เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)
ผู้คนมากมายเชื่อว่าความเข้าใจและความสามารถที่จะตีความพระคัมภีร์เป็นสิ่งเดียวกันกับการพบหนทางที่แท้จริง—แต่ในความเป็นจริงแล้ว อะไรๆ ก็ง่ายดายเช่นนั้นจริงๆ หรือ? ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์ ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ? การยกสิ่งต่างๆ ในอดีตมากล่าวถึงในวันนี้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นประวัติศาสตร์ และไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเที่ยงแท้หรือเป็นจริงเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นประวัติศาสตร์—และประวัติศาสตร์ไม่สามารถกล่าวถึงปัจจุบันได้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์! และดังนั้น หากเจ้าเพียงเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิบัติในวันนี้เลย และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจความหมายของการแสวงหาพระเจ้า หากเจ้าอ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพื่อค้นคว้าประวัติศาสตร์การทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่วันนี้ เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิต เนื่องจากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาไปตามตัวอักษรและคำสอนที่ตายไปแล้วหรือความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ และเจ้าต้องมองหาทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเจ้าเป็นนักโบราณคดี เจ้าจะสามารถอ่านพระคัมภีร์ได้—แต่เจ้าไม่ใช่ เจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า และเจ้าควรจะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าของวันนี้อย่างดีที่สุด อย่างมากที่สุดเจ้าจะเข้าใจประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเล็กน้อยจากการอ่านพระคัมภีร์ เจ้าจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของอับราฮัม ดาวิด และโมเสส เจ้าจะพบว่าท่านทั้งหลายนั้นเคารพพระยาห์เวห์อย่างไร พระยาห์เวห์ทรงเผาพวกผู้ต่อต้านพระองค์อย่างไร และพระองค์ตรัสต่อผู้คนในยุคนั้นอย่างไร เจ้าจะพบเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในอดีตเท่านั้น บันทึกของพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับว่าผู้คนอิสราเอลในยุคแรกๆ เคารพพระเจ้าอย่างไร และใช้ชีวิตภายใต้การทรงนำทางของพระยาห์เวห์อย่างไร เพราะคนอิสราเอลคือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ในพันธสัญญาเดิมเจ้าจึงสามารถมองเห็นความจงรักภักดีต่อพระยาห์เวห์ของผู้คนทั้งหมดในอิสราเอล ว่าบรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระยาห์เวห์ได้รับการใส่พระทัยและได้รับพระพรจากพระองค์อย่างไร เจ้าสามารถเรียนรู้ว่าเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจในอิสราเอล พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความปรานีและความรัก อีกทั้งทรงยังกอปรด้วยเพลิงที่เผาผลาญ และว่าคนอิสราเอลทั้งหมด ตั้งแต่คนต่ำต้อยไปจนถึงคนที่มีอำนาจ ต่างก็เคารพพระยาห์เวห์ และดังนั้นทั้งประเทศจึงได้รับพระพรจากพระเจ้า เช่นนั้นคือประวัติศาสตร์ของอิสราเอลที่บันทึกไว้ในพันธสัญญาเดิม
พระคัมภีร์คือบันทึกประวัติศาสตร์พระราชกิจของพระเจ้าในอิสราเอล และบันทึกการพยากรณ์มากมายของผู้เผยพระวจนะยุคโบราณ ตลอดจนถ้อยดำรัสบางส่วนของพระยาห์เวห์ในพระราชกิจของพระองค์ ณ ขณะนั้น ดังนั้นผู้คนจึงมองว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์ (เพราะพระเจ้าทรงศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่) แน่นอนว่าทั้งหมดนี้คือผลของความเคารพที่พวกเขามีให้กับพระยาห์เวห์ และการรักบูชาที่พวกเขามีให้กับพระเจ้า ผู้คนอ้างอิงหนังสือเล่มนี้ในลักษณะนี้เพียงเพราะการทรงสร้างของพระเจ้าช่างน่าเคารพและน่ารักบูชาสำหรับผู้ทรงสร้างของพวกเขาเท่านั้น และยังมีแม้กระทั่งผู้ที่เรียกหนังสือเล่มนี้ว่าหนังสือจากสวรรค์ อันที่จริงแล้ว พระคัมภีร์เป็นแค่บันทึกของมนุษย์ พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งพระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเป็นผู้นำการสร้างหนังสือเล่มนี้ด้วยพระองค์เอง กล่าวคือ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นมนุษย์ พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเพียงชื่อที่เต็มไปด้วยความนับถือที่มนุษย์เป็นผู้ตั้งขึ้นเท่านั้น พระยาห์เวห์และพระเยซูไม่ได้ตัดสินพระทัยเลือกชื่อนี้หลังจากที่พวกพระองค์ทรงหารือกัน ชื่อนี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแนวคิดของมนุษย์ เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนขึ้นโดยพระยาห์เวห์ นับประสาอะไรที่จะได้เขียนขึ้นโดยพระเยซู แต่เป็นการบรรยายที่ผู้เผยพระวจนะ อัครทูต และผู้มองเห็นในยุคโบราณมากมายให้ไว้ ซึ่งได้รับการรวบรวมเป็นหนังสือข้อเขียนโบราณโดยชนรุ่นหลัง ซึ่งสำหรับผู้คนแล้ว หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เป็นหนังสือที่พวกเขาเชื่อว่าบรรจุความล้ำลึกที่ยากหยั่งถึงและลุ่มลึกมากมายที่กำลังรอให้ชนยุคอนาคตไขออกมา ดังนั้น ผู้คนจึงมีแนวโน้มมากยิ่งไปอีกที่จะเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือจากสวรรค์ เมื่อรวมหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่มและหนังสือวิวรณ์เข้าไป ท่าทีที่ผู้คนมีต่อพระคัมภีร์ก็แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นเป็นอย่างยิ่ง และดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะชำแหละ “หนังสือจากสวรรค์” เล่มนี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ “ศักดิ์สิทธิ์” เกินไป
ทันทีที่ผู้คนอ่านพระคัมภีร์ เหตุใดพวกเขาจึงมีความสามารถที่จะพบเจอเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อปฏิบัติในเส้นทางนั้นได้? เหตุใดพวกเขาจึงมีความสามารถที่จะได้รับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้าใจไปมากมาย? วันนี้ เรากำลังชำแหละพระคัมภีร์ในลักษณะนี้ และนี่ไม่ได้หมายความว่าเราเกลียดชังพระคัมภีร์ หรือเราปฏิเสธคุณค่าเพื่อการอ้างอิงของพระคัมภีร์ เรากำลังอธิบายและชี้แจงคุณค่าโดยธรรมชาติและต้นกำเนิดของพระคัมภีร์กับเจ้า เพื่อหยุดไม่ให้เจ้าถูกคุมอยู่ในความมืดต่อไป เพราะผู้คนมีทรรศนะมากมายอย่างยิ่งเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และทรรศนะเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ถูกต้อง การอ่านพระคัมภีร์ในลักษณะนี้จึงไม่เพียงแต่ป้องกันไม่ให้พวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาควรได้รับเท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้น ยังขัดขวางงานที่เราตั้งใจจะทำด้วย มันแทรกแซงงานของอนาคตอย่างยิ่ง และให้แต่ข้อเสียเปรียบ ไม่มีข้อได้เปรียบเลย ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังสอนเจ้าจึงเป็นเนื้อแท้และเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของพระคัมภีร์เท่านั้น เราไม่ได้กำลังขอให้เจ้าอย่าอ่านพระคัมภีร์ หรือให้เจ้าเที่ยวไปประกาศว่าพระคัมภีร์ไร้ซึ่งคุณค่า แค่ให้เจ้ามีความรู้และทรรศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคัมภีร์เท่านั้น จงอย่าคิดข้างเดียวจนเกินไป! ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เขียนขึ้น แต่พระคัมภีร์ก็ยังบันทึกหลักธรรมมากมายในการรับใช้พระเจ้าของเหล่าวิสุทธิชนและผู้เผยพระวจนะในยุคโบราณ ตลอดจนประสบการณ์ของอัครทูตเมื่อไม่นานมานี้ในการรับใช้พระเจ้า—ผู้คนเหล่านี้ได้มองเห็นและรู้สิ่งทั้งหมดนี้จริงๆ และสิ่งเหล่านี้สามารถทำหน้าที่เป็นการอ้างอิงสำหรับผู้คนในยุคนี้ในการไล่ตามเสาะหาหนทางที่แท้จริง ดังนั้น ในการอ่านพระคัมภีร์ ผู้คนยังสามารถได้รับวิถีชีวิตมากมายที่ไม่สามารถพบได้ในหนังสือเล่มอื่น วิถีเหล่านี้คือวิถีชีวิตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ผู้เผยพระวจนะและอัครทูตในยุคอดีตหลายยุคได้รับประสบการณ์ และพระวจนะมากมายมีความล้ำค่าและสามารถให้สิ่งที่ผู้คนต้องการได้ ดังนั้น ผู้คนทั้งหมดจึงชอบอ่านพระคัมภีร์ เพราะมีมากมายเหลือเกินที่ซ่อนเร้นอยู่ในพระคัมภีร์ ทรรศนะของผู้คนต่อพระคัมภีร์จึงไม่เหมือนกับทรรศนะของพวกเขาต่อข้อเขียนของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ พระคัมภีร์คือบันทึกและการรวบรวมประสบการณ์และความรู้ของผู้คนที่ได้รับใช้พระยาห์เวห์และพระเยซูในยุคเก่าและยุคใหม่ ดังนั้น ชนยุคหลังจึงสามารถได้รับความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และเส้นทางให้ปฏิบัติมากมายจากพระคัมภีร์ เหตุผลว่าทำไมพระคัมภีร์จึงสูงส่งกว่าข้อเขียนของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่คนใดๆ นั้นเป็นเพราะว่าข้อเขียนทั้งหมดของพวกเขาล้วนดึงมาจากพระคัมภีร์ ประสบการณ์ของพวกเขาล้วนมาจากพระคัมภีร์ และพวกเขาล้วนอธิบายพระคัมภีร์ และดังนั้น แม้ว่าผู้คนจะสามารถได้รับการจัดเตรียมจากหนังสือของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่คนใดๆ แต่พวกเขาก็ยังคงนมัสการพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์ดูสูงส่งและลึกซึ้งอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา! ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะรวบรวมหนังสือพระวจนะแห่งชีวิตบางเล่มเข้าด้วยกัน เช่น จดหมายฝากของเปาโลและจดหมายฝากของเปโตร และถึงแม้ว่าผู้คนจะสามารถได้รับการจัดเตรียมและช่วยเหลือจากหนังสือเหล่านี้ แต่หนังสือเหล่านี้ยังคงล้าสมัย หนังสือเหล่านี้ยังคงเป็นของยุคเก่า และไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะดีเพียงใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้มีความเหมาะสมสำหรับช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ชั่วนิรันดร์ เพราะพระราชกิจของพระเจ้ากำลังพัฒนาอยู่เสมอ และไม่สามารถหยุดลงอย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาของเปาโลและเปโตร หรือยังคงอยู่ในยุคพระคุณที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนเสมอไปได้ ดังนั้นแล้ว หนังสือเหล่านี้จึงเหมาะสมสำหรับยุคพระคุณเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับยุคแห่งราชอาณาจักรในยุคสุดท้าย หนังสือเหล่านี้สามารถจัดเตรียมสำหรับบรรดาผู้เชื่อในยุคพระคุณ ไม่ใช่เหล่าวิสุทธิชนในยุคแห่งราชอาณาจักร และไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะดีเพียงใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้ก็ยังคงคร่ำครึพ้นสมัย เป็นอย่างเดียวกันกับพระราชกิจการทรงสร้างของพระยาห์เวห์หรือพระราชกิจของพระองค์ในอิสราเอล นั่นคือ ไม่สำคัญว่าพระราชกิจนี้จะเคยยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม พระราชกิจนี้ก็จะยังคงกลายเป็นล้าสมัย และเวลาที่พระราชกิจนั้นผ่านไปก็จะยังคงมาถึง พระราชกิจของพระเจ้าก็เป็นอย่างเดียวกัน นั่นคือ พระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่เวลาที่พระราชกิจนั้นสิ้นสุดลงจะมาถึง พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปท่ามกลางพระราชกิจการทรงสร้าง อีกทั้งไม่สามารถคงอยู่ตลอดไปท่ามกลางพระราชกิจการตรึงกางเขน ไม่สำคัญว่าพระราชกิจการตรึงกางเขนจะโน้มน้าวให้เชื่อมากเพียงใดก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระราชกิจนั้นจะมีประสิทธิผลในการทำให้ซาตานพ่ายแพ้เพียงใดก็ตาม จะว่าไปแล้ว พระราชกิจก็ยังคงเป็นพระราชกิจ และจะว่าไปแล้ว ยุคสมัยก็ยังคงเป็นยุคสมัย พระราชกิจไม่สามารถคงอยู่บนรากฐานเดียวกันได้ตลอดไป และเวลาก็ไม่สามารถไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีการทรงสร้าง และต้องมียุคสุดท้าย นี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้! ดังนั้น พระวจนะแห่งชีวิตในพันธสัญญาใหม่—จดหมายฝากของอัครทูตและหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม—วันนี้ได้กลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือเหล่านี้ได้กลายเป็นกาลานุกรมเก่า แล้วกาลานุกรมเก่าๆ จะสามารถพาผู้คนเข้าไปสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร? ไม่สำคัญว่ากาลานุกรมเหล่านี้จะมีความสามารถในการให้ชีวิตกับผู้คนได้เพียงใดก็ตาม ไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะสามารถนำทางผู้คนไปยังกางเขนได้เท่าใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้ไม่ได้ล้าสมัยหรือ? หนังสือเหล่านี้ไม่ได้สูญสิ้นคุณค่าหรือ? ดังนั้น เราจึงพูดว่าเจ้าไม่ควรเชื่อกาลานุกรมเหล่านี้อย่างมืดบอด หนังสือเหล่านี้เก่าเกินไป หนังสือเหล่านี้ไม่สามารถนำพาเจ้าเข้าไปในพระราชกิจใหม่ และหนังสือเหล่านี้สามารถเพียงเป็นภาระให้เจ้าได้เท่านั้น ไม่เพียงแต่หนังสือเหล่านี้จะไม่สามารถนำพาเจ้าเข้าไปในพระราชกิจใหม่และเข้าไปในการเข้าสู่ใหม่เท่านั้น แต่หนังสือเหล่านี้ยังพาเจ้าเข้าไปในคริสตจักรของศาสนาเก่า—และหากเป็นเช่นนั้น การเชื่อในพระเจ้าของเจ้าก็ย่อมจะเสื่อมถอยมิใช่หรือ?
สิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกคือพระราชกิจของพระเจ้าในอิสราเอล และรวมถึงงานบางส่วนที่ประชากรแห่งอิสราเอลผู้ได้รับการเลือกสรรได้กระทำ ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงว่ามีการเลือกสรรเนื้อหาที่จะรวมหรือละไว้อยู่บ้าง พระองค์ก็ไม่ได้ทรงว่ากล่าวใดๆ ถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้ทรงให้การรับรองก็ตาม พระคัมภีร์คือประวัติศาสตร์ของอิสราเอลเท่านั้น และยังเป็นประวัติศาสตร์ของพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ผู้คน เนื้อหา และสิ่งต่างๆ ที่พระคัมภีร์บันทึกเป็นจริงทั้งหมด และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์—แน่นอนว่านอกเหนือจากการเผยพระวจนะของอิสยาห์ ดาเนียล และผู้เผยพระวจนะท่านอื่นๆ หรือหนังสือนิมิตของยอห์น ผู้คนยุคแรกๆ ของอิสราเอลมีความรู้และมีวัฒนธรรม และความรู้และวัฒนธรรมโบราณของพวกเขาค่อนข้างก้าวหน้า และดังนั้น สิ่งที่ท่านทั้งหลายเขียนไว้จึงอยู่ในระดับที่สูงกว่าสิ่งที่ผู้คนในวันนี้เขียน ผลก็คือ การที่ท่านทั้งหลายสามารถเขียนหนังสือเหล่านี้ได้จึงไม่ควรเป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจมากมายท่ามกลางท่านทั้งหลาย และท่านทั้งหลายได้เห็นมากมาย ดาวิดได้มองเห็นกิจการของพระยาห์เวห์ด้วยตาของท่านเอง ท่านได้รับประสบการณ์กับกิจการของพระยาห์เวห์ด้วยตัวท่านเอง และได้มองเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมาย และดังนั้นท่านจึงได้เขียนหนังสือสดุดีเหล่านั้นทุกเล่มเพื่อสรรเสริญกิจการของพระยาห์เวห์ การที่ท่านทั้งหลายมีความสามารถที่จะเขียนหนังสือเหล่านี้ขึ้นมาได้นั้นเป็นเพราะรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ เฉพาะใดๆ ไม่ใช่เพราะท่านทั้งหลายมีความสามารถพิเศษอันยอดเยี่ยม ท่านทั้งหลายสรรเสริญพระยาห์เวห์เพราะท่านทั้งหลายเคยได้พบเห็นพระองค์ หากพวกเจ้าไม่เคยเห็นสิ่งใดของพระยาห์เวห์และไม่ตระหนักรู้ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ พวกเจ้าจะสามารถสรรเสริญพระองค์ได้อย่างไร? หากพวกเจ้าไม่เคยมองเห็นพระยาห์เวห์ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าจะสรรเสริญพระองค์อย่างไร หรือจะนมัสการพระองค์อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับการที่พวกเจ้าจะสามารถเขียนบทเพลงที่ถวายสาธุการพระองค์ได้ และถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้รับการขอให้คิดค้นกิจการบางอย่างของพระยาห์เวห์ พวกเจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ที่พวกเจ้าสามารถสรรเสริญพระเจ้าและรักพระเจ้าในวันนี้ได้นั้นเป็นเพราะพวกเจ้าเคยเห็นพระองค์เช่นเดียวกัน และได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์เช่นเดียวกัน—และหากขีดความสามารถของพวกเจ้าปรับปรุงดีขึ้น พวกเจ้าจะไม่มีความสามารถเขียนกลอนโวหารเพื่อสรรเสริญพระเจ้าอย่างดาวิดได้เช่นเดียวกันหรือ?
เพื่อให้เข้าใจพระคัมภีร์ เพื่อให้เข้าใจประวัติศาสตร์ แต่ไม่ใช่เพื่อให้เข้าใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงทำสิ่งใดในวันนี้—นั่นมันไม่ถูกต้อง! เจ้าได้ทำมาเป็นอย่างดีในด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก แต่เจ้าไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เกี่ยวกับพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติในวันนี้เลย นี่ไม่ใช่ความโง่เขลาหรือ? คนอื่นๆ ถามเจ้าว่า “พระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใดในวันนี้? เธอควรเข้าสู่สิ่งใดในวันนี้? การไล่ตามเสาะหาชีวิตของเธอเป็นอย่างไรบ้าง? เธอเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่?” เจ้าจะไม่มีคำตอบให้กับคำถามที่พวกเขาถาม—เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้สิ่งใด? เจ้าจะพูดว่า “ฉันตระหนักรู้เพียงว่าฉันต้องหันหลังให้กับเนื้อหนังและรู้จักตัวฉันเอง” แล้วหากพวกเขาถามหลังจากนั้นว่า “เธอตระหนักรู้ถึงสิ่งใดอีก?” เจ้าจะพูดว่าเจ้ายังรู้ว่าจะเชื่อฟังการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า และว่าเจ้าเข้าใจประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เล็กน้อย และนั่นคือทั้งหมด นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าได้รับจากการเชื่อในพระเจ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดนี้หรือ? หากนั่นคือทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ขาดพร่องมากมายเหลือเกิน ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้ว วุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งที่เราพึงประสงค์จากพวกเจ้าได้ และความจริงที่พวกเจ้าเข้าใจนั้นก็มีไม่พอเพียงจนเกินไป ตลอดจนพลังในการจำแนกความแตกต่างของพวกเจ้า—กล่าวคือ การเชื่อของพวกเจ้านั้นผิวเผินจนเกินไป! เจ้าต้องมีความจริงที่มากขึ้นอยู่กับตัว เจ้าจำเป็นต้องมีความรู้มากขึ้น เจ้าต้องมองเห็นมากขึ้น และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถเผยแพร่ข่าวประเสริฐได้ เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรต้องสัมฤทธิ์ผล!