47. คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นจะได้รับความรอดของพระเจ้าหรือไม่

โดย ห่าวเจิ้ง ประเทศจีน

ผมมาจากหมู่บ้านบนดอยที่ล้าหลังและยากจน ซึ่งมีขนบธรรมเนียมแบบศักดินาและสัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่ซับซ้อน  ผมได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมแบบนั้น รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่พ่อแม่มักจะพูด อย่างเช่น “คิดก่อนพูดแล้วพูดอย่างสงวนท่าที” “ความเงียบคือทองคำ คำพูดคือเงิน พูดมากย่อมผิดมาก” “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน” “ในเมื่อพูดตรงไม่เป็นที่ชอบใจ ก็จงกล่าวคำพูดเอออวยเอาใจไปกับความรู้สึกและเหตุผลของผู้อื่นเสียเถิด”  ปรัชญาเหล่านี้กลายมาเป็นคำพูดที่แสดงปัญญาในชีวิตสำหรับผม  แม้แต่กับพี่น้องของผม ผมก็มักเฝ้าสังเกตพวกเขาอย่างระมัดระวัง พยายามพูดสิ่งดีๆ ที่เป็นคำชม เพื่อทำให้พวกเขามีความสุข  ถ้ามีคนทำผิดและพ่อแม่ของผมถามว่าใครทำ ผมก็มักจะตอบไปว่าไม่รู้ พี่น้องของผมจึงชอบผมอยู่ไม่น้อย  แม่ก็มักจะบอกว่าผมเป็นเด็กดีด้วยเช่นกัน  พอผมได้ออกไปสู่โลกกว้าง ไม่ว่าผมจะอยู่กับเพื่อน หรืออยู่กับคนแบบไหนก็ตาม ผมมักจะระวังตัวสุดๆ เพื่อปกป้องสัมพันธภาพของผมไว้  ผมไม่เคยทำสิ่งที่ล่วงเกินคนอื่น หรือทะเลาะกับใครเลย  ถ้ามีคนมาล่วงเกินผม ผมก็ยกโทษให้จริงๆ และจะไม่ชักใบให้เรือเสีย  ผมโดนโกงบ่อยครั้ง และผมก็รู้สึกอัดอั้นและโกรธแค้น แต่ผมก็จะยึดไว้ว่า “ความเงียบมีค่าดุจทองคำ พูดมากย่อมผิดมาก” และได้แต่เก็บความรู้สึกของตัวเองไว้  เป็นที่รู้กันในหมู่ครอบครัวและเพื่อนฝูงว่า ผมเป็นคนนิสัยดีน่ารัก  ทุกคนต่างก็ชมเชยและสรรเสริญที่ผมเป็นแบบนั้น แต่ผมรู้สึกกดดันและเจ็บปวดอยู่ในหัวใจเสมอแบบบอกไม่ถูก  ผมระวังตัวกับทุกคน เพื่อจะได้ไม่ล่วงเกินใคร และผมก็ไม่เคยกล้าเปิดใจกับใครเลยสักคน  ผมมักจะยอมตามน้ำและใส่หน้ากากเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง  นั่นเป็นหนทางในการใช้ชีวิตที่เจ็บปวด เหน็ดเหนื่อย และเป็นทุกข์  ผมเคยสงสัยอยู่เสมอว่า “เมื่อไหร่ความทุกข์ของฉันจะจบลงเสียที?  ฉันจะใช้ชีวิตที่ง่ายกว่านี้ได้อย่างไร?”  ตอนที่ผมหลงทางและเจ็บปวดนั้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์แห่งความรอดมาให้ผม

ใน ค.ศ. 1998 ผมโชคดีที่ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ผมได้เรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด โดยหลักแล้วก็เพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและเปิดโอกาสให้พวกเราใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์  โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ)  “ราชอาณาจักรของเราพึงประสงค์บรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ บรรดาผู้ที่ไม่หน้าซื่อใจคดหรือหลอกลวง  ผู้คนที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นที่นิยมในโลกไม่ใช่หรอกหรือ?  เรากลับตรงกันข้าม  การที่ผู้คนที่ซื่อสัตย์มาหาเราเป็นสิ่งที่ยอมรับได้  เราปีติยินดีในบุคคลประเภทนี้  และเราจำเป็นต้องมีบุคคลประเภทนี้ด้วยเช่นกัน สิ่งนี้คือความชอบธรรมของเราอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 33)  พระเจ้าทรงบอกให้พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ เรียบง่ายตรงไปตรงมา และเปิดเผย บอกว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์  ตอนที่ผมอ่านพระวจนะนี้ ผมก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่านั่นคือหนทางในการใช้ชีวิตที่ง่ายกว่าและมีความสุขมากกว่า และผมก็ใฝ่สูงที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  ในการมีปฏิสัมพันธ์และชุมนุมกับพี่น้องชายหญิง ผมสังเกตว่า พวกเขาต่างซื่อสัตย์และพูดได้อย่างอิสระ  พวกเขาเป็นคนจริงใจและถ่องแท้  เวลาพวกเขามีความคิดเห็นเกี่ยวกับใครบางคน หรือเห็นใครบางคนเผยความเสื่อมทรามออกมา พวกเขาก็สามารถชี้ให้เห็นชัดเพื่อช่วยคนเหล่านั้น รวมถึงสามารถเปิดใจและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับตัวพวกเขาเองได้  นี่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากสำหรับผม เพราะผมคิดเสมอว่า ความคิดเห็นของคนเราเกี่ยวกับผู้คนนั้น เป็นสิ่งที่เอามาพูดกันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง  คิดว่าการเป็นคนซื่อสัตย์จะทำให้ผมล่วงเกินคนอื่นและทำให้ตัวเองได้รับอันตราย  แต่พออยู่ที่นี่ ผมกลับไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นเลย  พวกพี่น้องชายหญิงไม่ได้ปลอมอย่างผู้คนในโลก และพวกเขาจะขอโทษเวลาที่ทำร้ายจิตใจผู้อื่น  พวกเขาคำนึงถึงคนอื่นเสมอ  ผมรู้ว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติและใช้ชีวิตตามนั้นได้ ก็เพราะพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งสิ้น นั่นยิ่งทำให้ผมมั่นใจขึ้นว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง และเป็นหนทางที่แท้จริง ว่าพระวจนะสามารถชำระผู้คนให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงพวกเขา และผมก็ต้องการเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ  แต่ปรัชญาในการใช้ชีวิตของซาตานได้ฝังอยู่ในตัวผมมานาน จนกลายมาเป็นกฎเกณฑ์เพื่อความอยู่รอดของตัวผมเอง  ในปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงนั้น ผมยังคงพึ่งพาปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนั้นโดยไม่รู้ตัว  ผมกลัวที่จะเปิดใจและพูดออกมาจากหัวใจ กลัวว่าจะล่วงเกินใครหรือทำให้ภาพพจน์ของตัวเองเสียหาย  ผมคอยระมัดระวังที่จะปกป้องสัมพันธภาพกับผู้คน และผมก็รู้สึกว่า การเป็นคนซื่อสัตย์นั้นทำได้ยากจริงๆ  ดังนั้น เพื่อที่จะชำระตัวผมให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงผม พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องอย่างรอบคอบ เพื่อเผยความเสื่อมทรามและสิ่งที่ขาดตกบกพร่องของผม ทรงนำทางผมไปสู่ความเป็นจริงของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์

ต่อมา ผมได้เริ่มทำงานเป็นผู้นำทีมร่วมกับพี่ลี่  พวกเราเข้ากันได้ดีมาก และเขาก็ช่วยเหลือแบ่งเบาผมในหลายเรื่อง แต่ในหน้าที่ของพวกเรา ผมพบว่าเขาเป็นคนโอหัง เอาแต่ใจ และไม่ทำตามหลักธรรม  ทุกครั้งที่ผมอยากจะพูดอะไรบางอย่าง พอผมกำลังจะอ้าปากพูด สุดท้ายก็ทำได้แค่กลืนคำพูดนั้นลงไป  ผมคิดว่า “ถ้าฉันวิจารณ์เขาไป เขาก็จะบอกว่าฉันไม่มีมโนธรรม บอกว่าเขาใจดีกับฉันมาตลอด ส่วนฉันก็เอาแต่ชี้ให้เห็นปัญหาของเขาเสมอ ถ้าเขาเกิดอคติกับฉันขึ้นมา จนเราทำหน้าที่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไปล่ะ?”  ผมไม่เคยยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกับเขา เพื่อจะได้ปกป้องสัมพันธภาพของเราเอาไว้  ต่อมา พี่ลี่ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่องานของคริสตจักรเพราะเขาโอหัง และละเลยหน้าที่ของตัวเอง จนเขาถูกเปลี่ยนตัว  ถึงขนาดนี้แล้ว ผมก็ยังไม่ทบทวนตัวเอง  แต่แล้ววันหนึ่ง ตอนผมไปทำธุระบางอย่างที่บ้านของพี่ลี่ ภรรยาของเขาก็พูดกับผมว่า “คุณมีส่วนที่ทำให้สามีของฉันถูกเปลี่ยนตัว ถ้าคุณสามารถเตือนเขาและช่วยเหลือเขาได้ เขาก็อาจจะไม่ทำตัวเอาแต่ใจและสะเพร่าในหน้าที่ของตัวเอง และไม่ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักก็ได้  ทำไมคุณถึงค้ำจุนงานของคริสตจักรไม่ได้?  คุณเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น คุณไม่ปฏิบัติความจริง!”  การได้ยินเธอพูดแบบนี้ สำหรับผมมันทำร้ายจิตใจมาก และผมก็รู้สึกละอายใจยิ่งกว่าอะไร  หลังออกมาจากที่นั่น ผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความเจ็บปวด โดยพูดว่า “โอ้พระเจ้า พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้พี่สาวคนนี้จัดการและติติงข้าพระองค์ในวันนี้ แต่ข้าพระองค์ก็ไม่ได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง  ได้โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”  ผมค่อยๆ สงบลงหลังจากอธิษฐาน และเริ่มคิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผมทำงานกับพี่ลี่ ผมได้เห็นว่าตัวเองใช้ชีวิตด้วยปรัชญาเยี่ยงซาตานมาตลอด  ผมเห็นชัดเจนว่า เขากำลังสวนทางกับหลักธรรม แต่ผมกลับไม่ห้ามหรือช่วยเหลือเขา  ผมกลัวว่าจะล่วงเกินเขา และทำให้สัมพันธภาพในการทำงานของเราเสียหาย  ผมต้องรับผิดชอบที่ไม่สามารถพาพี่ลี่หนีออกจากจุดนั้นได้  ผมรู้สึกผิดและเสียใจมากขึ้นทุกที

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ต้องมีมาตรฐานสำหรับการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี  มันไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เส้นทางสายกลางในทุกสรรพสิ่ง การไม่ติดอยู่กับหลักการทั้งหลาย การอุตสาหะพยายามที่จะไม่ทำให้ใครก็ตามขุ่นเคือง การประจบประแจงในทุกหนแห่งที่เจ้าไป การลื่นไหลและแนบเนียนไปกับทุกคนที่เจ้าพบ และการทำให้ทุกคนรู้สึกดี  นี่ไม่ใช่มาตรฐาน  ดังนั้นสิ่งใดคือมาตรฐานเล่า?  มันรวมไปถึงการปฏิบัติต่อพระเจ้า ต่อผู้คนอื่นๆ และต่อเหตุการณ์ทั้งหลายด้วยหัวใจที่แท้จริง การที่สามารถแสดงความรับผิดชอบ และการทำทั้งหมดนี้ในหนทางซึ่งเป็นหลักฐานชัดให้ทุกคนได้เห็นและรู้สึก  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงตรวจค้นหัวใจของผู้คนและทรงรู้จักหัวใจเหล่านั้นทุกๆ ดวง  ผู้คนบางคนมักจะอวดตัวอยู่เสมอว่าพวกเขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี โดยอ้างว่าไม่เคยได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดี ไม่เคยได้ลักขโมยสิ่งครอบครองของผู้อื่น และไม่เคยได้ละโมบสิ่งของของผู้อื่น  พวกเขาไปไกลถึงขั้นเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์บนความเดือดร้อนของพวกเขาเองด้วยซ้ำเมื่อมีการโต้เถียงเกี่ยวกับผลประโยชน์ โดยเลือกที่จะทุกข์ทนกับการสูญเสีย และพวกเขาไม่พูดสิ่งใดที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้ใดเพียงเพื่อให้ผู้อื่นทุกคนคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีเลย  อย่างไรก็ตาม ขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายและลื่นไหล โดยสร้างอุบายเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ  พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดอย่างที่พระเจ้าทรงดำริเลย และพวกเขาไม่สามารถวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองไว้ก่อนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย  พวกเขาไม่ละทิ้งผลประโยชน์ของพวกเขาเองเลย  แม้ขณะที่พวกเขาเห็นพวกคนทำชั่วกำลังกระทำความชั่ว พวกเขาก็ไม่เปิดโปงพวกคนทำชั่ว พวกเขาไม่มีหลักธรรมอันใดเลย  นี่ไม่ใช่ตัวอย่างของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี  จงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งที่บุคคลเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด เขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของเขาเป็นอย่างไรเมื่อเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขา ตลอดจนสภาวะภายในของเขาเป็นอย่างไรและเขารักสิ่งใด  หากความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินการเฝ้าเดี่ยวของเขาที่มีต่อพระเจ้า หากความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าผลประโยชน์ของพระเจ้า หรือหากว่าความรักของเขาที่มีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของเขาเองมากเกินกว่าการคำนึงถึงที่เขาแสดงต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่ใช่บุคคลที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์  พฤติกรรมของเขาสามารถมองเห็นได้โดยผู้อื่นและโดยพระเจ้า เพราะฉะนั้น จึงลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับบุคคลเช่นนั้นที่จะได้รับความจริง(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ผมเห็นว่า การเป็นคนดีไม่ใช่การทำตัวให้นิสัยดีน่ารัก  มันไม่ใช่การเข้ากันได้ หรือได้รับความเห็นชอบจากผู้อื่น  มันคือการหันหัวใจของคุณไปหาพระเจ้า การมีความจงรักภักดี การปฏิบัติความจริงเพื่อค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า การทำตามหลักธรรมแห่งความจริง รวมถึงการช่วยเหลือและสนับสนุนทางจิตวิญญาณแก่ผู้คนในชีวิตของพวกเขาต่างหาก แต่ถึงแม้ว่าผมได้เห็นพี่ลี่เอาแต่ใจและสวนทางกับความจริงอยู่หลายครั้ง รวมถึงเป็นคนที่โอหังมาก และไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ดีต่อทั้งเขาและงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ผมก็ยังทำตามปรัชญาเยี่ยงซาตานอย่าง “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน”  ผมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  ผมไม่ช่วยเหลือเขาหรือพูดเรื่องนี้ให้ผู้นำคริสตจักรฟัง  ผมเพียงแต่มองดูอยู่เฉยๆ ในตอนที่งานของคริสตจักรได้รับอันตราย  ผมไม่สามารถพลีอุทิศเกียรติยศของตัวเองเพื่อปฏิบัติความจริงและเป็นคนที่มีความรับผิดชอบได้  ผมเป็นคนที่เห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหลือเกิน!  ผมไม่ได้กำลังปล่อยให้เขาทำบาปหรอกหรือ?  ผมไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับซาตานหรอกหรือ?  ผมกลายเป็นคนที่น่าดูหมิ่นและสนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยความที่เกรงกลัวว่าจะล่วงเกินใครเข้า  ผมไม่มีสำนึกแห่งความชอบธรรม  ผมไม่ได้เป็นคนดีเลย  ในการไล่ตามเสาะหาที่จะเป็น “คนนิสัยดีน่ารัก” ของผมนั้น ผมได้กลายเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงอย่างที่พระเจ้าทรงดูหมิ่น  ในโลกภายนอกนั้น การเป็นแบบนั้นคงไม่เป็นไร แต่ในพระนิเวศของพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงขยะแขยง  ผมเลยตระหนักได้ว่า การไม่ปฏิบัติความจริง แต่มีนิสัยดีน่ารักเพื่อปกป้องสัมพันธภาพนั้น อันที่จริงแล้วเป็นอันตรายต่อผู้คน  นี่เป็นครั้งแรกเลย ที่ทรรศนะเรื่องการเป็นคนดีของผมถูกสั่นคลอน  ผมได้เห็นว่า ในสัมพันธภาพนั้น การทำตามปรัชญาเยี่ยงซาตานเป็นเรื่องที่ผิดโดยสิ้นเชิง และการถูกจัดการครั้งนี้ก็สร้างความประทับใจลึกซึ้งให้กับผมแบบไม่มีวันลืม  ผมรู้สึกเหมือนพี่ชายของผมได้กระทำการฝ่าฝืน แต่สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ที่ผมคือหนี้ชั่วนิรันดร์  โดยผ่านทางการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ผมจึงได้เข้าใจการไล่ตามเสาะหาที่ผิดทางตลอดหลายปีของตัวเอง และผมก็ไม่อยากใช้ชีวิตในหนทางนั้นอีกต่อไป  ผมเต็มใจจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรงตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  ผมพึงปรารถนาที่จะทำงานเพื่อเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ แต่เพราะความเสื่อมทรามและอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของผมนั้นฝังลึกมาก และผมก็ไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และไม่ได้เกลียดธรรมชาติรวมถึงแก่นแท้ของการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นของตัวเอง ผมจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง  ไม่นานเท่าใดนัก ผมก็กลับไปทำแบบเดิมอีก

พี่จางจากหมู่บ้านใกล้เคียง มีสามีเป็นนักเลงเจ้าถิ่นที่โฉดชั่ว ผู้ซึ่งยืนขวางความเชื่อของเธอ  เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นเธอออกไปชุมนุม เขาจะเริ่มหาเรื่องพี่น้องชายหญิงคนอื่น พวกเขาจึงไม่ได้อยู่อย่างสันติสุขเลย  มีครั้งหนึ่ง ตอนที่เธอออกไปชุมนุม สามีของเธอได้ไปขโมยไม้ที่พี่ชายคนหนี่งกำลังจะใช้สร้างบ้าน แล้วเอาไปเผาทิ้งทั้งหมด  ผู้นำคริสตจักรบอกเธอว่า “อย่ามาชุมนุมเลย—พวกเราต้องดูแลทุกคนให้ปลอดภัย ทำการเฝ้าเดี่ยวและอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเองอยู่ที่บ้านเถอะ”  แต่ผ่านไปได้สักพัก เธอก็อยากมาเข้าร่วมการชุมนุมมาก และอดไม่ได้ที่จะแวะมาหาพี่สาวหวังที่หมู่บ้านของของเรา  ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไร พี่สาวหวังก็เลยมาคุยกับผม  ผมรู้ดี ว่าผลประโยชน์ของคริสตจักรต้องมาก่อน รู้ว่าพี่สาวจางควรกลับบ้านไป  แต่แล้วผมก็คิดว่า “ฉันไม่ใช่ผู้นำคริสตจักร ถ้านี่เป็นการตัดสินใจที่ผิด คนอื่นจะว่าอย่างไร  อีกอย่าง ถ้าพี่สาวจางรู้ว่าฉันเป็นคนห้ามไม่ให้เธอมาชุมนุม เธอจะคิดอย่างไรกับฉัน?”  พอคิดแบบนี้ ผมเลยพูดเลี่ยงๆ แบบสุภาพว่า “เรื่องนี้คุณควรคุยกับผู้นำคริสตจักรจริงๆ นะครับ  ลองไปหาพวกผู้นำสักคนเถอะครับ”  แต่สุดท้ายเธอก็หาใครไม่เจอ เลยปล่อยให้พี่สาวจางอยู่ต่อ

เย็นวันต่อมา ขณะที่ผมกำลังทำการเฝ้าเดี่ยวและฟังบทเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าอยู่ที่บ้าน จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงใครบางคนทุบประตูอย่างรุนแรง  จังหวะที่ลูกชายของผมเปิดประตูไป ก็มีผู้ชายร่างใหญ่สามหรือสี่คนถือไม้หน้าสามบุกเข้ามา แล้วก็มีอีกสี่หรือห้าคนกระโดดลงมาจากหลังคา  พวกเขาตรึงผมลงบนเตียงแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง และทุบตีผมอย่างโหดเหี้ยม  ผมตกใจกลัวมาก  ผมอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าไม่หยุด  ในตอนที่ความเจ็บปวดมันเลวร้ายเหลือทนนั่นเอง โครงเตียงก็เกิดหัก แล้วผมก็ร่วงลงไปที่พื้น  อันธพาลพวกนั้นคิดว่าผมคงเจ็บหนัก และหนีไปด้วยความตระหนก  ผมคิดว่าหลังจากถูกตีขนาดนั้น ผมคงได้มีกระดูกหักบ้างแน่ แต่น่าแปลกใจที่มีแค่บาดแผลตามเนื้อตัว ไม่มีการบาดเจ็บถึงกระดูกเลย  ผมรู้ว่านั่นคือการทรงดูแลและการทรงอารักขาของพระเจ้า  วันต่อมา ผมก็พบคำตอบว่า สามีของพี่สาวจางรู้เรื่องที่เธอออกมาชุมนุม และคิดว่าผมเป็นคนจัด เขาเลยให้คนพวกนั้นมาทุบตีผม  ผมจึงได้ตระหนักว่า เรื่องนั้นเกิดขึ้นเพราะผมไม่ทำตามหลักธรรม  ถ้าผมทำและห้ามไม่ให้พี่สาวจางเข้าร่วมการชุมนุมนั่น เรื่องคงไม่เลยเถิดไปถึงขนาดนั้น  การถูกนักเลงพวกนั้นทุบตี ก็เป็นเพราะผมเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นทั้งสิ้น  ผมสนใจแค่ผลประโยชน์ของตัวเอง และเป็น “คนนิสัยดีน่ารัก” ที่จะไม่ยอมปฏิบัติความจริง  ผมเองที่หาเรื่องใส่ตัว

หลังจากนั้น ผมได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาและทบทวนว่า ทำไมผมถึงหยุดปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวและหยุดเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่นไม่ได้?  ทั้งที่รู้ความจริง ทำไมผมถึงนำมันมาปฏิบัติไม่ได้?  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้อ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าที่ว่า “ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่  คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ‘ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว  ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก  ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีอันประณีตของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า…ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย  ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน  ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน  พวกข้าราชการทั้งหมด พวกที่กุมอำนาจ และพวกที่สำเร็จลุล่วงนั้น มีเส้นทางและความลับในการที่จะประสบความสำเร็จของตัวพวกเขาเอง  ความลับทั้งหลายดังกล่าวไม่ใช่เป็นตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ?  พวกเขาได้ทำสิ่งใหญ่โตทั้งหลายเช่นนั้นในโลก และไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุกลอุบายและเล่ห์กลทั้งหลายที่วางอยู่เบื้องหลังพวกเขาได้  นี่ก็แค่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นคิดร้ายและเคลือบแฝงเพียงใด  มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก  น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า  นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)  เมื่อคิดเรื่องนี้กลับไปกลับมา ผมก็ได้พบรากเหง้าของปัญหา  ผมเป็นคนชอบเอาใจผู้อื่นเสมอโดยที่ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ เพราะผมเต็มไปด้วยปรัชญาและยาพิษของซาตานที่ว่า “ความเงียบคือทองคำ คำพูดคือเงิน พูดมากย่อมผิดมาก” “เมื่อเจ้ารู้ว่าบางสิ่งบางอย่างผิดไป จงพูดให้น้อยลงเสียจะดีกว่า” “ผู้คนที่มีไหวพริบนั้น เก่งในการปกป้องตัวเอง ด้วยการแค่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น” “คิดก่อนพูดแล้วพูดอย่างสงวนท่าที” “จงนิ่งเงียบต่อความผิดของเพื่อนสนิทเพื่อสร้างมิตรภาพอันดีงามและยาวนาน”  ผมเอาคำพวกนี้มาใช้ดำเนินชีวิตราวกับเป็นกฎเกณฑ์แห่งการประพฤติปฏิบัติ และผมก็ทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้เป็นคนนิสัยดีน่ารักตามคำพูดเหล่านี้  ในทุกปฏิสัมพันธ์ของผม เรื่องเดียวที่ผมนึกถึง คือการไม่ล่วงเกินคนอื่น คิดว่าจะทำอย่างไรให้คนนิยมยกย่องและสรรเสริญผม  ผมทำให้ปรัชญาทั้งหลายที่ปลิ้นปล้อนและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของซาตานสมบูรณ์แบบ และกลายมาเป็นสิ่งที่ผมเผยออกไปโดยธรรมชาติ  แม้ผมจะดูเหมือนคนดีคนหนึ่งในโลกนี้ และผู้คนต่างสรรเสริญว่าผมเป็นคนนิสัยดีน่ารัก แต่ผมยังห่างไกลจากการเป็นคนดีที่แท้จริงอยู่มาก  อะไรหรือคือสิ่งที่ผมพอจะได้จากการใช้ชีวิตตามยาพิษเหล่านี้ของซาตาน?  ผมเสียความไร้ความผิดที่เด็กคนหนึ่งควรมีเมื่อตอนที่ผมเป็นเด็ก และผมก็ใส่หน้ากากเข้าหาทุกคนเลย  ผมระมัดระวังมากและมักจะสังเกตคนอื่นเสมอเวลาที่พูดหรือทำอะไร  ผมระวังตัวกับทุกคน  ผมไม่เคยเปิดใจหรือพูดกับใครจากหัวใจเลยสักครั้ง  ผมเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงแม้แต่กับคนในครอบครัว  ผมทำอะไรสวนทางกับมโนธรรมบ่อยมาก รวมถึงขายศักดิ์ศรีและความสัตย์สุจริตของตัวเองทิ้งไป เพราะผมกลัวว่าจะล่วงเกินคนอื่นเข้า  ผมไม่เคยกล้าลุกขึ้นยืนเพื่อสิ่งที่ยุติธรรม และผมยอมอะลุ่มอล่วยในความสัตย์สุจริตของตัวเองแค่เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของผม  ผมฝืนยิ้มแม้ในยามที่ผมโกรธ  สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่กันผมออกจากการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่ผมยังเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกด้วย  การใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานพวกนี้ทำให้ผมได้รับการสรรเสริญจากคนอื่นในเวลานั้นก็จริง แต่มันเหมือนการถูกจองจำไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น  ผมไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้อย่างอิสระ  ผมไม่มีอิสรภาพใดๆ ทั้งสิ้น และผมก็รู้สึกเป็นทุกข์และเจ็บปวดมากจริงๆ  ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นแล้วว่า การที่ผมเคยเพียรพยายามเป็นคนชอบเอาใจผู้อื่นนั้น อันที่จริงแล้วไม่ใช่การเป็นคนดี แต่มันคือการเป็นคนเจ้าเล่ห์ใจดำที่ไม่แสวงหาความจริง  ผมทั้งต่อต้านและทรยศพระเจ้า  หากปราศจากการพิพากษาและการชำระให้สะอาดของพระเจ้า ผมคงไม่มีวันสามารถได้รับการช่วยให้รอด  แล้วผมก็ได้ตระหนักว่า พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้นักเลงพวกนั้นมาทุบตีผม พระองค์กำลังทรงเตือนผม เพื่อให้ผมมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตัวเอง ได้มารู้แก่นแท้และผลพวงของการเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้อื่น และกลับใจเสีย

โดยผ่านทางการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมก็ได้เห็นถึงธรรมชาติและแก่นแท้ของการเป็นแบบนั้น รวมทั้งอันตรายและผลพวงของมัน  ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง ได้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งปรัชญาของซาตาน และเป็นคนซื่อสัตย์ตามพระวจนะของพระเจ้า  มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมพบว่าพี่สาวหลินถูกย้ายไปยังอีกคริสตจักรหนึ่ง และได้รับเลือกให้เป็นมัคนายก  ผมรู้ว่าเธอเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากๆ และเธอทำหน้าที่อย่างหัวหมอเสมอในคริสตจักรก่อนหน้านี้ โดยพูดอย่างและทำอีกอย่าง  ผมรู้ว่า คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่ควรเป็นมัคนายกของคริสตจักร และผมควรค้ำจุนงานของคริสตจักร  ผมจึงตัดสินใจเขียนจดหมายถึงผู้นำคริสตจักรนั้นเพื่ออธิบายสถานการณ์ให้ฟัง  แต่ขณะที่กำลังหยิบปากกาขึ้นมา ผมก็ลังเลว่า “นี่เป็นเรื่องของคริสตจักรของพวกเขา ผู้นำของพวกเขาจะหาว่าฉันก้าวก่าย ยุ่งในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองไหม?”  แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะบางส่วนของพระเจ้าขึ้นมาที่ว่า “เจ้าทั้งปวงกล่าวว่าเจ้าคำนึงถึงพระภาระของพระเจ้า และจะปกป้องคำพยานของคริสตจักร แต่ใครหรือในหมู่พวกเจ้าที่ได้คำนึงถึงพระภาระของพระเจ้าจริงๆ?  จงถามตัวเจ้าเองว่า เจ้าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งได้แสดงให้เห็นความคำนึงถึงพระภาระของพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถปฏิบัติความชอบธรรมเพื่อพระองค์หรือไม่?  เจ้าสามารถยืนขึ้นและพูดเพื่อเราหรือไม่?  เจ้าสามารถนำความจริงมาปฏิบัติอย่างหนักแน่นมั่นคงหรือไม่?  เจ้ากล้าพอที่จะต่อสู้กับความประพฤติทั้งปวงของซาตานหรือไม่?  เจ้าจะสามารถวางภาวะอารมณ์ทั้งหลายของเจ้าลง และเปิดโปงซาตานเพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งความจริงของเราไหม?  เจ้าสามารถยอมให้เจตนาของเราได้รับการทำให้ลุล่วงภายในตัวเจ้าไหม?  เจ้าได้มอบถวายหัวใจของเจ้าในชั่วขณะที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดหรือไม่?  เจ้าเป็นใครคนหนึ่งที่จะกระทำตามเจตจำนงของเราหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 13)  ทุกพระวจนะของพระเจ้าพูดกับหัวใจของผม และผมก็รู้สึกได้ถึงน้ำพระทัยอันเร่งด่วนของพระเจ้า ที่หวังให้ผู้คนปฏิบัติความจริงและค้ำจุนความชอบธรรม กล้าที่จะพูดคำว่า “ไม่” กับกำลังบังคับของซาตาน และมีความรับผิดชอบต่อการค้ำจุนพระราชกิจของพระเจ้า  พระองค์ไม่ทรงต้องการให้พวกเราคำนวณกำไรและขาดทุน แต่ให้จัดลำดับความสำคัญผลประโยชน์ของคริสตจักรไว้เป็นอันดับแรก  พอผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ผมก็พบความมั่นใจที่จะนำความจริงมาสู่การปฏิบัติ  ผมจึงเขียนจดหมายถึงผู้นำของอีกคริสตจักรเรื่องพี่สาวหลิน  ไม่กี่วันต่อมา ผู้นำก็บอกผมว่า พวกเขาได้ตรวจสอบดูแล้วและยืนยันว่าพี่สาวหลินเป็นคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเขาจึงเปลี่ยนหน้าที่ของเธอไปแล้ว  การได้เห็นมันออกมาเป็นแบบนั้นเป็นเรื่องชูใจ และทำให้ผมโล่งใจ  ผมได้เห็นว่า การเป็นคนซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม และผมก็ได้ทำในสิ่งที่มีความหมาย  ต่อมา พี่น้องชายหญิงบางคนได้บอกผมว่า การเขียนจดหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรฉบับนั้น แสดงให้เห็นว่าผมได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และผมได้มีความชอบธรรมแล้ว  การได้ยินพวกเขาพูดแบบนี้ดลใจผมอย่างมาก  ผมรู้ในหัวใจเลยว่า การปฏิบัติความจริง การเปลี่ยนแปลงไปพอสมควรนั้น ล้วนสำเร็จได้โดยการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า  ผมขอถวายคำขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับความรอดที่มีให้ผม!

ก่อนหน้า: 46. คนที่ชอบเอาใจผู้อื่นสามารถได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าหรือไม่?

ถัดไป: 48. ปฏิบัติความจริงเพื่อใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger