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาสามารถชักพาผู้คนเหล่านั้นให้หลงผิดได้จริง ทำให้พวกเขาประพฤติตนอยู่ภายใต้การควบคุมของศัตรูของพระคริสต์ และทำให้พวกเขาต้องปรึกษาศัตรูของพระคริสต์และคล้อยตามศัตรูของพระคริสต์ทุกเรื่อง  ศัตรูของพระคริสต์ไม่เพียงปิดปากผู้คนเหล่านี้ไว้เท่านั้น แต่ยังควบคุมการกระทำของพวกเขา มีอิทธิพลต่อความคิดและแนวคิดต่างๆ ของพวกเขา ทั้งยังส่งผลต่อทิศทางที่คนเหล่านี้เดินอีกด้วย  สิ่งเหล่านี้คือผลกระทบและผลสืบเนื่องที่การกระทำของศัตรูของพระคริสต์นำมาสู่พวกที่โง่เขลาและไม่รู้ความ

เมื่อครู่เราเพิ่งพูดถึงความจริงนานัปการที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของผู้นำหรือคนทำงาน  เรายังเปิดโปงประเด็นปัญหาบางอย่างที่ผู้นำและคนทำงานมีอีกด้วย โดยมุ่งเน้นที่การสำแดงของคนประเภทที่ร้ายแรงที่สุดเป็นหลัก—และนั่นคือคนจำพวกใด?  (ศัตรูของพระคริสต์)  ศัตรูของพระคริสต์ทุกคนมีการสำแดงทั่วไปใดที่เหมือนกัน?  พวกเขาพยายามยึดอำนาจเพื่อตนเองและควบคุมคริสตจักร  ความอยากได้อยากมีอำนาจของพวกเขาอยู่เหนือสิ่งอื่นใด อำนาจคือชีวิตของพวกเขา เป็นรากเหง้าของพวกเขา เป็นเรื่องหลัก เป็นทิศทาง และเป็นเป้าหมายที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำในชีวิตล้วนโคจรอยู่โดยรอบ  เพราะฉะนั้น การกระทำและอุปนิสัยที่ศัตรูของพระคริสต์เผยให้เห็นจึงเหมือนกับชั้นเชิงที่ซาตานใช้ชักพาผู้คนให้หลงผิด ดึงไปเป็นพวก และควบคุมเอาไว้  อาจกล่าวได้ว่าทุกสิ่งที่คนประเภทนี้ทำมีแต่จะทำให้พวกเขาเป็นเพียงช่องทาง เป็นตัวแทน และการแสดงออกของซาตานเท่านั้น  เป้าหมายหลักของการกระทำและพฤติกรรมทั้งปวงของพวกเขาคือการครองอำนาจ  แล้วพวกเขาพยายามที่จะควบคุมใคร?  ควบคุมผู้คนที่พวกเขานำอยู่ ซึ่งก็คือผู้ติดตามพระเจ้า เป็นผู้คนที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของพวกเขา คนที่พวกเขาสามารถควบคุมได้  เมื่อครู่พวกเรายังพูดถึงกลวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ควบคุมผู้คนอีกด้วย  ประการแรกคือการเอาชนะใจผู้คน ประการที่สองคือเล่นงานและกีดกันคนเห็นต่าง ประการที่สามคือกีดกันและเล่นงานผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ประการที่สี่คือยกชูและเป็นพยานยืนยันให้ตนเองตลอดเวลา และประการที่ห้าคือชักพาผู้คนให้หลงผิด ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน  การสำแดงหลักทั้งห้าประการนี้คือชั้นเชิงและวิธีการพื้นฐานที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อครอบครองและควบคุมผู้คนเอาไว้ทั้งสิ้น  นี่คือหมวดหมู่ในภาพรวม  ถัดไป พวกเราจะชำแหละและสามัคคีธรรมถึงหมวดหมู่กว้างๆ เหล่านี้ให้ละเอียดยิ่งขึ้น

การชำแหละว่าศัตรูของพระคริสต์พยายามเอาชนะใจผู้คนอย่างไร

ก. การดึงผู้คนมาเข้าร่วมด้วยการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ

กลวิธีแรกที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ควบคุมผู้คนก็คือการเอาชนะใจพวกเขา  วิธีเอาชนะใจผู้คนมีกี่วิธี?  วิธีหนึ่งคือดึงพวกเขามาเข้าร่วมด้วยการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ  บางครั้งศัตรูของพระคริสต์ก็ให้สิ่งของดีๆ แก่ผู้คน บางครั้งก็ชมเชยผู้คน บางครั้งพวกเขาก็ให้สัญญาเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้คน  และบางครั้งศัตรูของพระคริสต์ก็มองเห็นว่าหน้าที่บางอย่างทำให้ผู้คนสามารถกลายเป็นจุดสนใจได้ หรือเห็นว่าผู้อื่นคิดว่าหน้าที่เหล่านี้สามารถทำให้ใครก็ตามที่ทำหน้าที่ดังกล่าวมีข้อได้เปรียบและได้รับการยกย่องนับถือจากทุกคน พวกเขาจึงมอบหมายหน้าที่เหล่านี้แก่คนที่พวกเขาต้องการได้มาเป็นพวก  การ “เอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ” ครอบคลุมสิ่งต่างๆ มากมาย บางครั้งเป็นวัตถุสิ่งของ บางครั้งก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ บางครั้งเป็นวาจาไพเราะที่ผู้คนต้องการได้ยิน  ยกตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งเริ่มอ่อนแอเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขา สูญเสียแรงจูงใจในหน้าที่ของตน และเมื่อเขานำความอ่อนแอนี้ไปเปรียบเทียบกับพระวจนะของพระเจ้า เขาก็ตระหนักว่านี่คือการไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า ไม่เต็มใจทำหน้าที่ของตน ขาดการนบนอบที่แท้จริง และเขารู้สึกตำหนิตัวเองอย่างยิ่ง  เมื่อผู้นำคนหนึ่งเห็นดังนี้ก็อาจกล่าวว่า “คุณแค่ด้อยวุฒิภาวะเท่านั้น  พระเจ้าจะไม่มองเรื่องนี้แบบนั้นหรอก  คุณเพิ่งเชื่อมาไม่นาน  ไม่อาจหวังอะไรจากตัวเองมากขนาดนั้นได้  เรื่องแบบนี้ย่อมใช้เวลา—คุณจะเร่งรัดไม่ได้  พระเจ้าไม่ได้วางข้อกำหนดที่สูงส่งให้แก่ผู้คน และสำหรับคนที่เพิ่งเชื่อในพระองค์มาไม่นานอย่างคุณ การอ่อนแอนิดหน่อยในบางครั้งเป็นเรื่องปกติ คุณไม่ควรเอาไปกังวล”  ความหมายของคำพูดเช่นนี้ก็คือการเป็นคนอ่อนแอไม่มีอะไรให้กังวล และการอ่อนแอต่อไปก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่ควรกังวล ทั้งหมดนี้เป็นความคิดลบตามปกติ และพระเจ้าไม่ทรงจดจำเรื่องเช่นนี้  บางคนมีอารมณ์อ่อนไหวเกินควร ถูกความรู้สึกของตนเองบีบคั้นอยู่เสมอเวลาทำหน้าที่ของตน ผู้นำของพวกเขาจึงกล่าวว่า “นี่เป็นเพราะคุณยังด้อยวุฒิภาวะ ไม่เป็นไรหรอก”  บางคนเกียจคร้านและไม่จงรักภักดีในหน้าที่ของตน แต่ผู้นำของพวกเขาก็ไม่ว่ากล่าว กลับพูดสิ่งที่ฟังรื่นหูซึ่งผู้คนเหล่านี้ต้องการได้ยินเพื่อเอาใจพวกเขาทุกครั้งไป เพื่อให้พวกเขายกย่องว่าผู้นำของพวกเขาเป็นคนดี และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าตนมีความเข้าอกเข้าใจและเปี่ยมรักเพียงใด  ผู้คนเหล่านี้ก็คิดไปว่า “ผู้นำของพวกเราเหมือนแม่ที่เปี่ยมรัก  พวกเขามีความรักให้กับพวกเราอย่างแท้จริง—เป็นตัวแทนของพระเจ้าโดยแท้  พวกเขามาจากพระเจ้าจริงๆ!”  ความนัยที่ไม่ได้พูดออกไปในการนี้ก็คือว่า ผู้นำของพวกเขาสามารถทำตัวเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้า สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้า  นี่คือเป้าหมายของผู้นำคนนี้ใช่หรือไม่?  บางทีก็อาจจะไม่ชัดเจนเช่นนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในเป้าหมายของพวกเขาก็คือ พวกเขาจะให้ผู้คนพูดว่าพวกเขาเป็นผู้นำที่วิเศษ คำนึงถึงผู้อื่น เห็นใจความอ่อนแอของผู้คน และเข้าใจหัวอกของผู้คนเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อผู้นำคริสตจักรบางคนเห็นพี่น้องชายหญิงทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน พวกเขาจึงไม่ว่ากล่าวแม้พวกเขาควรที่จะว่ากล่าวก็ตาม  เมื่อพวกเขามองเห็นชัดเจนว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ากำลังได้รับความเสียหาย พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้หรือสอบถาม และไม่ยอมล่วงเกินผู้อื่นแม้แต่น้อย  อันที่จริงพวกเขาไม่ได้คำนึงถึงความอ่อนแอของผู้คนอย่างแท้จริง เจตนาและเป้าหมายของพวกเขากลับเป็นการเอาชนะใจผู้คน  พวกเขาตระหนักรู้อย่างเต็มเปี่ยมว่า “ตราบใดที่ฉันทำเช่นนี้และไม่ไปล่วงเกินใครเข้า พวกเขาก็จะคิดว่าฉันเป็นผู้นำที่ดี  พวกเขาจะมีความคิดเห็นที่ดีและสูงส่งเกี่ยวกับตัวฉัน  พวกเขาจะเห็นชอบในตัวฉันและชอบฉัน”  พวกเขาไม่สนใจว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะเสียหายมากเพียงใด หรือเกิดความสูญเสียมากมายเพียงใดในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หรือว่าชีวิตคริสตจักรของผู้คนเหล่านั้นจะถูกรบกวนมากเพียงใด พวกเขาเอาแต่ยึดมั่นในปรัชญาของซาตานและไม่ยอมล่วงเกินผู้ใด  ในหัวใจของพวกเขาไม่เคยมีการติเตียนตนเอง  เมื่อเห็นใครบางคนก่อให้เกิดการขัดขวางและก่อกวน อย่างมากที่สุดพวกเขาก็อาจจะพูดคุยกับคนเหล่านั้นในเรื่องดังกล่าวสักสองสามคำ ทำให้ปัญหาดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็จบเรื่องไป  พวกเขาจะไม่สามัคคีธรรมความจริงหรือชี้ให้คนคนนั้นมองเห็นแก่นแท้ของปัญหา และจะยิ่งไม่ชำแหละสภาวะของคนเหล่านั้น  พวกเขาจะไม่มีวันสามัคคีธรรมว่าสิ่งใดคือเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผู้นำเทียมเท็จไม่เคยเปิดโปงหรือชำแหละความผิดพลาดที่ผู้คนมักจะทำกัน หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนมักจะเผยให้เห็น  พวกเขาไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง แต่กลับตามใจปล่อยให้ผู้คนปฏิบัติอย่างผิดๆ และเผยความเสื่อมทรามออกมา และไม่ว่าผู้คนจะคิดลบหรืออ่อนแอเพียงใด พวกเขาก็ไม่มองเป็นเรื่องจริงจัง  เอาแต่ประกาศวาจาและคำสอนบางอย่าง กล่าวคำเตือนสติไม่กี่คำเพื่อจัดการสถานการณ์อย่างสุกเอาเผากิน พยายามรักษาความสมานฉันท์เอาไว้  ผลก็คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่รู้วิธีทบทวนและทำความรู้จักตนเอง ไม่มีหนทางแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา และใช้ชีวิตอยู่กับวาจาและคำสอน มโนคติอันหลงผิดและสิ่งที่คิดฝัน ไม่มีการเข้าสู่ชีวิตแต่อย่างใด  พวกเขาถึงกับเชื่ออยู่ในหัวใจของตนว่า “ผู้นำของพวกเราเข้าใจความอ่อนแอของพวกเรามากกว่าพระเจ้าด้วยซ้ำ  พวกเรามีวุฒิภาวะน้อยเกินกว่าจะทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้  พวกเราจำเป็นต้องทำให้ได้ตามข้อกำหนดของผู้นำก็พอ เมื่อพวกเรานบนอบผู้นำ พวกเราก็กำลังนบนอบพระเจ้า  ถ้าวันหนึ่งเบื้องบนปลดผู้นำของพวกเรา พวกเราก็จะส่งเสียงให้เบื้องบนได้ยิน เจรจากับเบื้องบนและบีบให้พวกเขาเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของพวกเราเพื่อให้ผู้นำอยู่กับพวกเราต่อไปและยับยั้งไม่ให้ผู้นำถูกปลด  พวกเราจะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้นำของพวกเราแบบนี้”  เมื่อผู้คนมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวใจ เมื่อพวกเขามีสัมพันธภาพเช่นนี้กับผู้นำของตน เกิดการพึ่งพิง อิจฉา และเคารพบูชาผู้นำของตนอยู่ในหัวใจ พวกเขาย่อมมีความเชื่อในตัวผู้นำคนนี้มากขึ้นทุกที และอยากฟังวาจาของผู้นำอยู่เสมอ แทนที่จะแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ผู้นำเช่นนี้เกือบจะเข้าแทนที่พระเจ้าในหัวใจของผู้คนอยู่แล้ว  หากผู้นำเต็มใจที่จะธำรงสัมพันธภาพเช่นนี้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร หากพวกเขาเกิดความรู้สึกชื่นชมยินดีในหัวใจของตนเพราะสัมพันธภาพดังกล่าว และเชื่อว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรปฏิบัติต่อพวกเขาแบบนี้ เช่นนั้นแล้วผู้นำเยี่ยงนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเปาโล พวกเขาก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ถูกศัตรูของพระคริสต์คนนี้ชักพาให้หลงผิดไปแล้ว ไร้ซึ่งวิจารณญาณอย่างสิ้นเชิง  แท้จริงแล้วผู้นำคนนั้นไม่มีความเป็นจริงความจริง และไม่แบกรับภาระในเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลย  ได้แต่ประกาศคำพูดและคำสอน และรักษาสัมพันธภาพที่ตนมีกับผู้อื่นเท่านั้น  เขาเก่งในการอวดตนโดยใช้วิธีการหน้าซื่อใจคด คำพูดและการกระทำของเขาเป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คน และเขาชักพาผู้คนให้หลงผิดด้วยวิธีนี้  เขาไม่รู้จักวิธีสามัคคีธรรมความจริงหรือทำความรู้จักตนเอง และนี่ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะนำผู้อื่นเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เขาทำงานเพียงเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น และพูดแต่คำพูดรื่นหูที่ล่อลวงผู้คนให้ติดกับ  เขาได้สัมฤทธิ์ผลในการทำให้ผู้คนบูชาและยกย่องตนเรียบร้อยแล้ว และเขาได้สร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงพร้อมกับถ่วงงานของคริสตจักรและถ่วงการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ล่าช้าออกไป  คนเช่นนี้คือศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  บางคนปฏิบัติตนในหนทางเดียวกับศัตรูของพระคริสต์ แต่เมื่อเห็นศัตรูของพระคริสต์ถูกเผย พวกเขาก็สามารถเปรียบเทียบตนเองกับศัตรูของพระคริสต์คนนั้นได้  พวกเขารู้สึกว่าเส้นทางที่ตนเดินคือเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เช่นกัน พวกเขาควรรั้งตัวเองออกจากปากเหวแห่งความวิบัติ ควรกลับใจต่อพระเจ้าทันที เลิกมุ่งเน้นสถานะและภาพลักษณ์ส่วนตัว พวกเขาคิดว่าตนเองควรยกชูและเป็นพยานให้พระเจ้าในทุกเรื่อง ทำให้ผู้คนมีที่ทางสำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และควรเทิดทูนพระองค์ว่ายิ่งใหญ่—พวกเขารู้สึกว่าเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะมีความสงบสุขที่แท้จริงในหัวใจของตน  คนที่ทำเช่นนี้เท่านั้นจึงเป็นคนที่รักและสามารถยอมรับความจริงได้  หากคนคนหนึ่งมีธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ เขาย่อมจะรู้สึกไม่สบายใจเช่นกันเมื่อได้ฟังคำพูดเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ แต่จะไม่สามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า หรือเปิดใจและตีแผ่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน  นี่แสดงให้เห็นว่าเขายอมรับความจริงไม่ได้และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับใจอย่างแท้จริง  เขาจะตั้งหน้าตั้งตายืนยันสถานะของตน สุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง และสุขสำราญกับการบูชาและยกย่องจากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  นี่เป็นเหตุให้คนที่ถูกเขาชักพาให้หลงผิดไปแล้วออกห่างจากหนทางที่แท้จริงและพระวจนะของพระเจ้า หลบเลี่ยงพระเจ้าและติดตามคนคนนั้นแทน  ทว่าคนคนนั้นกลับไม่ทบทวนตนเองแต่อย่างใด  เมื่อไม่ตระหนักรู้ว่าตนได้ตกอยู่ในอันตรายเรียบร้อยแล้ว เขาจึงยังคงคิดถึงตนเองในแง่ดีมาก ชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและเอาชนะใจต่อไป  ตราบใดที่ผู้คนใส่ใจฟังสิ่งที่เขาพูดและเชื่อฟังเขา ตราบนั้นไม่ว่าผู้คนเหล่านั้นจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินหรือไม่รับผิดชอบเพียงใด เขาก็จะทำเป็นมองไม่เห็น  ยิ่งไปกว่านั้น เขาย่อมจะเพลิดเพลินไปกับการสุขสำราญที่คนโง่เขลาและไม่รู้ความเหล่านั้นบูชาและยกย่องเขา ถึงกับคอยปกป้อง ไม่ยอมให้ใครเปิดโปงหรือแยกแยะคนเหล่านั้น  เมื่อทำดังนี้ ศัตรูของพระคริสต์กำลังตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองอยู่มิใช่หรือ?  ศัตรูของพระคริสต์ย่อมไม่ทำงานจริง เขาไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา ไม่นำผู้คนกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เขาทำงานเพื่อสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์เท่านั้น ใส่ใจแต่การสถาปนาตนเอง ปกป้องที่ทางที่เขาถือครองอยู่ในหัวใจของผู้คน ทำให้ทุกคนเคารพบูชาเขา ยกย่องเขา และติดตามเขาตลอดเวลาเท่านั้น เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายที่เขาต้องการสัมฤทธิ์  ศัตรูของพระคริสต์ใช้วิธีนี้พยายามเอาชนะใจผู้คนและควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—วิธีทำงานเช่นนี้เลวร้ายมิใช่หรือ?  น่าขยะแขยงเกินไปโดยแท้!  เขาทำงานแบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกดีกับตน ไว้ใจ และพึ่งพาตน—แต่ผลที่ตามมาเป็นเช่นใด?  ไม่เพียงผู้คนเหล่านั้นจะไม่สามารถเข้าใจความจริงเท่านั้น ไม่เพียงไม่ก้าวหน้าในการเข้าสู่ชีวิตของตนเลยเท่านั้น—แต่ยังรับศัตรูของพระคริสต์มาเป็นพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณของตน เป็นตัวแทนของพระเจ้า ยอมให้ศัตรูของพระคริสต์เข้ามาแทนที่สถานะของพระเจ้าในหัวใจของตน  เมื่อใครบางคนมีปัญหา พวกเขาก็ไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกต่อไป และไม่ว่าจะเกิดปัญหาใดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือพึ่งพาพระองค์ และไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระองค์  แต่กลับนำปัญหาไปถามผู้นำคนนี้  พวกเขาขอให้ผู้นำคนนี้ชี้ทางให้พวกเขา ยกย่องและพึ่งพิงผู้นำคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาไม่รู้จักวิธีแสวงหาพระเจ้า ไม่รู้ว่าจะยกย่องและพึ่งพาพระองค์อย่างไร และยิ่งไม่รู้เลยว่าจะกระทำการให้สอดคล้องกับความจริงและหลักธรรมอย่างไร  ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็รออย่างใจจดใจจ่อให้ผู้นำคนนี้ตัดสินใจ  พวกเขาทำทุกสิ่งที่ผู้นำบอกว่าพวกเขาควรทำ และคล้อยตามทุกแนวทางของผู้นำ  ด้วยการนำผู้คนมาถึงจุดนี้ ศัตรูของพระคริสต์กำลังชักพาพวกเขาให้หลงผิดและควบคุมพวกเขาเอาไว้มิใช่หรือ?  เหตุใดประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่แสวงหาความจริงจากพระเจ้าเมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับตน?  เหตุใดประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงเชื่อฟังสิ่งที่ผู้นำของตนบอกอย่างมืดบอด โดยไม่ตรวจสอบหรือใช้วิจารณญาณแยกแยะคำพูดของผู้นำ?  เหตุใดประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงสามารถนบนอบคำพูดของผู้นำทันทีที่ได้ยิน แต่กลับไม่อาจทำเช่นนี้กับพระวจนะของพระเจ้า?  พวกเขากำลังเสาะหาความอยากได้อยากมีของผู้นำแทนที่จะแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า พวกเขาใส่ใจฟังคำของผู้นำแทนที่จะใส่ใจพระวจนะของพระเจ้า แทนที่จะแสวงหาและนบนอบความจริง  พวกเขาพึ่งพาให้ผู้นำของตนลงมือกระทำการ คอยหนุนหลังพวกเขา พูดแทนพวกเขา และตัดสินใจแทนพวกเขา แทนที่จะพึ่งพาพระเจ้า ยกย่องพระองค์ และนบนอบพระองค์  พวกที่ได้ชื่อว่าผู้นำเหล่านี้ได้ยึดครองตำแหน่งสำคัญในหัวใจของผู้คนไปแล้วมิใช่หรือ?  นี่คือผลสืบเนื่องจากการที่ศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้คนให้หลงผิดและดักจับพวกเขาเอาไว้

เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคนบางคน และเจ้าบอกให้พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขากลับตอบว่าตนเองด้อยวุฒิภาวะเกินไปและไม่รู้ว่าจะแสวงหาอย่างไร  หากเจ้าบอกให้พวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาย่อมบอกว่าพวกเขาไม่มีขีดความสามารถและไม่อาจได้รับความสว่างอันยิ่งใหญ่  หากเจ้าบอกให้พวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาย่อมบอกว่าเนื้อหาของคำเทศนาทั้งหลายนั้นสูงส่งและลุ่มลึกเกินไปสำหรับพวกเขา เป็นเรื่องเหลือวิสัยสำหรับพวกเขา  พวกเขาเชื่อว่าหากคนคนหนึ่งขีดความสามารถต่ำ มีความอ่อนแอ และไม่เก่งพอไม่ว่าในทางใด เช่นนั้นพวกเขาก็จำต้องเสาะหาผู้นำ  สมมุติเจ้าถามพวกเขาว่า “ทำไมคุณถึงต้องเสาะหาผู้นำ?  ทำไมคุณไม่แสวงหาพระเจ้าและมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์?”  พวกเขาย่อมตอบว่า “ยากมากที่ผู้คนจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะพวกเรามีมโนคติอันหลงผิด ขีดความสามารถต่ำ ทั้งยังสมองช้าและด้านชา  พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ตรงไปตรงมาเสมอไป และพระวจนะของพระองค์ก็ไม่มีตัวอย่างแสดงให้เห็นเลยว่าหมายความว่าอย่างไร  ผู้นำของพวกเราแค่บอกพวกเราตรงๆ ว่าต้องทำอะไร ในแบบตรงไปตรงมาจริงๆ เหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง  ส่วนเรื่องการอ่านพระวจนะของพระเจ้านั้น ถ้าฉันอ่านออกเสียงได้ นั่นก็ดีมากแล้ว แต่ฉันไม่รู้เลยว่าพระวจนะของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร และไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใดจากมนุษย์หรือจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ฉันไม่เคยหาคำตอบได้เลย  ในเมื่อฉันเป็นคนที่ขีดความสามารถต่ำ ด้อยวุฒิภาวะขนาดนี้ ด้านชาและทึ่มทื่อ ไม่สามารถมองทะลุอะไรได้เลย ฉันจึงต้องถามผู้นำของพวกเราในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น และต้องให้เขาตัดสินชี้ขาด  ผู้นำของพวกเราหาคำตอบให้ฉันได้ ฉันก็แค่ทำตามที่เขาบอก  นั่นแหละคนในแบบที่ฉันเป็น—เรียบง่ายและเชื่อฟัง”  “การเป็นคนเรียบง่ายและเชื่อฟังไม่มีอะไรผิด แต่แท้จริงแล้วผู้นำของพวกคุณมีความเป็นจริงความจริงหรือเปล่า?  แท้จริงแล้วเขาคือคนที่นบนอบพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าเขาได้แต่ประกาศคำพูดและคำสอน และไม่ใช่คนที่นบนอบพระเจ้า เช่นนั้นการที่คุณนบนอบเขาก็หมายความว่าคุณกำลังนบนอบพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?”  พวกเขาตอบว่า “ผู้นำของพวกเรามีขีดความสามารถสูง ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดย่อมถูกต้อง  นั่นพิสูจน์ว่าเขาเข้าใจความจริงและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า”  สิ่งที่พวกเขาพูดก็มีเหตุผลในเชิงตรรกะอยู่บ้างมิใช่หรือ?  ทั้งหมดนี้เป็นไปตามความรู้สึกส่วนตัวของพวกเขา  พวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ ดังนั้นหากผู้นำของพวกเขามีสิ่งใดไม่ถูกต้องจริงๆ พวกเขาก็จะไม่สามารถมองเห็นได้  ผู้คนส่วนใหญ่โง่เขลา ไม่รู้ความ และขีดความสามารถต่ำ แต่ตอนนี้พวกเราวางเหตุผลนั้นเอาไว้ก่อน  เมื่อดูในแง่ของผู้นำ หากผู้คนเปิดเผยการสำแดงเหล่านี้ออกมา มีการพึ่งพาผู้นำของตนเช่นนี้ มีทัศนะและท่าทีเช่นนี้ต่อผู้นำของตน นั่นย่อมมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับชั้นเชิงและวิธีการที่ผู้นำใช้เพื่อเอาชนะใจผู้คนมิใช่หรือ?  (ใช่)  เชื่อมโยงกันมากขนาดไหน?  เชื่อมโยงโดยตรงกับวิธีการทำงานของผู้นำหรือไม่?  พวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่ามีความเชื่อมโยงกันโดยตรงอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกันเต็มร้อย  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ในแง่ของเจตจำนงส่วนตัวแล้ว มีผู้นำจำนวนมากที่อยากพาผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง หรือไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างไร จึงได้เพียงจัดการงานบริหารและเรื่องทั่วไปบางอย่าง และอวดตนเพื่อให้ผู้คนยกย่องนับถือตน พวกเขาจึงออกเดินไปบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์โดยไม่รู้ตัว  พวกเขาใช้หนทางและวิธีการของตนเองเพื่อพยายามเอาชนะใจผู้คนอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมหัวใจ พฤติกรรม และความคิดของผู้คน เพื่อให้ผู้คนทำตามสิ่งที่พวกเขาบอกอยู่เสมอทั้งในเรื่องการกระทำ การปฏิบัติความจริง และการปฏิบัติหน้าที่ในทุกแง่มุม  หากผู้คนนบนอบศัตรูของพระคริสต์และไม่นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง—หากพวกเขานบนอบศัตรูของพระคริสต์เกินกว่าที่นบนอบพระเจ้า—และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาก็ไม่ให้ผลใดเลย ทั้งยังทำหน้าที่ของมนุษย์ได้ไม่ดี เช่นนั้นแล้วผู้คนดังกล่าวคือผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  ผู้คนมีเส้นทางปฏิบัติที่ “ถูกต้อง” ในการเชื่อฟังและจงรักภักดีต่อผู้นำและคนทำงาน แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติให้ถูกต้องเมื่อเป็นเรื่องของการนบนอบพระเจ้าและจงรักภักดีต่อพระองค์—ไม่มีใครสามัคคีธรรมเรื่องนี้ และไม่มีใครปฏิบัติงานที่แท้จริงในแง่มุมนี้เลย  ทุกคนชอบพูดและกระทำการเพื่อสถานะและความมีหน้ามีตาของตนเอง พวกเขาเค้นสมองคิดจนลืมกินหรือลืมนอนพลางทำงานเพื่อทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเชื่อฟังและบูชาตน  เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทำทั้งหมดนี้เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายที่จะเป็นใหญ่ในคริสตจักรในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  เพราะมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคนมีอุปนิสัยที่เหมือนกันและชอบเหมือนๆ กัน  เมื่อใครสักคนชี้เส้นทางหนึ่งให้เจ้า และเจ้าก็เต็มใจยิ่งที่จะปฏิบัติตามนั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง—นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังทำสิ่งที่คนคนนั้นบอกและกำลังเชื่อฟังพวกเขา  แล้วเหตุใดผู้คนจึงไม่เต็มใจมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าหรือแสวงหาพระองค์?  เพราะความเป็นมนุษย์ของมนุษย์นั้นไม่มีอะไรที่ตรงกับความจริงเลย  สิ่งที่ผู้คนชอบ สิ่งที่พวกเขาโหยหา และสิ่งที่พวกเขายึดมั่นในหัวใจล้วนสวนทางกับความจริงและตรงข้ามกับความจริง  เพราะฉะนั้น หากเจ้าขอให้ใครบางคนแสวงหาความจริงเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาย่อมจะเห็นว่าเป็นเรื่องยากลำบากยิ่งกว่าการบินไปดวงจันทร์—แต่หากเจ้าขอให้พวกเขาใส่ใจฟังคนคนหนึ่ง พวกเขาจะพบว่านั่นง่ายกว่ามาก  ชัดเจนว่าศัตรูของพระคริสต์สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เร็วมากเมื่อพวกเขาใช้กลวิธีเอาชนะใจผู้คนมาควบคุมผู้คนเอาไว้  เพียงออกความเห็นแบบผ่านๆ พวกเขาก็สามารถทำให้ใครบางคนมีความคิดเห็นในทางที่ดีต่อพวกเขาได้ เพียงออกความเห็นง่ายๆ ที่เก็บงำเจตนาหรือมุมมองบางอย่างเอาไว้ พวกเขาก็สามารถทำให้ใครบางคนมองพวกเขาจากมุมมองใหม่ ในมุมมองที่ต่างออกไป  นี่เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วผู้คนมีสิ่งใดอยู่ในตัว  นี่หมายความว่าหากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ใช้เส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและอำนาจ ผลกระทบและผลสืบเนื่องจากทุกสิ่งที่เจ้าทำจะเกิดกับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทุกคน จะทำให้พวกเขาหันหลังให้กับหนทางที่แท้จริง หลบเลี่ยงความจริง หลบเลี่ยงพระเจ้า และปฏิเสธพระเจ้า  นั่นคือผลสืบเนื่องเพียงอย่างเดียว และเป็นผลลัพธ์เดียวเท่านั้น  นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจน

การสำแดงแรกของการพยายามเอาชนะใจผู้คนของศัตรูของพระคริสต์คือการดึงผู้คนมาเข้าร่วมด้วยการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ  การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุสิ่งของ เพราะมีขอบเขตที่กว้างมาก  บางครั้งก็เป็นคำพูดที่คำนึงถึงอีกฝ่าย บางครั้งเป็นการเติมเต็มความอยากได้อยากมีหรือความชอบของใครสักคน และบางครั้งก็เป็นการลองหยั่งเชิงความคิดของใครสักคนและกล่าวสิ่งที่ฟังรื่นหูซึ่งคนคนนั้นต้องการได้ยิน ทำให้คนคนนั้นคิดว่าผู้นำของตนเป็นคนดีมากและเข้าอกเข้าใจอย่างยิ่ง  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ศัตรูของพระคริสต์เต็มไปด้วยความผ่อนปรน ความรัก ความอบอุ่น และสิ่งที่เรียกว่าการคำนึงถึงเพื่อปกปิดความทะเยอทะยานลับๆ ของตนที่จะควบคุมผู้คน  ตัวอย่างเช่น หากพี่น้องชายหญิงบริจาคสิ่งของดีๆ มาให้บ้าง พวกเขาก็อาจแบ่งปันสิ่งเหล่านั้นบางส่วนให้กับคนที่มีสัมพันธภาพที่ดีกับพวกเขา  พวกเขาใช้การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาเอาชนะใจผู้คนและติดสินบน  หากในคริสตจักรมีงานที่ไม่ลำบาก งานที่ไม่ต้องตากแดดตากฝน และสามารถช่วยให้ใครบางคนกลายเป็นจุดสนใจได้ พวกเขาก็จะให้คนที่ตนมีสัมพันธภาพอันดีไปทำงานนั้น  เหตุใดพวกเขาจึงสามารถทำเช่นนี้ได้?  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาไม่รักความจริง และกระทำการอย่างไร้หลักธรรม  อีกส่วนก็เพราะพวกเขาเก็บหน้าที่ดีๆ นี้ไว้ให้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา จากนั้นก็กล่าวสิ่งที่ฟังรื่นหูกับคนเหล่านั้น เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นรู้สึกขอบคุณพวกเขา  ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาจึงบรรลุเป้าหมายที่จะเอาชนะใจผู้คนเหล่านี้ของตนได้  ชั้นเชิงเช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงการแจกจ่ายสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ และพูดจาหวานหูเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น—แต่ในนั้นมีเจตนาและเป้าหมาย  เป้าหมายนั้นคืออะไร?  คือการหมายที่จะทำให้ผู้คนประเมินพวกเขาในทางที่เป็นบวกอยู่ในหัวใจ  หากมีกลุ่มคนอยู่สิบคน พวกเขาก็จะเริ่มประเมินคนเหล่านั้นว่า “ในสิบคนนี้มีสองคนที่ประจบผู้คนเก่ง ฉันไม่จำเป็นต้องใส่ใจสองคนนี้ พวกเขาจะพะเน้าพะนอฉันอยู่ดี  แล้วก็มีผู้คนที่เลอะเลือนอยู่สองคน ถ้าฉันให้สิทธิพิเศษบางอย่าง พวกเขาก็จะทำตามที่ฉันบอก  ส่วนอีกสองคนที่พอจะมีขีดความสามารถอยู่บ้าง ตราบใดที่ฉันประกาศคำเทศนาที่สูงส่งบ้างและกล่าวคำพูดที่น่าประทับใจกับพวกเขา พวกเขาก็จะอ่อนข้อให้ฉัน  จากนั้นก็มีสามคนที่ดูเหมือนจะไล่ตามเสาะหาความจริง ดังนั้นพวกเขาจะจัดการยากหน่อย  ฉันจะต้องอ่านสถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขาให้ชัดเจน ดูว่าพวกเขาต้องการอะไร จากนั้นก็ตอบสนองความต้องการของพวกเขา  ถ้าพวกเขาคนไหนไม่ยอมรับเรื่องนี้และไม่เชื่อฟังฉัน ฉันก็จะจัดการพวกเขาและเอาตัวพวกเขาออกไปในท้ายที่สุด  ต่อให้คนสุดท้ายต่อต้านฉัน ก็สร้างปัญหาให้ฉันได้ไม่มากนัก และจะจัดการได้ง่าย”  เพียงกวาดตามองปราดเดียว พวกเขาก็กำหนดได้แล้วว่าใครในกลุ่มที่รับมือได้และรับมือไม่ได้  พวกเขารู้เรื่องนี้อย่างเร็วเช่นนั้นได้อย่างไร?  พวกเขาทำเช่นนี้ได้เพราะหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยเกมการเมืองและปรัชญาเยี่ยงซาตาน  หลักการของพฤติกรรม วิธีประพฤติปฏิบัติตน และการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นของพวกเขาไม่ใช่การอยู่ร่วมกับผู้คนอย่างเป็นมิตร หรือมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ปกติ ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือหรือจัดหาให้ผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเจริญใจ หรือมีส่วนร่วมกับผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน หรือใช้หลักธรรมความจริงมาจัดการเรื่องราวและรับมือกับผู้อื่น  แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีหลักธรรมเหล่านี้แม้แต่น้อย  แล้วหลักธรรมของพวกเขาเป็นเช่นใด?  “ในใจแต่ละคนมองฉันว่าอย่างไร?  ฉันไม่จำเป็นต้องสนใจคนที่นึกยกย่องฉัน คนที่มีฉันอยู่ในหัวใจ คนที่เกรงกลัวฉัน เคารพและนับถือฉัน  ต่อไปสิ่งที่ฉันควรทำกับคนที่ไม่เคารพฉันก็คืออย่างนี้ๆ แล้วกับคนที่เคารพฉัน แต่ยังไม่ค่อยอ่อนข้อให้เท่าใดนัก ฉันก็ควรทำอย่างนี้ๆ  ส่วนคนที่โดยทั่วไปแล้วไม่ค่อยสนใจคนอื่นมากนัก ฉันก็ควรทำแบบนี้ๆ”  พวกเขามีกระบวนการที่ใช้ควบคุมผู้คนอย่างเป็นขั้นตอน  เหตุใดพวกเขาจึงวางขั้นตอนและมีความคิดอ่านเหล่านี้?  เพราะความอยากได้อยากมีอำนาจในหัวใจของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้  ถ้าพวกเขาเข้ากันฉันมิตรกับผู้คนในกลุ่มหนึ่งๆ ได้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่านั่นไม่ค่อยเติมเต็มและไม่มีศักดิ์ศรีเท่าใดนัก  แล้วจุดหมายของพวกเขาคืออะไร?  คือการทำให้ทุกคนมีที่ทางให้พวกเขาอยู่ในหัวใจ—ถ้าไม่ใช่ที่หนึ่ง ก็เป็นที่สอง และถ้าไม่ใช่ที่สอง เช่นนั้นก็เป็นที่สาม  การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเสมอภาคย่อมจะทำไม่ได้  ในฐานะผู้นำ ผู้คนเหล่านี้จะใส่ใจฟังความคิดเห็นที่ต่างออกไปของผู้อื่นได้หรือไม่?  พวกเขาย่อมทำไม่ได้  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำย่อมหมุนวนอยู่รอบสิ่งใด?  (อำนาจ)  ทุกสิ่งที่พวกเขาทำย่อมวนเวียนอยู่รอบอำนาจ  สิ่งที่พวกเขาทำมีอะไรบ้างที่วนเวียนอยู่รอบอำนาจ?  อย่างแรก พวกเขาหยั่งเชิงและทำความเข้าใจหัวใจของเจ้า นั่นคือ ก่อนอื่นพวกเขาซื้อใจเจ้าและทำให้เจ้าเปิดใจให้พวกเขา ให้เจ้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แล้วพวกเขาก็ขบคิดว่าแท้จริงแล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไรกับพวกเขา  เมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว พวกเขาก็ปรับวิธีการของตนให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์ ลงมือกับแต่ละคนเป็นรายๆ ไป  พวกเขาอยากควบคุมหัวใจของผู้คน และเมื่อพบว่ามีคนที่คิดอ่านไม่เหมือนตน ไม่เคารพ ไม่จงรักภักดีต่อตน เมื่อนั้นพวกเขาก็จะโจมตีและระรานคนคนนั้น  ดังนั้น แรงผลักดันที่ทำให้ศัตรูของพระคริสต์เอาชนะใจผู้คนก็คืออำนาจ  แล้วพวกเขาใช้วิธีการและชั้นเชิงอันใดเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ?  พวกเขาทำความเข้าใจ คว้าใจ และควบคุมหัวใจของผู้คนในทุกๆ ด้าน  ความคิดอ่านของผู้คนมีสิ่งใดคอยควบคุมอยู่?  หัวใจของพวกเขาและธรรมชาติของพวกเขาเอง  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ควบคุมหัวใจของใครบางคนเอาไว้ ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องแนวคิดและความคิดอ่านของคนคนนั้นอีกต่อไป  เมื่อศัตรูของพระคริสต์ควบคุมหัวใจของใครเอาไว้ พวกเขาย่อมควบคุมคนคนนั้นไว้ได้หมด

ข. การโอ้อวดจุดแข็งของพวกเขาเพื่อให้ผู้คนเคารพบูชาพวกเขา

นอกจากใช้การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งพวกเราเพิ่งพูดถึงไปแล้ว โดยทั่วไปหรือตามนิสัยที่เคยชิน ศัตรูของพระคริสต์ยังใช้กลวิธีอื่นใดมาเอาชนะใจผู้คนอีก?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าทุกคนมีภาพจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้นำคนหนึ่ง  ผู้คนพากันคิดว่าผู้นำคนนี้ไม่มีความสามารถพิเศษ ได้แต่กล่าวคำพูดและคำสอนเท่านั้น ไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงในเรื่องของความจริง  ถ้าผู้นำคนนั้นพบว่าผู้คนมีภาพจำเกี่ยวกับตนเช่นนี้ เขาก็จะซ่อนเร้นข้อเสียและข้อบกพร่องของตนอย่างสุดความสามารถใช่หรือไม่?  (ใช่)  เขาจะทำเช่นใด?  เขาจะกล่าวสิ่งใดออกมาบ้าง?  แสร้งทำเป็นเปิดใจก็เป็นแง่มุมหนึ่ง  มีอะไรอีก?  (การแก้ตัว)  การแก้ตัวก็เป็นวิธีการปกปิดอย่างหนึ่งเช่นกัน  นอกจากนี้ผู้นำคนนั้นอาจใช้จุดแข็งของตนและสิ่งต่างๆ ที่ผู้อื่นมองว่ายอดเยี่ยมมาปกปิดจุดอ่อนของตนเอาไว้  นี่เป็นกลวิธีที่ใช้กันทั่วไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันเพิ่งเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน แล้วทำไมถึงได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ?  เพราะฉันเคยบริหารบริษัทแห่งหนึ่งของทางโลก และพนักงานของพวกเราก็เพิ่มจำนวนจาก 10 เป็น 200 คน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฉันมีความสามารถในการเป็นผู้นำ  แม้พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว แต่ความสามารถนี้ย่อมเป็นประโยชน์ในบางสถานการณ์ใช่หรือไม่?”  หลังจากที่ได้ฟังดังนี้ ผู้อื่นย่อมไม่เห็นด้วย ดังนั้นคนคนนี้จึงกล่าวต่อไปว่า “ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดกับพนักงานของคุณ แต่พวกเขาไม่ฟัง คุณควรทำอย่างไร?  เมื่อคุณมีผลสัมฤทธิ์ที่ดี พวกเขาถึงจะฟังคุณ  ส่วนฉันก็มีข้อพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บริษัทของฉันได้เข้าตลาดหลักทรัพย์แล้ว!”  ตอนแรกบางคนอาจกล่าวว่านี่คือพรสวรรค์ นี่คือวิธีที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำสิ่งต่างๆ แต่แท้จริงแล้ววิธีที่คนคนนี้กระทำการนั้นย่อมมีวิธีการและผลลัพธ์ ดังนั้น ระหว่างที่พวกเขากระทำการ บางคนจึงเปลี่ยนจากสงสัยพวกเขามาเป็นไว้ใจพวกเขา เริ่มบูชาพวกเขาไปทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว  นอกจากนี้ คนคนนี้ยังชักพาผู้อื่นให้หลงผิดและปกปิดข้อบกพร่องของตนเอาไว้ เขาซื้อใจผู้คนโดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัว ถูกเขาชักพาให้หลงผิด และก้มหัวให้เขา  นี่คือกลวิธีหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  เป็นกลวิธีอะไร?  เป็นการพยายามอย่างที่สุดที่จะโอ้อวดความเชี่ยวชาญและพรสวรรค์ของตน คุยโวเรื่องความสามารถและทักษะของตน  การกระทำเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายใด?  เป็นการเอาชนะใจผู้อื่นเช่นกัน  เพื่อเอาชนะใจผู้อื่น นอกจากแจกจ่ายสิ่งของดีๆ บางอย่างแล้ว เขายังต้องทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือเขาอีกด้วย  หากเขาเป็นแค่คนธรรมดาหรือคนที่ไร้การศึกษา ไม่ได้เล่าเรียนมากนัก ใครจะยกย่องนับถือเขาเล่า?  เพราะฉะนั้น คนคนนี้จึงเจตนาอวดเกียรติบัตรของตน ให้ผู้คนรู้ว่าตนมีวุฒิการศึกษาขั้นสูงและมีวิทยฐานะทางวิชาการชั้นสูง ซึ่งส่งผลให้เขาชักพาคนบางคนให้หลงผิด  เขาพยายามอย่างสุดกำลังที่จะอวดพรสวรรค์ ความเชี่ยวชาญ และความสามารถของตน เพื่อทำให้ผู้อื่นนับถือตนและประทับใจตน และเพื่อให้ผู้คนถึงกับคิดหรือเกิดแรงกระตุ้นที่จะร้องขอคำแนะนำจากเขาขณะทำสิ่งต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง  ทุกสิ่งที่เขาทำเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้จึงเป็นกลยุทธ์ที่จะเอาชนะใจผู้คนเช่นกันมิใช่หรือ?  นี่คือการสำแดงสองประการที่ศัตรูของพระคริสต์เอาชนะใจผู้คน  ประการแรกคือการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ  ประการที่สองคือการอวดความสามารถและพรสวรรค์ของตนเอง ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเหนือกว่าผู้อื่น และใช้วิธีนี้เอาชนะคนที่เหลือ เพื่อให้พวกเขาโดดเด่นเหนือฝูงชน และเพื่อให้ทุกคนยกย่องนับถือ ชื่นชม เต็มใจมาเบื้องหน้าพวกเขาเพื่อทำตามคำสั่ง และยอมรับความเป็นผู้นำของพวกเขา ถึงกับเต็มใจยอมรับและทำตามการจัดการเตรียมการของพวกเขา  นี่คือสงครามจิตวิทยารูปแบบหนึ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  การเอาชนะใจผู้อื่นคือสงครามทางจิตวิทยาอย่างหนึ่ง  คำว่า “สงครามจิตวิทยา” หมายความว่าอย่างไร?  หมายถึงวิธีการที่ซาตานใช้ยึดครองและควบคุมหัวใจของผู้คน  พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกของหัวใจมนุษย์  พระองค์ทรงพิชิตและได้หัวใจของผู้คนมา  แล้วเหตุใดเวลาพูดถึงซาตานและศัตรูของพระคริสต์ จึงไม่ใช้วลีที่ว่า “ได้หัวใจของผู้คนมา”?  เพราะซาตานและศัตรูของพระคริสต์ใช้กลวิธีที่ผิดปกติและเลวร้ายเพื่อฉกฉวย ชักพาให้หลงผิด ชักจูง และควบคุมหัวใจของผู้คนเอาไว้ เพื่อให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดเห็นในทางยกย่องพวกเขา เคารพ และชื่นชมพวกเขาอย่างลึกซึ้ง

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงชั้นเชิงในการเอาชนะใจผู้คนสองประการ  ยังมีชั้นเชิงสำคัญอื่นใดอีกบ้าง?  หากพวกเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์กับชั้นเชิงและวิธีการที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ชักพาผู้คนให้หลงผิดและตีกรอบพวกเขาเอาไว้ พวกเจ้าก็อาจจะมองดูตัวเองว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเป็นอย่างไร  จงดูว่าพวกเจ้ามีการสำแดงเหล่านี้อยู่ในตัวหรือไม่  ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามล้วนมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัว  การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ การชักพาผู้คนให้หลงผิด การดึงคนไปเป็นพวก—พวกเจ้ามักจะทำสิ่งเหล่านี้มิใช่หรือ?  อีกทั้งการพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะโอ้อวดพรสวรรค์และจุดแข็งของตน—นั่นก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้ามักจะทำกันมิใช่หรือ?  (ใช่)  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่พวกเจ้าทำสิ่งที่ขัดต่อความจริง เมื่อจุดอ่อนและข้อเสียของพวกเจ้าถูกเปิดโปง และแม้กระทั่งยามที่พวกเจ้าถูกตัดแต่งและเสียหน้าอย่างมากและเกียรติทั้งปวงที่มีก็ถูกกวาดหายไปด้วย พวกเจ้าก็ทำสิ่งต่างๆ เช่น ใช้วิธีและชั้นเชิงเหล่านี้เพื่อแก้ไขสถานการณ์และกอบกู้ฐานะและเกียรติที่พวกเจ้ามีอยู่ในหัวใจของผู้คนมิใช่หรือ?  (พวกเราก็ทำเรื่องจำพวกนี้เช่นกัน)  เวลาที่พวกเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้ามีความตระหนักรู้ รู้สึกว่านี่คือเส้นทางที่ผิด และพวกเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้บ้างหรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกตำหนิตนเองบ้างหรือไม่?  พวกเจ้ามักจะไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่าพวกเจ้านึกตำหนิตนเอง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้อยู่ดี เพราะความมีหน้ามีตาและภาพลักษณ์ของพวกเจ้าสำคัญต่อพวกเจ้าอย่างยิ่ง?  เป็นอย่างไหน?  (พวกเราทำสิ่งเหล่านี้แม้ไม่อยากทำ)  พวกเจ้าทำสิ่งเหล่านี้แม้ไม่อยากทำ—ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้ารู้สึกตำหนิตนเองบ้างหรือไม่?  หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกอะไรเลย แต่พอทำไปแล้ว พวกเจ้ากลับดูเบาสิ่งเหล่านี้ แล้วก็กินกับนอนเหมือนเดิมต่อไป?  (พวกเรารู้สึกตำหนิตนเอง)  หากพวกเจ้ารู้สึกตำหนิตนเองอยู่บ้าง เช่นนั้นก็ไม่เลวนัก  นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าความด้านชาของพวกเจ้ายังไม่ลงลึกเท่าใดนัก—พวกเจ้ายังคงมีความตระหนักรู้  ผู้คนที่มีความตระหนักรู้ย่อมมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด ส่วนคนที่ไม่มีความตระหนักรู้ย่อมไร้ความเป็นมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในอันตราย

ค. การสร้างภาพเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและเกิดความคิดเห็นในทางที่ดี

มีกลวิธีอื่นใดอีกที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้เอาชนะใจผู้คนเป็นประจำ?  มีอีกสถานการณ์หนึ่งที่ไม่ว่าศัตรูของพระคริสต์กำลังทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่ยอมทำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่กลับทำต่อหน้าผู้คน  เป้าหมายของพวกเขาในการทำเช่นนั้นคืออะไร?  (ดึงผู้คนไปเป็นพวก)  เพื่อให้ได้หัวใจของผู้คน  ภายนอกดูเหมือนพวกเขาเต็มใจทนทุกข์และจ่ายราคามากกว่าผู้อื่น พวกเขาดูเป็นฝ่ายวิญญาณมากกว่าผู้อื่น จงรักภักดีต่อพระเจ้ามากกว่า และจริงจังกับหน้าที่ของตนมากกว่าผู้อื่น  แต่พอไม่มีใครเฝ้าดูพวกเขาอยู่ตรงนั้น พวกเขากลับไม่ปฏิบัติตนเช่นนั้น  การปฏิบัติตนเช่นนั้นไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขามีแรงจูงใจแอบแฝง  พวกเขาประพฤติตัวเช่นนั้นต่อหน้าผู้อื่นก็เพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นเห็นว่าพวกเขาปฏิบัติตนดีเพียงใด และกำลังทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีอย่างยิ่ง ทั้งที่แท้จริงแล้วความจงรักภักดีไม่ใช่แรงจูงใจภายในของพวกเขาอย่างแน่นอน  จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือการทำให้ผู้คนเห็นว่าพวกเขาจงรักภักดีและมีความรับผิดชอบ  พวกเขาทำให้ผู้อื่นเชื่ออย่างหมดใจด้วยการจ่ายราคาแบบนี้  ด้วยเหตุนี้ คนอื่นๆ จึงเต็มใจยอมรับการเป็นผู้นำของพวกเขา และยกโทษให้พวกเขาไม่ว่าจะทำสิ่งใดผิดพลาดก็ตาม  นี่เป็นพฤติกรรมประเภทใด?  นี่คือการสร้างภาพเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด  คำว่า “สร้างภาพ” ในที่นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงพฤติกรรมที่ดีงาม และการกระทำที่ดูเหมือนตรงตามความจริง  การสร้างภาพที่ดูเหมือนตรงตามความจริงเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและเกิดความคิดเห็นในทางที่ดี—นี่สรุปลักษณะนิสัยของพฤติกรรมเช่นนี้เอาไว้ครบถ้วนแล้วมิใช่หรือ?  เป้าหมายของพวกเขาก็คือการทำให้ผู้คนเกิดความคิดเห็นในทางที่ดีในที่สุด  เมื่อผู้คนมีความคิดเห็นในทางที่ดีต่อศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาย่อมรู้สึกเคารพศัตรูของพระคริสต์อยู่บ้าง—ด้วยการใช้วิธีนี้ ศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะยึดครองฐานะบางอย่างในหัวใจของผู้คนเอาไว้แล้ว  ตัวอย่างเช่น มีคนประเภทหนึ่งที่เต็มใจจ่ายราคาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน การกระทำของพวกเขาพึ่งพาประสบการณ์ของตนเป็นส่วนใหญ่ และโดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ละเมิดหลักธรรมสำคัญใดๆ แต่พอเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาเรื่องการแสวงหาหลักธรรมความจริง พวกเขาพูดว่าอย่างไร?  “ไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมเรื่องนี้กับฉันหรอก  ฉันคำนึงถึงเรื่องทั้งหมดนี้อยู่แล้ว!”  เมื่อพวกเขาเผชิญปัญหาเข้าจริงๆ ไม่เพียงพวกเขาจะไม่แสวงหาเท่านั้น แต่ยังไม่ยอมฟังคำแนะนำจากใครอื่นอีกด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความคิดเห็นของคนอื่น พวกเขาเอาแต่ทำสิ่งที่ตนคิดว่าดีเท่านั้น  เมื่อพวกเขาจ่ายราคา เมื่อการกระทำของพวกเขาทำให้พวกเขาดูฉับไว เด็ดขาด และมีอำนาจสั่งการบางอย่าง คนอื่นจะมีทัศนะต่อพวกเขาในใจอย่างไร?  คนอื่นจะมีความคิดเห็นที่ดีต่อพวกเขาหรือไม่?  จากมุมมองของคนอื่น พวกเขาไม่เคยละเมิดความจริงอย่างโจ่งแจ้ง และมีทักษะในการทำสิ่งต่างๆ มาก  ระดับของ “ความจงรักภักดี” และประสบการณ์ของพวกเขาในการทำหน้าที่ของตนก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อื่นมั่นใจได้  ผู้คนต่างคิดว่า “ดูพวกเขาสิ พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี และมีประสบการณ์ในการทำหน้าที่นี้  พวกเขาเป็นคนที่มากประสบการณ์  พวกเราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้”  เมื่อผู้คนมีทัศนะที่เป็นบวกต่อพวกเขาขนาดนี้ พวกเขาย่อมมีน้ำหนักมากหรือน้อยในหัวใจของผู้คนเหล่านั้น?  (มาก)  มีมากทีเดียว พวกเขามีน้ำหนักในหัวใจของคนเหล่านั้น  บางคนไม่เคยแสวงหาความจริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และอีกส่วนก็เพราะพวกเขาไม่สนใจความจริง ไม่รักความจริงเลย และไม่มีความเข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าอะไรคือหลักธรรมความจริง  พวกเขาพึ่งพาแต่ความกระตือรือร้นชั่วครู่ของตน เจตนาดีของตนเอง และประสบการณ์นานหลายปีในการทำหน้าที่ของตนเท่านั้น  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้เรื่องเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะใช้ความอุตสาหะและจ่ายราคา  หากมีใครค้นพบว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ หรือไม่เข้าใจความจริง และทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้หลักธรรม พวกเขาก็จะเร่งมือสัมฤทธิ์ผลอย่างให้ผู้คนเห็น พลางกล่าวว่า “ดูสิว่าฉันมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณจริงหรือไม่  ดูเอาเถิดว่าฉันกระทำการตามหลักธรรมจริงหรือไม่ ฉันเข้าใจความจริงโดยแท้หรือไม่”  เมื่อพวกเขาปฏิบัติตนเช่นนี้ ย่อมมีผู้คนไม่น้อยถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด  ผู้คนย่อมกล่าวว่า “คนเหล่านั้นมีประสบการณ์ในการทำหน้าที่ของตนและเข้าใจหลักธรรม คนที่ไม่เข้าใจคือพวกเราต่างหาก”  “เป็นพวกเราเองที่ไม่เข้าใจ”—ถ้อยแถลงนี้เผยให้เห็นสิ่งใด?  เผยให้เห็นว่าลึกลงไปแล้ว ผู้คนเห็นชอบกับพฤติกรรมภายนอกอันดีงามของคนเหล่านั้น  การเห็นชอบนี้เทียบได้กับสิ่งใด?  เทียบได้กับการคิดว่าพวกเขาคือผู้คนที่ปฏิบัติความจริง รักพระเจ้า และน้อมรับการทำให้พวกเขาเพียบพร้อมจากพระเจ้า  การที่ผู้อื่นประเมินพวกเขาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขายึดครองฐานะบางอย่างในหัวใจของผู้คนเอาไว้แล้วมิใช่หรือ?  กล่าวให้เจาะจงลงไปก็คือ สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีเกียรติอย่างหนึ่ง  แล้วเกียรตินี้นำสิ่งใดมาให้พวกเขา?  นั่นทำให้ผู้อื่นยกย่องพวกเขา นับถือพวกเขา และถึงกับพึ่งพิงพวกเขา  พึ่งพิงอย่างไร?  ทันทีที่ผู้อื่นมีปัญหา ก็มาหาพวกเขาทันที  สมมุติมีใครบางคนพูดว่า “นี่เป็นเรื่องใหญ่ และพวกเราต่างก็ไม่เข้าใจ พวกเราควรถามเบื้องบนหรือเปล่า?”  และแล้วบางคนก็จะบอกว่า “ไม่จำเป็นหรอก  แค่ถามผู้นำของพวกเราก็ได้  ผู้นำของพวกเราเข้าใจหมดทุกเรื่อง”  ทุกคนต่างก็มีความคิดว่าผู้นำและคนทำงานมีงานรัดตัวแทบจะตลอดเวลาและไม่เคยทำความชั่ว และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงคิดว่าผู้นำและคนทำงานคือคนที่เข้าใจความจริงและกระทำการตามหลักธรรมอย่างแน่นอน  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับทัศนคติเช่นนี้?  หากใครบางคนไม่เคยทำความชั่วให้เห็น นั่นหมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริงกระนั้นหรือ?  ไม่จำเป็นเลย  การเข้าใจความจริงของใครก็ตามย่อมมีขีดจำกัด  หากเชื่อว่าผู้นำเข้าใจทุกสิ่ง และไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอะไร เจ้าก็จะไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่แสวงหาจากพระองค์ หรือไม่แสวงหาในพระวจนะของพระองค์ แต่กลับตรงไปหาผู้นำเพื่อถามคำถามเกี่ยวกับปัญหานั้น นี่ย่อมจะถ่วงสิ่งต่างๆ ให้ล่าช้าออกไปมิใช่หรือ?  หากเจ้าทำตามสิ่งที่พวกผู้นำบอกตลอดเวลา ยกย่องพวกเขาอยู่เสมอ เช่นนั้นก็อาจมีบางอย่างผิดพลาดได้ และเจ้าอาจนำความสูญเสียมาสู่คริสตจักรก็เป็นได้  นี่คือเหตุผลที่การบูชาและยกย่องผู้คนเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดที่จะออกนอกลู่นอกทางและทำผิดพลาด ทำให้เกิดความสูญเสียในชีวิตของเจ้าเอง ในพระนิเวศของพระเจ้า และงานของคริสตจักร

การสำแดงหลักสามประการของศัตรูของพระคริสต์ที่เอาชนะใจผู้คน ประการแรกคือดึงผู้คนมาเข้าร่วมด้วยการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ประการที่สองคือโอ้อวดจุดแข็ง พรสวรรค์ และความสามารถพิเศษของตน ประการที่สามคือสร้างภาพเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและเกิดความคิดเห็นในทางที่ดี  การสำแดงเหล่านี้พบได้ในตัวคนทุกคน  บางคนมักจะเผยเรื่องซุบซิบนินทาบางเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ พูดคุยหัวข้อต่างๆ สารพัดชนิด หรือแสดงความคิดเห็นที่ไม่เหมือนใครอย่างผู้เชี่ยวชาญ  แบบนี้เรียกว่าอะไร?  มีคำกล่าวสองวลีที่ว่า “หญิงชราทาปาก—เพื่อให้อีกคนมีอะไรดู”  ผู้คนเหล่านี้ต้องการแสดงทักษะของตนและได้รับการยกย่องนับถือจากผู้คนอยู่เสมอ  แต่บางครั้งพวกเขากลับทำได้ไม่ดีนัก และผู้คนก็เห็นข้อบกพร่องในตัวพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทำทุกอย่างที่จะสามารถทำได้เพื่อแก้ไขสถานการณ์และโต้เถียงเพื่อให้ตนพ้นผิด  ไม่ว่าพวกเขาได้ทำสิ่งใดที่ขัดต่อมโนธรรมของตนและความจริง หรือสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่เคยรู้จักรับผิดหรือทบทวนตนเองและกลับใจ และไม่เคยตระหนักเลยว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงใด  ตรงกันข้าม พวกเขากลับใช้ความคิดอย่างหนักและเค้นสมองหาทางโต้เถียงเพื่อปกป้องตนเองและกลบเกลื่อนสิ่งต่างๆ  พวกเขาร้อนรนกระวนกระวายที่จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนจนถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าจุดยืนที่ดีของตนในสายตาของผู้อื่นจะพลันเสียหายและย่อยยับอย่างสิ้นเชิง  ตัวอย่างเช่น บางคนคิดว่างานเขียนของตนดี ตนเป็นนักเขียนที่มีฝีมือ บ้างก็คิดว่าตนเป็นผู้นำที่ดี เป็นเสาหลักที่ค้ำยันคริสตจักรเอาไว้ คนอื่นก็คิดว่าพวกเขาเป็นคนดี  ทันทีที่ผู้คนเหล่านี้สูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีของตนด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกเขาก็ทุ่มเทความคิดและจ่ายราคาเพื่อการนั้น เค้นสมองพยายามแก้ไขสถานการณ์นั้น  แต่พวกเขาไม่เคยรู้สึกละอายหรือตำหนิตนเอง หรือรู้สึกติดค้างพระเจ้าเพราะตนได้เลือกเส้นทางที่ผิด หรือได้ทำสิ่งต่างๆ ที่ขัดต่อความจริงลงไป  พวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นเลย  พวกเขาใช้ชั้นเชิงสารพัดอย่างมาชักพาผู้คนให้หลงผิดและเอาชนะใจผู้คน  นี่คือการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใช่หรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  แล้วเป็นงานที่ผู้นำคริสตจักรควรทำหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่  พวกเขาใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร ขัดขวางและก่อกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อพิจารณาจากการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาเดิน และพฤติกรรมต่างๆ ที่พวกเขาใช้ชักพาผู้คนให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้ พวกเขาไม่ได้กำลังทำหน้าที่ของผู้นำ แต่กลับรื้อทำลายและขัดขวางพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า ห้ามผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพยายามที่จะกุมผู้คนไว้ในกำมือของตน ภายใต้การควบคุมของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้คือการกระทำและพฤติกรรมของศัตรูของพระคริสต์มิใช่หรือ?  ไม่มีข้อสงสัยเลย  นี่เป็นหลักฐานเพียงพอแล้วว่าศัตรูของพระคริสต์สวมบทซาตานโดยสมบูรณ์  เมื่อพิจารณาจากธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาทำแล้ว พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถทำหน้าที่ที่ตนควรทำให้ดีได้เท่านั้น—ตรงกันข้าม พวกเขากำลังเล่นบทซาตาน  แน่นอนว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีแต่การแก่งแย่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกับพระองค์  แกะที่เป็นของพระเจ้าก็ควรติดตามพระเจ้าและพระองค์ก็ควรทรงได้แกะเหล่านี้ แต่ผู้คนเหล่านี้กลับห้ามผู้อื่นติดตามพระเจ้า เอาแกะของพระเจ้าไปไว้ในกำมือของตนและควบคุมเอาไว้ ทำให้ผู้คนบูชาและติดตามพวกตน  การกระทำของพวกเขามีธรรมชาติเช่นนั้น  สามารถเรียกผู้คนเช่นนี้ว่า “ผู้นำ” ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วพวกเราควรเรียกพวกเขาว่าอย่างไร?  (คนรับใช้ชั่ว)  “คนรับใช้ชั่ว”—เป็นชื่อที่เหมาะสม  “ศัตรูของพระคริสต์” “คนรับใช้ชั่ว”—สองชื่อนี้ใช้ได้ทั้งคู่มิใช่หรือ?  ผู้คนเหล่านี้ชูธงว่ากำลังทำหน้าที่ของผู้นำ แต่พวกเขากลับไม่ทำสิ่งที่ผู้นำพึงทำ  สิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำแต่อย่างใด เป็นการสวมบทบาทของศัตรูของพระคริสต์ ก่อกวนและทำลายงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าแทนซาตาน และชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิดด้วยการหลบเลี่ยงหนทางที่แท้จริงและหลบเลี่ยงพระเจ้า  การกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยและธรรมชาติของซาตาน สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ด้วยการทำให้ผู้คนหลบเลี่ยงพระเจ้า ปฏิเสธความจริงและพระเจ้า รวมทั้งบูชาและติดตามพวกเขา  สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิดและนำมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาโดยสมบูรณ์แล้ว ผู้คนก็จะเริ่มบูชา ติดตาม และเชื่อฟังพวกเขา  จากนั้นพวกเขาก็จะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนที่เป็นการล่อลวงหัวใจของผู้คนให้ติดกับ  พวกเขาเป็นผู้นำคริสตจักร แต่กลับไม่ทำงานที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้ทำ พวกเขาไม่ทำงานของผู้นำและคนทำงาน  ตรงกันข้าม พวกเขากลับกระทำการต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ชักพาให้หลงผิด ล่อลวง และควบคุมเอาไว้ ยึดเอาแกะที่ชัดเจนว่าเป็นของพระเจ้ามาไว้ในกำมือของตน อยู่ภายใต้การควบคุมของตน  พวกเขาเป็นหัวขโมยและโจรมิใช่หรือ?  ในการแก่งแย่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกับพระองค์ พวกเขาก็กำลังทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตานมิใช่หรือ?  ศัตรูของพระคริสต์เยี่ยงนี้ย่อมเป็นศัตรูของพระเจ้ามิใช่หรือ?  พวกเขาคือศัตรูของประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเขาเป็นเช่นนั้นเต็มร้อย  พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้าและประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร เรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น

ในสมัยที่เราพูดและทำงานในคริสตจักรทุกแห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ เรามีใครคนหนึ่งอยู่กับเรา คอยรับผิดชอบบันทึกเสียงและถอดความคำเทศนา  คนคนนี้ค่อนข้างมีพรสวรรค์ เขาเป็นคนหัวไวและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว  แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งคือ เขาเก่งในการพูดคำรื่นหูที่ผู้คนต้องการฟัง  หากเจ้ากล่าวว่าสิ่งใดรสชาติอร่อย เขาก็จะตอบว่า “คุณพูดถูก  ผมเคยลองแล้ว  อร่อยมาก”  หากเจ้าบอกว่าข้างนอกอากาศร้อน เขาก็จะพูดว่า “ใช่เลย  ผมเหงื่อท่วมตัวเลย”  หากเจ้าบอกว่าข้างนอกหนาว เขาก็จะพูดว่า “หนาวจริงๆ  ผมยังใส่รองเท้าบุขนแกะอยู่เลย”  เป็นเรื่องยากที่เขาจะพูดสิ่งที่เป็นจริงหรือตรงไปตรงมา  เขาดูเหมือนคนที่ไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริง แต่พอเกิดเรื่องที่ต้องจ่ายราคา เขากลับซ่อนตัว  คนคนนี้มีลับลมคมในและหลอกลวง  เขาเป็นคนเช่นนั้น  บางคนอาจจะถามว่า “แล้วทำไมพระองค์ถึงทรงเลือกคนแบบนั้น?”  เราไม่ได้เลือกเขา—แต่เป็นไปตามรูปการณ์ในตอนนั้น  ย้อนกลับไปในตอนนั้นแม้แต่การหาตัวคนอย่างเขาก็เป็นเรื่องยาก และอย่างน้อยเขาก็มีการตอบสนองที่รวดเร็ว—เขากด “บันทึกเสียง” ทุกครั้งที่เราเริ่มพูด  เขาติดตามเราไปทั่วทุกที่ คอยบันทึกเสียงและถอดความคำเทศนา เขาทำงานจริงอยู่บ้าง  แต่การประพฤติตนเมื่ออยู่ต่อหน้าเราและสิ่งที่เขาทำในคริสตจักรนั้นเหมือนการกระทำของคนสองคนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  เวลาอยู่ต่อหน้าเรา เขาทำตัวเชื่อฟัง ประพฤติตัวดี ขยัน รอบคอบ และมีความรับผิดชอบ—แต่เวลาทำหน้าที่ของเขาในคริสตจักร เขาเป็นเช่นนั้นหรือไม่?  ในเมื่อเขาทำตัวเช่นนั้นเวลาอยู่ต่อหน้ากับเบื้องบน แล้วเขาเป็นเช่นนั้นเวลาอยู่กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่?  เจ้ากล้าให้คำตอบอย่างมั่นใจในเรื่องนี้หรือไม่?  เจ้าย่อมจะไม่กล้า  แล้วเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของเขาได้อย่างไร?  เจ้าต้องติดต่อกับเขาถึงจะรู้  หลังจากเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับเขาสักระยะหนึ่ง ถึงตอนนั้นทุกอย่างในแก่นแท้ธรรมชาติของเขาย่อมจะแสดงตัวออกมา  เขารักสถานะเป็นพิเศษและหลงตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่มีคนอยู่ด้วย เขาก็ชอบคุยเรื่องต้นทุนของตนเป็นอย่างมาก ชอบโอ้อวดว่าเขาทำอะไรได้ ทำอะไรไปแล้วบ้าง เขาทนทุกข์ไปเท่าใดแล้ว และเขายอดเยี่ยมเพียงใด  เขาทำสิ่งเหล่านี้และพูดคุยเช่นนี้เป็นประจำ และเป็นคนที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่กับเรา  นอกจากนี้ ทุกคนที่อยู่กับเขาต่างก็รู้สึกว่าถูกตีกรอบและรังแก แล้วก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง  ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในที่นี้คืออะไร?  เขาเอางานเล็กน้อยที่ตนทำอยู่ หน้าที่เล็กน้อยที่เขากำลังทำอยู่นี้ มาเป็นต้นทุนเพื่อโอ้อวดในทุกที่ที่เขาไป  เขาโอ้อวดถึงขั้นใด?  ทุกคนพากันยกย่องเขา บูชาเขา และอิจฉาเขา  ในที่สุดทุกคนก็บอกว่า “คนคนนี้ทนทุกข์เพื่อพระเจ้ามามากมายนัก  ลองดูเพียงความเชื่อที่เขามี และความรักที่เขามีต่อพระเจ้าเถิด!  พวกเราเทียบไม่ได้แม้แต่เส้นผมสักเส้นบนศีรษะของเขา  พวกเราด้อยกว่าเขามากนัก!”  ผู้คนมักพูดถึงเขาอยู่เสมอ และคนที่ไม่สามารถพบเจอเราก็พากันคิดว่าการพบปะเขาดีเหมือนการพบเจอเรา  อิทธิพลที่เขามีต่อความรู้ ความคิด และจิตใจของผู้คนดำเนินมาถึงขั้นนี้ในท้ายที่สุด  การที่จะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องพูดและทำสิ่งต่างๆ ไปไม่น้อยเลย ถูกต้องหรือไม่?  แน่นอนว่าเขาไม่ได้ใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำเพื่อเอ่ยถึงหน้าที่ที่เคยทำมาแล้ว แต่เขาจะพูดและคุยถึงสิ่งเหล่านั้นอย่างยืดยาวแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีแรงจูงใจและวัตถุประสงค์ของตนเอง พูดบางสิ่งที่สามารถล่อลวงและชักพาผู้คนให้หลงผิดได้ ทำให้ผู้คนบูชาเขา และในที่สุดเขาก็สัมฤทธิ์เป้าหมายของตน  เจ้าคิดอย่างไรกับคนแบบนี้?  การที่เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ข้างกายเราเป็นเรื่องดีสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการเรียนรู้ว่าควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรหรือในแง่ของการได้รับความจริง  นี่เป็นโอกาสให้เขาได้รับการทำให้เพียบพร้อมแต่เนิ่นๆ  น่าเศร้าที่เขาไม่ทะนุถนอมโอกาสนี้  เขามองไม่เห็นว่าโอกาสนี้ล้ำค่าและสำคัญมากเพียงใด มองไม่เห็นว่าเป็นเส้นทาง รากฐาน และที่มาของการได้รับความจริงและการรู้จักพระเจ้า  เขากลับใช้โอกาสนี้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเองที่จะโดดเด่นเหนือคนทั่วไปและเอาชนะใจผู้คน  นั่นคือปัญหา เขากำลังเดินไปบนเส้นทางที่ผิด  บอกเราทีเถิด ขณะที่เขาเผยแพร่คำพูดอย่างมัวเมายิ่งว่าเขาทนทุกข์ไปมากเท่าใด พระเจ้าทรงชี้แนะเขาอย่างไร พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเขาอย่างไร และพระเจ้าไว้พระทัยเขาเช่นใด เขาตระหนักรู้ได้หรือไม่ว่ามีเจตนาส่วนตัวอยู่ในการทำเช่นนี้?  (ได้)  เขาควรที่จะรู้ได้  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระหนักรู้ไม่ได้  เขาย่อมตระหนักรู้ได้—แล้วเหตุใดเขาจึงไม่อาจควบคุมการทำชั่วของตนเล่า?  เพราะเขาไม่รักความจริง กลับชอบแต่อิทธิพลและสถานะเท่านั้น  เมื่อคนคนหนึ่งที่รักความจริงโดยแท้เผยความเสื่อมทรามออกมา เมื่อเขาเป็นพยานยืนยันว่าเขาทนทุกข์มาแล้วอย่างไร เขาย่อมรู้สึกติเตียนและประณามตนเอง  เขาย่อมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเลวทราม เป็นการต่อต้านพระเจ้า และเขาต้องไม่ทำเช่นนั้นอีก  เมื่อเขาอยากทำเช่นนั้นอีกในวันหน้า เขาย่อมสามารถยับยั้งตนเองและหยุดการทำเช่นนั้นของตนได้  นั่นเป็นเรื่องปกติมาก  แต่ในห้วงเวลาดังกล่าว ต่อให้มโนธรรมในใจศัตรูของพระคริสต์ตำหนิพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่อาจควบคุมความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอันมักใหญ่ใฝ่สูงของตนได้ และต่อให้พวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาก็จะไม่ยอมรับความจริง  เหตุใดธรรมชาติของพวกเขาจึงพองโตและแผ่ขยายจนไม่อาจกอบกู้ให้เป็นเหมือนเดิมได้?  (เพราะพวกเขาไม่รักความจริง)  ตามธรรมชาติของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่รักความจริง  เช่นนั้นแล้วพวกเขารักสิ่งใด?  (พวกเขารักสถานะ)  สถานะจะนำสิ่งใดมาให้พวกเขา?  สถานะจะทำให้ผู้คนบูชาพวกเขา ยกย่องนับถือ และอิจฉาพวกเขา  ท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของพวกเขาก็คือการสุขสำราญกับสถานะและได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับพระเจ้า สุขสำราญกับเกียรติ ความสุข และความชื่นบานที่สถานะนี้นำมาให้  หลังจากฟังทุกสิ่งที่เราเพิ่งกล่าวไปแล้ว พวกเจ้าไม่รู้สึกขยะแขยงหรอกหรือ?  (รู้สึก)  มีบางสิ่งที่คนคนนั้นทำยิ่งน่าขยะแขยงกว่า  เขาล้มป่วยในเวลาต่อมาและกลับไปบ้านเกิดของตน นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกมากขึ้นไปอีกว่าเขาสมควรได้สุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง  พวกเจ้าคิดว่าเขาจะกระทำการอย่างไรเมื่อถูกความนึกคิดเช่นนี้ควบคุมเอาไว้?  เขาย่อมจะเรียกร้องให้ผู้คนปฏิบัติต่อเขาให้ดีขึ้นและมากขึ้นไปอีกมิใช่หรือ?  (ใช่)  เหตุใดเขาจึงเรียกร้องเช่นนี้?  เขาไม่ได้รู้สึกหรือว่าการทำเช่นนั้นเกินควรหรือไร้สำนึก?  เขารู้สึกว่าเขาสมควรได้รับอะไรเช่นนั้น  เขาคิดว่า “ฉันทนทุกข์มามากมายเพื่อพระเจ้า และเพื่อพี่น้องชายหญิงของฉัน  ฉันมีสิทธิ์ในการนี้ ที่ฉันป่วยในตอนนั้นก็เพราะฉันทนทุกข์มามากนัก ดังนั้นพี่น้องชายหญิงจึงต้องรับใช้ฉัน”  ในขณะที่เขาป่วย เขาไม่พยายามที่จะทำสิ่งใดเลย เขาเอาแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน โดยให้ผู้อื่นคอยดูแลเขาและป้อนอาหารให้  หลังจากที่นอนอยู่ตรงนั้นมานาน เขาก็เริ่มเบื่อหน่าย จึงให้ผู้คนนำอาหารและเครื่องดื่มมา แล้วก็ออกไปข้างนอกพร้อมกับเขาเพื่อให้เขาได้คลายความเบื่อหน่าย  นี่น่าขยะแขยงมากมิใช่หรือ?  หากเขาป่วยขนาดนั้นจริง ก็ย่อมจะไม่เป็นเรื่องใหญ่เช่นนั้น ถ้าเขาไม่ได้ป่วยขนาดนั้น ก็แน่นอนว่าพฤติกรรมของเขาไร้สำนึกเต็มที ถูกต้องหรือไม่?

บางคนดูเหมือนกระตือรือร้นกับการเชื่อในพระเจ้ามากทีเดียว  พวกเขารักที่จะเอาใจใส่ดูแลและห่วงใยกิจการต่างๆ ของคริสตจักร และออกวิ่งนำหน้าอยู่เสมอ  แต่ไม่มีคาดคิดเลยว่า พวกเขากลับทำให้ทุกคนผิดหวังเมื่อขึ้นมาเป็นผู้นำ  พวกเขาไม่มุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงให้แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่กลับพยายามอย่างสุดกำลังที่จะกระทำการเพื่อความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง  พวกเขารักการอวดตนเพื่อทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือตน และพูดคุยเสมอว่าพวกเขาสละตนและทนทุกข์เพื่อพระเจ้าอย่างไรบ้าง แต่ไม่ทุ่มเทความพยายามที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและเข้าสู่ชีวิต  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ คาดหวังจากพวกเขา  แม้พวกเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตน อวดตัวทุกครั้งที่มีโอกาส ประกาศคำพูดและคำสอนอยู่บ้าง ได้รับการยกย่องนับถือและบูชาจากบางคน ชักพาหัวใจของผู้คนให้หลงผิด และเสริมสร้างสถานะของตนให้มั่นคง แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ส่งผลเช่นไร?  ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะใช้การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาติดสินบนผู้อื่น หรืออวดพรสวรรค์และความสามารถของตน หรือใช้วิธีการต่างๆ นานามาชักพาผู้คนให้หลงผิดและเกิดความคิดเห็นในทางที่ดีต่อพวกเขาอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาใช้วิธีการใดมาเอาชนะใจผู้คนและยึดครองตำแหน่งในหัวใจของผู้คนก็ตาม พวกเขาได้สูญเสียสิ่งใดไปแล้วบ้าง?  พวกเขาได้สูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงในระหว่างที่ทำหน้าที่ผู้นำไปเสียแล้ว  ในเวลาเดียวกัน เพราะลักษณะต่างๆ ที่พวกเขาสำแดงออกมา พวกเขายังได้พอกพูนการทำชั่วซึ่งจะนำไปสู่จุดจบของพวกเขาในท้ายที่สุดอีกด้วย  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้การเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ มาล่อใจและดักผู้คนให้ติดบ่วง หรืออวดตน หรือใช้การสร้างภาพมาชักพาผู้คนให้หลงผิด และไม่ว่าดูภายนอกแล้ว พวกเขาจะเหมือนได้ประโยชน์และความพึงพอใจจากการทำเช่นนี้ไปมากเท่าใด พอมองในตอนนี้ นี่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่?  ใช่เส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  ใช่เส้นทางที่สามารถนำความรอดมาให้คนเราได้หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่  ไม่ว่าวิธีการและเล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้จะหลักแหลมเพียงใด ก็ไม่อาจหลอกลวงพระเจ้าได้ และในท้ายที่สุดก็ย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษและเกลียดชังทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมดังกล่าวก็คือความทะเยอทะยานที่มักใหญ่ใฝ่สูงของมนุษย์ รวมทั้งท่าทีและแก่นแท้ที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้า  ในพระทัยของพระเจ้า แน่นอนที่สุดว่าพระองค์จะไม่มีวันยอมรับผู้คนเหล่านี้ว่าเป็นคนที่กำลังทำหน้าที่ของตน กลับจะทรงระบุว่าพวกเขาเป็นคนทำชั่ว  เวลาจัดการคนทำชั่ว พระเจ้าให้คำวินิจฉัยว่าอย่างไร?  “เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา”  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา” พระองค์ทรงต้องการให้ผู้คนเช่นนั้นไปที่ใด?  พระองค์กำลังทรงส่งมอบพวกเขาให้ซาตาน สู่สถานที่ซึ่งมีพวกซาตานอาศัยอยู่กันเป็นฝูงๆ  ผลสืบเนื่องในท้ายที่สุดสำหรับพวกเขาคือสิ่งใด?  พวกเขาย่อมถูกพวกวิญญาณชั่วทรมานจนตาย กล่าวคือ พวกเขาย่อมถูกซาตานกลืนกิน  พระเจ้าไม่ทรงต้องการผู้คนเหล่านี้ ซึ่งหมายความว่าพระองค์จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขาไม่ใช่แกะของพระเจ้า และยิ่งไม่ใช่ผู้ติดตามของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยู่ในหมู่คนที่พระองค์จะทรงช่วยให้รอด  พระเจ้าทรงนิยามผู้คนเหล่านี้ไว้เช่นนี้  ดังนั้น ธรรมชาติของการพยายามเอาชนะใจผู้อื่นคืออะไรกันแน่?  คือการเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ นี่เป็นพฤติกรรมและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์  ที่ยิ่งร้ายแรงขึ้นไปอีกก็คือแก่นแท้ที่แก่งแย่งกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ผู้คนที่ทำเช่นนี้ย่อมเป็นศัตรูของพระเจ้า  นี่คือการระบุลักษณะและจัดหมวดหมู่ให้กับศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งถูกต้องทุกประการ

22 มกราคม ค.ศ. 2019

ถัดไป: ประการที่สอง: พวกเขาโจมตีและกีดกันคนที่เห็นต่าง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger