ข) แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และมีเพียงโดยการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้

พระวจนะของพระเจ้าจากพระคัมภีร์

“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะว่าพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งใดก็ตาม ที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13)

“ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ 2:7)

“เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6)

“แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27)

“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20)

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า จึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าก็อยู่ที่นั่น  ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่  ในการค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า “พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต” และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงจึงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบรอยพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า  เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก!  การทรงปรากฏของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ และพระเจ้ายิ่งไม่สามารถจะปรากฏโดยคำขอของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำการเลือกและทรงทำแผนการของพระองค์เองเมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพระองค์ทรงมีวัตถุประสงค์ของพระองค์เองและวิธีการของพระองค์เอง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจใด พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นต้องหารือกับมนุษย์หรือหาคำแนะนำของเขา นับประสาอะไรที่จะต้องทรงแจ้งให้ทุกๆ คนรู้ถึงพระราชกิจของพระองค์  นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นทุกคนควรยอมรับการนี้  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า ตามก้าวพระบาทของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเดินออกห่างจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเสียก่อน  เจ้าต้องไม่เรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรวางพระองค์ไว้ในขอบเขตของเจ้าเองและจำกัดพระองค์ไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  แต่เจ้ากลับควรเรียกร้องตัวพวกเจ้าเองว่าพวกเจ้าควรที่จะแสวงหารอยพระบาทของพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรที่จะยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างไร และเจ้าควรที่จะยอมจำนนต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าอย่างไร กล่าวคือ นี่คือสิ่งที่มนุษย์ควรทำ เนื่องจากมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และไม่ได้ครอบครองความจริง เขาจึงควรแสวงหา ยอมรับ และนบนอบ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่

ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน  เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน  เราทำให้มนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตด้วยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และยอมจำนนต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว  ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา?  ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ?  ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา?  ใครบ้างไม่คะนึงหาความน่ารักของเรา?  ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง?  ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน?  ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่?  ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในฤทธานุภาพ?  เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เราจะเผชิญหน้าประชากรที่เราเลือกสรรและกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก  เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ เหมือนเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมอิทธิฤทธิ์กำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน  ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา  ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก  วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน  มนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และชื่นบาน เฉลิมฉลองการมาของเราเหมือนทารกแรกเกิดคนหนึ่ง  ด้วยเสียงของเรา เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา  นับจากนั้นเป็นต้นไป เราจะเข้าสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์อย่างเป็นทางการเพื่อที่พวกเขาจะได้มานมัสการเรา  ด้วยสง่าราศีที่เราแผ่รัศมีและวจนะในปากของเรา เราจะทำเช่นนั้นจนมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออก และเห็นว่าเรายังได้ลงมาสู่ “ภูเขามะกอกเทศ” แห่งทิศตะวันออกเช่นกัน  พวกเขาจะเห็นว่าเราได้อยู่บนแผ่นดินโลกนานมาแล้ว ไม่ใช่ในฐานะบุตรของชาวยิวอีกต่อไป แต่ในฐานะฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก  ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว และจากนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางมนุษย์  เราคือพระองค์ผู้ได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้ว และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้เช่นกัน  ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน!  ให้ทุกคนจงมาอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ของเราและเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ได้ยินเสียงของเรา และเฝ้ามองกิจการของเรา  นี่คือเจตนารมณ์ทั้งหมดของเรา เป็นจุดสิ้นสุดและจุดสุดยอดแห่งแผนการของเรา รวมทั้งจุดประสงค์ของการบริหารจัดการของเรา กล่าวคือ การให้ทุกชนชาตินมัสการเรา ลิ้นทุกลิ้นยอมรับเรา มนุษย์ทุกคนมอบความเชื่อของเขาไว้ในตัวเรา และทุกผู้คนย่อมขึ้นตรงต่อเรา!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล

เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล  พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ ย่อมจะตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา  เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับไม่ถ้วนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่  ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา  ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่  ในบรรดามนุษย์ภายในจักรวาล ทุกคนที่เป็นของมารจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะถูกสังหารสิ้นโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน  เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว  ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา  ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา เพราะวิธีการประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขา  เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับไม่ถ้วนและชนชาติต่างๆ มากมายหลายชาติ และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26

“ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ตอนนี้พวกเจ้าได้ยินพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วหรือยัง?  พระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงพวกเจ้าแล้ว  พวกเจ้าได้ยินพระวจนะเหล่านั้นหรือไม่?  พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งพระวจนะในยุคสุดท้าย และพระวจนะดังกล่าวก็คือพระวจนะทั้งหลายของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์และยังสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่พูดถึงกันในอดีต จึงเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้  มีผู้คนโง่ทึ่มไร้สาระจำนวนมากที่เชื่อว่าเนื่องจากเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กำลังตรัส พระสุรเสียงของพระองค์จึงควรตรัสจากฟ้าสวรรค์ชั้นทั้งหลายเพื่อที่ผู้คนจะได้ยิน  ใครก็ตามที่คิดแบบนี้ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า  ในความเป็นจริงแล้ว ถ้อยดำรัสที่ตรัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็คือถ้อยคำที่กล่าวโดยพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถตรัสกับมนุษย์ได้โดยตรง แม้ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสกับผู้คนโดยตรง  มันจะไม่ยิ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากหรอกหรือที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้นในยุคนี้ ณ วันนี้?  เพื่อที่พระเจ้าจะได้ตรัสถ้อยดำรัสทั้งหลายในอันที่จะดำเนินการพระราชกิจ พระองค์จะต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ มิฉะนั้น พระราชกิจของพระองค์ก็คงจะไม่สามารถสำเร็จลุล่วงในเป้าหมายของพระราชกิจนั้นได้  พวกที่ปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือพวกที่ไม่รู้จักพระวิญญาณหรือหลักการทั้งหลายซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกิจ  พวกที่เชื่อว่าบัดนี้คือยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่กระนั้นกลับไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์ คือพวกที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความเชื่อที่คลุมเครือและเป็นนามธรรม  ผู้คนเช่นนั้นจะไม่มีวันรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้  พวกที่ขอเพียงแค่ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสและดำเนินพระราชกิจของพระองค์โดยตรง และไม่ยอมรับพระวจนะหรือพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ จะไม่มีวันสามารถก้าวเข้าสู่ยุคใหม่หรือได้รับการนำมาซึ่งความรอดอันบริบูรณ์โดยพระเจ้าเลย!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?

จุดมุ่งหมายของการทรงปรากฏของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่กับรูปแบบหรือประชาชาติใดๆ คือการทำให้พระองค์สามารถปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ให้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้  นี่เป็นเหมือนเมื่อครั้งพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในแคว้นยูเดีย กล่าวคือ จุดมุ่งหมายของพระองค์คือการบรรลุพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวล  แม้กระนั้น ชาวยิวก็เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงทำเช่นนี้ และพวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะสามารถเป็นเนื้อหนังและทรงอยู่ในรูปร่างขององค์พระเยซูเจ้า  “เป็นไปไม่ได้” ของพวกเขากลายเป็นพื้นฐานให้พวกเขาประณามและต่อต้านพระเจ้า และในที่สุดก็นำไปสู่การทำลายล้างประเทศอิสราเอล  วันนี้ผู้คนมากมายได้กระทำความผิดที่คล้ายกัน  พวกเขาป่าวประกาศด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาถึงการทรงปรากฏของพระเจ้าที่กำลังใกล้เข้ามา แต่ในเวลาเดียวกันก็ประณามการทรงปรากฏของพระองค์ “เป็นไปไม่ได้” ของพวกเขาจำกัดการทรงปรากฏของพระเจ้าภายในขอบเขตของจินตนาการของพวกเขาอีกครั้ง  และดังนั้นเราจึงได้เห็นผู้คนมากมายระเบิดหัวเราะอย่างป่าเถื่อนและแหบห้าวหลังจากที่ได้มาพบกับพระวจนะของพระเจ้า  แต่เสียงหัวเราะนี้แตกต่างจากการประณามและการดูหมิ่นของชาวยิวเพียงใดหรือไม่?  พวกเจ้าไม่เคารพยำเกรงเมื่ออยู่ต่อหน้าความจริง และยิ่งไม่มีความรู้สึกโหยหาเลยหรือ?  ทั้งหมดที่เจ้าทำคือศึกษาโดยไร้ความพิถีพิถันและรอคอยด้วยความไม่แยแสสะเพร่า  เจ้าจะสามารถได้อะไรจากการศึกษาและการรอคอยเช่นนี้?  เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้รับคำแนะนำส่วนตัวจากพระเจ้าหรือ?  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจถ้อยดำรัสของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะมีคุณสมบัติในทางใดที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า?  ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงปรากฏ ความจริงก็จะถูกแสดงที่นั่น และพระสุรเสียงของพระเจ้าก็จะอยู่ที่นั่น  เฉพาะบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงเท่านั้นที่จะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า  จงปลดปล่อยมโนคติที่หลงผิดของเจ้า!  จงเงียบเสียงตัวเจ้าเองและนำถ้อยคำเหล่านี้มาอ่านอย่างระมัดระวัง  หากเจ้าโหยหาความจริง พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและเจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ จงปลดปล่อยความเห็นของพวกเจ้าเกี่ยวกับ “เป็นไปไม่ได้”!  ยิ่งผู้คนเชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากเท่าใด ก็มีโอกาสที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้มากเท่านั้น เพราะพระปัญญาของพระเจ้าทะยานสูงกว่าฟ้าสวรรค์ พระดำริของพระเจ้าอยู่สูงกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตของความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  ยิ่งบางสิ่งเป็นไปไม่ได้มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความจริงที่สามารถค้นหาได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งบางสิ่งอยู่พ้นมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์มากเท่าใด ก็ยิ่งมีเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  นี่เป็นเพราะไม่ว่าพระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์ที่ใด พระเจ้าก็ยังคงเป็นพระเจ้า และแก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลงด้วยเหตุของสถานที่หรือลักษณะของการทรงปรากฏของพระองค์  พระอุปนิสัยของพระเจ้ายังคงเหมือนเดิมไม่ว่ารอยพระบาทของพระองค์จะอยู่ที่ใด และไม่ว่ารอยพระบาทของพระเจ้าจะอยู่ที่ใด พระองค์ก็เป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ทั้งปวง เช่นเดียวกับที่องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงเป็นเพียงพระเจ้าของชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่เป็นพระเจ้าของผู้คนทั้งหมดในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นอีก พระองค์คือพระเจ้าหนึ่งเดียวในจักรวาลทั้งมวล  ดังนั้นพวกเรามาแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ค้นพบการทรงปรากฏของพระองค์ในถ้อยดำรัสของพระองค์ และก้าวตามให้ทันก้าวพระบาทของพระองค์กันเถิด!  พระเจ้าทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต  พระวจนะของพระองค์และการทรงปรากฏของพระองค์ดำรงอยู่ในเวลาเดียวกัน และพระอุปนิสัยและรอยพระบาทของพระองค์เปิดกว้างต่อมวลมนุษย์ตลอดเวลา  พี่น้องชายหญิงที่รัก เราหวังว่าพวกเจ้าสามารถเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าในคำพูดเหล่านี้ เริ่มติดตามก้าวพระบาทของพระองค์ในขณะที่เจ้าก้าวไปข้างหน้าสู่ยุคใหม่ และเข้าสู่สวรรค์และโลกใหม่ที่สวยงามซึ่งพระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่กำลังรอคอยการทรงปรากฏของพระองค์!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง

ทำไมเราจึงต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เพียงด้วยการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้น?

คุณได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือยัง?

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

วิธีสำรวจค้นรอยพระบาทของพระเจ้า

มีเพียงผู้ที่ยอมรับความจริงเท่านั้นที่สามารถได้ยินพระสุรเสียงพระเจ้า

แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์

ก่อนหน้า: ก) สิ่งที่หญิงพรหมจารีมีปัญญาและหญิงพรหมจารีที่โง่เขลาเป็น

ถัดไป: ค) เหตุที่บรรดาผู้ที่เพียงอยากเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์จะถูกกำจัดออกไป

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger