ก. ว่าด้วยการเปิดเผยว่าการมีความเชื่อในพระเจ้าคือสิ่งใด

331. แม้ว่าผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้า แต่น้อยคนนักที่เข้าใจว่าอะไรคือความหมายของความเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่เป็นเพราะแม้ว่าผู้คนจะคุ้นเคยกับคำว่า “พระเจ้า” และวลีทั้งหลาย อาทิ “พระราชกิจของพระเจ้า” แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักพระเจ้า และพวกเขายิ่งรู้จักพระราชกิจของพระองค์น้อยกว่า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนซึ่งไม่รู้จักพระเจ้าจะสับสนปนเปในการเชื่อของพวกเขาในพระองค์ ผู้คนไม่ถือการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องจริงจัง และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะการที่เชื่อในพระเจ้าเป็นความไม่คุ้นเคยเกินไป แปลกเกินไปสำหรับพวกเขา ในหนทางนี้พวกเขาจึงไปไม่ถึงข้อเรียกร้องทั้งหลายของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้าและพวกเขายิ่งไม่มีความสามารถที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้ “การเชื่อในพระเจ้า” หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้: บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนเรา ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้มารู้จักพระเจ้า มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า “ความเชื่อในพระเจ้า” กระนั้นผู้คนมักเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องเรียบง่ายและไร้สาระ ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ได้สูญเสียความหมายของความเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว และแม้ว่าพวกเขาอาจจะยังเชื่อต่อไปจนถึงวาระท้ายสุด แต่พวกเขาจะไม่มีวันได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า เพราะพวกเขาก้าวย่างไปบนเส้นทางที่ผิด ณ วันนี้ ยังมีพวกผู้ที่เชื่อในพระเจ้าตามความหมายของตัวอักษรที่เขียนไว้และหลักคำสอนที่กลวงเป็นโพรง พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาขาดแก่นแท้ของการเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาไม่สามารถได้รับการเห็นชอบของพระเจ้า พวกเขายังคงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อขอพระพรแห่งความปลอดภัยและพระคุณที่เพียงพอ พวกเราจงมาหยุดนิ่ง สงบใจและถามตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนโลกอย่างแท้จริง? เป็นไปได้ไหมที่การเชื่อในพระเจ้าไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้า? ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยที่ไม่รู้จักพระองค์หรือที่เชื่อในพระเจ้าแต่ยังคงต่อต้านพระองค์จะมีความสามารถที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง หรือ?

ตัดตอนมาจาก คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

332. อะไรหรือคือการเชื่อแท้จริงในพระเจ้าในวันนี้? มันคือการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นชีวิตความเป็นจริงของเจ้าและการรู้จักพระเจ้าจากพระวจนะของพระองค์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ในความรักที่แท้จริงสำหรับพระองค์ เพื่อให้ชัดเจน: การเชื่อในพระเจ้าเป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจเชื่อฟังพระเจ้า รักพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ซึ่งควรได้รับการปฏิบัติโดยสิ่งทรงสร้างอย่างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือจุดมุ่งหมายของการที่เชื่อในพระเจ้า เจ้าจะต้องสัมฤทธิ์ในความรู้หนึ่งเกี่ยวกับความน่ารักชื่นชมของพระเจ้า เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงคู่ควรเพียงใดต่อความเคารพ เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งความรอดในบรรดาสิ่งทรงสร้างของพระองค์และการทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม—เหล่านี้คือสาระจำเป็นอันประจักษ์แจ้งของการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นการสลับเปลี่ยนจากชีวิตหนึ่งของเนื้อหนังไปสู่ชีวิตหนึ่งของการรักพระเจ้า จากการใช้ชีวิตภายในความเสื่อมทรามไปสู่การใช้ชีวิตภายในชีวิตของพระวจนะของพระเจ้า มันคือการออกมาจากภายใต้แดนครอบครองของซาตานและการใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า มันคือการที่สามารถจะสัมฤทธิ์ในความเชื่อฟังต่อพระเจ้าและความไม่เชื่อฟังต่อเนื้อหนัง มันคือการยอมให้พระเจ้าทรงได้รับหมดทั้งหัวใจของเจ้า ยอมให้พระเจ้าทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อที่ฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าอาจได้รับการสำแดงในตัวเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และทำให้แผนของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง และสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ต่อหน้าซาตาน การเชื่อในพระเจ้าไม่ควรวนเวียนอยู่กับความอยากที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ อีกทั้งไม่ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเนื้อหนังส่วนตัวของเจ้า มันควรเป็นเรื่องเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาการรู้จักพระเจ้า และการสามารถเชื่อฟังพระเจ้า และ เช่นเดียวกับเปโตร การเชื่อฟังพระองค์จนกระทั่งคนเราถึงแก่ความตาย เหล่านี้คือจุดมุ่งหมายหลักของการที่เชื่อในพระเจ้า เรากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย การกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าช่วยให้เจ้ามีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เพียงภายหลังจากนั้นแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเชื่อฟังพระองค์ได้ ด้วยความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักพระองค์ได้ และนี่คือเป้าหมายที่มนุษย์ควรมีในการเชื่อของเขาในพระเจ้า ในการเชื่อของเจ้าในพระเจ้า หากเจ้ากำลังพยายามที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วทัศนคติของการเชื่อนี้ในพระเจ้าก็ย่อมผิด การเชื่อในพระเจ้าโดยหลักแล้วคือการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นชีวิตความเป็นจริง จุดมุ่งหมายของพระเจ้านั้นบรรลุได้ด้วยการนำพระวจนะของพระเจ้าจากพระโอษฐ์ของพระองค์ไปฝึกฝนปฏิบัติและยึดถือพระวจนะไว้ภายในตัวเจ้าเท่านั้น ในการที่เชื่อในพระเจ้า มนุษย์ควรเพียรพยายามให้ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เพื่อสามารถนบนอบต่อพระเจ้า และเพื่อความเชื่อฟังอันครบบริบูรณ์ต่อพระเจ้า หากเจ้าสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้โดยปราศจากคำพร่ำบ่น มีความใส่ใจต่อความพึงปรารถนาของพระเจ้า สัมฤทธิ์ในวุฒิภาวะของเปโตร และมีลักษณะแนวแบบเปโตรตามที่พระเจ้าได้ตรัสถึง เช่นนั้นแล้วนั่นย่อมจะเป็นเวลาที่เจ้าได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จในการเชื่อในพระเจ้าแล้ว และมันจะมีนัยสำคัญว่าเจ้าได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าแล้ว

ตัดตอนมาจาก “ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

333. เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจำต้องกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ การนี้เท่านั้นที่จะสามารถเรียกได้ว่าการเชื่อในพระเจ้า! หากเจ้ากล่าวว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้าด้วยปากของเจ้า และกระนั้นก็ยังไร้ความสามารถที่จะนำพระวจนะใดๆ ของพระองค์ไปปฏิบัติหรือสร้างความเป็นจริงใดๆ นี่ก็ไม่ได้เรียกว่าการเชื่อในพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันกลับเป็น “การแสวงหาขนมปังเพื่อตอบสนองความหิว” การพูดถึงแต่คำพยานที่ไม่สลักสำคัญ สิ่งไร้ประโยชน์ทั้งหลาย และเรื่องฉาบฉวยต่างๆ โดยที่ไม่ได้ครอบครองความเป็นจริงแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ประกอบขึ้นเป็นการเชื่อในพระเจ้า และเจ้าก็แค่ยังไม่จับความเข้าใจการเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกวิธีเลย เหตุใดเจ้าจึงต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะหรือ? หากเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระองค์แต่กลับแสวงหาที่จะขึ้นสู่สวรรค์เท่านั้น นั่นใช่การเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? อะไรคือขั้นตอนแรกที่ผู้เชื่อในพระเจ้าควรดำเนินการ? พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยเส้นทางใด? เจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยปราศจากการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่? เจ้าสามารถได้รับการพิจารณาว่าเป็นบุคคลของราชอาณาจักรโดยปราศจากพระวจนะของพระเจ้าที่จะใช้เป็นความเป็นจริงของเจ้าได้หรือไม่? การเชื่อในพระเจ้า แท้จริงแล้วหมายถึงอะไรกันแน่? อย่างน้อยที่สุด ผู้เชื่อในพระเจ้าควรมีความประพฤติดีภายนอก ที่สำคัญที่สุดก็คือมีการครอบครองพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีทางหันหนีจากพระวจนะของพระองค์ได้ การรู้จักพระเจ้าและการทำเจตนารมณ์ของพระองค์ให้ลุล่วง ล้วนแล้วแต่สัมฤทธิ์ได้โดยผ่านพระวจนะของพระองค์ ในอนาคตนั้น ทุกๆ ชนชาติ นิกาย ศาสนา และภาคส่วนจะถูกพิชิตผ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจะตรัสโดยตรง และผู้คนทั้งหมดจะกุมพระวจนะของพระเจ้าไว้ในมือของตน และด้วยวิถีทางนี้ มนุษยชาติจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม พระวจนะของพระเจ้าแผ่ซ่านแทรกซึมไปทั่วทั้งภายในและภายนอก มนุษยชาติจะกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยปากของพวกเขา ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า และเก็บรักษาพระวจนะของพระเจ้าไว้ภายใน ยังคงอาบแช่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้าทั้งภายในและภายนอก ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์จึงจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม พวกที่ทำเจตนารมณ์ของพระเจ้าให้ลุล่วงและสามารถเป็นพยานต่อพระองค์ได้ เหล่านี้คือผู้คนที่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริงของตน

ตัดตอนมาจาก “ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

334. วันนี้ เพื่อเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงชีวิตจริง เจ้าต้องย่างเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้อง หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าไม่ควรแสวงหาเพียงพรเท่านั้น แต่ควรพยายามรักพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า เจ้าสามารถดื่มและกินพระวจนะของพระเจ้า พัฒนาความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และมีความรักที่แท้จริงในพระเจ้า ซึ่งมาจากภายในสุดของหัวใจของเจ้าโดยผ่านทางความรู้แจ้งของพระองค์ โดยผ่านทางการแสวงหาแต่ละอย่างของเจ้าเอง กล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือ เมื่อความรักเพื่อพระเจ้าของเจ้าเป็นจริงแท้ที่สุด และไม่มีผู้ใดสามารถทำลายหรือขัดขวางความรักที่เจ้ามีให้กับพระองค์ได้ ในเวลานี้เองเจ้าจะอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อของเจ้าในพระเจ้า นี่พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นของพระเจ้า เพราะหัวใจของเจ้าอยู่ในการทรงครองของพระเจ้าอยู่แล้ว และไม่มีสิ่งอื่นใดสามารถครอบครองเจ้าได้ โดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า โดยผ่านทางราคาที่เจ้าได้ยอมจ่าย และโดยผ่านทางพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าสามารถพัฒนาความรักที่ไม่ต้องบังคับเพื่อพระเจ้าได้—และเมื่อเจ้าทำเช่นนั้น เจ้าจะกลายเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตาน และจะมาใช้ชีวิตในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า มีเพียงเมื่อเจ้าได้พ้นเป็นอิสระจากอิทธิพลแห่งความมืดแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถพูดได้ว่าเจ้าได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้า ในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าต้องพยายามแสวงหาเป้าหมายนี้ นี่คือหน้าที่ของพวกเจ้าแต่ละคน ไม่มีพวกเจ้าคนใดที่ควรพึงพอใจกับสถานะของเรื่องราวเหตุการณ์ในปัจจุบัน เจ้าไม่สามารถสองจิตสองใจต่อพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งเจ้าไม่สามารถมองพระราชกิจของพระเจ้าว่าไม่สำคัญ เจ้าควรนึกถึงพระเจ้าในทุกประการและตลอดเวลา และทำทุกสิ่งเพื่อประโยชน์ของพระองค์ และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าพูดหรือกระทำ เจ้าควรให้ความสนใจกับพระนิเวศของพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถได้ดังพระหทัยของพระเจ้าได้

ตัดตอนมาจาก “เจ้าควรมีชีวิตเพื่อความจริงเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

335. เจ้าอาจคิดว่าการที่เชื่อในพระเจ้านั้นเกี่ยวกับความทุกข์ หรือการทำสิ่งทั้งหลายในทุกลักษณะเพื่อพระองค์ เจ้าอาจคิดว่าจุดประสงค์ของการที่เชื่อในพระเจ้าคือเพื่อที่เนื้อหนังของเจ้าอาจอยู่ในสันติสุข หรือเพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเจ้าดำเนินไปอย่างราบรื่น หรือเพื่อที่เจ้าอาจรู้สึกชูใจและสบายใจในทุกสรรพสิ่ง อย่างไรก็ตาม จุดประสงค์เหล่านี้ไม่มีจุดประสงค์ใดเลยที่ผู้คนควรแนบไปกับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หากเจ้าเชื่อเพราะจุดประสงค์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็ไม่ถูกต้อง และมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม การกระทำของพระเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระปรีชาญาณของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ และความน่าอัศจรรย์กับความมิอาจหยั่งลึกได้ของพระองค์ ทั้งหมดเป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนควรจะเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจนี้ เจ้าควรใช้มันเพื่อปลดปล่อยหัวใจของเจ้าให้เป็นอิสระจากข้อเรียกร้อง ความหวัง และมโนคติที่หลงผิดส่วนตัวทั้งหมด โดยการกำจัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปเท่านั้น เจ้าจึงสามารถประจวบพ้องกับสภาพเงื่อนไขที่พระเจ้าทรงเรียกร้องได้ และโดยการทำสิ่งนี้เท่านั้นนั่นเอง เจ้าจึงสามารถมีชีวิตและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ จุดประสงค์ของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยและใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ เพื่อที่การกระทำและพระสิริของพระองค์อาจได้รับการสำแดงโดยผ่านทางผู้คนที่ไม่ควรค่ากลุ่มนี้ นี่คือมุมมองที่ถูกต้องสำหรับการที่เชื่อในพระเจ้า และนี่ก็เป็นเป้าหมายที่เจ้าควรแสวงหาอีกด้วย เจ้าควรมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการที่เชื่อในพระเจ้าและเจ้าควรพยายามให้ได้มาซึ่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจำเป็นต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเจ้าต้องมีความสามารถที่จะดำเนินชีวิตตามความจริงได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมองเห็นกิจการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์ กิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาล ตลอดจนพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พระองค์ทรงทำในเนื้อหนังได้ ผู้คนสามารถซาบซึ้งได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์กับพวกเขาอย่างไรกันแน่และสิ่งใดกันแน่คือน้ำพระทัยของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาโดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพวกเขา จุดประสงค์ของการนี้ทั้งหมดคือการกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของผู้คนทิ้งไป เมื่อได้ขับความไม่สะอาดและความไม่ชอบธรรมในตัวเจ้าออกไปแล้ว และเมื่อได้ปลดเปลื้องเจตนาที่ผิดทั้งหลายของเจ้าแล้ว และเมื่อได้พัฒนาความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าขึ้นมาแล้ว—ด้วยความเชื่อที่แท้จริงเท่านั้น เจ้าจึงสามารถรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าสามารถเพียงแค่รักพระเจ้าอย่างจริงแท้ได้บนรากฐานของการเชื่อของเจ้าในพระองค์ เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความรักต่อพระเจ้าโดยปราศจากการที่เชื่อในพระองค์ได้หรือ? ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าย่อมไม่สามารถสับสนปนเปเกี่ยวกับมันได้ ผู้คนบางคนกลายเป็นเต็มไปด้วยเรี่ยวแรงทันทีที่พวกเขามองเห็นว่าความเชื่อในพระเจ้าจะนำพาพระพรมาให้พวกเขา แต่แล้วก็สูญเสียพลังงานทั้งหมดไปทันทีที่พวกเขามองเห็นว่าพวกเขาต้องทนทุกข์กับกระบวนการถลุง นั่นคือการที่เชื่อในพระเจ้าหรือ? ในท้ายที่สุด เจ้าต้องสัมฤทธิ์การเชื่อฟังอย่างที่สุดและครบบริบูรณ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในความเชื่อของเจ้า เจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ก็ยังคงมีข้อเรียกร้องต่อพระองค์ มีมโนคติที่หลงผิดทางศาสนามากมายที่เจ้าไม่สามารถวางลงได้ มีผลประโยชน์ส่วนตัวที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้ และเจ้ายังคงแสวงหาพระพรแห่งเนื้อหนังและต้องการให้พระเจ้าช่วยกู้เนื้อหนังของเจ้า เพื่อช่วยดวงจิตของเจ้าให้รอด—เหล่านี้คือพฤติกรรมทั้งหมดของผู้คนที่มีมุมมองที่ผิด แม้ว่าผู้คนซึ่งมีการเชื่อทางศาสนามีความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไม่พยายามเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาและไม่ไล่ตามเสาะหาความรู้เรื่องพระเจ้า แต่กลับแสวงหาเพียงแค่ผลประโยชน์ของเนื้อหนังของพวกเขาเสียมากกว่า หลายคนท่ามกลางพวกเจ้ามีความเชื่อซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่ของความเชื่อมั่นทางศาสนา นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า ผู้คนต้องครองหัวใจซึ่งถูกตระเตรียมที่จะทนทุกข์เพื่อพระองค์และมีเจตจำนงที่จะมอบตัวพวกเขาเองให้ทั้งหมด ความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้านั้นใช้ไม่ได้ และพวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้ เว้นเสียแต่ว่าผู้คนประจวบพ้องกับสองสภาพเงื่อนไขเหล่านี้ เฉพาะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาชีวิตอย่างแท้จริงเท่านั้นคือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง

ตัดตอนมาจาก “บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

336. หลังจากที่ผ่านมาหลายปีเหลือเกิน เราได้เห็นผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้า ความเชื่อของพวกเขาได้แปลงสภาพพระเจ้าไปเป็นอะไรในจิตใจของพวกเขา? ผู้คนบางคนเชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงอากาศว่างเปล่าก้อนหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่สามารถรู้สึกหรือสำนึกรับรู้การทรงอยู่ของพระองค์หรือการไม่ทรงอยู่ของพระองค์ และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจนหรือการเข้าใจในสิ่งนั้น ในจิตใต้สำนึก ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่ คนอื่นๆ เชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทำสิ่งทั้งหลายทั้งหมดที่พวกเขาไม่สามารถทำได้เช่นกัน และคิดว่าพระองค์ควรทรงคิดตามที่พวกเขาจะคิดไม่ว่าจะอย่างไร คำจำกัดความพระเจ้าของพวกเขาคือ “บุคคลที่ไม่ปรากฏแก่ตาและไม่สามารถแตะต้องได้” นอกจากนี้ยังมีผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงมีอารมณ์ พวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงเป็นรูปปั้นดินเหนียว และคิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา พระเจ้าไม่ทรงมีท่าที ทัศนคติ หรือแนวคิด พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ทรงอยู่ในอาณัติของมวลมนุษย์ ผู้คนเพียงแค่เชื่อตามที่พวกเขาต้องการที่จะเชื่อไม่ว่าจะอย่างไร หากพวกเขาทำให้พระองค์ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงยิ่งใหญ่ หากพวกเขาทำให้พระองค์เล็ก เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงเล็ก เมื่อผู้คนทำบาปและต้องการความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความรักของพระเจ้า พวกเขาก็ทึกทักว่าพระเจ้าควรทรงยื่นความกรุณาของพระองค์ให้ ผู้คนเหล่านี้ประดิษฐ์ “พระเจ้า” องค์หนึ่งในจิตใจของพวกเขาเอง แล้วก็ทำให้ “พระเจ้า” องค์นี้ทำให้ข้อเรียกร้องของพวกเขาลุล่วงและตอบสนองความอยากได้อยากมีทั้งหมดของพวกเขา ไม่สำคัญว่าเมื่อใดหรือที่ใด และไม่สำคัญว่าผู้คนเช่นนี้ทำอะไร พวกเขาจะนำสิ่งเพ้อฝันนี้มาใช้ในการปฏิบัติต่อพระเจ้าของพวกเขาและในความเชื่อของพวกเขา มีแม้กระทั่งพวกที่ได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าทรงระคายเคือง แต่ก็ยังคงเชื่อว่าพระองค์ทรงสามารถช่วยพวกเขาให้รอดได้ เพราะพวกเขาทึกทักว่าความรักของพระเจ้านั้นไร้เขตคั่นและพระอุปนิสัยของพระองค์นั้นชอบธรรม และทึกทักว่าไม่สำคัญว่าบุคคลผู้หนึ่งทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองมากเท่าใด พระองค์จะไม่ทรงจดจำเรื่องอันใดเหล่านี้เลย พวกเขาคิดว่าเนื่องจากข้อผิดพลาดของมนุษย์ การบุกรุกของมนุษย์ และการไม่เชื่อฟังของมนุษย์เป็นการแสดงออกชั่วขณะของอุปนิสัยของบุคคลผู้หนึ่ง พระเจ้าจึงจะทรงให้โอกาสแก่ผู้คน และทรงยอมผ่อนปรนและอดทนกับพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะยังคงทรงรักพวกเขาเหมือนเมื่อก่อน ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยังคงไว้ซึ่งความหวังสูงในการบรรลุความรอด อันที่จริง ไม่สำคัญว่าผู้คนจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้กำลังไล่ตามเสาะหาความจริง พระองค์ก็จะทรงมีท่าทีเชิงลบต่อพวกเขา นี่เป็นเพราะตลอดครรลองแห่งความเชื่อของเจ้าในพระเจ้านั้น แม้ว่าเจ้าได้รับหนังสือแห่งพระวจนะของพระเจ้าไว้และเห็นว่าเป็นขุมทรัพย์ และศึกษาและอ่านหนังสือนั้นทุกวัน แต่เจ้าก็วางพระเจ้าที่แท้จริงไว้ก่อน เจ้าคำนึงถึงพระองค์ว่าเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่า หรือเป็นเพียงบุคคลผู้หนึ่ง—และพวกเจ้าบางคนคำนึงถึงพระองค์ว่าไม่ได้ทรงเป็นอะไรมากไปกว่าหุ่นเชิดตัวหนึ่ง เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้เล่า? เราทำเช่นนั้นเพราะในหนทางที่เราเห็นสิ่งนั้น ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับปัญหาหรือเผชิญกับรูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง สิ่งเหล่านั้นที่ดำรงอยู่ในจิตใต้สำนึกของเจ้า สิ่งเหล่านั้นที่เจ้าก่อให้เกิดขึ้นภายใน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระวจนะของพระเจ้าหรือกับการไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าเพียงรู้ว่าตัวเจ้าเองกำลังคิดอะไร ทัศนคติของตัวเจ้าเองคืออะไรเท่านั้น แล้วเจ้าก็ยัดเยียดแนวคิดและข้อคิดเห็นของเจ้าเองให้กับพระเจ้า ในจิตใจของเจ้า สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นทัศนคติของพระเจ้า และเจ้าสร้างมาตรฐานที่เจ้าค้ำจุนไว้อย่างไม่สั่นคลอนจากทัศนคติเหล่านี้ เมื่อเวลาผ่านไป การดำเนินการเช่นนี้จะนำเจ้าออกห่างจากพระเจ้าไกลขึ้นและไกลขึ้น

ตัดตอนมาจาก “วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

337. เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า? ผู้คนส่วนใหญ่งงงันสับสนกับคำถามนี้ พวกเขามีมุมมองสองด้านที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตลอดเวลาเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงกับพระเจ้าในสวรรค์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เพื่อที่จะเชื่อฟังพระเจ้า แต่เพื่อที่จะรับประโยชน์เฉพาะบางอย่าง หรือเพื่อหลบหนีจากความทุกข์ที่ความวิบัตินำพามา มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะเชื่อฟังบ้าง ความเชื่อฟังของพวกเขามีเงื่อนไข ความเชื่อฟังของพวกเขาเป็นไปเพื่อความเป็นไปได้ส่วนบุคคลที่จะประสบความสำเร็จจาก “อาชีพ” แห่งการเชื่อในพระเจ้า และเพราะถูกบังคับ เช่นนั้นแล้ว เหตุใดกันแน่เจ้าจึงเชื่อในพระเจ้า? หากเหตุผลคือเพื่อความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จจาก “อาชีพ” แห่งการเชื่อในพระเจ้าและชะตากรรมของเจ้าแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ก็น่าจะเป็นการดีเสียกว่าหากเจ้าไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเลยโดยสิ้นเชิง ความเชื่อแบบนี้เป็นการหลอกลวงตัวเอง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองและเป็นการเลื่อมใสตัวเอง หากความเชื่อของเจ้าไม่ได้ก่อเกิดบนรากฐานของความเชื่อฟังในพระเจ้าแล้วไซร้ ในที่สุดเจ้าก็จะถูกลงโทษเพราะการต่อต้านพระองค์ ทุกคนที่ไม่แสวงหาความเชื่อฟังพระเจ้าในความเชื่อของตนนั้นก็เท่ากับต่อต้านพระองค์ พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนแสวงหาความจริง ขอให้พวกเขากระหายในพระวจนะของพระองค์ กินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และนำเอาพระวจนะไปฝึกฝนปฏิบัติ เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะเชื่อฟังพระเจ้าได้สำเร็จ หากสิ่งเหล่านี้เป็นเจตนาที่แท้จริงของเจ้าแล้วไซร้ ย่อมแน่นอนว่า พระเจ้าจะทรงอุ้มชูเจ้า และจะทรงเปี่ยมพระคุณต่อเจ้าอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่มีข้อกังขาและไม่มีทางเปลี่ยนแปลง หากเจตนาของเจ้าคือการไม่เชื่อฟังพระเจ้า และเจ้ามีจุดมุ่งหมายอื่น นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างที่เจ้าพูดและทำ—การอธิษฐานของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และแม้แต่ทุกการกระทำของเจ้า—ก็จะเป็นการต่อต้านพระเจ้า เจ้าอาจพูดจาอ่อนหวานและมีมารยาทดี การกระทำและการแสดงออกทุกอย่างของเจ้าอาจจะดูถูกต้องเหมาะสม และเจ้าอาจจะดูเหมือนคนที่เชื่อฟัง แต่เมื่อมาถึงเรื่องของเจตนาของเจ้าและทรรศนะเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าแล้ว ทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเป็นไปในการต่อต้านพระเจ้า ทุกอย่างที่เจ้าทำนั้นเป็นความชั่ว ผู้คนที่ปรากฏว่าเชื่อฟังราวกับลูกแกะ แต่กลับมีเจตนาชั่วเก็บงำอยู่ในหัวใจนั้น ก็คือพวกหมาป่าในคราบลูกแกะ พวกเขาทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองโดยตรง และพระเจ้าก็จะไม่ละเว้นพวกเขาแม้แต่คนเดียว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเปิดเผยพวกเขาทุกๆ คนออกมาและจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าบรรดาพวกหน้าซื่อใจคดนั้นจะถูกรังเกียจและปฏิเสธโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแน่นอน แต่จงอย่ากังวลไปเลย พระเจ้าจะพิจารณาจัดการและจำหน่ายกำจัดพวกเขาทั้งหมดทุกคนตามลำดับอันสมควร

ตัดตอนมาจาก “ด้วยความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

338. ในความเชื่อที่ผู้คนมีในพระเจ้า ความผิดอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขาคือพวกเขาเชื่อด้วยวาจาเท่านั้น และพระเจ้าไม่อยู่ในชีวิตทุกๆ วันของพวกเขาเลย ผู้คนทั้งหมดเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าจริงๆ แต่พระเจ้าไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตทุกๆ วันของพวกเขา ปากของผู้คนพูดคำอธิษฐานมากมายต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีพื้นที่น้อยนิดในหัวใจของพวกเขา และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงทดสอบพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นเพราะว่าผู้คนไม่บริสุทธิ์ พระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกอื่นนอกจากทดสอบพวกเขา เพื่อที่พวกเขาอาจรู้สึกละอาย และมารู้จักตัวเองท่ามกลางการทดสอบเหล่านี้ หากไม่เป็นเช่นนั้น มนุษยชาติจะกลายเป็นพงศ์พันธุ์ของทูตสวรรค์ และกลับกลายเป็นเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ ในกระบวนความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้า แต่ละคนปลดทิ้งเจตนาและวัตถุประสงค์ส่วนตัวของพวกเขามากมายภายใต้การชำระให้สะอาดอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้า หากไม่เป็นเช่นนั้น พระเจ้าคงจะไม่ทรงมีหนทางที่จะใช้บุคคลใด และคงจะไม่ทรงมีหนทางที่จะทรงพระราชกิจซึ่งพระองค์ควรที่จะทรงทำในผู้คน พระเจ้าทรงชำระล้างผู้คนให้สะอาดเป็นอันดับแรก และผู้คนอาจมารู้จักตัวเองโดยผ่านทางกระบวนการนี้ และพระเจ้าอาจเปลี่ยนแปลงพวกเขา ณ เวลานั้นเท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจในชีวิตของพระองค์ในพวกเขา และด้วยวิธีนี้เท่านั้นหัวใจของพวกเขาจึงจะหันมาหาพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ได้ ดังนั้นเราจึงกล่าวว่า การที่เชื่อในพระเจ้าไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับที่ผู้คนพูดกัน ตามที่พระเจ้าทอดพระเนตร หากเจ้ามีเพียงความรู้แต่ไม่มีพระวจนะของพระองค์เป็นชีวิต และหากเจ้าถูกจำกัดเพียงความรู้ของเจ้าเองเท่านั้น แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามความจริงหรือใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือข้อพิสูจน์ว่าเจ้ายังคงไม่มีหัวใจที่รักพระเจ้า และแสดงให้เห็นว่าหัวใจของเจ้าไม่ได้เป็นของพระเจ้า คนเราสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยการเชื่อในพระองค์ กล่าวคือ นี่คือเป้าหมายสุดท้าย และเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์ เจ้าต้องใช้ความพยายามในการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พระวจนะของพระองค์ผลิดอกออกผลในการปฏิบัติของเจ้าได้ หากเจ้ามีเพียงความรู้เกี่ยวกับคำสอน เช่นนั้นแล้วความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะสูญเปล่า เฉพาะเมื่อเจ้าปฏิบัติและใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์เท่านั้นความเชื่อของเจ้าจึงจะได้รับการพิจารณาว่าครบบริบูรณ์และสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “เจ้าควรมีชีวิตเพื่อความจริงเพราะเจ้าเชื่อในพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

339. เจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า และดังนั้นแล้วในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องรักพระเจ้า เจ้าต้องทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าต้องพยายามทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งพึงปรารถนา และเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า เจ้าควรถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่พระองค์ และไม่ควรตัดสินใจเลือกหรือทำการเรียกร้องเป็นการส่วนตัว และเจ้าควรสัมฤทธิการทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งพึงปรารถนา เนื่องจากเจ้าได้ถูกสร้างขึ้น เจ้าควรเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงสร้างเจ้า เพราะโดยธรรมชาติแล้วเจ้าไม่มีอำนาจครอบครองเหนือตัวเอง และไม่สามารถควบคุมชะตาลิขิตของเจ้าเอง เนื่องจากเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า เจ้าควรแสวงหาความบริสุทธิ์และการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเจ้าเป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า เจ้าควรยึดติดต่อหน้าที่ของเจ้า และรู้สถานะของเจ้า และเจ้าต้องไม่ล้ำเส้นหน้าที่ของเจ้า นี่ไม่ได้เป็นการจำกัดควบคุมเจ้า หรือเป็นการข่มปรามเจ้าโดยผ่านทางคำสอน แต่กลับเป็นเส้นทางที่เจ้าสามารถใช้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมันสามารถสัมฤทธิผลได้—และควรที่จะสัมฤทธิผล—โดยพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ทำความชอบธรรม

ตัดตอนมาจาก “ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

340. ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดของความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ก็คือว่า เขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์ และว่าเขาอุทิศตัวเขาเองอย่างสุดใจ และเชื่อฟังอย่างแท้จริง สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์คือการจัดเตรียมชีวิตของเขาทั้งชีวิตเพื่อแลกกับความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งเขาสามารถได้รับความจริงทั้งหมดทั้งมวลโดยผ่านทางการนั้น และลุล่วงหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยพวกที่ล้มเหลว และมันยิ่งไม่สามารถบรรลุได้มากขึ้นไปอีกโดยพวกที่ไม่สามารถค้นพบพระคริสต์ได้ เพราะมนุษย์ไม่เก่งในการอุทิศตัวเขาเองทั้งหมดทั้งสิ้นแด่พระเจ้า เพราะมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเขาต่อพระผู้สร้าง เพราะมนุษย์ได้เห็นความจริงแล้ว แต่กลับหลีกเลี่ยงสิ่งนั้นและเดินไปบนเส้นทางของเขาเอง เพราะมนุษย์แสวงหาอยู่เสมอโดยการเดินตามเส้นทางของพวกที่ได้ล้มเหลว เพราะมนุษย์เยาะเย้ยท้าทายฟ้าอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงล้มเหลวอยู่เสมอ หลงกลเล่ห์เหลี่ยมของซาตานอยู่เสมอ และติดบ่วงในร่างแหของเขาเอง เพราะมนุษย์ไม่รู้จักพระคริสต์ เพราะมนุษย์ไม่ชำนาญในการทำความเข้าใจและการได้รับประสบการณ์กับความจริง เพราะมนุษย์แสดงความเคารพบูชาเปาโลมากเกินไปและละโมบในเรื่องสวรรค์มากเกินไป เพราะมนุษย์เรียกร้องให้พระคริสต์เชื่อฟังเขาและคอยออกคำสั่งพระเจ้าอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้บรรดาบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้นและบรรดาผู้ที่ได้รับประสบการณ์กับความพลิกผันของโลกจึงยังคงต้องตาย และยังคงตายลงท่ามกลางการตีสอนของพระเจ้า ทั้งหมดที่เราสามารถกล่าวถึงผู้คนเช่นนั้นได้ก็คือว่า พวกเขาตายอย่างอนาถ และว่า ผลสืบเนื่องที่ตามมาสำหรับพวกเขา—ความตายของพวกเขา—หาใช่ปราศจากเหตุผลอันควรไม่ ความล้มเหลวของพวกเขาไม่ใช่เป็นเรื่องที่ยิ่งสุดจะทนได้มากขึ้นไปอีกต่อธรรมบัญญัติแห่งฟ้าหรอกหรือ? ความจริงนั้นมาจากโลกของมนุษย์ กระนั้นความจริงท่ามกลางมนุษย์ก็ถูกส่งต่อโดยพระคริสต์ นั่นมีจุดกำเนิดจากพระคริสต์ กล่าวคือ จากพระเจ้าพระองค์เอง และนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้ กระนั้นพระคริสต์ก็ทรงจัดเตรียมความจริงเท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงมาเพื่อตัดสินพระทัยว่ามนุษย์จะประสบความสำเร็จในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขาหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ที่ตามมาก็คือว่า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในความจริงทั้งหมดล้วนเป็นผลจากการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในความจริงของมนุษย์ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องอันใดกับพระคริสต์ แต่กลับกำหนดพิจารณาโดยการไล่ตามเสาะหาของเขา บั้นปลายของมนุษย์และความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเขาไม่สามารถกองสุมบนพระเศียรของพระเจ้าได้ เพื่อที่พระเจ้าพระองค์เองจะได้ทรงถูกทำให้แบกรับสิ่งนั้นไว้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องสำหรับพระเจ้าพระองค์เอง แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่ซึ่งสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าควรปฏิบัติ ผู้คนส่วนใหญ่มีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาและบั้นปลายของเปาโลและเปโตร กระนั้นผู้คนก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าบทอวสานของเปโตรและเปาโล และไม่รู้เท่าทันถึงความลับเบื้องหลังความสำเร็จของเปโตร หรือความขาดตกบกพร่องที่ได้นำไปสู่ความล้มเหลวของเปาโล และดังนั้น หากพวกเจ้าไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงสาระสำคัญของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้าส่วนใหญ่ก็จะยังคงล้มเหลว และต่อให้พวกเจ้าจำนวนเล็กน้อยจะประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะยังคงเทียบไม่ได้กับเปโตร หากเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาของเจ้าเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จ หากเส้นทางที่เจ้าย่ำเท้าในการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเส้นทางที่ผิด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จเลยตลอดกาล และจะพบกับปลายทางเดียวกับเปาโล

ตัดตอนมาจาก “ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

341. หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเชื่อฟังพระเจ้า นำความจริงไปปฏิบัติ และทำหน้าที่ของเจ้าทั้งหมดให้ลุล่วง นอกจากนี้ เจ้าต้องเข้าใจสิ่งทั้งหลายที่เจ้าควรผ่านประสบการณ์ด้วย หากเจ้าเพียงแค่ผ่านประสบการณ์การถูกจัดการ การถูกบ่มวินัย และการถูกพิพากษา หากเจ้าเพียงแค่มีความสามารถที่จะชื่นชมพระเจ้าแต่ยังคงไร้ความสามารถที่จะรู้สึกได้เมื่อพระเจ้ากำลังทรงบ่มวินัยเจ้าหรือกำลังทรงจัดการกับเจ้า—การนี้ไม่สามารถยอมรับได้ บางทีในกรณีนี้ของกระบวนการถลุง เจ้าอาจมีความสามารถที่จะยืนหยัดไม่ถอยได้ แต่นี่ยังคงไม่เพียงพอ เจ้ายังคงต้องตบเท้าเดินหน้าต่อไป บทเรียนเรื่องการรักพระเจ้าไม่มีวันหยุดและไม่มีจุดจบ ผู้คนเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นบางสิ่งที่เรียบง่ายอย่างสุดขั้ว แต่ทันทีที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง เมื่อนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่า การเชื่อในพระเจ้าไม่เรียบง่ายเช่นที่ผู้คนจินตนาการ เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อถลุงมนุษย์ มนุษย์ย่อมทนทุกข์ กระบวนการถลุงของบุคคลหนึ่งมากขึ้นเท่าใด ความรักพระเจ้าของพวกเขาก็จะมากขึ้นเท่านั้น และมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าก็จะถูกเปิดเผยในพวกเขามากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกัน ยิ่งบุคคลหนึ่งได้รับกระบวนการถลุงน้อยลงเท่าใด ความรักพระเจ้าของพวกเขาก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น และมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าก็จะถูกเปิดเผยในพวกเขาน้อยลงเท่านั้น ยิ่งกระบวนการถลุงและความเจ็บปวดของบุคคลเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด และพวกเขาผ่านประสบการณ์กับการทรมานมากขึ้นเท่าใด ความรักพระเจ้าของพวกเขาก็จะลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาก็จะกลายเป็นจริงแท้มากขึ้นเท่านั้น และความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขาก็จะลุ่มลึกมากขึ้นเท่านั้น ในประสบการณ์ของเจ้า เจ้าจะมองเห็นผู้คนที่ทนทุกข์อย่างมากในขณะที่พวกเขาถูกถลุง ผู้ซึ่งถูกจัดการและถูกบ่มวินัยอย่างมาก และเจ้าจะมองเห็นว่าเป็นผู้คนเหล่านั้นนั่นเองที่มีความรักอันลึกซึ้งต่อพระเจ้าและความรู้เรื่องพระเจ้าที่ลุ่มลึกและเฉียบแหลมกว่า พวกผู้ที่ไม่ได้ผ่านประสบการณ์การถูกจัดการย่อมมีเพียงแค่ความรู้ผิวเผิน และพวกเขาเพียงแค่สามารถพูดได้ว่า “พระเจ้าทรงดีงามเหลือเกิน พระองค์ประทานพระคุณแก่ผู้คนเพื่อที่พวกเขาจะสามารถชื่นชมพระองค์ได้” หากผู้คนได้ผ่านประสบการณ์กับการถูกจัดการและถูกบ่มวินัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมีความสามารถที่จะพูดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระเจ้าที่แท้จริงได้ ดังนั้นยิ่งพระราชกิจของพระเจ้าในมนุษย์น่าอัศจรรย์มากขึ้นเท่าใด มันก็ยิ่งมีคุณค่าและนัยสำคัญมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมันไม่สามารถเจาะแทรกเข้าไปได้สำหรับเจ้ามากขึ้นเท่าใดและยิ่งมันไม่สามารถเข้ากันได้กับมโนคติที่หลงผิดของเจ้ามากขึ้นเท่าใด พระราชกิจของพระเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะพิชิตเจ้า ได้รับเจ้าและทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้มากขึ้นเท่านั้น นัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก! หากพระเจ้าไม่ถลุงมนุษย์ในหนทางนี้ หากพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจโดยสอดคล้องกับวิธีการนี้ เช่นนั้นแล้วพระราชกิจของพระองค์ก็จะไม่ได้ผลและปราศจากนัยสำคัญ ในอดีตเคยมีการกล่าวไว้ว่าพระเจ้าจะทรงคัดสรรและรับกลุ่มนี้ และทำให้พวกเขาครบบริบูรณ์ในยุคสุดท้าย ในการนี้มีนัยสำคัญที่พิเศษเหนือธรรมดา ยิ่งพระราชกิจที่พระองค์ทรงดำเนินการภายในพวกเจ้าจนเสร็จสิ้นนั้นยิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าใด ความรักพระเจ้าของพวกเจ้าก็ยิ่งลึกซึ้งและบริสุทธิ์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งพระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่มากขึ้นเท่าใด มนุษย์ก็ยิ่งสามารถจับความเข้าใจบางสิ่งในพระปรีชาญาณของพระองค์ได้มากขึ้นเท่านั้นและความรู้เรื่องพระองค์ของมนุษย์ก็จะยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น

ตัดตอนมาจาก “บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

342. การเชื่อในพระเจ้าพึงต้องมีการเชื่อฟังพระองค์และมีประสบการณ์แห่งพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมาย—อาจกล่าวได้ว่า สำหรับผู้คนแล้ว ทั้งหมดนั้นคือความเพียบพร้อม คือกระบวนการถลุง และยิ่งไปกว่านั้นคือการตีสอน ไม่มีแม้สักขั้นตอนเดียวของพระราชกิจของพระเจ้าที่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ สิ่งที่ผู้คนได้ชื่นชมคือพระวจนะที่เข้มงวดของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมา ผู้คนควรชื่นชมพระบารมีของพระองค์และพระพิโรธของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพระวจนะของพระองค์จะเข้มงวดเพียงใด พระองค์ก็เสด็จมาเพื่อช่วยให้รอดและทำให้มวลมนุษย์เพียบพร้อม ในฐานะที่เป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง ผู้คนควรทำหน้าที่ที่พวกเขาควรที่จะทำให้ลุล่วง และยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าท่ามกลางกระบวนการถลุง ในทุกการทดสอบ พวกเขาควรค้ำชูพยานที่พวกเขาควรเป็น และทำเช่นนั้นอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อพระเจ้า บุคคลที่ทำการนี้คือผู้มีชัย ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงถลุงเจ้าอย่างไร เจ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจและไม่เคยสูญเสียความมั่นใจในพระองค์ เจ้าทำสิ่งที่มนุษย์ควรทำ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ และหัวใจของมนุษย์ควรจะสามารถกลับคืนสู่พระองค์ได้อย่างเต็มที่ และหันเข้าหาพระองค์ในทุกขณะที่ผ่านไป นี่คือผู้มีชัย บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงอ้างถึงว่าเป็น “ผู้มีชัย” คือบรรดาผู้ที่ยังคงสามารถยืนหยัดเป็นพยาน และคงไว้ซึ่งความมั่นใจและการอุทิศตนของพวกเขาต่อพระเจ้าเมื่ออยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานและในขณะที่ถูกล้อมโดยซาตาน นั่นคือ เมื่อพวกเขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางกำลังบังคับแห่งความมืด หากเจ้ายังคงสามารถรักษาหัวใจให้บริสุทธิ์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และคงไว้ซึ่งความรักที่จริงแท้ของเจ้าต่อพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังยืนหยัดเป็นพยานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าอ้างอิงว่าเป็นดัง “ผู้มีชัย” หากการไล่ตามเสาะหาของเจ้านั้นเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมเมื่อพระเจ้าประทานพระพรแก่เจ้า แต่เจ้าล่าถอยเมื่อปราศจากพระพรของพระองค์ นี่คือความบริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? ในเมื่อเจ้าแน่ใจว่าหนทางนี้แท้จริง เจ้าต้องติดตามไปจนกว่าจะถึงปลายทาง เจ้าต้องคงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าต่อพระเจ้า ในเมื่อเจ้าได้เห็นว่าพระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อทำให้เจ้าเพียบพร้อม เจ้าก็ควรมอบหัวใจของเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้นแด่พระองค์ หากเจ้ายังคงสามารถติดตามพระองค์ได้ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด แม้ว่าพระองค์ทรงกำหนดพิจารณาบทอวสานที่ไม่น่าพอใจสำหรับเจ้าในท้ายที่สุด นี่ก็เป็นการคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การถวายร่างกายฝ่ายจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์และพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระเจ้าหมายถึงการรักษาหัวใจที่จริงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า สำหรับมวลมนุษย์ ความจริงใจคือความบริสุทธิ์ และความสามารถที่จะจริงใจต่อพระเจ้าคือการรักษาความบริสุทธิ์ นี่คือสิ่งที่เจ้าควรนำไปปฏิบัติ เมื่อเจ้าควรที่จะอธิษฐาน เจ้าจงอธิษฐาน เมื่อเจ้าควรที่จะชุมนุมกันในการสามัคคีธรรม เจ้าจงทำเช่นนั้น เมื่อเจ้าควรที่จะร้องเพลงสรรเสริญ เจ้าจงร้องเพลงสรรเสริญ และเมื่อเจ้าควรที่จะละทิ้งเนื้อหนัง เจ้าจงละทิ้งเนื้อหนัง เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็อย่าสักแต่จัดการมันไป เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าก็จงตั้งมั่น นี่คือการอุทิศตนต่อพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “เจ้าควรธำรงไว้ซึ่งการอุทิศตนของเจ้าแด่พระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

343. เมื่อโมเสสทุบก้อนหิน และน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานได้ผุดออกมา มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อดาวิดได้เล่นพิณตั้งเพื่อสรรเสริญเรา พระยาห์เวห์—ด้วยหัวใจที่ถูกเติมด้วยความชื่นบานยินดีของเขา—มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อโยบสูญเสียปศุสัตว์ของเขาซึ่งเติมภูเขาทั้งหลายและความมั่งคั่งมากมายเกินบรรยาย และร่างกายของเขาได้กลายเป็นถูกปกคลุมไปด้วยฝีที่เจ็บปวด มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อเขาสามารถได้ยินเสียงของเรา พระยาห์เวห์ และเห็นสง่าราศีของเรา พระยาห์เวห์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เปโตรสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ได้ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เขาสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเห็นแก่เราและมอบคำพยานอันรุ่งโรจน์ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขาเช่นกัน เมื่อยอห์นได้เห็นฉายาอันรุ่งโรจน์ของบุตรมนุษย์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อเขาได้เห็นนิมิตแห่งยุคสุดท้าย มันเป็นเพราะความเชื่อของเขามากขึ้นไปอีก สาเหตุที่ทำไมชนต่างชาติทั้งหลายดังที่เรียกขานกันนั้นได้รับวิวรณ์ของเรา และได้มารู้ว่าเราได้กลับมาในเนื้อหนังแล้วเพื่อทำงานของเราท่ามกลางมนุษย์ ก็เป็นเพราะความเชื่อของพวกเขาเช่นกัน ทุกคนที่ถูกทำร้ายโดยถ้อยคำเกรี้ยวกราดของเราและกระนั้นกลับได้รับการปลอบใจจากถ้อยคำเหล่านั้น และได้รับการช่วยให้รอด—พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะความเชื่อของพวกเขาหรอกหรือ? ผู้คนได้รับมากมายเพราะความเชื่อของพวกเขา และนั่นไม่ใช่พระพรเสมอไป พวกเขาอาจไม่ได้รับความสุขและความชื่นบานยินดีแบบที่ดาวิดรู้สึก หรือมีน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานให้เหมือนกับที่โมเสสได้รับ ตัวอย่างเช่น โยบได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์เพราะความเชื่อของเขา แต่เขายังทนทุกข์กับความวิบัติด้วยเช่นกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับพระพรหรือทนทุกข์กับความวิบัติ ทั้งสองต่างก็เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านการอวยพระพรทั้งนั้น หากปราศจากความเชื่อ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะรับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้ แล้วนับประสาอะไรกับการจะได้มองเห็นกิจการของพระยาห์เวห์ที่แสดงอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าในวันนี้ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น แล้วนับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะได้รับ แส้ตีสอนเหล่านี้ หายนะเหล่านี้ และการพิพากษาทั้งหมด—หากสิ่งเหล่านี้ไม่บังเกิดแก่เจ้า เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นกิจการของพระยาห์เวห์ในวันนี้ได้หรือ? ในวันนี้ สิ่งที่ทำให้เจ้าสามารถถูกพิชิตได้คือความเชื่อ และสิ่งที่ทำให้เจ้าสามารถเชื่อในทุกกิจการของพระยาห์เวห์ได้คือการถูกพิชิต เจ้าได้รับการตีสอนและการพิพากษาเช่นนั้นได้เพราะความเชื่อเท่านั้น เจ้าถูกพิชิตและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษานี้ หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาแบบที่เจ้ากำลังได้รับในวันนี้ ความเชื่อของเจ้าจะสูญเปล่า เพราะเจ้าจะไม่รู้จักพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เชื่อในพระองค์มากเพียงใดก็ตาม ความเชื่อของเจ้าจะยังคงเป็นเพียงแค่การแสดงออกอย่างว่างเปล่าที่ไม่มีพื้นฐานอยู่ในความเป็นจริง ความเชื่อของเจ้าจะกลายเป็นจริงและเชื่อถือได้ และหัวใจของเจ้าจะหันหาพระเจ้าหลังจากที่เจ้าได้รับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นพระราชกิจที่ทำให้เจ้าเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์ ถึงแม้เจ้าจะทนทุกข์กับการพิพากษาและการสาปแช่งเป็นอันมากเพราะคำว่า “ความเชื่อ” นี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงและเจ้าได้รับสิ่งที่แท้จริงที่สุด เป็นจริงที่สุด และล้ำค่าที่สุด นี่เป็นเพราะว่าเจ้ามองเห็นบั้นปลายสุดท้ายของสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าในระหว่างที่การพิพากษาดำเนินไปเท่านั้น เจ้ามองเห็นว่าพระผู้สร้างควรต้องได้รับความรักในการพิพากษานี้ เจ้ามองเห็นพระพาหาของพระเจ้าในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเช่นนั้น เจ้ามาเข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างครบถ้วนในการพิชิตชัยนี้ เจ้าได้รับเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์และมาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ “มนุษย์” ในการพิชิตชัยนี้ เจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และโฉมพระพักตร์อันงดงามและเปี่ยมด้วยพระสิริในการพิชิตชัยนี้เท่านั้น เจ้าเรียนรู้จุดกำเนิดของมนุษย์และเข้าใจ “ประวัติศาสตร์ที่เป็นอมตะ” ของมวลมนุษย์ทั้งปวงในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้เท่านั้น เจ้ามาจับใจความบรรพบุรุษของมวลมนุษย์และต้นกำเนิดของความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้ในการพิชิตชัยนี้ เจ้าได้รับความชื่นบานยินดีและความสบาย ตลอดจนการตีสอนอันไม่รู้จบ การคุมวินัย และคำพูดตำหนิจากพระผู้สร้างต่อมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างในการพิชิตชัยนี้ เจ้าได้รับพระพร ตลอดจนหายนะที่มนุษย์สมควรได้รับในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้…ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพราะความเชื่ออันเล็กน้อยของเจ้าหรือ? แล้วความเชื่อของเจ้าไม่เพิ่มขึ้นหลังจากที่เจ้าได้รับสิ่งเหล่านี้หรือ? เจ้าไม่ได้ได้รับมาแล้วมากมายหรือ?

ตัดตอนมาจาก “ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ก่อนหน้า: 10. พระวจนะว่าด้วยวิธีที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงในความเชื่อในพระเจ้าของคนเรา

ถัดไป: ข. ว่าด้วยวิธีที่จะปฏิบัติตามความจริง เข้าใจความจริง และการเข้าสู่ความเป็นจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger