การเลือกเส้นทางที่ถูกต้องคือส่วนที่สำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า

ในช่วงงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในยุคสุดท้าย มีผู้คนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถละทิ้งครอบครัวของตนและละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างมาสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจ  ผู้คนเหล่านี้ล้วนมีคำพยานจากประสบการณ์จริง และมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง  พวกเขาไม่คิดว่าการตัดขาดครอบครัวและอาชีพการงานของตนเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นความยากลำบากอันใหญ่หลวง  ต่อให้พวกเขาต้องไปนานสิบปีหรือตลอดชีวิตโดยไม่กลับบ้านเลย พวกเขาก็เต็มใจที่จะทำเช่นนี้  พวกเขาไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำ  นี่คือความเข้มแข็งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้กับพวกเขา  แต่ถ้าเป็นเรื่องวุฒิภาวะ วุฒิภาวะของพวกเขาก็ยังไม่สามารถไปถึงระดับนี้ เพราะแม้พวกเขาจะเข้าใจความจริงบางประการ แต่พวกเขายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และยังไม่ได้รับความจริงเลย  พวกเขามีเพียงความจริงใจเล็กน้อยในการสละตนเองเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  หากคนคนหนึ่งมีความตั้งใจแน่วแน่ในการไล่ตามเสาะหาความจริง และนอกจากนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังประทานพระคุณบางประการให้ พวกเขาย่อมรู้สึกปลาบปลื้มเป็นพิเศษในช่วงเวลานั้น พวกเขาได้รับความเข้มแข็งอยู่บ้าง และสามารถหลุดออกจากพันธนาการทางโลกมาสละเพื่อพระเจ้าได้—นี่คือพระคุณของพระเจ้า  แต่ก็มีคนบางคนที่ไม่ใส่ใจทำงานที่ถูกควรของตัวเองในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถทำผิดในสารพัดรูปแบบ  ในกรณีเช่นนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  แรงจูงใจของผู้คนเช่นนี้ไม่ซื่อตรง และพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง  แม้ว่าในอดีตพระวิญญาณบริสุทธิ์เคยทรงพระราชกิจในตัวพวกเขามาบ้าง แต่พระราชกิจนั้นสูญเปล่า และพวกเขาก็เดินไปบนเส้นทางที่ตกต่ำลงโดยไม่รู้ตัว  ถ้าเจ้าเป็นคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ในการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะประทานพระคุณบางอย่างให้เจ้าชื่นชมยินดี และจากนั้นเจ้าก็สามารถเดินหน้าในการไล่ตามเสาะหาของเจ้าบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเจ้าไป ความจริงสำหรับเจ้าจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าก็จะมั่นคงมากขึ้นทุกที และจะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  เมื่อคนคนหนึ่งไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องของการไล่ตามเสาะหาความจริง  พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมทรงกำจัดพวกเขาออกไปในที่สุด  เมื่อถูกกำจัดออกไปแล้ว ความตั้งใจแน่วแน่เดิม ความปรารถนาอย่างแรงกล้าเดิม และแรงผลักดันในการละทิ้งและสละตนย่อมหายไปจนหมดสิ้น  พวกเขารู้สึกเสียใจและคิดว่า “ถ้าฉันรู้ว่าจะมีวันที่ฉันจะถูกกำจัดออกไป ฉันก็คงจะไม่เชื่อในพระเจ้ามาตั้งแต่แรกหรอก”  ณ จุดนี้ ความเสียใจ คำพร่ำบ่น และความคิดลบของพวกเขาล้วนปรากฏออกมา  ในความเป็นจริงนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหยุดพระราชกิจในตัวพวกเขานานมาแล้ว  ถึงแม้พวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐ มีพรสวรรค์ในการพูดจา และได้ผลลัพธ์บางอย่าง แต่นี่ไม่ได้เกิดจากการให้ความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แต่เป็นเพราะคนคนนี้มีความหลักแหลมและขีดความสามารถอยู่บ้าง  นี่ไม่ได้หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  พวกเขาก็เหมือนพวกคนลงแรง—ถึงแม้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา พวกเขาก็ยังสามารถออกแรงทำงานได้เล็กน้อยเป็นการชั่วคราว  อย่างไรก็ตาม พวกเขามีของประทานและขีดความสามารถบางอย่าง เพียงแต่แทนที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และเพียรพยายามปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี รวมถึงตอบแทนความรักของพระเจ้า พวกเขากลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ พระพร และมงกุฎใหญ่  เพราะฉะนั้น เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เส้นทางของพวกเขาก็หายไป และกลายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะก้าวต่อไปแม้แต่ก้าวเดียว  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงทุกคน

เวลานี้มีคนมากมายที่กล่าวว่า “ฉันตระหนักว่าธรรมชาติของฉันไม่ดี  ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่รุนแรงและฉันเป็นกบฏมากเกินไป”  แต่ถึงกระนั้น ผู้คนเหล่านี้กลับขาดความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของตนเอง และพวกเขาไม่เข้าใจความจริงในแง่มุมใดเลย  ไม่ว่าพวกเขาพูดถึงคำสอนได้ดีเพียงใด ดูเหมือนเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำสิ่งเหล่านี้มาปฏิบัติได้  นี่ย่อมเกินพอที่จะพิสูจน์ว่าการทรงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวพวกเขานั้นได้จางหายไปแล้ว  ไม่ว่าความเป็นมนุษย์ของเจ้าเป็นอย่างไร หรือเจ้าเข้าใจคำสอนมากเพียงใด และไม่ว่าเจ้าได้ทนทุกข์หรือละทิ้งมามากเท่าใดแล้ว ตราบใดที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า นี่ย่อมพิสูจน์ว่าเจ้าไม่รักความจริง  ไม่ว่าเจ้ากระตือรือร้นเพียงใด หากปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าย่อมจะงุนงงสับสน  ความเข้มแข็งเล็กน้อยที่มนุษย์มีนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?  ความเชื่อเล็กน้อยที่มนุษย์มีนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด?  ความรู้น้อยนิดที่มนุษย์มีนั้นมีประโยชน์อย่างไร?  ยกตัวอย่างเช่น การปราบปราม การจับกุม และการจองจำผู้เชื่อในพระเจ้า  นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ถูกข่มเหง ถูกไล่ล่า และถูกบีบบังคับให้หนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งอยู่บ่อยครั้ง และเรื่องนี้ได้ทิ้งรอยประทับที่ลบไม่ออกไว้ในจิตใจและหัวใจของพวกเขา  “ถ้าฉันถูกจับ ฉันไม่อาจเป็นเหมือนยูดาส ฉันไม่มีวันทรยศต่อคริสตจักรได้”—คนส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมตัวแบบนี้กันหรอกหรือ?  แต่เมื่อพวกเขาถูกจับจริงๆ นั่นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา  หากพวกเขาไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ เช่นนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และพวกเขาจะไม่สามารถตั้งมั่นได้  นี่ไม่ใช่ความสับสนชั่วครู่ที่ทำให้ผู้คนให้กลายเป็นเหมือนยูดาส  ตามที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่จะเกิดกับเจ้าในท้ายที่สุด และจุดจบของเจ้าเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับว่าเจ้ารักและยอมรับความจริงหรือไม่  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  หลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเจ้าตลอดเวลาหรือไม่ และเจ้าเข้าใจความจริงและตั้งมั่นในคำพยานของตนหรือไม่  นั่นขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้เป็นสำคัญ  บางคนมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งตอนที่พวกเขาเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนเป็นครั้งแรก และรู้สึกราวกับว่าพวกเขามีพละกำลังที่ไม่มีวันหมด  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงเริ่มสูญเสียพลังนี้ไปตามกาลเวลาเล่า?  คนที่พวกเขาเคยเป็นในอดีตกับคนที่พวกเขาเป็นอยู่ในปัจจุบันดูเหมือนเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง—เหตุใดพวกเขาจึงเปลี่ยนไป?  เหตุผลในเรื่องนี้คืออะไร?  เป็นเพราะพวกเขาเดินบนเส้นทางที่ผิด และไม่เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  พวกเขาเลือกเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าพระพร  มีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ในเจตนาของพวกเขา  สิ่งที่ซ่อนอยู่นั้นคืออะไร?  เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็เก็บงำความหวังบางอย่างเอาไว้ในหัวใจของตน—พวกเขาหวังว่าวันแห่งพระเจ้าจะมาถึงในเร็วๆ นี้ และความทุกข์ทั้งหมดของพวกเขาก็จะสิ้นสุดลง พวกเขาหวังว่าพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนรูปแบบการสำแดงพระองค์และเสด็จกลับคืนสู่ศิโยน และจากนั้นพวกเขาก็จะพ้นจากการทนทุกข์ทั้งหมดของตน  ผู้คนล้วนหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่พวกเขาสามารถกลับบ้านและสามารถอยู่ร่วมกับคนที่พวกเขารักอีกครั้ง  พวกเขาหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่พวกเขาไม่ต้องถูกข่มเหงอีกต่อไป พวกเขาสามารถเป็นอิสระอย่างแท้จริง และเชื่อในพระเจ้าได้อย่างเปิดเผย เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะไม่มีใครมาจำกัดพวกเขา และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่สุขสบาย กินดี และสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ ได้  ผู้คนล้วนมีความหวังเช่นนี้มิใช่หรือ?  ความหวังเหล่านี้อยู่ลึกในหัวใจผู้คนเพราะเนื้อหนังของพวกเขารังเกียจความทุกข์  ในห้วงเวลาแห่งการทนทุกข์ พวกเขาหวังที่จะมีวันที่ดีกว่านี้  สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ถูกเปิดโปงโดยปราศจากการข่มเหงและความทุกข์ยากลำบากทั้งหลาย  เมื่อปราศจากการข่มเหงและความทุกข์ยากลำบาก ผู้คนก็ดูมีความเชื่ออันแข็งแกร่ง  พวกเขาดูเหมือนจะมีวุฒิภาวะในระดับหนึ่ง เข้าใจความจริงได้ค่อนข้างดี และเต็มไปด้วยพลัง  อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขาพบกับการข่มเหงและความทุกข์ยากลำบากในวันหนึ่ง ความหวัง ความคิดฝัน และความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อทางเนื้อหนังของพวกเขาก็ปะทุขึ้นมา  ความขัดแย้งเริ่มปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขา และบางคนก็เริ่มมีความคิดลบและอ่อนแอ รวมถึงความสงสัยและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเกิดขึ้นในตัวพวกเขา  ผู้คนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  มิใช่ว่าพระเจ้าไม่ทรงจัดเตรียมหนทางออกหรือไม่ประทานพระคุณของพระองค์แก่พวกเขา และมิใช่ว่าพระเจ้าไม่เข้าพระทัยความลำบากยากเย็นของพวกเขาอย่างแน่นอน  แต่การที่เจ้าสามารถมีประสบการณ์กับการทนทุกข์ในเวลานี้ที่เจ้ากำลังติดตามพระคริสต์ก็คือพระพร เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะสัมฤทธิ์ความรอดและมีชีวิตรอดโดยปราศจากการสู้ทนต่อความทุกข์นี้  นี่คือการลิขิตจากพระเจ้า ดังนั้นความทุกข์ที่บังเกิดกับเจ้าจึงเป็นพระพร  เจ้าไม่ควรมองเรื่องนี้ในหนทางที่เรียบง่ายจนเกินไป นี่ไม่ใช่เรื่องของการทำให้ผู้คนต้องทนทุกข์หรือเล่นสนุกกับพวกเขา ก็เท่านั้นเอง  นัยสำคัญของเรื่องนี้ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ!  การอุทิศชีวิตทั้งชีวิตของเจ้าด้วยการสละตนเองเพื่อพระเจ้าโดยไม่แสวงหาคู่ชีวิตหรือกลับบ้านนั้นเปี่ยมความหมาย  หากเจ้าเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่ถูกต้อง ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าย่อมจะได้รับมากกว่าที่ธรรมิกชนทั้งหมดในทุกยุคทุกสมัยได้รับ และได้รับแม้กระทั่งพระสัญญาที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วย  ปัจจุบันนี้บางคนสงสัยอยู่เสมอว่า “พระเจ้าจะทรงจดจำฉันกับการสู้ทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ได้หรือไม่?  ถ้าแก่ตัวลงแล้วไม่มีใครเกื้อหนุนฉันเล่า จะเป็นอย่างไร?  ใครจะดูแลฉันเวลาฉันป่วย?  พระเจ้าใส่พระทัยบ้างหรือไม่?  การทนทุกข์นี้จะจบลงเมื่อใด?  ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อใดฉันจึงจะเห็นแสงตะวันเสียที?”  ผู้คนเช่นนี้คาดหวังสิ่งเหล่านี้เสมอ โดยหวังว่าพระเจ้าจะทรงเปลี่ยนรูปแบบการสำแดงพระองค์และพาพวกเขาออกจากความทุกข์เพื่อให้พวกเขาสามารถสุขสำราญกับพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  พวกเขาไม่ได้ใคร่ครวญว่าอะไรคือนัยสำคัญของการติดตามพระเจ้าและการสู้ทนความทุกข์ หรือเหตุใดพวกเขาจึงจำเป็นต้องสู้ทนกับความทุกข์นี้เพื่อให้ได้รับความจริง  ความเชื่อของพวกเขาช่างอ่อนแอเสียจริง!  เมื่อเป็นเรื่องของความเชื่อในพระเจ้า ทุกคนต่างมีการคิดคำนวณที่เห็นแก่ตัว  ด้วยเหตุนี้ ธรรมชาติของมนุษย์จึงทรยศต่อพระเจ้า  ไม่มีใครรักพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่มีใครสามารถแสดงความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้เห็นได้อย่างแท้จริง หรือมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าในการขยายงานข่าวประเสริฐ  ผู้คนไม่อาจทนรอให้พระเจ้าเสด็จไปจากแผ่นดินโลก และเปลี่ยนรูปแบบการสำแดงองค์ เพื่อที่พระองค์จะทรงช่วยพวกเขาจากการทนทุกข์และทรงให้โอกาสพวกเขาสุขสำราญกับชีวิตในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้  นี่คือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่วาดหวัง  ผู้คนจำนวนมากคิดในใจว่า “หากพระเจ้าทรงจากพวกเราไป และพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย เช่นนั้นพวกเราก็สามารถยึดครองอำนาจ และพวกเราจะไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อีกต่อไป  พวกเราจะปกครองทุกชนชาติและผู้คนด้วยคทาเหล็ก—เมื่อนั้นเราย่อมจะได้เห็นแสงตะวันไม่ใช่หรือ?  ถึงตอนนั้น พระเจ้าจะทรงปรากฏ รวมถึงทรงลงโทษและทำลายล้างซาตานและมารทั้งหมดอย่างเปิดเผย ราชอาณาจักรแห่งพระคริสต์จะกลายเป็นจริงบนแผ่นดินโลก และพวกเราจะไม่ถูกเหล่าซาตานและหมู่มารข่มเหงอีกต่อไป”  แม้ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมีความหวังเช่นนี้ แต่ผู้คนเหล่านี้ก็มีสภาวะที่ไม่ถูกต้อง  การปรารถนาที่จะหลบหนีความทุกข์และสุขสำราญกับความสะดวกสบายอยู่ตลอดเวลา เป็นการแสดงความคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเช่นนั้นหรือ?  เป็นสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยหรือ?  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนัยสำคัญของการมีประสบการณ์กับการทนทุกข์อย่างถ่องแท้

ไม่มีผู้ใดตั้งใจที่จะเดินบนเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้าไปตลอดชีวิตของตน ตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อให้ได้รับชีวิต เพื่อสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อสามารถเป็นพยานให้พระองค์ หรือใช้ชีวิตอย่างมีความหมายเหมือนเปโตรในท้ายที่สุด  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์และไม่ยอมรับความจริงแม้แต่นิดเดียว แต่พวกเขากลับปรารถนาที่จะสุขสำราญกับพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และรักที่จะแสวงหาชื่อเสียง ผลประโยชน์ และประโยชน์แห่งสถานะ  นี่มีแนวโน้มที่จะนำพาพวกเขาให้หลงผิด  เมื่อพวกเขาเผชิญกับความเจ็บปวด ปัญหาที่ทำให้ชะงักงัน หรือความล้มเหลว พวกเขาจะมีแนวโน้มกลายเป็นพวกคิดลบและอ่อนแอ และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าภายในหัวใจของพวกเขา  พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และบางคนจะอยากหันหลังกลับเสียด้วยซ้ำ  หากบุคคลหนึ่งเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้ว แต่ยังไม่มีความเป็นจริงความจริงเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นสิ่งที่อันตรายมาก!  น่าเสียดายที่การทนทุกข์ทั้งหมดของพวกเขา คำเทศนาจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวกเขาได้ฟัง และเวลาหลายปีที่พวกเขาใช้ติดตามพระเจ้า ล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น!  เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้คนที่จะตกต่ำลง และเป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ ที่จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และเลือกเส้นทางของเปโตร  ผู้คนส่วนมากมีการคิดอ่านที่ไม่ชัดเจน  พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเส้นทางใดเป็นการเบี่ยงเบนออกจากเส้นทางนั้น  ไม่ว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามากมายเพียงใด และไม่ว่าพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใด ต่อให้พวกเขารู้แก่ใจของตนว่าบุตรมนุษย์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้เสด็จมาแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เชื่อในพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม  พวกเขารู้ว่านี่คือหนทางที่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางนี้ได้  การช่วยผู้คนให้รอดในยามที่พวกเขาไม่รักความจริงนั้นลำบากยากเย็นเหลือเกิน!  เจ้ารู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าก็ไม่สามารถยอมรับได้  ขออย่าพูดถึงคุณภาพความเชื่อของเจ้ากันเลย แค่พูดถึงสาเหตุที่เจ้าไม่มีความรักในความจริง และสาเหตุที่เจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้  เจ้าไม่สามารถออกเดินไปบนหนทางที่แท้จริง ไม่เต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่สามารถนำความจริงที่เจ้าเข้าใจมาปฏิบัติได้  เจ้าเป็นพวกของซาตานไม่ใช่หรือ?  ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีเป้าหมายหรือทิศทางในชีวิต พวกเขาปราศจากความเป็นมนุษย์ เป็นเสมือนสัตว์  ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป ไม่ใช่เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จงใจไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาและทรงเจตนาไม่เผยพวกเขา แต่เพราะพระองค์ไม่สามารถทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาได้  ภายในตัวผู้คนเสื่อมทรามนัก และยากที่จะจัดการได้  หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาได้อย่างไร?  เมื่อใดก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ พระองค์ประทานทางเลือกให้แก่ผู้คนเสมอ พระองค์ไม่เคยทรงบังคับใคร  แต่การคิดอ่านของผู้คนก็เลอะเลือนเกินไป  พวกเขาไม่รักหรือยอมรับความจริงเลย และพวกเขาก็แทบไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เพื่อให้ได้รับความจริง  แม้พวกเขาต้องการได้รับพร แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามหรือจ่ายราคา  ความเห็นแก่ตัวของพวกเขายิ่งใหญ่เกินไป  พวกเขาเป็นห่วงเพียงผลประโยชน์ตรงหน้า พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและเพียรพยายามเพื่อสิ่งทั้งหลายตรงหน้าที่พวกเขาสามารถมองเห็นและสุขสำราญได้ และพวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาไม่อาจมองเห็น หรือสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าไม่มีความหมาย  ผู้คนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ และแทบไม่มีที่ว่างให้กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีปัญหามากมายที่ฉันแก้ไขไม่ได้  หากมีใครบางคนจะสามัคคีธรรมกับฉันและช่วยให้ฉันเข้าใจความจริง ฉันก็คงจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป”  แต่พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาของตนได้อย่างแท้จริงด้วยการเข้าใจความจริงเท่านั้นหรือ?  พวกเขาสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือ?  สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีใครรู้ได้  มีคนจำนวนมากที่ได้ยินคำเทศนามาแล้วมากมาย และเข้าใจความจริงค่อนข้างมากทีเดียว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนำความจริงเหล่านั้นมาปฏิบัติได้  หากเจ้าถามพวกเขาเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขา พวกเขาย่อมกล่าวว่า “ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด แต่ฉันแค่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติเท่านั้น  ฉันจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?”  การเชื่อในพระเจ้าจะมีประโยชน์อันใดหากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้เลย?  รีบกลับบ้านและใช้ชีวิตของเจ้าต่อไปเถิด  มีประโยชน์อะไรที่จะสามัคคีธรรมความจริงกับเจ้า?  เจ้าไม่ควรค่าที่จะได้ยินได้ฟังความจริง และไม่คู่ควรที่จะเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นเจ้าควรแค่รอคอยการทำลายล้างเจ้าเท่านั้น!  เพราะเจ้าได้เลือกเส้นทางของปีศาจที่น่าเกลียดและต่ำช้าไปแล้ว ไม่ว่าสามัคคีธรรมความจริงกับเจ้ามากเพียงใด เจ้าก็จะไม่ยอมรับความจริง  ดังนั้นเจ้าควรถอยไปเสีย!  ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับคนประเภทนี้  มีคนมากมายที่เคยพูดว่า “ฉันเข้าใจความจริงทั้งหมด แต่ฉันแค่ไม่สามารถนำมาปฏิบัติเท่านั้น”  คำกล่าวนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นปีศาจและเป็นหนึ่งในพวกของซาตานโดยสมบูรณ์  หากคนคนหนึ่งไม่รักความจริง เช่นนั้นเขาย่อมเป็นคนเลวอย่างแน่นอน  ธรรมชาติของคนคนหนึ่งแสดงให้เห็นอย่างครบถ้วนด้วยสิ่งที่พวกเขารัก สิ่งที่พวกเขาวาดหวัง สิ่งที่พวกเขามุ่งหวัง และสิ่งที่พวกเขาโหยหา  หากเจ้าไม่รักความจริง เช่นนั้นเจ้าก็เป็นพวกของมารและเจ้าย่อมจะพินาศ  แต่หากเจ้ารักความจริง เช่นนั้นเจ้าก็คือผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  เรื่องนี้ชัดเจนไม่ใช่หรือ?  เส้นทางที่เจ้าเลือกนั้นสำคัญที่สุด  เจ้าสามารถสงบจิตใจและใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างจริงจัง หากเจ้าหลงทางไปแล้ว ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะหวนกลับมา  หากเจ้ามีเจตจำนงที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี  นอกจากนี้ เจ้าจำเป็นต้องมีเส้นทางสำหรับการสัมฤทธิ์เจตจำนงนี้ของเจ้าและลุล่วงความปรารถนาของเจ้า  ก่อนอื่น เจ้าต้องเข้าใจความจริง รู้บั้นปลายในภายภาคหน้าของมวลมนุษย์ เส้นทางที่มวลมนุษย์ควรเดิน และเป้าหมายที่พวกเขาควรทำให้สำเร็จ  ในอดีต มักมีคำกล่าวว่า “ทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องมีประสบการณ์อย่างถี่ถ้วน  ในทุกสิ่ง เจ้าต้องพิจารณาว่าเรื่องนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าหรือไม่  หากเจ้าเข้าใจชัดเจนอย่างแท้จริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็มีความเชื่อที่แท้จริง  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าควรนบนอบพระองค์หรือไม่?  นัยสำคัญของการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคือการได้รับพรจากพระองค์เท่านั้นหรือ?  ตอนนี้เจ้ากำลังติดตามพระคริสต์ในความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า แต่เจ้าจะสามารถอดทนติดตามไปจนถึงปลายทางได้หรือไม่?  เจ้าควรทำอย่างไรต่อไปเมื่อเผชิญอุปสรรคหรือความทุกข์ยากบนเส้นทางของเจ้าในภายภาคหน้า?  เจ้าต้องนำพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นกุญแจสำคัญมาเป็นคติพจน์เพื่อหนุนใจตนเอง เพื่อที่เจ้าจะไม่ล้มลง ไม่อ่อนแอหรือคิดลบ ไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ออกนอกเส้นทาง หรือทรยศต่อพระเจ้าด้วยการหนีไปกลางทาง  เจ้าต้องทำความเข้าใจอย่างชัดเจน และเข้าใจทั้งหมดนี้อย่างถ่องแท้เพื่อที่จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง

เส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้ามีทั้งขึ้นและลง สามารถเป็นได้ทั้งขมขื่นและหอมหวาน  เมื่อผู้คนมีความสุข พวกเขาต่างก็พูดได้ว่า “ฉันเต็มใจที่จะสละตัวเองเพื่อพระเจ้า ฉันจะสละเพื่อพระองค์ตลอดชีวิตของฉัน”  อย่างไรก็ตาม บางช่วงเวลาพวกเขาก็มีประสบการณ์กับความล้มเหลวและเกิดความคิดลบ  พวกเขาสงสัยอยู่ในหัวใจว่า “พระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ฉันไม่สามารถเชื่อต่อไปได้อีกแล้ว เส้นทางนี้ยากเกินกว่าที่จะเดินไปได้!”  ต่อมา พวกเขาอธิษฐานและรู้สึกถึงการถูกติเตียน อีกทั้งคิดว่าตนเป็นหนี้พระเจ้า  หลังจากรู้ว่าตนเป็นหนี้พระเจ้า พวกเขาก็ควรหยุดประพฤติตนเช่นนี้  อย่างไรก็ตาม อาจมีสักวันที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นดั่งใจของพวกเขา พวกเขาเกิดความคิดลบขึ้นมาอีกครั้งและพร่ำบ่นพระเจ้าโดยกล่าวว่า “พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงสถานการณ์เช่นนี้ให้กับฉันได้อย่างไร?  ทำไมพระองค์ทรงทำให้ฉันทนทุกข์ตลอดเวลา?  พระองค์ทรงละเว้นฉันจากการทนทุกข์ได้ไม่ใช่หรือ?”  ผู้คนมักพร่ำบ่นเช่นนี้เสมอ แล้วหลังจากนั้นพวกเขากลับพูดตลอดเวลาว่าพวกเขาเป็นหนี้พระเจ้า  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับการติดขัดเล็กน้อยหรือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นดั่งใจตน พวกเขาก็เริ่มโกรธและพร่ำบ่น  ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด บางคนถึงกับเอ่ยคำตัดสินและคำหมิ่นประมาทบางคำออกมา  ในเวลาต่อมา พวกเขาตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ตนพูดออกมานั้นผิด และรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรีบปฏิบัติหน้าที่ของตนเล็กน้อยและทำดีบ้างนิดหน่อยเพื่อไถ่ตนเอง  การสำแดงเหล่านี้บอกอะไรกับพวกเราบ้าง?  บอกว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ชอบความจริง หรือถึงขั้นรังเกียจความจริง  มนุษย์ช่างเลวร้าย น่าเกลียด ขาดสามัญสำนึกและเหตุผล  ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเสมือนพวกเขากำลังทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาต้องการพระองค์ และออกห่างจากพระองค์เมื่อไม่ต้องการ  พวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และกระทำการตามที่ตนพอใจ  ผู้คนล้วนแต่โอหังและดึงดัน พวกเขาไม่มีหัวใจที่เกรงกลัวพระเจ้าหรือเกลียดชังสิ่งที่เป็นลบอย่างแท้จริง  พวกเขาขาดพร่องความรักอย่างแท้จริงต่อความจริงและไม่สามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างความยุติธรรมและความอยุติธรรมได้  พวกเขาไม่มีขอบเขต ไม่มีเป้าหมาย และยิ่งไปกว่านั้นยังขาดหลักธรรมและความรู้จักประมาณในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ  หัวใจของพวกเขาช่างน่าขยะแขยง และจากภูมิหลังนี้ พวกเขายังคงตั้งตารอคอยว่าจะสามารถได้มาซึ่งคำสัญญาที่ยิ่งใหญ่ และได้รับพรอีกมากมายในอนาคต หรือพวกเขาจะทำตัวให้โดดเด่นในภายภาคหน้าได้อย่างไร รวมทั้งตั้งตารอคอยสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาจะสามารถชื่นชมยินดีได้  ต่อเมื่อพวกเขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้เท่านั้น พวกเขาจึงรู้สึกในหัวใจของตนว่า “พระเจ้าทรงน่ารักยิ่งนัก!  ฉันต้องตอบแทนความรักของพระเจ้า!”  ทำไมพวกเขาพูดว่าพระเจ้าทรงน่ารัก?  ความปรารถนาที่พวกเขาจะตอบแทนพระเจ้ามาจากไหน?  คำกล่าวเหล่านี้มีเจตนาซ่อนอยู่เบื้องหลังไม่ใช่หรือ?  พวกเขาแค่กำลังพูดบางสิ่งบางอย่างตามอารมณ์จากความชอบเพียงชั่วแล่นและความปีติยินดีชั่วประเดี๋ยวประด๋าว—นี่คือความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่?  คือความรักที่แท้จริงหรือไม่?  คำกล่าวนี้มาจากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขาหรือไม่?  หากเจ้ามีความเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ เหตุใดเจ้าจึงยังคงพร่ำบ่นอยู่?  หากเจ้ารู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าจริงๆ เหตุใดเจ้ายังคงบ่นพึมพำอยู่เล่า?  เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ทรงดีต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงเพิกเฉยต่อพระองค์  หากพระเจ้าไม่ทรงใช้เจ้า เจ้าก็ไม่ต้องการทำหน้าที่ของตัวเอง  เจ้าต้องเก็บงำความขุ่นเคืองเอาไว้ภายในมากเพียงใด!  ถึงกระนั้น เจ้าก็ยังเชื่อว่าเจ้ารักพระเจ้ามากกว่าคนอื่นๆ  นี่จะเป็นความเป็นจริงของการรักพระเจ้าได้อย่างไร?  ข้อเท็จจริงที่ว่า  คนคนหนึ่งสามารถพรั่งพรูคำพร่ำบ่นเช่นนี้ได้ย่อมพิสูจน์ว่า พวกเขายังขาดความเข้าใจในธรรมชาติของตนเอง  พวกเขายังคงไม่รู้ว่าตนเป็นอย่างไร เป็นพวกไหน และคุณค่าที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร  ในความเป็นจริงแล้ว การต้านทานพระเจ้าและการทรยศพระองค์มีอยู่ในธรรมชาติของคนทุกคน  เป็นสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปและทุกคนมีร่วมกัน  ไม่มีใครรักความจริงและสิ่งที่เป็นบวกอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครเกลียดซาตานและสิ่งที่เลวร้ายอย่างแท้จริง  ความรักและความเกลียดชังของมนุษย์ไม่มีหลักธรรมหรือขอบเขต และยิ่งไปกว่านั้น ความรักและความเกลียดชังของมนุษย์ไม่มีพื้นฐานมาจากความจริงเลย  ในหัวใจมนุษย์ไม่มีการแยกแยะระหว่างความยุติธรรมกับอยุติธรรม ระหว่างดำกับขาว ยิ่งไม่มีการแยกแยะใดๆ ระหว่างความจริงและคำสอนหรือความเห็นนอกรีต  ผู้คนไม่สามารถทำการแยกแยะเหล่านี้ได้  พวกเขาไม่ชัดเจนว่าอะไรควรค่าแก่การรักและการไล่ตามเสาะหา อะไรควรเกลียด และอะไรควรปฏิเสธ พวกเขาห่างไกลจากการมีวิจารณญาณทุกประเภทใด  บางคนปฏิบัติหน้าที่ของตน และเมื่อพวกเขาได้ยินเพลง “กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆ” ของผู้ไม่เชื่อ พวกเขาก็เริ่มคิดถึงบ้านและไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะทำงานของตน  นี่คือคนประเภทใด?  พวกเขามีความเป็นจริงความจริงแม้สักนิดหรือไม่?  บางคนเชื่อว่าพวกเขาสามารถทำงานเล็กๆ น้อยๆ และมีคุณสมบัติบางประการ  พวกเขาอาจรู้สึกว่าตนมีความจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากลับไม่มีสิ่งใด และพวกเขาไม่มีค่าอะไรเลย  แม้ตอนนี้เจ้าสามารถประกาศคำสอนบางประการให้กับผู้อื่นได้ แต่สักวันหนึ่งคนอื่นอาจจะต้องหนุนใจเจ้า และการล้มลงของเจ้าจะน่าเศร้ามากกว่าของคนอื่น และเจ้าจะกลายเป็นคนที่คิดลบมากกว่าคนอื่นเสียอีก  เจ้าเชื่อในเรื่องเช่นนั้นหรือไม่?  พวกเจ้ามั่นใจในเรื่องนี้หรือไม่?  บางทีพวกเจ้าอาจจะยังไม่มีประสบการณ์กับการล้มลงอย่างรุนแรงหรือเกิดความคิดลบเป็นพิเศษ  พวกเจ้ารู้สึกว่าตนค่อนข้างแข็งแกร่ง และเพราะพวกเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้น พวกเจ้าจึงเชื่อว่าตนมีวุฒิภาวะมากทีเดียว  บางทีสักวันหนึ่งเมื่อเจ้าถูกเผย น้ำตาจะไหลรินอาบใบหน้าของเจ้าในขณะที่เจ้าร้องออกมาว่า “จบแล้ว  ฉันจบสิ้นแล้ว!”  นี่คือเวลาที่เจ้าจะเริ่มย้ายจากสุดขั้วหนึ่งไปยังอีกสุดขั้วหนึ่ง  มีผู้คนมากมายที่เต็มไปด้วยพลังเมื่อเริ่มมาเชื่อในพระเจ้า แต่เมื่อบังเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับพวกเขา พวกเขาอาจสูญเสียแรงผลักดันของตนไปอย่างกะทันหัน และไม่สามารถลุกขึ้นมาอีกครั้งได้  พวกเจ้าสังเกตเห็นปัญหาของผู้คนเช่นนี้บ้างหรือไม่?  ไม่มีใครสามารถควบคุมจุดอ่อนและจุดแข็งของตนเองได้ สิ่งเสื่อมทรามทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวผู้คนย่อมถูกเผยให้เห็นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่  ในตัวมนุษย์ไม่เคยขาดการต่อรองและความโสมม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในตัวมนุษย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์คือธรรมชาติของซาตาน ซึ่งถูกต้องแม่นยำอย่างยิ่ง  ธรรมชาติของมนุษย์ต่างจากแก่นแท้ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ในอดีต พระเจ้าตรัสว่า “เราสามารถรักมนุษย์ไปจนชั่วกัลปาวสานได้ และเรายังสามารถเกลียดชังเขาไปจนชั่วกัลปาวสานได้ด้วยเช่นกัน”  หมายความว่า พระเจ้าทรงมีมาตรฐานที่พระองค์ใช้ประเมินวัดผู้คน  พระองค์มีพระวินิจฉัยของพระองค์ พระองค์มีหลักธรรมเป็นพื้นฐานในการตัดสินชี้ขาดสิ่งต่างๆ  พระองค์มีมาตรฐานและหลักธรรมของพระองค์เองสำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงรักและทรงเกลียด ผู้ใดที่พระองค์ทรงดูหมิ่น และผู้ใดที่พระองค์ประทานพร  ผู้คนขาดความจริงและหลักธรรม ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มที่จะไปตามหนทางของตนเอง  พวกเขาเอาแต่ใจและไม่สามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องได้โดยปราศจากการทรงนำของพระเจ้า

บางคนนึกสงสัยอยู่เสมอว่า “พระเจ้าจะเสด็จไปจากแผ่นดินโลกเมื่อใด?  พระราชกิจของพระเจ้าจะเสร็จสิ้นเมื่อใด?  ฉันไม่หนุ่มสาวเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อแก่ตัวลง?”  คนเช่นนั้นมีความเชื่อหรือไม่?  พวกเขาจะทำอย่างไรหากไม่มีใครเกื้อหนุนพวกเขายามแก่ตัวลงจริงๆ?  พวกเขาจะไม่โยนความผิดให้พระเจ้าหรือ?  ผู้เชื่อในพระเจ้าจำนวนมากไม่รู้ว่าพวกเขาควรได้รับอะไรจากการติดตามพระองค์ หรืออะไรเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด  มีผู้คนน้อยคนนักที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริง  หากปราศจากพระราชกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ชาวจีนคงจะถูกทำลายล้างไปนานแล้ว  บางคนอาจไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน นี่คือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้  ผู้คนเชื่อเช่นกันว่า “พวกเรายังสามารถเดินหน้าได้โดยปราศจากการทรงนำของพระเจ้า แค่พวกเรามีพระวจนะนำพวกเราก็เพียงพอแล้ว  พวกเราทุกคนได้อ่านหนังสือพระวจนะทรงปรากฏในมนุษย์กันแล้ว พวกเรามีแนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ในหัวใจและพวกเราเข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้น  ตอนนี้พวกเราสามารถกุมบังเหียนได้แล้ว”  แต่เจ้ากุมบังเหียนได้จริงๆ หรือ?  เจ้าไม่สามารถเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องได้—เจ้าย่อมจะหลงทางเมื่อเดินต่อไป แล้วเจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงได้หรือไม่?  แม้กระทั่งตอนนี้พวกเจ้าก็ยังไม่เชื่อมั่นอยู่ดี  อาจกล่าวได้ว่าบุคคลใดที่ขาดการทรงนำของพระเจ้าย่อมจะหลงทาง  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวคนบางคนอย่างต่อเนื่องในยุคพระคุณ แต่เหตุใดพวกเขาส่วนใหญ่จึงยืนกรานที่จะเดินตามหนทางของตนเอง?  เป็นการยากที่จะนับว่าในโลกศาสนามีทั้งหมดกี่นิกายกันแน่ มีนิกายมากมายที่เจ้าอาจจะไม่รู้จัก หรือไม่เคยรู้ชื่อของนิกายเหล่านั้น—ในที่นี้ปัญหาคืออะไร?  ปัญหาคือผู้คนมีความซับซ้อนมากเกินไป และไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะมองเห็นถึงสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติของตนเอง  ทุกวันนี้ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมายเพื่อเปิดโปงธรรมชาติของมนุษย์ และพระองค์ประสงค์ให้ผู้คนมองเห็นถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในธรรมชาติของตน และมองเห็นแก่นแท้ของตนอย่างชัดเจน  นี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเขาสามารถเรียนรู้ที่จะแยกแยะผู้อื่นและหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นชักพาพวกเขาให้หลงผิด หรือบูชา  เลื่อมใส หรือติดตามคนเหล่านั้น  หากคนคนหนึ่งขาดความเข้าใจในความจริง เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นว่าจริงๆ แล้วผู้คนเป็นอย่างไร และย่อมจะมีแนวโน้มว่าจะถูกผู้คนชักพาให้หลงผิด และตีกรอบพวกเขา  เพราะฉะนั้นผู้เชื่อในพระเจ้าจึงต้องเข้าใจความจริง พวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น และมารู้จักธรรมชาติของมนุษย์ และมองเห็นถึงแก่นแท้ของมนุษย์ผ่านการเปิดโปงของพระเจ้า  การเปิดโปงของพระเจ้าเผยให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ และสอนผู้คนให้รู้ว่าแก่นแท้ของตนเป็นอย่างไร และทำให้พวกเขามองเห็นถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน  เรื่องนี้สำคัญมาก  ซาตานคือสิ่งเลอะเลือน และคำพูดเยี่ยงมารที่ซาตานพูดนั้นยากที่จะตีความ  พระเจ้าตรัสถามซาตานว่า “เจ้ามาจากไหน?”  ซาตานตอบว่า “จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น” (โยบ 1:7)  จงไตร่ตรองคำตอบของมัน  มันกำลังมาหรือกำลังไป?  ยากที่จะเข้าใจความหมายของมัน นั่นคือเหตุผลที่เรากล่าวว่าคำพูดเหล่านี้เลอะเลือน  จากคำพูดเหล่านี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าซาตานนั้นเลอะเลือน  เมื่อผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม พวกเขาย่อมกลายเป็นเลอะเลือนไปด้วย  พวกเขาไม่มีความรู้จักประมาณ ไม่มีมาตรฐาน และไม่มีหลักธรรมในสิ่งที่ทำ  ดังนั้น ผู้ใดก็สามารถหลงทางได้โดยง่าย  ซาตานล่อใจเอวาด้วยการบอกว่า “ทำไมเจ้าไม่กินผลไม้จากต้นไม้ต้นนั้นเล่า?”  ซึ่งเอวาก็ตอบว่า “พระเจ้าตรัสกับพวกเราว่าพวกเราจะตายหากพวกเรากินผลไม้จากต้นไม้ต้นนั้น”  แล้วซาตานก็พูดว่า “เจ้าไม่จำเป็นจะต้องตายหรอกหากเจ้ากินผลไม้จากต้นไม้ต้นนั้น”  ภายในคำพูดเหล่านั้นมีเจตนาที่จะทดลองเอวา  แทนที่จะพูดด้วยความมั่นใจว่าเอวาจะไม่ตายหากกินผลไม้จากต้นไม้ต้นนั้น มันบอกเพียงว่าเอวาไม่จำเป็นจะต้องตาย จึงนำพาให้เอวาคิดว่า “หากฉันไม่จำเป็นต้องตาย เช่นนั้นฉันก็สามารถกินได้สิ!”  เอวากินผลไม้เพราะไม่อาจต้านทานการทดลองนั้นได้  ซาตานจึงสัมฤทธิ์เป้าหมายของมันในการล่อลวงเอวาให้ทำบาปในหนทางนี้  มันไม่รับผิดชอบในเรื่องนี้เพราะมันไม่ได้บังคับให้เอวากิน  ในตัวของคนทุกคนมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ในหัวใจของพวกเขาแต่ละคนมีพิษมากมายที่ซาตานใช้ทดลองพระเจ้าและล่อลวงมนุษย์  บางครั้งคำพูดของพวกเขากอปรด้วยเสียงและน้ำเสียงของซาตาน มีเจตนาทดลองและล่อลวง  แนวคิดกับความคิดของมนุษย์เต็มไปด้วยพิษของซาตานและส่งกลิ่นเหม็นออกมา  บางครั้งการกระทำและรูปลักษณ์ของมนุษย์ก็มีกลิ่นเหม็นของการทดลองและการล่อลวงเช่นเดียวกัน  บางคนกล่าวว่า “ถ้าเพียงฉันทำตามนี้ รับรองได้ว่าฉันก็จะได้รับบางสิ่งบางอย่าง  ฉันสามารถติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง แม้ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงก็ตาม  ฉันตัดขาดสิ่งต่างๆ และสละตนเองเพื่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ  ฉันมีเรี่ยวแรงที่จะอดทนจนถึงปลายทาง  ถึงแม้ฉันได้กระทำผิดไปบ้างแล้ว แต่พระเจ้าจะทรงมีพระกรุณาต่อฉันและจะไม่ละทิ้งฉัน”  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนกำลังพูดอะไรออกมา  ภายในตัวผู้คนมีสิ่งที่เสื่อมทรามมากมายเหลือเกิน—หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?  ตามระดับความเสื่อมทรามของพวกเขา หากพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองผู้คน พวกเขาอาจจะล้มลงและทรยศต่อพระเจ้าได้ทุกเมื่อ  เจ้าเชื่อเรื่องนี้หรือไม่?  ต่อให้เจ้าบังคับตัวเอง เจ้าก็ไม่สามารถอดทนจนถึงปลายทางได้ เพราะขั้นตอนสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้านี้ก็คือการสร้างกลุ่มผู้ชนะ  การทำเช่นนี้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ หรือ?  การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายนี้ไม่ได้กำหนดว่าคนคนหนึ่งจะต้องเปลี่ยนไปเต็มร้อย หรือกระทั่งร้อยละ 80 แต่อย่างน้อยก็ต้องร้อยละ 30 หรือร้อยละ 40  โดยอย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ต้องขุดรากถอนโคน ชำระให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ภายในตัวเจ้าที่ต้านทานพระเจ้า ซึ่งฝังรากลึกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเจ้า  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสัมฤทธิ์ความรอด  ต่อเมื่อเจ้าเปลี่ยนแปลงไปแล้วร้อยละ 30 ถึงร้อยละ 40 ตามที่พระเจ้าทรงกำหนด หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็ร้อยละ 60 ถึงร้อยละ 70 นั่นจึงจะแสดงให้เห็นว่าเจ้าได้บรรลุความจริงแล้ว และเจ้าเข้ากันได้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง  เจ้าจะไม่มีแนวโน้มที่จะต้านทานพระเจ้าหรือล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์เมื่อบังเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นกับเจ้าในครั้งต่อไป  เพียงในหนทางนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะได้รับการทำให้เพียบพร้อมและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า

บางคนมองเรื่องของการเชื่อในพระเจ้าอย่างเรียบง่ายมาก  พวกเขาคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าหมายถึงการเข้าร่วมชุมนุม อธิษฐาน ฟังคำเทศนา สามัคคีธรรม ขับร้องและสรรเสริญพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่บางอย่าง  นั่นคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่หรือ?”  ในเวลานี้ ไม่ว่าพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้ามานานกี่ปีแล้วก็ตาม พวกเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจนัยสำคัญของความเชื่อในพระเจ้าอย่างครบถ้วน  แท้จริงแล้ว ความหมายของความเชื่อในพระเจ้านั้นลึกซึ้งยิ่งนัก หากประสบการณ์ของผู้คนตื้นเขินจนเกินไป พวกเขาย่อมจะไม่สามารถทำความเข้าใจในเรื่องนี้ได้  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์จนถึงปลายทาง อุปนิสัยของซาตานและพิษซาตานภายในตัวพวกเขาจะต้องถูกชำระให้บริสุทธิ์และได้รับการเปลี่ยนแปลง  ผู้คนต้องเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริง ทำได้ตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่ผู้คน และสามารถนบนอบพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าได้อย่างแท้จริง  เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงบรรลุความรอดได้อย่างแท้จริง  หากเจ้ายังเป็นเหมือนที่เจ้าเคยเป็นเมื่อครั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา เพียงท่องจำคำพูดและคำสอนบางส่วน เปล่งเสียงร้องคำขวัญบางคำ ปฏิบัติตนและมีพฤติกรรมที่ดีงามบางอย่าง รวมทั้งเว้นจากสิ่งที่เป็นบาปบางประการ—อย่างน้อยก็สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน—สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าได้เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าแล้ว  การทำตามข้อบังคับหมายถึงเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องหรือ?  นั่นหมายความว่าเจ้าตัดสินใจเลือกอย่างถูกต้องแล้วเช่นนั้นหรือ?  ถ้าสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในธรรมชาติของเจ้าไม่เปลี่ยนไป เช่นนั้นเจ้าก็ยังสามารถต้านทานพระเจ้าและล่วงเกินพระองค์ได้ในท้ายที่สุด  นี่คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด  หากเจ้าไม่แก้ปัญหาที่อยู่ในการเชื่อในพระเจ้าของตน เจ้าจะสามารถพูดได้หรือว่าได้รับความรอดอย่างแท้จริงแล้ว?  จริงๆ แล้วเราหมายถึงอะไร?  เราต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจในหัวใจของพวกเจ้าว่าความเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระวจนะของพระองค์ได้ และไม่สามารถแยกจากพระเจ้าพระองค์เอง หรือแยกจากความจริง  เจ้าต้องเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและทุ่มเทความพยายามให้กับความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  เจ้าไม่อาจบรรลุความเข้าใจเพียงคร่าวๆ หรือแค่บางส่วนเท่านั้นได้  การหลอกตัวเองรังแต่จะทำร้ายเจ้า  ไม่มีประโยชน์ที่จะมีความเชื่อตามความคิดฝันของเจ้า  หากเจ้าเชื่อจนถึงปลายทาง และพระเจ้าไม่อยู่ในหัวใจของเจ้า หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์เพียงผ่านๆ ไปอย่างรวดเร็ว และไม่สามารถจดจำพระวจนะได้เลยหลังจากนั้น และหากในหัวใจของเจ้าไม่มีที่สำหรับพระเจ้า  เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นแล้ว  “ความเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระวจนะของพระองค์ได้” หมายความว่าอย่างไร?  พวกเจ้าเข้าใจถ้อยแถลงนี้หรือไม่?  ถ้อยแถลงนี้แย้งกับถ้อยแถลงที่ว่า “ความเชื่อในพระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระเจ้าพระองค์เอง” หรือไม่?  เจ้าจะมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจได้อย่างไรหากในหัวใจของเจ้าไม่มีพระวจนะของพระเจ้า?  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่หัวใจของเจ้าปราศจากพระองค์ พระวจนะ และการทรงนำของพระองค์แล้ว เจ้าย่อมจบสิ้นโดยสมบูรณ์  หากเจ้าไม่สามารถรับมือแม้แต่เรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งตามข้อกำหนดของพระเจ้า เช่นนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องของหลักธรรมสำคัญ เจ้าก็จะยิ่งไม่สามารถทำตามข้อกำหนดของพระเจ้าได้เลย  จากนั้น เจ้าจะไม่มีคำพยานใดๆ ซึ่งนั่นคือปัญหา เพราะเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีอะไรเลย และเจ้ายังไม่ได้รับความจริงใดเลย

มีเรื่องพิเศษบางเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรมได้  พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ก็ต่อเมื่อวันหนึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเจ้า  สำหรับตอนนี้ เราสามารถแสดงเรื่องราวเหล่านั้นด้วยคำพูดที่อาจดูธรรมดามากเพียงไม่กี่คำ หรืออาจดูไร้เหตุผลสำหรับผู้คน ก็แค่นั้นเอง  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าชาวต่างชาติคิดอย่างไรกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในประเทศจีน?  เมื่อพวกเขาเห็นพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระคริสต์ในประเทศจีน ทนทุกข์อย่างยิ่งกับการข่มเหงและความทุกข์ยากลำบาก ชื่นชมยินดีกับพระวจนะของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ รวมถึงได้รับสิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขาอิจฉาพวกเจ้าเหลือเกิน!  ชาวต่างชาติมีความปรารถนาอย่างหนึ่ง—พวกเขาคิดในใจว่า “ฉันก็อยากมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าด้วย  ไม่ว่าฉันต้องทนทุกข์ใด ฉันก็ต้องการได้รับความจริงเหมือนกัน!  ฉันต้องการเติบโตทั้งในเรื่องความรู้และวุฒิภาวะเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม”  พวกเขารู้สึกว่าชาวจีนได้รับพรมากมายเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้น พวกเจ้าก็ยังคิดว่าพวกเขาต่างหากคือผู้ที่ได้รับพร และอิจฉาพวกเขา  พวกเจ้าไม่เห็นค่าความโชคดีของตน  พระเจ้าทรงทำให้คนกลุ่มนี้ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงครบบริบูรณ์ และทรงเปิดโอกาสให้พวกเขาสู้ทนกับความทุกข์นี้  อาจกล่าวได้ว่านี่คือการยกชูอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า!  ในอดีต พระเจ้าตรัสว่า “เราได้นำสง่าราศีของเราจากอิสราเอลมายังทิศตะวันออกนานมาแล้ว”  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจความหมายของพระดำรัสนี้หรือไม่?  พวกเจ้าควรเดินบนหนทางของตนอย่างไรในภายภาคหน้า?  พวกเจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  พวกเจ้าสามารถรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างไร?  หากพระวิญญาณบริสุทธิ์หยุดทรงพระราชกิจในตัวพวกเจ้า พวกเจ้าย่อมอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายที่สุด  ความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเจ้ากำลังได้รับประสบการณ์อยู่ในขณะนี้มีความหมายอย่างไร?  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นจะทำให้สิ่งใดสำเร็จลุล่วงในตัวพวกเจ้า?  เป็นไปได้หรือที่พวกเจ้าจะไล่ตามเสาะหาความจริงโดยไม่ต้องทนทุกข์?  พวกเจ้าสามารถได้รับความจริงในหนทางนี้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถให้คำพยานที่แท้จริงหรือไม่?  หากพวกเจ้าสามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเจ้าจะไม่รู้สึกว่าตนกำลังทนทุกข์  ต่อให้ความทุกข์ของเจ้าเพิ่มมากขึ้น แต่ก็จะดูเหมือนไม่มีความหมายเลย

ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1999

ก่อนหน้า: โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

ถัดไป: เจ้ารู้จักความรักของพระเจ้าเพื่อมวลมนุษย์หรือไม่?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger