เจ้ารู้จักความรักของพระเจ้าเพื่อมวลมนุษย์หรือไม่?

ในยุคสุดท้าย ความรักที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์สำแดงตัวอยู่ตรงไหนหรือ ในการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระองค์?  พวกเจ้ามองเห็นมันได้ด้วยการรับประสบการณ์กับแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจนี้  ในทุกขั้นตอนที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและตรัส พระองค์ทรงใช้วิธีการบางอย่าง เผยพระวจนะบางประการ และแสดงความจริงและอุปนิสัยบางประการของพระองค์ออกมา และผู้คนก็สนองตอบต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ผู้คนมีการตอบสนองอย่างไรนะหรือ?  ไม่มีการตอบสนองใดเป็นการนบนอบต่อพระเจ้าเลย และยิ่งกว่านั้น ไม่มีการตอบสนองใดเป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแข็งขันหรือเต็มใจยอมรับพระราชกิจของพระองค์  การตอบสนองเหล่านั้นล้วนเป็นลบ และเป็นการต่อต้าน ขัดขืน ปฏิเสธ และไม่ยอมรับ  แต่กระนั้น พระเจ้าก็ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์อยู่ และความรักที่พระองค์มีต่อมวลมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าท่าทีของผู้คนจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าผู้คนปฏิเสธ หรือจำใจยอมรับ หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ความรักของพระเจ้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง ขั้นตอนทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่เคยถูกทำให้หยุดชะงัก  นี่คือการสำแดงความรักของพระองค์ต่อผู้คน  นอกจากนี้ แต่ละครั้งที่พระเจ้าปฏิบัติขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจจนครบบริบูรณ์ ไม่ว่าผู้คนจะมีการสำแดงอย่างไร ความรักของพระองค์ต่อพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ยังกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างต่อเนื่อง และกำลังทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างต่อเนื่อง  ในทุกขั้นตอนของพระราชกิจในภายภาคหน้า พระวจนะของพระเจ้าที่พิพากษาและเปิดโปงผู้คนจะยิ่งลึกซึ้งและซึมแทรกยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังเจาะจงไปที่สภาวะปัจจุบันของพวกเขายิ่งขึ้น  พระองค์จะตรัสสิ่งทั้งหลายที่เปิดโอกาสให้ผู้คนจับใจความในพระองค์และรู้จักพระองค์ได้ดีขึ้น เข้าใจและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ได้ดีกว่าเดิม และผู้คนจะสามารถมองเห็นว่าพระองค์ยังทรงรักมนุษยชน  แม้ผู้คนจะตอบสนองในทางลบหรือรู้สึกคัดค้านตลอดมา แม้พวกเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ในทุกขั้นตอนของพระราชกิจ พระเจ้าก็ยังคงตรัสและทรงพระราชกิจต่อเนื่องไม่ขาด และความรักที่พระองค์มีต่อผู้คนก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงกระทั่งถึงวันนี้  ดังนั้น พระราชกิจทั้งมวลของพระเจ้าเพื่อมนุษยชนจึงเป็นความรัก และนั่นแน่ใจได้เลย  บางคนกล่าวว่า “หากทั้งหมดนี้คือความรัก เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพิพากษาและตีสอนผู้คนราวกับพระองค์ทรงเกลียดชังพวกเขามากขนาดนั้นเล่า?  พระองค์ปล่อยให้ผู้คนฝ่าฟันบททดสอบแห่งความตายได้อย่างไร?”  ใช่แล้ว ทั้งหมดที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชนคือความรัก!  การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าสำหรับความเป็นกบฏของผู้คนนั้นเป็นไปเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจความจริง ทำให้พวกเขากลับใจและเริ่มต้นใหม่ และเปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักอุปนิสัยของพระองค์ เพื่อให้พวกเขายำเกรงและนบนอบต่อพระองค์ได้  แม้บางคนจะยังคงรู้สึกคัดค้านอยู่บ้าง แต่พระเจ้าก็มิได้ทรงผ่อนคลายการช่วยผู้คนให้รอดแม้แต่น้อย และพระองค์ก็ไม่เคยทรงทอดทิ้งพวกเขา  มีความรักอันมหาศาลของพระเจ้าอยู่ในการนี้

ระหว่างที่เผชิญบททดสอบของการเป็นคนปรนนิบัติ หลายคนคิดลบและปวดร้าวเสียจนพวกเขากู่ร้องต่อฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ถึงกับร้องประท้วงพลางคิดว่า “หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีดีดัก ฉันกลายเป็นคนปรนนิบัติและยังคงทนทุกข์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ!”  ผู้คนไม่พึงพอใจและไม่เข้าใจ แต่พระเจ้าเข้าใจพวกเขา และนี่มิใช่ความรักหรอกหรือ?  ความรักของพระเจ้าหมายรวมถึงการเข้าใจผู้คน การแทรกซึมความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเข้าไปในแก่นแท้ของพวกเขา และการรู้จักพวกเขาอย่างละเอียดถ้วนทั่ว  พระองค์ทรงรักโดยปราศจากความสับสน ความอวดภูมิ หรือความเทียมเท็จ  ความรักของพระองค์นั้นแท้จริงและเที่ยงแท้  เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่าเจ้าขาดพร่องในบางด้าน และทรงเห็นว่าเจ้าโง่เขลาและไม่รู้ความ พระองค์ทรงรู้สึกเวทนาเจ้า พระองค์รักเจ้า และพระองค์ขับเคลื่อนเจ้าอยู่เสมอ  ไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกไม่เต็มใจหรือไม่พอใจขนาดไหนในฐานะคนปรนนิบัติ พระเจ้าก็ไม่เคยทรงทิ้งผู้คนเพราะความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของพวกเขา  พระองค์ตรัสอยู่เสมอ ประทานเสบียงแก่ผู้คน เกื้อหนุนพวกเขา และด้วยการถลุงอยู่ไม่กี่เดือน ก็ทรงเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาและทำให้พวกเขาตระหนักรู้สภาวะที่อัปลักษณ์ของตน  พระเจ้าได้ทรงมีความรักให้ผู้คนในช่วงระหว่างสามเดือนนี้หรือไม่?  หากพระองค์ไม่มีเสียแล้ว พระองค์ก็คงจะไม่ได้สนใจเจ้า  บางคนถูกกำจัดออกไปในบททดสอบพวกคนปรนนิบัติ และผู้คนพวกนั้นคือผู้ไม่เชื่ออย่างแท้จริง  พวกเขาคิดลบทันทีที่ได้ยินว่าตัวเองเป็นคนปรนนิบัติ และพวกเขาก็รับเรื่องนี้ไม่ได้หลังผ่านไปไม่กี่เดือน  เจ้าไม่เต็มใจที่จะเป็นคนปรนนิบัติ และเจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์ในการติดตามพระเจ้า แต่เมื่อเจ้าได้รับการบอกว่าจะมีพระพรให้ เจ้าก็กลายเป็นสุขถึงขั้นลิงโลด  หากพระเจ้าปราศจากความรัก มีแต่ความเกลียดชังและมองเห็นความเสื่อมทรามเช่นนี้ที่ถูกเผยขึ้นในตัวผู้คน เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรถูกกำจัดออกไปเสีย  สามเดือนแห่งการถลุงนั้นไม่นานเลย  เหตุใดเราจึงบอกว่านั่นไม่นานเลย?  เพราะนี่คือระยะเวลาที่ผู้คนรับไหว  หากยาวนานกว่านี้แม้เพียงนิด ผู้คนก็คงจะรับไม่ไหว  แม้ผู้คนยังขับร้องบทเพลงนมัสการ ร่วมชุมนุม และร่วมสามัคคีธรรมอยู่เสมอ แต่ก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยการชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนกลายเป็นประชากรของพระองค์แต่เนิ่น และนี่ก็รวมเอาความรักของพระองค์ไว้ด้วย  พระเจ้าทรงใช้พระทัยและความรักของพระองค์ดลใจและทำให้ผู้คนกลับตัว และคว้าจับพวกเขาไว้ และนี่ก็เป็นการสำแดงความรักด้วยเช่นกัน  พวกเรายังเห็นความรักของพระเจ้าได้ ณ เวลานี้  พระองค์ไม่ทรงล่าช้าแม้สักหนึ่งวัน พระองค์ตรัสทันทีเมื่อถึงเวลาที่พระองค์ต้องตรัส  หากพระองค์ล่าช้าไปเพียงไม่กี่เดือน บางคนก็คงทยอยถอนตัวไป  นี่เองคือการที่พระองค์ทรงพระราชกิจไปตามสภาวะที่เป็นจริงของผู้คน โดยไม่ล่าช้าหรือผัดผ่อนแม้สักนิด  พระเจ้าทรงให้ความสนใจพิเศษต่อทุกคน และขณะที่พระองค์กำลังทรงช่วยผู้คนให้รอด พระเจ้าก็ทรงรับผิดชอบพวกเขาจนถึงปลายทาง  แต่บางคนก็ขาดความแน่วแน่หรือความมุ่งมั่นและถอนตัวไปเอง  ก่อนพวกเขาจะจากไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงขับเคลื่อนบางคนเป็นพิเศษและกระตุ้นให้พวกเขาอยู่ต่อ โดยทรงถอดใจก็ต่อเมื่อไม่อาจรั้งพวกเขาให้อยู่ต่อได้  พระเจ้าทรงรักผู้คนมากล้นอย่างแท้จริง แต่ผู้คนนั้นไม่คู่ควรกับความรักของพระองค์  สำหรับบางคนที่ถอนตัวไป พระเจ้ามิอาจรักพวกเขาได้อีก และความรักที่พระองค์มีให้พวกเขากลับเปลี่ยนเป็นความเกลียดชัง และพระองค์ก็ไม่ห่วงกังวลอันใดกับผู้คนเช่นนี้อีก  สำหรับขั้นตอนและเวลาแห่งพระราชกิจของพระเจ้า แต่ละขั้นตอนใช้เวลานานเพียงใด พระองค์เปล่งพระวจนะมากขนาดไหนในแต่ละขั้นตอน รวมถึงทรงใช้กระแสเสียงและวิธีการแบบใดในแต่ละขั้นตอน และทรงใช้ความจริงอะไรกับพวกเขาเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีเจตนารมณ์อันอุตสาหะของพระเจ้าเอาไว้ และล้วนเป็นการจัดการเตรียมการและแผนการอันเที่ยงตรงของพระองค์ทั้งสิ้น  พระเจ้าทรงแสดงความจริงเสมอมา ใช้พระปัญญาของพระองค์มาชี้แนะและนำทางมวลมนุษย์ เพื่อรับใช้และจัดหาให้กับผู้คน เพื่อป้อนอาหารให้กับผู้คนทีละเล็กละน้อย และจูงมือพาพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้  ใครก็ตามที่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ย่อมรู้เรื่องนี้บ้างเมื่อถึงบัดนี้ และสามารถให้คำพยานจากประสบการณ์ได้บ้าง  กระบวนการที่เป็นขั้นเป็นตอนนี้ยังคงสดใหม่ในความทรงจำของพวกเขา และความรักที่อยู่ในนั้นก็ไม่อาจแสดงออกมาเป็นคำพูดได้  ความรักที่พระเจ้ามีต่อผู้คนนั้นลึกซึ้งเสียจนผู้คนไม่มีวันมีประสบการณ์ได้อย่างครบถ้วนหรือแสดงออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดเจน  พวกเราสามารถมองเห็นได้จากจังหวะเวลาแห่งพระราชกิจของพระเจ้าว่าความรักที่พระองค์มีต่อผู้คนนั้นลึกซึ้งเพียงใด  พระองค์พิถีพิถันในทุกเรื่องยิบย่อย ไม่ปล่อยให้การถลุงยาวนานไปกว่านี้แม้สักนิด ด้วยเกรงว่าผู้คนจะถอนตัวและทิ้งพระองค์ไปเพราะการนี้ใช้เวลานานเกิน  ความรักของพระองค์โอบผู้คนไว้กระชับและไม่เคยผ่อนลงแม้แต่น้อย  นอกจากนี้ พระเจ้ายังทรงควบคุมขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาด้วยความเที่ยงตรง  หากพระองค์ได้ทรงเพิ่มเติมอีกสักหนึ่งวิธีการ ผู้คนก็คงจะรู้สึกว่าพระองค์กำลังหลอกลวงและเล่นเล่ห์กับพวกเขา และพวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะถอนตัวเมื่อวุฒิภาวะของพวกเขายังมีไม่มากพอ  ดังนั้นหลังการถลุงนานสามเดือน พระเจ้าจึงได้ตรัสอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนคนปรนนิบัติให้กลายเป็นประชากรของพระองค์ และประชากรเหล่านั้นก็ล้วนกลายมามีความสุข  พวกเขาตื่นเต้นเสียจนน้ำตาหลั่งเป็นธารบนใบหน้าเมื่อพวกเขาได้เห็นว่าพระเจ้าทรงดีและเปี่ยมพระปัญญาเพียงใด  หลังผ่านการถลุงนานหลายเดือน ผู้คนก็เชื่อจริงๆ แล้วว่าตัวเองคือคนปรนนิบัติ  พวกเขาคิดในใจว่า “พวกเราไม่มีบั้นปลายอันดี  พระเจ้าไม่ทรงต้องการพวกเราแล้ว  พวกเราสิ้นหวังโดยบริบูรณ์”  ในบรรยากาศเช่นตอนนั้น หากเรากล่าวว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้คนตาย ก็คงไม่มีใครได้เชื่อเรา  พวกเขาคิดว่าหากพระเจ้าได้ตรัสออกมาแล้ว นั่นก็ต้องเป็นข้อเท็จจริง  อย่างไรก็ดี หลังผ่านไปสามเดือน เราได้แสดงวจนะอีกบทและยุติบททดสอบพวกคนปรนนิบัติ  ถึงแม้ธรรมชาติมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม แต่บางครั้งผู้คนก็ไร้เดียงสาเป็นพิเศษเหมือนเด็ก  ทำไมจึงมีคำกล่าวว่าผู้คนจะเป็นเด็กอ่อนเสมอเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า?  จากวิธีที่ผู้คนมอง ดูเหมือนผู้คนล้วนเสื่อมทรามและต่ำช้า แต่ในมุมมองของพระเจ้า ผู้คนเป็นเด็กอ่อนเสมอ และพวกเขาล้วนใสซื่อและไร้เดียงสาเป็นพิเศษ  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงปฏิบัติกับผู้คนราวกับพวกเขาเป็นศัตรู แต่ทรงปฏิบัติในฐานะเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์และความรักของพระองค์

ความรักของพระเจ้าต่อผู้คนนั้น ไม่ใช่แค่การทรงพร่ำประทานพระคุณแก่พวกเขา หรือตรัสพระวจนะแห่งพระพรหรือสิ่งที่ผู้คนอยากได้ยินดังในจินตนาการ  มันคือการแสดงความจริงและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทรามของตัวเอง ช่วยพวกเขาให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน และทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะได้รับพรและสัญญาจากพระองค์  นั่นแหละคือความรักเที่ยงแท้ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงเปิดโปงความเสื่อมทรามของผู้คน พิพากษาและกล่าวโทษพวกเขาด้วยพระวจนะที่ไม่ได้ตรัสโดยคำนึงถึงความรู้สึกทั้งหลายของพวกเขา พระวจนะเหล่านี้เสียดแทงหัวใจของพวกเขาและทำให้พวกเขาเจ็บปวด  บางพระวจนะแห่งการพิพากษาเหมือนจะกล่าวโทษผู้คนและสาปแช่งพวกเขาราวกับพระเจ้าทรงเกลียดพวกเขาจริงๆ แต่ทั้งหมดนี้มีบริบทจริง  มันเป็นไปในแนวเดียวกับข้อเท็จจริงอย่างสมบูรณ์ และไม่ใช่เรื่องที่เกินเลย  พระเจ้าตรัสโดยอิงกับแก่นแท้อันเสื่อมทรามของผู้คน และผู้คนก็ต้องรับประสบการณ์นี้อยู่ชั่วเวลาหนึ่งจึงจะรู้  เป้าประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสสิ่งเหล่านี้คือการเปลี่ยนผู้คนและช่วยพวกเขาให้รอด  พระเจ้าจำต้องตรัสเช่นนี้เท่านั้น พระองค์จึงจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  เจ้าควรมองเห็นว่าเจตนารมณ์อันเปี่ยมอุตสาหะของพระเจ้าเป็นไปเพื่อช่วยผู้คนให้รอด และความพยายามเหล่านี้ล้วนแสดงถึงความรักของพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะมองที่พระปัญญาแห่งพระราชกิจของพระเจ้า หรือขั้นตอนและวิธีการรวมถึงระยะเวลาแห่งพระราชกิจนั้น หรือการจัดการเตรียมการและแผนการของพระองค์ ทั้งหมดนี้ล้วนมีความรักของพระองค์บรรจุอยู่  ดังตัวอย่างต่อไปนี้  พ่อแม่ทุกคนมีความรักให้ลูกของตัวเอง และพวกเขาล้วนทำกิจมากมายเพื่อจะมองลูกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  เมื่อพวกเขาพบข้อตำหนิในตัวลูก พวกเขาก็กังวลว่าลูกจะไม่ฟังและไม่เปลี่ยนแปลงหากพวกเขาพูดจานุ่มนวลเกินไป แต่ก็ยังกังวลด้วยว่าพวกเขาจะทำให้ลูกเสียความภาคภูมิใจในตัวเองหากพวกเขาพูดขึงขังเกินไป แล้วลูกก็จะรับไม่ได้ การที่พ่อแม่พินิจเรื่องนี้ได้จากมุมมองของลูกนั้นล้วนเป็นการอภิบาลด้วยความรัก และพวกเขาทุ่มพลังให้กับกิจนี้มากมาย  ทุกคนที่เป็นลูกอาจได้รับประสบการณ์แห่งความรักของพ่อแม่  ความรักมิใช่แค่ความอ่อนโยนและความคำนึงถึง แต่ยังรวมถึงการสั่งสอนอย่างเข้มงวดด้วย  การช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระเจ้านั้น มีความรักคอยกำกับดูแลและอยู่ภายใต้หลักการของความรักยิ่งกว่านั้นเสียอีก นี่คือสาเหตุที่พระองค์ทรงช่วยมนุษยชาติที่เสื่อมทรามให้รอดอย่างสุดกำลัง  พระองค์มิได้ทรงทำสิ่งทั้งหลายอย่างสุกเอาเผากินแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น แต่พระองค์กลับทรงวางแผนการอย่างเที่ยงตรง ทรงตรัสและทรงพระราชกิจไปทีละขั้นตอน  ทั้งในเวลาและสถานที่ ในพระกระแสเสียงและวิธีที่พระองค์ตรัส และพระราชกิจที่พระองค์ทรงทุ่มลงไปนั้น… เจ้าก็กล่าวได้ว่าแต่ละสิ่งนี้เปิดเผยความรักของพระองค์ และทุกสิ่งก็แสดงให้เห็นอย่างล้นเหลือว่าความรักที่พระองค์มีต่อมนุษยชาตินั้น นานับอนันต์และเกินคณนา  หลายคนที่อยู่ในบททดสอบพวกคนปรนนิบัติเอ่ยคำที่เป็นกบฏหรือมีการพร่ำบ่นอยู่บ้าง แต่พระเจ้าก็มิได้ถือสาเอาความใดกับผู้คน ส่วนการลงโทษใครสักคนในหมู่พวกเขาด้วยเหตุนี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง  เนื่องจากพระองค์ทรงรักผู้คน พระองค์จึงทรงยอมผ่อนปรนกับทุกสิ่ง  หากพระเจ้าไม่ทรงมีความรักและทรงมีแต่ความเกลียดชัง เช่นนั้นแล้ว พระองค์คงกล่าวโทษทุกคนไปนานแล้ว  เนื่องจากพระองค์ทรงมีความรัก พระเจ้าจึงมิได้ทรงผูกใจเจ็บกับสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนให้กับผู้คน พระองค์ทรงเข้าพระทัยความลำบากยากเย็นของพวกเขาได้ และทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำล้วนอภิบาลด้วยความรัก  มีเพียงพระเจ้าที่เข้าพระทัยผู้คน และกระทั่งเจ้าก็ไม่เข้าใจตัวเอง  ย้อนนึกให้ถี่ถ้วนสิ เรื่องนี้ไม่จริงหรอกหรือ?  บางคนบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้เมื่อพวกเขาเผชิญบททดสอบ  ผู้คนฉุนเฉียวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และพวกเขาก็ดำรงชีวิตอยู่ในพระพรแต่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำ  ไม่มีใครรู้ได้ว่าพระเจ้าจำต้องทนทุกข์เพียงใดกับการต้องเสด็จจากสวรรค์ลงมาสู่แผ่นดินโลก  พระเจ้านั้นแสนยิ่งใหญ่ กับการที่พระองค์ต้องมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ผู้ถ่อมใจไม่สลักสำคัญ เป็นบุคคลที่ถูกหยามหยันนานา พระองค์ต้องทรงทนทุกข์เพียงใดกัน!  ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจากโลก  จักรพรรดิที่ดีคนหนึ่งรักราษฎรเช่นเดียวกับที่เขารักลูกของตัวเอง  เพื่อบรรเทาความทุกข์ให้สามัญชน เขาจึงแฝงตัวในเสื้อผ้าเรียบง่ายไปกับพวกเขาในฐานะปุถุชน เพื่อพินิจและเข้าใจความยากเข็ญของพวกเขา  ด้วยสถานะเช่นเขา การถ่อมใจไปอยู่ในสถานะของสามัญชนคนหนึ่งก็เป็นสิ่งที่น่าดูหมิ่นเหยียดหยามในตัวเองอยู่แล้ว  เขาต้องใช้ชีวิตเยี่ยงปุถุชน และผู้คนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นจักรพรรดิก็จะปฏิบัติกับเขาเช่นปุถุชนคนหนึ่ง  มีอันตรายมากหลายในหมู่ผู้คน ไม่มีใครรู้ได้ว่ามีกี่คนจ้องจะสังหารจักรพรรดิหรือยึดอำนาจ เขาจึงต้องระแวดระวังมากขึ้นเมื่อแฝงตัวไปกับผู้คนเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของพวกเขา  เนื่องจากตามสถานะและตำแหน่งของเขา อันที่จริงเขาไม่ควรต้องทนทุกข์เช่นนี้ แล้วเขาทำมันได้อย่างไรเล่า?  เขาก็แค่อยากเป็นจักรพรรดิที่ดี และอยากทำบางสิ่งให้แล้วเสร็จเพื่อสามัญชนจริงๆ  พระเจ้าทรงต้องการช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างครบบริบูรณ์ในยุคสุดท้าย และพระองค์สามารถเปิดโปงและพิพากษามนุษยชาติในหนทางนี้ทุกวันนี้ เพราะแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ได้มาถึงขั้นตอนนี้แล้ว  พระเจ้าช่วยมนุษยชาติให้รอดเพราะพระองค์ทรงรักมนุษยชาติ  เนื่องจากพระองค์ทรงรักมนุษยชาติและพระองค์ทรงมีความรักขับเคลื่อนและเป็นแรงจูงใจ พระองค์จึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเข้าไปในรังปีศาจเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดด้วยพระองค์เอง พระเจ้าทรงทำแบบนี้ได้เพราะพระองค์ทรงรักมนุษยชาติ  การที่พระเจ้าทรงทนทุกข์จากการหยามหยันอย่างสาหัสในการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษยชาติอันเสื่อมทรามให้รอดนั้น เป็นสิ่งพิสูจน์ที่สมบูรณ์ว่าความรักของพระองค์นั้นแสนยิ่งใหญ่  ระหว่างบรรทัดแห่งพระวจนะของพระเจ้ามีการเตือนสติ การชูใจ การหนุนใจ ความยอมผ่อนปรน และความอดทน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีการพิพากษา การตีสอน การสาปแช่ง การเปิดโปงต่อหน้าธารกำนัล และพระสัญญาล้ำเลิศด้วย  ไม่ว่าจะวิธีการไหน ก็ปกครองด้วยความรัก และนี่คือแก่นแท้แห่งพระราชกิจของพระองค์  พวกเจ้าทั้งหมดล้วนมีความรู้เรื่องความรักของพระองค์บ้างแล้วในวันนี้ แต่ก็ไม่ลึกซึ้งมากมายนัก  จินตนาการของมนุษย์ถูกผสมปนเปเข้ากับความรู้นี้ และสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์จากความรักของพระองค์ก็ถูกจำกัด  หลังจากนี้ เมื่อพวกเจ้าผ่านเวลาไปอีกสักสองสามปี พวกเจ้าจะสัมผัสได้ว่าความรักนี้ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่เพียงใด เช่นใดมันจึงมิอาจบรรยายได้ด้วยภาษามนุษย์  เมื่อผู้คนได้มารู้จักความรักของพระเจ้า พวกเขาก็มามีหัวใจที่รักพระเจ้า  หากผู้คนไม่มีหัวใจที่รักพระเจ้า พวกเขาจะตอบแทนความรักของพระองค์ได้อย่างไร?  ต่อให้เจ้าถวายชีวิตตัวเอง เจ้าก็ยังไม่อาจตอบแทนความรักของพระเจ้าได้  ครั้นผ่านไปอีกสองสามปี พวกเจ้าจะรู้ว่าความรักของพระเจ้าคืออะไร  ถึงตอนนั้น เมื่อเจ้าเหลียวหลังมองสภาวะและสิ่งที่สำแดงอยู่ในตัวเจ้าตอนนี้ พวกเจ้าจะรู้สึกเสียดายเป็นที่สุด และเจ้าจะทรุดลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เหตุใดคนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้จึงติดตามพระเจ้าใกล้ชิดยิ่งนักและกระตือรือร้นเหลือเกิน?  นั่นเพราะพวกเขารู้จักความรักของพระเจ้า และพวกเขาเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือการช่วยมนุษยชาติให้รอด  ลองคิดดูสิ พระราชกิจของพระเจ้านี้มีจังหวะเวลาที่เที่ยงตรงเหลือเชื่อ แต่ละขั้นต่อเนื่องใกล้ชิดขั้นตอนก่อน ๆ โดยไม่มีการล่าช้า  เหตุใดพระองค์ไม่ทรงล่าช้า?  ก็เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด  พระองค์ทรงช่วยมนุษย์อย่างถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และพระองค์ไม่ทรงปรารถนาจะสูญเสียแม้แต่คนเดียวที่ยังสามารถช่วยให้รอดได้ ขณะที่ตัวผู้คนเองไม่สนใจไยดีชะตากรรมของตัวเอง  เช่นนี้เอง ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครในโลกรักพวกเขาที่สุด  เจ้าไม่แม้แต่จะรักตัวเองและเจ้าไม่รู้จักการทะนุถนอมหรือมองชีวิตของเจ้าเองเป็นสมบัติล้ำค่าด้วยซ้ำ และมีเพียงพระเจ้าที่ทรงรักผู้คนมากที่สุด  มีเพียงไม่กี่คนที่ได้สัมผัสความรักของพระเจ้า แต่ส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์นั้น  พวกเขาเชื่อว่าความรักที่พวกเขามีให้ตัวเองนั้นพึ่งพาได้มากกว่า แต่แท้จริงแล้วพวกเขาควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนว่าความรักที่มีต่อตัวเองนั้นเป็นเช่นไร  ผู้คนช่วยตัวเองให้รอดได้ด้วยการรักตัวเองหรือไม่?  มีเพียงความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยผู้คนให้รอดได้ นั่นคือความรักเดียวที่เที่ยงแท้ และเจ้าจะค่อยๆ ได้รับประสบการณ์ว่าความรักที่เที่ยงแท้คืออะไรในภายหลัง  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจและทรงนำผู้คนแบบซึ่งหน้า ทรงมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาทั้งวันทั้งคืน และทรงพระชนม์ชีพอยู่ร่วมกับพวกเขา มันก็คงไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะรู้ถึงความรักของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และแสดงความจริงออกมามากมายเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงไม่มีทางรู้จักพระองค์ได้เลย และก็คงไม่มีใครเลยที่ได้รู้จักความรักของพระองค์

พระเจ้ากับมนุษย์ไม่ใช่ประเภทเดียวกัน และดำรงชีวิตอยู่ในสองเขตอาณาจักรที่ต่างกัน  เหล่ามนุษย์ไร้ความสามารถที่จะเข้าใจภาษาของพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะรู้พระดำริของพระองค์  พระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจมนุษย์ และมนุษย์ก็ไม่สามารถเข้าใจพระเจ้า  ด้วยการทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และกลายเป็นประเภทเดียวกับเหล่ามนุษย์ (ทรงปรากฏเป็นอย่างเดียวกัน) และทรงสู้ทนความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดมหาศาลเพื่อช่วยผู้คนให้รอดเท่านั้น พระเจ้าจึงสามารถทำให้พวกเขาเข้าใจและมารู้จักพระราชกิจของพระองค์  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่เคยทรงเลิกล้มการช่วยเหล่ามนุษย์ให้รอดเลย?  นั่นไม่ใช่เป็นเพราะพระองค์ทรงมีความรักให้กับผู้คนหรอกหรือ?  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นมนุษยชาติถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และไม่ทรงสามารถทนที่จะปล่อยพระหัตถ์จากพวกเขาหรือตัดพระทัยจากพวกเขาได้  นี่คือเหตุผลที่พระองค์ทรงมีแผนการบริหารจัดการ  หากพระเจ้าทรงตั้งท่าจะทำลายมวลมนุษย์ทันทีที่พระองค์ทรงเกิดกริ้วขึ้นมาดังที่ผู้คนจินตนาการ เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็คงไม่ทรงจำเป็นต้องสู้ทนความทุกข์เช่นนั้นเพื่อช่วยพวกเขาให้รอดดังที่พระองค์ทรงทำในวันนี้  เป็นการที่พระเจ้าทรงทนทุกข์หลังจากการบังเกิดเป็นมนุษย์นี่เองเช่นกันที่เปิดเผยความรักของพระองค์  และในตอนนั้นเท่านั้นเองที่ความรักของพระองค์ได้ถูกค้นพบทีละน้อยโดยมนุษยชาติและกลายเป็นที่รู้กันโดยผู้คนทั้งปวง  หากพระราชกิจประเภทนี้ไม่มีอยู่ในวันนี้ ผู้คนก็คงรู้เพียงว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งอยู่ในสวรรค์ และว่าพระองค์ทรงมีความรักให้กับมนุษยชาติ  นั่นก็คงเป็นเพียงคำสอน และผู้คนก็คงไม่มีวันมีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์กับความรักที่แท้จริงของพระเจ้า  ผู้คนสามารถมีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ได้ก็โดยผ่านทางพระราชกิจซึ่งพระเจ้าทรงทำในเนื้อหนังเท่านั้น  ความเข้าใจนี้ไม่คลุมเครือหรือว่างเปล่า หรือเป็นแค่คำสอนหนึ่งที่เป็นคำพูด แต่กลับแข็งแกร่งและเป็นไปตามจริง เพราะความรักซึ่งพระเจ้าทรงมอบให้เหล่ามนุษย์นั้นเป็นประโยชน์  พระราชกิจนี้สามารถถูกทำจนแล้วเสร็จได้โดยพระองค์ที่ทรงอยู่ในเนื้อหนังเท่านั้น และไม่สามารถถูกทำได้โดยพระวิญญาณ  ความรักที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงมอบให้ผู้คนนั้นยิ่งใหญ่เพียงใดเล่า?  พระองค์ทรงถูกตอกตรึงไปกับกางเขนเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด และทรงทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปนิรันดร์เพื่อพวกเขา  พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทำพระราชกิจแห่งการไถ่ให้กับมนุษยชาติจนถึงจุดที่พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน  ความรักนี้ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน  พระราชกิจของพระเจ้ามีความหมายมากมายยิ่งนัก  มีผู้คนมากมายที่มีมโนคติอันหลงผิดบางอย่างอยู่เสมอเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และนี่คือความผิดพลาดของพวกเขา  เหตุใดเล่าเจ้าจึงมีมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้อยู่เสมอ?  หากปราศจากพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การเชื่อในพระเจ้าของผู้คนก็คงเป็นแต่เพียงคำพูดที่ว่างเปล่า ไร้ความหมาย และไม่มีความเป็นจริง และพวกเขาก็จะถูกทำลายในที่สุดอยู่ดีแม้จะมีความเชื่อก็ตาม!  โดยหลักแล้ว ความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษยชนสำแดงอยู่ในพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในเนื้อหนัง ในการทรงช่วยผู้คนให้รอดด้วยพระองค์เอง โดยการตรัสกับผู้คนแบบซึ่งหน้าและดำรงพระชนม์ชีพแบบซึ่งหน้ากับพวกเขา โดยไม่มีระยะห่างแม้แต่น้อย และไม่มีการเสแสร้งเลย นี่เป็นจริง  ที่การช่วยมนุษยชาติให้รอดของพระองค์เป็นไปถึงขั้นที่พระองค์ทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์และผ่านหลายปีที่เจ็บปวดไปกับเหล่ามนุษย์ในโลกนั้น ล้วนเป็นเพราะความรักและความกรุณาของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติ  ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์นั้นไร้เงื่อนไขและไม่สร้างข้อเรียกร้องใดเลย  สิ่งใดเล่าที่พระองค์ทรงสามารถได้รับจากพวกเขาเป็นการตอบแทน?  ผู้คนเย็นชาต่อพระเจ้า  ใครหรือที่สามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะที่เป็นพระเจ้าได้?  ผู้คนไม่มอบความชูใจแด่พระเจ้าเลยแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ และจนถึงทุกวันนี้ พระองค์ก็ยังคงไม่เคยทรงได้รับความรักที่แท้จริงจากมนุษยชาติ  พระเจ้าทรงมอบให้อย่างไม่เห็นแก่พระองค์เองและจัดเตรียมให้อย่างไม่เห็นแก่พระองค์เองเรื่อยไป กระนั้นผู้คนก็ยังคงไม่พอใจ และร้องขอพระคุณและพระพรจากพระองค์อย่างไม่ลดละ  ผู้คนช่างมีความยากเย็นและสร้างความเดือดร้อนอะไรเช่นนี้!  อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วย่อมจะมาถึงวันนั้นที่พระราชกิจของพระเจ้าจะได้มาซึ่งผลลัพธ์และประชากรส่วนใหญ่ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมจะกล่าวคำขอบคุณที่จริงแท้จากหัวใจของพวกเขา  บรรดาผู้ที่ได้รับประสบการณ์นี้มายาวนานสามารถรู้สึกได้ถึงการนี้  ผู้คนอาจด้านชา แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้คน และไม่ใช่สิ่งของที่ไร้ชีวิต  พวกที่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะจับใจความในสิ่งเหล่านี้  พวกเขาเพียงยอมรับรู้ว่าความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงแสดงไว้ถูกต้องเท่านั้น แต่พวกเขาไม่มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งจริง เนื่องจากพวกเขาไม่มีประสบการณ์เลย

พระเจ้าทรงพระราชกิจในเนื้อหนังอยู่หลายปี และได้ตรัสสิ่งต่างๆ นับไม่ถ้วน  พระเจ้าทรงเริ่มด้วยการให้บททดสอบการเป็นคนปรนนิบัติแก่ผู้คน จากนั้นจึงเผยพระวจนะ และทรงเริ่มพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน จากนั้นทรงใช้บททดสอบแห่งความตายเพื่อถลุงผู้คน  แล้วพระองค์ก็ทรงนำผู้คนไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระองค์  พระเจ้าตรัสและทรงจัดเตรียมความจริงทั้งมวลเพื่อผู้คน ทรงต่อสู้กับมโนคติอันหลงผิดทุกประเภทของมนุษย์  จากนั้นพระองค์ก็ประทานความหวังเล็กน้อยให้กับผู้คน เพื่อให้พวกเขาได้เห็นว่ามีความหวังอยู่เบื้องหน้า นั่นคือการที่พระเจ้าและมนุษย์เข้าสู่บั้นปลายอันงดงามไปด้วยกัน  แม้พระราชกิจนี้ล้วนดำเนินไปตามแผนการของพระเจ้า แต่ทั้งหมดก็แล้วเสร็จตามสิ่งที่มนุษยชาติจำเป็นต้องมี  ไม่ได้ทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร พระเจ้าทรงใช้พระปัญญาเพื่อทรงพระราชกิจทั้งมวลนี้  เป็นเพราะพระเจ้าทรงมีความรัก พระองค์จึงสามารถใช้พระปัญญามาปฏิบัติต่อผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้ได้ด้วยความตั้งใจจริงเช่นนี้  พระองค์ไม่เคยเล่นกับผู้คนดังของเล่น  จากพระกระแสเสียงและการใช้คำของพระเจ้า บางคราวพระองค์ก็ทรงพิพากษาและตีสอนผู้คนหรือทดสอบผู้คน มีบ้างที่การทรงใช้พระวจนะเฉพาะบางอย่างทำให้ผู้คนทนทุกข์กับบททดสอบและความทรมาน และบางครั้งพระองค์ก็ประทานพระวจนะที่ทรงเลือกสรรมาในแบบเฉพาะ ซึ่งปลดปล่อยพวกเขาเป็นอิสระและทำให้พวกเขาผ่อนคลาย  พระองค์ทรงอุทิศเจตนารมณ์อันเปี่ยมอุตสาหะของพระองค์ให้แก่ผู้คนโดยแท้  แม้ผู้คนจะเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และล้วนมีประสบการณ์กับการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม แม้ผู้คนจะไร้ค่า เป็นเพียงขยะ และธรรมชาติของพวกเขาก็เป็นเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ไม่ทรงปฏิบัติกับผู้คนตามแก่นแท้ของพวกเขา และไม่ทรงปฏิบัติกับผู้คนตามโทษทัณฑ์ที่พวกเขาควรได้รับ  พระดำรัสของพระองค์อาจกวดขัน แต่พระองค์ทรงปฏิบัติกับผู้คนด้วยความอดทน ความยอมผ่อนปรน และความกรุณาอยู่เสมอ  ผู้คนควรครุ่นคิดเรื่องนี้ให้เนิบช้าและระมัดระวัง!  หากพระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติกับผู้คนด้วยความยอมผ่อนปรน ความกรุณา และพระคุณแล้ว พระองค์จะตรัสสิ่งทั้งหลายนี้เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดได้หรือ?  เหตุใดพระองค์ไม่ทรงทำแค่กล่าวโทษพวกเขาเล่า?  ขนาดนี้แล้วผู้คนก็ยังไม่รู้จักความรักของพระเจ้า  พวกเขาช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก!  ไม่มีความรักในแก่นแท้ของผู้คน  พวกเขาไม่รู้ว่าความรักคืออะไร และพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดพระเจ้าทรงทำเช่นนี้  เมื่อผู้คนไม่ได้รับประสบการณ์แห่งความรักของพระเจ้า พวกเขาก็แค่รู้สึกว่าพระราชกิจแห่งพระเจ้านี้ดีพอควร รู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ต่อผู้คน และรู้สึกว่ามันเปลี่ยนผู้คนได้ ทว่าไม่มีสักคนที่คิดว่า “พระราชกิจของพระเจ้านั้นดีเหลือเกิน พระราชกิจของพระองค์เปี่ยมความหมายมากมายเหลือเกิน!  ความรักของพระเจ้าต่อผู้คนช่างแสนล้ำลึก  พระองค์ไม่ได้ปฏิบัติกับผู้คนเสมือนว่าพวกเขาโสมมเลยจริงๆ!”  ผู้คนไม่ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า แต่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อผู้คนในฐานะผู้คน  มิใช่หรอกหรือ?  พระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง แต่พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติกับเจ้าเยี่ยงสัตว์ร้ายตัวหนึ่งเลยสักนิด  หากพระเจ้าทรงปฏิบัติกับเจ้าเยี่ยงสัตว์ร้าย พระองค์จะทรงจัดเตรียมความจริงให้เจ้าได้หรือ?  พระองค์จะยังทนทุกข์แสนสาหัสเพื่อช่วยเจ้าให้รอดหรือ?  คนบางคนคับแค้นใจอย่างถึงที่สุด กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่าฉันไร้ค่า  ฉันละอายเกินกว่าจะใช้ชีวิตต่อไป”  อันที่จริงแล้วผู้คนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  กล่าวได้ว่าตลอดชั่วชีวิตของเจ้า เจ้าอาจไม่ค่อยมีประสบการณ์เชิงลึกกับพระปัญญาและเจตนารมณ์ที่เปี่ยมอุตสาหะในพระราชกิจของพระเจ้าเท่าใดนัก  แต่ไม่ว่าประสบการณ์ของเจ้าจะล้ำลึกหรือตื้นเขินเพียงใด ตราบใดที่เจ้าเข้าใจมันและได้รับความรู้สักเล็กน้อยในท้ายที่สุด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว  พระเจ้ายังทรงขอให้ผู้คนเข้าใจความจริง จดจ่อกับการเปลี่ยนอุปนิสัยของตัวเอง และแค่ค่อยๆ ทำความเข้าใจความจริงเกี่ยวกับความจงรักภักดี การนบนอบ และความรักต่อพระเจ้า ให้ล้ำลึกยิ่งขึ้นในหัวใจของพวกเขา  หากผู้คนสละและทนทุกข์แค่เล็กน้อย พวกเขาอาจรู้สึกว่าตัวเองได้ลงแรงไปมากมาย และบัดนี้ก็มีคุณวุฒิสูงแล้วเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และหากพวกเขาลงแรงมากขึ้นอีกนิด พวกเขาก็จะโอ้อวดคุณวุฒิตน และไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่า พวกเขารู้สึกกระวนกระวายและขุ่นเคืองอยู่ภายใน  ผู้คนมีความรักกันอย่างไรหรือ?  ความรักที่ผู้คนมีเป็นเช่นใดหรือ?  พระเจ้าทรงได้รับความรักที่แท้จริงจากมนุษยชาติแล้วหรือไม่?  พระองค์ไม่ทรงคู่ควรกับความรักของมนุษยชาติหรอกหรือ?

ฤดูหนาว, ค.ศ.1999

ก่อนหน้า: การเลือกเส้นทางที่ถูกต้องคือส่วนที่สำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า

ถัดไป: ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger