การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า 2
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 188
ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า พวกเจ้าแต่ละคนควรซาบซึ้งในการที่เจ้าได้รับการยกย่องสูงสุดและได้รับความรอดสูงสุดอย่างแท้จริงจากการที่ได้รับพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย และพระราชกิจตามแผนการของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในตัวเจ้า ณ วันนี้ พระเจ้าได้ทรงทำให้ผู้คนกลุ่มนี้เป็นศูนย์รวมพระราชกิจทั่วทั้งจักรวาลของพระองค์ พระองค์ได้เสียสละพระโลหิตทั้งหมดในพระหทัยของพระองค์แก่พวกเจ้า พระองค์ได้เรียกคืนพระราชกิจทั่วทั้งจักรวาลของพระวิญญาณและทรงมอบทั้งหมดนั้นให้แก่พวกเจ้า นั่นคือสาเหตุที่พวกเจ้าเป็นกลุ่มคนที่โชคดี ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังได้ทรงย้ายพระสิริของพระองค์จากประเทศอิสราเอล จากประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร มาที่พวกเจ้า และพระองค์จะทรงสำแดงจุดประสงค์แห่งแผนการของพระองค์ผ่านทางกลุ่มนี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจึงเป็นผู้ที่จะได้รับมรดกของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านี้ พวกเจ้าคือทายาทแห่งพระสิริของพระเจ้า บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ ความว่า “เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ” พวกเจ้าทุกคนเคยได้ฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกถึงนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่ พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ภายใต้การเหยียดหยามและกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้ได้รับการทำให้ลุล่วงในตัวพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง เนื่องจากพระราชกิจเริ่มเปิดตัวในแผ่นดินที่ต่อต้านพระเจ้า พระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าจึงเผชิญกับอุปสรรคมหาศาล และการทำพระวจนะมากมายของพระองค์ให้สำเร็จลุล่วงย่อมใช้เวลา ด้วยเหตุนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าประการหนึ่งก็คือผู้คนได้รับการถลุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความทุกข์ พระเจ้าทรงมีความลำบากยากเย็นมหาศาลในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—แต่พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่งของพระองค์ผ่านทางความลำบากยากเย็นนี้ อันเป็นการสำแดงพระปัญญาของพระองค์และกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระองค์ และทรงใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์ พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์และการพิชิตชัยของพระองค์ผ่านทางความทุกข์ของผู้คน ผ่านทางขีดความสามารถของพวกเขา และผ่านทางอุปนิสัยเยี่ยงซาตานทั้งปวงของผู้คนในแผ่นดินอันโสมมนี้ เพื่อที่พระองค์อาจได้รับพระสิริจากการนี้ และเพื่อที่พระองค์อาจได้รับบรรดาผู้ที่จะเป็นพยานให้แก่กิจการของพระองค์ ดังนี้คือนัยสำคัญทั้งหมดของการเสียสละทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อผู้คนกลุ่มนี้ นั่นก็คือพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยโดยผ่านทางพวกที่ต่อต้านพระองค์นี่เอง และด้วยเหตุนี้เท่านั้นที่ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจะสามารถได้รับการสำแดง กล่าวได้อีกนัยว่า เฉพาะพวกที่อยู่ในแผ่นดินที่ไม่สะอาดเท่านั้นที่ควรค่าแก่การสืบทอดพระสิริของพระเจ้า และการนี้เท่านั้นที่สามารถขับเน้นให้ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าโดดเด่นขึ้นมาได้ นั่นคือสาเหตุที่พระเจ้าได้รับพระสิริจากแผ่นดินที่ไม่สะอาด และจากเหล่าคนที่มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินที่ไม่สะอาด เช่นนี้เองคือน้ำพระทัยของพระเจ้า พระราชกิจในช่วงระยะของพระเยซูก็เช่นกัน กล่าวคือ พระองค์สามารถได้รับพระสิริในท่ามกลางพวกฟาริสีที่ข่มเหงพระองค์เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะการข่มเหงของพวกฟาริสีและการทรยศของยูดาส พระเยซูย่อมจะไม่ทรงถูกเยาะเย้ยถากถางหรือใส่ร้ายป้ายสี และยิ่งไม่ทรงถูกตรึงกางเขน และด้วยเหตุนั้นพระองค์ก็จะไม่สามารถได้รับพระสิริ ที่ที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในแต่ละยุค และที่ที่พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนัง ก็คือที่ที่พระองค์ได้รับพระสิริ และเป็นที่ที่ทรงได้ผู้ที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะได้ไว้ นี่คือแผนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และนี่คือการบริหารจัดการของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 189
ในแผนการนานหลายพันปีของพระเจ้า มีพระราชกิจสองส่วนที่ทรงทำในเนื้อหนัง ส่วนแรกคือพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขน ซึ่งทำให้พระองค์ได้รับพระสิริ อีกส่วนคือพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและความเพียบพร้อมแห่งยุคสุดท้าย ซึ่งทำให้พระองค์ได้รับพระสิริ นี่คือการบริหารจัดการของพระเจ้า ดังนั้น จงอย่ามองพระราชกิจของพระเจ้าหรือพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเจ้าเป็นเรื่องเรียบง่าย พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นผู้สืบทอดความไพศาลแห่งพระสิรินิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบของพระเจ้า และเรื่องนี้ได้ถูกลิขิตไว้เป็นพิเศษแล้วโดยพระเจ้า จากพระสิริทั้งสองส่วน หนึ่งในนั้นสำแดงอยู่ในตัวพวกเจ้า หนึ่งส่วนแห่งพระสิริของพระเจ้านี้ได้ประทานแก่พวกเจ้าหมดแล้ว เพื่อให้เป็นมรดกของพวกเจ้า นี่คือการที่พระเจ้าทรงยกย่องพวกเจ้า และยังเป็นแผนการซึ่งพระองค์ได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้ามานานแล้วอีกด้วย ด้วยความยิ่งใหญ่ของพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในแผ่นดินซึ่งพญานาคใหญ่สีแดงอาศัยอยู่ หากพระราชกิจนี้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่น ก็คงเกิดดอกผลมหาศาลไปนานแล้ว และมนุษย์ก็คงจะพร้อมใจกันยอมรับพระราชกิจนี้ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจนี้คงจะง่ายดายมากเสียจนคณะสงฆ์แห่งทิศตะวันตกผู้เชื่อในพระเจ้าไม่อาจจะยอมรับได้ เนื่องจากมีช่วงระยะซึ่งเป็นพระราชกิจของพระเยซูเป็นตัวอย่างนำมาก่อน นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าไม่อาจสัมฤทธิ์ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจแห่งการได้รับพระสิริในที่อื่น เมื่อพระราชกิจได้รับการสนับสนุนจากผู้คนและเป็นที่ตระหนักรู้ของชนชาติทั้งหลาย พระสิริของพระเจ้าก็ไม่สามารถตั้งมั่นได้ นี่เองคือนัยสำคัญพิเศษของพระราชกิจช่วงระยะนี้ในแผ่นดินนี้ ไม่มีสักคนเดียวในหมู่พวกเจ้าที่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย—แทนที่จะเป็นดังนั้น พวกเจ้ากลับถูกกฎหมายลงโทษ ที่เป็นปัญหายิ่งกว่าก็คือผู้คนไม่เข้าใจพวกเจ้า กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นญาติของเจ้า บิดามารดาของเจ้า เพื่อนของเจ้า หรือเพื่อนร่วมงานของเจ้า ไม่มีใครเข้าใจพวกเจ้าเลย ครั้นพวกเจ้าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ไม่สามารถทนอยู่ห่างจากพระเจ้าได้ ซึ่งก็คือนัยสำคัญแห่งการพิชิตผู้คนของพระเจ้า และเป็นพระสิริของพระเจ้า สิ่งที่พวกเจ้าได้รับเป็นมรดกตกทอดในวันนี้เหนือกว่าที่อัครทูตและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายตลอดหลายยุคหลายสมัยเคยได้รับ และยิ่งใหญ่กว่าของโมเสสหรือเปโตรด้วยซ้ำ พรจากพระเจ้าไม่สามารถได้มาภายในวันเดียวหรือสองวัน แต่ต้องได้มาด้วยการพลีอุทิศอย่างใหญ่หลวง กล่าวคือ พวกเจ้าต้องครองความรักที่ก้าวผ่านกระบวนการถลุงมาแล้ว พวกเจ้าต้องครองความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และพวกเจ้าต้องมีความจริงมากมายที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเจ้ามี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าต้องหันเข้าหาความยุติธรรมโดยไม่ขลาดกลัวหรือคอยแต่เลี่ยงหนี และต้องมีความรักพระเจ้าที่เสมอต้นเสมอปลายไปจนตาย พวกเจ้าต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเกิดขึ้นในอุปนิสัยแห่งการดำเนินชีวิตของพวกเจ้า ความเสื่อมทรามของพวกเจ้าจะต้องได้รับการบำบัด พวกเจ้าต้องยอมรับการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าโดยปราศจากการพร่ำบ่น และพวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังแม้ต้องเผชิญกับความตาย นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรต้องบรรลุ นี่คือจุดหมายสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนกลุ่มนี้ ในเมื่อพระองค์ประทานแก่พวกเจ้า ดังนั้นพระองค์ก็จะทรงขอคืนจากพวกเจ้าอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าจะเป็นข้อเรียกร้องจากพวกเจ้าที่สมน้ำสมเนื้อกัน เพราะฉะนั้น พระราชกิจทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำจึงมีเหตุผล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำพระราชกิจที่กำหนดมาตรฐานไว้สูงและมีข้อพึงประสงค์ที่เคร่งครัดครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเพราะการนี้นี่เอง พวกเจ้าจึงควรเปี่ยมด้วยความเชื่อในพระเจ้า กล่าวโดยย่อได้ว่า พระราชกิจทุกอย่างของพระเจ้าล้วนทำไปเพื่อพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจกลายเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การรับมรดกของพระองค์ นี่ไม่ใช่เพื่อพระสิริของพระเจ้าเองแม้แต่น้อย แต่เพื่อความรอดของพวกเจ้า และเพื่อสร้างความเพียบพร้อมให้แก่คนกลุ่มนี้ ผู้ซึ่งได้รับความทุกข์ร้อนอย่างล้ำลึกในแผ่นดินที่ไม่สะอาดแห่งนี้ พวกเจ้าควรเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และดังนั้นเราขอเตือนสติผู้คนมากมายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และปราศจากความรู้ความเข้าใจเชิงลึกหรือสำนึกรับรู้ว่า จงอย่าทดสอบพระเจ้า และจงอย่าต้านทานอีกต่อไป พระเจ้าได้ทรงก้าวผ่านความทุกข์ที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสู้ทนมาก่อนมาแล้ว และเมื่อนานมาแล้วก็ได้ทรงสู้ทนการเหยียดหยามที่หนักหนาเสียยิ่งกว่าแทนมนุษย์อีกด้วย มีสิ่งใดอีกหรือที่เจ้าไม่สามารถปล่อยมือได้? มีสิ่งใดที่อาจสำคัญยิ่งกว่าน้ำพระทัยของพระเจ้า? มีสิ่งใดที่อาจสูงส่งกว่าความรักของพระเจ้า? การที่พระเจ้าดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในแผ่นดินที่ไม่สะอาดแห่งนี้ก็ยากพออยู่แล้ว หากซ้ำร้าย มนุษย์ยังจงใจฝ่าฝืนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจอีก พระราชกิจของพระเจ้าย่อมต้องยืดเยื้อออกไป กล่าวสั้นๆ ก็คือ นี่ไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย ไม่เป็นคุณแก่ใครสักคน พระเจ้าไม่ต้องทรงผูกติดอยู่กับกาลเวลา พระราชกิจของพระองค์และพระสิริของพระองค์จึงสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะฉะนั้น พระองค์ย่อมจะทรงยอมลำบากทุกอย่างเพื่อพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า กล่าวคือ พระองค์จะไม่ทรงหยุดพักจนกว่าพระราชกิจของพระองค์จะเสร็จสิ้น พระราชกิจของพระองค์จะจบลงก็ต่อเมื่อพระองค์ได้รับพระสิริส่วนที่สองของพระองค์ หากพระเจ้าไม่ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจส่วนที่สองซึ่งเป็นพระราชกิจแห่งการได้รับพระสิริของพระองค์ในจักรวาลทั้งมวล วันของพระองค์ก็จะไม่มีวันมาถึง พระหัตถ์ของพระองค์จะไม่มีวันผละจากประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรแล้ว พระสิริของพระองค์จะไม่มีวันเคลื่อนลงสู่ประเทศอิสราเอล และแผนการของพระองค์ก็จะไม่มีวันได้รับการสรุปปิดตัว พวกเจ้าควรสามารถมองเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้า และควรเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้เรียบง่ายเหมือนกับการสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง นั่นเป็นเพราะพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้คือการแปลงสภาพผู้คนที่ถูกทำให้เสื่อมทราม ซึ่งด้านชาจนถึงระดับสูงสุด เป็นการชำระสิ่งทรงสร้างที่ถูกซาตานแปรรูปไปแล้วนั้นให้บริสุทธิ์ นี่ไม่ใช่การทรงสร้างอาดัมหรือเอวา และยิ่งไม่ใช่การทรงสร้างความสว่าง หรือการทรงสร้างพืชพรรณและสัตว์ทั้งปวง พระเจ้าทรงยังความบริสุทธิ์ให้กับสิ่งที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม และจากนั้นจึงทรงรับสิ่งเหล่านั้นไว้อีกครั้ง สิ่งเหล่านั้นจึงกลายเป็นของพระองค์ และกลายเป็นพระสิริของพระองค์ การนี้ไม่ใช่อย่างที่มนุษย์จินตนาการ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างการทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสิ่งในนั้น หรือพระราชกิจแห่งการสาปแช่งซาตานสู่บาดาลลึก ในทางกลับกัน นี่คือพระราชกิจแห่งการแปลงสภาพมนุษย์ เปลี่ยนสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบและไม่ใช่ของพระองค์ ให้เป็นสิ่งที่เป็นบวกและเป็นของพระองค์ นี่คือความจริงเบื้องหลังพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้า พวกเจ้าต้องเข้าใจสิ่งนี้ และหลีกเลี่ยงการทำเรื่องทั้งหลายให้เรียบง่ายเกินไป พระราชกิจของพระเจ้าไม่เหมือนงานธรรมดาสามัญใดๆ ความน่าอัศจรรย์และทรงปัญญาของพระราชกิจนั้นอยู่เหนือจิตมนุษย์ พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งในพระราชกิจช่วงระยะนี้ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงทำลายสรรพสิ่งเช่นกัน แทนที่จะทรงทำเช่นนั้น พระองค์กลับทรงแปลงสภาพสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์ และทรงชำระสรรพสิ่งทั้งมวลที่ซาตานทำให้ด่างพร้อยไปแล้วนั้นให้บริสุทธิ์ และด้วยประการฉะนี้ พระเจ้าจึงทรงริเริ่มโครงการอันยิ่งใหญ่ซึ่งก็คือนัยสำคัญทั้งมวลแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ในวจนะเหล่านี้ เจ้าเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าเป็นเรื่องที่แสนจะเรียบง่ายจริงๆ หรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 190
ระยะเวลา 6,000 ปีแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร พระราชกิจสามช่วงระยะนี้ล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ กล่าวคือ เป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันก็เป็นไปเพื่อให้พระเจ้าทรงสู้รบกับซาตานด้วย ด้วยเหตุนี้ ดังเช่นที่พระราชกิจแห่งความรอดถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ การสู้รบกับซาตานจึงถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะด้วย และดังนั้นพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสองแง่มุมนี้จึงดำเนินไปพร้อมกัน การสู้รบกับซาตานเป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์โดยแท้ และเพราะพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์มิใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จสมบูรณ์ได้ในช่วงระยะเดียว การสู้รบกับซาตานจึงถูกแบ่งออกเป็นระยะและเป็นช่วงเวลาเช่นกัน และมีการเปิดศึกกับซาตานโดยสอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์และขอบข่ายแห่งความเสื่อมทรามของซาตานในตัวเขา บางทีในจินตนาการของมนุษย์ เขาอาจเชื่อว่าในการสู้รบนี้ พระเจ้าจะทรงใช้อาวุธกับซาตานในหนทางเดียวกับที่สองกองทัพจะต่อสู้กัน นี่เป็นเพียงสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์สามารถจินตนาการได้เท่านั้น เป็นแนวคิดที่คลุมเครือและไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอย่างที่สุด กระนั้นก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เชื่อ และเพราะเราพูดในที่นี้ว่าวิถีทางแห่งความรอดของมนุษย์เป็นไปโดยผ่านทางการสู้รบกับซาตาน มนุษย์จึงจินตนาการว่านี่คือวิธีทำการสู้รบ มีสามช่วงระยะในพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าการสู้รบกับซาตานถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะเพื่อที่จะทำให้ซาตานปราชัยอย่างเบ็ดเสร็จ กระนั้นความจริงเบื้องลึกเกี่ยวกับพระราชกิจทั้งหมดแห่งการสู้รบกับซาตานก็คือว่า พระราชกิจนี้สัมฤทธิ์ผลได้โดยผ่านทางพระราชกิจหลายขั้นตอน ได้แก่ การประทานพระคุณแก่มนุษย์ การกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ การยกโทษให้กับบาปทั้งหลายของมนุษย์ การพิชิตมนุษย์ และการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ตามข้อเท็จจริงแล้ว การสู้รบกับซาตานมิใช่การใช้อาวุธรบกับซาตาน แต่คือความรอดของมนุษย์ การปรับปรุงชีวิตมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ เพื่อที่เขาอาจเป็นคำพยานให้พระเจ้า นี่คือวิธีทำให้ซาตานปราชัย ซาตานปราชัยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เมื่อซาตานปราชัยแล้ว กล่าวคือ เมื่อมนุษย์ได้รับการช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นซาตานที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจะถูกพันธนาการเอาไว้โดยสิ้นเชิง และในหนทางนี้ มนุษย์ก็จะได้รับการช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ แก่นแท้แห่งความรอดของมนุษย์จึงเป็นสงครามกับซาตาน และสงครามนี้โดยพื้นฐานแล้วสะท้อนอยู่ในความรอดของมนุษย์ ช่วงระยะแห่งยุคสุดท้ายซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์จะถูกพิชิต คือช่วงระยะสุดท้ายในการสู้รบกับซาตาน และยังเป็นพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานอย่างบริบูรณ์อีกด้วย ความหมายเบื้องลึกของการพิชิตมนุษย์คือการที่รูปจำแลงของซาตาน—ซึ่งก็คือมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม—กลับคืนสู่พระผู้สร้างหลังจากที่เขาได้รับการพิชิต โดยเขาจะละทิ้งซาตานและกลับคืนสู่พระเจ้าโดยบริบูรณ์ผ่านทางการพิชิตนี้ ในหนทางนี้ มนุษย์จึงจะถูกช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์ และดังนั้นพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจึงเป็นพระราชกิจสุดท้ายในการสู้รบกับซาตาน และเป็นช่วงระยะสุดท้ายในการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อการทำให้ซาตานปราชัย หากปราศจากพระราชกิจนี้ ความรอดอันบริบูรณ์ของมนุษย์ก็จะเป็นไปไม่ได้ในท้ายที่สุด ความพ่ายแพ้เอย่างหมดรูปของซาตานก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน และมวลมนุษย์ก็จะไม่มีวันสามารถเข้าสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ หรือเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานได้ ผลพวงที่ตามมาคือ พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดย่อมไม่สามารถสรุปปิดตัวได้ก่อนที่การสู้รบกับซาตานจะสรุปปิดตัว เพราะแก่นสำคัญของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์ มวลมนุษย์ในยุคแรกสุดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่เนื่องจากการทดลองและการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน มนุษย์จึงถูกซาตานพันธนาการและตกอยู่ในมือของมารร้าย ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงกลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำให้ปราชัยในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า เนื่องจากซาตานถือครองมนุษย์ และเนื่องจากมนุษย์คือต้นทุนที่พระเจ้าทรงใช้ดำเนินการบริหารจัดการทั้งหมด หากมนุษย์จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้ว เขาก็ต้องถูกฉวยกลับมาจากมือของซาตาน ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ต้องถูกนำกลับมาหลังจากที่ถูกซาตานจับไปเป็นเชลย ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงต้องถูกทำให้ปราชัยโดยผ่านทางความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเก่าของมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงที่ฟื้นคืนสำนึกแห่งเหตุผลดั้งเดิมของมนุษย์ ในหนทางนี้ มนุษย์ที่ถูกจับเป็นเชลย จะสามารถถูกชิงกลับมาจากมือของซาตานได้ หากมนุษย์เป็นอิสระจากอิทธิพลและพันธนาการของซาตาน เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะอับอาย มนุษย์จะถูกพากลับมาในท้ายที่สุด และซาตานก็จะปราชัย และเนื่องจากมนุษย์เป็นอิสระจากอิทธิพลมืดของซาตาน มนุษย์จึงจะกลายเป็นรางวัลแห่งชัยชนะที่ได้มาจากการสู้รบทั้งหมดทั้งมวลนี้ และซาตานจะกลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกลงโทษทันทีที่สงครามเสร็จสิ้น หลังจากนั้นพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ก็ย่อมจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมด
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 191
พระเจ้าได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ หรือหากใช้คำของเพื่อนร่วมชาติจากฮ่องกงและไต้หวัน ก็คือ “ประเทศตอนใน” เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกจากฟ้าสวรรค์เบื้องบน ไม่มีผู้ใดในฟ้าสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลกที่ตระหนักรู้ถึงการนี้ เพราะนี่คือความหมายที่แท้จริงของการเสด็จกลับมาภายใต้การทรงปกปิดของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงงานและดำรงพระชนม์ชีพในเนื้อหนังมาเป็นเวลานาน กระนั้นยังไม่มีผู้ใดตระหนักรู้ กระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดระลึกได้ถึงเรื่องนี้ บางทีการนี้จะคงเป็นปริศนาชั่วนิรันดร์ การเสด็จมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในครั้งนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์อาจจะตระหนักรู้ได้ ไม่สำคัญว่าผลกระทบแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณจะมีขนาดใหญ่เพียงใดและทรงฤทธิ์เดชเพียงใดก็ตาม พระเจ้ายังคงไม่ทรงยินดียินร้ายเสมอ และไม่มีวันทรงเผยสิ่งใดก็ตามออกไป คนเราสามารถพูดได้ว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์เป็นเหมือนกับเสมือนว่ากำลังเกิดขึ้นในอาณาจักรสวรรค์ ถึงแม้ว่าพระราชกิจนี้จะเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อผู้คนทั้งหมดที่มีดวงตาที่จะมองเห็น แต่ก็ไม่มีผู้ใดระลึกถึงพระราชกิจนี้ได้ เมื่อพระเจ้าทรงงานช่วงระยะนี้ของพระองค์แล้วเสร็จ มนุษยชาติทั้งหมดจะแยกห่างจากท่าทีปกติของพวกเขา[1] และตื่นจากความฝันอันยาวนานของพวกเขา เราจำได้ว่าพระเจ้าเคยตรัสครั้งหนึ่งว่า “การเสด็จมาเป็นมนุษย์ในครั้งนี้เป็นเหมือนกับการตกลงมาในถ้ำเสือ” ความหมายของการนี้คือ เพราะในพระราชกิจรอบนี้ของพระเจ้า พระเจ้าเสด็จมาเป็นมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น ประสูติในสถานที่อาศัยของพญานาคใหญ่สีแดง พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างสุดขีดด้วยการเสด็จมายังแผ่นดินโลกครั้งนี้มากกว่าแต่ก่อนเสียอีก สิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญหน้าคือมีด ปืน ไม้กระบอง และไม้พลอง สิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญหน้าคือการทดลอง สิ่งที่พระองค์ทรงเผชิญหน้าคือฝูงชนที่สวมใส่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาอาฆาต พระองค์ทรงเสี่ยงที่จะถูกฆ่าทุกชั่วขณะ พระเจ้าเสด็จมาโดยนำพระพิโรธมาพร้อมกับพระองค์ อย่างไรก็ตาม พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงทำส่วนที่สองของพระราชกิจของพระองค์ สิ่งซึ่งดำเนินต่อเนื่องไปหลังจากพระราชกิจแห่งการไถ่ เพื่อประโยชน์ของพระราชกิจในช่วงระยะนี้ของพระองค์ พระเจ้าทรงอุทิศความคิดและการใส่พระทัยอย่างถึงที่สุด และกำลังทรงใช้ทุกๆ วิถีทางที่คิดฝันได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการจู่โจมของการทดลอง โดยทรงปกปิดพระองค์เองอย่างถ่อมพระทัยและไม่เคยทรงโอ้อวดถึงพระอัตลักษณ์ของพระองค์เลย ในการช่วยเหลือมนุษย์จากกางเขน พระเยซูทรงปฏิบัติเพียงพระราชกิจแห่งการไถ่จนครบบริบูรณ์เท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าจึงได้รับการทรงทำเสร็จสิ้นเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น และการทรงพระราชกิจแห่งการไถ่แล้วเสร็จเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของแผนการทั้งหมดของพระองค์ เมื่อยุคใหม่กำลังจะเริ่มต้นและยุคเก่ากำลังจะถอยห่างไป พระเจ้าพระบิดาทรงเริ่มต้นไตร่ตรองรอบคอบถึงส่วนที่สองของพระราชกิจของพระองค์ และดำเนินการเตรียมพร้อมเพื่อพระราชกิจนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายนี้ไม่ได้รับการตรัสคำเผยพระวจนะอย่างชัดเจนในอดีต ดังนั้นจึงเป็นการวางรากฐานของความลับที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเสด็จมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในครั้งนี้ เมื่อรุ่งอรุณมาถึง พระเจ้าเสด็จมาถึงแผ่นดินโลกและทรงเริ่มต้นพระชนม์ชีพของพระองค์ในเนื้อหนังโดยที่มนุษยชาติมากมายไม่รู้ตัว ผู้คนไม่ตระหนักรู้ถึงการมาถึงของชั่วขณะนี้ อาจเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังหลับใหล อาจเป็นว่าผู้คนมากมายที่ตื่นอย่างคุมเชิงกำลังรออยู่ และอาจเป็นว่าผู้คนมากมายกำลังอธิษฐานเงียบๆ ต่อพระเจ้าในสวรรค์ กระนั้นท่ามกลางผู้คนมากมายเหล่านี้ทั้งหมด ไม่มีคนหนึ่งคนใดที่รู้ว่าพระเจ้าได้เสด็จมาถึงแผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าทรงพระราชกิจเช่นนี้เพื่อดำเนินงานของพระองค์จนเสร็จสิ้นอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น และเพื่อสัมฤทธิ์ผลที่ดีกว่า และยังเพื่อป้องกันการทดลองที่มากยิ่งกว่าด้วย เมื่อการเคลิ้มหลับในฤดูใบไม้ผลิของมนุษย์หยุดลง พระราชกิจของพระเจ้าจะได้เสร็จสิ้นไปนานแล้ว และพระองค์จะเสด็จจากไป โดยทรงนำพระชนม์ชีพแห่งการท่องเที่ยวไปและการพักแรมบนแผ่นดินโลกของพระองค์มาถึงจุดสิ้นสุด เพราะพระราชกิจของพระเจ้าพึงประสงค์ให้พระเจ้าทรงปฏิบัติและตรัสในสภาวะบุคคลของพระองค์เอง และเพราะไม่มีวิธีใดที่มนุษย์จะแทรกแซงได้ พระเจ้าจึงทรงสู้ทนความทุกข์อย่างที่สุดเพื่อเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เอง มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะทำงานแทนในพระราชกิจของพระเจ้าได้ ด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าจึงทรงกล้าเผชิญอันตรายหลายพันครั้งมากกว่าในช่วงระหว่างยุคพระคุณ เพื่อเสด็จลงมายังแผ่นดินที่พญานาคใหญ่สีแดงอาศัยอยู่เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์เอง โดยทรงสละพระดำริและความใส่พระทัยทั้งหมดของพระองค์เพื่อไถ่ผู้คนกลุ่มที่ยากจนนี้ ผู้คนกลุ่มนี้ที่ติดอยู่ในกองมูล ถึงแม้ว่าไม่มีผู้ใดรู้ถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่กังวลพระทัยแต่อย่างใด เพราะการนี้เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์เป็นอย่างมาก เมื่อพิจารณาว่าทุกคนช่างชั่วช้าและเลวอย่างถึงที่สุด แล้วพวกเขาจะทนยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลว่า เมื่อได้เสด็จมาบนแผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าจึงทรงนิ่งเงียบ ไม่สำคัญว่ามนุษย์ได้จมลงไปในความโหดร้ายที่เกินขอบเขตอย่างแย่ที่สุดหรือไม่ พระเจ้าไม่ทรงเก็บสิ่งใดๆ เหล่านั้นมาใส่พระทัย แต่ทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำต่อไปเท่านั้น เพื่อทำให้พระบัญชาที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระบิดาแห่งสวรรค์ได้มอบความไว้วางพระทัยให้พระองค์ได้ลุล่วง ผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่ระลึกถึงความน่ารักชื่นชมของพระเจ้าได้บ้าง? ผู้ใดแสดงให้เห็นถึงความเห็นใจต่อภาระของพระเจ้าพระบิดามากกว่าที่พระบุตรของพระองค์ทรงแสดงให้เห็น? ผู้ใดสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดา? พระวิญญาณของพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์มักกังวลพระทัย และพระบุตรของพระองค์บนแผ่นดินโลกทรงอธิษฐานอยู่เนืองนิตย์เพื่อประโยชน์ของน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดา โดยกังวลพระทัยของพระองค์อย่างถึงที่สุด มีผู้ใดบ้างที่รู้ถึงความรักที่พระเจ้าพระบิดาทรงมีให้กับพระบุตรของพระองค์? มีผู้ใดบ้างที่รู้ถึงพระทัยที่พระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักทรงมีเพื่อคิดถึงพระเจ้าพระบิดา? เมื่อแยกเป็นสองระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์ทั้งสองจึงทรงจ้องตากันและกันจากที่ห่างไกลอยู่เนืองนิตย์ โดยทรงติดตามอีกฝ่ายหนึ่งในพระวิญญาณ โอ้มวลมนุษย์! เจ้าจะคำนึงถึงพระทัยของพระเจ้าเมื่อใด? เจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเมื่อใด? พระบิดาและพระบุตรทรงพึ่งพากันและกันเสมอมา เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระองค์ทั้งสองจึงทรงแยกห่างกัน โดยที่พระองค์หนึ่งประทับอยู่ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน และอีกพระองค์หนึ่งประทับอยู่ในแผ่นดินโลกเบื้องล่าง? พระบิดาทรงรักพระบุตรของพระองค์เช่นเดียวกับที่พระบุตรทรงรักพระบิดาของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระบิดาจึงต้องทรงรอด้วยความถวิลหาพระบุตรอย่างลึกซึ้งและเจ็บปวดเช่นนั้น? พระองค์ทั้งสองอาจไม่ทรงแยกห่างกันนานนัก กระนั้น ผู้ใดบ้างที่รู้ว่าพระบิดาทรงโหยหาด้วยความถวิลหาที่เจ็บปวดเป็นเวลากี่วันกี่คืนแล้ว และพระองค์ทรงร่ำร้องถึงการเสด็จกลับของพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์มาเป็นเวลานานเท่าใดแล้ว? พระองค์ทรงเฝ้าสังเกต พระองค์ประทับนั่งอย่างเงียบสงบ และพระองค์ทรงรอ ในสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการกลับมาอย่างรวดเร็วของพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์ พระบุตรผู้ทรงร่อนเร่ไปจนสุดปลายพิภพ: พระองค์ทั้งสองจะได้ประทับอยู่ร่วมกันอีกครั้งเมื่อใด? ถึงแม้ว่าเมื่อได้ประทับอยู่ร่วมกันอีกครั้งแล้วพระองค์ทั้งสองจะประทับอยู่ร่วมกันชั่วกัลปาวสาน พระองค์ทรงสามารถสู้ทนการแยกจากกันหลายพันวันและหลายพันคืน โดยที่พระองค์หนึ่งประทับอยู่ในฟ้าสวรรค์เบื้องบนและอีกพระองค์ประทับอยู่บนแผ่นดินโลกเบื้องล่างได้อย่างไร? หลายทศวรรษบนแผ่นดินโลกรู้สึกเหมือนช่วงเวลาหลายพันปีในสวรรค์ พระเจ้าพระบิดาจะไม่ทรงกังวลไปได้อย่างไร? เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงของโลกมนุษย์อย่างนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกับที่มนุษย์ได้รับ พระเจ้าทรงไร้เดียงสา ดังนั้นแล้วเหตุใดพระองค์จึงควรทรงได้รับการทำให้ต้องสู้ทนความทุกข์เดียวกันกับมนุษย์? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเจ้าพระบิดาทรงร่ำร้องหาพระบุตรของพระองค์อย่างเร่งด่วนยิ่ง แล้วใครสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าบ้าง? พระเจ้าประทานให้มนุษย์มากเกินไป แล้วมนุษย์จะสามารถตอบแทนพระทัยของพระเจ้าอย่างเพียงพอได้อย่างไร? กระนั้น มนุษย์ยังให้พระเจ้าเล็กน้อยเกินไป ด้วยเหตุนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงกังวลไปได้อย่างไร?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (4)
เชิงอรรถ:
1. “แยกห่างจากท่าทีปกติของพวกเขา” อ้างอิงถึงวิธีที่มโนคติที่หลงผิดและทรรศนะที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไป ทันทีที่พวกเขาได้มารู้จักพระเจ้าแล้ว
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 192
แทบไม่มีผู้ใดท่ามกลางมนุษย์ที่เข้าใจความเร่งด่วนในสภาวะจิตใจของพระเจ้า เพราะขีดความสามารถของพวกมนุษย์นั้นต่ำต้อยเกินไปและจิตวิญญาณของพวกเขาก็ค่อนข้างโง่ทึบ และดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงไม่ใส่ใจหรือเอาใจใส่ใดๆ กับสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำ ด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าจึงทรงกังวลเกี่ยวกับมนุษย์อยู่เนืองนิตย์ เสมือนว่าธรรมชาติอันคล้ายสัตว์ของมนุษย์สามารถออกมาได้ทุกชั่วขณะ จากการนี้ คนเราสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกว่าการเสด็จมาที่แผ่นดินโลกของพระเจ้านั้นมาพร้อมกับการทดลองที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่เพื่อประโยชน์ของการทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งครบบริบูรณ์ พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระสิริอย่างเต็มที่จึงตรัสบอกมนุษย์ถึงเจตนารมณ์ทุกประการของพระองค์ โดยไม่ทรงซ่อนสิ่งใดจากเขา พระองค์ตัดสินพระทัยแน่วแน่หนักแน่นที่จะทรงทำให้ผู้คนกลุ่มนี้ครบบริบูรณ์ และดังนั้นไม่ว่าจะมีความยากลำบากหรือการทดลองใดเกิดขึ้นก็ตาม พระองค์ทรงมองข้ามและทรงเพิกเฉยต่อสิ่งนั้นทั้งหมด พระองค์เพียงทรงพระราชกิจของพระองค์เองอย่างเงียบๆ โดยทรงเชื่ออย่างหนักแน่นว่าวันหนึ่งเมื่อพระเจ้าได้ทรงมาครอบครองพระสิริของพระองค์แล้ว มนุษย์จะรู้จักพระองค์ และทรงเชื่อว่าทันทีที่มนุษย์ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า เขาจะเข้าใจพระทัยของพระเจ้าอย่างสุดใจ ขณะนี้อาจมีผู้คนที่กำลังทดลองพระเจ้า หรือเข้าใจพระเจ้าผิด หรือตำหนิพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ทรงนำสิ่งใดๆ เหล่านี้มาใส่พระทัย เมื่อพระเจ้าเสด็จลงมาสู่พระสิริ ผู้คนทั้งหมดจะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อความสุขของมวลมนุษย์ และพวกเขาทั้งหมดจะเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อให้มนุษย์อาจมีชีวิตรอดได้ดีขึ้น พระเจ้าเสด็จมาโดยทรงนำการทดลองมาด้วย และพระองค์ยังเสด็จมาโดยทรงนำพระบารมีและพระพิโรธมาด้วย ในเวลาที่พระเจ้าทรงไปจากมนุษย์ พระองค์ทรงได้มาครอบครองพระสิริของพระองค์ไปนานแล้ว และพระองค์เสด็จจากไปโดยเปี่ยมไปด้วยพระสิริอย่างเต็มที่และด้วยความชื่นบานยินดีที่จะเสด็จกลับ พระเจ้าผู้ทรงพระราชกิจบนโลกไม่นำสิ่งต่างๆ มาใส่พระทัยไม่สำคัญว่าผู้คนจะปฏิเสธพระองค์อย่างไร พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปเท่านั้น การทรงสร้างโลกของพระเจ้าย้อนกลับไปหลายพันปี พระองค์เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงพระราชกิจในปริมาณที่ไม่อาจวัดได้ และพระองค์ทรงได้รับประสบการณ์กับการปฏิเสธและการใส่ร้ายป้ายสีของโลกมนุษย์อย่างเต็มที่ ไม่มีผู้ใดต้อนรับการเสด็จมาถึงของพระเจ้า พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชา ในครรลองแห่งการดำเนินไปด้วยความลำบากหลายพันปีเหล่านี้ การประพฤติของมนุษย์ก็ได้ทำให้พระเจ้าทรงเกิดบาดแผลอย่างรวดเร็วไปนานแล้ว พระองค์ไม่ทรงให้ความใส่พระทัยกับความกบฏของผู้คนอีกต่อไป และได้ทรงสร้างอีกแผนหนึ่งเพื่อแปลงรูปและชำระมนุษย์บริสุทธิ์แทน การเยาะเย้ย การใส่ร้ายป้ายสี การข่มเหง ความทุกข์ลำบาก ความทุกข์ของการตรึงกางเขน การกีดกันจากมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งพระเจ้าทรงได้ประสบตั้งแต่ที่เสด็จมาเป็นมนุษย์ กล่าวคือ พระเจ้าทรงได้ลิ้มรสสิ่งเหล่านี้เพียงพอแล้ว และสำหรับความยากลำบากของโลกมนุษย์นั้น พระเจ้าผู้ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ก็ได้ทุกข์ทนกับสิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้จนถึงขีดสุด พระวิญญาณของพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์ทรงพบว่าภาพเช่นนั้นเป็นสิ่งเหลือทนนานแล้ว และทรงรอพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์เสด็จกลับมาขณะที่พระองค์ทรงเอียงพระเศียรไปด้านหลังและปิดพระเนตรของพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงปรารถนาก็คือมนุษยชาติทั้งหมดจะรับฟังและเชื่อฟัง และสามารถหยุดกบฏต่อพระองค์ได้โดยที่รู้สึกถึงความอับอายอย่างถึงที่สุดเฉพาะพระพักตร์เนื้อหนังของพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงปรารถนาก็คือมนุษยชาติจะสามารถเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าได้ พระองค์ทรงหยุดมีข้อเรียกร้องที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกับมนุษย์ไปนานแล้ว เพราะพระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาที่สูงเกินไปแล้ว แต่มนุษย์กลับกำลังหยุดพักสบายๆ[1] และไม่นำงานของพระเจ้ามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (4)
เชิงอรรถ:
1. “หยุดพักสบายๆ” หมายความว่าผู้คนไม่รู้สึกรู้สากับพระราชกิจของพระเจ้าและไม่ถือว่าพระราชกิจนั้นสำคัญ
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 193
ในยุคพระคุณนั้น เมื่อพระเจ้ากลับสู่สวรรค์ชั้นที่สาม พระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้าได้เคลื่อนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของมันแล้วอย่างแท้จริง ทั้งหมดที่ยังคงเหลือบนแผ่นดินโลกก็คือกางเขนที่พระเยซูทรงแบกไว้บนพระปฤษฎางค์ของพระองค์ ผ้าลินินเนื้อดีที่เคยห่อพระเยซูไว้ และมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่พระเยซูทรงสวม (เหล่านี้คือสิ่งที่คนยิวใช้เพื่อเยาะเย้ยพระองค์) กล่าวคือ หลังจากที่พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนพระเยซูได้ก่อให้เกิดการสำนึกรับรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้วนั้น สิ่งทั้งหลายก็คลี่คลายลงอีกครั้ง จากนั้นเป็นต้นมา เหล่าสาวกของพระเยซูก็ได้เริ่มดำเนินพระราชกิจของพระองค์ ทำการเป็นผู้เลี้ยงและให้น้ำในคริสตจักรทุกแห่ง เนื้อหาของงานของพวกเขามีดังต่อไปนี้ กล่าวคือ พวกเขาได้ขอให้ผู้คนทั้งปวงกลับใจ สารภาพบาปของพวกเขา และรับบัพติศมา และอัครทูตทั้งหมดได้ออกไปเผยแผ่เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง เหตุการณ์ที่ไม่เลือนหายไป เกี่ยวกับการตรึงกางเขนพระเยซู และดังนั้น ทุกคนต่างก็สุดที่จะห้ามใจได้จนต้องทรุดลงหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูเพื่อสารภาพบาปของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น เหล่าอัครทูตได้ไปทุกหนแห่งเพื่อถ่ายทอดพระวจนะที่พระเยซูได้ตรัสไว้ จากจุดนั้นก็ได้เริ่มมีการสร้างคริสตจักรขึ้นในยุคพระคุณ สิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำไว้ในระหว่างยุคนั้นยังเป็นการพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์และน้ำพระทัยของพระบิดาบนสวรรค์ด้วยเช่นกัน มีเพียงคำคมและการปฏิบัติมากมายเหล่านั้นเท่านั้นที่แตกต่างไปอย่างมากจากคำคมและการปฏิบัติของวันนี้ ทั้งนี้ก็เนื่องจากเป็นคนละยุคกัน อย่างไรก็ตาม ในแก่นแท้แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนกัน กล่าวคือ คำคมและการปฏิบัติทั้งหลายของทั้งสองยุคนั้นก็คือพระราชกิจของพระวิญญาณของพระเจ้าในเนื้อหนัง และเป็นเช่นนั้นอย่างชัดเจนและแน่นอน พระราชกิจและถ้อยดำรัสประเภทนี้ได้ดำเนินต่อเนื่องมาตลอดทางจนถึงวันนี้ และดังนั้น สิ่งจำพวกนี้ยังคงมีอยู่ร่วมกันท่ามกลางสถาบันทางศาสนาทั้งหลายในปัจจุบัน และไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยโดยสิ้นเชิง เมื่อพระราชกิจของพระเยซูได้รับการสรุปปิดตัว และคริสตจักรทั้งหลายได้มาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องของพระเยซูคริสต์แล้ว ถึงกระนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงริเริ่มแผนการของพระองค์สำหรับพระราชกิจของพระองค์ในอีกช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่พระองค์เสด็จมาเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น การตรึงกางเขนของพระเจ้าได้สรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าไปแล้ว ได้ไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงไปแล้ว และเปิดโอกาสให้พระองค์ได้ยึดกุญแจสู่แดนคนตายไว้แล้ว ทุกคนคิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าได้สำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนแล้ว ในความเป็นจริง จากมุมมองของพระเจ้าแล้วนั้น มีเพียงส่วนเล็กน้อยในพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่ได้สำเร็จลุล่วงไป ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำไปคือการไถ่มวลมนุษย์ โดยที่พระองค์ยังไม่ได้ทรงพิชิตมวลมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะได้เปลี่ยนโฉมหน้าเยี่ยงซาตานของมนุษย์ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าตรัสว่า “แม้เนื้อหนังซึ่งปรากฏในรูปมนุษย์ของเราเคยก้าวผ่านความเจ็บปวดของความตายมาแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมดของการปรากฏในรูปมนุษย์ของเรา พระเยซูคือบุตรผู้เป็นที่รักของเราและได้ถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเรา แต่พระองค์ไม่ได้สรุปปิดตัวงานของเราอย่างหมดสิ้น พระองค์เพียงแต่ได้ทำส่วนหนึ่งของงานนั้นเท่านั้น” ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าจึงได้ทรงริเริ่มแผนการรอบที่สองเพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เจตนารมณ์สูงสุดของพระเจ้าก็คือ เพื่อทำให้ผู้คนเพียบพร้อมและเพื่อได้รับผู้คนทั้งหมดที่ถูกช่วยกู้มาจากเงื้อมมือของซาตาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอีกครั้งหนึ่งเพื่อกล้าเผชิญอันตรายแห่งการเข้ามาสู่เนื้อหนัง สิ่งที่เป็นความหมายของ “การทรงปรากฏในรูปมนุษย์” นั้นอ้างอิงถึง องค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งไม่ทรงนำพาพระสิริมา (เพราะพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่เสร็จสิ้น) แต่เป็นผู้ทรงปรากฏในอัตลักษณ์ของพระบุตรผู้เป็นที่รัก และเป็นพระคริสต์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงยินดีในพระองค์ยิ่งนัก นั่นคือเหตุผลที่การนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็น “การกล้าเผชิญอันตราย” เนื้อหนังซึ่งปรากฏในรูปมนุษย์นี้มีพลังอำนาจอันน้อยนิด และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง[1]และฤทธานุภาพของพระองค์อยู่ห่างกันคนละขั้วจากสิทธิอำนาจของพระบิดาในสวรรค์ พระองค์เพียงแต่ทรงทำให้พันธกิจแห่งเนื้อหนังลุล่วงเท่านั้น โดยทำให้พระราชกิจของพระบิดาและพระบัญชาของพระองค์ครบบริบูรณ์โดยไม่กลายมาเป็นเกี่ยวข้องในพระราชกิจอื่น และพระองค์เพียงแต่ทรงทำให้ส่วนหนึ่งของพระราชกิจครบบริบูรณ์เท่านั้น นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าทรงมีพระนามว่า “พระคริสต์” ทันทีที่พระองค์เสด็จมายังแผ่นดินโลก—นั่นคือความหมายที่ฝังอยู่ในพระนามนี้ เหตุผลที่มีการกล่าวว่า การเสด็จมานั้นจะมาถึงพร้อมกับการทดลอง ก็เป็นเพราะว่ามีเพียงพระราชกิจชิ้นเดียวเท่านั้นที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่พระเจ้าพระบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า “พระคริสต์” และ “พระบุตรผู้เป็นที่รัก” เท่านั้น แต่มิได้ทรงมอบพระสิริทั้งหมดให้พระองค์ก็เป็นเพราะว่าเนื้อหนังซึ่งปรากฏในรูปมนุษย์จะมาทำพระราชกิจชิ้นหนึ่งอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพื่อเป็นตัวแทนของพระบิดาในสวรรค์ แต่เพื่อทำพันธกิจของพระบุตรผู้เป็นที่รักให้ลุล่วงต่างหาก เมื่อพระบุตรผู้เป็นที่รักทรงทำพระบัญชาทั้งหมดทั้งมวลที่พระองค์ได้รับไว้บนบ่าของพระองค์จนครบบริบูรณ์ พระบิดาจึงจะทรงมอบพระสิริเต็มเปี่ยมให้พระองค์ พร้อมด้วยพระอัตลักษณ์ของพระบิดา คนเราสามารถกล่าวได้ว่า นี่คือ “รหัสแห่งสวรรค์” เพราะองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้เสด็จมาเป็นมนุษย์และพระบิดาในสวรรค์นั้นสถิตในสองอาณาจักรที่แตกต่างกัน ทั้งสองพระองค์เพียงแต่ทรงเพ่งมองกันในพระวิญญาณ พระบิดาเฝ้าทอดพระเนตรมองพระบุตรผู้เป็นที่รัก แต่พระบุตรไม่ทรงสามารถมองเห็นพระบิดาจากที่ไกลได้ เป็นเพราะหน้าที่รับผิดชอบที่เนื้อหนังสามารถทำได้นั้นเล็กจิ๋วเกินไป และพระองค์ทรงสามารถมีโอกาสที่จะถูกฆ่าได้ทุกขณะนั่นเอง คนเราจึงสามารถพูดได้ว่าการมาครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตรายอันใหญ่หลวงที่สุด การนี้เป็นประหนึ่งว่า เป็นอีกครั้งที่พระเจ้าทรงสละพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์เข้าปากเสือ ที่ซึ่งพระชนม์ชีพของพระองค์อยู่ในอันตราย ทรงวางพระองค์ลงในที่ซึ่งซาตานรวมกำลังอยู่หนาแน่นที่สุด แม้แต่ในรูปการณ์แวดล้อมที่ระกำลำบากเหล่านี้ พระเจ้าก็ยังคงทรงส่งมอบพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ให้แก่ผู้คนแห่งสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความโสโครกและความผิดศีลธรรม เพื่อให้พวกเขา “เลี้ยงดูพระองค์จนถึงวัยผู้ใหญ่” นี่เป็นเพราะว่า การทำเช่นนั้นคือหนทางเดียวที่จะทำให้พระราชกิจของพระเจ้าดูเหมาะเจาะและเป็นธรรมชาติ และนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ความปรารถนาทั้งหมดของพระเจ้าพระบิดาสำเร็จลุล่วง และทำให้พระราชกิจส่วนสุดท้ายของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ครบบริบูรณ์ พระเยซูมิได้ทรงทำมากไปกว่าทำให้ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้าพระบิดาสำเร็จลุล่วงเท่านั้น เนื่องจากสิ่งกีดขวางที่ถูกยัดเยียดให้โดยเนื้อหนังซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์และความแตกต่างในพระราชกิจที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ พระเยซูพระองค์เองจึงไม่ได้ทรงรู้ว่าจะมีการกลับมายังเนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง ดังนั้น ไม่มีผู้อธิบายพระคัมภีร์หรือผู้เผยพระวจนะคนใดกล้าที่จะเผยพระวจนะอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย นั่นก็คือว่า พระองค์จะเสด็จมาสู่เนื้อหนังอีกครั้งเพื่อทรงพระราชกิจส่วนที่สองของพระองค์ในเนื้อหนัง ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดได้ตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงซ่อนเร้นพระองค์เองในเนื้อหนังนานมาแล้ว นั่นไม่น่าประหลาดใจอะไรนัก ในเมื่อพระเยซูได้ทรงรับพระบัญชานี้หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้วเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่มีคำเผยพระวจนะที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่จิตใจมนุษมิอาจไตร่ตรองหาข้อสรุปได้ต่อจิตใจมนุษย์ ในหนังสือการเผยพระวจนะทั้งหมดในพระคัมภีร์นั้น ไม่มีพระวจนะที่กล่าวถึงการนี้อย่างชัดเจน แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาทรงพระราชกิจ ได้มีการเผยพระวจนะที่ชัดเจนอยู่แล้วซึ่งได้กล่าวว่า หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะอยู่กับเด็ก และจะให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ได้ก่อเกิดขึ้นโดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้จะเป็นเช่นนั้น พระเจ้ายังคงได้ตรัสว่าการนี้เกิดขึ้นโดยเสี่ยงกับความตาย ดังนั้นแล้วมันจะเสี่ยงมากกว่าสักเพียงใดที่จะเป็นกรณีในปัจจุบัน? ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พระเจ้าตรัสว่า การปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งนี้เป็นการเสี่ยงอันตรายอันใหญ่หลวงกว่าอันตรายที่เคยเกิดขึ้นในระหว่างยุคพระคุณหลายพันเท่า พระเจ้าได้เผยพระวจนะไว้ในหลายแห่งว่า พระองค์กำลังจะทรงได้รับบรรดาผู้ชนะในแผ่นดินซีนิม ในเมื่อมันเป็นในทิศตะวันออกของโลกนี่เองที่บรรดาผู้ชนะจะถูกได้รับ ดังนั้น สถานที่ซึ่งพระเจ้าจะทรงเหยียบย่างในการปรากฏในรูปมนุษย์ครั้งที่สองของพระองค์ก็ต้องเป็นแผ่นดินซีนิมโดยไม่มีข้อสงสัย ซึ่งเป็นจุดที่แน่ชัดว่าเป็นที่ซึ่งมังกรใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ ที่นั่น พระเจ้าจะทรงได้รับพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง เพื่อที่มันจะได้ถูกทำให้ปราชัยอย่างไม่มีชิ้นดีและได้รับความอับอาย พระเจ้ากำลังจะทรงปลุกผู้คนเหล่านี้ให้ตื่น โดยแบกภาระความทุกข์อย่างหนัก เพื่อปลุกเร้าพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะตื่นอย่างเต็มที่ และเพื่อทำให้พวกเขาเดินออกจากม่านหมอกและละทิ้งพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาจะตื่นจากความฝันของพวกเขา จะระลึกได้ถึงธาตุแท้ของพญานาคใหญ่สีแดง จะกลายเป็นสามารถมอบหัวใจทั้งดวงของพวกเขาให้แก่พระเจ้าได้ จะลุกขึ้นจากการกดขี่ของกำลังบังคับมืด จะยืนขึ้นในทิศตะวันออกของโลก และจะกลายเป็นข้อพิสูจน์แห่งชัยชนะของพระเจ้า ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงได้รับพระสิริ ลำพังเหตุผลนี้เท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงนำพระราชกิจที่เคยมาถึงปลายทางในอิสราเอลมาสู่ดินแดนที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ และหลังจากที่ได้จากไปเกือบสองพันปี ก็ทรงได้มาสู่เนื้อหนังอีกครั้งเพื่อสานต่อพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ พระเจ้ากำลังทรงเปิดตัวพระราชกิจใหม่ในเนื้อหนังต่อตาเปล่าของมนุษย์ แต่ในทรรศนะของพระเจ้า พระองค์กำลังทรงสานต่องานแห่งยุคพระคุณ แต่ก็เป็นหลังจากช่วงผลัดเปลี่ยนไม่กี่พันปีแล้วเท่านั้น และด้วยการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่ตั้งและโครงการในพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น ถึงแม้จะปรากฏว่า ฉายาที่กายแห่งเนื้อหนังได้ใช้ในพระราชกิจของวันนี้แตกต่างไปจากพระเยซูโดยสิ้นเชิง แต่พวกพระองค์ก็ทรงกลายมาจากแก่นแท้และรากเหง้าเดียวกัน และพวกพระองค์ก็ทรงมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน พวกพระองค์อาจจะทรงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างกันที่ภายนอก แต่ข้อเท็จจริงที่เป็นจริงด้านในของพระราชกิจของพวกพระองค์นั้นก็เหมือนกันอย่างครบบริบูรณ์ จะว่าไปแล้ว ยุคเหล่านั้นก็แตกต่างกันดั่งเช่นกลางวันและกลางคืน ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าจะสามารถทำตามแบบแผนที่ไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? หรือช่วงระยะที่แตกต่างกันของพระราชกิจของพระองค์จะสามารถขวางทางกันและกันได้อย่างไร?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (6)
เชิงอรรถ:
1. “มีพลังอำนาจอันน้อยนิด และต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง” บ่งบอกว่า ความลำบากยากเย็นของเนื้อหนังนั้นมากมายเกินไป และงานที่ทำก็ถูกจำกัดมากเกินไป
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 194
มนุษย์ได้ใช้เวลาจนกระทั่งถึงวันนี้เพื่อที่จะตระหนักว่า สิ่งที่มนุษย์ขาดพร่องนั้นไม่ใช่เพียงการจัดหาชีวิตฝ่ายวิญญาณและประสบการณ์ในการรู้จักพระเจ้าเท่านั้น แต่—สิ่งที่สำคัญยิ่งชีพยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ—การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของเขา เนื่องจากความไม่รู้เท่าทันโดยสิ้นเชิงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณของเผ่าพันธุ์ของเขาเอง ผลลัพธ์ก็คือว่ามนุษย์ไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกมนุษย์ทั้งหมดล้วนหวังว่า มนุษย์จะสามารถรู้สึกผูกพันกับพระเจ้าลึกลงไปภายในหัวใจของเขา แต่เพราะเนื้อหนังของมนุษย์นั้นเสื่อมทรามมากเหลือเกิน ทั้งมึนชาและปัญญาทึบ นี่จึงได้เป็นเหตุให้เขาไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับพระเจ้า ในการเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ในวันนี้ พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ใช่อื่นใดนอกจากเพื่อแปลงสภาพความคิดและจิตวิญญาณของผู้คนตลอดจนพระฉายาของพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาที่พวกเขาได้มีมาเป็นเวลาหลายล้านปีแล้ว พระองค์จะทรงใช้โอกาสเหมาะนี้ทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้คนมารู้จักพระองค์และท่าทีของพวกเขามีต่อพระองค์ด้วยวิถีทางแห่งความรู้ของมนุษย์ โดยทำให้มนุษย์สามารถทำการเริ่มต้นใหม่แบบมีชัยได้ในการมารู้จักพระเจ้า แล้วจึงสัมฤทธิ์การเริ่มใหม่และการแปลงสภาพของจิตวิญญาณมนุษย์ การจัดการและการบ่มวินัยนั้นคือวิถีทาง ในขณะที่การพิชิตชัยและการเริ่มใหม่คือเป้าหมาย การปัดเป่าความคิดเรื่องโชคลางที่มนุษย์ได้ยึดถือเกี่ยวกับพระเจ้าที่คลุมเครือนั้นเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้าตลอดกาล และในระยะหลังมานี้การนี้ยังได้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับพระองค์ด้วยเช่นกัน ผู้คนทั้งหมดควรจะใช้ทรรศนะที่ยาวไกลในการพิจารณาสถานการณ์นี้ จงเปลี่ยนแปลงหนทางซึ่งแต่ละบุคคลได้รับประสบการณ์เสียเถิด เพื่อที่เจตนารมณ์อันเร่งด่วนนี้ของพระเจ้าอาจไปถึงการผลิดอกออกผลในไม่ช้า และเพื่อที่ช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกอาจได้รับการนำไปสู่ความครบบริบูรณ์อย่างเพียบพร้อม จงมอบความจงรักภักดีแด่พระเจ้าตามที่พวกเจ้าจำต้องมอบให้พระองค์ และมอบความชูใจแด่พระทัยของพระเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ไม่ควรจะมีผู้ใดปัดความรับผิดชอบนี้ หรือเพียงแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี พระเจ้าเสด็จมาในเนื้อหนังครั้งนี้เพื่อเป็นการตอบรับคำเชิญ และโดยเป็นการตอบสนองแบบตรงจุดต่อภาวะของมนุษย์ นั่นคือ พระองค์เสด็จมาเพื่อจัดหาสิ่งที่มนุษย์จำเป็นต้องมีให้แก่มนุษย์ ไม่สำคัญว่าขีดความสามารถหรือการอบรมเลี้ยงดูของมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร โดยสรุปแล้ว พระองค์ก็จะทรงทำให้เขาสามารถมองเห็นพระวจนะของพระเจ้าได้ และจากพระวจนะของพระองค์ เขาก็สามารถเห็นการดำรงอยู่และการสำแดงของพระเจ้า และยอมรับการที่พระเจ้าทรงทำให้เขาเพียบพร้อม โดยเปลี่ยนแปลงความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เพื่อที่โฉมพระพักตร์ดั้งเดิมของพระเจ้าจะหยั่งรากอย่างมั่นคงในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ นี่คือความปรารถนาบนแผ่นดินโลกเพียงประการเดียวของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าธรรมชาติของมนุษย์ที่มีมาแต่กำเนิดจะยิ่งใหญ่เพียงใด หรือธาตุแท้ของมนุษย์จะต่ำต้อยเพียงใด หรือพฤติกรรมในอดีตของมนุษย์จริงๆ แล้วจะเป็นเหมือนสิ่งใดก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงหวังเพียงให้มนุษย์สร้างพระฉายาของพระเจ้าที่เขามีในหัวใจด้านในของเขาขึ้นใหม่อย่างครบบริบูรณ์ และมารู้จักธาตุแท้ของมวลมนุษย์ และด้วยผลจากการนั้นจึงมาถึงการแปลงสภาพของทัศนะเชิงอุดมคติของมนุษย์ และมีความสามารถที่จะถวิลหารอคอยพระเจ้าจากส่วนลึกและปลุกความผูกพันชั่วนิรันดร์ที่มีต่อพระองค์ให้ตื่นขึ้นมา กล่าวคือ นี่คือข้อเรียกร้องหนึ่งเดียวที่พระเจ้าทรงขอจากมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 195
เราได้พูดไปหลายครั้งเหลือเกินว่างานของพระเจ้าในยุคสุดท้ายนั้นกระทำไปเพื่อปรับเปลี่ยนจิตวิญญาณของแต่ละบุคคล เพื่อเปลี่ยนแปลงดวงจิตของแต่ละบุคคล จนถึงขนาดที่หัวใจของพวกเขาที่ได้ทนทุกข์กับความชอกช้ำใหญ่หลวงมาแล้ว ได้รับการฟื้นฟู อันเป็นการช่วยกู้ดวงจิตของพวกเขาที่ได้ถูกความชั่วทำร้ายมาอย่างลึกล้ำเหลือเกิน มันเป็นไปเพื่อที่จะปลุกจิตวิญญาณของผู้คนให้ตื่น เพื่อละลายหัวใจที่เย็นชาของพวกเขา และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ฟื้นคืนกำลังขึ้นใหม่ นี่คือน้ำพระทัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า จงพักการพูดคุยถึงเรื่องที่ว่าชีวิตและประสบการณ์ต่างๆ ของมนุษย์นั้นสูงส่งหรือลุ่มลึกเพียงใดไว้ก่อน เมื่อหัวใจของผู้คนได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแล้ว เมื่อพวกเขาได้ถูกปลุกเร้าจากความฝันของพวกเขาและรู้ดีเต็มที่ถึงอันตรายที่พญานาคใหญ่สีแดงได้กอปรขึ้น งานพันธกิจของพระเจ้าก็จะได้ครบบริบูรณ์ วันที่งานของพระเจ้าแล้วเสร็จยังเป็นวันที่มนุษย์เริ่มต้นบนเส้นทางที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้าอย่างเป็นทางการด้วย ณ เวลานั้น พันธกิจของพระเจ้าจะได้มาถึงบทอวสาน กล่าวคือ งานของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์จะได้แล้วเสร็จโดยครบบริบูรณ์ และมนุษย์จะเริ่มต้นปฏิบัติหน้าที่ที่เขาควรจะปฏิบัติอย่างเป็นทางการ—เขาจะปฏิบัติกลุ่มงานของเขา เหล่านี้คือขั้นตอนต่างๆ แห่งงานของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าควรจะควานหาเส้นทางของพวกเจ้าเพื่อเข้าสู่รากฐานแห่งการรู้จักสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าควรจะเข้าใจ การเข้าสู่ของมนุษย์จะปรับปรุงดีขึ้นก็ต่อเมื่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้เกิดขึ้นลึกๆ ภายในหัวใจของเขาเท่านั้น เพราะงานของพระเจ้าคือความรอดที่ครบบริบูรณ์ของมนุษย์—มนุษย์ผู้ซึ่งได้รับการไถ่ ผู้ซึ่งยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้แรงกดดันของความมืด และผู้ซึ่งไม่เคยปลุกเร้าตัวเขาเอง—จากสถานที่รวมตัวของปีศาจทั้งหลายแห่งนี้ มันเป็นไปเพื่อที่มนุษย์อาจจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระจากหลายสหัสวรรษแห่งบาปและเป็นที่รักของพระเจ้า บดขยี้พญานาคใหญ่สีแดงจนคว่ำลงไปโดยสิ้นเชิง สถาปนาราชอาณาจักรของพระเจ้า และนำการหยุดพักมาสู่หัวใจของพระเจ้าเร็วขึ้น มันเป็นไปเพื่อระบายความเกลียดชังที่อัดแน่นอกของพวกเจ้าโดยไม่มีการสงวนไว้ เพื่อกำจัดเชื้อราเหล่านั้นให้หมดสิ้น เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเจ้าผละจากชีวิตนี้ที่ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของวัวหรือม้า เพื่อจะไม่เป็นทาสอีกต่อไป เพื่อจะไม่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงเหยียบย่ำหรือออกคำสั่งตามใจชอบอีกต่อไป พวกเจ้าจะไม่เป็นส่วนหนึ่งของชนชาติที่ล้มเหลวนี้อีกต่อไป จะไม่เป็นของพญานาคใหญ่สีแดงที่ชั่วร้ายอีกต่อไป และเจ้าจะไม่ตกเป็นทาสของมันอีกต่อไป รังของปีศาจจะถูกพระเจ้าทรงฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน และพวกเจ้าจะยืนเคียงข้างพระเจ้า—พวกเจ้าเป็นของพระเจ้า และไม่ใช่เป็นของจักรวรรดิแห่งทาสนี้ พระเจ้าทรงเกลียดสังคมมืดนี้เข้ากระดูกดำมานานแล้ว พระองค์ทรงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน กระตือรือร้นที่จะฝังพระบาทของพระองค์ลงบนงูแก่ชั่วร้ายที่ร้ายกาจตัวนี้ เพื่อให้มันไม่อาจมีวันลุกขึ้นมาได้อีกและจะไม่มีวันทารุณมนุษย์อีก พระองค์จะไม่ทรงให้การกระทำในอดีตของมันมีข้ออ้าง พระองค์จะไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้กับการหลอกลวงมนุษย์ของมัน และพระองค์จะทรงชำระแค้นสำหรับบาปทุกประการของมันตลอดยุคทั้งหลาย พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยหัวโจกของความชั่วทั้งหมด[1]นี้หลุดรอดไปได้แม้แต่นิดเดียว พระองค์จะทรงทำลายมันอย่างถึงที่สุด
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)
เชิงอรรถ:
1. “หัวโจกของความชั่วทั้งหมด” หมายถึง มารแก่ วลีนี้แสดงออกถึงความไม่ชอบสุดขีด
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 196
พระเจ้าได้ทรงสู้ทนกับค่ำคืนที่ไม่ได้หลับมากมายหลายคืนเพื่อประโยชน์แห่งงานของมวลมนุษย์ จากที่สูงถึงส่วนลึกที่สุด พระองค์ได้เสด็จลงสู่นรกคนเป็นที่ซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่เพื่อผ่านวันเวลาของพระองค์ไปกับมนุษย์ พระองค์ไม่เคยตรัสบ่นความเลวทรามในหมู่มนุษย์ และพระองค์ไม่เคยได้ทรงตำหนิมนุษย์สำหรับการไม่เชื่อฟังของเขา แต่ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูอันยิ่งใหญ่ที่สุดขณะที่พระองค์ทรงดำเนินงานของพระองค์ด้วยพระองค์เองจนเสร็จสิ้น พระเจ้าจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของนรกได้อย่างไร? พระองค์จะสามารถใช้ชีวิตของพระองค์ในนรกได้อย่างไร? แต่เพื่อประโยชน์แห่งมวลมนุษย์ทั้งปวง เพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งหมดจะสามารถพบกับการหยุดพักได้เร็วขึ้น พระองค์ได้ทรงสู้ทนความอัปยศอดสูและทรงทนทุกข์กับความไม่ยุติธรรมเพื่อเสด็จมายังแผ่นดินโลก และได้เสด็จเข้าสู่ “นรก” กับ “แดนคนตาย” เข้าสู่ถ้ำเสือ ด้วยพระองค์เอง เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด มนุษย์มีคุณสมบัติที่จะต่อต้านพระเจ้าอย่างไร? เขามีเหตุผลใดที่จะพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า? เขาสามารถกล้าที่จะเพ่งมองพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าแห่งสวรรค์ได้เสด็จมายังแผ่นดินแห่งความชั่วช้าที่โสโครกที่สุดแห่งนี้ และไม่เคยได้ทรงระบายความคับข้องพระทัยของพระองค์หรือพร่ำบ่นเกี่ยวกับมนุษย์ แต่กลับทรงยอมรับการย่ำยีทั้งหลาย[1] และการกดขี่ของมนุษย์อย่างเงียบๆ แทน พระองค์ไม่เคยทรงตอบโต้ข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลของมนุษย์ พระองค์ไม่เคยทรงทำการเรียกร้องมากเกินไปกับมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยทรงกำหนดข้อเรียกร้องที่ไร้เหตุผลให้กับมนุษย์ พระองค์เพียงทรงพระราชกิจทั้งหมดที่มนุษย์พึงต้องใช้โดยไม่ทรงพร่ำบ่น ได้แก่ การสอน การให้ความรู้แจ้ง การตำหนิ กระบวนการถลุงวาจา การเตือนจำ การเตือนสติ การปลอบโยน การพิพากษา และการเปิดเผย ขั้นตอนใดของพระองค์หรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อชีวิตของมนุษย์? ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงลบความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของมนุษย์ออกไป แต่ขั้นตอนใดที่พระเจ้าได้ทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้นแล้วนั้นไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งชะตากรรมของมนุษย์หรือ? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการอยู่รอดของมนุษย์? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากความทุกข์นี้ และจากการกดขี่ของพลังมืดที่ดำเหมือนกลางคืน? ขั้นตอนใดหรือที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของมนุษย์? ผู้ใดสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้าได้ ซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของแม่ที่รักใคร่? ผู้ใดสามารถจับใจความพระทัยที่แรงกล้าของพระเจ้าได้? พระทัยที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความคาดหวังที่ร้อนแรงของพระเจ้าได้รับการตอบแทนด้วยหัวใจที่เย็นชา ด้วยสายตาที่ไม่แยแสและแข็งกระด้าง และด้วยการตำหนิติเตียนและดูถูกดูแคลนซ้ำๆ ของมนุษย์ สิ่งเหล่านั้นได้รับการตอบแทนด้วยข้อคิดเห็นที่เชือดเฉือน และการประชดประชัน และการดูแคลน สิ่งเหล่านั้นได้รับการตอบแทนด้วยการเยาะเย้ยถากถางของมนุษย์ ด้วยการเหยียบย่ำและการปฏิเสธของเขา ด้วยการจับใจความผิดๆ ของเขา และการร้องครวญคราง และความเหินห่าง และการหลีกเลี่ยง และไม่ใช่โดยสิ่งใดเลยนอกจากการหลอกลวง การโจมตี และความขมขื่น คำพูดที่อบอุ่นได้พบกับคิ้วที่ดุดันและการเยาะเย้ยท้าทายที่เยือกเย็นจากนิ้วชี้ที่ส่ายไปมานับพัน พระเจ้าทรงทำได้แต่เพียงสู้ทน ก้มพระเศียร ปรนนิบัติผู้คนเหมือนกับวัวตัวผู้ที่เต็มใจ[2] หลายวันหลายคืนเหลือเกิน หลายครั้งยิ่งนักที่พระองค์ได้ทรงเผชิญหน้ากับดวงดาว หลายครั้งยิ่งนักที่พระองค์ได้ทรงออกเดินทางไปเมื่อรุ่งอรุณและเสด็จกลับมาเมื่อย่ำค่ำ และทรงนอนพลิกกายไปมา ทรงสู้ทนความเจ็บปวดรวดร้าวที่ยิ่งใหญ่กว่าความเจ็บปวดแห่งการจากพระบิดาของพระองค์มานับพันเท่า ทรงสู้ทนการโจมตีและการทำให้สยบยอมของมนุษย์ และการจัดการกับการตัดแต่งของมนุษย์ ความถ่อมพระทัยและการซ่อนอยู่ของพระเจ้าได้รับการตอบแทนด้วยอคติ[3]ของมนุษย์ ด้วยทัศนะที่ไม่เป็นธรรมและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของมนุษย์ และหนทางอันไร้สุ้มเสียงที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในความลึกลับ ความอดกลั้นของพระองค์ การยอมผ่อนปรนของพระองค์ได้รับการตอบแทนด้วยการจับจ้องอันละโมบของมนุษย์ มนุษย์พยายามที่จะกระทืบพระเจ้าให้สิ้นพระชนม์ โดยไม่มีความรู้สึกสำนึกผิด และพยายามที่จะเหยียบย่ำพระเจ้าให้จมพื้นดิน ท่าทีของมนุษย์ในการปฏิบัติของเขาต่อพระเจ้าคือท่าทีแห่ง “ความฉลาดที่หาได้ยาก” และพระเจ้าผู้ซึ่งถูกมนุษย์รังแกและดูถูก ถูกขยี้จนแบนอยู่ใต้เท้าของผู้คนนับหมื่น ในขณะที่มนุษย์เองยืนบนที่สูง ราวกับว่าเขาจะเป็นราชาแห่งเนินเขา ราวกับว่าเขาต้องการที่จะใช้พลังอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด[4] เพื่อเป็นศูนย์กลางที่มีแต่คนห้อมล้อมจากเบื้องหลังหน้าจอ เพื่อทำให้พระเจ้าทรงเป็นผู้กำกับที่มีมโนธรรมและปฏิบัติตามกฎอยู่หลังฉาก ผู้ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้สู้ตอบหรือก่อให้เกิดความยากลำบาก พระเจ้าต้องทรงเล่นบทของจักรพรรดิองค์สุดท้าย พระองค์ต้องทรงเป็นหุ่นเชิด[5] ที่ปราศจากอิสรภาพทั้งปวง ความประพฤติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ ดังนั้น เขามีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะเรียกร้องการนี้หรือการนั้นจากพระเจ้า? เขามีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะยื่นข้อเสนอแนะแก่พระเจ้า? เขามีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะเรียกร้องให้พระเจ้าเห็นพระทัยความอ่อนแอของเขา? เขาเหมาะสมอย่างไรที่จะได้รับพระปรานีของพระเจ้า? เขาเหมาะสมอย่างไรที่จะได้รับความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า? เขาเหมาะสมอย่างไรที่จะได้รับการอภัยของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า? จิตสำนึกของเขาอยู่ที่ใด? เขาได้ทำให้พระทัยของพระเจ้าแตกสลายนานมาแล้ว เขาได้ทิ้งให้พระทัยของพระเจ้าแหลกเป็นชิ้นๆ มานานแล้ว พระเจ้าเสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ด้วยความแจ่มใสและมีชีวิตชีวา โดยทรงหวังว่ามนุษย์คงจะโอบอ้อมอารีต่อพระองค์ แม้กระทั่งเป็นเพียงด้วยความอบอุ่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถึงกระนั้น พระทัยของพระเจ้าก็ใช้เวลานานกว่าจะได้รับการชูใจโดยมนุษย์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงได้รับมาคือการโจมตีด้วยการขว้างก้อนหิมะ[6]และการทรมาน หัวใจของมนุษย์นั้นโลภเกินไป ความอยากของเขายิ่งใหญ่เกินไป เขาไม่มีวันสามารถอิ่มเอมได้ เขาประสงค์ร้ายและบ้าบิ่นอยู่เสมอ เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้พระเจ้ามีอิสรภาพหรือสิทธิ์ในพระดำรัสอันใด และทำให้พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากต้องนบนอบต่อความอัปยศอดสู และอนุญาตให้มนุษย์บงการพระองค์อย่างไรก็ได้ตามที่เขาปรารถนา
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (9)
เชิงอรรถ:
1. “การย่ำยีทั้งหลาย” ใช้เพื่อเปิดโปงการไม่เชื่อฟังของมวลมนุษย์
2. “ได้พบกับคิ้วที่ดุดันและการเยาะเย้ยท้าทายที่เยือกเย็นจากนิ้วชี้ที่ส่ายไปมานับพัน ก้มพระเศียร ปรนนิบัติผู้คนเหมือนกับวัวตัวผู้ที่เต็มใจ” เดิมทีเป็นประโยคเดี่ยว แต่ในที่นี้ถูกแยกออกเป็นสองประโยคเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนขึ้น ส่วนแรกของประโยคอ้างอิงถึงการกระทำของมนุษย์ ในขณะที่ส่วนที่สองบ่งบอกถึงความทุกข์ที่พระเจ้าได้ทรงก้าวผ่าน และว่าพระเจ้านั้นถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น
3. “อคติ” อ้างถึงพฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟังของผู้คน
4. “ใช้พลังอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” อ้างถึงพฤติกรรมที่ไม่เชื่อฟังของผู้คน พวกเขาชูตัวเองขึ้นสูง ใส่โซ่ตรวนผู้อื่น ทำให้คนเหล่านั้นติดตามพวกเขาและทนทุกข์เพื่อพวกเขา พวกเขาคือกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า
5. “หุ่นเชิด” ใช้เพื่อเยาะเย้ยถากถางพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้า
6. “ขว้างก้อนหิมะ” ใช้เพื่อเน้นให้เห็นพฤติกรรมที่ต่ำช้าของผู้คน
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 197
การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าได้ส่งคลื่นกระแทกไปทั่วทุกศาสนาและทุกวงการ ได้ทำให้ระเบียบดั้งเดิมของแวดวงศาสนาทั้งหลาย “ถูกโยนเข้าสู่ความสับสนวุ่นวาย” และได้เขย่าหัวใจของคนเหล่านั้นทั้งหมดที่โหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้า ผู้ใดเล่าไม่ชื่นชมบูชา? ผู้ใดไม่ถวิลหาที่จะเห็นพระเจ้า? พระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่เคยได้ตระหนักถึงการนั้น วันนี้ พระเจ้าพระองค์เองได้ทรงปรากฏแล้ว และได้ทรงแสดงพระอัตลักษณ์ของพระองค์ออกไปให้หมู่ชนได้เห็น—การนี้จะไม่สามารถนำความปีติยินดีมาสู่หัวใจของมนุษย์ได้อย่างไร? ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทรงร่วมแบ่งปันความชื่นชมยินดีและความเศร้ากับมนุษย์ และวันนี้พระองค์ก็ได้ทรงอยู่ร่วมกันกับมวลมนุษย์อีกครั้งแล้ว และทรงแบ่งปันเรื่องเล่าแห่งกาลเวลาที่ผ่านไปกับเขา หลังจากที่พระองค์ได้ทรงพระดำเนินออกจากยูเดีย ผู้คนก็ไม่สามารถหาร่องรอยของพระองค์พบ พวกเขาโหยหาที่จะได้พบกับพระเจ้าอีกครั้ง โดยแทบไม่รู้เลยว่าวันนี้พวกเขาได้พบกับพระองค์อีกครั้งและได้อยู่ร่วมกันกับพระองค์อีกครั้งแล้ว การนี้จะไม่สามารถกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับวันวานได้อย่างไร? วันนี้เมื่อสองพันปีที่แล้ว ซีโมนบุตรโยนาห์ พงศ์พันธุ์ของคนยิว ได้เห็นพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด ได้รับประทานร่วมโต๊ะเดียวกับพระองค์ และหลังจากติดตามพระองค์มาเป็นเวลาหลายปีก็รู้สึกถึงการรักใคร่เอ็นดูที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อพระองค์ กล่าวคือ เขารักพระองค์จากก้นบึ้งหัวใจของเขา เขารักองค์พระเยซูเจ้าอย่างล้ำลึก คนยิวไม่รู้เลยว่าทารกผมทองผู้นี้ ซึ่งถือกำเนิดในรางหญ้าที่หนาวเหน็บ เป็นพระฉายาแรกแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าอย่างไร พวกเขาทั้งหมดคิดว่าพระองค์ก็เป็นแบบเดียวกับพวกเขา ไม่มีผู้ใดคิดว่าพระองค์ทรงแตกต่างไปแต่อย่างใด—ผู้คนจะสามารถระลึกได้ถึงพระเยซูที่ธรรมดาและสามัญนี้ได้อย่างไร? คนยิวคิดว่าพระองค์เป็นบุตรคนยิวคนหนึ่งในเวลานั้น ไม่มีผู้ใดเฝ้ามองพระองค์ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงดีงาม และผู้คนไม่ทำสิ่งใดนอกจากทำการเรียกร้องจากพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด โดยขอให้พระองค์ประทานความมั่งคั่งและพระคุณมากมาย และสันติสุข และความชื่นชมยินดีแก่พวกเขา พวกเขารู้แต่เพียงว่า พระองค์ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่คนผู้หนึ่งจะสามารถปรารถนาได้เหมือนกับเศรษฐีผู้หนึ่ง ถึงกระนั้นผู้คนก็ไม่เคยได้ปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นที่รัก ผู้คนในเวลานั้นไม่ได้รักพระองค์ และมีแต่ประท้วงพระองค์เท่านั้น และทำการเรียกร้องที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลต่อพระองค์ พระองค์ไม่เคยทรงต้านทาน แต่ได้ประทานพระคุณแก่มนุษย์อยู่เนืองนิตย์ ถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงทำสิ่งใดนอกจากประทานความอบอุ่น ความรัก และความปรานีแก่มนุษย์อย่างเงียบๆ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงให้วิธีการปฏิบัติใหม่ๆ แก่มนุษย์ โดยทรงนำทางมนุษย์ออกจากพันธนาการของธรรมบัญญัติ มนุษย์ไม่ได้รักพระองค์ เขาเพียงแต่อิจฉาพระองค์และระลึกได้ถึงความสามารถพิเศษของพระองค์เท่านั้น มวลมนุษย์ที่ตาบอดจะสามารถรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงดีงามได้ทรงทนทุกข์กับความอัปยศอดสูที่ยิ่งใหญ่เพียงใดเมื่อพระองค์เสด็จมาอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์? ไม่มีผู้ใดพิจารณาถึงทุกข์โศกของพระองค์ ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อพระเจ้าพระบิดา และไม่มีผู้ใดสามารถรู้ถึงความรู้สึกโดดเดี่ยวของพระองค์ ถึงแม้ว่านางมารีย์จะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของพระองค์ แต่นางจะสามารถรู้ถึงพระดำริในพระทัยขององค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงปรานีได้อย่างไร? ผู้ใดเล่าที่รู้ถึงความทุกข์อันไม่อาจบรรยายได้ที่บุตรมนุษย์ได้ทรงสู้ทน? หลังจากได้ร้องขอจากพระองค์แล้ว ผู้คนในเวลานั้นได้วางพระองค์ไว้ในซอกหลืบแห่งความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาและทิ้งพระองค์ไว้ข้างนอกอย่างเย็นชา พระองค์จึงทรงระหกระเหินไปตามท้องถนน วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ทรงเลื่อนลอยไปเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งพระองค์ได้ดำรงพระชนม์มาเป็นเวลาสามสิบสามปีที่ยากลำบาก เป็นหลายปีที่ทั้งยาวนานและสั้นกระชับ เมื่อผู้คนจำเป็นต้องมีพระองค์ พวกเขาได้เชิญพระองค์เข้ามาในบ้านของพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม พยายามที่จะทำข้อเรียกร้องต่อพระองค์—และหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสร้างคุณูปการในส่วนของพระองค์ให้แก่พวกเขา พวกเขาก็ผลักไสพระองค์ออกนอกประตูทันที ผู้คนได้กินสิ่งที่ถูกจัดเตรียมให้จากพระโอษฐ์ของพระองค์ พวกเขาดื่มโลหิตของพระองค์ และพวกเขาชื่นชมพระคุณที่พระองค์ได้ประทานแก่พวกเขา แต่กระนั้นพวกเขาก็ต่อต้านพระองค์ด้วย เพราะพวกเขาไม่เคยได้รู้ว่าผู้ใดได้มอบชีวิตของพวกเขาแก่พวกเขา ในท้ายที่สุด พวกเขาได้ตรึงพระองค์กับกางเขน ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงส่งเสียงใดๆ แม้กระทั่งวันนี้ พระองค์ก็ยังคงนิ่งเงียบ ผู้คนกินเนื้อหนังของพระองค์ พวกเขาดื่มพระโลหิตของพระองค์ พวกเขากินอาหารที่พระองค์ทรงทำเพื่อพวกเขา และพวกเขาเดินบนหนทางที่พระองค์ได้ทรงเปิดให้แก่พวกเขา ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงเจตนาที่จะปฏิเสธพระองค์ แท้ที่จริงแล้วพวกเขาปฏิบัติต่อพระเจ้าผู้ซึ่งได้ประทานชีวิตแก่พวกเขาเสมือนเป็นศัตรู และกลับปฏิบัติต่อพวกที่เป็นทาสเช่นเดียวกับพวกเขาเสมือนเป็นพระบิดาแห่งสวรรค์แทน ในการนี้ พวกเขาไม่ได้จงใจต่อต้านพระองค์หรอกหรือ? พระเยซูได้มาสิ้นพระชนม์บนกางเขนได้อย่างไร? พวกเจ้ารู้หรือไม่? พระองค์ไม่ได้ทรงถูกทรยศโดยยูดาส ผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์มากที่สุดและได้กินพระองค์ ดื่มพระองค์ และชื่นชมพระองค์หรอกหรือ? ยูดาสไม่ได้ทรยศพระเยซูเพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นอื่นใดมากไปกว่าอาจารย์ปกติผู้ไม่สำคัญคนหนึ่งหรอกหรือ? หากผู้คนได้เห็นจริงๆ ว่าพระเยซูทรงเหนือธรรมดาและเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้มาจากสวรรค์ พวกเขาจะสามารถตรึงพระองค์ที่กางเขนทั้งเป็น เป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงจนกระทั่งพระองค์ไม่ทรงมีลมปราณเหลืออยู่ในร่างของพระองค์ได้อย่างไร? ผู้ใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้? ผู้คนไม่ทำสิ่งใดนอกจากชื่นชมพระเจ้าด้วยความโลภที่ไม่รู้จักพอ แต่พวกเขาไม่เคยได้รู้จักพระองค์ พวกเขาได้รับมอบหนึ่งนิ้วและได้เอาไปหนึ่งไมล์ และพวกเขาได้ทำให้ “พระเยซู” เชื่อฟังคำบัญชาของพวกเขา เชื่อฟังคำสั่งของพวกเขาโดยสิ้นเชิง ผู้ใดเล่าเคยแสดงสิ่งใดที่เป็นหนทางแห่งความปรานีต่อบุตรมนุษย์ผู้นี้ ผู้ซึ่งไม่มีที่ใดให้วางพระเศียรของพระองค์? ผู้ใดเล่าเคยคิดถึงการร่วมแรงกำลังกับพระองค์เพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าพระบิดาสำเร็จลุล่วง? ผู้ใดเล่าเคยนึกถึงพระองค์? ผู้ใดเล่าเคยพิจารณาถึงความลำบากยากเย็นของพระองค์? มนุษย์บิดกระชากพระองค์ไปมาโดยไม่มีความรักแม้แต่น้อย มนุษย์ไม่รู้ว่าความสว่างและชีวิตของเขามาจากที่ใดและไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากวางแผนอย่างลับๆ ว่าจะตรึงกางเขน “พระเยซู” แห่งสองพันปีที่แล้ว ผู้ซึ่งได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดท่ามกลางมนุษย์ อีกครั้งอย่างไร “พระเยซู” ทรงบันดาลความเกลียดชังเช่นนั้นจริงๆ หรือ? ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำไปถูกลืมเลือนไปนานแล้วหรือ? ความเกลียดชังที่บรรจบรวมกันมาเป็นเวลาหลายพันปีจะถูกปล่อยออกมาในที่สุด เจ้าซึ่งเป็นจำพวกเดียวกับคนยิว! “พระเยซู” เคยได้เป็นศัตรูกับพวกเจ้าเมื่อใดกัน จนพวกเจ้าควรจะเกลียดชังพระองค์มากถึงเพียงนี้? พระองค์ได้ทรงทำมากมายยิ่งนัก และได้ตรัสมากมายยิ่งนัก—ไม่มีสิ่งใดในการนั้นที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าเลยหรือ? พระองค์ได้ประทานชีวิตของพระองค์แก่พวกเจ้าโดยไม่ทรงถามหาสิ่งใดตอบแทน พระองค์ได้ประทานทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์แก่พวกเจ้าแล้ว—พวกเจ้ายังคงต้องการที่จะกินพระองค์ทั้งเป็นจริงๆ หรือ? พระองค์ได้ทรงให้ทั้งหมดของพระองค์แก่พวกเจ้าโดยไม่ทรงลังเล โดยไม่เคยทรงชื่นชมความรุ่งโรจน์ทางโลก ความอบอุ่นท่ามกลางมนุษย์ ความรักท่ามกลางมนุษย์ หรือพระพรทั้งหมดท่ามกลางมนุษย์เลย ผู้คนนั้นใจร้ายกับพระองค์ยิ่งนัก พระองค์ไม่เคยได้ทรงชื่นชมความมั่งคั่งทั้งหมดบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงอุทิศความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระหทัยที่จริงใจและเต็มไปด้วยความรู้สึกของพระองค์ให้แก่มนุษย์ พระองค์ได้ทรงอุทิศความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์แก่มวลมนุษย์แล้ว—และผู้ใดเคยให้ความอบอุ่นแก่พระองค์บ้าง? ผู้ใดเคยให้การชูใจแก่พระองค์บ้าง? มนุษย์ได้สุมความกดดันทั้งหมดไว้บนพระองค์ เขาได้ส่งมอบโชคร้ายทั้งหมดให้แก่พระองค์ เขาได้ยัดเยียดประสบการณ์ที่อาภัพอับโชคที่สุดท่ามกลางมนุษย์ให้พระองค์ เขาติเตียนพระองค์สำหรับความอยุติธรรมทั้งหมด และพระองค์ได้ยอมรับมันไปโดยปริยาย พระองค์เคยได้ทรงทักท้วงผู้ใดหรือไม่? พระองค์เคยได้ทรงถามหาการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ จากผู้ใดไหม? ผู้ใดเคยได้แสดงความเห็นอกเห็นใจใดๆ ต่อพระองค์บ้าง? ในฐานะมนุษย์ปกติ ผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่ไม่เคยมีวัยเด็กที่ช่างเพ้อฝันบ้าง? ผู้ใดบ้างไม่เคยมีวัยหนุ่มสาวอันเต็มไปด้วยสีสัน? ผู้ใดบ้างไม่เคยมีความอบอุ่นจากผู้คนอันเป็นที่รัก? ผู้ใดบ้างไม่มีความรักของญาติพี่น้องและมิตรสหาย? ผู้ใดบ้างไม่มีความนับถือจากผู้อื่น? ผู้ใดบ้างไม่มีครอบครัวที่อบอุ่น? ผู้ใดบ้างไม่มีความชูใจจากเพื่อนสนิทของพวกเขา? และพระองค์เคยได้ทรงชื่นชมสิ่งใดแบบนี้หรือไม่? ผู้ใดเคยได้ให้ความอบอุ่นสักเล็กน้อยกับพระองค์บ้าง? ผู้ใดเคยได้ให้เศษเสี้ยวของการชูใจแก่พระองค์บ้าง? ผู้ใดเคยแสดงศีลธรรมจรรยาแบบมนุษย์สักเล็กน้อยกับพระองค์บ้าง? ผู้ใดเคยยอมผ่อนปรนกับพระองค์บ้าง? ผู้ใดเคยอยู่กับพระองค์ในช่วงระหว่างเวลาที่ลำบากยากเย็นบ้าง? ผู้ใดเคยได้ผ่านชีวิตที่ยากลำบากกับพระองค์บ้าง? มนุษย์ไม่เคยผ่อนคลายข้อพึงประสงค์ของเขาที่มีต่อพระองค์ เขาแค่ทำการเรียกร้องต่อพระองค์โดยไม่มีความกระดากใจใดๆ ราวกับว่าเมื่อได้เสด็จมายังโลกมนุษย์แล้ว พระองค์ก็จำต้องทรงเป็นวัวหรือม้าของมนุษย์ เป็นนักโทษของเขา และจำต้องประทานทั้งหมดของพระองค์แก่มนุษย์ หาไม่แล้ว มนุษย์จะไม่มีวันยกโทษให้พระองค์ จะไม่มีวันเบามือกับพระองค์ จะไม่มีวันเรียกพระองค์ว่าพระเจ้า และจะไม่มีวันเลื่อมใสและเคารพพระองค์ มนุษย์นั้นมีท่าทีที่รุนแรงเกินไปต่อพระเจ้า ราวกับว่าเขาเตรียมที่จะทรมานพระเจ้าจนสิ้นพระชนม์ มีเพียงหลังจากนั้นเท่านั้นที่เขาจะผ่อนคลายข้อพึงประสงค์ของเขาที่มีต่อพระเจ้า มิฉะนั้นมนุษย์จะไม่มีวันลดมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ของเขาที่มีต่อพระเจ้าลงเลย มนุษย์เช่นนี้จะไม่ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่โศกนาฏกรรมแห่งวันนี้หรอกหรือ? จิตสำนึกของมนุษย์อันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว เขาเอาแต่พูดว่าเขาจะตอบแทนความรักของพระเจ้า แต่เขากลับแยกส่วนพระเจ้าและทรมานพระองค์จนสิ้นพระชนม์ นี่ไม่ใช่ “สูตรลับ” ในความเชื่อพระเจ้าของเขา ที่ถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษของเขาหรอกหรือ? ไม่มีที่ใดที่จะไม่พบ “คนยิว” และวันนี้พวกเขายังคงทำงานเดียวกันนั้น พวกเขายังคงดำเนินงานเดียวกันนั้นในการต่อต้านพระเจ้าให้เสร็จสิ้น แต่กระนั้นก็ยังเชื่อว่าพวกเขากำลังเชิดชูพระเจ้าไว้สูง สายตาของมนุษย์เองจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? มนุษย์ผู้ซึ่งใช้ชีวิตในเนื้อหนังจะสามารถปฏิบัติต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ผู้เสด็จมาจากพระวิญญาณ เสมือนเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? ผู้ใดบ้างท่ามกลางมนุษย์ที่จะสามารถรู้จักพระองค์? ความจริงอยู่ที่ใดท่ามกลางมนุษย์? ความชอบธรรมที่แท้จริงอยู่ที่ใด? ผู้ใดบ้างสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า? ผู้ใดสามารถแข่งขันกับพระเจ้าในสวรรค์ได้? ไม่ต้องประหลาดใจเลยว่า เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ ไม่มีผู้ใดรู้จักพระเจ้าเลย และพระองค์ได้ทรงถูกปฏิเสธ มนุษย์สามารถทนยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าได้อย่างไร? เขาจะสามารถยอมให้ความสว่างขับความมืดของโลกนี้ออกไปได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่การเฝ้าเดี่ยวอันมีเกียรติของมนุษย์หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การเข้าสู่ที่เที่ยงตรงของมนุษย์หรอกหรือ? และพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่การเข้าสู่ของมนุษย์หรอกหรือ? เราปรารถนาให้พวกเจ้าผนวกพระราชกิจของพระเจ้าเข้ากับการเข้าสู่ของมนุษย์ และสถาปนาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ที่มนุษย์ควรที่จะปฏิบัติให้ดีสุดความสามารถของพวกเจ้า ในหนทางนี้ พระราชกิจของพระเจ้าจะมาถึงบทอวสานหลังจากนั้น ด้วยการที่พระองค์ทรงได้รับพระสิริเป็นการสรุปปิดตัวของพระราชกิจนั้น!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (10)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 198
วันนี้เราทำงานในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในประเทศจีนเพื่อเผยอุปนิสัยที่เป็นกบฏของพวกเขาทั้งหมด และเปิดโปงความน่าเกลียดของพวกเขา และการนี้ให้บริบทสำหรับการพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องพูด หลังจากนั้น เมื่อเราดำเนินขั้นตอนต่อไปของพระราชกิจการพิชิตทั่วทั้งจักรวาลจนเสร็จสิ้นแล้ว เราจะใช้การพิพากษาที่เรามีให้กับพวกเจ้าเพื่อพิพากษาความไม่ชอบธรรมของทุกคนในทั่วทั้งจักรวาล เพราะผู้คนอย่างพวกเจ้าเป็นตัวแทนของความเป็นกบฏท่ามกลางมวลมนุษย์ พวกที่ไม่สามารถยกระดับขึ้นมาได้จะกลายเป็นเพียงตัวประกอบเสริมความเด่นและวัตถุเพื่อการปรนนิบัติ ในขณะที่ผู้ที่สามารถยกระดับขึ้นมาได้จะถูกนำไปใช้ เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกที่ไม่สามารถยกระดับขึ้นมาได้จะทำหน้าที่เป็นได้เพียงตัวประกอบเสริมความเด่นเท่านั้น? นั่นเป็นเพราะคำพูดและงานของเราในปัจจุบันทั้งหมดมีเป้าหมายที่ภูมิหลังของพวกเจ้า และเพราะพวกเจ้าได้กลายเป็นตัวแทนและบุคคลตัวอย่างของความเป็นกบฏท่ามกลางมนุษย์ หลังจากนั้นเราจะนำคำพูดเหล่านี้ที่พิชิตพวกเจ้าไปยังชนต่างชาติทั้งหลายและใช้คำพูดเหล่านี้เพื่อพิชิตผู้คนที่นั่น แต่เจ้าจะยังไม่ได้รับคำพูดเหล่านั้น นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นหรือ? อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทั้งปวง การกระทำที่เป็นกบฏของมนุษย์ และรูปลักษณ์และใบหน้าที่น่าเกลียดของมนุษย์—ทั้งหมดนี้ได้รับการบันทึกไว้ในวันนี้ในวจนะที่ใช้เพื่อพิชิตพวกเจ้า จากนั้นเราจะใช้วจนะเหล่านี้เพื่อพิชิตผู้คนจากทุกชนชาติและทุกนิกาย เพราะพวกเจ้าเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างที่มีมาก่อน อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เริ่มต้นการเดินทางเพื่อจงใจทอดทิ้งพวกเจ้า หากเจ้าล้มเหลวที่จะทำให้ดีในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า และดังนั้นเจ้าจึงพิสูจน์ว่าเป็นผู้ที่ไม่สามารถรักษาได้ เจ้าจะไม่เป็นเพียงวัตถุเพื่อการปรนนิบัติและตัวประกอบเสริมความเด่นหรือ? เราเคยพูดว่าเราใช้สติปัญญาของเราโดยมีพื้นฐานอยู่บนกลอุบายของซาตาน เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น? นั่นไม่ใช่ความจริงที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่เรากำลังพูดและกำลังทำในตอนนี้หรือ? หากเจ้าไม่สามารถยกระดับขึ้นมาได้ หากเจ้าไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่กลับถูกลงโทษแทน เจ้าจะไม่กลายเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นหรือ? บางทีเจ้าอาจได้ทนทุกข์มากมายในช่วงเวลาของเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังคงไม่เข้าใจสิ่งใดเลย เจ้าไม่รู้เท่าทันในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิต ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับการตีสอนและพิพากษาแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย และลึกๆ ลงไปภายในนั้น เจ้ายังไม่ได้รับชีวิต เมื่อถึงเวลาที่จะทดสอบงานของเจ้า เจ้าจะได้รับประสบการณ์กับการทดสอบที่ดุเดือดดั่งไฟและแม้กระทั่งความทุกข์ลำบากที่มากยิ่งกว่า ไฟนี้จะเปลี่ยนการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของเจ้าให้กลายเป็นขี้เถ้า ในฐานะใครบางคนที่ไม่ได้ครอบครองชีวิต ใครบางคนที่ปราศจากทองคำบริสุทธิ์ภายในแม้สักเสี้ยว ใครบางคนที่ยังคงติดอยู่กับอุปนิสัยเก่าๆ อันเสื่อมทราม และใครบางคนที่ไม่สามารถแม้กระทั่งทำงานที่ดีได้กับการเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น เจ้าจะไม่ถูกขับออกไปได้อย่างไร? ใครบางคนที่มีค่าน้อยกว่าเงินหนึ่งเพนนี และใครบางคนที่ไม่ได้ครองชีวิต สามารถมีประโยชน์อันใดสำหรับพระราชกิจแห่งการพิชัตชัยหรือไม่? เมื่อเวลานั้นมาถึง วันของพวกเจ้าจะยากลำบากกว่าวันเหล่านั้นของโนอาห์และโสโดม! ถึงตอนนั้นการอธิษฐานของเจ้าจะไม่ให้ประโยชน์ใดกับเจ้า เจ้าจะสามารถกลับมาภายหลังและเริ่มต้นกลับใจใหม่อีกครั้งได้อย่างไรเมื่อพระราชกิจแห่งความรอดได้สิ้นไปแล้ว? ทันทีที่พระราชกิจแห่งความรอดทั้งหมดได้รับการดำเนินการเสร็จสิ้นก็จะไม่มีพระราชกิจนั้นอีก สิ่งที่จะมีคือการเริ่มต้นพระราชกิจแห่งการลงโทษผู้ที่ชั่วร้าย เจ้าต้านทาน เจ้ากบฏ และเจ้าทำสิ่งต่างๆ ที่เจ้ารู้ว่าชั่วร้าย เจ้าไม่ได้เป็นเป้าหมายของการลงโทษที่รุนแรงหรือ? เรากำลังพูดสิ่งนี้ออกมาให้เจ้าฟังในวันนี้ หากเจ้าเลือกที่จะไม่ฟัง เช่นนั้นแล้วเมื่อความวิบัติบังเกิดกับเจ้าในภายหลัง จะไม่สายเกินไปหรือหากเจ้าเริ่มรู้สึกเสียใจและเริ่มเชื่อในตอนนั้นเท่านั้น? เรากำลังให้โอกาสเจ้ากลับใจในวันนี้ แต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น เจ้าต้องการที่จะรอไปนานเท่าใด? จนกว่าจะถึงวันแห่งการตีสอนหรือ? เราไม่ได้จดจำการล่วงละเมิดที่ผ่านมาของเจ้าในวันนี้ เราให้อภัยเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เบนสายตาจากด้านที่เป็นลบของเจ้าเพื่อมองแค่ด้านที่เป็นบวกของเจ้า เพราะคำพูดและงานในปัจจุบันของเราทั้งหมดมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยเจ้าให้รอด และเราไม่มีเจตนาร้ายใดๆ ต่อเจ้า แต่เจ้ายังปฏิเสธที่จะเข้าสู่ เจ้าไม่สามารถแยกแยะความดีออกจากความเลว และไม่รู้ว่าจะซึ้งคุณค่าความใจดีมีเมตตาอย่างไร ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่แค่รอการมาถึงของการลงโทษและการลงทัณฑ์อันสาสมที่ชอบธรรมหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 199
เมื่อโมเสสทุบก้อนหิน และน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานได้ผุดออกมา มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อดาวิดได้เล่นพิณตั้งเพื่อสรรเสริญเรา พระยาห์เวห์—ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความชื่นบานยินดีของเขา—มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อโยบสูญเสียปศุสัตว์ของเขาซึ่งเต็มภูเขาทั้งหลายและความมั่งคั่งมากมายเกินบรรยาย และร่างกายของเขาได้กลายเป็นถูกปกคลุมไปด้วยฝีที่เจ็บปวด มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อเขาสามารถได้ยินเสียงของเรา พระยาห์เวห์ และเห็นสง่าราศีของเรา พระยาห์เวห์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เปโตรสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ได้ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เขาสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเห็นแก่เราและมอบคำพยานอันรุ่งโรจน์ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขาเช่นกัน เมื่อยอห์นได้เห็นฉายาอันรุ่งโรจน์ของบุตรมนุษย์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อเขาได้เห็นนิมิตแห่งยุคสุดท้าย มันเป็นเพราะความเชื่อของเขามากขึ้นไปอีก สาเหตุที่ชนต่างชาติทั้งหลายดังที่เรียกขานกันนั้นได้รับวิวรณ์ของเรา และได้มารู้ว่าเราได้กลับมาในเนื้อหนังแล้วเพื่อทำงานของเราท่ามกลางมนุษย์ ก็เป็นเพราะความเชื่อของพวกเขาเช่นกัน ทุกคนที่ถูกทำร้ายโดยถ้อยคำเกรี้ยวกราดของเราและกระนั้นกลับได้รับการปลอบใจจากถ้อยคำเหล่านั้น และได้รับการช่วยให้รอด—พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะความเชื่อของพวกเขาหรอกหรือ? ผู้คนได้รับมากมายเพราะความเชื่อของพวกเขา และนั่นไม่ใช่พรเสมอไป พวกเขาอาจไม่ได้รับความสุขและความชื่นบานยินดีแบบที่ดาวิดรู้สึก หรือมีน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานให้เหมือนกับที่โมเสสได้รับ ตัวอย่างเช่น โยบได้รับพรจากพระยาห์เวห์เพราะความเชื่อของเขา แต่เขายังทนทุกข์กับความวิบัติด้วยเช่นกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับพรหรือทนทุกข์กับความวิบัติ ทั้งสองต่างก็เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านการอวยพรทั้งนั้น หากปราศจากความเชื่อ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะรับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้ แล้วนับประสาอะไรกับการจะได้มองเห็นกิจการของพระยาห์เวห์ที่แสดงอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าในวันนี้ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น แล้วนับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะสามารถได้รับ แส้ตีสอนเหล่านี้ หายนะเหล่านี้ และการพิพากษาทั้งหมด—หากสิ่งเหล่านี้ไม่บังเกิดแก่เจ้า เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นกิจการของพระยาห์เวห์ในวันนี้ได้หรือ? ในวันนี้ สิ่งที่ทำให้เจ้าสามารถถูกพิชิตได้คือความเชื่อ และสิ่งที่ทำให้เจ้าสามารถเชื่อในทุกกิจการของพระยาห์เวห์ได้คือการถูกพิชิต เจ้าได้รับการตีสอนและการพิพากษาเช่นนั้นได้เพราะความเชื่อเท่านั้น เจ้าถูกพิชิตและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษานี้ หากปราศจากการตีสอนและการพิพากษาแบบที่เจ้ากำลังได้รับในวันนี้ ความเชื่อของเจ้าจะสูญเปล่า เพราะเจ้าจะไม่รู้จักพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เชื่อในพระองค์มากเพียงใดก็ตาม ความเชื่อของเจ้าจะยังคงเป็นเพียงแค่การแสดงออกอย่างว่างเปล่าที่ไม่มีพื้นฐานอยู่ในความเป็นจริง ความเชื่อของเจ้าจะกลายเป็นจริงและเชื่อถือได้ และหัวใจของเจ้าจะหันหาพระเจ้าหลังจากที่เจ้าได้รับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นพระราชกิจที่ทำให้เจ้าเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์ ถึงแม้เจ้าจะทนทุกข์กับการพิพากษาและการสาปแช่งเป็นอันมากเพราะคำว่า “ความเชื่อ” นี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงและเจ้าได้รับสิ่งที่แท้จริงที่สุด เป็นจริงที่สุด และล้ำค่าที่สุด นี่เป็นเพราะว่าเจ้ามองเห็นบั้นปลายสุดท้ายของสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าในระหว่างที่การพิพากษาดำเนินไปเท่านั้น เจ้ามองเห็นว่าพระผู้สร้างควรต้องได้รับความรักในการพิพากษานี้ เจ้ามองเห็นพระพาหาของพระเจ้าในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเช่นนั้น เจ้ามาเข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างครบถ้วนในการพิชิตชัยนี้ เจ้าได้รับเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์และมาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ “มนุษย์” ในการพิชิตชัยนี้ เจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และโฉมพระพักตร์อันงดงามและเปี่ยมด้วยพระสิริในการพิชิตชัยนี้เท่านั้น เจ้าเรียนรู้จุดกำเนิดของมนุษย์และเข้าใจ “ประวัติศาสตร์ที่เป็นอมตะ” ของมวลมนุษย์ทั้งปวงในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้เท่านั้น เจ้ามาจับใจความบรรพบุรุษของมวลมนุษย์และต้นกำเนิดของความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้ในการพิชิตชัยนี้ เจ้าได้รับความชื่นบานยินดีและความสบาย ตลอดจนการตีสอนอันไม่รู้จบ การคุมวินัย และคำพูดตำหนิจากพระผู้สร้างต่อมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างในการพิชิตชัยนี้ เจ้าได้รับพร ตลอดจนหายนะที่มนุษย์สมควรได้รับในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้… ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพราะความเชื่ออันเล็กน้อยของเจ้าหรือ? แล้วความเชื่อของเจ้าไม่เพิ่มขึ้นหลังจากที่เจ้าได้รับสิ่งเหล่านี้หรือ? เจ้าไม่ได้ได้รับมาแล้วมากมายหรือ? เจ้าไม่เพียงแต่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและได้มองเห็นพระปรีชาญาณของพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังได้รับประสบการณ์กับแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์ด้วยตัวเจ้าเองด้วย บางทีเจ้าคงจะพูดว่าหากเจ้าไม่มีความเชื่อ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงจะไม่ได้ทนทุกข์กับการตีสอนแบบนี้หรือการพิพากษาแบบนี้ แต่เจ้าควรรู้ว่าหากปราศจากความเชื่อ เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่สามารถได้รับการตีสอนแบบนี้หรือการเอาใจใส่แบบนี้จากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้น แต่เจ้าจะยังสูญเสียโอกาสที่จะได้พบกับพระผู้สร้างไปตลอดกาลด้วย เจ้าจะไม่มีวันรู้จักต้นกำเนิดของมวลมนุษย์ และไม่มีวันได้จับใจความนัยสำคัญของชีวิตมนุษย์ได้ ถึงแม้ว่าร่างกายของเจ้าตายไปและดวงจิตของเจ้าจากไป เจ้าก็จะยังคงไม่เข้าใจกิจการทั้งหมดของพระผู้สร้าง นับประสาอะไรที่เจ้าจะรู้ว่าพระผู้สร้างทรงปฏิบัติพระราชกิจอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นบนแผ่นดินโลกหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้น ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นนี้ เจ้าเต็มใจที่จะตกลงไปในความมืดอย่างไม่รู้เท่าทันในลักษณะนี้ และทนทุกข์กับการลงโทษชั่วนิรันดร์หรือไม่? หากเจ้าแยกตัวเจ้าเองออกจากการตีสอนและการพิพากษาของวันนี้ สิ่งที่เจ้าจะได้พบคืออะไร? เจ้าคิดหรือว่าทันทีที่แยกจากการพิพากษาของปัจจุบันนี้แล้ว เจ้าจะมีความสามารถที่จะหลีกหนีจากชีวิตที่ลำบากยากเย็นนี้ได้? เป็นเรื่องไม่จริงหรือที่หากเจ้าออกจาก “สถานที่นี้” สิ่งที่เจ้าจะได้เผชิญคือความทรมานที่เจ็บปวดหรือการข่มเหงอย่างโหดร้ายจากมาร? เจ้าอาจเผชิญกับวันและคืนที่ไม่อาจทานทนได้หรือไม่? เจ้าคิดหรือว่าแค่เพราะเจ้าหลีกหนีจากการพิพากษานี้ในวันนี้ เจ้าจะสามารถเลี่ยงหนีจากการทรมานในอนาคตนั้นได้ตลอดไป? อะไรจะเกิดกับเจ้า? สิ่งที่เจ้าหวังไว้จะสามารถเป็นแชงกรีล่าได้จริงๆ หรือ? เจ้าคิดหรือว่าเจ้าสามารถหลีกหนีจากการตีสอนชั่วนิรันดร์ในอนาคตได้ด้วยเพียงการวิ่งหนีจากความเป็นจริงเหมือนอย่างที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้? หลังจากวันนี้ เจ้าจะมีวันที่จะมีความสามารถพบเจอโอกาสเหมาะแบบนี้และพระพรแบบนี้ได้อีกหรือไม่? เจ้าจะมีความสามารถค้นพบสิ่งเหล่านั้นเมื่อความวิบัติบังเกิดแก่เจ้าได้หรือ? เจ้าจะมีความสามารถพบเจอสิ่งเหล่านั้นเมื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่การหยุดพักได้หรือ? ชีวิตที่มีความสุขของเจ้าในปัจจุบันและครอบครัวเล็กๆ ที่ปรองดองของเจ้า—สิ่งเหล่านั้นสามารถแทนที่บั้นปลายชั่วนิรันดร์ในอนาคตของเจ้าได้หรือ? หากเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริง และหากเจ้าได้รับมามากมายเพราะความเชื่อของเจ้า เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนั้นคือสิ่งที่เจ้า—สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—ควรได้รับ และยังเป็นสิ่งที่เจ้าควรมีตั้งแต่เริ่มต้นด้วย ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์กับความเชื่อและชีวิตของเจ้ามากไปกว่าการพิชิตชัยเช่นนั้น
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 200
วันนี้ เจ้าควรตระหนักรู้วิธีการที่จะได้รับการพิชิต และวิธีการที่ผู้คนประพฤติตัวหลังจากที่พวกเขาได้รับการพิชิตแล้ว เจ้าอาจพูดว่าเจ้าได้รับการพิชิตมาแล้ว แต่เจ้าสามารถเชื่อฟังจนกระทั่งหมดลมหายใจได้หรือไม่? เจ้าต้องสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดไม่ว่าจะมีความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ใดๆ หรือไม่ก็ตาม และเจ้าต้องไม่สูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไม่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าต้องสัมฤทธิ์คำพยานสองแง่มุม นั่นคือ คำพยานของโยบ—การเชื่อฟังจนกระทั่งหมดลมหายใจ และคำพยานของเปโตร—การรักพระเจ้าอย่างถึงที่สุด ในด้านหนึ่ง เจ้าต้องเป็นเหมือนโยบ กล่าวคือ เขาได้สูญเสียสิ่งครอบครองทางวัตถุทุกอย่างไป และถูกรุมเร้าด้วยความเจ็บปวดของเนื้อหนัง ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่ละทิ้งพระนามของพระยาห์เวห์ นี่คือคำพยานของโยบ เปโตรสามารถรักพระเจ้าจนหมดลมหายใจ เมื่อเขาถูกตรึงกางเขนและเผชิญหน้าความตาย เขายังคงรักพระเจ้า เขาไม่คิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาเองหรือไล่ตามเสาะหาความหวังที่สวยงามหรือความคิดที่ฟุ้งเฟ้อ และเขาพยายามที่จะรักพระเจ้าและเชื่อฟังการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าเพียงเท่านั้น เช่นนั้นคือมาตรฐานที่เจ้าต้องสัมฤทธิ์ก่อนที่เจ้าจะสามารถได้รับการพิจารณาว่าได้กล่าวคำพยานแล้ว ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นใครบางคนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหลังจากที่ได้รับการพิชิตแล้ว วันนี้ หากผู้คนรู้จักเนื้อแท้และสถานะของตัวพวกเขาเองจริงๆ พวกเขาจะยังคงแสวงหาความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และความหวังอยู่หรือ? สิ่งที่เจ้าควรรู้คือสิ่งนี้ กล่าวคือ พวกเราต้องติดตามพระเจ้าไม่ว่าพระเจ้าทรงทำให้พวกเราเพียบพร้อมหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำในตอนนี้เป็นสิ่งที่ดีและทรงทำเพื่อประโยชน์ของพวกเรา และเพื่อให้อุปนิสัยของพวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเราสามารถกำจัดอิทธิพลของซาตานออกจากตัวของพวกเรา เพื่อให้พวกเราสามารถเกิดในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมแต่กระนั้นก็กำจัดความไม่บริสุทธิ์ออกจากตัวของพวกเราเอง สลัดทิ้งความสกปรกโสมมและอิทธิพลของซาตาน เพื่อทิ้งมันไว้เบื้องหลัง แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พึงประสงค์จากเจ้า แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่เป็นแค่การพิชิตชัย ซึ่งกระทำเพื่อให้ผู้คนมีการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเชื่อฟังและสามารถนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวางทั้งหมดของพระเจ้าได้ สิ่งทั้งหลายจะสำเร็จลุล่วงได้ในหนทางนี้ วันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับการพิชิตแล้ว แต่ภายในตัวพวกเขายังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและไม่เชื่อฟังอยู่มากมาย วุฒิภาวะที่แท้จริงของผู้คนยังคงเล็กน้อยเกินไป และพวกเขาสามารถกลายเป็นเต็มไปด้วยพลังเท่านั้นหากมีความหวังและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ เมื่อขาดพร่องความหวังและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ พวกเขาก็กลายเป็นคิดลบ และคิดเกี่ยวกับการทอดทิ้งพระเจ้าด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนไม่มีความพึงปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่จะพยายามใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องพูดถึงการพิชิตชัย อันที่จริงแล้ว การทำให้มีความเพียบพร้อมเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับการพิชิตชัย กล่าวคือ ในขณะที่เจ้าได้รับการพิชิต ผลแรกของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมก็สัมฤทธิ์เช่นเดียวกัน ในที่ที่มีความแตกต่างระหว่างการได้รับการพิชิตและการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม นั่นจะเป็นไปตามระดับการเปลี่ยนแปลงในผู้คน การได้รับการพิชิตเป็นขั้นตอนแรกของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างครบบริบูรณ์แล้ว อีกทั้งไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์แล้ว หลังจากที่ผู้คนได้รับการพิชิตแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอุปนิสัยของพวกเขา แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นยังขาดพร่องซึ่งการเปลี่ยนแปลงในผู้คนที่ได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์แล้วอยู่มาก วันนี้ สิ่งที่ได้รับการดำเนินการคือพระราชกิจแรกเริ่มในการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อม—การพิชิตพวกเขา—และหากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การได้รับการพิชิตได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวิถีทางที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ได้ เจ้าจะได้รับเพียงพระวจนะแห่งการตีสอนและการพิพากษาไม่กี่คำ แต่พระวจนะเหล่านั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหัวใจของเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ได้ ดังนั้น พวกเจ้าจะเป็นหนึ่งในพวกที่ถูกขับออกไป นั่นจะไม่แตกต่างไปจากการมองดูอาหารอันฟุ่มเฟือยบนโต๊ะแต่ไม่ได้รับประทานมันเลย นั่นไม่ใช่ฉากเหตุการณ์ที่น่าสลดสำหรับเจ้าหรือ? ดังนั้นแล้ว เจ้าจึงต้องแสวงหาการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับการพิชิตหรือการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ทั้งสองต่างเกี่ยวข้องกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าหรือไม่ และว่าเจ้าเชื่อฟังหรือไม่ และการนี้กำหนดพิจารณาว่าเจ้าจะสามารถได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าหรือไม่ จงรู้ว่า “การได้รับการพิชิต” และ “การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม” นั้นมีพื้นฐานอยู่บนขอบข่ายของการเปลี่ยนแปลงและการเชื่อฟังเท่านั้น รวมทั้งบนพื้นฐานที่ว่าความรักที่เจ้ามีให้พระเจ้านั้นบริสุทธิ์เพียงใด สิ่งที่พึงประสงค์ในวันนี้คือ การที่เจ้าสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างครบบริบูรณ์ แต่ในตอนเริ่มต้นเจ้าต้องได้รับการพิชิต—เจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าอย่างเพียงพอ ต้องมีความเชื่อที่จะติดตาม และเป็นบุคคลผู้ซึ่งแสวงหาการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะกลายเป็นใครบางคนที่พยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม พวกเจ้าควรเข้าใจว่าในครรลองของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เจ้าจะได้รับการพิชิต และในครรลองของการได้รับการพิชิต เจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม วันนี้ เจ้าสามารถพยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหรือแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในสภาวะความเป็นมนุษย์ภายนอกของเจ้าและการพัฒนาขีดความสามารถของเจ้า แต่สิ่งที่มีความสำคัญเป็นหลักคือการที่เจ้าสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้มีความหมายและมีประโยชน์ กล่าวคือ สิ่งนี้ทำให้เจ้าที่เกิดในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมสามารถหลีกหนีจากความสกปรกโสมมและสลัดมันทิ้งไปได้ สิ่งนี้ทำให้เจ้าสามารถเอาชนะอิทธิพลของซาตาน และทิ้งอิทธิพลมืดของซาตานไว้เบื้องหลัง โดยการจดจ่อกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะได้รับการคุ้มครองปกป้องในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมนี้ ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะได้รับการขอให้กล่าวคำพยานใด? เจ้าเกิดในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมมแต่สามารถกลายเป็นบริสุทธิ์ได้ ไม่มีวันมีมลทินจากความสกปรกโสมมอีก เพื่อใช้ชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานแต่พรากตัวเจ้าเองไปจากอิทธิพลของซาตาน เพื่อไม่ถูกซาตานครอบครองและรังควาน และเพื่อใช้ชีวิตในพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นี่คือคำพยานและข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะในการต่อสู้กับซาตาน เจ้าสามารถละทิ้งซาตานได้ เจ้าไม่เผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานในสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตอีกต่อไป แต่ใช้ชีวิตตามสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์บรรลุเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์แทน กล่าวคือ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ สำนึกรับรู้ปกติ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกปกติ การตัดสินใจแน่วแน่ปกติที่จะรักพระเจ้า และความจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นคือคำพยานที่กล่าวโดยสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เจ้าพูดว่า “พวกเราเกิดในดินแดนแห่งความสกปรกโสมม แต่เพราะการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า เพราะการเป็นผู้นำของพระองค์ และเพราะพระองค์ได้ทรงพิชิตพวกเรา พวกเราจึงได้กำจัดอิทธิพลของซาตานออกไปจากตัวพวกเราเอง สิ่งที่พวกเราสามารถเชื่อฟังในวันนี้ก็เป็นผลของการได้รับการพิชิตจากพระเจ้าเช่นเดียวกัน และนั่นไม่ใช่เพราะว่าพวกเราดีงาม หรือเพราะว่าพวกเรารักพระเจ้าโดยธรรมชาติ เป็นเพราะพระเจ้าทรงเลือกพวกเราและทรงกำหนดพวกเราไว้ล่วงหน้านั่นเอง พวกเราจึงได้รับการพิชิตในวันนี้ สามารถกล่าวคำพยานต่อพระองค์ได้ และสามารถรับใช้พระองค์ได้ ดังนั้น เป็นเพราะพระองค์ทรงเลือกพวกเราและทรงคุ้มครองปกป้องพวกเราเช่นเดียวกันนั่นเอง พวกเราจึงได้รับการช่วยให้รอดและปล่อยจากแดนครอบครองของซาตาน และสามารถทิ้งความสกปรกโสมมไว้เบื้องหลังและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในชาติของพญานาคใหญ่สีแดงนั้น”
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 201
พระราชกิจของยุคสุดท้ายแหวกกฎทั้งหมด และไม่ว่าเจ้าจะถูกสาปแช่งหรือถูกลงโทษ ตราบเท่าที่เจ้าช่วยงานของเราและเป็นประโยชน์กับงานการพิชิตชัยในวันนี้ และไม่ว่าเจ้าจะเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับหรือเป็นลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง ตราบเท่าที่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าในพระราชกิจช่วงระยะนี้และทำให้ดีที่สุดเท่าที่เจ้าสามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วผลที่เหมาะสมก็จะสัมฤทธิ์ เจ้าคือลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง และเจ้าเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ โดยสรุปคือ ผู้คนทั้งหมดที่มีเลือดเนื้อคือสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า และได้รับการสร้างขึ้นโดยพระผู้สร้าง เจ้าคือสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า เจ้าไม่ควรมีทางเลือกใดๆ และนี่คือหน้าที่ของเจ้า แน่นอนว่าพระราชกิจของพระผู้สร้างในวันนี้ได้รับการชี้นำไปที่ทั้งจักรวาล ไม่ว่าเจ้าจะสืบพงศ์พันธุ์มาจากผู้ใดก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว เจ้าคือหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า พวกเจ้า—พงศ์พันธุ์ของโมอับ—เป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า มีความแตกต่างเดียวคือเจ้ามีคุณค่าต่ำกว่า เพราะวันนี้พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการทรงดำเนินการท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดและมุ่งหมายไปที่ทั้งจักรวาล พระผู้สร้างทรงมีอิสระที่จะเลือกบุคคลใดๆ เรื่องใดๆ หรือสิ่งใดๆ เพื่อทำพระราชกิจของพระองค์ก็ได้ พระองค์ไม่ใส่พระทัยว่าเจ้าเคยสืบพงศ์พันธุ์มาจากผู้ใด ตราบเท่าที่เจ้าเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ และตราบเท่าที่เจ้าเป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์—พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและคำพยาน—พระองค์จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในตัวเจ้าจนเสร็จสิ้นโดยไม่มีความลังเลใดๆ เลย นี่ทำให้มโนคติที่หลงผิดตามจารีตประเพณีของผู้คนแตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งเป็นมโนคติที่หลงผิดว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทรงพระราชกิจท่ามกลางคนต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่เคยได้ถูกสาปและต่ำต้อย สำหรับพวกที่เคยถูกสาปแช่งนั้น คนรุ่นหลังในอนาคตทั้งหมดที่มาจากพวกเขาจะถูกสาปแช่งตลอดไปด้วยเช่นกัน โดยไม่มีโอกาสที่จะมีความรอดใดๆ เลย พระเจ้าจะไม่มีวันเสด็จลงมาปฏิบัติพระราชกิจในแผ่นดินของประชาชาติ และจะไม่มีวันย่างพระบาทในแผ่นดินแห่งความสกปรกโสมม เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิดทั้งหมดเหล่านี้ได้ถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆ แล้วด้วยพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย จงรู้ไว้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงถืออำนาจครอบครองเหนือฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง และไม่ใช่ทรงเป็นแค่พระเจ้าของผู้คนอิสราเอลเท่านั้น ดังนั้น พระราชกิจในประเทศจีนนี้จึงมีนัยสำคัญอย่างที่สุด แล้วพระราชกิจนี้จะไม่เผยแพร่ไปท่ามกลางชนชาติทั้งมวลหรอกหรือ? คำพยานที่ยิ่งใหญ่ของอนาคตจะไม่จำกัดอยู่แค่ประเทศจีน หากพระเจ้าทรงพิชิตแค่พวกเจ้าเท่านั้น จะสามารถทำให้พวกปีศาจเชื่อได้หรือ? พวกมันไม่เข้าใจการได้รับการพิชิตหรือฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงจะได้รับการพิชิตก็ต่อเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั่วทั้งจักรวาลมองเห็นผลสูงสุดของพระราชกิจนี้แล้วเท่านั้น ไม่มีผู้ใดล้าหลังหรือเสื่อมทรามไปมากกว่าพงศ์พันธุ์ของโมอับ นี่จะเป็นคำพยานของการพิชิตชัยได้ก็เพียงหากผู้คนเหล่านี้สามารถได้รับการพิชิตเท่านั้น—พวกเขาผู้ที่เสื่อมทรามมากที่สุด ผู้ที่ไม่ยอมรับพระเจ้าหรือเชื่อว่ามีพระเจ้า ได้รับการพิชิตและยอมรับพระเจ้าในปากของพวกเขา สรรเสริญพระองค์ และสามารถรักพระองค์ได้ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ใช่เปโตร แต่พวกเจ้าก็ใช้ชีวิตตามอย่างภาพลักษณ์ของเปโตร พวกเจ้าสามารถครอบครองคำพยานของเปโตร และของโยบ และนี่คือคำพยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในท้ายที่สุดแล้ว เจ้าจะพูดว่า “พวกเราไม่ใช่คนอิสราเอล แต่เป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับที่ถูกละทิ้ง พวกเราไม่ใช่เปโตรผู้มีขีดความสามารถที่พวกเราไม่สามารถมีได้ และไม่ใช่โยบ และพวกเราไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับการตัดสินใจแน่วแน่ของเปาโลที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าและทุ่มเทอุทิศตัวเขาเองให้กับพระเจ้าด้วยซ้ำ และพวกเราช่างล้าหลังยิ่งนัก และดังนั้น พวกเราจึงไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะชื่นชมพระพรของพระเจ้า พระเจ้ายังคงได้ทรงยกพวกเราขึ้นในวันนี้ ดังนั้นพวกเราต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และถึงแม้ว่าพวกเราจะมีขีดความสามารถหรือคุณสมบัติไม่เพียงพอ แต่พวกเราก็เต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย—พวกเรามีการตัดสินใจแน่วแน่นี้ พวกเราคือพงศ์พันธุ์ของโมอับ และพวกเราถูกสาปแช่ง นี่ได้รับการประกาศกฤษฎีกาจากพระเจ้า และพวกเราไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่การใช้ชีวิตของพวกเราและความรู้ของพวกเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเราปลงใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย” เมื่อเจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่นี้แล้ว นั่นจะพิสูจน์ว่าเจ้าได้เป็นพยานถึงการได้รับการพิชิตแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 202
เหนือสิ่งอื่นใด ผลลัพธ์ที่เจตนาของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยคือ เพื่อให้เนื้อหนังของมนุษย์ไม่กบฏอีกต่อไป นั่นคือ เพื่อให้จิตใจของมนุษย์ได้รับความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อให้หัวใจของมนุษย์เชื่อฟังพระเจ้าอย่างหมดจด และเพื่อให้มนุษย์ทะเยอทะยานที่จะอยู่เพื่อพระเจ้า ผู้คนยังไม่นับว่าถูกพิชิตเมื่ออารมณ์หรือเนื้อหนังของพวกเขาเปลี่ยนแปลง เมื่อความคิดของมนุษย์ ความมีสติรู้ตัวของมนุษย์ และสำนึกรับรู้ของมนุษย์เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ เมื่อท่าทีทางใจทั้งหมดของเจ้าเปลี่ยนแปลง—นั่นจะเป็นเวลาที่เจ้าได้ถูกพระเจ้าพิชิตแล้ว เมื่อเจ้าได้ตกลงใจที่จะเชื่อฟังและนำวิธีการคิดแบบใหม่มาใช้แล้ว เมื่อเจ้าไม่นำมโนคติอันหลงผิดหรือเจตนาของเจ้าเองมาอยู่ที่พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าอีกต่อไป และเมื่อสมองของเจ้าสามารถคิดได้อย่างเป็นปกติ—กล่าวคือ เมื่อเจ้าสามารถใช้ความพยายามทำเพื่อพระเจ้าด้วยทั้งหมดทั้งหัวใจของเจ้า—เมื่อนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลประเภทที่ถูกพิชิตอย่างครบถ้วนแล้ว ในศาสนา ผู้คนมากมายทนทุกข์อย่างมากมายตลอดทั้งชีวิตของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาเอง และแบกทุกข์ของตน พวกเขายังแม้แต่ทนทุกข์และสู้ทนต่อไปเมื่ออยู่บนปากเหวแห่งความตาย! บางคนยังคงกำลังอดอาหารในตอนเช้าของวันที่พวกเขาตาย ทั้งชีวิตของพวกเขา พวกเขาปฏิเสธไม่ให้ตัวเองได้รับอาหารและเสื้อผ้าดีๆ และมุ่งเน้นที่ความทุกข์เท่านั้น พวกเขาสามารถอยู่เหนือร่างกายของพวกเขาได้และละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขา จิตใจที่พวกเขามีให้กับการสู้ทนความทุกข์ช่างน่ายกย่อง แต่ความคิดของพวกเขา มโนคติอันหลงผิดของพวกเขา ทัศนคติทางใจของพวกเขา และโดยแท้จริงแล้ว ธรรมชาติเก่าๆ ของพวกเขา ยังไม่ได้ถูกจัดการเลยแม้แต่น้อย พวกเขาขาดพร่องความรู้ที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง ภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นภาพแบบดั้งเดิมที่มีพระเจ้าที่คลุมเครือ ความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าของพวกเขามาจากความกระตือรือร้นและบุคลิกลักษณะที่ดีของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็ทั้งไม่เข้าใจพระองค์หรือรู้น้ำพระทัยของพระองค์ พวกเขาเพียงทำงานและทนทุกข์อย่างหูหนวกตาบอดเพื่อพระเจ้าเท่านั้น พวกเขาไม่ให้คุณค่าใดๆ กับการหยั่งรู้เลย ใส่ใจวิธีการทำให้แน่ใจว่าการรับใช้ของพวกเขาทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงจริงๆ เพียงเล็กน้อย นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตระหนักรู้วิธีการสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าที่พวกเขารับใช้ไม่ใช่พระเจ้าในพระฉายาเนื้อแท้ภายในของพระองค์ แต่เป็นพระเจ้าที่พวกเขาได้จินตนาการ พระเจ้าผู้ที่พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินหรือตำนานเกี่ยวกับผู้ที่พวกเขาเคยได้อ่านในงานเขียนเท่านั้น แล้วพวกเขาก็ใช้จินตนาการอันกว้างไกลและความเคร่งศาสนาของพวกเขาในการทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์จะปฏิบัติ การรับใช้ของพวกเขาคลาดเคลื่อนเกินไป จนกระทั่งไม่มีพวกเขาคนใดที่มีความสามารถที่จะรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติเลย ไม่ว่าพวกเขาจะยินดีทนทุกข์อย่างไรก็ตาม มุมมองแต่เดิมของพวกเขาเกี่ยวกับการรับใช้และภาพในใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะพวกเขายังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน กระบวนการถลุง และการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า อีกทั้งไม่มีใครคนใดเคยนำพวกเขาโดยใช้ความจริง ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ก็ไม่มีพวกเขาคนใดที่เคยพบเห็นพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาเพียงรู้จักพระองค์โดยผ่านทางตำนานและคำบอกเล่าเท่านั้น ดังนั้น การรับใช้ของพวกเขารวมกันแล้วไม่มากกว่าการปิดตารับใช้ไปอย่างไร้แบบแผน ราวกับคนตาบอดที่รับใช้บิดาของเขาเอง ถึงที่สุดแล้ว การรับใช้เช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ผลสิ่งใดได้บ้าง? และผู้ใดจะเห็นชอบกับการรับใช้เช่นนั้น? การรับใช้ของพวกเขายังคงเหมือนเดิมตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด พวกเขาได้รับเพียงบทเรียนที่มนุษย์สร้างขึ้น และอิงการรับใช้ของพวกเขาบนความเป็นธรรมชาติของพวกเขาและความชอบของพวกเขาเองเท่านั้น สิ่งนี้จะสามารถให้รางวัลใด? แม้กระทั่งเปโตร ผู้ซึ่งได้มองเห็นพระเยซู ก็ยังไม่รู้วิธีการรับใช้ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เขาเพียงมารู้ถึงการนี้ในท้ายที่สุดในวัยชราของเขา นี่บอกอะไรเกี่ยวกับผู้คนตาบอดที่ยังไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการจัดการหรือการได้รับการตัดแต่งแม้แต่น้อย และผู้ที่ไม่เคยมีผู้ใดนำพวกเขา? การรับใช้ของผู้คนมากมายในหมู่พวกเจ้าในวันนี้ไม่เหมือนกับของผู้คนที่ตาบอดเหล่านี้หรือ? ผู้คนทั้งหมดที่ยังไม่ได้รับการพิพากษา ยังไม่ได้รับการตัดแต่งและการจัดการ และผู้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง—พวกเขาทั้งหมดไม่ได้ถูกพิชิตอย่างไม่ครบบริบูรณ์หรือ? ผู้คนเช่นนั้นมีประโยชน์อันใดกัน? หากความคิดของเจ้า ความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับชีวิต และความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าไม่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงใหม่ใดๆ และเจ้าไม่ได้รับสิ่งใดอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะไม่มีวันสัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยอดเยี่ยมในการรับใช้ของเจ้า! หากปราศจากนิมิตและความรู้ใหม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่ถูกพิชิต แล้ววิธีการติดตามพระเจ้าของเจ้าก็จะเหมือนกับผู้ที่ทนทุกข์และอดอาหาร นั่นคือ มีคุณค่าเพียงน้อยนิด! เป็นที่แน่แท้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีคำพยานเพียงน้อยนิด เราจึงพูดว่าการรับใช้ของพวกเขาไร้ประโยชน์! ผู้คนเหล่านั้นทนทุกข์และใช้เวลาอยู่ในคุกตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาอดกลั้น รักใคร่เสมอมา และพวกเขาแบกกางเขนเสมอมา พวกเขาถูกเยาะเย้ยถากถางและถูกปฏิเสธจากโลก พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความยากลำบากทุกอย่าง และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อฟังจนถึงที่สิ้นสุด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ถูกพิชิต และไม่สามารถเสนอคำพยานใดๆ ต่อการถูกพิชิตได้ พวกเขาได้ทนทุกข์มากมาย แต่ภายใน พวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าเลย ความคิดเก่าๆ มโนคติอันหลงผิดเก่าๆ การปฏิบัติทางศาสนา ความรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น และแนวความคิดในแบบมนุษย์ของพวกเขา ไม่มีสิ่งใดเลยที่เคยได้รับการจัดการ ไม่มีเค้าของความรู้ใหม่ๆ ในตัวพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไม่มีแม้สักเสี้ยวที่แท้จริงหรือถูกต้องแม่นยำ พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผิด นี่คือการรับใช้พระเจ้าหรือ? ไม่ว่าความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในอดีตจะเป็นอย่างไรก็ตาม หากความรู้นั้นยังคงเหมือนเดิมในวันนี้และเจ้ายังคงใช้มโนคติอันหลงผิดและแนวคิดของเจ้าเองเป็นพื้นฐานความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าต่อไป ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติสิ่งใดก็ตาม กล่าวคือ หากเจ้ายังไม่มีความรู้ใหม่ๆ ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และหากเจ้ายังล้มเหลวที่จะรู้จักพระฉายาและพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า หากความรู้ที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้ายังคงถูกนำด้วยความคิดตามระบบศักดินาและที่เป็นไสยศาสตร์ และยังคงเกิดขึ้นจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ถูกพิชิต วจนะมากมายทั้งหมดที่เราพูดกับเจ้าบัดนี้ มุ่งหมายเพื่อให้เจ้ารู้ เพื่อให้ความรู้นี้นำทางเจ้าสู่ความรู้ใหม่กว่าที่ถูกต้องแม่นยำ วจนะเหล่านี้ยังมุ่งหมายที่จะกำจัดมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ และความรู้เก่าๆ ในตัวเจ้าด้วยเช่นกัน เพื่อที่เจ้าอาจมีความรู้ใหม่ๆ ได้ หากเจ้ากินและดื่มวจนะของเราจริงๆ เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก ตราบเท่าที่เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยหัวใจแห่งความเชื่อฟัง เช่นนั้นแล้วมุมมองของเจ้าก็จะพลิกกลับ ตราบเท่าที่เจ้าสามารถยอมรับการตีสอนซ้ำๆ ได้ วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ตราบเท่าที่วิธีการคิดเก่าๆ ของเจ้าถูกแทนที่อย่างถ้วนทั่วด้วยวิธีการคิดใหม่ๆ การปฏิบัติของเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสอดคล้องเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ การรับใช้ของเจ้าจะตรงเป้ายิ่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากเจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้า ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ และมโนคติอันหลงผิดมากมายที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วความเป็นธรรมชาติของเจ้าจะค่อยๆ ลดลง สิ่งนี้และเป็นเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นผลที่เกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงพิชิตผู้คน มันคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในผู้คน หากในความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า ทั้งหมดที่เจ้ารู้คือการอยู่เหนือร่างกายของเจ้าและการสู้ทนและการทนทุกข์ และเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก หรือยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าทำไปเพื่อใคร แล้วการปฏิบัติเช่นนั้นจะสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (3)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 203
การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมหมายความว่าอะไร? การถูกพิชิตหมายความว่าอะไร? ผู้คนต้องเป็นไปตามเกณฑ์ใดจึงจะถูกพิชิต? และพวกเขาต้องเป็นไปตามเกณฑ์ใดจึงจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม? การพิชิตและการทำให้เพียบพร้อมต่างเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ของการทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์ เพื่อให้มนุษย์ผู้นั้นอาจกลับคืนสู่สภาพเสมือนดั้งเดิมของเขา และเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาและอิทธิพลของซาตาน การพิชิตนี้มาถึงในช่วงต้นของกระบวนการปฏิบัติพระราชกิจในมนุษย์ อันที่จริงแล้ว การพิชิตคือขั้นตอนแรกของพระราชกิจ ส่วนการทำให้มีความเพียบพร้อมคือขั้นตอนที่สอง และเป็นพระราชกิจที่สรุปปิดตัว มนุษย์ทุกคนต้องก้าวผ่านกระบวนการถูกพิชิต หากไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่มีวิธีการที่จะรู้จักพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาจะไม่ตระหนักรู้ว่ามีพระเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะยอมรับพระเจ้า และหากผู้คนไม่ยอมรับพระเจ้า ก็จะเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่พวกเขาจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า เนื่องจากเจ้าไม่เป็นไปตามเกณฑ์สำหรับการทำให้ครบบริบูรณ์นี้ หากเจ้าไม่แม้แต่จะยอมรับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้จักพระองค์ได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถไล่ตามเสาะหาพระองค์ได้อย่างไร? เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะเป็นพยานต่อพระองค์ได้เช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะมีความเชื่อเพื่อทำให้พระองค์สมดังพระทัย ดังนั้นแล้ว สำหรับผู้ใดก็ตามที่ต้องการได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ ขั้นตอนแรกคือจะต้องก้าวผ่านพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเสียก่อน นี่คือเงื่อนไขแรก แต่ทั้งการพิชิตและการทำให้มีความเพียบพร้อมต่างเป็นไปเพื่อปฏิบัติพระราชกิจในผู้คนและเพื่อเปลี่ยนแปลงพวกเขา และแต่ละส่วนเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจในการบริหารจัดการมนุษย์ ทั้งสองขั้นตอนพึงต้องมีเพื่อทำให้คนบางคนครบถ้วนสมบูรณ์ และไม่อาจละเลยทั้งสองขั้นตอนได้ เป็นความจริงที่ว่า “การถูกพิชิต” นั้นฟังดูไม่ดีมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการพิชิตคนบางคนคือกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงพวกเขา ทันทีที่เจ้าถูกพิชิตแล้ว อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าอาจไม่ถูกกำจัดไปทั้งหมด แต่เจ้าจะได้รู้จักมัน โดยผ่านทางพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย เจ้าจะได้มารู้จักสภาวะความเป็นมนุษย์อันต่ำต้อยของเจ้า รวมทั้งความไม่เชื่อฟังอันมากมายของเจ้าเอง ถึงแม้ว่าเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะละทิ้งหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยได้ แต่เจ้าจะได้มารู้จักสิ่งเหล่านี้ และนี่จะวางรากฐานของการทำให้มีความเพียบพร้อมของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทั้งการพิชิตและการทำให้มีความเพียบพร้อมต่างกระทำเพื่อเปลี่ยนแปลงผู้คน เพื่อกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานออกไปจากพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถมอบตัวของพวกเขาเองให้แก่พระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ การถูกพิชิตเป็นเพียงขั้นตอนแรกในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน และเป็นขั้นตอนแรกในการที่ผู้คนจะมอบตัวของพวกเขาเองให้แก่พระเจ้าทั้งหมด และเป็นขั้นตอนที่ต่ำกว่าขั้นตอนการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม อุปนิสัยในชีวิตของผู้ที่ถูกพิชิตเปลี่ยนแปลงไปน้อยกว่าอุปนิสัยของผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมมาก การถูกพิชิตและการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมมีแนวคิดที่แตกต่างกัน เพราะเป็นพระราชกิจในระยะที่แตกต่างกัน และเพราะพระราชกิจทั้งสองนี้มีความคาดหวังจากผู้คนในระดับที่แตกต่างกัน การพิชิตมีความคาดหวังจากผู้คนในระดับที่ต่ำกว่า ในขณะที่การทำให้มีความเพียบพร้อมมีความคาดหวังจากผู้คนในระดับที่สูงกว่า ผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือผู้ที่ชอบธรรม ผู้ที่ได้รับการทำให้บริสุทธิ์ พวกเขาคือการตกผลึกของพระราชกิจในการบริหารจัดการมนุษย์ หรือผลิตภัณฑ์สุดท้าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่พวกมนุษย์ที่เพียบพร้อม แต่พวกเขาก็เป็นผู้ที่พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ถูกพิชิตยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าในพระวจนะเท่านั้น พวกเขายอมรับว่าพระเจ้าได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ ว่าพระวจนะได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และว่าพระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน พวกเขายังยอมรับว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า การเฆี่ยนตีและกระบวนการถลุงของพระองค์ทั้งหมดต่างเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ พวกเขาเพียงเพิ่งจะเริ่มต้นมีสภาพเสมือนมนุษย์อยู่บ้างเท่านั้น พวกเขามีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตอยู่บ้าง แต่ชีวิตยังคงเป็นสิ่งที่พร่ามัวสำหรับพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาเพียงเพิ่งเริ่มต้นมีสภาวะความเป็นมนุษย์ นั่นคือผลของการถูกพิชิต เมื่อผู้คนย่างเท้าบนเส้นทางสู่การทำให้มีความเพียบพร้อม อุปนิสัยเก่าๆ ของพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนั้น ชีวิตของพวกเขาจะเติบโตต่อไป และพวกเขาจะค่อยๆ เข้าสู่ความจริงอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขามีความสามารถที่จะเกลียดโลกและผู้คนทั้งมวลที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเกลียดตัวพวกเขาเองเป็นพิเศษ แต่มากยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขารู้จักตัวพวกเขาเองอย่างชัดเจน พวกเขาเต็มใจที่จะใช้ชีวิตตามความจริง และพวกเขาทำให้การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเป้าหมายของพวกเขา พวกเขาไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตภายในความคิดที่สร้างขึ้นด้วยสมองของพวกเขาเอง และพวกเขารู้สึกเกลียดความคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ เกลียดความหยิ่งผยอง และความทะนงตัวของมนุษย์ พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่สมควรเป็นอย่างดียิ่ง จัดการสิ่งต่างๆ ด้วยการหยั่งรู้และสติปัญญา และจงรักภักดีและเชื่อฟังพระเจ้า หากพวกเขาได้รับประสบการณ์การตีสอนและการพิพากษา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่กลายเป็นนิ่งเฉยหรืออ่อนแอเท่านั้น แต่พวกเขายังสำนึกขอบคุณสำหรับการตีสอนและการพิพากษานี้จากพระเจ้าอีกด้วย พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ได้โดยไร้การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ว่าสิ่งนี้คุ้มครองปกป้องพวกเขา พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความเชื่อเกี่ยวกับสันติสุขและความชื่นบานยินดีและเกี่ยวกับการแสวงหาขนมปังเพื่อสนองความหิว อีกทั้งพวกเขายังไม่ไล่ตามเสาะหาความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังชั่วขณะเดียว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หลังจากที่ผู้คนถูกพิชิตแล้ว พวกเขายอมรับว่ามีพระเจ้า แต่การยอมรับรู้นั้นได้รับการสำแดงในตัวพวกเขาในหนทางที่จำกัดจำนวน จริงๆ แล้วพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร? การจุติเป็นมนุษย์หมายถึงอะไร? พระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทรงได้ปฏิบัติสิ่งใด? เป้าหมายและนัยสำคัญของพระราชกิจของพระองค์คืออะไร? หลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มากมายแล้ว หลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับกิจการของพระองค์ในเนื้อหนังแล้ว เจ้าได้รับสิ่งใดมาบ้าง? เจ้าจะเป็นใครบางคนที่ถูกพิชิตหลังจากที่เข้าใจทั้งหมดนี้แล้วเท่านั้น หากเจ้าเพียงพูดว่าเจ้ายอมรับว่ามีพระเจ้า แต่ไม่ละทิ้งสิ่งที่เจ้าควรต้องละทิ้ง และล้มเหลวที่จะยอมละทิ้งความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังที่เจ้าควรยอมละทิ้ง แต่กลับอยากได้ความสะดวกสบายของเนื้อหนังเหมือนที่เจ้าเคยมีมาตลอดแทน และหากเจ้าไร้ความสามารถที่จะปล่อยอคติใดๆ ที่มีต่อพี่น้องชายหญิงทั้งหมด และไม่ยอมจ่ายราคาใดๆ ในการปฏิบัติง่ายๆ มากมาย เช่นนั้นแล้วนี่ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ถูกพิชิต ในกรณีนั้น แม้ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจจะมีมากมาย แต่ทั้งหมดก็ไม่มีความหมายใดเลย ผู้ที่ถูกพิชิตคือผู้ที่เคยได้สัมฤทธิ์ผลในการเปลี่ยนแปลงเริ่มแรกและการเข้าสู่เริ่มแรกมาบ้างแล้ว การได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าทำให้ผู้คนมีความรู้เริ่มแรกเกี่ยวกับพระเจ้า และความเข้าใจเริ่มแรกเกี่ยวกับความจริง เจ้าอาจไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงที่ลึกซึ้งกว่า ละเอียดยิ่งกว่าได้อย่างครบถ้วน แต่ในชีวิตจริงของเจ้า เจ้ามีความสามารถที่จะนำความจริงที่เป็นพื้นฐานมากมายมาปฏิบัติได้ เช่น ความจริงที่เกี่ยวข้องกับความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังของเจ้า หรือสถานะส่วนตัวของเจ้า ทั้งหมดนี้คือผลที่สัมฤทธิ์ขึ้นในผู้คนในระหว่างกระบวนการถูกพิชิต การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยยังสามารถมองเห็นได้ในผู้ที่ถูกพิชิต ตัวอย่างเช่น วิธีที่พวกเขาแต่งกายและแสดงตัวเอง และวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิต—สิ่งเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด มุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าเปลี่ยนแปลง พวกเขามีความชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายของสิ่งที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และพวกเขามีความทะเยอทะยานที่สูงขึ้น ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย มีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันเกิดขึ้นในอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาด้วยเช่นกัน มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ตื้นเขิน เป็นขั้นต้น และด้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและเป้าหมายของการไล่ตามเสาะหาของผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเป็นอย่างมาก หากในระหว่างการถูกพิชิต อุปนิสัยของบุคคลหนึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย และพวกเขาไม่ได้รับความจริงใดๆ เลย เช่นนั้นแล้ว บุคคลผู้นี้ก็ไร้ค่าและไร้ประโยชน์อย่างบริบูรณ์! ผู้ที่ยังไม่ถูกพิชิตไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้! หากบุคคลพยายามที่จะถูกพิชิตเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้ ต่อให้อุปนิสัยของพวกเขาจะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องบางอย่างในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็ตาม พวกเขาจะยังสูญเสียความจริงเริ่มแรกที่พวกเขาได้รับไปแล้วด้วย การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในบรรดาผู้ที่ถูกพิชิตและบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่การถูกพิชิตเป็นขั้นตอนแรกในการเปลี่ยนแปลง การถูกพิชิตเป็นรากฐาน การขาดการเปลี่ยนแปลงเริ่มแรกคือข้อพิสูจน์ว่าบุคคลไม่ได้รู้จักพระเจ้าจริงๆ แต่อย่างใด เพราะความรู้นี้มาจากการพิพากษา และการพิพากษาดังกล่าวเป็นส่วนที่สำคัญของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย เมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกคนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมจึงต้องถูกพิชิตก่อนเป็นอันดับแรก หากไม่เช่นนั้นแล้ว จะไม่มีทางที่พวกเขาจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมไปได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (4)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 204
ในวันนี้ เราเตือนสอนพวกเจ้าเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์แห่งความอยู่รอดของพวกเจ้าเอง เพื่อให้งานของเราก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น และเพื่อที่งานปฐมฤกษ์ของเราทั่วทั้งจักรวาลจะได้รับการดำเนินการอย่างเหมาะสมและมีความเพียบพร้อมยิ่งขึ้น เพื่อเปิดเผยวจนะ สิทธิอำนาจ บารมี และการพิพากษาของเราต่อประชาชนของทุกประเทศและทุกชาติ งานที่เราทำท่ามกลางพวกเจ้าคือการเริ่มต้นของงานของเราทั่วทั้งจักรวาล แม้ว่าบัดนี้คือเวลาของยุคสุดท้ายแล้ว แต่จงรู้เอาไว้ว่า “ยุคสุดท้าย” เป็นเพียงชื่อหนึ่งของยุคหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ชื่อนั้นอ้างอิงถึงยุคหนึ่ง และบ่งบอกถึงยุคหนึ่งทั้งยุค แทนที่จะเป็นไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือนสุดท้าย กระนั้นก็ตาม ยุคสุดท้ายไม่เหมือนอย่างยิ่งกับยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ งานแห่งยุคสุดท้ายนั้นไม่ได้ดำเนินการในประเทศอิสราเอล แต่ดำเนินการท่ามกลางประชาชาติ เป็นการพิชิตชัยผู้คนจากทุกชนชาติและทุกเผ่าพันธุ์นอกประเทศอิสราเอลเบื้องหน้าบัลลังก์ของเรา เพื่อที่ว่าสง่าราศีของเราทั่วทั้งจักรวาลจะสามารถเติมเต็มจักรวาลและพื้นฟ้าได้ มันเป็นเช่นนั้นเพื่อที่เราจะสามารถได้รับสง่าราศีที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อที่สรรพสิ่งสร้างทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะสามารถส่งต่อสง่าราศีของเราไปยังทุกชนชาติ จากรุ่นสู่รุ่นตลอดไป และสรรพสิ่งสร้างทั้งปวงในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกจะสามารถมองเห็นสง่าราศีทั้งหมดที่เราได้รับมาบนแผ่นดินโลก งานที่ดำเนินการในระหว่างยุคสุดท้ายคืองานแห่งการพิชิตชัย ไม่ใช่การนำทางชีวิตของผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินโลก แต่เป็นบทสรุปปิดตัวของชีวิตแห่งความทุกข์ที่ยาวนานหลายพันปีและไม่รู้จบของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลก ผลที่ตามมาก็คืองานในยุคสุดท้ายจึงไม่สามารถเหมือนกับงานหลายพันปีในประเทศอิสราเอล และไม่สามารถเหมือนกับงานเพียงหลายปีในแคว้นยูเดีย ซึ่งได้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาสองพันปีจนกระทั่งถึงการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า ผู้คนในยุคสุดท้ายเผชิญกับการทรงปรากฏอีกครั้งของพระผู้ไถ่ในเนื้อหนังเท่านั้น และพวกเขาได้รับพระราชกิจและพระวจนะส่วนพระองค์ของพระเจ้า เวลาจะไม่นานถึงสองพันปีก่อนที่ยุคสุดท้ายจะมาถึงบทอวสาน ยุคสุดท้ายจะสั้น เหมือนกับเวลาที่พระเยซูทรงดำเนินพระราชกิจแห่งยุคพระคุณในแคว้นยูเดีย นี่เป็นเพราะยุคสุดท้ายเป็นบทสรุปปิดตัวของทั้งยุค ยุคสุดท้ายเป็นความครบบริบูรณ์และการอวสานของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า และยุคสุดท้ายสรุปปิดตัวการเดินทางชั่วชีวิตแห่งความทุกข์ของมวลมนุษย์ ยุคสุดท้ายไม่ได้นำพามวลมนุษย์ทั้งปวงมาสู่ยุคใหม่หรือยอมให้ชีวิตของมวลมนุษย์ดำเนินต่อไป นั่นจะไม่มีนัยสำคัญเลยต่อแผนการบริหารจัดการของเรา หรือต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ หากมวลมนุษย์ดำเนินต่อไปเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะถูกมารกัดกินไปจนหมด และวิญญาณเหล่านั้นที่เป็นของเราก็จะถูกทำลายด้วยมือของมันในที่สุด งานของเราใช้เวลานานแค่หกพันปี และเราได้สัญญาว่าการควบคุมมวลมนุษย์ทั้งปวงของมารร้ายก็จะใช้เวลาไม่เกินหกพันปีเช่นกัน ดังนั้น บัดนี้หมดเวลาแล้ว เราจะไม่ดำเนินการต่อหรือหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป นั่นคือ ในระหว่างยุคสุดท้าย เราจะพิชิตซาตาน เราจะเอาสง่าราศีของเราทั้งหมดคืนมา และเราจะเรียกคืนวิญญาณทั้งหมดที่เป็นของเราบนแผ่นดินโลก เพื่อที่วิญญาณที่ทุกข์ยากเหล่านี้อาจหนีพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้ และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการสรุปปิดตัวงานทั้งหมดของเราบนแผ่นดินโลก นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะไม่มีวันบังเกิดเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกอีก และวิญญาณแห่งการควบคุมทั้งหมดของเราจะไม่มีวันทำงานบนแผ่นดินโลกอีก เราจะทำเพียงสิ่งเดียวบนแผ่นดินโลก นั่นคือ เราจะสร้างมวลมนุษย์ขึ้นใหม่ เป็นมวลมนุษย์ที่บริสุทธิ์และเป็นเมืองที่สัตย์ซื่อของเราบนแผ่นดินโลก แต่จงรู้ไว้ว่าเราจะไม่ทำลายล้างโลกทั้งหมด อีกทั้งเราจะไม่ทำลายล้างมวลมนุษย์ทั้งปวง เราจะเก็บหนึ่งในสามที่เหลืออยู่นั้นเอาไว้—หนึ่งในสามที่รักเราและได้ถูกเราพิชิตอย่างถ้วนทั่วแล้ว และเราจะทำให้หนึ่งในสามนี้เกิดผลและทวีคูณบนแผ่นดินโลกเช่นเดียวกับที่คนอิสราเอลได้ทำภายใต้ธรรมบัญญัติ โดยบำรุงเลี้ยงพวกเขาด้วยแกะและฝูงปศุสัตว์ใช้งานมากมาย และความมั่งคั่งทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก มวลมนุษย์นี้จะคงอยู่กับเราตลอดไป แต่จะไม่ใช่มวลมนุษย์ที่โสมมอย่างน่าเสียดายของวันนี้ แต่เป็นมวลมนุษย์ที่เป็นชุมนุมชนของบรรดาผู้ที่เราได้รับไว้แล้วทั้งหมด มวลมนุษย์เช่นนี้จะไม่ถูกซาตานทำให้เสียหาย รบกวน หรือล้อมกรอบ และจะเป็นมวลมนุษย์หนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกหลังจากที่เราได้ชัยชนะเหนือซาตานแล้ว เป็นมวลมนุษย์ที่เราได้พิชิตในวันนี้ และได้รับคำสัญญาของเราแล้ว และดังนั้น มวลมนุษย์ที่ได้รับการพิชิตแล้วในระหว่างยุคสุดท้ายก็คือมวลมนุษย์ที่จะได้รับการละเว้นและจะได้รับพรนิรันดร์กาลของเราอีกด้วย มวลมนุษย์จะเป็นหลักฐานเดียวแห่งชัยชนะของเราเหนือซาตาน และเป็นของที่ริบมาหนึ่งเดียวจากการสู้รบของเรากับซาตาน ของที่ริบมาจากสงครามเหล่านี้ได้รับการช่วยให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานโดยเรา และเป็นการตกผลึกและผลหนึ่งเดียวของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของเรา พวกเขามาจากทุกชาติและทุกนิกาย จากทุกสถานที่และทุกประเทศทั่วทั้งจักรวาล พวกเขามีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน มีภาษา ขนบธรรมเนียม และสีผิวที่แตกต่างกัน และพวกเขาก็กระจายอยู่ทั่วทุกชาติและทุกนิกายของโลก และแม้กระทั่งทุกมุมของโลก ในที่สุดพวกเขาก็จะมารวมตัวกันเพื่อสร้างมวลมนุษย์ที่ครบบริบูรณ์ เป็นชุมนุมชนของมนุษย์ที่กำลังบังคับของซาตานไม่สามารถเข้าถึงได้ พวกที่อยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ไม่ได้รับการช่วยให้รอดและการพิชิตโดยเรา จะจมเงียบไปในความลึกแห่งทะเล และจะถูกเผาไหม้ด้วยไฟที่เผาผลาญของเราไปตลอดชั่วกัลปาวสาน เราจะทำลายล้างมวลมนุษย์เก่าๆ ที่โสมมอย่างยิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่เราได้ทำลายล้างบรรดาบุตรหัวปีและฝูงปศุสัตว์ของประเทศอียิปต์ โดยให้เหลืออยู่เพียงคนอิสราเอลเท่านั้น ผู้ซึ่งกินเนื้อลูกแกะ ดื่มเลือดลูกแกะ และป้ายขื่อประตูด้วยเลือดลูกแกะ ผู้คนที่ได้ถูกเราพิชิตแล้วและอยู่ในครอบครัวของเราไม่ได้เป็นผู้คนที่กินเนื้อพระเมษโปดกซึ่งก็คือเรา และดื่มพระโลหิตของพระเมษโปดกซึ่งก็คือเรา และได้รับการไถ่บาปโดยเราและนมัสการเราด้วยหรอกหรือ? ผู้คนเช่นนี้ไม่ได้มาพร้อมกับสง่าราศีของเราตลอดหรอกหรือ? บรรดาพวกที่อยู่โดยปราศจากเนื้อพระเมษโปดกซึ่งก็คือ เรานั้น ไม่ได้จมลงอย่างเงียบเชียบไปในความลึกแห่งท้องทะเลแล้วหรอกหรือ? ในวันนี้พวกเจ้าต่อต้านเรา และในวันนี้วจนะของเราเป็นเหมือนกับบรรดาพระวจนะที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับบรรดาบุตรชายและหลานชายแห่งประเทศอิสราเอล กระนั้นความกระด้างในส่วนลึกของหัวใจพวกเจ้ากำลังทำให้ความโกรธของเราเพิ่มพูนขึ้น ซึ่งนำความทุกข์มาสู่เนื้อหนังของพวกเจ้ามากขึ้น นำการพิพากษามาสู่บาปทั้งหลายของพวกเจ้ามากขึ้น และนำความโกรธมาสู่ความไม่ชอบธรรมของพวกเจ้ามากขึ้น ใครเล่าจะสามารถได้รับการละเว้นในวันแห่งความโกรธของเราได้ ในเมื่อพวกเจ้าปฏิบัติต่อเราเช่นนี้ในวันนี้? ความไม่ชอบธรรมของผู้ใดจะสามารถหลีกหนีตาแห่งการตีสอนของเราได้? บาปของผู้ใดจะสามารถหลบหลีกมือของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้? การเยาะเย้ยท้าทายของผู้ใดจะสามารถหลีกหนีคำพิพากษาของเรา องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้? เรา พระยาห์เวห์ พูดเช่นนี้ต่อพวกเจ้า พงศ์พันธุ์ของครอบครัวคนต่างชาติ และวจนะที่เราพูดกับพวกเจ้าล้ำเลิศกว่าถ้อยดำรัสทั้งหมดของยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ แต่พวกเจ้ากระด้างกว่าผู้คนของประเทศอียิปต์ทั้งหมด พวกเจ้าไม่กักเก็บความโกรธของเราในขณะที่เราทำงานของเราอย่างสงบเงียบหรอกหรือ? พวกเจ้าจะสามารถหนีพ้นโดยไม่ได้รับอันตรายจากยุคสมัยของเราองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้อย่างไรเล่า?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ไม่มีใครที่มีเนื้อหนังสามารถหลีกหนีวันแห่งพระพิโรธได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 205
พวกเจ้าควรอุทิศตนทั้งสิ้นแก่งานของเรา พวกเจ้าควรทำงานที่ให้ประโยชน์ต่อเรา เราเต็มใจอธิบายทุกอย่างที่พวกเจ้าไม่เข้าใจเพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถได้รับทั้งหมดทุกสิ่งที่ยังขาดพร่องอยู่จากเราได้ แม้ว่าความบกพร่องของพวกเจ้านั้นมากล้นเกินคณานับ เราก็ยังเต็มใจที่จะทำงานที่ควรทำกับพวกเจ้าต่อไป และมอบความปรานีสุดท้ายของเราเพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับผลประโยชน์จากเรา และได้รับเกียรติยศที่ขาดหายไปในตัวพวกเจ้า และเป็นสิ่งที่โลกไม่เคยได้เห็น เราได้ทำงานมาหลายปี ถึงกระนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนใดรู้จักเราเลย เราปรารถนาจะบอกสิ่งลี้ลับหลายอย่างแก่พวกเจ้าซึ่งเราไม่เคยบอกใครอื่นมาก่อนเลย
ท่ามกลางมนุษย์นั้น เราเคยเป็นวิญญาณที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ วิญญาณที่พวกเขาไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้ ด้วยเพราะงานสามช่วงระยะบนแผ่นดินโลกนี้ (การสร้างโลก การไถ่และการทำลายล้าง) เราจึงปรากฏท่ามกลางพวกเขาในเวลาต่างๆ กัน (อย่างไม่เปิดเผย) เพื่อทำงานของเราท่ามกลางพวกเขา ครั้งแรกที่เราได้มาอยู่ท่ามกลางมนุษย์คือในระหว่างยุคแห่งการไถ่ แน่นอนว่า เราเข้ามาในครอบครัวชาวยิวครอบครัวหนึ่ง ดังนั้น คนพวกแรกที่ได้เห็นพระเจ้าเสด็จมาในแผ่นดินโลกก็คือพวกยิว เหตุผลที่เราได้ทำงานนี้ด้วยตัวเองก็เพราะว่าเราต้องประสงค์ที่จะใช้เนื้อหนังที่มาจุติของเราเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปในงานแห่งการไถ่ของเรา ดังนั้น คนพวกแรกที่จะได้เห็นเราจึงเป็นพวกยิวในยุคพระคุณ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้ทำงานในเนื้อหนัง ในยุคแห่งอาณาจักรนั้น งานของเราคือการพิชิตและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเราจึงทำงานการเป็นผู้เลี้ยงของเราในเนื้อหนังอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองของเราในการทำงานในเนื้อหนัง ในสองช่วงระยะสุดท้ายของงาน สิ่งที่ผู้คนเกี่ยวข้องด้วยไม่ใช่พระวิญญาณที่มองไม่เห็นหรือจับต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นพระวิญญาณที่ได้เป็นจริงขึ้นมาในเนื้อหนัง ดังนั้นในสายตาของมนุษย์ เราจึงกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งโดยปราศจากรูปร่างหน้าตาและความรู้สึกเช่นพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าที่ผู้คนมองเห็นไม่เพียงแต่เป็นเพศชายเท่านั้น แต่เป็นเพศหญิงด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและเป็นปริศนาที่สุด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่งานพิเศษสุดของเราได้พังทลายการเชื่อเก่าๆ ที่ยึดถือกันมาเนิ่นนานหลายต่อหลายปีลงไป ผู้คนพากันตกตะลึง! พระเจ้าไม่ได้เป็นแค่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณ พระวิญญาณที่ทรงทวีอานุภาพขึ้นเป็นเจ็ดเท่า หรือพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด แต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเช่นกัน—มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เหมือนใคร พระองค์ไม่เพียงเป็นเพศชาย แต่เป็นเพศหญิงด้วยเช่นกัน สองพระองค์เหมือนกันตรงที่ทั้งสองพระองค์ทรงกำเนิดมาเป็นมนุษย์ และต่างกันตรงที่หนึ่งนั้นทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และอีกหนึ่งนั้นทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์ แต่กระนั้นก็ก่อเกิดมาจากพระวิญญาณโดยตรง สองพระองค์เหมือนกันตรงที่ทั้งสองทรงจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเพื่อดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าพระบิดา และต่างกันตรงที่หนึ่งนั้นทรงปฏิบัติพระราชกิจการไถ่ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย ทั้งสองพระองค์ต่างเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระบิดา ทว่าหนึ่งนั้นเป็นผู้ไถ่ ซึ่งเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความปรานี ส่วนอีกหนึ่งนั้นคือพระเจ้าแห่งความชอบธรรมซึ่งเปี่ยมด้วยความโกรธเคืองและการพิพากษา หนึ่งนั้นคือจอมทัพผู้ทรงเปิดตัวพระราชกิจแห่งการไถ่ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือพระเจ้าผู้ชอบธรรมซึ่งทำให้พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสำเร็จลุล่วง หนึ่งนั้นคือปฐมกาล อีกหนึ่งนั้นคือบทอวสาน หนึ่งนั้นเป็นเนื้อหนังที่ไร้บาป ขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือเนื้อหนังซึ่งเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ สืบสานพระราชกิจนั้นต่อไปและไม่เคยมีบาป ทั้งสองพระองค์เป็นพระวิญญาณเดียวกัน แต่สถิตในมนุษย์ที่แตกต่างกันและทรงถือกำเนิดในสถานที่ต่างกัน และอยู่ต่างช่วงเวลากันหลายพันปี อย่างไรก็ตาม พระราชกิจทั้งมวลของทั้งสองพระองค์ต่างเสริมกันและกัน ไม่เคยขัดแย้งกัน และสามารถพูดถึงได้ในคราวเดียวกัน ทั้งสองพระองค์ล้วนเป็นคน แต่คนหนึ่งเป็นเด็กชาย อีกคนเป็นทารกเพศหญิง ในช่วงหลายปีดังกล่าว สิ่งที่ผู้คนได้เห็นนั้นไม่ใช่เพียงพระวิญญาณและไม่ใช่เพียงมนุษย์เพศชายผู้หนึ่ง แต่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดใดๆ ของมนุษย์อีกด้วย เมื่อเป็นดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีวันหยั่งถึงเราได้อย่างครบถ้วน พวกเขาเฝ้าแต่เชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่งในตัวเรา—เป็นทำนองว่าเรามีอยู่จริง แต่ก็เป็นภาพมายาในฝันเช่นกัน—นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใด กระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนยังคงไม่รู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น พวกเจ้าสามารถสรุปความเป็นเราได้ด้วยประโยคเรียบง่ายประโยคเดียวจริงๆ หรือไม่? พวกเจ้ากล้าพูดจริงๆ หรือว่า “พระเยซูไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระเจ้า และพระเจ้าไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระเยซู”? พวกเจ้ากล้าพอที่จะพูดได้จริงๆ หรือว่า “พระเจ้าไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระวิญญาณ และพระวิญญาณไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระเจ้า”? พวกเจ้าพูดได้ง่ายๆ เลยหรือว่า “พระเจ้าเป็นแค่มนุษย์ที่สวมสภาพเนื้อหนัง”? พวกเจ้ากล้าที่จะยืนกรานจริงๆ หรือว่า “พระฉายาของพระเยซูคือพระฉายาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”? พวกเจ้าสามารถใช้คารมโวหารของตัวเองมาอธิบายพระฉายาและพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนจริงๆ หรือ? พวกเจ้ากล้าจริงๆ หรือที่จะพูดว่า “พระเจ้าทรงสร้างเฉพาะผู้ชายเท่านั้นตามลักษณะพระฉายาของพระองค์ ไม่ทรงสร้างผู้หญิง”? หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีเพศหญิงอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เราคัดสรรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงจะเป็นหนึ่งในจำพวกของมนุษยชาติ บัดนี้ เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือไม่ ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น? พระเจ้าทรงเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงเป็นผู้ชายจริงๆ หรือ? เฉพาะพระเยซูเท่านั้นหรือที่สามารถทำให้งานที่เราจะต้องทำนั้นเสร็จสิ้น? หากพวกเจ้าเลือกเพียงหนึ่งข้อจากข้างต้นเพื่อสรุปแก่นแท้ของเรา พวกเจ้าก็เป็นผู้เชื่อผู้จงรักภักดีคนหนึ่งซึ่งไม่รู้เท่าทันเสียเหลือเกิน หากว่าเราได้ทำงานในฐานะผู้มาจุติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนังไปครั้งหนึ่ง และแค่ครั้งเดียวเท่านั้นพวกเจ้าจะจำกัดขอบเขตเราไหม? เจ้าสามารถเข้าใจเราอย่างถ้วนทั่วได้โดยการมองเพียงแวบเดียวจริงๆ หรือ? พวกเจ้าสามารถสรุปความเป็นเราได้อย่างสมบูรณ์จากสิ่งที่พวกเจ้าพบเห็นในช่วงชีวิตที่ผ่านมาจริงๆ หรือไม่? หากเราทำงานแบบเดียวกันในการจุติเป็นมนุษย์ของเราทั้งสองครั้ง พวกเจ้าจะเข้าใจเราว่าอย่างไร? พวกเจ้าจะทิ้งให้เราถูกตอกตรึงกางเขนไปตลอดกาลหรือไม่? พระเจ้าจะทรงเรียบง่ายอย่างที่พวกเจ้ากล่าวอ้างอย่างนั้นหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 206
ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของสองยุคก่อนหน้านี้ดำเนินการเสร็จสิ้นในประเทศอิสราเอล และอีกช่วงระยะหนึ่งดำเนินการในแคว้นยูเดีย กล่าวโดยทั่วไปแล้ว ทั้งสองช่วงระยะของพระราชกิจนี้หาได้พ้นไปจากประเทศอิสราเอลไม่ และแต่ละช่วงระยะก็ได้ดำเนินการในตัวประชากรกลุ่มแรกที่ทรงเลือกสรรไว้ ผลลัพธ์ก็คือคนอิสราเอลเชื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น เนื่องจากพระเยซูทรงพระราชกิจในแคว้นยูเดียที่ซึ่งพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขน พวกยิวจึงมองว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของประชาชนชาวยิว พวกเขาคิดว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิวแต่ผู้เดียวไม่ใช่ของชนชาติอื่นใด คิดว่าพระองค์ทรงไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไถ่บาปคนอังกฤษ หรือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไถ่บาปคนอเมริกัน แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงไถ่บาปคนอิสราเอล และเป็นพวกยิวนั่นเองที่พระองค์ได้ทรงไถ่บาปในประเทศอิสราเอล อันที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงเป็นองค์เจ้านายของทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงพระองค์ไม่เพียงทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลหรือของพวกยิวเท่านั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง ทั้งสองช่วงระยะก่อนหน้านี้ของพระราชกิจของพระองค์เกิดขึ้นในประเทศอิสราเอลซึ่งได้สร้างมโนคติที่หลงผิดบางอย่างไว้ในผู้คน พวกเขาเชื่อว่าพระยาห์เวห์ทรงพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอล เชื่อว่าพระเยซูพระองค์เองทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นในแคว้นยูเดีย และยิ่งไปกว่านั้น เชื่อว่าพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจ—และไม่ว่ากรณีใดก็ตาม พระราชกิจนี้ไม่ได้แผ่ขยายไปพ้นประเทศอิสราเอล พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจในคนอียิปต์หรือคนอินเดีย พระองค์ทรงพระราชกิจในคนอิสราเอลเท่านั้น ดังนั้น ผู้คนจึงก่อมโนคติที่หลงผิดสารพัดและวาดขอบพระราชกิจของพระเจ้าขึ้นภายในขอบเขตหนึ่ง พวกเขากล่าวว่าเมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ พระองค์ต้องทรงทำเช่นนั้นท่ามกลางประชากรที่ทรงเลือกสรรและทำในประเทศอิสราเอล นอกจากคนอิสราเอลแล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจต่อผู้อื่นเลย และไม่มีขอบเขตที่กว้างใหญ่กว่านี้อีกแล้วในพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาเข้มงวดเป็นพิเศษเมื่อมาถึงเรื่องการจัดให้พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ไม่แตกแถวและไม่อนุญาตให้พระองค์ขยับออกนอกเขตแดนของประเทศอิสราเอล เหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เท่านั้นหรอกหรือ? พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ทุกชั้นและแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสร้างสิ่งทรงสร้างทั้งปวงขึ้นมา ดังนั้นพระองค์จะทรงจำกัดพระราชกิจของพระองค์ไว้กับประเทศอิสราเอลเท่านั้นได้อย่างไร? หากเป็นเช่นนั้นแล้ว การที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้นมาจะเป็นประโยชน์อันใดเล่า? พระองค์ทรงสร้างทั้งพิภพและพระองค์ทรงดำเนินแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์จนเสร็จสิ้นไม่เพียงในประเทศอิสราเอล แต่กับทุกๆ คนในจักรวาล ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในประเทศจีน สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรหรือรัสเซีย ทุกคนเป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัม พวกเขาล้วนถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า ไม่มีแม้สักคนในพวกเขาสามารถหลบหนีออกนอกเขตแดนของการทรงสร้างได้และไม่มีแม้สักคนในพวกเขาสามารถแยกตัวเองออกจากป้ายฉลาก “พงศ์พันธุ์ของอาดัม” ได้ พวกเขาล้วนเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า พวกเขาล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอาดัม และพวกเขาก็เป็นพงศ์พันธุ์อันเสื่อมทรามของอาดัมและเอวา ไม่ใช่มีแต่คนอิสราเอลเท่านั้นที่เป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า แต่ทุกชนชาติก็เป็น เพียงแต่ว่าบางคนได้ถูกสาปแช่งและบางคนได้รับการอวยพร มีมากมายหลายสิ่งที่น่าพอใจเกี่ยวกับคนอิสราเอล พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อพวกเขาในตอนเริ่มต้นเพราะพวกเขาเสื่อมทรามน้อยที่สุด คนจีนนั้นไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบกับพวกเขาได้เลย พวกเขาด้อยกว่ามาก ดังนั้น ในตอนแรกเริ่ม พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางประชาชนอิสราเอลและช่วงระยะที่สองของพระราชกิจของพระองค์นั้นได้ทรงดำเนินการในแคว้นยูเดียเท่านั้น—ซึ่งได้นำไปสู่มโนคติที่หลงผิดและกฎเกณฑ์มากมายท่ามกลางมนุษย์ โดยข้อเท็จจริงแล้ว หากพระเจ้าต้องทรงทำตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระองค์ก็จะทรงเป็นเพียงพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และดังนั้น จะไม่สามารถแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปยังชนต่างชาติ เพราะพระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้นและไม่ทรงเป็นพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง คำเผยพระวจนะทั้งหลายกล่าวไว้แล้วว่า พระนามของพระยาห์เวห์จะได้รับการขยายความไปในหมู่ชนต่างชาติ กล่าวไว้ว่าจะแพร่กระจายไปยังชนต่างชาติ เหตุใดจึงได้เผยพระวจนะไว้เช่นนี้เล่า? หากพระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น พระองค์ก็จะทรงพระราชกิจในประเทศอิสราเอลเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์จะไม่ทรงแพร่กระจายพระราชกิจนี้ และพระองค์จะไม่ทรงกล่าวคำเผยพระวจนะเช่นนี้ ในเมื่อพระองค์ทรงกล่าวคำเผยพระวจนะนี้ไว้แล้ว พระองค์ก็จะทรงแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปท่ามกลางชนต่างชาติ ท่ามกลางทุกชนชาติและทุกแผ่นดินอย่างแน่นอน ในเมื่อพระองค์ทรงกล่าวไว้เช่นนี้ พระองค์ก็จำต้องทรงปฏิบัติ นี่คือแผนการของพระองค์เพราะพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และเป็นพระเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจท่ามกลางคนอิสราเอลหรือทั่วแคว้นยูเดียทั้งหมด พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำก็คือพระราชกิจของทั้งจักรวาลและพระราชกิจของมนุษยชาติทั้งมวล พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในวันนี้ในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง—ในชนต่างชาติ—ยังคงเป็นพระราชกิจของมนุษยชาติทั้งมวล ประเทศอิสราเอลสามารถเป็นฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ ในทำนองเดียวกัน ประเทศจีนก็สามารถเป็นฐานสำหรับพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนต่างชาติได้เช่นกัน บัดนี้พระองค์ยังไม่ได้ทรงลุล่วงในคำเผยพระวจนะที่ว่า “พระนามของพระยาห์เวห์จะได้รับการขยายให้ยิ่งใหญ่ท่ามกลางชนต่างชาติ” ไปแล้วหรอกหรือ? ขั้นตอนแรกของพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลายก็คือพระราชกิจนี้เอง พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดง ที่พระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์ควรทรงพระราชกิจในแผ่นดินนี้และทรงพระราชกิจท่ามกลางผู้คนที่ถูกสาปแช่งเหล่านี้นั้น ไม่ลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เหล่านี้คือผู้คนที่ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาทั้งหมด พวกเขาไม่มีค่าเลยและพวกเขาถูกพระยาห์เวห์ทอดทิ้งไปในตอนแรกเริ่ม ผู้คนสามารถถูกผู้คนอื่นทอดทิ้งได้ แต่ถ้าพวกเขาถูกพระเจ้าทอดทิ้งแล้วไซร้ ก็จะไม่มีใครสิ้นไร้สถานะไปกว่านี้แล้ว จะไม่มีใครที่มีค่าต่ำกว่านี้แล้ว สำหรับสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า การถูกครอบงำโดยซาตานหรือถูกทอดทิ้งโดยผู้คนนั้นเป็นบางสิ่งที่รู้สึกเจ็บปวดมาก—แต่สำหรับสิ่งทรงสร้างที่ถูกพระผู้สร้างทอดทิ้ง มันหมายความว่าพวกเขาไม่อาจมีสถานะต่ำกว่านี้ได้แล้ว พงศ์พันธุ์ของโมอับถูกสาปแช่ง และพวกเขาได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศล้าหลังนี้ ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นประเทศของผู้คนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความมืดทั้งหมด พงศ์พันธุ์ของโมอับมีสถานะต่ำที่สุด เพราะผู้คนเหล่านี้มีสถานะต่ำที่สุดตลอดมา พระราชกิจที่ทรงทำต่อพวกเขาจึงสามารถพังทลายมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ให้สิ้นไปได้อย่างดีที่สุด และยังเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าทั้งหมดอีกด้วย การทรงพระราชกิจเช่นนี้ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพังทลายมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และพระเจ้าทรงเปิดตัวยุคสมัยก็ด้วยการนี้ กล่าวคือ พระองค์ทรงพังทลายมโนคติที่หลงผิดทั้งหมดของมนุษย์ ด้วยการนี้ พระองค์ทรงสิ้นสุดพระราชกิจของยุคพระคุณทั้งหมด ก็ด้วยการนี้ พระราชกิจแรกของพระองค์ได้ทรงดำเนินการไปในแคว้นยูเดีย ภายในเขตแดนของประเทศอิสราเอล ท่ามกลางชนต่างชาติทั้งหลายนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจใดๆ เพื่อเปิดยุคสมัยใหม่ ช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจไม่เพียงทรงดำเนินการท่ามกลางคนต่างชาติเท่านั้น แต่ยังยิ่งมากไปถึงท่ามกลางบรรดาผู้ที่ถูกสาปแช่ง ประเด็นเดียวนี้คือหลักฐานที่สามารถสร้างความอัปยศให้แก่ซาตานได้อย่างมากที่สุด และดังนั้น พระเจ้าจึงทรง “กลายเป็น” พระเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงในจักรวาล องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งทุกสรรพสิ่ง วัตถุแห่งการนมัสการสำหรับทุกสิ่งที่มีชีวิต
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 207
วันนี้ มีพวกที่ยังคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือพระราชกิจใหม่ที่พระเจ้าได้ทรงเริ่มทำ ท่ามกลางชนต่างชาติ พระเจ้าได้ทรงนำมาซึ่งการเริ่มต้นใหม่ พระองค์ได้เริ่มยุคสมัยใหม่และริเริ่มพระราชกิจใหม่—และพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้กับพงศ์พันธุ์ของโมอับ นี่ไม่ใช่พระราชกิจใหม่ที่สุดของพระองค์หรอกหรือ? ไม่มีใครเลยสักคนทั่วทั้งประวัติศาสตร์ได้เคยมีประสบการณ์กับพระราชกิจนี้มาก่อน ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ และนับประสาอะไรที่จะได้ซาบซึ้งกับมัน พระปัญญาของพระเจ้า การอัศจรรย์ของพระเจ้า ความไม่อาจหยั่งถึงได้ของพระเจ้า ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ล้วนถูกสำแดงให้ปรากฏผ่านช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย นี่ไม่ใช่พระราชกิจใหม่ พระราชกิจซึ่งพังทลายมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ? มีพวกที่คิดดังนี้ว่า “ในเมื่อพระเจ้าทรงสาปแช่งโมอับและได้ตรัสไว้ว่าพระองค์จะละทิ้งพงศ์พันธุ์ของโมอับ แล้วในตอนนี้ พระองค์จะสามารถช่วยพวกเขาให้รอดได้อย่างไร?” เหล่านี้คือพวกคนต่างชาติที่ถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและขับออกจากประเทศอิสราเอล คนอิสราเอลเรียกพวกเขาว่า “สุนัขต่างชาติ” ในมุมมองของทุกคน พวกเขาไม่เพียงเป็นสุนัขต่างชาติเท่านั้น แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ ยังเป็นบุตรแห่งการทำลายล้าง ซึ่งกล่าวได้ว่า พวกเขาไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาอาจเกิดมาภายในเขตแดนของประเทศอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ได้เป็นของประชาชนอิสราเอล และถูกขับไล่ไปยังชนต่างชาติ พวกเขาต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมด แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะพวกเขาต่ำต้อยที่สุดท่ามกลางมนุษยชาติที่พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในการเปิดตัวยุคใหม่ท่ามกลางพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเป็นตัวแทนของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม พระราชกิจของพระเจ้านั้นมีการคัดสรรและตั้งเป้าเอาไว้ พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในผู้คนเหล่านี้ในวันนี้ก็เป็นพระราชกิจที่ทรงปฏิบัติต่อสรรพสิ่งทรงสร้างเช่นกัน โนอาห์เป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เช่นเดียวกับพงศ์พันธุ์ของเขา ผู้ใดในพิภพที่มีเลือดเนื้อคือสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าชี้ตรงไปที่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครบางคนถูกสาปแช่งหลังจากที่พวกเขาถูกทรงสร้างขึ้นหรือไม่ พระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์นั้นชี้ตรงไปที่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหมด ไม่ใช่ผู้คนที่ทรงเลือกสรรซึ่งยังไม่ถูกสาปแช่ง เนื่องจากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ให้เสร็จสิ้นท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงดำเนินการจนสำเร็จบริบูรณ์อย่างแน่นอน และพระองค์จะทรงพระราชกิจท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงสลายธรรมเนียมปฏิบัติทั้งหมดลงเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจท่ามกลางผู้คน สำหรับพระองค์แล้ว คำว่า “ถูกสาปแช่ง” “ถูกตีสอน” และ “ได้รับการอวยพร” นั้นไร้ความหมาย! พวกยิวนั้นก็ดี เช่นเดียวกับประชาชนอิสราเอลที่ทรงเลือกสรร พวกเขาเป็นคนที่มีขีดความสามารถดีและความเป็นมนุษย์ที่ดี ในช่วงเริ่มต้นนั้น พระยาห์เวห์ได้เปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางพวกเขา และทรงพระราชกิจแรกสุดของพระองค์—แต่การปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยพวกเขาในวันนี้ย่อมไร้ความหมาย พวกเขาอาจเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งทรงสร้างด้วยเช่นกัน และอาจมีหลายสิ่งที่เป็นบวกเกี่ยวกับพวกเขา แต่การดำเนินการช่วงระยะนี้ของพระราชกิจท่ามกลางพวกเขาย่อมไร้ความหมาย พระเจ้าจะไม่สามารถพิชิตผู้คนและจะไม่สามารถโน้มน้าวใจสรรพสิ่งทรงสร้างได้ทั้งหมด ซึ่งแท้จริงแล้วคือเหตุผลของการสับเปลี่ยนพระราชกิจของพระองค์มายังผู้คนเหล่านี้ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง ที่มีนัยสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุดในที่นี้คือการที่พระองค์ทรงเปิดตัวยุคสมัย การที่พระองค์ทรงพังทลายกฎเกณฑ์ทั้งหมดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทั้งหมด และการที่พระองค์ทรงสิ้นสุดพระราชกิจของยุคพระคุณทั้งหมด หากพระราชกิจปัจจุบันของพระองค์ถูกดำเนินการเสร็จสิ้นท่ามกลางคนอิสราเอล เมื่อถึงเวลาที่แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ปิดตัวลง ทุกคนก็จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น เชื่อว่าคนอิสราเอลเท่านั้นที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เชื่อว่าชาวอิสราเอลเท่านั้นที่สมควรได้รับพระพรและพระสัญญาของพระเจ้าเป็นมรดก การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายในชนต่างชาติของประเทศแห่งพญานาคใหญ่สีแดงทำให้พระราชกิจของพระเจ้าซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงนั้นสำเร็จลุล่วงลง พระองค์ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจการบริหารจัดการของพระองค์ครบถ้วนทั้งหมดและพระองค์ก็จบพระราชกิจส่วนกลางของพระองค์ในชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดง หัวใจสำคัญของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้คือความรอดของมนุษย์กล่าวคือ การทำให้สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงนมัสการพระผู้สร้าง ดังนั้น จึงมีความหมายยิ่งใหญ่ต่อแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจ พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใดที่ปราศจากความหมายหรือคุณค่า ในด้านหนึ่งนั้น ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจนำมาซึ่งยุคสมัยใหม่และยุติสองยุคสมัยก่อนหน้า ในอีกด้านหนึ่งนั้น มันพังทลายมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทั้งหมดและหนทางอันเก่าแก่ทั้งหมดของความเชื่อและความรู้ของมนุษย์ พระราชกิจของสองยุคก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการไปตามมโนคติที่หลงผิดต่างๆ นานาของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ช่วงระยะนี้ขจัดมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ออกไปจนหมดสิ้น ส่งผลให้พิชิตมนุษยชาติได้อย่างถึงที่สุด พระเจ้าจะทรงพิชิตผู้คนทั้งหมดทั่วจักรวาล ด้วยการพิชิตพงศ์พันธุ์ของโมอับผ่านพระราชกิจที่ทรงดำเนินการท่ามกลางพงศ์พันธุ์ของโมอับ นี่คือนัยสำคัญลึกสุดของช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระองค์ และเป็นแง่มุมที่มีค่าที่สุดของช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระองค์ ต่อให้ตอนนี้เจ้ารู้แล้วว่าสถานะของตัวเจ้านั้นต่ำต้อยและเจ้ามีค่าต่ำ เจ้าจะยังคงรู้สึกว่าเจ้าได้พบกับสิ่งที่น่าชื่นบานที่สุด กล่าวคือ เจ้าได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่เป็นมรดก ได้รับพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และเจ้าสามารถช่วยให้พระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระเจ้านี้สำเร็จลุล่วงไปได้ เจ้าได้เห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า เจ้ารู้จักพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้าและเจ้าทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า สองช่วงระยะก่อนหน้าของพระราชกิจของพระเจ้าดำเนินการในประเทศอิสราเอล หากช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้ายดำเนินการไปจนเสร็จสิ้นท่ามกลางคนอิสราเอลอีกเช่นกันแล้วไซร้ ไม่เพียงแต่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงจะเชื่อว่ามีเพียงคนอิสราเอลเท่านั้นที่เป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร แต่แผนการบริหารจัดการทั้งสิ้นของพระเจ้าจะพลาดจากการบรรลุผลที่ทรงพึงปรารถนา ในระหว่างช่วงเวลาที่สองช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วในประเทศอิสราเอล ไม่มีทั้งพระราชกิจใหม่—และพระราชกิจใดอันใดแห่งการเปิดตัวยุคสมัยใหม่—ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปท่ามกลางชนต่างชาติ ช่วงระยะในวันนี้ของพระราชกิจ—พระราชกิจแห่งการเปิดตัวยุคสมัยใหม่—ดำเนินการท่ามกลางชนต่างชาติก่อน และยิ่งไปกว่านั้น ดำเนินการเริ่มแรก ท่ามกลางพงศ์พันธุ์ของโมอับ ดังนั้นจึงเป็นการเปิดตัวทั้งยุคสมัย พระเจ้าได้ทรงพังทลายความรู้ใดๆ ที่ถูกบรรจุอยู่ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ โดยไม่ทรงยอมให้หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพังทลายมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ บรรดาวิถีอันเก่าแก่แห่งความรู้ของมนุษย์ก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงให้ผู้คนมองเห็นว่ากับพระเจ้าแล้ว ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีอะไรเก่าแก่เกี่ยวกับพระเจ้า มองเห็นว่าพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นล้วนมีเสรีภาพทั้งสิ้น ล้วนเป็นอิสระทั้งสิ้นและมองเห็นว่าพระองค์ทรงถูกต้องในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ เจ้าต้องนบนอบอย่างสุดใจต่อพระราชกิจใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้าง พระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำมีความหมายและทรงดำเนินการเสร็จสิ้นโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยและพระปัญญาของพระองค์เอง และไม่ได้เป็นไปตามตัวเลือกและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ หากมีบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ย่อมทรงทำ และถ้ามีบางสิ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ก็ย่อมไม่ทรงทำไม่ว่ามันจะดีเพียงใด! พระองค์ทรงพระราชกิจและทรงคัดสรรผู้รับและที่ตั้งของพระราชกิจของพระองค์โดยสอดคล้องกับความหมายและจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ในอดีตในยามที่พระองค์ทรงพระราชกิจ และพระองค์ไม่ทรงทำตามสูตรเก่าๆ อีกด้วย แต่พระองค์กลับทรงวางแผนพระราชกิจของพระองค์โดยสอดคล้องกับนัยสำคัญของพระราชกิจแทน ในท้ายที่สุด พระองค์จะบรรลุประสิทธิผลอันแท้จริงและเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ในวันนี้ พระราชกิจนี้จะไม่เกิดประสิทธิผลในตัวเจ้าเลย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 208
อุปสรรคต่อพระราชกิจของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด? ผู้ใดเคยรู้หรือไม่? ด้วยผู้คนที่ถูกขังอยู่ในสีสันแห่งความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ฝังลึก ผู้ใดจะสามารถรู้จักพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้าได้? ด้วยความรู้ทางวัฒนธรรมที่ล้าหลัง แสนตื้นเขินและไร้สาระเหลือเกินนี้ พวกเขาจะสามารถเข้าใจถ้อยคำที่พระเจ้าตรัสอย่างเต็มที่ได้อย่างไร? แม้กระทั่งเมื่อพวกเขาได้รับการตรัสด้วยแบบซึ่งหน้าและได้รับการบำรุงเลี้ยง ปากต่อปาก พวกเขาจะสามารถเข้าใจได้อย่างไร? บางครั้งมันเป็นราวกับว่าพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้รับความสนใจไยดี กล่าวคือ ผู้คนไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย พวกเขาสั่นหัวและไม่เข้าใจสิ่งใด การนี้จะไม่น่ากังวลได้อย่างไร? “ประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรมและความรู้ทางวัฒนธรรมแบบโบราณที่ห่างไกล[1]” นี้ได้เลี้ยงดูกลุ่มคนที่ไร้ค่าเช่นนี้มา วัฒนธรรมโบราณ—มรดกล้ำค่านี้—คือกองขยะ! มันได้กลายเป็นความอับอายนิรันดร์กาลมานานแล้ว และไม่มีค่าคู่ควรแก่การกล่าวถึง! มันได้สอนเล่ห์เหลี่ยมและกลวิธีต่างๆ ในการต่อต้านพระเจ้าให้แก่ผู้คน และ “การนำที่อ่อนโยนและมีระเบียบ”[2] ของการศึกษาแห่งชาติได้ทำให้ผู้คนไม่เชื่อฟังพระเจ้ามากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ พระราชกิจแต่ละส่วนของพระเจ้าลำบากยากเย็นอย่างสุดขีด และทุกขั้นตอนแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้เป็นที่กลัดกลุ้มของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกช่างยากลำบากนัก! ขั้นตอนต่างๆ แห่งพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเกี่ยวข้องกับความยากลำบากใหญ่หลวง กล่าวคือ สำหรับความอ่อนแอของมนุษย์ ความขาดตกบกพร่อง ความไม่รู้จักโต ความไม่รู้เท่าทัน และทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงทำการวางแผนที่รัดกุมและการพิจารณาที่รอบคอบ มนุษย์นั้นเหมือนกับเสือกระดาษที่คนคนหนึ่งไม่กล้าแหย่หรือยั่วยุ เพียงสัมผัสเบาที่สุดเขาจะกัดตอบ หรือไม่ก็จะล้มลงและหลงทาง และมันเป็นราวกับว่าเมื่อเสียสมาธิแม้แต่นิดเดียว เขาก็จะกลับสู่สภาพเดิม หรือไม่ก็เพิกเฉยต่อพระเจ้า หรือวิ่งไปหาบิดามารดาที่สกปรกและตะกละตะกลามของเขาเพื่อเกลือกกลั้วอยู่ในสิ่งต่างๆ ที่ไม่บริสุทธิ์แห่งร่างกายของพวกเขา ช่างเป็นอุปสรรคขัดขวางที่ใหญ่หลวงอะไรเช่นนี้! ในทุกขั้นตอนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแห่งงานของพระองค์ พระเจ้าทรงตกอยู่ภายใต้การทดลอง และพระเจ้าทรงเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงในเกือบทุกขั้นตอน พระวจนะของพระองค์จริงใจและซื่อสัตย์ และปราศจากการมุ่งร้าย แต่ทว่าผู้ใดเล่าเต็มใจที่จะยอมรับพระวจนะเหล่านั้น? ผู้ใดเล่าเต็มใจที่จะนบนอบอย่างสุดใจ? มันทำให้พระทัยของพระเจ้าแตกสลาย พระองค์ทรงตรากตรำทั้งวันทั้งคืนเพื่อมนุษย์ พระองค์ทรงถูกรุมเร้าด้วยความวิตกกังวลต่อชีวิตมนุษย์ และพระองค์เห็นพระทัยความอ่อนแอของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงสู้ทนความคดเคี้ยวและความพลิกผันในแต่ละขั้นตอนแห่งพระราชกิจของพระองค์ อันเป็นเพราะพระวจนะทุกคำที่พระองค์ตรัส พระองค์ทรงอยู่ในสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้ และทรงคิดถึงความอ่อนแอ การไม่เชื่อฟัง ความไม่รู้จักโตและเปราะบางของมนุษย์… ตลอดเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใดเคยรู้การนี้? พระองค์จะสามารถปรับทุกข์กับผู้ใดได้บ้าง? ผู้ใดจะสามารถเข้าใจได้? ตลอดมานั้นพระองค์ทรงเกลียดบาปของมนุษย์ และการขาดพร่องความกล้า และการไร้ความเข้มแข็งของมนุษย์ และตลอดมานั้นพระองค์ทรงกังวลกับความเปราะบางของมนุษย์ และทรงใคร่ครวญถึงเส้นทางที่ทอดอยู่ข้างหน้ามนุษย์ ขณะที่พระองค์ทรงเฝ้าสังเกตคำพูดและความประพฤติของมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความปรานี และความกริ้วเสมอ และภาพของสิ่งเหล่านี้ก็นำความเจ็บปวดมาสู่พระทัยของพระองค์เสมอ ในที่สุด บรรดาผู้ที่บริสุทธิ์ใจนั้นก็ได้มึนชามากยิ่งขึ้น เหตุใดพระเจ้าต้องทรงทำให้สิ่งต่างๆ ลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาอยู่เสมอ? มนุษย์ที่อ่อนแอสูญสิ้นความเพียรพยายามโดยสิ้นเชิง เหตุใดพระเจ้าจึงควรมีความกริ้วอันคงที่เช่นนั้นต่อเขาอยู่เสมอ? มนุษย์ที่อ่อนแอและไร้พลังอำนาจไม่มีกำลังวังชาอีกต่อไปแม้แต่น้อย เหตุใดพระเจ้าจึงควรทรงต่อว่าเขาเรื่องการไม่เชื่อฟังของเขาอยู่เสมอ? ผู้ใดสามารถทนทานการข่มขู่ของพระเจ้าในสวรรค์ได้? ไม่ว่าอย่างไร มนุษย์ก็บอบบาง และอยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์ยิ่ง พระเจ้าได้ทรงผลักความกริ้วของพระองค์ลึกลงไปในพระทัยของพระองค์ เพื่อที่มนุษย์อาจจะทบทวนตัวเองอย่างช้าๆ ถึงกระนั้นมนุษย์ ผู้ซึ่งอยู่ในความลำบากใหญ่หลวง ก็ไม่มีความซึ้งคุณค่าในน้ำพระทัยของพระเจ้าแม้แต่น้อย มนุษย์ได้ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เท้าของกษัตริย์แก่ของพวกมาร แต่ทว่าเขาไม่ตระหนักรู้โดยสิ้นเชิง เขาตั้งตัวต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ หรือมิฉะนั้นเขาก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับพระเจ้า พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมายยิ่งนัก แต่ทว่าผู้ใดเคยได้พิจารณาพระวจนะเหล่านั้นอย่างจริงจัง? มนุษย์ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ถึงกระนั้นเขายังคงเย็นใจอยู่ และไม่มีการโหยหา และไม่เคยได้รู้อย่างแท้จริงถึงธาตุแท้ของพญามารแก่ตนนั้น ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในแดนคนตาย ในนรก แต่เชื่อว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในวังแห่งพื้นทะเล พวกเขาถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหง แต่กระนั้นก็คิดว่าตัวพวกเขาเองเป็นที่ “โปรดปราน”[3] ของประเทศ พวกเขาถูกมารเยาะเย้ยถากถาง แต่ยังคิดว่าพวกมันชื่นชมสุดยอดงานศิลป์แห่งเนื้อหนัง พวกเขาช่างเป็นพวกวายร้ายต่ำต้อยที่สกปรกอะไรเช่นนี้! มนุษย์ได้พบกับโชคร้าย แต่เขาไม่รู้ตัว และในสังคมมืดนี้เขาทนทุกข์กับเคราะห์ร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า[4] แต่ทว่าเขาไม่เคยตื่นขึ้นมาเข้าใจการนี้ เมื่อใดเขาจะทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากความเมตตาสงสารตนเองและอุปนิสัยเยี่ยงทาสของเขา? เหตุใดเขาจึงไม่แยแสพระทัยของพระเจ้าเช่นนี้? เขาเห็นดีเห็นงามอย่างเงียบๆ กับการกดขี่และความยากลำบากนี้กระนั้นหรือ? เขาไม่ปรารถนาวันที่เขาสามารถเปลี่ยนความมืดเป็นความสว่างได้หรอกหรือ? เขาไม่ปรารถนาที่จะเยียวยาความไม่ยุติธรรมให้เป็นความชอบธรรมและความจริงอีกครั้งหนึ่งหรอกหรือ? เขาเต็มใจที่จะเฝ้าดูและไม่ทำสิ่งใดขณะที่ผู้คนละทิ้งความจริงและบิดเบือนข้อเท็จจริงกระนั้นหรือ? เขาเป็นสุขที่จะสู้ทนการทารุณนี้ต่อไปกระนั้นหรือ? เขาเต็มใจที่จะเป็นทาสกระนั้นหรือ? เขาเต็มใจที่จะพินาศด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าไปพร้อมกันกับทาสทั้งหลายแห่งรัฐที่ล้มเหลวนี้กระนั้นหรือ? ไหนเล่าความแน่วแน่ของเจ้า? ไหนเล่าความทะเยอทะยานของเจ้า? ไหนเล่าศักดิ์ศรีของเจ้า? ไหนเล่าความซื่อสัตย์สุจริตของเจ้า? ไหนเล่าอิสรภาพของเจ้า? เจ้าเต็มใจที่จะสละทั้งชีวิตของเจ้า[5]เพื่อพญานาคใหญ่สีแดง ราชาแห่งพวกมารกระนั้นหรือ? เจ้าเป็นสุขที่จะปล่อยให้มันทรมานเจ้าจนตายกระนั้นหรือ? ผิวของทะเลที่ลึกนั้นวุ่นวายและมืด ในขณะที่คนทั่วไปซึ่งทนทุกข์กับความทุกข์ร้อนเช่นนั้นร้องต่อสวรรค์และพร่ำบ่นต่อแผ่นดินโลก เมื่อใดเล่ามนุษย์จะสามารถเชิดหน้าของเขาได้? มนุษย์นั้นผอมแห้งและแรงน้อย เขาจะสามารถต่อกรกับมารที่ดุร้ายและเผด็จการนี้ได้อย่างไร? เหตุใดเขาไม่มอบชีวิตของเขาให้แก่พระเจ้าทันทีที่เขาสามารถทำได้? เหตุใดเขายังคงหวั่นไหว? เมื่อใดเขาจะสามารถทำให้พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จได้? เมื่อถูกรังแกและกดขี่อย่างไร้จุดหมายดังนี้ ในท้ายที่สุดทั้งชีวิตของเขาจะถูกใช้ไปโดยสูญเปล่า เหตุใดเขาจึงรีบเร่งที่จะมาถึงเช่นนั้น และเร่งรุดที่จะจากไปเช่นนั้น? เหตุใดเขาจึงไม่เก็บรักษาบางสิ่งบางอย่างที่ล้ำค่าไว้เพื่อถวายพระเจ้า? เขาได้ลืมหลายสหัสวรรษแห่งความเกลียดชังไปแล้วหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)
เชิงอรรถ:
1. “ที่ห่างไกล” ใช้อย่างเย้ยหยัน
2. “การนำที่อ่อนโยนและมีระเบียบ” ใช้อย่างเย้ยหยัน
3. “โปรดปราน” ใช้เพื่อเย้ยหยันผู้คนที่ดูเหมือนท่อนไม้แล้วยังไม่รู้ตัว
4. “ทนทุกข์กับเคราะห์ร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า” บ่งบอกว่า ผู้คนเกิดในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง และพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเชิดหน้าชูตาได้
5. “สละทั้งชีวิตของเจ้า” มีความหมายในทางสบประมาท
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 209
เส้นทางของวันนี้ไม่ง่ายที่จะเดินไป อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะเกิดขึ้น และตลอดหลายยุคที่ผ่านไป มันหายากอย่างสุดขีด อย่างไรก็ตาม ใครจะไปคิดว่าเนื้อหนังของมนุษย์เพียงอย่างเดียวจะเพียงพอที่จะทำลายเขา? งานของวันนี้มีความล้ำค่ามากเท่ากับฝนในฤดูใบไม้ผลิ และมีคุณค่ามากเท่ากับความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากมนุษย์ไม่รู้จุดประสงค์ของพระราชกิจปัจจุบันของพระองค์หรือเข้าใจแก่นแท้ของมวลมนุษย์แล้ว จะพูดถึงความล้ำค่าและความมีคุณค่าของมันได้อย่างไร? เนื้อหนังไม่ได้เป็นของตัวพวกมนุษย์เอง ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบั้นปลายของมันจริงๆ แล้วอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม เจ้าควรรู้ดีว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างจะทรงคืนมวลมนุษย์ที่ทรงสร้างขึ้นมา กลับสู่ตำแหน่งดั้งเดิมของพวกเขา และฟื้นฟูรูปลักษณ์ดั้งเดิมของพวกเขาจากเวลาที่พวกเขาถูกสร้างขึ้น พระองค์จะทรงเอาลมหายใจที่พระองค์ทรงระบายลมปราณเข้าสู่มนุษย์กลับคืนอย่างครบบริบูรณ์ ยึดคืนกระดูกและเนื้อหนังของเขา และส่งทั้งหมดคืนให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง พระองค์จะทรงแปลงสภาพและสร้างมนุษยชาติขึ้นใหม่อย่างครบบริบูรณ์ และเก็บมรดกทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าที่ไม่ได้เป็นของมนุษยชาติ แต่เป็นของพระเจ้า คืนจากมนุษย์ และไม่มีวันมอบให้กับมวลมนุษย์อีกเลย นี่เป็นเพราะว่าไม่มีอะไรจากสิ่งเหล่านั้นที่เป็นของมวลมนุษย์ตั้งแต่แรก พระองค์จะทรงเอาพวกมันทั้งหมดกลับคืน—นี่ไม่ใช่การปล้นที่ไม่ยุติธรรม ตรงกันข้าม มันเป็นไปเพื่อฟื้นฟูสวรรค์และแผ่นดินโลกให้กลับสู่สภาพดั้งเดิม พร้อมกับแปลงสภาพและสร้างมนุษย์ขึ้นใหม่ด้วย นี่คือบั้นปลายที่สมเหตุสมผลสำหรับมนุษย์ แม้ว่าบางที มันอาจจะไม่ใช่การจัดสรรใหม่ของเนื้อหนังหลังจากที่มันถูกตีสอน ดังที่ผู้คนอาจจินตนาการไว้ พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์โครงกระดูกของเนื้อหนังหลังจากที่มันถูกทำลาย พระองค์ทรงต้องประสงค์องค์ประกอบดั้งเดิมในมนุษย์ที่เป็นของพระเจ้าในปฐมกาล ดังนั้น พระองค์จะไม่ทรงทำลายล้างมนุษยชาติหรือกำจัดเนื้อหนังของมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ เพราะเนื้อหนังของมนุษย์ไม่ได้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา ตรงกันข้าม มันเป็นผู้ช่วยของพระเจ้าที่บริหารจัดการมนุษยชาติ พระองค์จะสามารถทำลายล้างเนื้อหนังของมนุษย์เพื่อ “ความชื่นชมยินดี” ของพระองค์ได้อย่างไร? จนบัดนี้ เจ้าได้ปล่อยมืออย่างแท้จริงจากเนื้อหนังของเจ้าทั้งหมด ซึ่งไม่มีค่าแม้แต่สตางค์เดียวแล้วหรือยัง? หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจถึงร้อยละสามสิบของพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย (เพียงแค่ร้อยละสามสิบนี้หมายถึงการจับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ รวมทั้งพระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้าย) เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ต้อง “รับใช้” หรือ “กตัญญู” ต่อเนื้อหนังของเจ้าอีกต่อไป—เนื้อหนังที่ถูกทำให้เสื่อมทรามมานานหลายปี—เช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้ เจ้าควรจะเห็นชัดเจนว่าบัดนี้ มนุษย์ได้ก้าวหน้าเข้าสู่สภาวะที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่หมุนไปข้างหน้าเหมือนวงล้อแห่งประวัติศาสตร์อีกต่อไป เนื้อหนังขึ้นราของเจ้าถูกปกคลุมด้วยแมลงวันมานานแล้ว ดังนั้นมันจะสามารถมีพลังในการหมุนกลับวงล้อแห่งประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าได้ทรงให้มันสามารถดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? มันจะสามารถทำให้นาฬิกาแห่งยุคสุดท้ายที่เดินอย่างเงียบเสียง กลับมาเดินเสียงดังอีกครั้ง และทำให้เข็มของมันขยับตามเข็มนาฬิกาได้อย่างไร? มันสามารถแปลงสภาพใหม่ให้โลก ซึ่งดูเหมือนถูกปกคลุมอยู่ในหมอกหนาทึบได้อย่างไร? เนื้อหนังของเจ้าสามารถชุบชีวิตบรรดาภูเขาและแม่น้ำได้หรือไม่? เนื้อหนังของเจ้าซึ่งมีหน้าที่เพียงเล็กน้อย สามารถฟื้นฟูโลกของมนุษย์แบบที่เจ้าโหยหาได้หรือไม่? เจ้าสามารถให้การศึกษาแก่ลูกหลานของเจ้าอย่างแท้จริงเพื่อให้เป็น “มนุษย์” ได้หรือไม่? บัดนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง? เนื้อหนังของเจ้านั้นจริงๆ แล้วเป็นของอะไรกันแน่? เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมนุษย์ให้รอด ทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และแปลงสภาพมนุษย์นั้น ไม่ใช่เพื่อที่จะมอบบ้านเกิดที่สวยงามแก่เจ้า หรือนำการพักผ่อนอย่างสงบมาสู่เนื้อหนังของมนุษย์ แต่เป็นไปเพื่อเห็นแก่พระสิริของพระองค์และคำพยานของพระองค์ เพื่อความชื่นชมยินดีที่ดียิ่งขึ้นของมวลมนุษย์ในอนาคต และเพื่อที่ในไม่ช้า พวกเขาจะสามารถพักผ่อนได้ ถึงกระนั้น มันก็ไม่ใช่เพื่อเนื้อหนังของเจ้า เพราะมนุษย์คือทุนรอนในการบริหารจัดการของพระเจ้า และเนื้อหนังของมนุษย์เป็นเพียงผู้ช่วย (มนุษย์เป็นวัตถุที่มีทั้งจิตวิญญาณและร่างกาย ในขณะที่เนื้อหนังเป็นเพียงสิ่งของสิ่งหนึ่งที่ผุพัง นี่หมายความว่าเนื้อหนังเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งเพื่อใช้ในแผนการบริหารจัดการ) เจ้าควรรู้ว่าความเพียบพร้อม ความครบถ้วนบริบูรณ์ และการได้มนุษย์มาของพระเจ้า ไม่นำอะไรมานอกจากดาบและการเฆี่ยนตีบนเนื้อหนังของพวกเขา เช่นเดียวกับความทุกข์ที่ไม่รู้จบ กองเพลิง การพิพากษาที่ไร้ความปรานี การตีสอน และการสาปแช่ง และบททดสอบอันไร้ขอบเขต นั่นคือเบื้องลึกและความจริงของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมนุษย์ อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งเหล่านี้ทั้งมวลถูกชี้นำไปที่เนื้อหนังของมนุษย์ และลูกศรแห่งความเป็นศัตรูทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่เนื้อหนังของมนุษย์อย่างไร้ความปรานี (เพราะมนุษย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์) ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อเห็นแก่พระสิริและคำพยานของพระองค์ และเพื่อการบริหารจัดการของพระองค์ นี่เป็นเพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์แต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่เพื่อแผนทั้งหมดทั้งมวลด้วย ตลอดจนเพื่อทำให้น้ำพระทัยดั้งเดิมของพระองค์ลุล่วงเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้น บางทีร้อยละเก้าสิบของสิ่งที่มนุษย์ประสบนั้นเกี่ยวข้องกับความทุกข์และบททดสอบของไฟ และน้อยมากที่จะมีวันที่แสนหวานและมีความสุขที่เนื้อหนังของมนุษย์โหยหา หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่มนุษย์จะสามารถชื่นชมช่วงเวลาแห่งความสุขในเนื้อหนัง ใช้เวลาที่สวยงามกับพระเจ้าได้ เนื้อหนังนั้นโสโครก ดังนั้นสิ่งที่เนื้อหนังของมนุษย์เห็นหรือได้ชื่นชมนั้นไม่มีอะไรนอกจากการตีสอนของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์พบว่าไม่น่าโปรดปราน ราวกับว่ามันขาดสำนึกรับรู้ที่ปกติ นี่เป็นเพราะพระเจ้าจะทรงสำแดงให้เห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งไม่ได้รับความโปรดปรานจากมนุษย์นั้น ไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ และเกลียดบรรดาศัตรู พระเจ้าทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ด้วยวิถีทางใดๆ ที่จำเป็น ด้วยเหตุนั้นจึงทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการสู้รบกับซาตานหกพันปีของพระองค์—พระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง และการทำลายล้างซาตานเฒ่า!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จุดประสงค์ของการบริหารจัดการมวลมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 210
ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้วและนานาประเทศทั่วโลกตกอยู่ในความโกลาหล มีความอลหม่านทางการเมือง มีการกันดารอาหาร โรคระบาด น้ำท่วม และภัยแล้งปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง มีมหันตภัยในโลกของมนุษย์ สวรรค์ได้ส่งความวิบัติลงมาด้วย สิ่งเหล่านี้คือหมายสำคัญแห่งยุคสุดท้าย แต่สำหรับผู้คนแล้วกลับดูเหมือนโลกอันเริงร่าและโอ่อ่าตระการตา และยิ่งเป็นเช่นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของผู้คนทั้งหมดถูกดึงเข้าหาโลกนั้น และผู้คนมากหลายติดกับและไม่สามารถพาตัวพวกเขาเองหลุดจากโลกนั้นได้ ผู้คนจำนวนมากจะถูกพวกที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมและเวทมนตร์คาถาล่อลวง หากเจ้าไม่เพียรพยายามที่จะก้าวหน้า ไร้ซึ่งอุดมคติ และไม่มีหนทางอันแท้จริงเป็นที่ยึดเหนี่ยว เจ้าก็จะถูกคลื่นบาปที่ยกตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ พัดพาไป ประเทศจีนเป็นประเทศที่ล้าหลังที่สุดในบรรดาประเทศทั้งปวง นี่เป็นแผ่นดินที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ ประเทศนี้มีประชากรที่บูชาเทวรูปและใช้เวทมนตร์คาถามากที่สุด มีวัดมากที่สุด และประเทศนี้เป็นสถานที่ซึ่งพวกปีศาจโสมมอาศัยอยู่ เจ้าถือกำเนิดจากประเทศนี้ เจ้าได้รับการศึกษาจากมันและจมจ่อมอยู่ในอิทธิพลของมัน เจ้าได้ถูกมันทำให้เสื่อมทรามและทรมาน แต่หลังจากที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เจ้าก็ละทิ้งมันและได้ถูกพระเจ้าทรงรับไว้อย่างบริบูรณ์ นี่คือพระสิริแห่งพระเจ้า และนี่คือสาเหตุที่พระราชกิจในช่วงระยะนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ได้ตรัสพระวจนะมากมาย และพระองค์จะทรงรับพวกเจ้าไว้อย่างสมบูรณ์ในท้ายที่สุด—นี่เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า และเจ้าคือ “ทรัพย์สมบัติที่ผู้ชนะริบมา” จากการสู้รบระหว่างพระเจ้ากับซาตาน ยิ่งพวกเจ้าเข้าใจความจริงมากขึ้นและยิ่งชีวิตคริสตจักรของเจ้าดีขึ้นเท่าใด พญานาคใหญ่สีแดงก็จะยิ่งยอมสยบมากขึ้นเท่านั้น เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณ—เป็นเรื่องของการสู้รบในโลกฝ่ายวิญญาณ และเมื่อพระเจ้าทรงได้รับชัยชนะ ซาตานก็จะอัปยศอดสูและตกต่ำลง พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้ามีนัยสำคัญเหลือล้น พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจในวงกว้างเช่นนั้นและช่วยผู้คนกลุ่มนี้ให้รอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เพื่อที่เจ้าจะได้สามารถหลีกหนีจากอิทธิพลของซาตาน ใช้ชีวิตในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ใช้ชีวิตในความสว่างของพระเจ้า และการนำทางและคำแนะนำของความสว่าง เมื่อนั้นชีวิตของเจ้าก็จะมีความหมาย สิ่งที่พวกเจ้ากินและสวมใส่แตกต่างไปจากผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย พวกเจ้าชื่นชมพระวจนะของพระเจ้าและใช้ชีวิตที่มีความหมาย—แล้วพวกเขาชื่นชมอะไรกัน? พวกเขาชื่นชมแต่ “มรดกของบรรพบุรุษ” และ “จิตวิญญาณแห่งความเป็นชาติ” ของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาไม่มีร่องรอยของความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย! เสื้อผ้า คำพูด และการกระทำทั้งหลายของพวกเจ้าล้วนต่างไปจากของพวกเขาทั้งสิ้น ในท้ายที่สุด พวกเจ้าจะหลีกหนีจากความโสมมได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ติดบ่วงการทดลองของซาตานอีกต่อไป และได้รับการจัดเตรียมประจำวันจากพระเจ้า พวกเจ้าควรระมัดระวังอยู่เสมอ แม้เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่อันโสมม แต่เจ้าก็ไม่ด่างพร้อยเพราะความโสมมและสามารถใช้ชีวิตเคียงข้างพระเจ้า ได้รับการปกป้องอันยิ่งใหญ่จากพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกเจ้าจากท่ามกลางผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินสีเหลืองนี้ พวกเจ้าไม่ใช่ผู้คนที่ได้รับพรมากที่สุดหรอกหรือ? เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ? ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร ในโลกนี้ มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าของมาร กินอาหารจากมาร และทำงานและรับใช้ภายใต้การบงการของมาร ถูกเหยียบย่ำอยู่ในความโสมมของมันอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไม่จับความเข้าใจในความหมายของชีวิตหรือได้มาซึ่งวิถีทางที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วจะมีนัยสำคัญอะไรในการใช้ชีวิตเยี่ยงนี้? พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 211
ในวันนี้ งานที่เราทำในพวกเจ้านั้นหมายที่จะนำทางพวกเจ้าเข้าสู่ชีวิตแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ นั่นเป็นงานแห่งการเชิญนำเข้าสู่ยุคใหม่และแห่งการนำทางมวลมนุษย์เข้าสู่ชีวิตของยุคใหม่ งานนี้ได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้นและพัฒนาไปท่ามกลางพวกเจ้าโดยตรงทีละขั้นตอน กล่าวคือ เราสอนพวกเจ้าต่อหน้าต่อตา เรารับเจ้าไว้กับมือ เราบอกพวกเจ้าในสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ ประทานสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าขาดพร่องให้แก่พวกเจ้า สามารถกล่าวได้ว่า สำหรับพวกเจ้าแล้ว งานนี้ทั้งหมดคือการจัดเตรียมของพวกเจ้าสำหรับชีวิต อันเป็นการนำทางพวกเจ้าเข้าสู่ชีวิตแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติด้วยเช่นกัน นั่นหมายที่จะจัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับชีวิตของผู้คนกลุ่มนี้ในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเป็นการเฉพาะเจาะจง สำหรับเราแล้ว งานนี้ทั้งหมดหมายที่จะยุติยุคเก่าและเชิญนำเข้าสู่ยุคใหม่ สำหรับเรื่องซาตาน แน่นอนว่าเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะทำให้มันปราชัย งานที่เราทำท่ามกลางพวกเจ้าตอนนี้คือเสบียงอาหารของพวกเจ้าสำหรับวันนี้และความรอดอันทันต่อเวลาของพวกเจ้า แต่ในช่วงระหว่างไม่กี่ปีสั้นๆ เหล่านี้ เราจะบอกความจริงทั้งหมด หนทางแห่งชีวิตทั้งหมดทั้งมวล และแม้กระทั่งงานของอนาคตแก่พวกเจ้า นี่จะเพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายอย่างเป็นปกติในอนาคต วจนะทั้งหมดของเราแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือสิ่งที่เราได้ไว้วางใจมอบหมายให้พวกเจ้า เราไม่ทำการเตือนสติอื่นใด วจนะทั้งหมดที่เราพูดกับเจ้าคือการเตือนสติพวกเจ้าของเรา เพราะในวันนี้พวกเจ้าไม่มีประสบการณ์กับวจนะจำนวนมากที่เราพูด และไม่เข้าใจความหมายภายในของวจนะเหล่านั้น สักวันหนึ่ง ประสบการณ์ของพวกเจ้าย่อมจะมาสู่การเกิดผลเหมือนดั่งที่เราได้พูดถึงในวันนี้ไม่มีผิด วจนะเหล่านี้คือนิมิตของพวกเจ้าในวันนี้ และวจนะเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเจ้าจะพึ่งพาอาศัยในอนาคต วจนะเหล่านี้คือเสบียงอาหารสำหรับชีวิตในวันนี้และเป็นการเตือนสติสำหรับอนาคต และไม่มีการเตือนสติใดที่จะสามารถดีกว่านี้ได้แล้ว นี่เป็นเพราะเวลาที่เราต้องทำงานบนแผ่นดินโลกไม่ยาวนานเท่ากับเวลาที่พวกเจ้าต้องได้รับประสบการณ์กับวจนะของเรา เราเพียงกำลังทำงานของเราให้เสร็จสมบูรณ์ ในขณะที่พวกเจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาชีวิต เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางอันยาวไกลตลอดชีวิต มีเพียงภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งทั้งหลายมากมายแล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถได้รับหนทางแห่งชีวิตอย่างครบบริบูรณ์ได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถที่จะมองทะลุปรุโปร่งถึงความหมายภายในของวจนะที่เราพูดในวันนี้ เมื่อเจ้ามีวจนะของเราในมือของพวกเจ้า เมื่อเจ้าแต่ละคนได้รับบัญชาทั้งหมดของเรา ทันทีที่เราได้บัญชาทั้งหมดที่เราควรที่จะต้องบัญชาแก่เจ้า และเมื่องานแห่งวจนะได้มาถึงบทอวสาน ไม่ว่าจะได้สัมฤทธิ์ผลอันยิ่งใหญ่เพียงใด เมื่อนั้นการนำน้ำพระทัยของพระเจ้ามาดำเนินการก็จะได้สัมฤทธิ์ผลแล้วด้วยเช่นกัน การที่เจ้าต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงจนถึงขอบข่ายเฉพาะหนึ่งนั้น ไม่ใช่เป็นไปตามที่เจ้าจินตนาการ กล่าวคือ พระเจ้าไม่ทรงกระทำการไปตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 212
ในยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรที่จะทรงทำและเพื่อทรงปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะของพระองค์ พระองค์ได้ทรงมาในสภาวะบุคคลเพื่อทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้บรรดาผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์มีความเพียบพร้อม นับจากเวลาแห่งการทรงสร้างจนถึงวันนี้ เป็นเพียงในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้นที่พระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจประเภทนี้จนเสร็จสิ้น เฉพาะในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจในสัดส่วนขนาดใหญ่เช่นนี้ แม้ว่าพระองค์ทรงสู้ทนความยากลำบากที่ผู้คนคงจะพบว่าลำบากยากเย็นที่จะสู้ทน และแม้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งถึงกระนั้นก็มีความถ่อมพระทัยที่จะบังเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง แต่ไม่มีแง่มุมใดในพระราชกิจของพระองค์ได้ถูกทำให้ล่าช้า และแผนการของพระองค์ก็ไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของความสับสนอลหม่านแม้แต่น้อย พระองค์กำลังทรงพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนดั้งเดิมของพระองค์ หนึ่งในพระประสงค์แห่งการจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้คือการพิชิตผู้คน อีกหนึ่งคือการทำให้ผู้คนที่พระองค์ทรงรักมีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงพึงปรารถนาที่จะมองเห็นผู้คนที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมด้วยพระเนตรของพระองค์เอง และพระองค์ทรงประสงค์ที่จะมองเห็นด้วยพระองค์เองว่าผู้คนที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมนั้นเป็นพยานให้พระองค์อย่างไร ไม่ใช่ผู้คนหนึ่งหรือสองคนที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม แต่กลับเป็นกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบด้วยผู้คนเพียงไม่กี่คน ผู้คนในกลุ่มนี้มาจากนานาประเทศของโลก และจากหลากหลายเชื้อชาติของโลก พระประสงค์ของการทรงพระราชกิจมากมายเหลือเกินนั้นก็คือการได้รับผู้คนกลุ่มนี้ การได้รับพยานที่ผู้คนกลุ่มนี้เป็นเพื่อพระองค์ และการได้มาซึ่งพระสิริที่พระองค์อาจทรงได้มาจากพวกเขา พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจที่ไม่มีนัยสำคัญ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจที่ไม่มีคุณค่า อาจกล่าวได้ว่า ในการทรงพระราชกิจมากมายเหลือเกินนั้น จุดมุ่งหมายของพระเจ้าคือการทำให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำให้มีความเพียบพร้อมทั้งหมดมีความเพียบพร้อม ในเวลาว่างที่พระองค์ทรงมีนอกเหนือจากการนี้ พระองค์จะทรงขับพวกที่ชั่วออกไป จงรู้ไว้ว่าพระองค์มิใช่ทรงพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่นี้เพราะพวกที่ชั่ว ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงให้ทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ก็เพราะผู้คนจำนวนน้อยนิดเหล่านั้นที่พระองค์จะทรงทำให้มีความเพียบพร้อม พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ พระวจนะที่พระองค์ตรัส ความล้ำลึกทั้งหลายที่พระองค์ทรงเปิดเผย และการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ทั้งหมดก็ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้คนจำนวนน้อยนิดเหล่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพราะพวกที่ชั่ว และนับประสาอะไรที่ผู้คนชั่วเหล่านั้นจะยุแหย่ให้เกิดพระพิโรธอันใหญ่หลวงในพระองค์ พระองค์ตรัสความจริงและตรัสถึงการเข้าสู่ก็เพราะบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพราะพวกเขา และเป็นเพราะพวกเขานั่นเองที่พระองค์ทรงมอบพระสัญญาและพระพรของพระองค์มาให้ ความจริง การเข้าสู่ และชีวิตในสภาวะความเป็นมนุษย์ซึ่งพระองค์ตรัสถึงนั้น ไม่ได้ถูกดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของพวกที่ชั่ว พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการตรัสกับพวกที่ชั่ว โดยทรงปรารถนาที่จะประทานความจริงทั้งหมดแก่บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแทน ถึงกระนั้น พระราชกิจของพระองค์พึงประสงค์ว่า สำหรับชั่วขณะนี้ พวกที่ชั่วได้รับอนุญาตให้ชื่นชมความมั่งคั่งบางส่วนของพระองค์ พวกที่ไม่ดำเนินการตามความจริงจนเสร็จสิ้น พวกที่ไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกที่ทำให้พระราชกิจของพระองค์หยุดชะงักนั้นล้วนชั่วกันทั้งหมด พวกเขาไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้ และถูกพระเจ้าทรงเกลียดและปฏิเสธ ในทางกลับกัน ผู้คนที่นำความจริงไปปฏิบัติและสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและผู้ซึ่งสละทั้งตัวตนของพวกเขาในพระราชกิจของพระเจ้าคือผู้คนที่พระเจ้าจะทรงทำให้มีความเพียบพร้อม บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ไม่ใช่ผู้อื่นนอกจากผู้คนกลุ่มนี้ และพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำก็เพื่อประโยชน์ของผู้คนเหล่านี้ ความจริงซึ่งพระองค์ตรัสถึงชี้ตรงไปยังผู้คนซึ่งเต็มใจนำความจริงไปปฏิบัติ พระองค์ไม่ตรัสกับผู้คนที่ไม่นำความจริงไปปฏิบัติ การเพิ่มขึ้นของความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและการเติบโตขึ้นของวิจารณญาณที่พระองค์ตรัสถึงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ผู้คนซึ่งสามารถดำเนินการตามความจริงจนเสร็จสิ้นได้ เมื่อพระองค์ตรัสถึงบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ก็เป็นผู้คนเหล่านี้นั่นเองที่พระองค์กำลังตรัสถึง พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ชี้ตรงไปยังผู้คนที่เต็มใจจะฝึกฝนปฏิบัติความจริง สิ่งทั้งหลายเช่น การครองปัญญาและสภาวะความเป็นมนุษย์นั้นชี้ตรงไปยังผู้คนที่เต็มใจจะนำความจริงไปปฏิบัติ พวกที่ไม่ดำเนินความจริงจนเสร็จสิ้นอาจได้ฟังพระวจนะแห่งความจริงมากมาย แต่เพราะพวกเขาชั่วเหลือเกินโดยธรรมชาติและไม่สนใจความจริง สิ่งที่พวกเขาเข้าใจจึงเป็นเพียงคำสอนกับคำพูดและทฤษฎีที่ว่างเปล่า ปราศจากคุณค่าแม้เพียงเล็กน้อยสำหรับการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ไม่มีพวกเขาสักคนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดคือผู้คนที่มองเห็นพระเจ้าแต่ไม่สามารถได้รับพระองค์ พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 213
เป้าหมายหลักของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยคือการชำระมนุษยชาติให้สะอาดเพื่อที่มนุษย์จะสามารถครอบครองความจริงได้ เพราะมนุษย์เข้าใจความจริงน้อยเกินไป! การทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยกับผู้คนเช่นนี้มีนัยสำคัญที่ลึกซึ้งที่สุด พวกเจ้าทั้งหมดได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความมืดและถูกทำร้ายอย่างล้ำลึก เช่นนั้นแล้ว เป้าหมายของพระราชกิจนี้จึงเป็นการทำให้พวกเจ้าสามารถรู้จักธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเจ้าดำเนินชีวิตตามความจริง การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมนั้นเป็นบางสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดควรจะยอมรับ หากพระราชกิจของช่วงระยะนี้เกี่ยวข้องกับการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมเท่านั้น เช่นนั้นแล้วก็จะสามารถทำได้ในอังกฤษ หรืออเมริกา หรืออิสราเอล จะสามารถทำกับผู้คนของประเทศใดก็ได้ แต่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนั้นเลือกทำ ขั้นตอนแรกของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยเป็นเรื่องระยะสั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังจะถูกใช้เพื่อทำให้ซาตานได้อายและพิชิตจักรวาลทั้งปวง นี่คือพระราชกิจชั้นต้นของการพิชิตชัย คนเราสามารถพูดได้ว่าสิ่งทรงสร้างใดที่เชื่อในพระเจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ เพราะการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเป็นบางสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ได้เพียงหลังจากการเปลี่ยนแปลงระยะยาวเท่านั้น แต่การถูกพิชิตนั้นแตกต่าง ตัวอย่างและแบบอย่างสำหรับการพิชิตชัยต้องเป็นชนิดที่รั้งท้ายห่างไปไกลที่สุด อาศัยอยู่ในความมืดที่ลึกล้ำที่สุด พวกเขาต้องเสื่อมเสียที่สุด ไม่เต็มใจยอมรับพระเจ้ามากที่สุด และไม่เชื่อฟังพระเจ้ามากที่สุด นี่เป็นบุคคลประเภทที่สามารถเป็นพยานให้กับการถูกพิชิตได้อย่างแน่นอน เป้าหมายหลักของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยคือการเอาชนะซาตาน ในขณะที่เป้าหมายหลักของการทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมคือการได้รับผู้คน พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้ได้รับการดำเนินการที่นี่ กับผู้คนอย่างพวกเจ้า ก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถมีคำพยานได้หลังจากถูกพิชิตแล้วนั่นเอง จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้ผู้คนเป็นคำพยานหลังจากถูกพิชิต ผู้คนที่ถูกพิชิตแล้วเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายแห่งการทำให้ซาตานได้อาย ดังนั้นอะไรคือวิธีการหลักของการพิชิตชัย? การตีสอน การพิพากษา การเปล่งคำสาปแช่ง และการเปิดเผย—โดยใช้อุปนิสัยอันชอบธรรมพิชิตผู้คนเพื่อให้พวกเขาปักใจเชื่ออย่างเต็มที่เนื่องเพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า การใช้ความเป็นจริงและสิทธิอำนาจของพระวจนะเพื่อพิชิตผู้คนและโน้มน้าวให้พวกเขาเชื่ออย่างเต็มที่—นี่คือความหมายของการถูกพิชิต บรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วนั้นไม่เพียงแค่สามารถสัมฤทธิ์การเชื่อฟังหลังจากถูกพิชิตแล้วเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถมีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิพากษา เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา และมารู้จักพระเจ้าได้อีกด้วย พวกเขามีประสบการณ์กับเส้นทางแห่งการรักพระเจ้า และกลายเป็นถูกเติมเต็มด้วยความจริง พวกเขาเรียนรู้วิธีที่จะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า กลายเป็นสามารถทนทุกข์เพื่อพระเจ้าได้ และมีเจตจำนงของตัวเอง ผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจที่จริงแท้ในความจริงเนื่องจากได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้ที่ได้รับการพิชิตคือบรรดาผู้ที่รู้จักความจริง แต่ไม่ได้ยอมรับความหมายที่เป็นจริงของความจริง หลังจากได้รับการพิชิตแล้ว พวกเขาก็เชื่อฟัง แต่การเชื่อฟังของพวกเขาคือผลลัพธ์ทั้งหมดของการพิพากษาที่พวกเขาได้รับ พวกเขาไม่มีความเข้าใจโดยสิ้นเชิงในความหมายที่เป็นจริงของความจริงมากมาย พวกเขายอมรับความจริงด้วยวาจา แต่พวกเขาไม่ได้เข้าสู่ความจริง พวกเขาจับใจความความจริง แต่พวกเขายังไม่มีประสบการณ์กับความจริง พระราชกิจที่กำลังทรงทำกับบรรดาผู้ที่กำลังได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม รวมถึงการตีสอนและการพิพากษา พร้อมกับการจัดเตรียมชีวิต บุคคลที่เห็นคุณค่าของการเข้าสู่ความจริงคือบุคคลที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมกับบรรดาผู้ที่จะได้รับการพิชิตอยู่ที่ว่าพวกเขาเข้าสู่ความจริงหรือไม่ ผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วคือบรรดาผู้ที่จับใจความความจริง ได้เข้าสู่ความจริง และกำลังดำเนินชีวิตตามความจริง ผู้คนที่ไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้คือพวกที่ไม่จับใจความความจริง และไม่เข้าสู่ความจริง นั่นคือ พวกที่ไม่ได้กำลังดำเนินชีวิตตามความจริง หากผู้คนเช่นนี้สามารถเชื่อฟังได้อย่างครบบริบูรณ์ในตอนนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ได้รับการพิชิต หากผู้ที่ได้รับการพิชิตไม่แสวงหาความจริง—หากพวกเขาติดตาม แต่ไม่ดำเนินชีวิตตามความจริง หากพวกเขามองเห็นและได้ยินความจริง แต่ไม่เห็นคุณค่าของการดำเนินชีวิตตามความจริง—เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ผู้คนที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมย่อมปฏิบัติความจริงโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าตามเส้นทางสู่ความเพียบพร้อม พวกเขาสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยผ่านทางการนี้ และพวกเขาก็ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ผู้ใดก็ตามที่ติดตามไปจนถึงบทอวสานก่อนที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะสรุปปิดตัวก็คือผู้ที่ได้รับการพิชิตแล้ว แต่จะไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว “ผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว” อ้างอิงถึงบรรดาผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสิ้นสุดลง และอ้างอิงถึงบรรดาผู้ที่ยืนหยัดในความยากลำบากและดำเนินชีวิตตามความจริงหลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสิ้นสุดลง สิ่งที่แยกแยะการได้รับการพิชิตออกจากการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือความแตกต่างของขั้นตอนต่างๆ แห่งพระราชกิจ และความแตกต่างของระดับที่ผู้คนเข้าใจและเข้าสู่ความจริง ทุกคนที่ยังไม่ได้ออกเดินบนเส้นทางไปสู่ความเพียบพร้อม ซึ่งหมายถึงพวกที่ไม่ได้ครอบครองความจริง จะยังคงถูกขับออกไปในท้ายที่สุด มีเพียงบรรดาผู้ที่ครอบครองความจริงและดำเนินชีวิตตามความจริงเท่านั้นที่จะสามารถได้รับการรับไว้อย่างครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า นั่นคือ บรรดาผู้ที่ดำเนินชีวิตตามฉายาของเปโตรคือผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้ว ขณะที่คนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นผู้ที่ได้รับการพิชิตแล้ว พระราชกิจที่กำลังทรงทำกับบรรดาผู้ที่กำลังได้รับการพิชิตทั้งหมดประกอบด้วยการวางคำสาปแช่ง การตีสอน และการแสดงพระพิโรธ และสิ่งที่มาสู่พวกเขาคือความชอบธรรมและคำสาปแช่ง การทำพระราชกิจกับบุคคลเช่นนี้คือการเปิดเผยโดยปราศจากพิธีรีตองหรือความสุภาพ—เพื่อเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวพวกเขา เพื่อให้พวกเขาระลึกรู้ถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามด้วยตนเอง และเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ทันทีที่มนุษย์กลายเป็นเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์แล้ว พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็สิ้นสุดลง แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่พยายามที่จะเข้าใจความจริง แต่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็จะได้สิ้นสุดลงแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 214
พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมอย่างไร? พระอุปนิสัยของพระเจ้าคืออะไร? มีอะไรอยู่ภายในพระอุปนิสัยของพระองค์? หากจะชี้แจงทั้งหมดนี้ให้ชัดเจนก็คือว่า หนึ่งนั้นเรียกว่าการเผยแพร่พระนามของพระเจ้า หนึ่งนั้นเรียกว่าการเป็นคำพยานให้พระเจ้า และหนึ่งนั้นเรียกว่าการยกย่องพระเจ้า ในท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์จะได้รับการแปลงสภาพในอุปนิสัยชีวิตของเขา ตามรากฐานของการรู้จักพระเจ้า ยิ่งมนุษย์ก้าวผ่านการได้รับการจัดการและการได้รับการถลุงมากขึ้นเท่าใด เขาจะยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้ามีมากมายมากขึ้นเท่าใด มนุษย์จะยิ่งได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมมากขึ้นเท่านั้น วันนี้ ในประสบการณ์ของมนุษย์ ทุกขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าโต้กลับมโนคติที่หลงผิดของเขา และทั้งหมดอยู่เหนือปัญญาของมนุษย์และอยู่นอกความคาดหวังของเขา พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จำเป็นต้องมี และการนี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ในทุกแง่มุม พระเจ้าดำรัสพระวจนะของพระองค์ในเวลาที่เจ้าอ่อนแอ ในหนทางนี้เท่านั้นพระองค์จึงจะทรงสามารถจัดหาชีวิตของเจ้าได้ พระองค์ทรงทำให้เจ้ายอมรับการจัดการของพระเจ้าโดยการโต้กลับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า ในหนทางนี้เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถกำจัดความเสื่อมทรามของเจ้าออกจากตัวเจ้าเองได้ ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงพระราชกิจภายในสภาวะของเทวสภาพในแง่มุมหนึ่ง แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง พระองค์ทรงพระราชกิจในสภาวะของความเป็นมนุษย์ปกติ เมื่อเจ้าหยุดที่จะสามารถปฏิเสธพระราชกิจใดๆ ของพระเจ้า เมื่อเจ้าสามารถนบนอบได้ไม่ว่าพระองค์จะตรัสหรือทรงกระทำสิ่งใดภายในสภาวะของความเป็นมนุษย์ปกติ เมื่อเจ้าสามารถนบนอบและเข้าใจได้ไม่ว่าพระองค์ทรงสำแดงความปกติประเภทใด และเมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์จริง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถมั่นใจได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะหยุดสร้างมโนคติที่หลงผิด และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถติดตามพระองค์จนถึงบทอวสานได้ มีพระปรีชาญาณอยู่ในพระราชกิจของพระเจ้า และพระองค์ทรงทราบว่ามนุษย์สามารถยืนหยัดในคำพยานต่อพระองค์ได้อย่างไร พระองค์ทรงทราบว่าจุดอ่อนสำคัญของมนุษย์อยู่ที่ใด และพระวจนะที่พระองค์ตรัสสามารถบดขยี้เจ้าได้ที่จุดอ่อนสำคัญของเจ้า แต่พระองค์ยังทรงใช้พระวจนะอันเปี่ยมบารมีและรอบรู้ของพระองค์เพื่อทำให้เจ้ายืนหยัดในคำพยานต่อพระองค์ด้วยเช่นกัน เช่นนั้นคือกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้า พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำเป็นสิ่งที่ปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ ความเสื่อมทรามประเภทใดที่มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งดำรงอยู่ของเนื้อหนังมี และสิ่งใดที่ประกอบเป็นแก่นสารของมนุษย์—ทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการเผยผ่านการพิพากษาของพระเจ้า ซึ่งทิ้งให้มนุษย์ไม่มีที่ให้ซ่อนจากความอับอายของเขาเอง
พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ หากปราศจากการพิพากษาของพระองค์ต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แล้ว มนุษย์คงไม่อาจสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ อีกทั้งมนุษย์คงจะไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เก่าๆ ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้กลายเป็นความรู้ใหม่ได้ เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์สามารถมาถึงจุดที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของเขา และเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงปรากฏต่อสาธารณะของพระองค์ได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและติดตามพระทัยของพระเจ้าได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์เป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแบบอย่างและอุทาหรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่ติดตามพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์ บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้ พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่ได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งของพระองค์ เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์ พระองค์ทรงใช้พวกที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงใช้บรรดาผู้ที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผู้ที่ได้รับพรของพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์ด้วยปากของเขา อีกทั้งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงได้รับการสรรเสริญและคำพยานจากผู้คนจำพวกของซาตาน ผู้ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้มีการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ พระเจ้าจะไม่ทรงยินยอมด้วยความตั้งพระทัยให้มนุษย์นำความอับอายมาสู่พระนามของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 215
ลองระลึกถึงฉากเหตุการณ์หนึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คราที่พระเจ้าทรงก่อให้เกิดการทำลายล้างเมืองโสโดม และลองนึกถึงการที่ภรรยาของโลทกลายไปเป็นเสาเกลือได้อย่างไรเช่นกัน ลองรำลึกย้อนไปว่าประชาชนของเมืองนีนะเวห์ ได้กลับใจจากบาปของพวกเขาด้วยการใส่ชุดผ้ากระสอบและเข้าไปอยู่ในกองเถ้าอย่างไร และลองระลึกย้อนไปว่า อะไรที่ตามมาหลังจากที่ชาวยิวได้ตอกตรึงพระเยซูเข้ากับกางเขนเมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา พวกยิวได้ถูกขับออกจากประเทศอิสราเอล และหลบหนีไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีมากมายที่ถูกฆ่า และชนชาติยิวทั้งชาติก็ตกอยู่ภายใต้ความเจ็บปวดจากความย่อยยับของประเทศของพวกเขาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกนั้นได้ตอกตรึงพระเจ้าเข้ากับกางเขน—กระทำผิดในบาปที่ชั่วช้ารุนแรงที่สุด—และยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาจำต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาทำ และจำต้องแบกรับผลสืบเนื่องทั้งหมดที่มาจากการกระทำของพวกเขา พวกนั้นกล่าวโทษพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า และดังนั้น พวกเขาจึงมีเพียงชะตากรรมเดียว นั่นคือ ถูกลงโทษโดยพระเจ้า นี่คือผลสืบเนื่องอันขมขื่นที่ตามมา และเป็นความวิบัติที่ผู้ปกครองทั้งหลายของพวกเขานำพามาสู่ประเทศและชนชาติของพวกเขาเอง
มาวันนี้ พระเจ้าทรงกลับมาสู่โลกเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ จุดแรกที่พระองค์ทรงเริ่มงานก็คือ แบบอย่างของกลุ่มผู้ปกครองจอมเผด็จการ นั่นคือ ประเทศจีน ป้อมปราการอันเด็ดเดี่ยวแข็งขันในความเชื่อที่ว่าพระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าทรงได้ผู้คนมากลุ่มหนึ่งด้วยพระปรีชาญาณและฤทธานุภาพของพระองค์ ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระองค์ทรงถูกตามล่าโดยพรรครัฐบาลของจีนในทุกวิถีทาง และตกอยู่ภายใต้ความทุกข์ทรมานแสนสาหัส โดยไม่มีสถานที่ให้พระศิระของพระองค์ทรงเอนพัก ไม่สามารถหาที่พำนักกำบังกาย ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระเจ้ายังคงทรงพระราชกิจที่พระองค์ทรงเจตนาที่จะทำต่อไป พระองค์ดำรัสพระสุรเสียงของพระองค์และเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ไม่มีสักคนที่สามารถหยั่งลึกในพระมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง ในประเทศจีน ประเทศหนึ่งซึ่งถือพระเจ้าเป็นศัตรู พระเจ้ากลับไม่เคยหยุดทรงพระราชกิจของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับมีประชาชนจำนวนมากขึ้นที่ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ อันเนื่องมาจากการที่พระเจ้าทรงช่วยสมาชิกของมวลมนุษย์ทุกคนให้รอดจนถึงขอบข่ายที่เป็นไปได้มากที่สุด พวกเราเชื่อใจว่า ไม่มีประเทศหรือพลังอำนาจใดสามารถมาขวางทางในสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ คนเหล่านั้นที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า ต่อต้านพระวจนะของพระเจ้า และก่อกวนและทำให้แผนการของพระเจ้าเสียไป จะต้องถูกพระเจ้าทรงลงโทษในท้ายที่สุด เขาผู้ซึ่งเยาะเย้ยท้าทายพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกส่งไปลงนรก ประเทศใดที่เยาะเย้ยท้าทายพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกทำลาย ชนชาติใดก็ตามที่ลุกขึ้นมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องถูกกวาดล้างออกไปจากแผ่นดินโลกและถึงกาลดับสูญ เราขอรบเร้าประชาชนของทุกชนชาติของทุกประเทศ และแม้แต่วงการต่างๆ ทุกวงการให้สดับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ให้เฝ้ามองพระราชกิจของพระเจ้า และให้ใส่ใจในชะตากรรมของมวลมนุษย์ เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าทรงมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ทรงมีเกียรติที่สุด ทรงเป็นสิ่งสักการะสูงสุดและสิ่งสักการะเดียวเท่านั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ และเพื่อช่วยให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมีชีวิตอยู่ภายใต้การอวยพรของพระเจ้า เช่นเดียวกับพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมที่มีชีวิตอยู่ภายใต้พระสัญญาของพระยาห์เวห์ และเช่นเดียวกับที่อาดัมและเอวา ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาก่อน ได้ใช้ชีวิตอยู่ในสวนเอเดน
พระราชกิจของพระเจ้าถั่งโถมรุดหน้าไปราวลูกคลื่นอันทรงอิทธิฤทธิ์ ไม่มีใครสามารถยับยั้งพระองค์ได้ และไม่มีใครสามารถชะลอรั้งก้าวพระบาทของพระองค์ มีเพียงผู้คนที่รับฟังพระวจนะของพระองค์อย่างตั้งใจ และผู้ที่แสวงหาและกระหายในพระองค์เท่านั้น ที่สามารถติดตามย่างพระบาทของพระองค์และได้รับพระสัญญาจากพระองค์ พวกคนที่ไม่ทำเช่นนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้ความวิบัติอันท่วมท้น และการลงโทษอันสมควรแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 216
พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้านั้นเริ่มต้นที่การสร้างโลก และมนุษย์อยู่ที่ใจกลางของพระราชกิจนี้ กล่าวได้ว่า การทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งมวลของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ เนื่องจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์นั้นครอบคลุมระยะเวลาหลายพันปี และไม่ได้เสร็จลงในช่วงแค่ไม่กี่นาทีหรือวินาที หรือภายในพริบตา หรือภายในหนึ่งหรือสองปี พระองค์จำเป็นต้องทรงสร้างสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษย์ให้มากขึ้น อาทิ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และสิ่งทรงสร้างซึ่งมีชีวิตทุกชนิด อาหาร และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพักอาศัย นี่คือจุดเริ่มต้นของการบริหารจัดการของพระเจ้า
หลังจากนั้น พระเจ้าได้ทรงส่งมอบมวลมนุษย์ให้กับซาตาน และมนุษย์ได้มีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน ซึ่งค่อยๆ นำไปสู่พระราชกิจยุคแรกของพระเจ้า นั่นก็คือ เรื่องราวของยุคธรรมบัญญัติ… หลายพันปีผ่านไปในระหว่างช่วงยุคธรรมบัญญัติ มนุษยชาติได้กลายมาคุ้นชินกับการทรงนำในยุคธรรมบัญญัติและมองข้ามอย่างไม่เห็นคุณค่าเสมือนเป็นของตาย มนุษย์ค่อยๆ ละทิ้งความใส่ใจในพระเจ้า และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในขณะที่กำลังปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ พวกเขาก็นมัสการพวกรูปเคารพ และกระทำความชั่วต่างๆ ไปด้วย พวกเขาปราศจากการปกป้องจากพระยาห์เวห์ และเอาแต่ใช้ชีวิตของพวกเขาอยู่หน้าแท่นบูชาในวิหารเท่านั้น โดยข้อเท็จจริงนั้น พระราชกิจของพระเจ้าได้ไปจากพวกเขานานแล้ว และแม้ว่าคนอิสราเอลยังคงยึดติดอยู่กับธรรมบัญญัติ และกล่าวพระนามของพระยาห์เวห์ และถึงขั้นเชื่ออย่างภาคภูมิใจว่า มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เป็นประชากรของพระยาห์เวห์ และเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกสรร พระสิริแห่งพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปแล้วอย่างเงียบเชียบ…
เมื่อพระเจ้าปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงไปจากสถานที่หนึ่งอย่างเงียบเชียบและค่อยๆ เริ่มดำเนินการพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ทรงเริ่มในอีกสถานที่หนึ่งอย่างแผ่วเบาเสมอ นี่ดูเหลือเชื่อต่อผู้คนที่ตกตะลึงจนตัวชา ผู้คนซึ่งหวงแหนความล้ำค่าต่อสิ่งเก่าๆ และมองสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยด้วยความเป็นปรปักษ์ หรือมองเป็นสิ่งที่น่ารำคาญเสมอ และดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจใหม่ใดๆ ที่พระเจ้าทรงกระทำ นับจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงที่สุด ในบรรดาสรรพสิ่งทั้งมวล มนุษย์คือสิ่งสุดท้ายที่รู้เกี่ยวกับสิ่งนั้น
ดังเช่นที่เคยเป็นตลอดมา หลังจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ในช่วงระยะที่สอง นั่นคือ การทรงรับเนื้อหนัง—การทรงจุติมาเป็นมนุษย์เป็นเวลาสิบหรือยี่สิบปี—และการตรัสและการทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางเหล่าผู้เชื่อ แต่กระนั้นอย่างไม่มีข้อยกเว้น ก็ไม่มีใครสักคนเลยจริงๆ ที่รู้ และมีเพียงผู้คนจำนวนเล็กน้อยที่รับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้ถูกตอกตรึงกับกางเขนและคืนพระชนม์กลับมา… ทันทีที่ช่วงระยะที่สองของพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น—หลังการตรึงกางเขน—พระราชกิจของพระเจ้าในการกู้คืนมนุษย์จากบาป (ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นการกู้คืนมนุษย์มาจากเงื้อมมือของซาตาน) ก็ได้สำเร็จลุล่วงลง และฉะนั้น จากชั่วขณะเวลานั้นเป็นต้นมา มวลมนุษย์เพียงจำต้องยอมรับองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด และบาปทั้งหลายของพวกเขาก็จะได้รับการยกโทษ กล่าวพอเป็นพิธีได้ว่า บาปทั้งหลายของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งขวางกั้นการสัมฤทธิ์ผลในความรอดและในการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าอีกต่อไป และจะไม่ใช่อำนาจอิทธิพลที่ซาตานใช้กล่าวหามนุษย์อีกต่อไป นั่นเป็นเพราะว่า พระเจ้าพระองค์เองนั้นได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจอันแท้จริง ได้ทรงกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปและตัวอย่างประสบการณ์ของเนื้อหนังที่บาป และพระเจ้าพระองค์เองคือเครื่องบูชาลบล้างบาป ด้วยวิธีนี้ มนุษย์จึงลงมาจากกางเขน และได้รับการไถ่และช่วยให้รอดผ่านทางเนื้อหนังมนุษย์ของพระเจ้า—สภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปนี้ และฉะนั้น หลังจากที่ถูกซาตานจองจำเอาไว้ มนุษย์ก็ได้ขยับเข้าไปใกล้การยอมรับความรอดของพระองค์เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าขึ้นอีกก้าวหนึ่ง แน่นอนว่า พระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระยะนี้ล้ำลึกกว่าและพัฒนาไปมากกว่าการบริหารจัดการของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ
ที่กล่าวมานั้นคือการบริหารจัดการของพระเจ้าในอันที่จะส่งมอบมวลมนุษย์ให้กับซาตาน—มวลมนุษย์ที่ไม่รู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น สิ่งที่ผู้ทรงสร้างทรงเป็น วิธีที่จะนมัสการพระเจ้า หรือเหตุผลที่จำเป็นจะต้องนบนอบต่อพระเจ้า—และเปิดโอกาสให้ซาตานทำให้เขาเสื่อมทราม พระเจ้าจึงทรงกู้คืนมนุษย์จากเงื้อมมือของซาตานทีละขั้นทีละตอน จนกว่ามนุษย์จะนมัสการพระเจ้าอย่างสุดใจและปฏิเสธซาตาน นี่คือการบริหารจัดการของพระเจ้า นี่อาจฟังเหมือนเป็นนิทานปรัมปรา และอาจดูน่างุนงงสงสัย ผู้คนรู้สึกเหมือนว่า นี่คือเรื่องราวปรัมปรา เพราะพวกเขาไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์มากมายเพียงใดตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้ว่า มีเรื่องราวมากมายเพียงใดที่ได้อุบัติขึ้นในจักรวาลและภาคพื้น และยิ่งไปกว่านั้น นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถซึ้งคุณค่าโลกอันชวนหวาดกลัวกว่าและน่าตกตะลึงกว่าซึ่งดำรงอยู่เหนือโลกวัตถุ แต่สายตามนุษย์ของพวกเขาทำให้พวกเขามองไม่เห็นเท่านั้นเอง มนุษย์รู้สึกเหมือนไม่สามารถเข้าใจมันได้ ก็เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจนัยสำคัญแห่งความรอดของมนุษยชาติของพระเจ้า หรือนัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และไม่เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าทรงปรารถนาให้มนุษย์เป็นอย่างไร ใช่การไม่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุดเช่นเดียวกับเอวาและอาดัมหรือไม่? ไม่ใช่! จุดประสงค์ของการบริหารจัดการของพระเจ้าก็เพื่อที่จะได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้าและนบนอบต่อพระองค์ แม้ผู้คนเหล่านี้ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มองซาตานเป็นบิดาอีกต่อไปแล้ว พวกเขาระลึกรู้ได้ถึงใบหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานและปฏิเสธใบหน้านั้น และพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ พวกเขามารู้ว่าสิ่งใดที่อัปลักษณ์และสิ่งนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งซึ่งบริสุทธิ์อย่างไร และมาระลึกรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความชั่วของซาตาน มนุษยชาติเช่นนี้จะไม่ทำงานให้ซาตาน หรือนมัสการซาตาน หรือจัดแท่นบูชาซาตานอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพวกเขาคือกลุ่มของผู้คนที่ได้รับการรับไว้จากพระเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือนัยสำคัญของพระราชกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า ในช่วงระหว่างพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าครั้งนี้ มนุษย์คือเป้าหมายของทั้งความเสื่อมทรามของซาตานและความรอดของพระเจ้า และมนุษย์คือผลผลิตที่พระเจ้ากับซาตานกำลังต่อสู้เพื่อช่วงชิง ในขณะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์กำลังทรงกู้มนุษย์คืนมาจากเงื้อมมือซาตานอย่างช้าๆ และดังนั้น มนุษย์จึงเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลา…
และแล้วก็มาถึงยุคอาณาจักรซึ่งเป็นพระราชกิจในช่วงระยะที่มีความสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น และกระนั้นก็ยากที่สุดที่มนุษย์จะยอมรับได้ด้วยเช่นกัน นี่เป็นเพราะว่า ยิ่งมนุษย์ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร ไม้เรียวของพระองค์ก็เคลื่อนเข้าใกล้มนุษย์มากขึ้นเท่านั้น และพระพักตร์ของพระเจ้าก็จะเปิดเผยสู่มนุษย์อย่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น ภายหลังการไถ่มวลมนุษย์ มนุษย์กลับสู่ครอบครัวของพระเจ้าอย่างเป็นทางการ มนุษย์เคยคิดว่าตอนนี้คือเวลาแห่งความชื่นชมยินดี กระนั้นพวกเขาก็ยังต้องอยู่ภายใต้การโจมตีซึ่งๆ หน้าอย่างเต็มที่จากพระเจ้าอยู่ดี ในแบบที่ไม่มีใครเคยสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้เลย เมื่อผลออกมา นี่คือการบัพติศมาที่ประชากรของพระเจ้าจำต้อง “ชื่นชม” ภายใต้การปฏิบัติเช่นนี้ ผู้คนไม่มีทางเลือกใดนอกจากหยุดและคิดคำนึงกับตนเอง “ฉันเป็นลูกแกะซึ่งหลงฝูงมานานหลายปี ที่พระเจ้าทรงใช้จ่ายมากมายเพื่อที่จะซื้อคืนมา แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปฏิบัติกับฉันแบบนี้? นี่เป็นวิธีที่พระเจ้าจะหัวเราะเยาะฉัน และเปิดเผยฉันอย่างนั้นหรือ?…” หลังจากหลายปีผ่านไป มนุษย์ได้กลายเป็นมีสภาพตรากตรำหยาบกร้าน จากการผ่านประสบการณ์ความยากลำบากของการถลุงและตีสอน แม้มนุษย์จะสูญเสีย “เกียรติ” และ “จินตนาการฝันหวาน” ไปแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านไป โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว เขาได้มาเข้าใจหลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ ได้มาซึ้งคุณค่าในหลายปีแห่งการอุทิศของพระเจ้าเพื่อที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอด มนุษย์เริ่มเกลียดความกักขฬะของตัวเขาเองอย่างช้าๆ เขาเริ่มเกลียดความดุร้ายของเขา ความเข้าใจผิดทั้งหมดที่มีต่อพระเจ้า และการที่เขาเรียกร้องจากพระเจ้าอย่างไร้เหตุผล นาฬิกาไม่อาจเดินย้อนได้ เหตุการณ์ในอดีตกลายเป็นความทรงจำที่น่าเสียใจของมนุษย์ พระวจนะและความรักจากพระเจ้ากลายเป็นพลังขับเคลื่อนในชีวิตใหม่ของมนุษย์ บาดแผลของมนุษย์สมานขึ้นวันต่อวัน พละกำลังของเขาคืนกลับมา และเขาลุกขึ้นยืน และมองขึ้นไปยังพระพักตร์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์… เพียงเพื่อที่จะค้นพบว่า พระองค์ทรงอยู่ข้างกายฉันเสมอ และพบว่า รอยแย้มสรวลของพระองค์และโฉมพระพักตร์อันงดงามของพระองค์นั้นยังคงชวนหวั่นไหวยิ่งนัก พระหทัยของพระองค์ยังคงยึดมั่นในความห่วงใยที่มีต่อมนุษยชาติที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา และพระหัตถ์ของพระองค์ยังคงอบอุ่นและทรงฤทธานุภาพเฉกเช่นที่เป็นมาในคราเริ่มต้น ราวกับว่า มนุษย์ได้คืนสู่สวนเอเดน กระนั้นครานี้ มนุษย์หาได้ฟังเสียงยั่วยุของพญานาคอีกต่อไปไม่ และไม่หันหนีไปจากพระพักตร์ของพระยาห์เวห์อีกต่อไป มนุษย์คุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มองขึ้นไปยังพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มของพระเจ้า และถวายการพลีอุทิศอันมีค่าสูงสุดแด่พระองค์—โอ! องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์!
ความรักและความสงสารเห็นใจของพระเจ้าแผ่ซ่านไปทั่วทุกรายละเอียดทั้งหมดของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ และโดยไม่สนใจว่า ผู้คนจะสามารถเข้าใจเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้าหรือไม่ พระองค์ยังคงทรงปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์ทรงเริ่มไว้ให้สำเร็จลุล่วงโดยไม่ทรงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย โดยไม่คำนึงเจาะจงว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดที่เข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้า ความช่วยเหลือและผลประโยชน์ต่างๆ ที่พระราชกิจของพระเจ้านำพามาสู่มนุษย์นั้น ทว่าทุกคนสามารถซึ้งคุณค่าได้ บางที ในวันนี้ เจ้าอาจไม่รู้สึกถึงความรักใดๆ หรือชีวิตที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ แต่ตราบที่เจ้าไม่ทอดทิ้งพระเจ้า และไม่เลิกล้มความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง จะต้องมีสักวันที่พระเจ้าทรงเผยรอยแย้มสรวลกับเจ้า เนื่องด้วยจุดมุ่งหมายแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อกู้คืนผู้คนซึ่งอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน ไม่ใช่เพื่อทอดทิ้งผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและต่อต้านพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 217
ผู้คนทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายของงานของเราบนโลก นั่นคือ สิ่งที่เราปรารถนาที่จะได้รับในท้ายที่สุด และระดับที่เราต้องสัมฤทธิ์ผลในงานนี้ก่อนที่งานจะสามารถครบบริบูรณ์ได้ หากว่าหลังจากที่เดินมากับเราจนถึงวันนี้ ผู้คนยังไม่เข้าใจว่างานของเราเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เช่นนั้นแล้ว พวกเขาไม่ได้เดินมากับเราอย่างเปล่าประโยชน์หรอกหรือ? หากผู้คนติดตามเรา พวกเขาควรรู้เจตจำนงของเรา เราได้ทำงานบนแผ่นดินโลกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว และจนถึงวันนี้ เรายังคงดำเนินการงานของเราเช่นนี้ต่อไป ถึงแม้ว่างานของเราจะมีโครงการมากมาย จุดประสงค์ของงานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าเราเต็มเปี่ยมไปด้วยคำพิพากษาและการตีสอนต่อมนุษย์ ตัวอย่างเช่น สิ่งที่เราทำยังคงเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการช่วยเขาให้รอด และเพื่อประโยชน์แห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของเราให้ดียิ่งขึ้นและขยายงานของเราออกไปให้ไกลยิ่งขึ้นท่ามกลางประชาชาติทั้งปวงเมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นวันนี้ ในยามที่ผู้คนจำนวนมากจมลึกอยู่ในความท้อใจมานานแล้ว เรายังคงทำงานของเราต่อไป เราทำงานที่เราต้องทำเพื่อพิพากษาและตีสอนมนุษย์ต่อไป ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงว่ามนุษย์เบื่อหน่ายกับสิ่งที่เราพูด และเขาไม่มีความพึงปรารถนาที่จะสนใจงานของเรา เราก็ยังคงดำเนินการตามหน้าที่ของเราอยู่ เนื่องจากจุดประสงค์ของงานของเรายังคงไม่เปลี่ยนแปลง และแผนดั้งเดิมของเราจะไม่หยุดชะงัก หน้าที่ของการพิพากษาของเราคือการทำให้มนุษย์สามารถเชื่อฟังเรายิ่งขึ้น และหน้าที่ของการตีสอนของเราคือการช่วยให้มนุษย์สามารถรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แม้ว่าสิ่งที่เราทำจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของเราก็ตาม แต่เราไม่เคยทำสิ่งใดที่ไร้ประโยชน์ต่อมนุษย์ เนื่องจากเราพึงปรารถนาที่จะทำให้ประชาชาติต่างๆ ทั้งหมดนอกเหนือไปจากอิสราเอลเชื่อฟังดังเช่นผู้คนแห่งอิสราเอล ทำให้พวกเขาเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งเราคงจะมีหลักที่มั่นคงในแผ่นดินที่อยู่นอกอิสราเอล นี่คือการบริหารจัดการของเรา มันคืองานที่เรากำลังทำให้สำเร็จลุล่วงท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย แม้กระทั่งบัดนี้ ผู้คนจำนวนมากก็ยังคงไม่เข้าใจการบริหารจัดการของเรา เพราะว่าพวกเขาไม่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ ดังกล่าว และใส่ใจเฉพาะอนาคตและบั้นปลายของตนเองเท่านั้น ไม่ว่าเราจะกล่าวอะไรก็ตาม พวกเขายังคงไม่แยแสต่องานที่เราทำ แต่กลับมุ่งเน้นอยู่กับบั้นปลายในวันพรุ่งนี้ของตนเพียงอย่างเดียว หากเรื่องต่างๆ ดำเนินไปอย่างนี้ งานของเราจะสามารถแผ่ขยายไปได้อย่างไร? ข่าวประเสริฐของเราจะได้รับการเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลกได้อย่างไร? จงรู้ไว้เถิดว่าเมื่องานของเราเผยแผ่ออกไป เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไป และโจมตีพวกเจ้าเหมือนดังที่พระยาห์เวห์ได้โจมตีแต่ละเผ่าของอิสราเอล ทั้งหมดนี้จะถูกทำลงไปเพื่อที่ข่าวประเสริฐของเราจะสามารถเผยแผ่ไปทั่วทั้งโลกได้ เพื่อที่งานของเราอาจแผ่ขยายไปยังประชาชาติทั้งหลาย เพื่อที่นามของเราจะได้รับการสรรเสริญโดยบรรดาผู้ใหญ่และเด็กๆ เช่นเดียวกัน และนามอันศักดิ์สิทธิ์ของเราจะได้เป็นที่ยกย่องในปากของผู้คนจากทุกเผ่าและทุกชาติ มันเป็นไปเพื่อที่ว่า ในยุคสุดท้ายนี้ นามของเราจะได้รับการสรรเสริญท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย เพื่อที่ประชาชาติทั้งหลายจะได้เห็นกิจการทั้งหลายของเราและพวกเขาจะเรียกเราว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เนื่องจากกิจการทั้งหลายของเรา และเพื่อที่วจนะของเราจะได้บังเกิดขึ้นในอีกไม่นาน เราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงรู้ว่าเราไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้คนแห่งอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังเป็นพระเจ้าของประชาชาติในบรรดาชาติทั้งหมดอีกด้วย แม้แต่บรรดาชาติที่เราได้สาปแช่ง เราจะปล่อยให้ผู้คนทั้งหมดได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง นี่คืองานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา จุดประสงค์ของแผนงานของเราสำหรับยุคสุดท้าย และงานเดียวที่จะต้องทำให้ลุล่วงในยุคสุดท้าย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคืองานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเช่นกัน
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 218
ในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้นที่งานซึ่งเราได้บริหารจัดการมาเป็นเวลาหลายพันปีจะถูกเปิดเผยแก่มนุษย์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เฉพาะบัดนี้เท่านั้นที่เราได้เผยความล้ำลึกเต็มเปี่ยมของการบริหารจัดการของเราแก่มนุษย์ และมนุษย์ได้เรียนรู้จุดประสงค์ของงานของเรา และยิ่งไปกว่านั้น ได้มาเข้าใจความล้ำลึกทั้งมวลของเรา เราได้บอกมนุษย์แล้วถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นบั้นปลายของสิ่งที่เขาให้ความเป็นห่วง เราได้เปิดเผยให้มนุษย์รู้ความล้ำลึกทั้งมวลของเราแล้ว ความล้ำลึกที่ถูกซ่อนไว้เป็นเวลาเกินกว่า 5,900 ปี พระยาห์เวห์คือใคร? พระเมสสิยาห์คือใคร? พระเยซูคือใคร? พวกเจ้าควรรู้ทั้งหมดนี้ งานของเราเปลี่ยนไปตามนามเหล่านี้ พวกเจ้าเข้าใจเรื่องนั้นหรือยัง? นามอันศักดิ์สิทธิ์ของเราควรจะได้รับการประกาศอย่างไร? นามของเราควรจะได้รับการเผยแผ่ไปยังชาติใดชาติหนึ่งที่เรียกขานเราด้วยนามใดนามหนึ่งของเราอย่างไร? งานของเรากำลังแผ่ขยายออกไป และเราจะเผยแผ่ความเต็มเปี่ยมแห่งงานนั้นไปยังบรรดาชาติทั้งหลายทั้งปวง เนื่องจากงานของเราได้ถูกดำเนินการในตัวพวกเจ้า เราจะโจมตีพวกเจ้าดังเช่นที่พระยาห์เวห์ได้ทรงโจมตีบรรดาคนเลี้ยงแกะของวงศ์ดาวิดในอิสราเอล ทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปท่ามกลางทุกชาติ เนื่องจากในยุคสุดท้าย เราจะบดขยี้ชาติทั้งหมดให้แหลกละเอียดและทำให้ผู้คนในชาติเหล่านั้นกระเจิดกระเจิงไปอีกครั้ง เมื่อเรากลับมาอีกครั้ง ชาติทั้งหลายจะได้ถูกแบ่งแยกไปตามอาณาเขตที่กำหนดขึ้นโดยไฟที่ลุกไหม้ของเราแล้ว ณ เวลานั้น เราจะสำแดงตัวเราเองต่อมนุษยชาติอีกครั้งดังดวงอาทิตย์ที่แผดเผา แสดงตัวเราเองอย่างเปิดเผยต่อพวกเขาในฉายาขององค์บริสุทธิ์ซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เดินอยู่ท่ามกลางบรรดาชาติที่หลากหลาย เหมือนดังที่ครั้งหนึ่งเรา พระยาห์เวห์ ได้เคยเดินท่ามกลางเผ่าคนยิว จากนั้นไป เราจะนำทางมนุษยชาติในชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก ที่นั่นเองพวกเขาจะได้เห็นสง่าราศีของเราอย่างแน่นอน และพวกเขายังจะได้เห็นเสาเมฆในอากาศที่จะนำทางพวกเขาในชีวิตอย่างแน่นอนอีกด้วย เนื่องจากเราจะปรากฏตัวของเราในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์จะเห็นวันแห่งความชอบธรรมของเรา และการสำแดงอันมีสง่าราศีของเราอีกด้วย นั่นจะเกิดขึ้นเมื่อเราปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมดและนำบุตรมากมายของเราไปสู่สง่าราศี ทุกหนแห่งบนแผ่นดินโลก บรรดามนุษย์จะยอมกราบไหว้ และพลับพลาของเราจะถูกตั้งขึ้นอย่างมั่นคงท่ามกลางมนุษยชาติ บนศิลาของงานที่เราดำเนินการวันนี้ ผู้คนจะรับใช้เราด้วยเช่นกันในวิหาร เราจะทุบแท่นบูชา ที่ปกคลุมไปด้วยสิ่งโสโครกและน่ารังเกียจนั้นจนแตกเป็นชิ้นๆ และสร้างขึ้นใหม่ ลูกแกะและลูกวัวแรกเกิดจะถูกนำไปกองรวมกันบนแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ เราจะทลายวิหารของวันนี้และสร้างวิหารใหม่ วิหารที่ตั้งอยู่ขณะนี้ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่น่าชิงชัง จะทรุดฮวบลง และวิหารที่เราสร้างจะเต็มไปด้วยบรรดาผู้รับใช้ที่จงรักภักดีต่อเรา พวกเขาจะยืนขึ้นอีกครั้งและรับใช้เราเพื่อประโยชน์แห่งสง่าราศีของวิหารของเรา พวกเจ้าจะได้เห็นวันที่เราได้รับสง่าราศีอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน และเจ้ายังจะได้เห็นวันที่เราทลายวิหารนั้นและสร้างวิหารใหม่ขึ้นอย่างแน่นอนอีกด้วย พวกเจ้ายังจะได้เห็นวันซึ่งพลับพลาของเราเข้ามาในโลกมนุษย์อย่างแน่นอนอีกด้วย ขณะที่เราทุบวิหาร เราจึงจะนำพลับพลาของเรามาสู่โลกมนุษย์ได้ ขณะเดียวกับที่พวกเขาจะได้เห็นการลงมาของเรา หลังจากที่เราบดขยี้ชาติทั้งหมดแล้ว เราจะรวบรวมพวกเขาเข้าด้วยกันใหม่ ตั้งแต่นั้นมา เราจะสร้างวิหารของเราและตั้งแท่นบูชาของเรา เพื่อที่ทุกคนอาจถวายเครื่องบูชาแก่เรา รับใช้เราในวิหารของเรา และอุทิศตนอย่างสัตย์ซื่อต่องานของเราในชาติของผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นอย่างเช่นคนอิสราเอลในปัจจุบันนี้ แต่งกายด้วยเสื้อและมงกุฎอย่างปุโรหิต ด้วยสง่าราศีของเรา พระยาห์เวห์ ซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขา และบารมีของเราที่วนเวียนอยู่เหนือพวกเขาและคงอยู่กับพวกเขา งานของเราในหมู่ประชาชาติที่ไม่เชื่อจะดำเนินไปในทางเดียวกันอีกด้วย งานของเราในอิสราเอลเคยเป็นเช่นไร งานของเราในประชาชาติทั้งหลายที่ไม่เชื่อก็จะเป็นเช่นนั้น เพราะเราจะแผ่ขยายงานของเราในอิสราเอลและเผยแพร่งานนั้นไปยังประชาชาติของผู้ไม่เชื่อ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคืองานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเช่นกัน
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 219
บัดนี้เป็นเวลาที่วิญญาณของเราจะได้ปฏิบัติงานอันยิ่งใหญ่ และเป็นเวลาที่เราจะได้เริ่มต้นงานของเราท่ามกลางประชาชาติซึ่งเป็นผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย ที่มากไปกว่านั้น นี่เป็นเวลาที่เราจะได้จำแนกแยกแยะสรรพสิ่งสร้างทั้งปวง วางแต่ละสิ่งให้อยู่ในหมวดหมู่ที่สอดคล้องกัน เพื่อที่งานของเราจะได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และดังนั้นแล้ว สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าก็ยังคงเป็นว่า ให้เจ้ามอบถวายการดำรงอยู่ทั้งหมดของเจ้าให้แก่งานทั้งปวงของเรา และยิ่งไปกว่านั้น ให้เจ้าหยั่งรู้และมั่นใจในงานทั้งหมดที่เราได้ทำในตัวเจ้าให้ชัดเจน และวางกำลังทั้งหมดของเจ้าในงานของเราเพื่อที่งานนั้นจะได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ จงหยุดจากการต่อสู้กันท่ามกลางตัวพวกเจ้าเอง การมองหาหนทางกลับหลัง หรือการแสวงหาความชูใจฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งจะทำให้งานของเราล่าช้าออกไป และทำให้อนาคตที่วิเศษสุดของเจ้าล่าช้าออกไป แทนที่จะปกป้องเจ้า การทำเช่นนั้นจะนำการทำลายล้างมาสู่เจ้า นี่จะไม่ใช่ความโง่เขลาของเจ้าดอกหรือ? สิ่งซึ่งเจ้าชื่นชมอย่างละโมบในวันนี้คือสิ่งที่กำลังทำลายอนาคตของเจ้า ในขณะที่ความเจ็บปวดที่เจ้าทนทุกข์ในวันนี้คือสิ่งที่กำลังปกป้องเจ้า เจ้าจะต้องตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของการทดลองทั้งหลายซึ่งเจ้าจะออกแรงอย่างมากเพื่อสลัดตัวเจ้าเองให้หลุดพ้น และเพื่อเลี่ยงหนีการเดินหลงเข้าไปในหมอกหนาและการที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ เมื่อหมอกหนาจางหายไป เจ้าจะพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการพิพากษาของวันที่ใหญ่ยิ่ง เมื่อถึงเวลานั้น วันของเราจะเข้ามาใกล้มวลมนุษย์ เจ้าจะหลีกหนีการพิพากษาของเราได้อย่างไร? เจ้าจะสู้ทนความร้อนที่แผดเผาของแสงอาทิตย์ได้อย่างไร? เมื่อเราให้ความไพบูลย์แก่มนุษย์ เขาไม่ได้ทะนุถนอมมันไว้ในอกของเขา แต่กลับขว้างมันทิ้งไปในที่ที่ไม่มีใครจะสังเกตเห็น เมื่อวันของเราลงมายังมนุษย์ เขาจะไม่สามารถค้นพบความไพบูลย์ของเรา หรือพบวจนะแห่งความจริงที่ขมขื่นยิ่งกว่าที่เราได้กล่าวแก่เขานานมาแล้วได้อีกต่อไป เขาจะร้องไห้และคร่ำครวญ เพราะว่าเขาได้สูญเสียความเจิดจ้าของความสว่างไปและได้ตกลงสู่ความมืด สิ่งที่พวกเจ้าเห็นในวันนี้เป็นเพียงดาบคมกริบจากปากของเราเท่านั้น เจ้ายังไม่ได้เห็นไม้เท้าในมือของเราหรือเปลวไฟซึ่งเราใช้เผามนุษย์ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเจ้าจึงยังคงหยิ่งผยองและไม่ยับยั้งชั่งใจต่อหน้าเรา นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าจึงยังคงต่อสู้กับเราในบ้านของเรา โต้แย้งด้วยลิ้นมนุษย์ของเจ้าในสิ่งที่เราได้กล่าวด้วยปากของเรา มนุษย์ไม่เกรงกลัวเรา และอย่างไรก็ตามเขาก็แสดงความเป็นปรปักษ์กับเราอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งวันนี้ เขายังคงไม่มีความเกรงกลัวใดๆ พวกเจ้ามีลิ้นและฟันแห่งความอธรรมในปากของพวกเจ้า คำพูดและความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้าก็เหมือนคำพูดและความประพฤติของงูที่ได้ล่อลวงเอวาไปสู่บาป พวกเจ้าเรียกร้องการตอบแทนชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน จากกันและกัน และพวกเจ้าดิ้นรนต่อสู้ต่อหน้าเราเพื่อแย่งชิงตำแหน่ง ชื่อเสียง และผลกำไรสำหรับพวกเจ้าเอง ทว่าพวกเจ้ากลับไม่รู้ว่าเรากำลังเฝ้าดูคำพูดและความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้าอยู่อย่างลับๆ เราได้ฟังก้นบึ้งหัวใจของพวกเจ้าแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะได้มาอยู่ต่อหน้าเราเสียด้วยซ้ำ มนุษย์ปรารถนาที่จะหลีกหนีให้พ้นมือของเราและหลบหลีกการสังเกตของสายตาของเราเสมอมา แต่เราไม่เคยเลี่ยงไปจากคำพูดหรือความประพฤติทั้งหลายของเขาเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เรากลับยอมให้คำพูดและความประพฤติเหล่านั้นเข้าสู่สายตาของเราอย่างมีจุดประสงค์ ซึ่งเราอาจตีสอนความไม่ชอบธรรมของมนุษย์และดำเนินการพิพากษากับการกบฏของเขา ดังนั้น คำพูดและความประพฤติที่เป็นความลับทั้งหลายของมนุษย์จึงยังคงอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของเราเสมอ และการพิพากษาของเราก็ไม่เคยจากมนุษย์ไป เพราะว่าการกบฏของเขานั้นมากเกินไป งานของเราคือการเผาและชำระล้างคำพูดและพฤติกรรมทั้งหมดของมนุษย์ที่ถูกเอ่ยและกระทำลงไปต่อหน้าวิญญาณของเรา ดังนี้[ก] เมื่อเราออกไปจากแผ่นดินโลก ผู้คนจะยังคงรักษาความจงรักภักดีของตนต่อเราไว้ และจะยังคงรับใช้เราเฉกเช่นที่บรรดาผู้รับใช้ที่บริสุทธิ์ของเราทำในงานของเรา ซึ่งเปิดโอกาสให้งานของเราบนแผ่นดินโลกดำเนินต่อไปจนถึงวันที่งานนั้นครบบริบูรณ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคืองานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเช่นกัน
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลี “ดังนี้”
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 220
พวกเจ้าได้เห็นพระราชกิจใดที่พระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงในผู้คนกลุ่มนี้หรือไม่ ครั้งหนึ่งพระเจ้าตรัสไว้ว่า แม้แต่ในอาณาจักรพันปี ผู้คนยังคงต้องติดตามถ้อยดำรัสของพระองค์ต่อไป และในอนาคต ถ้อยดำรัสของพระเจ้าจะยังนำชีวิตของมนุษย์โดยตรงในแผ่นดินอันดีงามแห่งคานาอัน ขณะโมเสสอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าได้ทรงอบรมสั่งสอนและตรัสกับเขาโดยตรง พระเจ้าทรงส่งอาหาร น้ำ และมานาจากสวรรค์ให้ผู้คนได้ชื่นชม และวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น พระเจ้าทรงส่งสิ่งต่างๆ สำหรับกินและดื่มให้ผู้คนได้ชื่นชมด้วยพระองค์เอง และพระองค์ทรงส่งคำสาปแช่งเพื่อตีสอนผู้คนด้วยพระองค์เอง และดังนั้น พระเจ้าจึงดำเนินทุกขั้นตอนในพระราชกิจของพระองค์จนเสร็จสิ้นด้วยพระองค์เอง วันนี้ ผู้คนแสวงหาการบังเกิดของความจริง พวกเขาแสวงหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และมีความเป็นไปได้ที่ผู้คนดังกล่าวทั้งหมดจะถูกเหวี่ยงทิ้งไป เพราะพระราชกิจของพระเจ้ากำลังกลายเป็นสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นทุกที ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าได้เสด็จลงมาจากสวรรค์ พวกเขายังไม่ตระหนักรู้เช่นกันว่า พระเจ้าได้ทรงส่งอาหารและยาบำรุงลงมาจากสวรรค์ แต่กระนั้น พระเจ้าก็ทรงมีอยู่จริงๆ และภาพฉากอันน่าตื่นเต้นของอาณาจักรพันปีในจินตนาการของผู้คนก็ยังเป็นถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริง และเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเรียกว่า การครองราชย์ร่วมกับพระเจ้าบนแผ่นดินโลก การครองราชย์ร่วมกับพระเจ้าบนแผ่นดินโลกอ้างอิงถึงเนื้อหนัง เนื่องจากสิ่งที่ไม่ใช่เนื้อหนังนั้นไม่ได้ดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก และดังนั้นบรรดาผู้คนทั้งหมดที่มุ่งเน้นการไปยังสวรรค์ชั้นที่สามจึงทำเช่นนั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ สักวันหนึ่ง เมื่อทั้งจักรวาลกลับคืนสู่พระเจ้า ศูนย์กลางของพระราชกิจของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาลจะปฏิบัติตามถ้อยดำรัสของพระองค์ ไม่ว่าจะ ณ แห่งหนตำบลใด บางคนจะใช้โทรศัพท์ บางคนจะขึ้นเครื่องบิน บางคนจะขึ้นเรือข้ามทะเล และบางคนจะใช้เลเซอร์เพื่อรับถ้อยดำรัสของพระเจ้า ทุกคนจะนิยมบูชาและเปี่ยมด้วยความโหยหา พวกเขาทุกคนจะมาใกล้ชิดกับพระเจ้า และรวมตัวกันเข้าหาพระเจ้า และทุกคนจะนมัสการพระเจ้า และทั้งหมดนี้จะเป็นกิจการของพระเจ้า จงจดจำสิ่งนี้ไว้! พระเจ้าจะไม่เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในที่อื่นใดอย่างแน่นอน พระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงนี้ที่ว่า พระองค์จะทำให้ผู้คนทั้งหมดทั่วทั้งจักรวาลมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และนมัสการพระเจ้าบนแผ่นดินโลก และพระราชกิจของพระองค์ในที่อื่นๆ จะยุติลง และผู้คนจะถูกบีบให้ต้องแสวงหาหนทางที่แท้จริง เหมือนดั่งโยเซฟ กล่าวคือ ทุกคนมาหาเขาเพื่ออาหาร และกราบไหว้เขาเพราะเขามีสิ่งต่างๆ ให้กิน เพื่อหลีกเลี่ยงกันดารอาหาร ผู้คนจะถูกบีบให้แสวงหาหนทางที่แท้จริง ชุมชนทางศาสนาทั้งหมดจะประสบทุกข์จากกันดารอาหารที่รุนแรง และมีเพียงพระเจ้าของวันนี้เท่านั้นที่เป็นน้ำพุของน้ำแห่งชีวิต ซึ่งมีน้ำพุที่ไหลรินตลอดเวลาจัดเตรียมไว้สำหรับความชื่นชมยินดีของมนุษย์ และผู้คนจะมาและพึ่งพาอาศัยพระองค์ นั่นจะเป็นเวลาที่กิจการของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยและเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงได้รับพระสิริ ผู้คนทั้งหมดทั่วจักรวาลจะนมัสการ “มนุษย์” ธรรมดาผู้นี้ นี่จะไม่ใช่วันแห่งพระสิริของพระเจ้าหรอกหรือ สักวันหนึ่ง ศิษยาภิบาลสูงอายุจะส่งโทรเลขมากมายออกไปเพื่อเสาะหาน้ำจากน้ำพุของน้ำแห่งชีวิต พวกเขาจะอยู่ในวัยชรา แต่พวกเขาจะยังมานมัสการบุคคลผู้นี้ ผู้ที่พวกเขาเคยดูหมิ่น พวกเขาจะยอมรับพระองค์ออกมาจากปากของพวกเขาเอง และจะเชื่อมั่นวางใจในพระองค์ด้วยหัวใจของพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่หมายสำคัญและการอัศจรรย์หรอกหรือ? ยามที่ทั้งราชอาณาจักรชื่นบาน จะเป็นวันแห่งพระสิริของพระเจ้า และใครก็ตามที่มาหาพวกเจ้าและได้รับข่าวดีจากพระเจ้าก็จะได้รับการอวยพรจากพระเจ้า และประเทศและประชาชนที่ทำเช่นนั้นจะได้รับการอวยพรและได้รับการดูแลโดยพระเจ้า ดังนั้น ทิศทางในอนาคตจะเป็นดังนี้คือ ผู้ที่ได้รับถ้อยดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าจะมีเส้นทางให้เดินบนแผ่นดินโลก และต่อให้พวกเขาเป็นนักธุรกิจ หรือนักวิทยาศาสตร์ หรือนักการศึกษา หรือนักอุตสาหกรรม บรรดาผู้ที่ปราศจากพระวจนะของพระเจ้าจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจะก้าวเดินแม้เพียงหนึ่งก้าว และจะถูกบีบให้ต้องแสวงหาหนทางที่แท้จริง นี่คือความหมายของ “ด้วยความจริง เจ้าจะเดินไปทั่วทั้งโลก เมื่อปราศจากความจริง เจ้าจะไม่ได้ไปที่ใดเลย” ดังนั้น ข้อเท็จจริงก็คือ พระเจ้าจะทรงใช้หนทาง (ซึ่งหมายถึงพระวจนะทั้งหมดของพระองค์) เพื่อบัญชาทั้งจักรวาลและปกครองและพิชิตมวลมนุษย์ ผู้คนต่างหวังเสมอว่า จะมีการแปรผันครั้งใหญ่ในวิถีทางที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ กล่าวโดยง่ายก็คือ พระเจ้าทรงควบคุมผู้คนผ่านพระวจนะ และเจ้าต้องทำในสิ่งที่พระเจ้าตรัสไม่ว่าเจ้าจะอยากทำหรือไม่ก็ตาม นี่คือข้อเท็จจริงเชิงรูปธรรมอย่างหนึ่ง และทุกคนต้องเชื่อฟังทำตาม และดังนั้นจึงเป็นที่รู้กันทั่วและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกด้วย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อาณาจักรพันปีได้มาถึงแล้ว
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 221
พระวจนะของพระเจ้าจะเผยแผ่ไปตามบ้านเรือนต่างๆมากมายเกินคณานับ พระวจนะเหล่านี้จะกลายเป็นที่รู้กันสำหรับทุกคน และมีเพียงยามนั้นเท่านั้นเองที่พระราชกิจของพระองค์จะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล ซึ่งกล่าวได้ว่า หากพระราชกิจของพระเจ้าจะต้องเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาลแล้ว เช่นนั้น พระวจนะของพระองค์ก็จะต้องเผยแผ่ ในวันแห่งพระสิริของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าจะแสดงฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ พระวจนะของพระองค์ทุกคำนับตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงวันนี้จะสำเร็จลุล่วงและถึงครามาบังเกิด โดยการนี้ พระสิริจะมาสู่พระเจ้าบนแผ่นดินโลก ซึ่งกล่าวได้ว่า พระวจนะของพระองค์จะครองราชย์บนแผ่นดินโลก ทุกคนที่เลวจะถูกตีสอนด้วยพระวจนะที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ทุกคนที่ชอบธรรมจะได้รับการอวยพรจากพระวจนะที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และทั้งหมดจะได้รับการสถาปนาและทำให้ครบบริบูรณ์ด้วยพระวจนะที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใด ทั้งหมดจะสำเร็จลุล่วงด้วยพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์จะสร้างข้อเท็จจริง ทุกคนบนโลกจะเฉลิมฉลองพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก เพศชาย เพศหญิง คนแก่ หรือคนหนุ่มสาว ทุกคนจะนบนอบอยู่ภายใต้พระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระวจนะของพระองค์ได้บนแผ่นดินโลกอย่างเจิดจ้าจับตาและประหนึ่งมีชีวิต นี่คือความหมายของการที่พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ โดยเบื้องต้นแล้ว พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกก็เพื่อสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงที่ว่า “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” ซึ่งกล่าวได้ว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อที่อาจจะได้ปล่อยพระวจนะของพระองค์ออกทางเนื้อหนัง (ไม่เหมือนกับในช่วงเวลาของโมเสสในพันธสัญญาเดิม คราที่พระสุรเสียงของพระเจ้าปล่อยออกมาจากท้องฟ้าโดยตรง) หลังจากนั้น พระวจนะทั้งหมดของพระองค์ก็จะถูกทำให้ลุล่วงในช่วงระหว่างยุคอาณาจักรพันปี พระวจนะทั้งหมดของพระองค์จะกลายเป็นข้อเท็จจริงที่มองเห็นได้ต่อหน้าต่อตามนุษย์ และผู้คนจะเห็นพระวจนะทั้งหมดของพระองค์โดยใช้ดวงตาของตัวเองโดยปราศจากความไม่เสมอภาคกันแม้แต่น้อย นี่คือความหมายสูงสุดของการจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่า พระราชกิจของพระวิญญาณสำเร็จลุล่วง โดยผ่านทางเนื้อหนังและผ่านทางพระวจนะ นี่คือความหมายที่แท้จริงของ “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” การทรงปรากฏเป็นมนุษย์ของพระวจนะ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถตรัสถึงน้ำพระทัยของพระวิญญาณ และมีเพียงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถตรัสในพระนามของพระวิญญาณ พระวจนะของพระเจ้ามีความเรียบง่ายต่อการทำความเข้าใจในพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และคนอื่นๆ ทุกคนได้รับการทรงนำโดยพระวจนะเหล่านั้น โดยไม่มีใครได้รับการยกเว้น พวกเขาทั้งหมดดำรงอยู่ภายในวงเขตนี้ ผู้คนสามารถกลายมาเป็นตระหนักรู้ได้ก็เพียงจากถ้อยดำรัสเหล่านี้เท่านั้น บรรดาผู้ที่ไม่ได้รับในหนทางนี้ย่อมกำลังฝันกลางวันหากพวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถรับถ้อยดำรัสจากสวรรค์ได้ สิ่งดังกล่าวคือสิทธิอำนาจที่สาธิตให้เห็นในเนื้อหนังที่ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหตุให้ทุกคนเชื่อในสิ่งนี้ด้วยความเชื่อมั่นทั้งมวล แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเคารพยกย่องที่สุดและศิษยาภิบาลที่เคร่งศาสนาก็ยังไม่สามารถกล่าวคำเหล่านี้ได้ พวกเขาทั้งหมดต้องนบนอบภายใต้พระวจนะของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดจะสามารถทำการเริ่มต้นใหม่ได้ พระเจ้าจะทรงใช้พระวจนะเพื่อพิชิตจักรวาล พระองค์จะไม่ทรงปฏิบัติสิ่งนี้โดยเนื้อหนังที่พระองค์ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่ใช้ถ้อยดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อพิชิตผู้คนทั้งหมดในทั้งจักรวาล เพียงเช่นนี้เท่านั้นที่พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และเช่นนี้เท่านั้น ที่เป็นการทรงปรากฏเป็นมนุษย์ของพระวจนะ สำหรับมนุษย์ บางทีอาจปรากฏให้เห็นเสมือนว่าพระเจ้ามิได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจอะไรมากมายนัก แต่พระเจ้าแค่ต้องดำรัสพระวจนะของพระองค์เท่านั้น และพระวจนะของพระองค์จะเป็นที่เชื่อมั่นและเป็นที่เกรงขามโดยทั่วกัน เมื่อปราศจากข้อเท็จจริง ผู้คนโห่ร้องและกรีดร้อง เมื่อมีพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาพลันเงียบกริบ พระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงนี้เป็นแน่เพราะ นี่คือแผนการของพระเจ้าที่ได้ทรงสถาปนาไว้นานแล้ว การสำเร็จลุล่วงข้อเท็จจริงของการมาถึงของพระวจนะบนแผ่นดินโลก อันที่จริง ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องอธิบายว่า—การมาถึงของอาณาจักรพันปีบนแผ่นดินโลก ก็คือการมาถึงของพระวจนะของพระเจ้าบนโลก การเคลื่อนลงมาจากสวรรค์ของกรุงเยรูซาเลมใหม่ คือการมาถึงของพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่จะอยู่ท่ามกลางมนุษย์ เพื่อร่วมเคียงไปกับทุกการกระทำของมนุษย์ และความคิดทั้งหมดที่อยู่ภายในสุดของมนุษย์ นี่ยังเป็นข้อเท็จจริงหนึ่งซึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จลุล่วง นี่คือความงดงามของอาณาจักรพันปี นี่คือแผนการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ กล่าวคือ พระวจนะของพระองค์จะปรากฏบนแผ่นดินโลกเป็นเวลาหลายพันปี และพระวจนะของพระองค์จะสำแดงกิจการทั้งหมดของพระองค์ และทำให้พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์บนแผ่นดินโลกเสร็จสิ้น และหลังจากนั้น ช่วงระยะนี้ของมวลมนุษย์ก็จะเป็นอันมาถึงบทอวสาน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อาณาจักรพันปีได้มาถึงแล้ว
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 222
เมื่อซีนิมกลายเป็นจริงขึ้นบนแผ่นดินโลก—เมื่อราชอาณาจักรเป็นจริงขึ้นมา—จะไม่มีสงครามบนแผ่นดินโลกอีก จะไม่มีวันมีการกันดารอาหาร ภัยพิบัติ และแผ่นดินไหวอีก ผู้คนจะหยุดผลิตอาวุธ ทุกคนจะใช้ชีวิตอยู่ในสันติสุขและเสถียรภาพ และจะมีการติดต่อไปมาหาสู่กันตามปกติระหว่างผู้คน และการติดต่อเจรจาตามปกติระหว่างประเทศ แต่ปัจจุบันยังไม่มีสภาพเทียบเคียงการนี้ ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ล้วนอยู่ในความอลหม่าน และรัฐประหารค่อยๆ เริ่มเกิดขึ้นในแต่ละประเทศ ผลจากถ้อยดำรัสของพระเจ้าคือ ผู้คนค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และทุกประเทศเกิดการแบ่งแยกภายในอย่างช้าๆ รากฐานที่มั่นคงแห่งบาบิโลนเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนปราสาททราย และขณะที่น้ำพระทัยของพระเจ้าแปรเปลี่ยน ความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ก็เกิดขึ้นในโลกโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และหมายสำคัญทุกรูปแบบปรากฏขึ้นตลอดเวลา ซึ่งแสดงให้ผู้คนเห็นว่ายุคสุดท้ายของโลกมาถึงแล้ว! นี่คือแผนการของพระเจ้า เหล่านี้คือขั้นตอนทั้งหลายที่พระองค์ใช้ในการทรงพระราชกิจ และแต่ละประเทศจะแตกแยกออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน โสโดมเก่าจะถูกทำลายล้างเป็นครั้งที่สอง และด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสว่า “โลกกำลังล่มจม! บาบิโลนกำลังเป็นอัมพาต!” ไม่มีผู้ใดเว้นแต่พระเจ้าพระองค์เองที่ทรงสามารถเข้าใจการนี้โดยบริบูรณ์ จะว่าไปแล้ว การตระหนักรู้ของผู้คนก็มีขีดจำกัดอยู่ ตัวอย่างเช่น รัฐมนตรีกระทรวงกิจการภายในทั้งหลายอาจจะรู้ว่ารูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันไม่มั่นคงและวุ่นวาย แต่พวกเขาไม่สามารถจัดการแก้ไขรูปการณ์แวดล้อมเหล่านั้น พวกเขาทำได้เพียงแล่นไปตามกระแส โดยหวังอยู่ในหัวใจของพวกเขาถึงวันที่พวกเขาสามารถเชิดหน้า ถึงวันข้างหน้าที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกอีกครั้ง ฉายแสงไปทั่วแผ่นดิน และพลิกสภาวการณ์ที่ยากแค้นนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาหารู้ไม่ว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นครั้งที่สอง การผงาดขึ้นมาของมันไม่ได้หมายที่จะฟื้นคืนระเบียบแบบแผนเก่าๆ—แต่คือการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างทั่วถึง เช่นนั้นคือแผนการของพระเจ้าสำหรับทั้งจักรวาล พระองค์จะทรงนำมาซึ่งโลกใหม่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์จะทรงฟื้นฟูมนุษย์ขึ้นมาใหม่เป็นอันดับแรก
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 22 และ 23
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 223
ในโลกนี้ แผ่นดินไหวเป็นการเริ่มต้นของความวิบัติ แรกทีเดียว เราทำให้โลก—ซึ่งก็คือแผ่นดินโลกนั่นเอง—เปลี่ยนแปลง และภายหลังจึงเกิดภัยพิบัติและการกันดารอาหาร นี่คือแผนของเรา และเหล่านี้คือขั้นตอนของเรา และเราจะระดมพลทุกสิ่งทุกอย่างมารับใช้เราเพื่อทำให้แผนการบริหารจัดการของเราครบบริบูรณ์ ด้วยประการฉะนั้น ทั่วทั้งสากลพิภพจะถูกทำลาย ไม่มีแม้แต่การแทรกแซงโดยตรงของเรา เมื่อเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรกและถูกตอกตรึงกับกางเขน แผ่นดินโลกสั่นสะเทือนอย่างมโหฬาร และมันก็จะเป็นเหมือนกันเมื่อบทอวสานมาถึง แผ่นดินไหวจะเริ่มต้น ณ ชั่วขณะเดียวกันกับที่เราเข้าสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณจากสภาพเนื้อหนัง ด้วยเหตุนี้ บรรดาบุตรหัวปีจะไม่ทนทุกข์จากความวิบัติอย่างแน่นอน ขณะที่พวกที่ไม่ใช่บุตรหัวปีจะถูกทิ้งไว้ให้ทนทุกข์ท่ามกลางความวิบัติทั้งหลาย ดังนั้น จากมุมมองของมนุษย์ ทุกคนเต็มใจที่จะเป็นบุตรหัวปี ในความสังหรณ์ใจของผู้คนแล้ว นี่ไม่ใช่เพื่อความชื่นชมยินดีจากพรทั้งหลาย แต่เพื่อหลีกหนีความทุกข์จากความวิบัติ นี่คือกลอุบายของพญานาคใหญ่สีแดง อย่างไรก็ตาม เราจะไม่มีวันปล่อยให้มันหนีพ้นไปได้ เราจะเป็นเหตุให้มันทนทุกข์กับการลงโทษอันรุนแรงของเราแล้วให้ยืนขึ้นและให้การปรนนิบัติเรา (การนี้อ้างอิงถึงการทำให้บรรดาบุตรของเราและประชากรของเรามีความครบบริบูรณ์) เป็นเหตุให้มันถูกแผนร้ายของมันเองเล่นเล่ห์เพทุบายไปตลอดกาล ให้มันยอมรับการพิพากษาของเราไปตลอดกาล และถูกเราเผาผลาญไปตลอดกาล นี่คือความหมายแท้จริงของการให้พวกคนปรนนิบัติสรรเสริญเรา (นั่นคือ การใช้พวกเขาเปิดเผยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา) เราจะไม่ปล่อยให้พญานาคใหญ่สีแดงแอบเข้ามาในราชอาณาจักรของเราได้ อีกทั้งเราจะไม่ให้มันได้รับสิทธิที่จะสรรเสริญเรา! (เพราะมันไม่คู่ควร มันจะไม่มีวันคู่ควรเลย!) เราจะทำให้พญานาคใหญ่สีแดงให้การปรนนิบัติเราไปชั่วกัลปาวสานเท่านั้น! เราจะอนุญาตให้มันหมอบราบตัวเองต่อหน้าเราเท่านั้น (พวกที่ถูกทำลายนั้นยังดีกว่าพวกที่อยู่ในความพินาศ การทำลายล้างเป็นเพียงรูปแบบชั่วคราวหนึ่งของการลงโทษที่รุนแรงเท่านั้น ในขณะที่ผู้คนที่ตกอยู่ในความพินาศจะทนทุกข์กับการลงโทษที่รุนแรงไปชั่วนิรันดร์ ด้วยเหตุผลนี้เอง เราจึงใช้คำว่า “หมอบราบ” เพราะผู้คนเหล่านี้แอบเข้ามาในบ้านของเราและชื่นชมกับพระคุณของเราเป็นอันมาก และครองความรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรา เราจึงใช้การลงโทษที่รุนแรง ส่วนพวกที่อยู่นอกบ้านของเรา เจ้าอาจสามารถกล่าวได้ว่า พวกไม่รู้เท่าทันจะไม่ทนทุกข์) ในมโนคติที่หลงผิดของผู้คน พวกเขาคิดว่าผู้คนที่ถูกทำลายนั้น แย่ยิ่งกว่าพวกที่ตกอยู่ในความพินาศ แต่ในทางตรงกันข้าม พวกหลังต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงไปตลอดกาล และพวกที่ถูกทำลายก็จะกลับสู่ความไม่มีอะไรไปชั่วกัลปาวสานทั้งมวล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 108
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 224
เมื่อการกล่าวทักทายราชอาณาจักรดังขึ้น—ซึ่งเป็นตอนที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวานขึ้นด้วย—เสียงนี้สั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เขย่าสวรรค์ชั้นสูงสุด และทำให้ความรู้สึกลึกในใจของมนุษย์ทุกคนสั่นไหว เพลงสรรเสริญราชอาณาจักรดังกังวานขึ้นอย่างเป็นพิธีการในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นการพิสูจน์ว่าเราได้ทำลายชนชาตินั้นและได้สถาปนาราชอาณาจักรของเราแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ราชอาณาจักรของเราได้รับการสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลก ณ ชั่วขณะนี้ เราเริ่มส่งทูตสวรรค์ของเราออกไปยังทุกๆ ชนชาติในโลกเพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นผู้เลี้ยงแก่บรรดาบุตรของเรา ผู้คนของเรา นี่ก็เพื่อให้เป็นไปตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของงานขั้นตอนต่อไปของเราด้วย อย่างไรก็ตาม เรามายังที่ที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ และแข่งขันกับมันด้วยตัวเอง ทันทีที่มนุษย์ทั้งหมดมารู้จักเราในเนื้อหนังและสามารถเห็นกิจการของเราในเนื้อหนัง ถ้ำของพญานาคใหญ่สีแดงก็จะกลายเป็นขี้เถ้าและหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในฐานะประชากรในราชอาณาจักรของเรา ในเมื่อเจ้าเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงเข้ากระดูกดำ เจ้าก็ต้องทำให้หัวใจของเราพึงพอใจด้วยการกระทำของเจ้า และนำความละอายมาสู่พญานาคด้วยวิธีนี้ พวกเจ้าสำนึกรับรู้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงนั้นน่ารังเกียจ? เจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงหรือไม่ว่ามันเป็นศัตรูของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร? พวกเจ้ามีความเชื่ออย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเจ้าสามารถเป็นคำพยานที่น่าอัศจรรย์ให้เราได้? พวกเจ้ามีความมั่นใจอย่างแท้จริงหรือไม่ว่าพวกเจ้าสามารถเอาชนะพญานาคใหญ่สีแดงได้? นี่คือสิ่งที่เราขอจากพวกเจ้า ทั้งหมดที่เราต้องการคือให้พวกเจ้าสามารถไปถึงขั้นตอนนี้ได้ พวกเจ้าจะสามารถทำตามนี้ได้หรือไม่? เจ้ามีความเชื่อว่าเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลเรื่องนี้ได้หรือไม่? มนุษย์สามารถทำอะไรได้กันแน่? เราทำด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ? ทำไมเราถึงบอกว่าเราลงไปด้วยตัวเองในสถานที่ที่มีการเข้าร่วมการสู้รบ? สิ่งที่เราต้องประสงค์คือความเชื่อของพวกเจ้า ไม่ใช่ความประพฤติของพวกเจ้า มนุษย์ทุกคนไม่สามารถยอมรับวจนะของเราแบบตรงไปตรงมาได้ และกลับเพียงแค่เหลือบมองวจนะเหล่านั้นด้วยหางตาไปแทน การนี้ได้ช่วยให้เจ้าสัมฤทธิ์เป้าหมายของเจ้าแล้วหรือไม่? เจ้าได้มารู้จักเราด้วยวิธีนี้แล้วหรือไม่? ด้วยความสัตย์จริง ในบรรดามนุษย์บนแผ่นดินโลก ไม่มีแม้สักคนที่สามารถมองหน้าเราตรงๆ ได้ และไม่มีแม้สักคนที่สามารถรับความหมายที่บริสุทธิ์และไร้สิ่งปลอมปนของวจนะของเราได้ ดังนั้น เราจึงเริ่มดำเนินโครงการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนแผ่นดินโลก เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของเราและทำให้หัวใจของผู้คนมีภาพที่แท้จริงของเรา ด้วยวิธีนี้ เราจะนำยุคที่มโนคติที่หลงผิดมีอำนาจเหนือผู้คนไปถึงบทอวสาน
วันนี้ เราไม่เพียงกำลังลงมายังชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดงเท่านั้น แต่เรายังกำลังหันไปเผชิญหน้ากับทั่วทั้งจักรวาลอีกด้วย ทำให้สวรรค์ชั้นสูงสุดทั้งหมดทั้งมวลสั่นไหว มีสถานที่ใดสักแห่งไหมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การพิพากษาของเรา? มีสถานที่สักแห่งไหมที่ไม่ดำรงอยู่ภายใต้ความหายนะที่เรากระหน่ำลงไป? ทุกที่ที่เราไป เราได้กระจาย “เมล็ดพันธุ์แห่งความวิบัติ” ทุกประเภทไว้แล้ว นี่เป็นหนึ่งในวิธีทำงานของเรา และเป็นการกระทำเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่เราหยิบยื่นให้พวกเขายังคงเป็นความรักอย่างหนึ่ง เราปรารถนาที่จะอนุญาตให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นอีกทำความรู้จักเราและสามารถเห็นเรา และด้วยวิธีนี้ มาเคารพพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมานานหลายปีแล้ว แต่ผู้ซึ่ง ณ บัดนี้เป็นจริงแล้ว เราได้สร้างโลกด้วยเหตุผลอะไรหรือ? ทำไมหลังจากมนุษย์ได้กลายเป็นเสื่อมทราม เราจึงไม่ได้ทำลายล้างพวกเขาอย่างสิ้นเชิง? เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดใช้ชีวิตท่ามกลางความวิบัติด้วยเหตุผลอะไรเล่า? อะไรคือจุดประสงค์ของเราในการรับสภาพมนุษย์? เมื่อเรากำลังปฏิบัติงานของเรา มนุษย์ไม่เพียงเรียนรู้เฉพาะรสชาติของความขมขื่นเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้รสชาติของความหวานอีกด้วย จากผู้คนทั้งหมดในโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ภายในพระคุณของเรา? หากเราไม่ได้มอบพรด้านวัตถุให้กับมนุษย์แล้ว ใครเล่าในโลกจะสามารถชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ได้? เป็นไปได้หรือไม่ว่าการยอมให้พวกเจ้าเข้าประจำที่ของพวกเจ้าในฐานะคนของเราคือพร? หากเจ้าไม่ได้เป็นคนของเรา แต่กลับเป็นคนปรนนิบัติ พวกเจ้าจะไม่ดำรงอยู่ภายในพรของเราเช่นนั้นหรือ? ไม่มีแม้สักคนท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถหยั่งถึงต้นกำเนิดของวจนะของเราได้ มนุษยชาตินั้น—แทนที่จะหวงแหนความล้ำค่าของตำแหน่งที่เราได้มอบแก่พวกเขา พวกเขาหลายคนเหลือเกินกลับบ่มเพาะความขุ่นเคืองในหัวใจเพราะสมญานาม “คนปรนนิบัติ” และหลายคนเหลือเกินหล่อเลี้ยงความรักที่มีต่อเราในหัวใจของพวกเขาเพราะสมญานาม “ประชากรของเรา” ไม่ควรมีใครพยายามหลอกเรา ดวงตาของเรามองเห็นทุกอย่าง! ใครเล่าท่ามกลางพวกเจ้าที่รับด้วยความเต็มใจ ใครเล่าท่ามกลางพวกเจ้าที่ให้ความเชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์? หากการกล่าวทักทายราชอาณาจักรไม่ได้ดังขึ้น พวกเจ้าจะสามารถนบนอบอย่างแท้จริงจนถึงปลายทางหรือไม่? สิ่งที่มนุษย์สามารถทำและคิดได้ และพวกเขาสามารถไปได้ไกลแค่ไหน—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเราได้กำหนดพิจารณาไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 10
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 225
แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าการก่อสร้างราชอาณาจักรได้เริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ แต่การกล่าวทักทายราชอาณาจักรก็ยังไม่ดังขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงคำเผยพระวจนะของสิ่งที่จะมาถึงเท่านั้นในตอนนี้ เมื่อผู้คนทั้งปวงได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ และทุกชาติบนแผ่นดินโลกกลายเป็นราชอาณาจักรของพระคริสต์ เมื่อนั้นจึงจะถึงเวลาที่เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกระหึ่ม วันนี้คือก้าวย่างไปสู่ช่วงระยะนั้น พลังได้ถูกปลดปล่อยไปสู่วันนั้นแล้ว นี่คือแผนการของพระเจ้า และในอนาคตอันใกล้ แผนการนี้จะถูกทำให้เป็นจริง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งที่พระองค์ดำรัสไว้ไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่าชาติทั้งหลายบนแผ่นดินโลกเป็นเพียงปราสาททรายที่สั่นไหวเมื่อกระแสน้ำขึ้นเริ่มเข้ามาใกล้ กล่าวคือ วันสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้ว และพญานาคใหญ่สีแดงจะล้มคว่ำภายใต้พระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้แน่ใจว่าแผนการของพระองค์ดำเนินไปอย่างประสบผลสำเร็จ บรรดาทูตสวรรค์ได้ลงมาบนแผ่นดินโลก โดยทำอย่างเต็มที่เพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ได้เสด็จไปยังสนามรบเพื่อทำสงครามกับศัตรู ที่ใดก็ตามที่มีการทรงปรากฏในรูปมนุษย์เกิดขึ้นก็คือสถานที่ที่ศัตรูถูกทำลายจนสิ้นซาก ประเทศจีนจะเป็นชาติแรกที่ถูกทำลายล้าง โดยจะถูกทำให้ย่อยยับด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าจะไม่ทรงแสดงความปรานีอย่างเด็ดขาด ข้อพิสูจน์ของการล่มสลายลงเรื่อยๆ ของพญานาคใหญ่สีแดงสามารถมองเห็นได้ในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างต่อเนื่องของผู้คน การนี้เด่นชัดและมองเห็นได้สำหรับทุกคน การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผู้คนคือหมายสำคัญอย่างหนึ่งถึงอวสานของศัตรู นี่คือคำอธิบายส่วนหนึ่งถึงความหมายของคำว่า “แข่งขัน” ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงเตือนความจำผู้คนในหลายโอกาสให้ถวายคำพยานที่สวยงามแด่พระองค์เพื่อยกเลิกสถานภาพที่มโนคติอันหลงผิดในหัวใจของมนุษย์ยึดถืออยู่ มโนคติอันหลงผิดซึ่งเป็นความอัปลักษณ์ของพญานาคใหญ่สีแดง พระเจ้าทรงใช้การเตือนความจำดังกล่าวมาทำให้ความเชื่อของผู้คนมีชีวิตชีวาขึ้นมา และในการทำเช่นนั้น ทรงสัมฤทธิ์ผลสำเร็จในพระราชกิจของพระองค์ นี่เป็นเพราะพระเจ้าตรัสไว้ว่า “มนุษย์สามารถทำอะไรได้กันแน่? เราทำด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?” มนุษย์ทั้งปวงเป็นเยี่ยงนี้ พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถ แต่พวกเขายังท้อแท้และผิดหวังง่ายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถรู้จักพระเจ้า พระเจ้าไม่เพียงทรงฟื้นฟูความเชื่อของมนุษยชาติเท่านั้น พระองค์ยังทรงประสาทความแข็งแกร่งให้แก่ผู้คนอย่างลับๆ อยู่เป็นนิจอีกด้วย
ลำดับถัดไป พระเจ้าเริ่มตรัสกับทั้งจักรวาล พระเจ้าไม่เพียงเริ่มพระราชกิจใหม่ของพระองค์ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ทั่วทั้งจักรวาลด้วย พระองค์เริ่มทำพระราชกิจใหม่ของวันนี้แล้ว ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเปิดเผยกิจการทั้งปวงของพระองค์ไปทั่วโลก เพื่อที่มนุษย์ทั้งปวงผู้ทรยศพระองค์จะมานบนอบอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์อีกครั้ง การพิพากษาของพระเจ้าจะยังคงประกอบด้วยความกรุณาและความรักเมตตาของพระองค์ พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ปัจจุบันทั่วทั้งโลกมาเป็นโอกาสทำให้มนุษย์รู้สึกตื่นตระหนก ซึ่งกระตุ้นให้พวกเขาแสวงหาพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาอาจหลั่งไหลกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ดังนั้น พระเจ้าจึงตรัสว่า “นี่เป็นหนึ่งในวิธีทำงานของเรา และเป็นการกระทำเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่เราหยิบยื่นให้พวกเขายังคงเป็นความรักอย่างหนึ่ง”
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 10
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 226
เราใช้สิทธิอำนาจของเราบนแผ่นดินโลก โดยเผยงานทั้งหมดทั้งมวลของเราให้ปรากฏ ทั้งหมดที่อยู่ในงานของเราสะท้อนอยู่บนพื้นโลก มวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกไม่เคยสามารถจับความเข้าใจในความเคลื่อนไหวของเราในสวรรค์ อีกทั้งไม่เคยสามารถใคร่ครวญถึงวงโคจรและแนววิถีแห่งวิญญาณของเราได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน มนุษย์ส่วนมากจับความเข้าใจเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ภายนอกวิญญาณเท่านั้น ไม่สามารถจับใจความถึงสภาวะที่แท้จริงของวิญญาณ ข้อพึงประสงค์ที่เรากำหนดให้แก่มนุษยชาติไม่ได้มาจากตัวตนที่คลุมเครือของเราซึ่งอยู่ในสวรรค์ หรือจากตัวตนที่มิอาจประมาณได้ที่เราเป็นบนแผ่นดินโลก เราทำข้อพึงประสงค์ที่เหมาะสมโดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของมนุษย์บนแผ่นดินโลก เราไม่เคยทำให้ผู้ใดตกอยู่ในความลำบากยากเย็น อีกทั้งเราไม่เคยขอให้ใครต้อง “เค้นเลือดของเขาออกมา” เพื่อความยินดีของเรา—เป็นไปได้หรือที่ข้อพึงประสงค์ของเราจะจำกัดอยู่แต่ในภาวะเช่นนั้นเท่านั้น? ในบรรดาสิ่งสร้างนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินโลก สิ่งสร้างใดเล่าที่ไม่นบนอบต่อลำดับการจัดเตรียมวจนะในปากของเรา? สิ่งสร้างเหล่านี้เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเรา มีสิ่งใดที่ไม่ถูกวจนะของเราและกองไฟที่เผาไหม้ของเราเผาผลาญให้เป็นจุณไปจนหมดสิ้น? มีสิ่งใดในบรรดาสิ่งสร้างเหล่านี้ที่กล้า “เดินกร่าง” ด้วยความปราโมทย์อันเย่อหยิ่งต่อหน้าเรา? มีสิ่งใดในบรรดาสิ่งสร้างที่ไม่กราบไหว้เมื่ออยู่ตรงหน้าเรา? เราคือพระเจ้าที่เอาแต่บังคับให้สิ่งสร้างเงียบเสียงกระนั้นหรือ? เราเลือกสรรผู้ที่สนองเจตนารมณ์ของเราจากสิ่งต่างๆ มากมายเหลือคณานับในบรรดาสิ่งสร้าง เราเลือกสรรผู้ที่เอาใจใส่หัวใจของเราจากมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนในหมู่มวลมนุษย์ เราเลือกสรรดวงดาวที่ดีที่สุดในบรรดาดวงดาวทั้งปวง ด้วยผลจากการนั้นจึงได้เพิ่มแสงริบหรี่ของความสว่างให้กับราชอาณาจักรของเรา เราเดินไปบนแผ่นดินโลก กระจายสุคนธรสของเราไปทุกหนแห่ง และในทุกๆ แห่ง เราทิ้งรูปสัณฐานของเราไว้ข้างหลัง แต่ละแห่งกังวานก้องไปด้วยเสียงของเรา ผู้คนทุกแห่งอ้อยอิ่งอยู่กับทัศนียภาพอันงดงามของวันวาน ด้วยว่ามนุษยชาติทั้งมวลกำลังจดจำอดีต…
มนุษยชาติทั้งปวงถวิลหาที่จะได้เห็นใบหน้าของเรา แต่เมื่อเราลงมาบนแผ่นดินโลกด้วยตนเอง พวกเขาทั้งหมดไม่ชอบใจการมาถึงของเรา และพวกเขาขับไล่การมาถึงของความสว่าง ราวกับว่าเราคือศัตรูของมนุษย์ ศัตรูจากสวรรค์ มนุษย์ทักทายเราด้วยแสงแห่งการป้องกันตัวในดวงตาของเขา และยังคงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราอาจมีแผนการอื่นๆ สำหรับเขา เนื่องจากมนุษย์คำนึงถึงเราว่าเป็นเพื่อนที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคย พวกเขาจึงรู้สึกราวกับว่าเราเก็บงำเจตนาที่จะประหัตประหารพวกเขาอย่างไม่เลือกหน้าเอาไว้ ในสายตาของมนุษย์ เราคือปรปักษ์ที่มุ่งสังหาร แม้เมื่อได้ลิ้มรสความอบอุ่นของเราในท่ามกลางหายนะแล้วก็ตาม มนุษย์ก็ยังคงไม่ตระหนักรู้ความรักของเรา และยังคงแน่วแน่ที่จะปัดป้องเราและเยาะเย้ยท้าทายเรา แทนที่จะใช้ประโยชน์จากภาวะของเขาเพื่อกระทำการต่อต้านเขา เรากลับโอบกอดมนุษย์ไว้ในอ้อมกอดอันอบอุ่น ป้อนความหวานจนเต็มปากของเขา และเอาอาหารที่จำเป็นใส่ท้องของเขา แต่เมื่อความเดือดดาลอันเปี่ยมโกรธของเราโยกคลอนภูเขาและแม่น้ำทั้งหลาย เราจะไม่มอบการบรรเทาทุกข์ในรูปแบบต่างๆ เหล่านี้ให้แก่เขาอีกต่อไปเพราะความขี้ขลาดของมนุษย์ ในชั่วขณะเช่นนี้ เราจะโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้น ไม่ยอมให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงมีโอกาสกลับใจ และเมื่อทอดทิ้งความหวังทั้งหมดที่เรามีในตัวมนุษย์ เราย่อมจะมอบการลงทัณฑ์ที่เขาสมควรได้รับอย่างสาสมยิ่ง ในเวลาเช่นนี้ ฟ้าร้องและฟ้าแลบย่อมส่องแสงวาบและคำรามกึกก้อง ดุจคลื่นมหาสมุทรที่โหมกระหน่ำด้วยโทสะ ดังภูเขาหลายหมื่นลูกที่ถล่มทลายลงมา เนื่องแต่การเป็นกบฏของเขา มนุษย์จึงเสียชีวิตด้วยฟ้าร้องและฟ้าแลบ และสิ่งสร้างอื่นๆ ก็ถูกกวาดล้างด้วยแรงอัดของฟ้าร้องและฟ้าแลบ และทั้งจักรวาลก็พลันตกอยู่ในความอลหม่าน และสิ่งสร้างก็ไม่สามารถฟื้นลมหายใจดั้งเดิมของชีวิตได้ ชุมนุมชนมากมายเหลือคณานับของมนุษยชาติไม่สามารถหลีกหนีเสียงคำรามกึกก้องของฟ้าร้องได้ ในท่ามกลางแสงวาบของฟ้าแลบ มนุษย์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าย่อมล้มคว่ำลงสู่กระแสน้ำที่ไหลเร็วรี่ เพื่อถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่หลากลงมาจากภูเขาพัดพาไป ทันใดนั้นเอง โลกของ “ปวงมนุษย์” ก็บรรจบกันในสถานที่แห่ง “บั้นปลาย” ของมนุษย์ ซากศพทั้งหลายลอยล่องไปมาทั่วผิวมหาสมุทร มนุษยชาติทั้งปวงไปไกลห่างจากเราเพราะความโกรธของเรา ด้วยว่ามนุษย์ได้กระทำบาปต่อแก่นแท้แห่งวิญญาณของเรา และการกบฏของเขาล่วงเกินเรา แต่ในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่มีน้ำ มนุษย์คนอื่นยังคงชื่นชมคำสัญญาที่เราได้มอบให้แก่พวกเขาท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงเพลง
เมื่อผู้คนทั้งปวงเงียบเสียง เราก็ฉายประกายแห่งความสว่างออกมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา ครั้นแล้ว มนุษย์จึงกลายเป็นมีความรู้สึกนึกคิดที่ชัดเจนและมีดวงตาอันสดใส ไม่เต็มใจที่จะนิ่งเงียบอยู่เรื่อยอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกฝ่ายวิญญาณจึงได้รับการรำลึกถึงในหัวใจของพวกเขาทันที ขณะที่การนี้เกิดขึ้น มนุษยชาติทั้งปวงได้รับการฟื้นคืนชีพ เมื่อละวางความคับข้องใจที่ไม่ได้กล่าวออกมาของพวกเขา มนุษย์ทั้งปวงก็มาตรงหน้าเรา โดยได้รับโอกาสรอดชีวิตอีกครั้งผ่านทางวจนะที่เรากล่าวประกาศ นี่เป็นเพราะมนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่บนพื้นโลก กระนั้น ผู้ใดในหมู่พวกเขาเคยมีเจตนาที่จะดำรงชีวิตเพื่อเรา? ผู้ใดท่ามกลางพวกเขาเคยเปิดเผยสิ่งต่างๆ ที่แสนวิเศษในตัวเขาซึ่งเขามอบอุทิศเพื่อความชื่นชมยินดีของเรา? ผู้ใดท่ามกลางพวกเขาเคยได้กลิ่นหอมยวนใจของเรา? มนุษย์ทั้งปวงคือของหยาบที่ขาดการขัดเกลา กล่าวคือ ภายนอกพวกเขาดูเป็นประกายจนทำให้ดวงตาพร่าพราย แต่แก่นแท้ของพวกเขาไม่ใช่การรักเราอย่างจริงใจ ทั้งนี้เพราะในซอกหลืบลึกลงไปในหัวใจของมนุษย์ ไม่เคยมีองค์ประกอบอันใดของเราเลย มนุษย์ขาดพร่องเกินไป กล่าวคือ การเปรียบเทียบเขากับเราดูเหมือนจะเผยให้เห็นช่องว่างซึ่งกว้างใหญ่พอๆ กับพื้นที่ว่างระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลก แม้จะเป็นเช่นนั้น เราก็ไม่บดขยี้จุดเปราะบางและอ่อนแอของมนุษย์ อีกทั้งเราก็ไม่เยาะเย้ยเขาเพราะความขาดตกบกพร่องทั้งหลายของเขา มือทั้งสองของเราทำงานบนแผ่นดินโลกมานับเป็นพันๆ ปี และตลอดเวลาทั้งหมดนี้ สายตาของเราคอยสอดส่องดูแลมนุษยชาติทั้งปวง กระนั้นเราก็ไม่เคยเอาชีวิตมนุษย์สักชีวิตเดียวมาเล่นด้วยเพลินๆ ราวกับว่าเป็นของเล่น เราเฝ้าสังเกตความเจ็บปวดของมนุษย์และเข้าใจราคาที่เขาได้จ่าย ขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้าเรา เราไม่ปรารถนาที่จะทำให้มนุษย์แปลกใจเพื่อจะตีสอนเขา อีกทั้งเราไม่ปรารถนาที่จะมอบสิ่งที่ไม่พึงประสงค์แก่เขาด้วยเช่นกัน แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ตลอดเวลามานี้เรามีแต่จัดเตรียมให้แก่มนุษย์และมอบให้เขาเท่านั้น ดังนั้น ทั้งหมดที่มนุษย์ชื่นชมก็คือพระคุณของเรา คือความไพบูลย์ทั้งมวลที่มาจากมือของเรา เนื่องจากเราอยู่บนแผ่นดินโลก มนุษย์จึงไม่เคยต้องทนทุกข์กับความทรมานจากความหิวโหย ตรงกันข้าม เราเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับสิ่งต่างๆ ในมือของเราที่เขาอาจชื่นชม และเรายอมให้มวลมนุษย์มีชีวิตอยู่ภายในพรของเรา มวลมนุษย์ทั้งปวงไม่ได้มีชีวิตอยู่ภายใต้การตีสอนของเราหรอกหรือ? เช่นเดียวกับที่มีความอุดมสมบูรณ์ในส่วนลึกของภูเขา และมีความบริบูรณ์พูนผลของสิ่งต่างๆ ให้ชื่นชมในห้วงน้ำทั้งหลาย ผู้คนที่ใช้ชีวิตภายในวจนะของเราในวันนี้ไม่มีอาหารให้ได้ซึ้งคุณค่าและลิ้มรสมากขึ้นไปอีกหรอกหรือ? เราอยู่บนแผ่นดินโลก และมวลมนุษย์ชื่นชมพรของเราบนแผ่นดินโลก เมื่อเราทิ้งแผ่นดินโลกไว้เบื้องหลัง ซึ่งจะเป็นเวลาที่งานของเราเสร็จสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน มวลมนุษย์จะไม่ได้รับการโอนอ่อนผ่อนตามจากเราเพราะความอ่อนแอของพวกเขาอีกต่อไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 17
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 227
พวกเจ้าเกลียดชังพญานาคใหญ่สีแดงอย่างแท้จริงหรือไม่? พวกเจ้าเกลียดชังมันอย่างจริงใจโดยแท้หรือไม่? เหตุใดเราจึงถามพวกเจ้าหลายครั้งเหลือเกิน? เหตุใดเราจึงถามคำถามนี้กับพวกเจ้าต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า? มีภาพลักษณ์เช่นไรของพญานาคใหญ่สีแดงในหัวใจของพวกเจ้าหรือ? มันถูกลบออกไปแล้วจริงหรือ? แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้คำนึงถึงมันว่าเป็นบิดาของพวกเจ้าหรอกหรือ? ผู้คนทั้งปวงควรล่วงรู้เจตนารมณ์ในคำถามทั้งหลายของเรา เจตนารมณ์ของเราไม่ใช่เพื่อยั่วยุความโกรธของผู้คน และไม่ใช่เพื่อยุยงให้เกิดการกบฏท่ามกลางมนุษย์ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อที่มนุษย์อาจพบเจอทางออกของเขาเอง แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งปวงปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการของพญานาคใหญ่สีแดง กระนั้นก็ไม่ควรมีผู้ใดร้อนใจ ทั้งหมดจะสำเร็จลุล่วงโดยวจนะของเรา ไม่มีมนุษย์คนใดอาจมีส่วนร่วม และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำงานที่เราจะดำเนินการ เราจะทำให้อากาศของแผ่นดินทั้งมวลใสสะอาดและกำจัดร่องรอยทั้งหมดของพวกปีศาจบนแผ่นดินโลก เราได้เริ่มต้นแล้ว และเราจะตั้งต้นทำขั้นตอนแรกแห่งงานตีสอนของเราในที่อาศัยของพญานาคใหญ่สีแดง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าการตีสอนของเราได้บังเกิดแก่ทั้งจักรวาล และเห็นได้ว่าพญานาคใหญ่สีแดงและวิญญาณที่มีมลทินทุกประเภทจะไม่มีพลังอำนาจที่จะหลีกหนีการตีสอนของเรา เพราะเราเฝ้ามองดินแดนทั้งปวง เมื่องานของเราบนแผ่นดินโลกเสร็จสมบูรณ์ นั่นคือเมื่อยุคแห่งการพิพากษามาถึงบทอวสาน เราจะตีสอนพญานาคใหญ่สีแดงอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าประชากรของเราจะมองเห็นเราตีสอนพญานาคใหญ่สีแดงด้วยความชอบธรรม แน่นอนว่าพวกเขาจะพากันแซ่ซ้องสรรเสริญเพราะความชอบธรรมของเรา และแน่นอนว่าจะเชิดชูนามอันบริสุทธิ์ของเราไปตลอดกาลเพราะความชอบธรรมของเรา ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างเป็นทางการ และจะสรรเสริญเราอย่างเป็นทางการทั่วแผ่นดินทั้งหลาย ตลอดกาลนาน!
เมื่อยุคแห่งการพิพากษาไปถึงจุดสูงสุดของยุค เราจะไม่เร่งสรุปปิดงานของเรา แต่จะเอาหลักฐานของยุคแห่งการตีสอนมาผสมกลมกลืนกับยุคแห่งการพิพากษาด้วย และเปิดโอกาสให้ประชากรของเราทั้งหมดมองเห็นหลักฐานนี้ ในการนี้ย่อมจะเกิดดอกผลมากขึ้น หลักฐานนี้เป็นวิถีทางที่เราใช้ตีสอนพญานาคใหญ่สีแดง และเราจะทำให้ประชากรของเราเห็นมันด้วยตาของพวกเขาเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักอุปนิสัยของเรามากขึ้น เวลาที่ประชากรของเราชื่นชมเราคือเวลาที่พญานาคใหญ่สีแดงถูกตีสอน การทำให้ผู้คนของพญานาคใหญ่สีแดงลุกฮือและก่อกบฏต่อมันคือแผนการของเรา และนี่คือวิธีการที่เราใช้เพื่อทำให้ประชากรของเรามีความเพียบพร้อม และเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ประชากรทั้งปวงของเราจะเติบโตขึ้นในชีวิต
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 28
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 228
เมื่อดวงจันทร์อันสุกสกาวลอยเด่น คืนมืดอันสงบเงียบย่อมสลายไปโดยพลัน แม้ดวงจันทร์จะเว้าแหว่ง แต่มนุษย์ก็ร่าเริงดี และนั่งอย่างเปี่ยมสันติสุขใต้แสงจันทร์ ชมดูทัศนียภาพอันสวยงามพร้อมแสงจันทร์ มนุษย์ไม่สามารถพรรณนาอารมณ์ของเขาได้ เป็นราวกับว่าเขาปรารถนาที่จะเคลื่อนย้ายความคิดทั้งหลายของเขากลับไปสู่อดีต ราวกับว่าเขาปรารถนาที่จะมองไปข้างหน้ายังอนาคต ราวกับว่าเขากำลังชื่นชมปัจจุบัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และท่ามกลางอากาศที่น่าสบายก็มีกลิ่นอันสดชื่นแทรกซึมอยู่ ขณะที่สายลมอ่อนเริ่มพัดโชย มนุษย์ก็ได้กลิ่นสุคนธรสอันหอมหวน และดูเหมือนว่ากลิ่นหอมนั้นจะทำให้เขามึนเมา ไม่สามารถปลุกเร้าตัวเขาเองได้ นี่เองคือเวลาที่เราได้มาท่ามกลางมนุษย์ด้วยตัวเราเอง และมนุษย์มีสำนึกรับรู้เพิ่มขึ้นในกลิ่นหอมอันเข้มข้นนั้น และด้วยเหตุนั้น มนุษย์ทั้งปวงจึงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสุคนธรสนี้ เรามีสันติสุขกับมนุษย์ มนุษย์มีชีวิตในความปรองดองกับเรา เขาไม่เบี่ยงเบนในความคำนึงที่เขามีถึงเราอีกต่อไป เราไม่ตัดแต่งความขาดตกบกพร่องของมนุษย์อีกต่อไป ไม่มีสีหน้าเป็นทุกข์บนใบหน้าของมนุษย์อีกต่อไป และความตายก็ไม่คุกคามมวลมนุษย์ทั้งปวงอีกต่อไป วันนี้เราก้าวหน้าไปพร้อมกับมนุษย์สู่ยุคแห่งการตีสอน ไปข้างหน้าเคียงข้างกันกับเขา เรากำลังทำงานของเรา กล่าวคือ เราหวดคทาของเราลงไปท่ามกลางมนุษย์และมันฟาดลงบนสิ่งที่เป็นกบฏในตัวมนุษย์ ในสายตาของมนุษย์ คทาของเราดูเหมือนจะมีพลังอำนาจพิเศษ กล่าวคือ มันเข้าตีพวกที่เป็นศัตรูของเราทั้งหมดและไม่ละเว้นพวกเขาโดยง่าย ท่ามกลางพวกที่ต่อต้านเราทั้งหมดคทาทำหน้าที่ที่มีมาแต่กำเนิดของมัน บรรดาผู้ที่อยู่ในมือของเราทั้งปวงย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเรา และพวกเขาไม่เคยเยาะเย้ยท้าทายความปรารถนาของเราหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของพวกเขา ผลก็คือ ห้วงน้ำจะคำราม ภูเขาจะพังทลาย แม่น้ำใหญ่จะแยกสลาย มนุษย์จะยิ่งโน้มเอียงเข้าหาการเปลี่ยนแปลง ดวงอาทิตย์จะสลัว ดวงจันทร์จะมืดมัว มนุษย์จะไม่มีวันเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่ในสันติสุขอีกต่อไป จะไม่มีช่วงเวลาแห่งความสงบเงียบบนผืนแผ่นดินอีกต่อไป ฟ้าสวรรค์จะไม่มีวันสงบและนิ่งเงียบอีกแล้ว และจะไม่สู้ทนอีกต่อไป ทุกสรรพสิ่งจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่และจะฟื้นฟูรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตน ครอบครัวทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะถูกแยกจากกัน และประชาชาติทั้งมวลบนแผ่นดินโลกจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ วันเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอีกครั้งระหว่างสามีกับภรรยาจะหมดไป มารดาและบุตรจะไม่ได้พบกันอีกต่อไป บิดาและบุตรีจะไม่มีวันบรรจบพบกันอีก ทั้งหมดที่เคยมีบนแผ่นดินโลกจะถูกเราทุบทำลาย เราไม่ให้โอกาสผู้คนปลดปล่อยอารมณ์ของพวกเขา เพราะเราปราศจากอารมณ์และรู้สึกรังเกียจอารมณ์ของผู้คนในระดับที่ถึงขีดสุด เป็นเพราะอารมณ์ระหว่างผู้คน เราจึงถูกโยนทิ้งไว้ข้างหนึ่ง และด้วยเหตุนี้เราจึงกลายเป็น “คนอื่น” ในสายตาของพวกเขา เป็นเพราะอารมณ์ระหว่างผู้คน เราจึงถูกลืม เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงฉวยโอกาสหยิบ “มโนธรรม” ของเขามาใช้ เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงเหนื่อยล้ากับการตีสอนของเราเสมอ เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงบอกว่าเราใจร้ายและไม่ยุติธรรม และพูดว่าเราไม่ใส่ใจความรู้สึกของมนุษย์เวลาเราจัดการสิ่งต่างๆ เรามีญาติพี่น้องบนแผ่นดินโลกด้วยหรือ? ผู้ใดเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนเรา โดยไม่คิดถึงอาหารหรือการหลับนอน เพื่อประโยชน์แห่งแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของเรา? มนุษย์จะสามารถเทียบเคียงกับพระเจ้าได้อย่างไร? มนุษย์จะเข้ากันกับพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าผู้ทรงสร้างจะเป็นประเภทเดียวกันกับมนุษย์ผู้ถูกสร้างได้อย่างไร? เราจะมีชีวิตและกระทำการร่วมกับมนุษย์บนแผ่นดินโลกเสมอไปได้อย่างไร? ผู้ใดสามารถรู้สึกกังวลสนใจในหัวใจของเรา? ใช่คำอธิษฐานของมนุษย์หรือ? ครั้งหนึ่งเราเคยตกลงที่จะร่วมทางกับมนุษย์และเดินไปด้วยกันกับเขา—และใช่ จวบจนวันนี้มนุษย์มีชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลและการอารักขาของเรา แต่จะมีสักวันหนึ่งหรือไม่ที่มนุษย์มีวันสามารถแยกตัวเขาเองออกจากการดูแลของเรา? แม้ว่ามนุษย์ไม่เคยมีความกังวลสนใจในหัวใจของเรา แต่ผู้ใดจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในแผ่นดินที่ไร้ความสว่างได้? เป็นเพียงเพราะพรของเราเท่านั้นที่มนุษย์มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 28
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 229
ประเทศทั้งหลายตกอยู่ในความวุ่นวายอันใหญ่หลวง เพราะคทาของพระเจ้าเริ่มเล่นบทบาทของมันบนแผ่นดินโลกแล้ว ในสภาวะของแผ่นดินโลกนั้นสามารถมองเห็นพระราชกิจของพระเจ้าได้ เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “ห้วงน้ำจะคำราม ภูเขาจะพังทลาย แม่น้ำใหญ่จะแยกสลาย” นี่คืองานแรกเริ่มของคทาบนแผ่นดินโลก พร้อมกับผลลัพธ์ที่ว่า “ครอบครัวทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะถูกแยกจากกัน และประชาชาติทั้งมวลบนแผ่นดินโลกจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ วันเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอีกครั้งระหว่างสามีกับภรรยาจะหมดไป มารดาและบุตรจะไม่ได้พบกันอีกต่อไป บิดาและบุตรีจะไม่มีวันบรรจบพบกันอีก ทั้งหมดที่เคยมีบนแผ่นดินโลกจะถูกเราทุบทำลาย” สภาวะทั่วไปของครอบครัวทั้งหลายบนแผ่นดินโลกจะเป็นเช่นนี้ โดยธรรมชาติแล้ว การนี้ย่อมไม่สามารถเป็นสภาวะของพวกเขาทุกคน แต่เป็นสภาวะของพวกเขาส่วนใหญ่ ในด้านหนึ่ง การนี้กำลังอ้างอิงถึงรูปการณ์แวดล้อมที่ผู้คนของกระแสนี้จะมีประสบการณ์ด้วยในอนาคต เป็นการบอกล่วงหน้าว่า เมื่อพวกเขาก้าวผ่านการตีสอนแห่งพระวจนะและผู้ไม่เชื่อตกอยู่ภายใต้มหันตภัยแล้ว จะไม่มีความสัมพันธ์ฉันครอบครัวท่ามกลางผู้คนบนแผ่นดินโลกอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดจะเป็นประชากรแห่งซีนิม และทุกคนจะสัตย์ซื่อในราชอาณาจักรของพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น วันเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอีกครั้งระหว่างสามีกับภรรยาจะหมดไป มารดาและบุตรจะไม่ได้พบกันอีกต่อไป บิดาและบุตรีจะไม่มีวันบรรจบพบกันอีก และดังนั้นครอบครัวของผู้คนบนแผ่นดินโลกจะบ้านแตกสาแหรกขาด ฉีกเป็นชิ้นๆ และนี่จะเป็นพระราชกิจสุดท้ายที่พระเจ้าทรงทำในตัวมนุษย์ และเนื่องจากพระเจ้าจะทรงเผยแผ่พระราชกิจนี้ไปทั่วจักรวาล พระองค์จึงทรงใช้โอกาสนี้อธิบายให้ผู้คนเข้าใจคำว่า “อารมณ์” อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้จึงเปิดโอกาสให้พวกเขามองเห็นว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าคือการฉีกแยกครอบครัวของผู้คนทั้งปวง และแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใช้การตีสอนมาแก้ปัญหา “ความขัดแย้งในครอบครัว” ทั้งหมดในหมู่มวลมนุษย์ ไม่เช่นนั้นแล้ว คงจะไม่มีหนทางทำให้พระราชกิจส่วนสุดท้ายของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกปิดตัวลง ส่วนสุดท้ายแห่งพระวจนะของพระเจ้าตีแผ่ความอ่อนแออันร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษย์—พวกเขาทั้งหมดมีชีวิตอยู่ในอารมณ์—และดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงหลีกเลี่ยงพวกเขาสักคนเดียว และทรงเปิดโปงความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของมวลมนุษย์ทั้งปวง เหตุใดผู้คนจึงแยกตัวเองออกจากอารมณ์ได้ยาก? การทำเช่นนั้นข้ามเส้นมาตรฐานทั้งหลายแห่งมโนธรรมหรือ? มโนธรรมสามารถทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงได้หรือ? อารมณ์สามารถช่วยให้ผู้คนผ่านความทุกข์ยากได้หรือ? ในสายพระเนตรของพระเจ้า อารมณ์คือศัตรูของพระองค์—การนี้ไม่ได้แถลงไว้อย่างชัดเจนในพระวจนะของพระเจ้าหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 28
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 230
พระวจนะทั้งมวลของพระเจ้าบรรจุพระอุปนิสัยส่วนหนึ่งของพระองค์เอาไว้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่สามารถแสดงออกอย่างครบถ้วนในพระวจนะได้ ซึ่งก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าในพระองค์นั้นมีความมั่งคั่งอยู่มากเพียงใด จะว่าไปแล้ว สิ่งที่ผู้คนมองเห็นและสัมผัสได้นั้นมีจำกัดเช่นเดียวกับความสามารถของผู้คน ถึงแม้ว่าพระวจนะของพระเจ้ามีความชัดเจน แต่ผู้คนก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างครบถ้วน จงดูพระวจนะเหล่านี้เป็นตัวอย่าง ความว่า “ในแสงสว่างวาบของฟ้าแลบ รูปร่างอันแท้จริงของสัตว์ทุกตัวถูกเปิดเผย ดังนั้น เมื่อได้รับความกระจ่างจากความสว่างของเรา มนุษย์จึงได้รับความสะอาดบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองคืนมา โอ โลกเก่าอันเสื่อมทราม! ในที่สุด มันก็ล้มคว่ำลงไปในน้ำโสโครก และเมื่อจมลงไปใต้ผิวน้ำก็ละลายเป็นโคลนตม!” พระวจนะทั้งมวลของพระเจ้าบรรจุความเป็นพระองค์เองเอาไว้ และแม้ว่าทุกผู้คนจะตระหนักรู้พระวจนะเหล่านี้ แต่ไม่เคยมีใครรู้ความหมายของพระวจนะเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า ทุกคนที่ต้านทานพระองค์ล้วนเป็นศัตรูของพระองค์ นั่นคือ พวกที่เป็นของวิญญาณชั่วก็คือสัตว์นั่นเอง จากการนี้ คนเราสามารถเฝ้าสังเกตสภาวะที่แท้จริงของคริสตจักรได้ มนุษย์ทั้งปวงได้รับความกระจ่างจากพระวจนะของพระเจ้า และในความสว่างนี้ พวกเขาตรวจสอบตนเองโดยมิได้อยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนหรือการตีสอนหรือการบอกเลิกจ้างโดยตรงของผู้อื่น โดยมิได้อยู่ภายใต้วิธีทำสิ่งทั้งหลายแบบอื่นของมนุษย์ และโดยไม่ได้มีผู้อื่นมาชี้ให้เห็นสิ่งทั้งหลาย จาก “มุมมองแบบจุลทรรศน์” พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนมากว่าแท้จริงแล้วมีอาการป่วยอยู่มากเพียงใดภายในตัวพวกเขา ในพระวจนะของพระเจ้านั้น วิญญาณทุกประเภทถูกจำแนกและถูกเปิดเผยในรูปสัณฐานดั้งเดิมของตน พวกที่มีวิญญาณของทูตสวรรค์ทั้งหลายมีความกระจ่างและความรู้แจ้งมากขึ้น ดังนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงกล่าวถึง “การได้รับความสะอาดบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยครอบครองคืนมา” พระวจนะเหล่านี้กล่าวตามผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายที่พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์ แน่นอนว่าสำหรับชั่วขณะนี้ ผลลัพธ์นี้ยังไม่อาจสัมฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่—เป็นเพียงการชิมลางที่จะทำให้สามารถมองเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้าได้เท่านั้น พระวจนะเหล่านี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากจะแหลกสลายภายในพระวจนะของพระเจ้า และจะถูกทำให้พ่ายแพ้ในกระบวนการชำระผู้คนทั้งปวงให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ในที่นี้ คำว่า “ละลายเป็นโคลนตม” ไม่ได้ขัดแย้งกับการที่พระเจ้ากำลังทรงทำลายโลกด้วยไฟ และ “ฟ้าแลบ” อ้างอิงถึงพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าระบายพระพิโรธอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ออกมา ผลก็คือทั้งโลกจะมีประสบการณ์กับความวิบัติทุกจำพวก เช่น ภูเขาไฟระเบิด เมื่อยืนสูงขึ้นไปในท้องฟ้า ย่อมจะสามารถมองเห็นว่าบนแผ่นดินโลกนั้น ความหายนะทุกรูปแบบเข้าใกล้มวลมนุษย์ทั้งปวงมากขึ้นทุกวัน เมื่อมองลงมาจากที่สูง แผ่นดินโลกแสดงให้เห็นฉากเหตุการณ์อันหลากหลาย เช่น ฉากเหตุการณ์ที่เกิดนำหน้าแผ่นดินไหว ไฟเหลวพวยพุ่งโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ลาวาไหลอย่างอิสระ ภูเขาทั้งหลายขยับย้าย และแสงเย็นส่องระยิบระยับเหนือทุกสิ่ง ทั่วทั้งโลกจมอยู่ในเปลวเพลิง นี่คือฉากเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ และเป็นเวลาแห่งการพิพากษาของพระองค์ บรรดาผู้ที่มีเลือดและเนื้อหนังทั้งปวงจะไม่สามารถหลีกหนีไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้สงครามระหว่างประเทศและความขัดแย้งระหว่างผู้คนมาทำลายทั้งโลก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น โลกกลับจะ “สุขสำราญกับตัวมันเองอย่างมีสติรู้ตัว” ภายในเปลแห่งการตีสอนของพระเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีได้ ทุกคนต่างต้องผ่านความทุกข์ยากสาหัสนี้ไปทีละคน หลังจากนั้น ทั่วทั้งจักรวาลจะส่งประกายสว่างไสวอันพิสุทธิ์อีกครั้ง และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง และพระเจ้าจะทรงหยุดพักเหนือจักรวาล และในแต่ละวันจะทรงอวยพรมวลมนุษย์ทั้งปวง สวรรค์จะไม่อ้างว้างเหลือทน แต่จะฟื้นคืนพลังชีวิตที่ไม่เคยมีนับตั้งแต่การทรงสร้างโลก และการมาของ “วันที่หก” จะเป็นเวลาที่พระเจ้าเริ่มต้นพระชนม์ชีพใหม่ ทั้งพระเจ้าและมวลมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพัก และจักรวาลจะไม่ขุ่นมัวหรือโสมมอีกต่อไป แต่จะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ นี่คือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินโลกไม่หยุดนิ่งและเงียบสงัดเป็นตายอีกต่อไป สวรรค์ไม่อ้างว้างและเศร้าโศกอีกต่อไป” ในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่เคยมีความไม่ชอบธรรมหรือภาวะอารมณ์แบบมนุษย์ หรืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดๆ ของมวลมนุษย์ เพราะการก่อความไม่สงบของซาตานไม่มีอยู่ที่นั่น “ประชากร” ทั้งหมดล้วนสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และชีวิตในสวรรค์คือชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นบานยินดี บรรดาผู้ที่อยู่ในสวรรค์ล้วนมีพระปัญญาและศักดิ์ศรีของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 18
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน บทตัดตอน 231
อาจกล่าวได้ว่าถ้อยดำรัสทั้งมวลของวันนี้เผยวจนะถึงเรื่องอนาคต ถ้อยดำรัสเหล่านี้คือวิธีที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการพระราชกิจขั้นตอนถัดไปของพระองค์ พระเจ้าเกือบจะแล้วเสร็จพระราชกิจของพระองค์ในผู้คนแห่งคริสตจักร และหลังจากนั้นพระองค์ก็จะทรงปรากฏต่อหน้าผู้คนทั้งหมดด้วยความเดือดดาล ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เราจะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกยอมรับรู้การกระทำของเรา และกิจการของเราจะได้รับการพิสูจน์เบื้องหน้า ‘บัลลังก์พิพากษา’ เพื่อที่กิจการเหล่านั้นอาจเป็นที่รับรู้ท่ามกลางผู้คนทั่วแผ่นดินโลก ซึ่งทุกคนย่อมจะยอมจำนน” เจ้ามองเห็นบางสิ่งในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่? ในนี้คือบทสรุปพระราชกิจส่วนถัดไปของพระเจ้า ก่อนอื่นพระเจ้าจะทรงทำให้สุนัขเฝ้ายามทั้งหมดที่กุมอำนาจทางการเมืองนั้นปักใจเชื่ออย่างจริงใจ และพระองค์จะทรงทำให้พวกมันก้าวถอยลงจากเวทีแห่งประวัติศาสตร์ด้วยความสมัครใจของพวกมันเอง ไม่มีวันต่อสู้เพื่อสถานะอีก และไม่มีวันมีส่วนร่วมในกลอุบายและแผนร้ายอีก พระราชกิจนี้ต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยผ่านทางพระเจ้า ด้วยการยกระดับความวิบัตินานาบนแผ่นดินโลก แต่ไม่ใช่กรณีที่ว่าพระเจ้าจะปรากฏพระองค์แต่อย่างใด ณ เวลานี้ ประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงจะยังคงเป็นแผ่นดินแห่งความโสมม และดังนั้นพระเจ้าจึงจะไม่ปรากฏพระองค์ แต่เพียงจะทรงออกมาในรูปของการตีสอนเท่านั้น เช่นนั้นคือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีได้ ในระหว่างเวลานี้ พวกที่อาศัยอยู่ในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงทั้งหมดจะทนทุกข์กับหายนะ ซึ่งย่อมรวมเอาราชอาณาจักรบนแผ่นดินโลก (คริสตจักร) ไว้ด้วยเป็นธรรมดา แน่นอนว่านี่คือเวลาที่ข้อเท็จจริงจะปรากฏออกมา และดังนั้นผู้คนทั้งหมดย่อมผ่านประสบการณ์กับช่วงเวลานี้ และไม่มีผู้ใดสามารถหลีกหนีได้ พระเจ้าได้ทรงลิขิตการนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว แน่นอนว่าเป็นเพราะพระราชกิจขั้นตอนนี้นี่เองที่พระเจ้าตรัสว่า “บัดนี้เป็นเวลาที่จะดำเนินแผนการอันยิ่งใหญ่ให้เสร็จสิ้น” เนื่องจากในอนาคตจะไม่มีคริสตจักรบนแผ่นดินโลก และเพราะการมาถึงของมหันตภัย ผู้คนจึงสามารถคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเท่านั้น และจะเพิกเฉยต่อสิ่งอื่นทุกสิ่ง และจะเป็นการลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะชื่นชมพระเจ้าท่ามกลางมหันตภัย ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงได้รับการขอให้รักพระเจ้าด้วยหัวใจทั้งดวงของพวกเขาในระหว่างเวลาที่น่าอัศจรรย์นี้ เพื่อให้พวกเขาไม่พลาดโอกาส เมื่อข้อเท็จจริงนี้ผ่านพ้น พระเจ้าก็จะทรงทำให้พญานาคใหญ่สีแดงพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงไปแล้ว และด้วยเหตุนั้นงานแห่งคำพยานของประชากรของพระเจ้าก็จะมาถึงบทอวสาน หลังจากนั้น พระเจ้าจะทรงตั้งต้นพระราชกิจขั้นตอนถัดไป โดยทำลายประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง และตอกตรึงผู้คนทั่วทั้งจักรวาลแบบห้อยหัวลงบนกางเขนในท้ายที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์จะทรงทำลายล้างมวลมนุษย์ทั้งปวง—เหล่านี้คือขั้นตอนในอนาคตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น พวกเจ้าควรพยายามอย่างสุดความสามารถของพวกเจ้าที่จะรักพระเจ้าในสภาพแวดล้อมที่เปี่ยมสันติสุขนี้ ในอนาคตเจ้าจะไม่มีโอกาสที่จะรักพระเจ้าอีกแล้ว เพราะผู้คนมีโอกาสที่จะรักพระเจ้าเฉพาะในเนื้อหนังเท่านั้น เมื่อพวกเขาดำรงชีวิตในอีกโลกหนึ่ง จะไม่มีผู้ใดพูดถึงการรักพระเจ้า นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรอกหรือ? และดังนั้นพวกเจ้าควรรักพระเจ้าอย่างไรในระหว่างวันเวลาแห่งชีวิตของพวกเจ้า? เจ้าเคยนึกถึงการนี้หรือไม่? เจ้ากำลังรอคอยจวบจนหลังจากที่เจ้าตายจึงจะรักพระเจ้ากระนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่การพูดที่ว่างเปล่าหรอกหรือ? ในวันนี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าเล่า? การรักพระเจ้าขณะที่ยังคงมีธุระยุ่งนั้นสามารถเป็นความรักพระเจ้าอันแท้จริงได้หรือ? สาเหตุที่มีการพูดว่าพระราชกิจขั้นตอนนี้ของพระเจ้าจะมาถึงบทอวสานในไม่ช้าเป็นเพราะพระเจ้าทรงมีคำพยานต่อหน้าซาตานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นให้มนุษย์ต้องทำสิ่งใด มนุษย์เพียงถูกขอให้ไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าในช่วงเวลาหลายปีที่เขามีชีวิตอยู่เท่านั้น—นี่คือกุญแจ เนื่องจากข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้สูงส่ง และยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากมีความวิตกกังวลที่เผาไหม้อยู่ในพระทัยของพระองค์ พระองค์จึงทรงเปิดเผยบทสรุปของพระราชกิจขั้นตอนถัดไปก่อนที่พระราชกิจขั้นตอนนี้จะแล้วเสร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีเวลาอยู่เท่าใด หากพระเจ้าไม่กระวนกระวายพระทัย พระองค์จะตรัสพระวจนะเหล่านี้แต่เนิ่นๆ เช่นนี้หรือ? เป็นเพราะมีเวลาน้อย พระเจ้าจึงทรงพระราชกิจในหนทางนี้ เป็นที่หวังกันว่าพวกเจ้าจะสามารถรักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจของพวกเจ้า อย่างสุดจิตใจของพวกเจ้า และด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกเจ้าทะนุถนอมชีวิตของพวกเจ้าเอง นี่ไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ? เจ้าจะสามารถพบเจอความหมายของชีวิตได้จากที่อื่นใดอีก? เจ้าไม่ได้กำลังมืดบอดเหลือเกินอยู่หรอกหรือ? เจ้าเต็มใจที่จะรักพระเจ้าหรือไม่? พระเจ้าทรงควรค่าแก่ความรักของมนุษย์หรือไม่? ผู้คนควรค่าแก่การรักใคร่บูชาของมนุษย์หรือไม่? ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำสิ่งใด? จงรักพระเจ้าอย่างกล้าหาญ โดยไม่มีเงื่อนไข และมองให้เห็นว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใดกับเจ้า จงมองดูว่าพระองค์จะทรงสังหารเจ้าหรือไม่ โดยสรุปแล้ว ภารกิจแห่งการรักพระเจ้าสำคัญกว่าการคัดลอกและการจดบันทึกสิ่งทั้งหลายเพื่อพระเจ้า เจ้าควรให้สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่อันดับแรก เพื่อที่ชีวิตของเจ้าอาจมีคุณค่ามากขึ้นและเต็มไปด้วยความสุข แล้วจากนั้นเจ้าควรรอคอย “การตัดสินโทษ” ที่พระเจ้าจะทรงมีต่อเจ้า เรากังขาว่าแผนการของเจ้าจะรวมถึงการรักพระเจ้าด้วยหรือไม่ เราปรารถนาให้แผนการของทุกคนกลายเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้ครบบริบูรณ์ และให้แผนการทั้งหมดนั้นกลายเป็นจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 42