ข) นัยสำคัญของพระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้าในแต่ละช่วงระยะ

พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย

ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจแห่งการนำมวลมนุษย์กระทำภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชกิจช่วงระยะแรกได้เริ่มขึ้นบนแผ่นดินโลก  ในช่วงระยะแรกเริ่มนี้ พระราชกิจประกอบด้วยการสร้างพระวิหารและแท่นบูชา และการใช้ธรรมบัญญัติมานำประชากรแห่งอิสราเอลและเพื่อทรงพระราชกิจในท่ามกลางพวกเขา  โดยการทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลนี้ พระองค์ได้ทรงเปิดตัวฐานรากแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก  จากฐานรากนี้ พระองค์ได้แผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปนอกอิสราเอล ซึ่งหมายความว่าพระองค์ได้ขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปโดยตั้งต้นจากอิสราเอล เพื่อให้คนรุ่นหลังค่อยๆ มารู้ว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้า และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  พระองค์เผยแพร่พระราชกิจของพระองค์ผ่านทางประชากรแห่งอิสราเอล พ้นตัวพวกเขาออกไป  แผ่นดินอิสราเอลคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกในพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก และเป็นแผ่นดินอิสราเอลนี่เองที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก  นั่นคือพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระราชกิจซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำกับผู้คนแห่งอิสราเอลนั้นเป็นการสถาปนาสถานกำเนิดของพระเจ้าในโลกนี้ขึ้นท่ามกลางมนุษยชาติอันเป็นสถานศักดิ์สิทธ์ที่พระองค์สถิตอยู่เช่นกัน  พระองค์ทรงจำกัดพระราชกิจของพระองค์ไว้เฉพาะกับประชาชนคนอิสราเอล  ในตอนแรกเริ่มนั้น พระองค์มิได้ทรงราชกิจนอกเขตประเทศอิสราเอล ทว่าทรงเลือกประชาชนที่พระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะสมเพื่อจะทรงจำกัดวงเขตพระราชกิจของพระองค์  ประเทศอิสราเอลคือสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างอาดัมกับเอวา และ พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากผงคลีดินแห่งสถานที่นั้น สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นฐานที่ตั้งแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก  ผู้คนแห่งอิสราเอลซึ่งเป็นพงศ์พันธุ์ของโนอาห์และเป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมเช่นกันคือรากฐานมนุษย์แห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนโลก

ในยุคนี้ นัยสำคัญ วัตถุประสงค์และขั้นตอนแห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในประเทศอิสราเอลนั้นเป็นไปเพื่อริเริ่มพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกทั้งหมดทุกส่วน โดยใช้อิสราเอลเป็นศูนย์กลาง แล้วค่อยๆ แผ่กระจายไปสู่ต่างชาติทั้งหลาย  นี่คือหลักธรรมที่พระองค์จะทรงปฏิบัติตามในการทรงพระราชกิจของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาล—ซึ่งก็คือการสถาปนาแบบอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วจากนั้นจึงขยายออกไปจนกระทั่งทุกคนในจักรวาลจะได้รับพระกิตติคุณของพระองค์  ผู้คนแห่งอิสราเอลกลุ่มแรกคือพงศ์พันธุ์ของโนอาห์  คนเหล่านี้ได้รับการประทานให้เฉพาะลมปราณของพระยาห์เวห์ และมีความเข้าใจพอที่จะดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแบบใด หรือน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์เป็นอย่างไร ที่ยิ่งรู้น้อยกว่านั้นคือวิธีที่พวกเขาควรจะยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวล  สำหรับเรื่องที่ว่าจะมีกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติให้เชื่อฟัง[ก] หรือไม่ หรือมีหน้าที่หนึ่งที่สิ่งทรงสร้างควรจะปฏิบัติเพื่อพระผู้สร้างบ้างหรือไม่นั้น พงศ์พันธุ์ของอาดัมหาได้รู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อยไม่  ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็แค่เพียง สามีควรจะทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวของตน และภรรยาพึงนบนอบต่อสามีและรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างให้คงอยู่ถาวรต่อไป  อีกนัยหนึ่ง ผู้คนเช่นนั้นที่มีเพียงลมปราณของพระยาห์เวห์และพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่รู้อะไรเลยเรื่องวิธีปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า หรือวิธีทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวลพึงพอพระทัย  พวกเขาเข้าใจน้อยเกินไป  ดังนั้นแล้ว แม้จะไม่มีอะไรที่คดโกงหรือหลอกลวงในหัวใจของพวกเขาเลย อีกทั้งความหวงแหนและการขับเคี่ยวกันก็เกิดขึ้นนานๆ ครั้งในหมู่พวกเขา กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้หรือความเข้าใจเรื่องพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวลอยู่ดี  บรรพบุรุษของมนุษย์เหล่านี้รู้เพียงแต่จะกินสิ่งที่เป็นของพระยาห์เวห์ และชื่นชมในสิ่งต่างๆ ของพระยาห์เวห์ แต่พวกเขาไม่รู้จักการยำเกรงพระยาห์เวห์ พวกเขาไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์คือองค์หนึ่งเดียวที่พวกเขาควรคุกเข่านมัสการ  ดังนี้แล้วพวกเขาจะถูกเรียกว่าสิ่งทรงสร้างของพระองค์ได้อย่างไร?  หากเป็นเช่นนี้แล้ว คำพูดที่ว่า “พระยาห์เวห์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวล” และ “พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อที่มนุษย์อาจสำแดงพระองค์ ถวายพระเกียรติแด่พระองค์และเป็นตัวแทนพระองค์” จะไม่ถูกพูดไว้โดยไร้ค่าดอกหรือ?  ผู้คนที่ขาดหัวใจซึ่งยำเกรงพระยาห์เวห์จะเป็นคำพยานแด่พระสิริของพระองค์ได้อย่างไรกัน?  พวกเขาจะกลายมาเป็นสิ่งสำแดงพระสิริของพระองค์ได้อย่างไร?  พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ว่า “เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา” จะไม่กลายมาเป็นอาวุธในมือของซาตานมารร้ายดอกหรือ?  พระวจนะเหล่านี้จะไม่กลายเป็นเครื่องหมายแห่งการถูกเหยียดหยามต่อการทรงสร้างมนุษย์ของพระยาห์เวห์หรอกหรือ?  เพื่อที่จะทำให้พระราชกิจของช่วงระยะนั้นเสร็จสิ้นหลังการทรงสร้างมนุษยชาติแล้ว พระยาห์เวห์ก็มิได้ทรงแนะนำ หรือทรงนำพวกเขาเลยนับตั้งแต่อาดัมไปจนถึงโนอาห์  ทว่า จนกระทั่งภายหลังน้ำท่วมโลกได้ทำลายโลกแล้วนั่นเอง พระองค์ถึงได้ทรงเริ่มต้นนำผู้คนแห่งอิสราเอล ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมและโนอาห์อย่างเป็นทางการ พระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์ในประเทศอิสราเอลได้มอบการนำแก่ประชาชนทั้งผองของประเทศอิสราเอล ณ ขณะที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ทั่วแผ่นดินอิสราเอล ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการแสดงให้มนุษยชาติเห็นว่าพระยาห์เวห์ไม่เพียงจะสามารถเป่าลมปราณเข้าไปในมนุษย์เพื่อให้เขาได้ชีวิตจากพระองค์ และลุกขึ้นจากผงคลีดินไปเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น แต่พระองค์ยังสามารถเผาทำลายจนสิ้นซากและสาปแช่งมวลมนุษย์และใช้ไม้เรียวของพระองค์ปกครองมวลมนุษย์ได้เช่นกัน  ดังนั้น พวกเขาจึงได้เห็นอีกด้วยเช่นกันว่าพระยาห์เวห์สามารถนำชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้ รวมถึงตรัสและทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ได้โดยสอดคล้องกับโมงยามของเวลากลางวันและกลางคืน  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นก็เพียงเพื่อที่บรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระองค์อาจจะได้รู้ว่ามนุษย์นั้นมาจากผงคลีดินที่พระองค์ทรงเก็บขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์  ไม่เพียงเท่านี้ ทว่าพระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอลเพื่อที่ประชาชนและชาติอื่นๆ (ผู้ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้ถูกแยกออกจากอิสราเอล แต่ได้มีการแตกแขนงออกจากผู้คนแห่งอิสราเอลเสียมากกว่า กระนั้น ก็ยังคงเป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาอยู่ดี) จะได้รับพระกิตติคุณของพระยาห์เวห์จากอิสราเอล ทั้งนี้เพื่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลในจักรวาลอาจจะสามารถยำเกรงพระยาห์เวห์และนับถือว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ได้  หากพระยาห์เวห์มิได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอล แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับทรงสร้างมนุษย์ขึ้น มาแล้วปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตอิสระเสรีบนแผ่นดินโลก หากเป็นเช่นนี้ โดยธรรมชาติทางกายภาพของมนุษย์ (ธรรมชาติหมายความว่า มนุษย์ไม่มีวันรู้จักสิ่งต่างๆ ที่พวกเขามองไม่เห็น กล่าวคือ พวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองที่เป็นผู้สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา และยิ่งรู้น้อยไปกว่านั้นว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงทำเช่นนั้น) พวกเขาย่อมไม่มีวันรู้เลยว่าพระยาห์เวห์คือผู้ทรงสร้างมนุษย์ หรือพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  หากพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างมนุษย์และวางพวกเขาไว้บนแผ่นดินโลก จากนั้นก็เพียงทรงปัดฝุ่นดินออกจากพระหัตถ์ของพระองค์และจากไป แทนที่จะยังทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์เพื่อให้การทรงนำพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่ง เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติทั้งมวลก็คงกลับคืนสู่ความเปล่าดายกระทั่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกรวมทั้งสรรพสิ่งมากมายเกินคณานับซึ่งพระองค์ทรงทำขึ้นมาก็คงจะกลับคืนสู่ความเปล่าดาย และยิ่งไปกว่านั้น คงจะถูกเหยียบย่ำตลอดมาโดยซาตาน  หากเป็นเช่นนี้ ความพึงปรารถนาของพระยาห์เวห์ที่ว่า “บนแผ่นดินโลก ซึ่งก็คือในท่ามกลางสิ่งทรงสร้างของพระองค์นั้น พระองค์ควรจะทรงมีสถานที่สำหรับประทับสักที่หนึ่ง สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์” ก็คงจะแตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว  และ ดังนั้นหลังจากการสร้างมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์สามารถคงอยู่ท่ามกลางมนุษย์เพื่อทรงนำชีวิตของพวกเขา และตรัสกับพวกเขาจากภายในท่ามกลางพวกเขาได้ต่อไปนั้น—ทั้งหมดก็เพื่อจะทำให้ความปรารถนาของพระองค์เป็นจริง และทำให้แผนการของพระองค์สัมฤทธิ์  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในประเทศอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเพื่อให้บรรลุแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และดังนั้น การเริ่มพระราชกิจท่ามกลางผู้คนแห่งอิสราเอลและสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งมวลของพระองค์นั้นจึงไม่ขัดแย้งกันเองเลย แต่ถูกกระทำไปเพื่อประโยชน์ต่อทั้งการบริหารจัดการของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์และพระสิริของพระองค์ และถูกกระทำไปเพื่อให้ความหมายของการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระองค์นั้นมีความลึกล้ำ พระองค์ทรงนำชีวิตมวลมนุษย์บนโลกอยู่ 2,000 ปีหลังจากโนอาห์ อันเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงสอนมนุษย์ให้เข้าใจวิธียำเกรงพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง รวมถึงวิธีประพฤติตนในชีวิตของพวกเขา และวิธีดำเนินชีวิตต่อไปและที่มากที่สุดก็คือ วิธีปฏิบัติตนในฐานะของพยานเพื่อพระยาห์เวห์ ถวายความเชื่อฟังและมอบความยำเกรงต่อพระองค์ แม้กระทั่งการสรรเสริญพระองค์ด้วยดนตรีดังที่ดาวิดและปุโรหิตของท่านทำ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลี “ให้เชื่อฟัง”


ในปฐมกาล การนำทางมนุษย์ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมนั้นเป็นเหมือนการนำทางวิถีชีวิตของเด็กคนหนึ่ง  มวลมนุษย์กลุ่มแรกสุดเพิ่งถือกำเนิดจากพระยาห์เวห์ พวกเขาคือชาวอิสราเอล  พวกเขาไม่มีความเข้าใจว่าจะยำเกรงพระเจ้าอย่างไรหรือจะดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกอย่างไร  ซึ่งหมายความว่าพระยาห์เวห์ทรงสร้างมวลมนุษย์ นั่นคือ พระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา แต่พระองค์มิได้ประทานความสามารถให้พวกเขาเข้าใจวิธีที่จะยำเกรงพระยาห์เวห์หรือวิธีปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก  หากไม่มีการทรงนำของพระยาห์เวห์โดยตรงแล้ว คนเราย่อมไม่สามารถรู้การนี้ได้โดยตรง เพราะในปฐมกาลนั้นมนุษย์ไม่มีปฏิภาณเช่นนั้น  มนุษย์รู้เพียงว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้าเท่านั้น แต่สำหรับวิธีที่จะยำเกรงพระองค์ การประพฤติปฏิบัติประเภทใดที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการยำเกรงพระองค์ คนเราจะต้องยำเกรงพระองค์ด้วยจิตใจประเภทใด หรือจะมอบถวายสิ่งใดในการยำเกรงพระองค์นั้น มนุษย์ไม่รู้โดยสิ้นเชิง  มนุษย์รู้จักแต่การสุขสำราญกับสิ่งที่สามารถสุขสำราญด้วยได้ท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างขึ้น แต่สำหรับเรื่องที่ว่าวิถีชีวิตประเภทใดบนแผ่นดินโลกที่ควรค่าแก่สิ่งทรงสร้างของพระเจ้า มนุษย์มิได้รู้ระแคะระคายแต่อย่างใดเลย  หากไม่มีใครบางคนสอนให้พวกเขารู้ หากไม่มีใครบางคนมานำพวกเขาด้วยตนเองแล้ว มวลมนุษย์เหล่านี้ก็ย่อมจะไม่มีวันมีวิถีชีวิตที่ถูกต้องและเหมาะสมกับมนุษยชาติ แต่ย่อมจะได้แต่ถูกซาตานหลอกให้ตกเป็นเชลยเท่านั้น  พระยาห์เวห์ทรงสร้างมวลมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์ทรงสร้างบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ เอวาและอาดัม แต่พระองค์มิได้ประทานความฉลาดหรือสติปัญญาใดๆ  เพิ่มเติมแก่พวกเขา  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกแล้วก็ตาม แต่พวกเขาแทบจะไม่เข้าใจสิ่งใดเลย  และดังนั้นพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในการสร้างมวลมนุษย์จึงเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น และห่างไกลจากความครบบริบูรณ์  พระองค์เพียงทรงทำแบบจำลองของมนุษย์จากดินเหนียวและประทานลมปราณของพระองค์เท่านั้น แต่มิได้ประทานความเต็มใจแก่มนุษย์แบบมากพอที่จะยำเกรงพระองค์  ในปฐมกาล มนุษย์ยังไม่มีหัวใจแห่งความยำเกรงหรือความหวาดกลัวแด่พระองค์  มนุษย์รู้จักแต่การรับฟังพระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิถีชีวิตบนแผ่นดินโลก และกฎเกณฑ์ที่ปกติของวิถีชีวิตมนุษย์  และดังนั้น ถึงแม้ว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างชายและหญิง และได้ทรงทำโครงการเจ็ดวันเสร็จสิ้นแล้ว แต่พระองค์ยังมิได้ทรงทำให้การสร้างมนุษย์เสร็จสมบูรณ์แต่อย่างใด เพราะมนุษย์เป็นแต่เพียงแกลบ และขาดพร่องความเป็นจริงของการเป็นมนุษย์  มนุษย์รู้เพียงว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา แต่เขาไม่มีการระแคะระคายถึงวิธีที่จะปฏิบัติตามพระวจนะหรือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์  และดังนั้น หลังจากที่มวลมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว พระราชกิจของพระยาห์เวห์ก็หาได้เสร็จสิ้นไม่  พระองค์ยังคงต้องทรงนำมวลมนุษย์อย่างเต็มที่เพื่อให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาอาจจะสามารถใช้ชีวิตด้วยกันบนแผ่นดินโลกและยำเกรงพระองค์ได้ และเพื่อที่พวกเขาอาจจะสามารถเข้าสู่ร่องครรลองอันถูกต้องของวิถีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลกด้วยการทรงนำของพระองค์  ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจซึ่งดำเนินการภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นหลักจะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มที่ นั่นก็คือ ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการสร้างโลกของพระยาห์เวห์จะสรุปปิดตัวโดยบริบูรณ์  และดังนั้น เมื่อทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว พระองค์จึงต้องทรงนำทางให้แก่วิถีชีวิตของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกเป็นเวลานานหลายพันปี เพื่อที่มวลมนุษย์อาจจะสามารถปฏิบัติตามกฤษฎีกาและธรรมบัญญัติของพระองค์ได้ และเข้าร่วมในกิจกรรมทั้งปวงของวิถีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจของพระยาห์เวห์จะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มที่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพระบัญญัติมากมายเพื่อให้โมเสสส่งต่อไปยังผู้คนแห่งอิสราเอลที่ติดตามเขาออกจากอียิปต์ พระบัญญัติเหล่านี้พระยาห์เวห์ประทานแก่ผู้คนแห่งอิสราเอล และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับชาวอียิปต์แม้แต่น้อย พระบัญญัติเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อควบคุมผู้คนแห่งอิสราเอล และทรงใช้พระบัญญัติเหล่านี้เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาปฏิบัติตาม  ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติวันสะบาโตหรือไม่ เคารพบิดามารดาหรือไม่ นมัสการรูปเคารพหรือไม่ และอื่นๆ—เหล่านี้คือหลักธรรมที่พวกเขาจะถูกตัดสินว่าผิดบาปหรือชอบธรรม  ท่ามกลางพวกเขา บางคนได้ถูกไฟของพระยาห์เวห์ลงทัณฑ์ บ้างก็ถูกหินขว้างให้ตาย และบ้างก็ได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์ และนี่ถูกกำหนดพิจารณาตามข้อที่ว่าพวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติเหล่านี้หรือไม่  คนที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกขว้างด้วยหินจนตาย  บรรดาปุโรหิตที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกไฟลงทัณฑ์ของพระยาห์เวห์  พวกที่ไม่เคารพบิดามารดาก็จะถูกขว้างด้วยหินจนตายเช่นกัน  ทั้งหมดนี้ถูกสั่งโดยพระยาห์เวห์ทั้งสิ้น  พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระบัญญัติและธรรมบัญญัติเพื่อที่ขณะที่พระองค์ทรงนำทางชีวิตของพวกเขานั้น ประชาชนจะได้ฟังและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และไม่กบฏต่อพระองค์  พระองค์ทรงใช้ธรรมบัญญัติเหล่านี้เพื่อรักษาชาติพันธุ์มนุษย์แรกเกิดให้อยู่ในการควบคุม ซึ่งจะเป็นผลดียิ่งขึ้นต่อการวางรากฐานพระราชกิจในอนาคตของพระองค์  และดังนั้น บนพื้นฐานของพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำไว้ ยุคแรกจึงเรียกว่ายุคธรรมบัญญัติ  แม้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงให้ถ้อยดำรัสและทำพระราชกิจมากมาย พระองค์ก็ทรงนำประชาชนในด้านบวกเท่านั้น ทรงสอนประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันเหล่านี้ให้รู้จักวิธีเป็นมนุษย์ วิธีดำเนินชีวิต วิธีที่จะเข้าใจหนทางของพระยาห์เวห์  สำหรับพระราชกิจส่วนใหญ่นั้น พระองค์ทรงพระราชกิจเพื่อทำให้ผู้คนเฝ้าสังเกตหนทางของพระองค์และติดตามธรรมบัญญัติของพระองค์  พระราชกิจดังกล่าวนี้กระทำกับคนที่เสื่อมทรามในระดับตื้น ไม่ได้ขยายไปไกลจนถึงการแปรสภาพอุปนิสัยหรือความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา  พระองค์ทรงห่วงเฉพาะการใช้ธรรมบัญญัติเพื่อจำกัดและควบคุมผู้คนเท่านั้น  สำหรับผู้คนแห่งอิสราเอลในเวลานั้น พระยาห์เวห์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าในพระวิหาร พระเจ้าในฟ้าสวรรค์เท่านั้น  พระองค์ทรงเป็นเสาเมฆ เสาเพลิง  ทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาทำนั้นมีเพียงเชื่อฟังในสิ่งที่ผู้คนปัจจุบันรู้จักกันในฐานะธรรมบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์—บางคนอาจถึงกับเรียกว่ากฎเกณฑ์—เนื่องจากสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงทำนั้นไม่ใด้มุ่งหมายเพื่อแปรสภาพพวกเขา แต่เพื่อมอบสิ่งที่มนุษย์ควรจะมีมากกว่านี้ให้กับพวกเขาและเพื่อแนะนำพวกเขาจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เพราะหลังจากถูกสร้างขึ้นมาแล้ว มนุษย์หาได้มีสิ่งที่พวกเขาควรจะมีไม่  และดังนั้น พระยาห์เวห์จึงได้ประทานแก่ผู้คนในสิ่งที่พวกเขาควรมีเพื่อชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก ทำให้ผู้คนที่พระองค์ทรงนำทางนั้นเหนือกว่าบรรพบุรุษของพวกเขา หรืออาดัมกับเอวา เพราะสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงมอบแก่พวกเขานั้นเหนือกว่าที่พระองค์ทรงมอบแก่อาดัมกับเอวาในปฐมกาล  โดยไม่ต้องคำนึงว่า พระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำในประเทศอิสราเอลนั้นเพียงเพื่อทรงนำมนุษย์และทำให้มนุษย์ระลึกรู้พระผู้สร้างได้เท่านั้น  พระองค์ไม่ได้ทรงพิชิตหรือแปรสภาพพวกเขา เพียงแต่ทรงนำพวกเขาเท่านั้น  นี่คือผลสรุปของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ  อันเป็นภูมิหลัง เป็นเรื่องจริง เป็นแก่นแท้แห่งพระราชกิจของพระองค์ในดินแดนทั้งสิ้นของประเทศอิสราเอล และเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชกิจระยะ 6,000 ปีของพระองค์—เพื่อรักษามนุษย์ไว้ในการควบคุมของพระหัตถ์แห่งพระยาห์เวห์  จากเรื่องนี้ก่อให้เกิดงานที่เพิ่มเข้ามาในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

พระเยซูคือผู้ทำงานทั้งหมดของยุคพระคุณแทนเรา พระองค์ได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ในเนื้อหนังและถูกตอกตรึงบนกางเขน และพระองค์ยังทรงเป็นผู้เริ่มต้นยุคพระคุณด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนก็เพื่อบรรลุพระราชกิจแห่งการไถ่ เพื่อปิดฉากยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคพระคุณ และด้วยการนั้นพระองค์จึงทรงได้รับการขนานพระนามว่า “จอมทัพ”  “เครื่องบูชาลบล้างบาป” และ “พระผู้ไถ่”  ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ พระราชกิจของพระเยซูจึงมีความแตกต่างทางด้านเนื้อหาจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ แม้จะมีหลักธรรมเดียวกันก็ตาม  พระยาห์เวห์ทรงเริ่มต้นยุคธรรมบัญญัติ สร้างรากฐานหรือจุดกำเนิดสำหรับงานของพระเจ้าบนโลก และสำหรับการออกกฎธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ  นี่คือพระราชกิจสองอย่างที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการ และเป็นพระราชกิจที่เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ  พระราชกิจที่พระเยซูทรงทำในยุคพระคุณนั้นไม่ใช่เป็นการออกกฎธรรมบัญญัติ แต่เพื่อทำให้ธรรมบัญญัติลุล่วง ด้วยการนั้นจึงนำทางเข้าสู่ยุคพระคุณและสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติที่ดำเนินมายาวนานร่วมสองพันปี  พระองค์ทรงเป็นผู้บุกเบิกที่มาเพื่อเริ่มต้นยุคพระคุณ ทว่าพระราชกิจส่วนหลักของพระองค์อยู่ที่การไถ่  และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระราชกิจของพระองค์จึงมีสองด้านเช่นกัน นั่นคือ การเปิดฉากยุคใหม่ และการทำพระราชกิจแห่งการไถ่ให้ครบบริบูรณ์โดยผ่านทางการถูกตรึงกางเขน ซึ่งหลังจากนั้นเป็นเหตุให้พระองค์ต้องจากไป  และนับจากนี้ไปยุคธรรมบัญญัติจึงได้สิ้นสุดลง และยุคพระคุณได้เริ่มต้นขึ้น

พระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับความจำเป็นของมนุษย์ในยุคนั้น  พระราชกิจของพระองค์คือเพื่อไถ่มนุษย์ เพื่ออภัยบาปของพวกเขา และด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของพระองค์จึงเต็มเปี่ยมด้วยความถ่อมใจ ความอดทน ความรัก ความศรัทธา ความอดกลั้น ความกรุณา และความเมตตา  พระองค์ทรงนำมาซึ่งพระคุณและพรอันล้นเหลือแก่มนุษย์ รวมถึงทุกๆ สิ่งที่ผู้คนจะสามารถชื่นชมได้ พระองค์ทรงมอบสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขา อันได้แก่ สันติภาพ ความสุข ความอดกลั้นและความรัก ความกรุณาและความเมตตาของพระองค์  ณ เวลานั้น ความอุดมล้นเหลือของสิ่งบำเรอความสุขต่างๆ ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสุขสงบและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยภายในใจ ความรู้สึกมั่นใจภายในจิตวิญญาณ และความรู้สึกพึ่งพิงในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ล้วนเนื่องมาจากยุคที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง  ในยุคพระคุณนี้ มนุษย์ถูกซาตานบ่อนทำลายจนเสื่อมทรามไปแล้ว และฉะนั้นแล้ว การจะสัมฤทธิ์งานแห่งการไถ่มนุษยชาติทั้งมวลจำต้องอาศัยพระคุณอันอุดมล้นเหลือ ความอดกลั้นและความอดทนอันไม่สิ้นสุด และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เพื่อให้เกิดผลแล้ว เครื่องบูชาต้องมีอย่างพอเพียงต่อการไถ่บาปของมนุษยชาติ  สิ่งที่มนุษยชาติเห็นในยุคพระคุณนั้นมีเพียงเครื่องบูชาลบมลทินที่เรามอบไว้ให้สำหรับการไถ่บาปของมนุษยชาติเท่านั้น ซึ่งก็คือพระเยซูนั่นเอง  ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือ พระเจ้าน่าจะทรงเปี่ยมเมตตาและความอดกลั้น และทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือความกรุณาและความเมตตาของพระเยซู  ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาเกิดในยุคพระคุณนั่นเอง  และดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะสามารถได้รับการไถ่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องชื่นชมพระคุณอันหลากหลายรูปแบบที่พระเยซูประทานแก่พวกเขาเสียก่อนเพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากมันได้  วิธีนี้นี่เอง ที่พวกเขาจะสามารถได้รับการอภัยบาปโดยผ่านทางความชื่นชมยินดีของพวกเขาที่มีต่อพระคุณ ทั้งยังจะสามารถได้รับโอกาสการไถ่โดยผ่านทางการชื่นชมความอดกลั้นและการอดทนของพระเยซูด้วยเช่นกัน  มีเพียงโดยผ่านทางความอดกลั้นและความอดทนของพระเยซูเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัยและชื่นชมพระคุณอันอุดมล้นเหลือที่พระเยซูทรงมอบให้  ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้ว่า เราไม่ได้มาเพื่อช่วยคนชอบธรรมให้รอด แต่เรามาเพื่อช่วยคนบาปให้รอด เพื่อให้คนบาปได้รับการยกโทษบาปของพวกเขา  หากครั้งเมื่อพระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ทรงมาพร้อมด้วยพระอุปนิสัยแห่งการพิพากษาตัดสิน การสาปแช่ง และความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับการไถ่ และคงจะดำรงอยู่ในสภาพผิดบาปไปตลอดกาล  หากเป็นเช่นนั้นแล้ว แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีก็คงจะมาหยุดอยู่ตรงยุคธรรมบัญญัตินี่เอง และยุคธรรมบัญญัติก็คงจะยืดเยื้อต่อมาอีก 6,000 ปี  บาปทั้งหลายของมนุษย์ก็คงมีแต่จะท่วมท้นมหาศาลและรุนแรงสาหัสมากยิ่งขึ้น และการทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมาก็คงจะเป็นการสูญเปล่า  ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่ามนุษย์ก็คงจะสามารถทำได้เพียงรับใช้พระยาห์เวห์ภายใต้พระธรรมบัญญัติ ทว่าบาปทั้งหลายของพวกเขาก็คงจะมากล้นเกินกว่าบาปของพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกเริ่มเสียอีก  ยิ่งพระเยซูทรงรักมวลมนุษย์ ให้อภัยบาปพวกเขา และมอบพระกรุณาและพระเมตตาอย่างพอเพียงแก่พวกเขามากขึ้นเท่าไร มนุษย์ก็ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซูมากขึ้นเท่านั้น มีสิทธิ์ได้รับการเรียกขานว่าเจ้าแกะหลงฝูงที่พระเยซูได้ทรงซื้อคืนมาด้วยราคาที่แพง  ซาตานไม่สามารถเข้าแทรกแซงพระราชกิจนี้ได้เลย เนื่องเพราะพระเยซูทรงปฏิบัติต่อสาวกของพระองค์ดุจเดียวกับที่มารดาผู้เปี่ยมรักปฏิบัติต่อทารกน้อยในอ้อมอก  พระองค์ไม่ได้กริ้วหรือทรงดูถูกพวกเขามากขึ้น แต่กลับเปี่ยมด้วยการชูใจ พระองค์ไม่เคยทรงบันดาลโทสะระบายอารมณ์ใส่พวกเขา แต่กลับทรงอดกลั้นกับความบาปของพวกเขา และทรงมองข้ามความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขาเสีย จนถึงจุดที่ตรัสด้วยว่า “จงให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง”  ด้วยเหตุนี้หัวใจของผู้อื่นจึงได้ถูกแปลงสภาพไปโดยหัวใจของพระองค์ และเพียงเพราะด้วยเหตุนี้เองผู้คนจึงได้รับการอภัยบาปของตนโดยผ่านทางความอดกลั้นของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงทิ้ง “เครื่องพันธนาการ” ของยุคธรรมบัญญัติไว้เบื้องหลังแล้ว และได้ทรงฝ่ากฎระเบียบและหลักการของยุคนั้นแล้ว  ในพระองค์ไม่มีร่องรอยของสิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมบัญญัติ พระองค์ได้ทรงสละมันทิ้งไปทั้งหมดและไม่ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์ทำตามธรรมบัญญัติอีกต่อไป  ดังนั้น ในที่นี้เจ้าจึงมองเห็นองค์พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปในนาในวันสะบาโต และว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงหยุดพัก พระองค์ทรงพระราชกิจอยู่ข้างนอกและไม่ได้ทรงหยุดพัก  การกระทำนี้ของพระองค์เป็นที่ตกใจสำหรับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน และการกระทำนี้สื่อสารกับพวกเขาว่าพระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป และว่าพระองค์ทรงทิ้งเขตจำกัดของวันสะบาโตไว้เบื้องหลัง และทรงปรากฏต่อหน้ามวลมนุษย์และอยู่ท่ามกลางพวกเขาในพระฉายาใหม่ พร้อมทั้งวิธีใหม่ๆ ในการทรงพระราชกิจ  การกระทำนี้ของพระองค์บอกผู้คนว่าพระองค์ทรงได้นำพระราชกิจใหม่มากับพระองค์ พระราชกิจที่เริ่มต้นด้วยการผุดขึ้นจากการอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ และการแยกจากวันสะบาโต  เมื่อพระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงยึดติดกับอดีตอีกต่อไป และพระองค์ไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับกฎระเบียบของยุคธรรมบัญญัติอีกต่อไป  พระองค์ไม่ทรงได้รับผลกระทบจากพระราชกิจของพระองค์ในยุคก่อน แต่พระองค์ทรงพระราชกิจในวันสะบาโตเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำวันเว้นวันแทน และเมื่อสาวกของพระองค์หิวโหยในวันสะบาโต พวกเขาก็สามารถเด็ดรวงข้าวมากินได้  ทั้งหมดนี้เป็นปกติอย่างยิ่งในพระเนตรของพระเจ้า  สำหรับพระเจ้า การมีจุดเริ่มต้นใหม่สำหรับส่วนใหญ่ของพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะทำและพระวจนะใหม่ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์จะตรัสนั้นเป็นสิ่งที่อนุญาตให้ทำได้  เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นบางสิ่งบางอย่างที่ใหม่ พระองค์ไม่ทรงกล่าวถึงพระราชกิจก่อนหน้าของพระองค์ อีกทั้งไม่ทรงดำเนินพระราชกิจนั้นต่อไป  เพราะพระเจ้าทรงมีหลักการของพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงต้องประสงค์จะเริ่มต้นพระราชกิจใหม่ นั่นคือเวลาที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะนำมวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ของพระราชกิจของพระองค์ และคือเวลาที่พระราชกิจของพระองค์จะเข้าสู่ระยะที่สูงกว่า  หากผู้คนยังคงปฏิบัติตามคำกล่าวหรือกฎระเบียบเก่าๆ ต่อไป หรือยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นต่อไป พระองค์จะไม่ทรงจดจำหรือรับรองสิ่งนั้น  นี่เป็นเพราะว่าพระองค์ได้ทรงนำพระราชกิจใหม่มาแล้ว และได้ทรงเข้าสู่ระยะใหม่ของพระราชกิจของพระองค์แล้ว  เมื่อพระองค์ทรงริเริ่มพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงปรากฏต่อมวลมนุษย์ด้วยพระฉายาใหม่โดยสิ้นเชิง จากมุมใหม่โดยสิ้นเชิง และในวิธีใหม่โดยสิ้นเชิง เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นแง่มุมที่แตกต่างของพระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  นี่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

หากปราศจากการไถ่ของพระเยซู มวลมนุษย์คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในบาปและกลายเป็นลูกหลานแห่งบาป เป็นพงค์พันธุ์ของปีศาจตลอดไปแล้ว  หากเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องมา โลกทั้งโลกคงจะกลายเป็นดินแดนที่ซาตานอาศัย เป็นที่สิงสู่ของมันไปแล้ว อย่างไรก็ดี  พระราชกิจแห่งการไถ่บาปต้องพึงอาศัยการแสดงออกถึงความกรุณาและความเมตตาต่อมวลมนุษย์ โดยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการอภัย และท้ายที่สุดก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์และได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างสมบูรณ์  หากปราศจากงานช่วงระยะนี้ แผนการจัดการระยะ 6,000 ปีคงจะก้าวหน้าไม่ได้เลย  หากพระเยซูไม่ได้ทรงถูกตรึงกางเขน หากพระองค์เพียงทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สามารถได้รับการอภัยบาปของพวกเขาโดยสมบูรณ์  ในระยะเวลาสามปีครึ่งที่พระเยซูทรงใช้ไปในการทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้น โดยการทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและกลายเป็นสภาพเหมือนของมนุษย์คนบาป โดยการทรงถูกมอบไว้กับมารร้าย พระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์และได้ทรงเรียนรู้ลิขิตชีวิตของมวลมนุษย์จนเชี่ยวชาญ  เพียงหลังจากที่พระองค์ทรงถูกนำส่งถึงมือของซาตานแล้วเท่านั้น พระองค์จึงได้ทรงไถ่มวลมนุษย์  เป็นเวลาถึงสามสิบสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์บนแผ่นดินโลก ถูกเยาะเย้ยถากถาง ถูกให้ร้ายป้ายสี และถูกทอดทิ้ง จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงมีแม้ที่จะให้วางพระเศียร ไม่มีที่ให้หยุดพัก และพระองค์ได้ทรงถูกตรึงกางเขนในเวลาต่อมา ด้วยทั้งองค์รวมของพระองค์ พระกายซึ่งบริสุทธิ์และไร้มลทินได้ถูกตอกตรึงกับกางเขน พระองค์ได้ทรงสู้ทนต่อความทุกข์ทุกชนิดที่พึงมี  พวกผู้มีอำนาจต่างพากันเย้ยหยันและโบยตีพระองค์ กระทั่งพวกทหารก็ยังถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงเงียบเฉยและสู้ทนจนกระทั่งวาระสุดท้าย ทรงยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไขจนถึงจุดแห่งความตายอันเป็นจุดที่พระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวล  มีเพียงยามนั้นเองที่พระองค์ได้รับอนุญาตให้หยุดพัก  พระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงกระทำลงไปเป็นตัวแทนของยุคพระคุณเท่านั้น มิได้เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ อีกทั้งยังหาได้เป็นการทดแทนพระราชกิจของยุคสุดท้ายแต่อย่างใดไม่  นี่คือสาระสำคัญของพระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณ ยุคที่สองที่มวลมนุษย์ได้ผ่านมาแล้ว—ซึ่งก็คือยุคแห่งการไถ่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร  บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง  แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปทั้งหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาแก่นแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด  โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์  สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนได้ตระหนักว่า พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ พวกเขาก็บ่นออกมา ยุติการไล่ตามเสาะหาชีวิต และกลับกลายเป็นคนคิดลบอย่างที่สุด  นี่ไม่ได้แสดงว่ามนุษยชาติยังคงไม่สามารถนบนอบอย่างสุดใจภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่มิใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาชัดๆ เลยหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังอยู่ภายใต้การตีสอน มือของเจ้าชูสูงเหนือผู้อื่นทั้งหมด แม้แต่พระหัตถ์ของพระเยซู  และเจ้าก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “จงเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า!  จงเป็นคนสนิทของพระเจ้า!  พวกเรายอมตายมากกว่าจะยอมกราบไหว้ซาตาน!  จงต่อต้านซาดานเฒ่า!  ต่อต้านพญานาคใหญ่สีแดง!  ขอให้พญานาคใหญ่สีแดงจงตกต่ำจากอำนาจอย่างน่าอนาถ!  ขอพระเจ้าทรงทำให้พวกเราครบบริบูรณ์!”  เสียงร้องของพวกเจ้าดังกว่าผู้อื่นทั้งหมด  แต่แล้วก็มาถึงเวลาแห่งการตีสอน และเป็นอีกครั้งที่อุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษยชาติถูกเปิดเผย  แล้วเสียงร้องของพวกเขาก็หยุดลง และปณิธานของพวกเขาก็ล้มเหลว  นี่คือความเสื่อมทรามของมนุษย์ เมื่อไหลลึกกว่าบาป จึงเป็นสิ่งที่ซาตานเพาะเอาไว้และหยั่งรากลึกอยู่ภายในตัวมนุษย์  ไม่ง่ายที่มนุษย์จะตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้  เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ (4)

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสอนมนุษย์ เพื่อเปิดโปงธาตุแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์  พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรนบนอบพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตตามสภาวะมนุษย์ปกติ ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่ธาตุแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งเปิดโปงว่ามนุษย์รังเกียจเดียดฉันท์พระเจ้าอย่างไร  ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงเปิดโปงและตัดแต่งเป็นเวลายาวนาน  วิธีการเปิดโปงและตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยคำพูดธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกกำราบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในข้อล้ำลึกทั้งหลายที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความอัปลักษณ์ของมนุษย์ ผลที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะแก่นแท้ของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดเผยความจริง ชีวิต ทางของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง

พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์  หากปราศจากการพิพากษาของพระองค์ต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แล้ว มนุษย์คงไม่อาจสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการล่วงเกินอันใดได้ อีกทั้งมนุษย์คงจะไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เก่าๆ ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้กลายเป็นความรู้ใหม่ได้  เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์สามารถมาถึงจุดที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของเขา และเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าได้โดยผ่านทางการทรงปรากฏต่อสาธารณะของพระองค์  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและสมดั่งพระทัยของพระเจ้าได้  การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์แสดงนัยสำคัญว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแม่แบบ และวัตถุตัวอย่างของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่สมดั่งพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง  ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์  บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้  พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่ได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งของพระองค์ เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ทรงใช้พวกที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงใช้บรรดาผู้ที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผู้ที่ได้รับพรของพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์ด้วยปากของเขา อีกทั้งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงได้รับการสรรเสริญและคำพยานจากผู้คนจำพวกของซาตาน ผู้ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์  เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้มีการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์  พระเจ้าจะไม่ทรงยินยอมด้วยความตั้งพระทัยให้มนุษย์นำความอับอายมาสู่พระนามของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า

วจนะที่เรากล่าวในวันนี้ก็เพื่อพิพากษาบาปของมนุษย์ เพื่อพิพากษาความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ เพื่อสาปแช่งการไม่เชื่อฟังของมนุษย์  การโกงและการหลอกลวงของมนุษย์ คำพูดและความประพฤติของมนุษย์—ทั้งหมดที่ไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้การพิพากษา และความไม่เชื่อฟังทั้งหมดของมนุษย์จะต้องถูกประณามว่าเป็นบาป  พระวจนะของพระองค์เป็นไปตามหลักการแห่งการพิพากษา พระองค์ทรงใช้การพิพากษาความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ การสาปแช่งการเป็นกบฏของมนุษย์ และการตีแผ่ใบหน้าอันน่าเกลียดของมนุษย์เพื่อสำแดงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เอง  ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งแสดงถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์ และอันที่จริงแล้ว ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแท้จริงแล้วคือพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าเป็นบริบทของวจนะในวันนี้—เราใช้วจนะเหล่านี้เพื่อพูดและพิพากษา และเพื่อดำเนินงานแห่งการพิชิตชัย  การนี้เพียงอย่างเดียวที่เป็นพระราชกิจอันแท้จริง และการนี้เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าสาดแสง  หากไม่มีร่องรอยของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาเจ้า อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงแสดงให้เจ้าเห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์  เนื่องจากเจ้ามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พระเจ้าจะไม่ทรงลงโทษเจ้า และโดยผ่านทางการนี้นี่เองความบริสุทธิ์ของพระองค์จะแสดงให้เห็น  หากพระเจ้าจะทรงเห็นว่าความโสมมและการเป็นกบฏของมนุษย์นั้นมีมากจนเกินไป แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวหรือพิพากษาเจ้า อีกทั้งไม่ได้ทรงตีสอนเจ้าเนื่องจากความไม่ชอบธรรมของเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่คงจะพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระองค์คงจะไม่ทรงมีความเกลียดชังบาป พระองค์คงจะทรงโสมมเทียบเท่ามนุษย์  วันนี้ เป็นเพราะความโสมมของเจ้า เราจึงพิพากษาเจ้า และเป็นเพราะความเสื่อมทรามและการเป็นกบฏของเจ้า เราจึงตีสอนเจ้า  เราไม่ได้กำลังโอ้อวดฤทธานุภาพของเรากับพวกเจ้าหรือจงใจกดขี่พวกเจ้า เราทำสิ่งเหล่านี้เพราะพวกเจ้าผู้ที่เกิดในแผ่นดินแห่งความโสมมนี้เปรอะเปื้อนสิ่งโสมมอย่างรุนแรงยิ่งนัก  พวกเจ้าเพียงสูญเสียความซื่อตรงและสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนเหมือนสุกรในที่สกปรกทั้งหลาย  เป็นเพราะความโสมมและความเสื่อมทรามของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงถูกพิพากษาและเราก็ปลดปล่อยความโกรธของเราใส่พวกเจ้า  แน่นอนว่าเป็นเพราะการพิพากษาโดยวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าจึงสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ แน่นอนว่าเป็นเพราะความบริสุทธิ์ของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์นี่เอง พระองค์จึงทรงพิพากษาพวกเจ้าและทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ใส่พวกเจ้า และเป็นเพราะพระองค์ทรงเห็นความเป็นกบฏของมวลมนุษย์โดยแท้ พระองค์จึงทรงเผยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์ให้เห็น  ความโสมมและความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทำให้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ปรากฏออกมา  นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ทรงบริสุทธิ์และไร้ที่ติ ทว่ายังดำรงพระชนม์ชีพในแผ่นดินแห่งความโสมม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีที่ขั้นตอนที่สองของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสัมฤทธิ์ผล

แท้จริงแล้ว พระราชกิจที่กำลังทรงทำอยู่ตอนนี้คือการทำให้ผู้คนละทิ้งซาตาน บรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขา  การพิพากษาทั้งมวลโดยพระวจนะมุ่งที่จะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ และทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตได้  การพิพากษาซ้ำๆ เหล่านี้เสียดแทงหัวใจของผู้คน  การพิพากษาแต่ละครั้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของพวกเขา และหมายให้สร้างบาดแผลแก่หัวใจของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขามารู้จักชีวิต รู้จักโลกที่โสมมนี้ รู้จักพระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และรู้จักมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกด้วย  ยิ่งมนุษย์ได้รับการตีสอนและการพิพากษาประเภทนี้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของมนุษย์ก็ยิ่งสามารถได้รับบาดเจ็บมากขึ้นและวิญญาณของเขาก็ยิ่งสามารถถูกปลุกให้ตื่นมากขึ้นเท่านั้น  การปลุกวิญญาณของผู้คนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามสุดขีดและถูกหลอกลวงอย่างลึกล้ำมากที่สุดเหล่านี้ให้ตื่นคือเป้าหมายของการพิพากษาประเภทนี้  มนุษย์ไม่มีวิญญาณ นั่นคือวิญญาณของเขาได้ตายไปนานแล้ว และเขาหารู้ไม่ว่ามีฟ้าสวรรค์ หารู้ไม่ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่ง และหารู้ไม่อย่างแน่นอนว่าเขากำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงเหวแห่งความตาย เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าเขากำลังมีชีวิตอยู่ในนรกชั่วนี้บนแผ่นดินโลก?  เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าศพเน่าเหม็นของเขานี้ได้ตกลงไปในแดนคนตายโดยผ่านทางการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน?  เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกได้ถูกมวลมนุษย์ทำให้ย่อยยับจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้นานแล้ว?  และเขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าพระผู้สร้างได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในวันนี้ และกำลังทรงค้นหากลุ่มคนที่เสื่อมทรามที่พระองค์จะสามารถช่วยให้รอดได้?  แม้หลังจากที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับทุกกระบวนการถลุงและทุกการพิพากษาที่เป็นไปได้ แต่จิตสำนึกที่ทึมทึบของเขาก็ยังคงแทบไม่รู้สึกตัว และจริงๆ แล้วไม่ตอบสนองแต่อย่างใดเลย  มนุษยชาติช่างเสื่อมนัก!  และแม้ว่าการพิพากษาประเภทนี้จะเป็นเหมือนลูกเห็บโหดร้ายที่ตกลงมาจากฟ้า แต่ก็เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดต่อมนุษย์  หากไม่เป็นเพราะการพิพากษาผู้คนเยี่ยงนี้ก็คงจะไม่มีผลลัพธ์และคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะช่วยผู้คนให้รอดจากห้วงเหวแห่งความระทมทุกข์  หากไม่เป็นเพราะพระราชกิจนี้ก็คงจะยากยิ่งที่ผู้คนจะออกมาจากแดนคนตาย เพราะหัวใจของพวกเขาได้ตายไปนานแล้ว และวิญญาณของพวกเขาได้ถูกซาตานเหยียบย่ำนานมาแล้ว  การช่วยพวกเจ้าที่ได้จมลงสู่ก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของความเสื่อมให้รอดพึงต้องมีการร้องเรียกพวกเจ้าอย่างแข็งขัน พิพากษาพวกเจ้าอย่างแข็งขัน  เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะปลุกหัวใจที่เย็นจนแข็งของพวกเจ้าให้ตื่น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้

ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อเริ่มต้นยุคใหม่ เพื่อเปลี่ยนวิถีทางที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติงาน และเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของทั้งยุค  นี่คือหลักการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติงานในยุคพระวจนะ  พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อพูดจากมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อที่มนุษย์อาจได้เห็นพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ทรงเป็นพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และอาจสามารถมองเห็นพระปรีชาญาณและความมหัศจรรย์ของพระองค์  พระราชกิจเช่นนั้นทำไปเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นในการพิชิตมนุษย์ การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และการขับมนุษย์ออกไป ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของการใช้พระวจนะเพื่อปฏิบัติพระราชกิจในยุคพระวจนะ  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนจึงได้มารู้จักกับพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของมนุษย์ และสิ่งที่มนุษย์ควรเข้าสู่  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะทำในยุคพระวจนะจึงถูกนำพาไปสู่การบังเกิดผลโดยครบถ้วนบริบูรณ์  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนได้ถูกเปิดโปง ถูกขับออกไป และถูกทดสอบ  ผู้คนได้เห็นพระวจนะของพระเจ้า ได้ยินพระวจนะเหล่านี้ และระลึกรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของพระวจนะเหล่านี้  ผลก็คือ พวกเขาได้มาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ในฤทธานุภาพสูงสุดและพระปรีชาญาณของพระเจ้า รวมทั้งในความรักของพระเจ้าที่มีให้กับมนุษย์ และความปรารถนาของพระองค์ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  คำว่า “พระวจนะ” อาจฟังดูเรียบง่ายและธรรมดาสามัญ แต่พระวจนะที่กล่าวจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นสั่นสะเทือนจักรวาล พระวจนะเหล่านั้นแปลงสภาพหัวใจของผู้คน แปลงสภาพมโนคติที่หลงผิดและอุปนิสัยแต่เดิมของพวกเขา และแปลงสภาพหนทางที่โลกทั้งโลกเคยปรากฏ  ตลอดหลายยุคหลายสมัยมานั้น มีเพียงพระเจ้าของวันนี้เท่านั้นที่ได้ทรงพระราชกิจด้วยวิธีนี้ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ตรัสด้วยเหตุนี้และเสด็จมาช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเหตุนี้  จากเวลานี้ไป มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ได้รับการเลี้ยงและจัดหาให้โดยพระวจนะของพระองค์  ผู้คนใช้ชีวิตในโลกแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่ามกลางคำสาปแช่งและพรของพระวจนะของพระเจ้า และมีผู้คนมากกว่านั้นอีกที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์  พระวจนะเหล่านี้และพระราชกิจนี้ล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อความรอดของมนุษย์ เพื่อประโยชน์ต่อการทำให้น้ำพระทัยพระเจ้าลุล่วง และเพื่อประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงรูปสัณฐานดั้งเดิมของโลกแห่งการทรงสร้างเดิม  พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกโดยใช้พระวจนะ  พระองค์ทรงนำทางผู้คนทั่วทั้งจักรวาลโดยใช้พระวจนะ และพระองค์ทรงพิชิตและช่วยพวกเขาให้รอดโดยใช้พระวจนะ  ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์จะทรงใช้พระวจนะเพื่อนำพาโลกเดิมทั้งโลกไปสู่บทอวสาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระองค์สำเร็จบริบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ

ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมเป็นหลัก  พระองค์ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อบีบคั้นมนุษย์ หรือโน้มน้าวมนุษย์ การนี้ไม่สามารถทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น  หากพระเจ้าเพียงได้แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ความสัมพันธ์กับความจริงของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  พระเจ้าไม่ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่ทรงใช้พระวจนะเพื่อให้น้ำและเลี้ยงดูมนุษย์ ซึ่งหลังจากนั้น ความนบนอบอันครบบริบูรณ์ของมนุษย์และความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าจึงสัมฤทธิ์ผล  นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัติและพระวจนะซึ่งพระองค์ตรัส  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม—พระองค์ทรงใช้พระวจนะ และทรงใช้วิธีการอันแตกต่างหลากหลายของพระราชกิจในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ไม่ว่าจะเป็นการถลุง การตัดแต่ง หรือการจัดเตรียมพระวจนะ พระเจ้าตรัสจากมุมมองอันแตกต่างหลากหลายเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และเพื่อให้มนุษย์มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจ พระปัญญา และความอัศจรรย์ของพระเจ้า… เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้ชนะกลุ่มหนึ่งถูกรับไว้จากทิศตะวันออก ซึ่งเป็นบรรดาผู้ชนะที่มาจากท่ามกลางความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง  วจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?  วจนะเหล่านี้หมายความว่า ผู้คนที่ถูกรับไว้แล้วนี้นบนอบอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน การตัดแต่ง และการถลุงทุกประเภทแล้วเท่านั้น  การเชื่อของผู้คนเหล่านี้ไม่คลุมเครือและเป็นนามธรรม แต่เป็นความจริงแท้  พวกเขายังไม่ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดๆ หรือปาฏิหาริย์ใดๆ พวกเขาไม่พูดถึงคำพูดและคำสอนที่เข้าใจยาก หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่ลุ่มลึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับมีความเป็นจริงและพระวจนะของพระเจ้าและความรู้แท้จริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับความจริงของพระเจ้า  กลุ่มแบบนี้ย่อมสามารถทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นที่ชัดแจ้งได้มากกว่ามิใช่หรือ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

ในพระราชกิจสุดท้ายแห่งการสรุปปิดตัวยุค พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยแห่งการตีสอนและการพิพากษา ซึ่งพระองค์ทรงใช้เผยสิ่งที่ไม่ชอบธรรมทั้งปวง เพื่อพิพากษากลุ่มชนทั้งหมดอย่างเปิดเผย และเพื่อทำให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ด้วยหัวใจที่จริงใจมีความเพียบพร้อม  มีเพียงพระอุปนิสัยเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถนำยุคไปถึงปลายทางได้  ยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว  สรรพสิ่งทรงสร้างจะถูกแยกไปตามประเภทของตน และจะถูกแบ่งออกเป็นจำพวกต่างๆ กันตามธรรมชาติของตน  นี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงเผยจุดจบของมนุษยชาติและบั้นปลายของพวกเขา  หากผู้คนมิได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้วไซร้ ก็ย่อมจะไม่มีหนทางเปิดโปงความไม่เชื่อฟังและความไม่ชอบธรรมของพวกเขา  มีเพียงโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาเท่านั้นที่จะสามารถเผยจุดจบของสรรพสิ่งทรงสร้างได้  มนุษย์แสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเฉพาะเมื่อเขาถูกตีสอนและถูกพิพากษาเท่านั้น  คนชั่วจะถูกนำไปอยู่กับคนชั่ว คนดีอยู่กับคนดี และมนุษยชาติทั้งปวงจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา  จุดจบของสรรพสิ่งทรงสร้างจะได้รับการเปิดเผยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่คนชั่วอาจได้รับการลงโทษและคนดีได้รับบำเหน็จรางวัล และผู้คนทั้งปวงกลับกลายมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า  พระราชกิจทั้งหมดนี้จะต้องสัมฤทธิ์โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาที่ชอบธรรม  เนื่องจากความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว และความไม่เชื่อฟังของพวกเขากลับกลายเป็นร้ายแรงเหลือหลาย จึงมีเพียงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระอุปนิสัยที่ประกอบด้วยการตีสอนและการพิพากษาเป็นสำคัญ และเป็นพระอุปนิสัยที่ถูกเปิดเผยในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถแปลงสภาพมนุษย์และทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมได้  มีเพียงพระอุปนิสัยนี้เท่านั้นที่สามารถเปิดโปงคนชั่ว และด้วยเหตุนี้จึงสามารถลงโทษพวกที่ไม่ชอบธรรมทั้งหมดอย่างรุนแรงได้  ดังนั้นพระอุปนิสัยเช่นนี้จึงบรรจุความสำคัญของยุคเอาไว้ และการเปิดเผยและแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดก็เป็นไปเพื่อพระราชกิจของยุคใหม่แต่ละยุค  มิใช่ว่าพระเจ้าเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ตามใจชอบและโดยไม่มีนัยสำคัญ  สมมุติว่าในการเปิดเผยจุดจบของมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าจะยังคงประทานความสงสารและความรักอันไม่สิ้นสุดแก่มนุษย์และเปี่ยมรักต่อเขาต่อไป โดยไม่ให้มนุษย์ได้รับการพิพากษาอันชอบธรรม แต่กลับทรงแสดงให้เขาเห็นการยอมผ่อนปรน ความอดทน และการให้อภัย และทรงยกโทษให้มนุษย์ไม่ว่าบาปของเขาจะใหญ่หลวงเพียงใด โดยไม่มีการพิพากษาอันชอบธรรมแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นแล้ว การบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าจะถึงกาลสิ้นสุดลงเมื่อใด?  พระอุปนิสัยเช่นนี้จะสามารถนำทางผู้คนไปสู่บั้นปลายที่เหมาะสมของมวลมนุษย์ได้เมื่อใด?  จงดูตัวอย่างของผู้พิพากษาคนหนึ่งที่เปี่ยมรักอยู่เสมอ ผู้พิพากษาที่มีใบหน้าที่ใจดีและหัวใจที่อ่อนโยน  เขารักผู้คนโดยไม่คำนึงถึงอาชญากรรมที่พวกเขาอาจก่อเอาไว้ และเขาเปี่ยมรักและอดกลั้นกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร  ในกรณีนั้น เมื่อใดเขาจึงจะสามารถมีคำพิพากษาที่ยุติธรรมได้เสียที?  ในระหว่างยุคสุดท้าย มีเพียงการพิพากษาอันชอบธรรมเท่านั้นที่สามารถแยกมนุษย์ไปตามประเภทของพวกเขาและพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรใหม่ได้  ในหนทางนี้ ทั้งยุคย่อมไปถึงปลายทางโดยผ่านทางพระอุปนิสัยอันชอบธรรมแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

บรรดาผู้ซึ่งมีความสามารถที่จะตั้งมั่นในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าช่วงระหว่างยุคสุดท้าย—กล่าวคือ ในระหว่างพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ขั้นสุดท้ายนั้น—จะเป็นบรรดาผู้ซึ่งจะเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้ายเคียงข้างพระเจ้า เช่นนี้เอง บรรดาผู้ซึ่งเข้าสู่การหยุดพักทั้งหมดนั้นจะหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน และจะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าหลังจากได้ก้าวผ่านพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ขั้นสุดท้ายของพระองค์แล้ว  พวกมนุษย์เหล่านี้ ผู้ซึ่งในที่สุดจะได้ถูกรับไว้โดยพระเจ้านั้น จะเข้าสู่การหยุดพักขั้นสุดท้าย  โดยแก่นแท้แล้วจุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหมายที่จะชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ เพื่อการหยุดพักขั้นสุดท้าย มิเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีมนุษย์คนใดถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มแตกต่างกันตามประเภท หรือเข้าสู่การหยุดพักได้  พระราชกิจนี้เป็นเพียงเส้นทางเดียวเท่านั้นของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่การหยุดพัก  เฉพาะพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชำระพวกมนุษย์ให้สะอาดจากความไม่ชอบธรรมของพวกเขา และเฉพาะพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์เท่านั้นที่จะนำส่วนประกอบของมนุษยชาติที่เป็นกบฏเหล่านั้นไปสู่ความสว่าง ด้วยวิธีนั้น จึงเป็นการแยกบรรดาผู้ที่สามารถถูกช่วยให้รอดออกจากบรรดาผู้ที่ไม่สามารถถูกช่วยให้รอดได้ และแยกบรรดาผู้ที่จะคงเหลืออยู่ออกจากบรรดาผู้ที่จะไม่คงเหลืออยู่ได้  เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง บรรดาผู้คนที่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่จะถูกชำระให้สะอาดทั้งหมดและเข้าสู่สภาวะที่สูงขึ้นของมนุษยชาติ ซึ่งพวกเขาจะได้ชื่นชมกับชีวิตที่สองของมนุษย์อันน่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นบนแผ่นดินโลก กล่าวคือ พวกเขาจะเริ่มวันแห่งการหยุดพักแบบมนุษย์ของพวกเขา และดำรงอยู่ร่วมกันกับพระเจ้า  หลังจากที่บรรดาผู้ไม่ได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ได้ถูกตีสอนและถูกพิพากษาแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกตีแผ่ออกมาโดยถ้วนทั่ว ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดจะถูกทำลาย และไม่ได้รับอนุญาตให้รอดชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกอีกต่อไป เช่นเดียวกับซาตาน  มนุษยชาติแห่งอนาคตจะไม่รวมเข้ากับผู้คนประเภทนี้คนใดเลยอีกต่อไป ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าสู่แผ่นดินแห่งการหยุดพักขั้นสูงสุด อีกทั้งไม่เหมาะสมที่จะร่วมในวันแห่งการหยุดพักที่พระเจ้าและมนุษยชาติจะร่วมแบ่งปันกัน ด้วยเพราะพวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งการลงโทษและเป็นผู้คนไม่ชอบธรรมที่ชั่วร้าย  พวกเขาเคยได้รับการไถ่มาครั้งหนึ่ง และพวกเขายังได้ถูกพิพากษาและถูกตีสอนด้วย ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยลงแรงเพื่อพระเจ้าด้วยเช่นกัน  อย่างไรก็ตาม เมื่อวันสุดท้ายมาถึง พวกเขาจะยังคงถูกกำจัดออกไปและถูกทำลายเนื่องจากความชั่วร้ายของพวกเขา และเป็นผลมาจากความเป็นกบฏและการไม่สามารถได้รับการไถ่ของพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันได้มาอยู่ในโลกแห่งอนาคตอีกครั้ง และจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์แห่งอนาคตอีกต่อไป  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นวิญญาณของคนตายหรือเป็นผู้คนที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง คนทำชั่วทั้งหมดและพวกที่ไม่ได้ถูกช่วยให้รอดทั้งหมดจะถูกทำลายทันทีที่ผู้บริสุทธิ์ในท่ามกลางมนุษยชาติเข้าสู่การหยุดพัก  สำหรับวิญญาณและพวกมนุษย์ที่ทำชั่วเหล่านี้ หรือวิญญาณของผู้คนที่ชอบธรรมและบรรดาผู้ที่ทำความชอบธรรม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในยุคใด พวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่เป็นคนชั่วจะถูกทำลายในที่สุด และพวกเขาเหล่านั้นทั้งหมดที่ชอบธรรมจะรอดชีวิต  การที่บุคคลหรือวิญญาณจะได้รับความรอดหรือไม่นั้น ไม่ได้ถูกตัดสินบนพื้นฐานของพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายโดยสิ้นเชิง ตรงกันข้าม มันจะถูกกำหนดโดยการที่พวกเขาได้ต้านทานหรือกบฏต่อพระเจ้าหรือไม่ต่างหาก  ผู้คนในยุคก่อนหน้านี้ ผู้ซึ่งกระทำชั่วและไม่สามารถได้รับความรอดได้ จะเป็นเป้าหมายสำหรับการลงโทษโดยไม่มีข้อสงสัย และพวกที่อยู่ในยุคปัจจุบัน ผู้ซึ่งกระทำความชั่วและไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดก็จะเป็นเป้าหมายสำหรับการลงโทษอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน  พวกมนุษย์จะถูกแบ่งกลุ่มไปตามความดีและความชั่ว ไม่ใช่ตามยุคสมัยที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่  เมื่อถูกแบ่งกลุ่มดังนี้แล้ว พวกเขาจะไม่ถูกลงโทษหรือได้รับบำเหน็จรางวัลในทันที แต่ทว่าพระเจ้าจะทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการลงโทษคนชั่วและให้บำเหน็จรางวัลคนดีก็ต่อเมื่อหลังจากที่พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นการดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในยุคสุดท้ายของพระองค์แล้วเท่านั้น  อันที่จริง พระองค์ทรงแยกมนุษย์ออกเป็นคนดีและคนชั่วมาตั้งแต่ที่พระองค์ทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแล้ว  พระองค์เพียงแค่จะให้บำเหน็จรางวัลคนชอบธรรมและลงโทษคนชั่วเฉพาะหลังจากที่พระราชกิจของพระองค์ได้มาถึงบทอวสานแล้วเท่านั้น  ไม่ใช่ว่าพระองค์จะทรงแยกพวกเขาออกเป็นกลุ่มๆ เมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว จากนั้นก็เริ่มภารกิจแห่งการลงโทษคนชั่วและให้รางวัลคนดีในทันที แต่ภารกิจนี้จะกระทำต่อเมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นหมดแล้วเท่านั้น จุดประสงค์ทั้งหมดทั้งมวลเบื้องหลังพระราชกิจขั้นสูงสุดแห่งการลงโทษคนชั่วและการให้บำเหน็จรางวัลคนดีของพระเจ้านั้นคือการชำระพวกมนุษย์ทั้งหมดให้บริสุทธิ์อย่างถ้วนทั่ว เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงนำมนุษยชาติที่บริสุทธิ์สะอาดเข้าสู่การหยุดพักอันเป็นนิรันดร์ได้  พระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระองค์มีความสำคัญยิ่งยวดเป็นที่สุด ซึ่งเป็นช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งหมด  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงทำลายคนชั่ว แต่กลับทรงยอมให้พวกเขาคงเหลืออยู่ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ทุกคนก็จะยังคงไร้ความสามารถที่จะเข้าสู่การหยุดพักได้ และพระเจ้าก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะนำมนุษยชาติทั้งหมดเข้าสู่อาณาจักรที่ดีกว่าได้  พระราชกิจดังกล่าวก็คงจะไม่ครบบริบูรณ์  เมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นลง มนุษยชาติทั้งหมดจะบริสุทธิ์อย่างถ้วนบริบูรณ์ ด้วยหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในการหยุดพักได้อย่างมีสันติสุข

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน

ฉากตัดตอนจากภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติ

พระสัญญาของพระเจ้าต่อคนอิสราเอล

พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกและกลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

คำพยานจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง

ในที่สุดฉันก็พบเส้นทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์

คำเทศนาที่เกี่ยวข้อง

องค์พระเยซูเจ้าทรงไถ่มวลมนุษย์แล้วเหตุใดพระองค์จึงทรงงานพิพากษาเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย

เพลงนมัสการที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าทรงนำพระราชกิจใหม่มาในยุคใหม่

พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร

การพิพากษาวาระสิ้นสุดอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นแยกประเภทมนุษย์

จุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้า

ก่อนหน้า: ก) จุดประสงค์ของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะ

ถัดไป: ค) สัมพันธภาพระหว่างพระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger