พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า (3)
หัวข้อที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันครั้งล่าสุด เป็นเรื่องเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับแง่มุมใดของพระเจ้าพระองค์เอง? เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่? (เกี่ยวข้อง) ดังนั้นแล้ว แง่มุมหลักของแก่นแท้ของพระเจ้าที่พวกเราได้ระบุไว้ในการสามัคคีธรรมของพวกเราคือสิ่งใด? คือความบริสุทธิ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่? ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือแก่นแท้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า อะไรคือเนื้อหาหลักของการสามัคคีธรรมของพวกเราครั้งล่าสุด? (การมีวิจารณญาณในเรื่องความเลวของซาตาน นั่นคือ วิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามโดยใช้ความรู้ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมตามประเพณี ความเชื่อเรื่องโชคลาง และกระแสนิยมทั้งหลายทางสังคม) นี่เป็นหัวข้อหลักที่พวกเราได้หารือกันครั้งล่าสุด ซาตานใช้ความรู้ วิทยาศาสตร์ ความเชื่อเรื่องโชคลาง วัฒนธรรมตามประเพณี และกระแสนิยมทั้งหลายทางสังคมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม เหล่านี้คือวิธีทั้งหลาย—ที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม—รวมทั้งหมดเป็นห้าวิธี วิธีใดในบรรดาวิธีเหล่านี้ที่เจ้าคิดว่าซาตานใช้มากที่สุดเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม? วิธีใดคือวิธีที่ถูกใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกที่สุด? (วัฒนธรรมตามประเพณี นี่เป็นเพราะปรัชญาเยี่ยงซาตาน เช่น หลักคำสอนของขงจื๊อและเม่งจื๊อ ฝังแน่นลึกในจิตใจของพวกเรา) ดังนั้น พี่น้องชายหญิงบางคนจึงคิดว่าคำตอบคือ “วัฒนธรรมตามประเพณี” ใครมีคำตอบที่แตกต่างออกไปบ้าง? (ความรู้ ความรู้จะไม่มีวันปล่อยให้พวกเรานมัสการพระเจ้า มันปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า และปฏิเสธการทรงปกครองของพระเจ้า นั่นจึงกล่าวได้ว่า ซาตานบอกให้พวกเราเริ่มเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย และบอกว่าโดยการเรียนและการได้รับความรู้เท่านั้น พวกเราจึงจะมีความสำเร็จอันสดใสที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ในอนาคตของพวกเราและชะตากรรมที่มีความสุข) ซาตานใช้ความรู้เพื่อควบคุมอนาคตและชะตากรรมของเจ้า และแล้วมันก็จะจูงจมูกนำทางเจ้าไป นี่คือวิธีที่เจ้าคิดว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกที่สุด ดังนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คิดว่าเป็นความรู้นั่นเองที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกที่สุด มีใครอีกไหมที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไป? แล้วถ้าเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หรือกระแสนิยมทั้งหลายทางสังคมล่ะ? มีใครไหมที่จะระบุว่าสิ่งเหล่านี้เป็นคำตอบ? (มี) วันนี้ เราจะสามัคคีธรรมอีกครั้งเกี่ยวกับห้าวิธีที่ซาตานใช้ในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และทันทีที่เราทำเสร็จสิ้นแล้ว เราจะถามคำถามเพิ่มเติมกับพวกเจ้า เพื่อที่พวกเราจะสามารถเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วซาตานใช้สิ่งใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกที่สุด
ห้าหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
1. ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และมันใช้ชื่อเสียงกับผลประโยชน์ควบคุมมนุษย์
ในบรรดาห้าวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามนั้น วิธีแรกที่พวกเราได้กล่าวถึงคือความรู้ ดังนั้นพวกเรามาใช้ความรู้เป็นหัวข้อแรกของพวกเราสำหรับการสามัคคีธรรมกันเถิด ซาตานใช้ความรู้เป็นเหยื่อล่อ จงฟังให้ดีว่า ความรู้เป็นแค่เหยื่อล่อชนิดหนึ่งเท่านั้น ผู้คนถูกล่อลวงให้เรียนหนักและปรับปรุงตัวเองวันแล้ววันเล่า เพื่อปรับใช้ความรู้เป็นอาวุธและเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความรู้นั้น และก็เพื่อใช้ความรู้เพื่อเปิดประตูใหญ่สู่วิทยาศาสตร์ อีกนัยหนึ่งก็คือ ยิ่งเจ้าได้รับความรู้มากขึ้นเพียงใด เจ้าก็ยิ่งจะเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น ซาตานบอกการนี้ทั้งหมดแก่ผู้คน มันบอกให้ผู้คนหล่อเลี้ยงอุดมคติอันสูงส่งขณะที่พวกเขากำลังศึกษาหาความรู้ อบรมสั่งสอนให้พวกเขาสร้างสมความมักใหญ่ใฝ่สูงและความทะเยอทะยาน ซาตานถ่ายทอดข่าวสารมากมายเยี่ยงนี้โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัวเลย อันเป็นเหตุให้ผู้คนรู้สึกไปโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องหรือเป็นประโยชน์ ผู้คนเหยียบย่างบนเส้นทางนี้โดยที่ไม่รู้ตัว ถูกนำทางไปข้างหน้าโดยอุดมคติและความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาเองโดยที่ไม่รู้ตัว พวกเขาก็เรียนรู้ไปทีละขั้นทีละตอนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจจากความรู้ที่ซาตานมอบให้เกี่ยวกับวิธีคิดของผู้คนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง พวกเขายังเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากความประพฤติของผู้คนที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพวกวีรบุรุษ ซาตานกำลังให้การสนับสนุนอะไรแก่มนุษย์หรือ ในความประพฤติทั้งหลายของวีรบุรุษเหล่านี้? มันต้องการปลูกฝังอะไรในมนุษย์? มนุษย์ผู้นั้นจะต้องรักชาติ มีความสัตย์สุจริตต่อชาติ และมีจิตวิญญาณอันหาญกล้า มนุษย์เรียนรู้อะไรหรือจากเรื่องราวทั้งหลาย ทางประวัติศาสตร์หรืออัตชีวประวัติของบรรดาบุคคลสำคัญที่เป็นวีรบุรุษ? เรียนรู้ที่จะมีสำนึกรับรู้เกี่ยวกับความจงรักภักดีส่วนบุคคล เรียนรู้ที่จะตระเตรียมทำอะไรก็ตามให้กับเพื่อนฝูงและบรรดาพี่น้องของคนเรา ภายในความรู้นี้ของซาตาน มนุษย์เรียนรู้หลายสิ่งโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไม่ใช่ด้านบวกเลยแม้แต่น้อย ในท่ามกลางการไม่ตระหนักรู้ของมนุษย์ เมล็ดพันธุ์ซึ่งซาตานได้ตระเตรียมเอาไว้ก็ถูกปลูกเพาะลงในจิตใจที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ของผู้คน เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาควรที่จะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ควรที่จะมีชื่อเสียง ควรที่จะเป็นวีรบุรุษ ควรที่จะรักชาติ เป็นคนที่รักครอบครัวของพวกเขา และเป็นคนที่จะทำอะไรก็ตามเพื่อเพื่อนและมีสำนึกแห่งความจงรักภักดีส่วนบุคคล เมื่อถูกซาตานล่อใจ พวกเขาเดินไปบนถนนที่มันได้เตรียมไว้ให้พวกเขาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนสายนี้ พวกเขาถูกบีบบังคับให้ยอมรับกฎเกณฑ์ของซาตานสำหรับการดำรงชีวิต โดยที่ไม่ตระหนักรู้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาพัฒนากฎเกณฑ์ของพวกเขาเองซึ่งพวกเขาใช้ในการดำรงชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรมากไปกว่ากฎเกณฑ์ของซาตาน ซึ่งมันได้ปลูกฝังในตัวพวกเขาอย่างหนักแน่น ในระหว่างกระบวนการเรียนรู้ ซาตานทำให้พวกเขาหล่อเลี้ยงวัตถุประสงค์ของพวกเขาเองและกำหนดเป้าหมายในชีวิต กฎเกณฑ์ที่จะใช้ในการดำรงชีวิต และทิศทางในชีวิตของพวกเขาเอง ปลูกฝังสิ่งทั้งหลายของซาตานในตัวพวกเขาตลอดเวลา โดยใช้เรื่องราว อัตชีวประวัติทั้งหลาย และวิถีทางอื่นทั้งหมดที่เป็นไปได้เพื่อล่อลวงผู้คนทีละน้อยจนกว่าพวกเขาจะฮุบเหยื่อ ด้วยวิธีนี้ ในช่วงระหว่างการเรียนรู้ของพวกเขา บางคนมาชอบวรรณคดี บางคนชอบเศรษฐศาสตร์ คนอื่นๆ ชอบดาราศาสตร์หรือภูมิศาสตร์ แล้วก็มีบางคนที่มาชอบการเมือง บางคนที่ชอบฟิสิกส์ บางคนชอบวิชาเคมี และยังมีแม้กระทั่งคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่ชอบเทววิทยา เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนทั้งหลายของสิ่งที่ใหญ่กว่ามากซึ่งก็คือความรู้ ในหัวใจของเจ้า เจ้าแต่ละคนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เจ้าแต่ละคนได้เคยสัมผัสกับพวกมันมาก่อน เจ้าแต่ละคนสามารถพูดเรื่อยไปอย่างไม่สิ้นสุดเกี่ยวกับสาขาใดสาขาหนึ่งของความรู้เหล่านี้ และดังนั้นจึงชัดเจนว่าความรู้นี้ได้เข้าสู่จิตใจของพวกมนุษย์อย่างดิ่งลึกเพียงใด ง่ายเหลือเกินที่จะมองเห็นตำแหน่งที่ถูกความรู้นี้ยึดครองในจิตใจของผู้คน และเห็นว่าผลที่มันมีต่อพวกเขานั้นดิ่งลึกเพียงใด ครั้นใครบางคนเริ่มมีความชื่นชอบในหน้าฉากหนึ่งของความรู้ เมื่อบุคคลหนึ่งได้ตกหลุมรักมันอย่างดิ่งลึก พวกเขาก็ย่อมเริ่มมีความมักใหญ่ใฝ่สูงโดยไม่รู้ตัว อาทิเช่น ผู้คนบางคนต้องการเป็นนักเขียน บางคนต้องการเป็นนักประพันธ์วรรณกรรม บางคนต้องการมีอาชีพการงานทางการเมือง และบางคนต้องการมีส่วนร่วมในทางเศรษฐศาสตร์และกลายเป็นพวกคนทำธุรกิจ แล้วก็ยังมีผู้คนในสัดส่วนหนึ่งที่ต้องการเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือมีชื่อเสียง ไม่ว่าใครคนหนึ่งต้องการเป็นบุคคลประเภทใดก็ตาม เป้าหมายของพวกเขาก็คือการรับวิธีการศึกษาหาความรู้นี้ไว้และใช้มันเพื่อปลายทางของพวกเขาเอง เพื่อทำให้ความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาเอง ไม่สำคัญว่ามันจะฟังดูดีเพียงใด—ไม่ว่าพวกเขาต้องการสัมฤทธิ์ความฝันของพวกเขา ไม่ต้องการสูญชีวิตของพวกเขาไปเปล่าๆ หรือต้องการมีอาชีพการงานเฉพาะสักอย่างหรือไม่ก็ตาม—พวกเขาหล่อเลี้ยงอุดมคติและความมักใหญ่ใฝ่สูงอันสูงส่งเหล่านี้ไว้ ว่าแต่ทั้งหมดนี้โดยแก่นแท้แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร? พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามนี้มาก่อนหรือไม่? เหตุใดหตุใดซาตานจึงกระทำการในหนทางนี้? อะไรคือจุดประสงค์ของซาตานในการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในมนุษย์? หัวใจของพวกเจ้าต้องเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับคำถามนี้
ตอนนี้ พวกเรามาพูดถึงวิธีที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามกันเถิด ก่อนอื่นพวกเราต้องมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ว่า ซาตานต้องการใช้ความรู้ให้อะไรกับมนุษย์? มันต้องการนำทางมนุษย์ไปตามถนนแบบใดกัน? (ถนนของการต้านทานพระเจ้า) ใช่แล้ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ—เพื่อต้านทานพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถเห็นได้ว่านี่คือผลสืบเนื่องจากการที่ผู้คนได้รับความรู้—พวกเขาเริ่มที่จะต้านทานพระเจ้า แล้วอะไรหรือคือเหตุจูงใจอันส่อแววร้ายของซาตาน? เจ้าไม่เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับการนี้ ใช่หรือไม่? ช่วงระหว่างกระบวนการของการศึกษาหาความรู้ของมนุษย์ ซาตานใช้วิธีการทุกลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง การให้ความรู้เพียงแค่บางส่วนแก่พวกเขา หรือการเปิดโอกาสให้พวกเขาตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความมักใหญ่ใฝ่สูงมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขา ซาตานต้องการนำทางเจ้าล่องไปตามถนนใดกัน? ผู้คนคิดว่าการศึกษาหาความรู้นั้นไม่มีอะไรผิด ว่ามันเป็นธรรมชาติโดยทั้งหมดทั้งสิ้น หากจะพูดในแบบที่ฟังดูแล้วน่าสนใจ การหล่อเลี้ยงอุดมคติอันสูงส่งหรือการมีความมักใหญ่ใฝ่สูงก็คือการมีแรงขับเคลื่อน และนี่ควรจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต นั่นไม่ใช่หนทางอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าสำหรับการดำรงชีวิตของผู้คนหรอกหรือ หากพวกเขาสามารถตระหนักถึงอุดมคติของพวกเขาเอง หรือตั้งหลักในอาชีพการงานได้อย่างประสบความสำเร็จ? โดยการทำสิ่งเหล่านี้ คนเราไม่เพียงแค่สามารถให้เกียรติแก่บรรพบุรุษของตนได้เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะทิ้งรอยประทับของตนไว้ในประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน—นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ? นี่เป็นสิ่งที่ดีในสายตาของผู้คนทางโลก และสำหรับพวกเขามันควรเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นด้านบวก อย่างไรก็ดี ซาตานพาผู้คนไปตามถนนแบบนี้ด้วยสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของมัน และทั้งหมดรวมแล้วก็มีเท่านั้นใช่หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่ ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะสอดคล้องกับความเป็นจริงเพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก คำสองคำนี้สำคัญยิ่งชีพต่อชีวิตของทุกคน และคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์ คำสองคำนี้คืออะไรนะหรือ? คำสองคำนี้ก็คือ “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน” ซาตานใช้วิธีการชนิดที่แยบยลมาก วิธีการซึ่งเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยวิธีการนี้ทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของมันโดยไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และพวกเขายังเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย ไม่สำคัญว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงในชีวิตเหล่านี้อาจดูโอ่อ่าผ่าเผยเพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน” อย่างแยกกันไม่ออก ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงนั้นก็คือผู้คนทั้งหมด—ดำเนินรอยตามในชีวิต มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสองคำนี้เท่านั้นคือ “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน” ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อให้ได้ชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีแบบมัวเมาของเนื้อหนัง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนซึ่งมวลมนุษย์ละโมบยิ่งนัก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ แม้ไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่อึดใจ ไม่รู้เท่าทันอยู่ร่ำไปถึงความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมา ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่ในเมื่อพวกเขาได้หลบภัยอยู่ในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งลงในปลักตมอย่างสมบูรณ์และอย่างถึงที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนจมปลักอยู่ในชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สดใส สิ่งที่ยุติธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและผลตอบแทนมีอยู่เหนือผู้คนนั้นมากเกินไป พวกมันกลายเป็นสิ่งสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี่ไม่จริงหรือไร? บางคนจะพูดว่าการศึกษาหาความรู้ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าการอ่านหนังสือหรือการเรียนรู้ไม่กี่สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ เพื่อที่จะได้ไม่ล้าสมัยหรือตามโลกไม่ทัน ความรู้นั้นเพียงเรียนรู้กันก็เพื่อที่พวกเขาจะสามารถหาอาหารมาวางบนโต๊ะได้ เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง หรือเพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลาย มีบุคคลใดหรือไม่ที่จะสู้ทนกับการเรียนหนักเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษเพียงเพื่อสิ่งจำเป็นพื้นฐานทั้งหลาย แค่เพื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง? ไม่ ไม่มีใครเยี่ยงนี้เลย ดังนั้นแล้วเหตุใดเล่าบุคคลหนึ่งจึงทนทุกข์จากความยากลำบากเหล่านี้ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา? มันเป็นไปเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ชื่อเสียงและผลตอบแทนกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ในที่ห่างไกล กวักมือเรียกพวกเขา และพวกเขาเชื่อว่าเพียงผ่านทางความขยัน ความยากลำบาก และการต่อสู้ดิ้นรนสารพัดของพวกเขาเองเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเดินไปตามถนนที่จะนำทางพวกเขาไปสู่การได้รับชื่อเสียงและผลตอบแทนได้ บุคคลดังกล่าวต้องทนทุกข์จากความยากลำบากเหล่านี้เพื่อเส้นทางในภายภาคหน้าของพวกเขาเอง เพื่อความชื่นชมยินดีในภายภาคหน้าของพวกเขา และเพื่อได้รับชีวิตที่ดีขึ้น ความรู้นี้คืออะไรหนอ—พวกเจ้าบอกเราได้หรือไม่? คือกฎและปรัชญาในการใช้ชีวิต อาทิ “รักพรรค รักชาติ และรักศาสนาของท่าน” และ “คนฉลาดนบนอบรูปการณ์แวดล้อม” มิใช่หรือที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวมนุษย์? มันไม่ใช่ “อุดมคติอันสูงส่ง” ของชีวิตที่ซาตานปลูกฝังเข้าในตัวมนุษย์หรอกหรือ? ดูตัวอย่างจากแนวคิดทั้งหลายของผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ความสัตย์สุจริตของคนที่มีชื่อเสียงหรือจิตวิญญาณหาญกล้าของบรรดาบุคคลสำคัญเยี่ยงวีรบุรุษ หรือดูความห้าวหาญและความเมตตาของบรรดาตัวละครเอกและนักดาบในนวนิยายศิลปะการต่อสู้—เหล่านี้ไม่ใช่หนทางทั้งหมดที่ซาตานใช้ในการปลูกฝังอุดมคติเหล่านี้หรอกหรือ? แนวคิดเหล่านี้มีอิทธิพลต่อคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และผู้คนของแต่ละรุ่นก็ถูกชักนำให้ยอมรับแนวคิดเหล่านี้ พวกเขาดิ้นรนต่อสู้อยู่เนืองนิตย์เพื่อไล่ตามเสาะหา “อุดมคติอันสูงส่ง” ที่พวกเขาถึงกับจะพลีอุทิศชีวิตให้ ซาตานใช้ความรู้มาทำให้ผู้คนเสื่อมทรามด้วยวิธีการและแนวทางเช่นนี้ ดังนั้นหลังจากที่ซาตานนำทางผู้คนมาบนเส้นทางนี้ พวกเขาจะสามารถนบนอบและนมัสการพระเจ้าได้กระนั้นหรือ? และพวกเขาจะสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงได้หรือ? ไม่อย่างแน่นอน—เพราะพวกเขาถูกซาตานนำทางให้หลงผิดเสียแล้ว พวกเรามาดูความรู้ ความคิด และความเห็นที่ซาตานปลูกฝังในตัวผู้คนกันอีกครั้งว่า สิ่งเหล่านี้มีความจริงของการนบนอบพระเจ้าและนมัสการพระเจ้าอยู่หรือไม่? มีความจริงของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอยู่หรือไม่? มีพระวจนะอันใดของพระเจ้าอยู่บ้างหรือไม่? มีอะไรในสิ่งเหล่านี้ที่สัมพันธ์กับความจริงหรือไม่? ไม่มีเลย—ไม่มีทั้งหมดนี้อย่างสิ้นเชิง พวกเจ้าแน่ใจได้หรือไม่ว่าสิ่งที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวผู้คนไม่มีความจริง? เจ้าไม่กล้าแน่ใจ—แต่นี่ไม่สำคัญ ตราบใดที่เจ้าตระหนักรู้ว่า “ชื่อเสียง” และ “ผลตอบแทน” เป็นสองคำสำคัญที่ซาตานใช้ชักจูงผู้คนเข้าสู่เส้นทางของความเลว ตราบนั้นนั่นย่อมเพียงพอแล้ว
พวกเรามาทบทวนกันแบบรวบรัดถึงสิ่งที่พวกเราได้หารือกันมาจนถึงตอนนี้เถิดว่า ซาตานใช้อะไรทำให้มนุษย์อยู่ภายในการควบคุมของมันอย่างมั่นคง? (ชื่อเสียงและผลตอบแทน) ดังนั้น ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และพวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวยิ่งขึ้นทุกที ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและผลตอบแทน พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลตอบแทนไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และหม่นมัว แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและผลตอบแทนเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้ผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อถึงเวลาที่เจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาจริงต่อพระเจ้า
2. ซาตานใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
พวกเราเพิ่งพูดถึงวิธีที่ซาตานใช้ความรู้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ดังนั้นต่อไปพวกเรามาสามัคคีธรรมกันถึงวิธีที่ซาตานใช้วิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามกันเถิด ประการแรก ซาตานใช้นามของวิทยาศาสตร์สนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ ความอยากของมนุษย์ที่จะสำรวจวิทยาศาสตร์และสืบสาวราวเรื่องความล้ำลึกทั้งหลาย ในนามของวิทยาศาสตร์ ซาตานสนองความต้องการด้านวัตถุของมนุษย์และข้อเรียกร้องของมนุษย์เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นซาตานจึงใช้วิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามด้วยข้ออ้างนี้นี่เอง เพียงการคิดของมนุษย์หรือจิตใจของมนุษย์เท่านั้นเองหรือที่ซาตานใช้วิทยาศาสตร์ทำให้เสื่อมทรามด้วยวิธีนี้? ในบรรดาผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย ในสิ่งรอบตัวของพวกเราที่พวกเราสามารถเห็นได้และที่พวกเราได้มาสัมผัสด้วย มีอะไรอื่นอีกในบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานทำให้เสื่อมทรามด้วยวิทยาศาสตร์? (สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ) ถูกต้อง ดูเหมือนว่าพวกเจ้าได้รับอันตรายจากการนี้อย่างยิ่ง และได้รับผลกระทบอย่างมาก นอกเหนือจากการใช้ผลการค้นหาและข้อสรุปนานาทางวิทยาศาสตร์มาชักพาให้มนุษย์หลงผิดแล้ว ซาตานยังใช้วิทยาศาสตร์เป็นวิถีทางในการดำเนินการทำลายล้างแบบเมามัน และการแสวงหาผลประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่มนุษย์อีกด้วย มันทำการนี้ภายใต้ข้ออ้างที่ว่า หากมนุษย์ดำเนินการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เช่นนั้นแล้วสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตและคุณภาพของชีวิตของมนุษย์ย่อมจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า จุดประสงค์ของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์นั้นก็เพื่อจัดสนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านวัตถุที่เพิ่มขึ้นรายวันของผู้คน รวมทั้งความต้องการที่จำเป็นของพวกเขาที่จะทำให้คุณภาพของชีวิตของพวกเขาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่คือพื้นฐานทางทฤษฎีของการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของซาตาน อย่างไรก็ดี วิทยาศาสตร์ได้นำสิ่งใดมาสู่มวลมนุษย์เล่า? สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเรา—และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวง—ไม่ได้สกปรกปนเปื้อนไปแล้วหรอกหรือ? อากาศที่มนุษย์หายใจไม่ได้ถูกปนเปื้อนไปแล้วหรอกหรือ? น้ำที่พวกเราดื่มไม่ได้มีมลพิษไปแล้วหรอกหรือ? อาหารที่พวกเรากินยังคงมาจากเกษตรอินทรีย์และเป็นธรรมชาติอยู่หรือ? ธัญพืชและผักส่วนใหญ่มีการดัดแปลงพันธุกรรม เจริญเติบโตด้วยปุ๋ย และบางชนิดก็เป็นสายพันธุ์ที่ใช้วิทยาศาสตร์สร้างขึ้นมา ผักและผลไม้ที่เรากินนั้นไม่เป็นธรรมชาติอีกต่อไป แม้กระทั่งไข่ธรรมชาติก็พบได้ไม่ง่ายอีกต่อไป และไข่ก็ไม่มีรสชาติเหมือนที่เคยมีอีกต่อไป เมื่อได้ถูกแปรรูปโดยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ของซาตานไปแล้ว เมื่อมองดูที่ภาพใหญ่ บรรยากาศทั้งสิ้นได้ถูกทำลายและทำให้เป็นมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ทะเลสาบ ป่าไม้ แม่น้ำ มหาสมุทร และทุกสิ่งที่อยู่เหนือและใต้ผืนดินทั้งหมดได้ถูกทำให้ย่อยยับโดยสิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ สรุปรวบรัดได้ว่า สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติทั้งมวล สิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบแก่มวลมนุษย์ได้ถูกทำลายและถูกทำให้ย่อยยับโดยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ได้รับสิ่งที่พวกเขาหวังอยู่ตลอดเวลาในด้านคุณภาพของชีวิตที่พวกเขาแสวงหา สนองทั้งความอยากได้อยากมีของพวกเขาและเนื้อหนังของพวกเขา สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่นั้นโดยสาระสำคัญแล้วได้ถูกทำลายและทำให้ย่อยยับโดย “ผลสัมฤทธิ์” อันหลากหลายซึ่งวิทยาศาสตร์นำพามา บัดนี้ พวกเราไม่มีสิทธิ์อีกแล้วที่จะหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปสักเฮือกหนึ่ง นี่ไม่ใช่ความโศกเศร้าของมวลมนุษย์หรอกหรือ? มีความสุขใดหลงเหลือให้มนุษย์พูดถึงบ้างไหม ในเมื่อพวกเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่แบบนี้? พื้นที่และสภาพแวดล้อมสำหรับดำรงชีวิตซึ่งมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่นี้ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม น้ำที่ผู้คนดื่ม อากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป อาหารอันหลากหลายที่ผู้คนกิน รวมทั้งพืชและสิ่งมีชีวิต แม้กระทั่งภูเขา ทะเลสาบ และมหาสมุทร—ทุกส่วนของสภาพแวดล้อมสำหรับดำรงชีวิตนี้ พระเจ้าได้ทรงมอบแก่มนุษย์ มันเป็นธรรมชาติ ปฏิบัติการโดยสอดคล้องกับกฎธรรมชาติซึ่งปูไว้โดยพระเจ้า หากไม่มีวิทยาศาสตร์ ผู้คนก็จะยังคงปฏิบัติตามวิธีการทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา พวกเขาจะสามารถชื่นชมทุกสิ่งที่สะอาดหมดจดและเป็นธรรมชาติ และพวกเขาย่อมจะเป็นสุข อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ทั้งหมดนี้ได้ถูกซาตานทำลายและทำให้ย่อยยับไปแล้ว พื้นที่อยู่อาศัยโดยรากฐานของมนุษย์ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมอีกต่อไป แต่ก็ไม่มีใครสามารถระลึกรู้ได้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดการนี้หรือการนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีผู้คนอีกมากที่เข้าหาวิทยาศาสตร์และเข้าใจมันโดยผ่านทางแนวคิดที่ซาตานปลูกฝังในตัวพวกเขา นี่ไม่น่ารังเกียจหรือน่าเวทนาอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ? ด้วยการที่ตอนนี้ซาตานได้เข้าครองพื้นที่ซึ่งผู้คนดำรงอยู่แล้ว รวมถึงสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตของพวกเขา และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอยู่ในสภาวะนี้แล้ว และด้วยการที่มวลมนุษย์ยังคงพัฒนาต่อไปในหนทางนี้ มีความต้องการที่จำเป็นอันใดหรือไม่เล่าที่พระเจ้าจะต้องทำลายผู้คนเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง? หากผู้คนยังคงพัฒนาต่อไปในหนทางนี้ พวกเขาจะเป็นไปในทิศทางใดเล่า? (พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคน) พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคนอย่างไรเล่า? นอกเหนือจากการค้นหาอันละโมบของผู้คนที่มีต่อชื่อเสียงและผลตอบแทนแล้ว พวกเขายังดำเนินการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องและดำดิ่งลึกเข้าไปในการค้นคว้าวิจัย แล้วยังกระทำการอย่างไม่หยุดหย่อนในหนทางที่สนองความต้องการที่จำเป็นทางด้านวัตถุและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วอะไรหรือคือผลสืบเนื่องสำหรับมนุษย์? อันดับแรกเลยก็คือความสมดุลของระบบนิเวศถูกทำลายลง และเมื่อการนี้เกิดขึ้น ร่างกายของผู้คน อวัยวะภายในของพวกเขาก็ถูกปนเปื้อนและได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมดุลนี้ และโรคติดต่อและโรคระบาดนานาสารพัดก็แพร่กระจายไปทั่วโลก ไม่จริงหรือไรว่านี่คือสถานการณ์ที่มนุษย์ไม่มีการควบคุมได้เลย? มาถึงตอนนี้ที่พวกเจ้าเข้าใจการนี้แล้ว หากมวลมนุษย์ไม่ติดตามพระเจ้า แต่ติดตามซาตานในหนทางนี้อยู่เสมอ—โดยใช้ความรู้เพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองมั่งคั่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสำรวจอนาคตของชีวิตมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อน ใช้วิธีการชนิดนี้เพื่อดำรงชีวิตต่อไป—เจ้าสามารถระลึกรู้ได้หรือไม่ว่าการนี้จะจบลงอย่างไรสำหรับมวลมนุษย์? มวลมนุษย์จะสูญสิ้นไปตามธรรมชาติ กล่าวคือ มวลมนุษย์ย่อมเดินหน้าเข้าหาความย่อยยับทีละก้าว เข้าหาการทำลายตนเอง! นี่ไม่ใช่การนำความพินาศมาสู่ตนเองหรอกหรือ? และนี่ไม่ใช่ผลสืบเนื่องของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์หรอกหรือ? ตอนนี้ดูราวกับว่าวิทยาศาสตร์เป็นยาปรุงอันวิเศษชนิดหนึ่งที่ซาตานได้ตระเตรียมให้กับมนุษย์ เพื่อที่เมื่อพวกเจ้าพยายามที่จะหยั่งรู้สิ่งทั้งหลาย พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นอยู่ในหมอกหนาทึบ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเขม้นมองเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจน และไม่สำคัญว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักเพียงใด เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ อย่างไรก็ดี ซาตานใช้นามของวิทยาศาสตร์เพื่อยั่วน้ำลายเจ้าและจูงจมูกเจ้า ให้ตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าไป ไปสู่หุบเหวลึกและความตาย และในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนว่าอันที่จริงแล้ว ความย่อยยับของมนุษย์นั้นเกิดจากน้ำมือของซาตาน—ซาตานคือตัวการ นี่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? (ใช่ มันเป็นอย่างนั้น) นี่คือหนทางทางที่สองที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
3. ซาตานใช้วัฒนธรรมดั้งเดิมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
วัฒนธรรมตามประเพณีคือวิธีที่สามที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ระหว่างวัฒนธรรมตามประเพณีและความเชื่อโชคลางนั้นมีความคล้ายคลึงกันอยู่หลายประการ แต่ความแตกต่างก็คือว่า วัฒนธรรมตามประเพณีนั้นมีเรื่องราว การพาดพิงถึง และแหล่งที่มาที่แน่นอน ซาตานได้ประดิษฐ์และปั้นแต่งนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องราวมากมายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิ้งให้ผู้คนอยู่กับความประทับใจอันลึกซึ้งที่มีต่อบุคคลสำคัญทางด้านวัฒนธรรมตามประเพณีหรือด้านโชคลางเหนือธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนมี “แปดเซียนข้ามทะเล” “การเดินทางสู่ดินแดนตะวันตก” “จักรพรรดิหยก” “นาจาพิชิตราชามังกร” และ “สถาปนาเหล่าทวยเทพ” เหล่านี้ไม่ได้กลายเป็นหยั่งรากลึกในจิตใจของมนุษย์หรอกหรือ? ต่อให้เจ้าบางคนไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด เจ้ายังคงรู้เรื่องราวทั่วไปอยู่ดี และเป็นเนื้อหาทั่วไปนี้นี่เองที่ติดแน่นอยู่ในหัวใจของเจ้าและจิตใจของเจ้า จนทำให้เจ้าไม่สามารถลืมพวกมันได้ เหล่านี้คือสารพัดแนวคิดและตำนานที่ซาตานได้ตระเตรียมไว้สำหรับมนุษย์นานมาแล้ว และคือสิ่งซึ่งได้ถูกเผยแพร่ไปในช่วงเวลาที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายและกัดกร่อนดวงจิตของผู้คนโดยตรงและทำให้ผู้คนตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดที่ตามติดกันมาครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นจึงกล่าวได้ว่า ทันทีที่เจ้าได้ยอมรับวัฒนธรรมตามประเพณี เรื่องราวหรือสิ่งที่เป็นเชิงเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ทันทีพวกมันถูกก่อขึ้นในจิตใจของเจ้า และทันทีที่พวกมันติดแน่นอยู่ในหัวใจของเจ้า จากนั้นแล้ว เจ้าก็เหมือนดังต้องมนตร์—เจ้ากลายเป็นพัวพันและได้รับอิทธิพลจากกับดักทางวัฒนธรรมเหล่านี้ แนวคิดและเรื่องราวทางประเพณีเหล่านี้ พวกมันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า ต่อทัศนะของเจ้าที่มีต่อชีวิต และการตัดสินที่เจ้ามีให้กับสิ่งทั้งหลาย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกมันมีอิทธิพลต่อการที่เจ้าไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่แท้จริงของชีวิต กล่าวคือ นี่คือมนตร์เลวโดยแท้ ถึงเจ้าจะพยายามอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถสลัดให้พวกมันหลุดไปได้ เจ้าฟันไปที่พวกมันแต่เจ้าก็ไม่สามารถฟันพวกมันจนโค่นลงได้ เจ้าทุบตีพวกมันแต่เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ผู้คนตกอยู่ภายใต้มนตร์สะกดประเภทนี้โดยไม่รู้ตัว พวกเขาก็เริ่มนมัสการซาตานโดยไม่รู้ตัว อันเป็นการหล่อเลี้ยงภาพลักษณ์ของซาตานไว้ในหัวใจของพวกเขา อีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาตั้งซาตานขึ้นเป็นรูปเคารพของพวกเขา เป็นวัตถุเป้าหมายสำหรับให้พวกเขาบูชาและเคารพยกย่อง จนไปไกลถึงขั้นที่ถือว่ามันเป็นพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของผู้คน ควบคุมคำพูดและความประพฤติของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น ในตอนแรกเจ้าถือว่าเรื่องราวและตำนานเหล่านี้เป็นเท็จ แต่แล้วเจ้าก็ยอมรับรู้การดำรงอยู่ของพวกมันโดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกมันเป็นรูปร่างจริงและทำให้พวกมันแปรไปเป็นวัตถุจริงที่มีตัวตน ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า เจ้าได้รับแนวคิดเหล่านี้และการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้โดยจิตใต้สำนึก เจ้ายังได้รับบรรดาปีศาจ ซาตาน และรูปเคารพทั้งหลายไว้ในบ้านของเจ้าเองและไว้ในหัวใจของเจ้าเองโดยจิตใต้สำนึกอีกด้วย—นี่คือมนตร์สะกดโดยแท้ คำเหล่านี้ตรงใจพวกเจ้าหรือไม่? (ตรงใจ) มีใครบ้างในหมู่พวกเจ้าที่ได้จุดธูปและนมัสการพระพุทธเจ้า? (มี) แล้วจุดประสงค์ของการจุดธูปและการนมัสการพระพุทธเจ้าคืออะไรเล่า? (การอธิษฐานให้มีสันติสุข) เมื่อคิดถึงมันตอนนี้ มันไม่ไร้สาระหรอกหรือที่อธิษฐานต่อซาตานให้มีสันติสุข? ซาตานนำสันติสุขมาให้หรือไม่? (ไม่) เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนั้นเจ้าไม่รู้เท่าทันเพียงใด? พฤติกรรมเช่นนั้นไร้สาระ ไม่รู้เท่าทัน และไร้เดียงสา ใช่หรือไม่? ซาตานสนใจเพียงวิธีที่จะทำให้เจ้าเสื่อมทรามเท่านั้น ไม่อาจเป็นไปได้ที่ซาตานจะมอบสันติสุขให้แก่เจ้า แค่การหยุดพักชั่วคราวเท่านั้น แต่เพื่อที่จะได้รับการหยุดพักนี้ เจ้าจะต้องปฏิญาณ และหากเจ้าผิดคำสัญญาของเจ้าหรือคำปฏิญาณที่เจ้าได้ทำกับซาตาน แล้วเจ้าก็จะเห็นเลยว่ามันทรมานเจ้าอย่างไร ในการที่ให้เจ้าปฏิญาณนั้น ที่จริงแล้วมันต้องการควบคุมเจ้า ตอนที่พวกเจ้าได้อธิษฐานเพื่อสันติสุข พวกเจ้าได้รับสันติสุขหรือไม่? (ไม่) เจ้าไม่ได้รับสันติสุข แต่ในทางตรงกันข้ามความพยายามของเจ้าได้นำมาซึ่งโชคร้ายและความวิบัติไม่มีที่สิ้นสุด—แท้จริงแล้วก็คือมหาสมุทรแห่งความขมขื่นที่ไร้ขอบเขต สันติสุขไม่อยู่ภายในอำนาจของซาตาน และนี่คือข้อเท็จจริงจริงๆ นี่คือผลสืบเนื่องซึ่งความเชื่อเหนือธรรมชาติในระบบศักดินาและวัฒนธรรมตามประเพณีได้นำพามาสู่มวลมนุษย์
4. ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
กระแสนิยมทางสังคมคือหนทางสุดท้ายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและควบคุมมนุษย์ กระแสนิยมทางสังคมครอบคลุมหลายแง่มุม รวมถึงด้านต่างๆ อาทิ การเคารพบูชาบุคคลที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ รวมทั้งดาราภาพยนตร์และนักดนตรี การเคารพบูชาคนดัง เกมออนไลน์ เป็นต้น—ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระแสนิยมทางสังคม และไม่มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดในที่นี้ พวกเราจะพูดถึงแต่แนวคิดที่กระแสนิยมทางสังคมทำให้เกิดขึ้นในผู้คน หนทางที่สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้ผู้คนประพฤติปฏิบัติตนในโลก และเป้าหมายชีวิตและทัศนะที่สิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดขึ้นในผู้คน เหล่านี้สำคัญมาก สิ่งเหล่านั้นสามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อความคิดและความเห็นของผู้คน กระแสนิยมเหล่านั้นเกิดขึ้นตามติดกันมา และพวกมันทั้งหมดล้วนแต่มีอิทธิพลชั่วที่ทำให้มวลมนุษย์ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ผู้คนสูญสิ้นมโนธรรม สภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผล ทำให้ศีลธรรมของพวกเขาและคุณภาพของลักษณะนิสัยของพวกเขายิ่งอ่อนด้อยลงไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเราถึงกับกล่าวได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่มีความสัตย์สุจริต ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังพวกเขาไม่มีมโนธรรมอันใด นับประสาอะไรที่จะมีเหตุผลอันใด ดังนั้นแล้วกระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้คืออะไรหรือ? พวกมันคือกระแสนิยมทั้งหลายที่เจ้าไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในยามที่กระแสนิยมใหม่อย่างหนึ่งวูบสะพัดไปทั่วโลกนั้น บางทีก็แค่มีผู้คนเพียงจำนวนเล็กน้อยที่ล้ำหน้ากว่าผู้อื่น กระทำตนเป็นพวกสร้างกระแสนิยม พวกเขาเริ่มด้วยการทำสิ่งใหม่บางอย่าง จากนั้นก็เป็นการยอมรับแนวคิดบางชนิดหรือมุมมองบางชนิด อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่จะถูกทำให้ติดเชื้อ ถูกกระแสนิยมนี้ดึงดูดและกลืนอย่างต่อเนื่องในสภาวะของความไม่ตระหนักรู้ จนกระทั่งพวกเขาล้วนแต่ยอมรับมันไปโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ และกลายเป็นจุ่มแช่อยู่ในนั้นและถูกมันควบคุม กระแสนิยมเช่นนี้ กระแสแล้วกระแสเล่า เป็นเหตุให้ผู้คนที่ไม่มีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรและไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นบวกกับที่เป็นลบได้ ยอมรับกระแสนิยมเหล่านั้น ตลอดจนทรรศนะชีวิตและค่านิยมทั้งหลายที่มาจากซาตานอย่างเป็นสุข พวกเขายอมรับสิ่งที่ซาตานบอกกับพวกเขาเกี่ยวกับวิธีเข้าหาชีวิตและหนทางในการดำรงชีวิตที่ซาตาน “ประทาน” ให้พวกเขา และพวกเขาไม่มีทั้งเรี่ยวแรงและความสามารถ นับประสาอะไรที่จะมีความตระหนักรู้ที่จะต้านทาน ดังนั้นแล้วจะดูกระแสนิยมเหล่านี้ออกได้อย่างไร? เราได้เลือกตัวอย่างง่ายๆ ที่พวกเจ้าอาจค่อยๆ มาเข้าใจ ตัวอย่างเช่น ผู้คนในอดีตดำเนินธุุรกิจของพวกเขาโดยที่ไม่มีใครถูกโกง พวกเขาขายของรายการต่างๆ ในราคาเดียวกันไม่ว่าผู้ที่กำลังซื้ออยู่นั้นจะเป็นใครก็ตาม ตรงนี้ไม่ได้สื่อให้เห็นองค์ประกอบบางอย่างของมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีหรอกหรือ? เมื่อผู้คนดำเนินธุรกิจเยี่ยงนี้โดยสุจริต ย่อมสามารถมองเห็นได้ว่า ณ เวลานั้น พวกเขายังคงมีมโนธรรมบางอย่างและสภาวะความเป็นมนุษย์บางอย่าง แต่ด้วยอุปสงค์ของมนุษย์ที่มีต่อเงินตราเพิ่มขึ้นทุกที ผู้คนจึงได้มารักเงินตรา ผลตอบแทนและความยินดีมากขึ้นทุกทีโดยไม่รู้ตัว ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินตรามากกว่าที่เคยหรอกหรือ? เมื่อผู้คนมองเงินตราว่าสำคัญยิ่ง พวกเขาก็เริ่มให้ความสำคัญน้อยลงต่อความมีหน้ามีตาของพวกเขา ความโด่งดังของพวกเขา ชื่อเสียงอันดีงามของพวกเขา และความสัตย์สุจริตของพวกเขาน้อยลงโดยไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่? เมื่อเจ้าทำธุรกิจ และเจ้ามองเห็นผู้อื่นรวยขึ้นจากการฉ้อโกงผู้คน แม้ว่าเงินที่หามานั้นได้มาโดยมิชอบ แต่พวกเขาก็ร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ การได้เห็นทุกสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาสุขสำราญด้วยทำให้เจ้าไม่พอใจว่า “พวกเราทั้งคู่ทำธุรกิจ แต่พวกเขากลับร่ำรวย ทำไมฉันจึงทำเงินมากๆ ไม่ได้? ฉันรับไม่ได้—ฉันต้องหาวิธีทำเงินเพิ่ม” หลังจากนั้น ทั้งหมดที่เจ้าคิดก็คือทำอย่างไรให้เจ้าได้เงินก้อนใหญ่ เมื่อเจ้ายอมทิ้งความเชื่อที่ว่า “ควรหาเงินด้วยมโนธรรมโดยไม่หลอกลวงผู้ใด” เมื่อนั้นวิธีคิดของเจ้าที่ถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของเจ้าเอง ย่อมเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย เช่นเดียวกับหลักธรรมเบื้องหลังการกระทำทั้งหลายของเจ้า เมื่อเจ้าฉ้อโกงใครบางคนเป็นครั้งแรก เจ้าย่อมรู้สึกว่าถูกมโนธรรมของเจ้าตำหนิ และหัวใจของเจ้าก็บอกเจ้าว่า “พอทำการนี้เสร็จแล้ว นี่ย่อมเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะฉ้อโกงใครบางคน การฉ้อโกงผู้คนตลอดเวลาจะส่งผลให้เกิดโทษทัณฑ์!” นี่คือการทำงานของมโนธรรมของมนุษย์—เพื่อทำให้เจ้ารู้สึกถึงความกระดากใจและเพื่อตำหนิเจ้า เพื่อที่จะได้รู้สึกไม่ธรรมดาเมื่อเจ้าโกงใครสักคน แต่หลังจากที่เจ้าได้ประสบความสำเร็จในการหลอกลวงใครสักคนแล้ว เจ้าเห็นว่าบัดนี้เจ้ามีเงินมากกว่าที่เจ้าเคยมีมาก่อน และเจ้าคิดว่าวิธีการนี้สามารถเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเจ้า ทั้งที่ในใจเจ้านั้นปวดหนึบ เจ้ายังรู้สึกอยากแสดงความยินดีกับตัวเองในความสำเร็จของเจ้าอยู่ดี และเจ้ารู้สึกค่อนข้างยินดีกับตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เจ้าเห็นชอบกับพฤติกรรมของเจ้าเอง วิถีทางอันหลอกหลวงของเจ้าเอง ทันทีที่มนุษย์ถูกปนเปื้อนโดยการโกงนี้แล้ว มันก็เป็นเช่นเดียวกับใครบางคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันและแล้วก็กลายเป็นนักพนัน ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า เจ้าเห็นชอบในพฤติกรรมการโกงของเจ้าเองและยอมรับมัน ในการไม่ตระหนักรู้ เจ้าใช้การโกงเป็นพฤติกรรมเชิงพานิชย์ซึ่งถูกกฎหมายและวิถีทางที่มีประโยชน์มากที่สุดสำหรับการอยู่รอดและการครองชีพของเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถสร้างโชคลาภได้อย่างรวดเร็วโดยการทำการนี้ นี่คือกระบวนการหนึ่ง กล่าวคือ ในตอนเริ่มต้น ผู้คนไม่สามารถยอมรับพฤติกรรมประเภทนี้ได้และพวกเขาดูแคลนพฤติกรรมและการปฏิบัตินี้ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มทดลองพฤติกรรมนี้ด้วยตัวเอง และทดสอบมันด้วยวิธีของพวกเขาเอง และหัวใจของพวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มแปลงสภาพ นี่คือการแปลงสภาพประเภทไหนกัน? มันคือการเห็นชอบและการยอมรับแต่โดยดีในกระแสนิยมนี้ ในแนวคิดนี้ซึ่งถูกปลูกฝังในตัวเจ้าโดยกระแสนิยมทางสังคม โดยไม่ตระหนักรู้ หากเจ้าไม่โกงผู้คนเมื่อทำธุรกิจกับพวกเขา เจ้ารู้สึกว่าเจ้าแย่ลง หากเจ้าไม่โกงผู้คน เจ้ารู้สึกราวกับว่าเจ้าได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป การโกงนี้กลายเป็นดวงจิตจริงๆ ของเจ้า กระดูกสันหลังของเจ้า และพฤติกรรมประเภทที่ขาดเสียไม่ได้ซึ่งเป็นหลักธรรมหนึ่งในชีวิตเจ้าโดยที่ไม่รู้ตัว หลังจากที่มนุษย์ได้ยอมรับพฤติกรรมนี้และการคิดนี้แล้ว นี่ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหัวใจของพวกเขาหรอกหรือ? หัวใจของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นความสัตย์สุจริตของเจ้าก็ได้เปลี่ยนไปเช่นกันกระนั้นหรือ? สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้เปลี่ยนไปหรือยัง? มโนธรรมของเจ้าเปลี่ยนไปหรือยัง? ทั้งหมดที่เจ้าเป็น ตั้งแต่หัวใจของเจ้าไปจนถึงความคิดของเจ้า จากภายในจนถึงภายนอก ล้วนเปลี่ยนแปลงไป และนี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้ดึงเจ้าให้ห่างจากพระเจ้าออกไปไกลขึ้นทุกที และเจ้ากลายเป็นมีความคิดไปในแนวเดียวกันกับซาตานอย่างใกล้ชิดมากขึ้นทุกที เจ้ากลายเป็นเหมือนกับซาตานมากขึ้นทุกที พร้อมกับผลลัพธ์ที่ว่าความเสื่อมทรามของซาตานทำให้เจ้ากลายเป็นปีศาจ
เมื่อมองกระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้ เจ้าจะพูดได้หรือไม่ว่าพวกมันมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้คน? พวกมันมีผลกระทบที่เป็นอันตรายลึกต่อผู้คนหรือไม่? พวกมันมีผลกระทบที่เป็นอันตรายลึกมากต่อผู้คน ซาตานใช้กระแสนิยมเหล่านี้มาทำให้แง่มุมใดของมนุษย์เสื่อมทราม? โดยหลักแล้ว ซาตานทำให้มโนธรรม สำนึก สภาวะความเป็นมนุษย์ ศีลธรรม และมุมมองชีวิตของมนุษย์เสื่อมทราม แล้วกระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้ไม่ด้อยค่าและทำให้ผู้คนเสื่อมทรามทีละน้อยหรอกหรือ? ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเหล่านี้ล่อใจผู้คนเข้าสู่รังของพวกปีศาจทีละก้าว เพื่อให้ผู้คนที่หลงติดอยู่กับกระแสนิยมทางสังคมให้การสนับสนุนเงินตราและความอยากได้อยากมีทางวัตถุ ความเลว และความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ครั้นสิ่งเหล่านี้ได้เข้าสู่หัวใจของมนุษย์แล้ว มนุษย์กลายเป็นสิ่งใด? มนุษย์กลายเป็นมารและซาตานตนหนึ่ง! เพราะเหตุใด? ก็เพราะความโน้มเอียงทางจิตอันใดเล่าที่อยู่ในหัวใจของมนุษย์? สิ่งใดเล่าที่มนุษย์เคารพ? มนุษย์เริ่มที่จะหาความยินดีในความเลวและความรุนแรง ไม่แสดงความรักในความสวยงามหรือความดีงาม นับประสาอะไรที่จะรักสันติสุข ผู้คนไม่เต็มใจที่จะดำรงชีวิตที่เรียบง่ายของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่กลับปรารถนาที่จะชื่นชมสถานะอันสูงส่งและความอุดมด้วยโภคทรัพย์อย่างมหาศาล ที่จะสำราญอยู่ในความยินดีของเนื้อหนัง พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ความพึงพอใจแก่เนื้อหนังของพวกเขาเอง โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่มีพันธะใดฉุดรั้งพวกเขาไว้ อีกนัยหนึ่งก็คือ ทำอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากทำ ดังนั้นแล้วเมื่อมนุษย์ได้กลายเป็นจมจ่อมอยู่กับกระแสนิยมชนิดเหล่านี้ ความรู้ที่เจ้าได้เรียนรู้มาจะสามารถช่วยให้เจ้าปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระได้หรือ? ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณีและความเชื่อเรื่องโชคลางสามารถช่วยให้เจ้าหลีกหนีจากการตกที่นั่งลำบากหนักนี้ได้หรือไม่? ศีลธรรมและพิธีกรรมตามประเพณีที่มนุษย์รู้จักนั้นสามารถช่วยให้ผู้คนนำความยับยั้งชั่งใจออกมาใช้ได้หรือไม่? จงดูคัมภีร์หลุนอวี่และเต้าเต๋อจิงเป็นตัวอย่าง สองเล่มนี้สามารถช่วยให้ผู้คนดึงเท้าออกจากหล่มของกระแสนิยมอันชั่วเหล่านี้ได้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงเลว โอหัง ถือดี เห็นแก่ตัว และมุ่งร้ายมากขึ้นทุกที ไม่มีความรักระหว่างผู้คนอีกต่อไป ไม่มีความรักอันใดอีกต่อไประหว่างสมาชิกในครอบครัว ไม่มีความเข้าใจอันใดอีกต่อไปในหมู่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง สัมพันธภาพของมนุษย์ได้กลายมามีลักษณะเฉพาะเป็นความรุนแรง บุคคลทุกคนพยายามใช้วิธีการรุนแรงในการดำรงชีวิตท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ พวกเขาฉวยคว้าขนมปังรายวันของพวกเขาโดยใช้ความรุนแรง พวกเขาเอาชนะจนได้ตำแหน่งและได้รับผลกำไรโดยใช้ความรุนแรง และพวกเขาก็ใช้วิธีที่เลวและรุนแรงในการทำอะไรตามที่ตนต้องการ มวลมนุษย์นี้ไม่น่าสะพรึงกลัวหรอกหรือ? น่าสะพรึงกลัว และอย่างมากด้วย กล่าวคือ พวกเขาไม่เพียงตรึงกางเขนพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังจะเข่นฆ่าทุกคนที่ติดตามพระองค์อีกด้วย—เพราะมนุษย์ชั่วร้ายเกินไป ภายหลังจากที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เราเพิ่งจะพูดถึง พวกเจ้าไม่คิดหรือว่ามันน่าหวาดกลัวที่จะใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมนี้ ในโลกนี้ และท่ามกลางผู้คนประเภทเหล่านี้ ภายในที่ซึ่งซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม? (น่าหวาดกลัว) แล้วพวกเจ้าเคยรู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชบ้างไหม? ในอึดใจนี้ เจ้าต้องรู้สึกถึงมันอยู่บ้างเล็กน้อย ใช่ไหม? (ข้าพระองค์รู้สึก) เมื่อได้ยินน้ำเสียงของพวกเจ้า ดูราวกับว่าเจ้ากำลังคิดอยู่ว่า “ซาตานมีวิธีที่แตกต่างกันมากมายยิ่งนักที่จะทำให้มนุษย์เสื่อมทราม มันฉวยคว้าทุกโอกาสเหมาะและอยู่ทุกแห่งหนที่พวกเราหันไป มนุษย์ยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดอยู่หรือ?” มนุษย์ยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? มนุษย์สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้หรือไม่? (ไม่) จักรพรรดิหยกสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่? ขงจื๊อสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่? พระโพธิสัตว์กวนอิมสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่? (ไม่) แล้วใครกันเล่าที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอด? (พระเจ้า) อย่างไรก็ดี ผู้คนบางคนก็จะตั้งคำถามในหัวใจของพวกเขา อย่างเช่น “ซาตานทำอันตรายพวกเราอย่างเตลิดเปิดเปิงเหลือเกิน ด้วยความบ้าคลั่งวิกลจริตยิ่งนัก จนพวกเราไม่มีความหวังที่จะดำเนินชีวิตและความมั่นใจอันใดที่จะดำเนินชีวิต พวกเราล้วนดำรงชีวิตอยู่ในท่ามกลางความเสื่อมทราม และไม่ว่าจะอย่างไร ทุกตัวบุคคลล้วนต้านทานพระเจ้า และบัดนี้หัวใจของพวกเราได้จมต่ำลงเท่าที่พวกมันจะดิ่งไปได้ แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ที่ใดเล่าในขณะที่ซาตานกำลังทำให้พวกเราเสื่อมทราม? พระเจ้ากำลังทรงทำอะไรอยู่? อะไรก็ตามที่พระเจ้ากำลังทรงทำเพื่อพวกเรานั้น พวกเราไม่เคยรู้สึกถึงมันเลย!” บางคนรู้สึกเศร้าสลดและค่อนข้างท้อแท้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สำหรับพวกเจ้าแล้ว ความรู้สึกนี้ดิ่งลึกมาก เพราะทั้งหมดที่เราได้พูดมาตลอดนั้นได้เป็นไปเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มาเข้าใจอย่างช้าๆ รู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าพวกเขาไร้ซึ่งความหวัง รู้สึกมากขึ้นทุกทีว่าพวกเขาได้ถูกพระเจ้าละทิ้งแล้ว แต่จงอย่าเป็นกังวลไปเลย หัวข้อ “ความเลวของซาตาน” ที่พวกเราสามัคคีธรรมกันในวันนี้ ไม่ใช่กระทู้ที่แท้จริงของพวกเรา อย่างไรก็ดี หากจะพูดถึงแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า พวกเราก็ต้องเสวนากันว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามได้อย่างไร รวมทั้งเรื่องความเลวของซาตานเสียก่อน เพื่อที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามนุษย์อยู่ในภาวะประเภทใดในขณะนี้ จุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งของการพูดคุยเรื่องนี้ก็คือเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักความเลวของซาตาน ในขณะที่จุดมุ่งหมายอื่นคือเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้นว่าความบริสุทธิ์ที่แท้จริงคืออะไร
เราไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ที่พวกเราเพิ่งหารือกันไปในรายละเอียดที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งล่าสุดหรอกหรือ? ความเข้าใจของพวกเจ้าในขณะนี้ลึกซึ้งขึ้นสักเล็กน้อยหรือไม่? (ใช่) เรารู้ว่าตอนนี้ผู้คนจำนวนมากกำลังคาดหวังให้เราพูดว่าแท้ที่จริงแล้วความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อเราพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราก็จะพูดถึงกิจการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติเสียก่อน พวกเจ้าทั้งหมดก็ควรฟังอย่างตั้งใจ หลังจากนั้น เราก็จะถามพวกเจ้าว่าแท้ที่จริงแล้วความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคืออะไรกันแน่ เราจะไม่บอกพวกเจ้าโดยตรง แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นจะปล่อยให้พวกเจ้าพยายามคิดหาคำตอบให้ได้ เราจะให้พื้นที่แก่พวกเจ้าเพื่อคิดหาคำตอบ เจ้าคิดว่าวิธีการนี้เป็นอย่างไร? (ฟังดูดี) เช่นนั้นแล้วก็จงตั้งใจฟังให้ดีในขณะที่เราพูดต่อ
การเข้าใจความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผ่านทางสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อมนุษย์
เมื่อใดก็ตามที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรือก่อให้เกิดอันตรายบานปลายต่อมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงยืนมองเฉยไม่ทรงทำสิ่งใด อีกทั้งพระองค์ก็มิใช่ไม่สนพระทัยหรือไม่ทรงไยดีต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรร พระเจ้าทรงเข้าใจอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์ในทั้งหมดที่ซาตานทำ ไม่สำคัญว่าซาตานทำอะไร ไม่สำคัญว่ามันเป็นเหตุให้เกิดกระแสนิยมใดขึ้น พระเจ้าก็ทรงรู้ทั้งหมดที่ซาตานกำลังพยายามทำ และพระเจ้าก็ไม่ทรงละทิ้งบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกสรร แทนที่จะเป็นเช่นนั้น โดยที่ไม่เรียกร้องความสนใจอันใด—โดยลับๆ เงียบเชียบ—พระเจ้าทรงทำทุกสิ่งที่จำเป็น เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มพระราชกิจกับใครสักคน เมื่อพระองค์ได้ทรงเลือกใครสักคน พระองค์ไม่ทรงกล่าวประกาศข่าวนี้แก่ใคร อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงกล่าวประกาศข่าวนี้แก่ซาตาน นับประสาอะไรที่จะทรงแสดงท่าทางยิ่งใหญ่อันใด พระเจ้าแค่ทรงทำสิ่งที่จำเป็นอย่างเงียบเชียบมาก อย่างเป็นธรรมชาติมาก อันดับแรก พระองค์ทรงเลือกครอบครัวให้เจ้า ภูมิหลังครอบครัวของเจ้า บิดามารดาของเจ้า บรรพบุรุษของเจ้า—ทั้งหมดนี้พระเจ้าทรงกำหนดตัดสินล่วงหน้า อีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าไม่ทรงทำการกำหนดตัดสินเหล่านี้จากอารมณ์ชั่ววูบ ในทางตรงกันข้าม พระองค์ได้ทรงเริ่มพระราชกิจนี้นานมาแล้ว ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเลือกครอบครัวให้เจ้า จากนั้นพระองค์จึงทรงเลือกวันที่ซึ่งเจ้าจะถือกำเนิด จากนั้น พระเจ้าทรงเฝ้าดูขณะที่เจ้าถือกำเนิดและส่งเสียงร้องจ้ามาสู่โลก พระองค์ทรงเฝ้าดูการเกิดของเจ้า ทรงเฝ้าดูขณะที่เจ้าเปล่งคำพูดแรกของเจ้า ทรงเฝ้าดูขณะที่เจ้าเดินสะดุดและเดินเตาะแตะในย่างก้าวแรกเมื่อเจ้าหัดเดิน เจ้าก้าวเดินก้าวแรกก่อนและแล้วเจ้าก็ก้าวเดินอีกก้าว—และตอนนี้เจ้าสามารถวิ่ง กระโดด พูดคุย และแสดงความรู้สึกทั้งหลายของเจ้าได้… เมื่อผู้คนเติบโตขึ้น สายตาของซาตานจะจับจ้องไปที่พวกเขาทุกคนเหมือนพยัคฆ์ที่จ้องเหยื่อของมัน แต่ในการทรงพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทรงอยู่ภายใต้ข้อจำกัดอันใดที่เกิดจากผู้คน เหตุการณ์หรือสิ่งทั้งหลาย พื้นที่หรือเวลา พระองค์ทรงทำสิ่งที่พระองค์ควรทรงทำและสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำ ในกระบวนการแห่งการเจริญเติบโต เจ้าอาจเผชิญกับหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าชอบ เช่น ความเจ็บป่วยและความหงุดหงิดผิดหวัง แต่ขณะที่เจ้าเดินไปบนเส้นทางนี้ ชีวิตของเจ้าและอนาคตของเจ้าอยู่ภายใต้การทรงดูแลของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด พระเจ้าทรงมอบการรับประกันอันถ่องแท้ซึ่งจะคงอยู่ชั่วชีวิตเจ้าให้แก่เจ้าด้วยการที่พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเจ้าตรงนั้นเสมอ ทรงคุ้มกันเจ้าและทรงดูแลเอาใจใส่เจ้า เจ้าเติบโตขึ้นโดยที่ไม่ตระหนักรู้ถึงการนี้ เจ้าเริ่มมาสัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ และเริ่มที่จะรู้จักโลกใบนี้และมวลมนุษย์นี้ ทุกสิ่งนั้นสดและใหม่สำหรับเจ้า เจ้ามีบางสิ่งที่เจ้าชื่นชมยินดีที่จะทำ เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าเอง เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายในพื้นที่ของเจ้าเอง และเจ้าไม่มีความตระหนักเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าแม้แต่น้อย แต่พระเจ้าทรงเฝ้าดูเจ้าในทุกย่างก้าวของหนทางขณะที่เจ้าเติบโตขึ้น และพระองค์ทรงเฝ้าดูเจ้าขณะที่เจ้าสาวเท้าไปข้างหน้าในทุกย่างก้าว แม้ในยามที่เจ้ากำลังศึกษาหาความรู้หรือกำลังศึกษาวิทยาศาสตร์ พระเจ้าไม่เคยทรงห่างเจ้าแม้เพียงก้าวเดียว เจ้าก็แค่เป็นเหมือนคนอื่นๆ ในเรื่องที่ว่า ในครรลองแห่งการได้มารู้จักโลกและผูกพันกับมัน เจ้าได้ตั้งอุดมคติของเจ้าขึ้นมาเอง เจ้ามีงานอดิเรกของเจ้าเอง ความสนใจของเจ้าเอง และเจ้ายังเก็บงำความมักใหญ่ใฝ่สูงอันสูงส่งไว้อีกด้วย เจ้ามักจะไตร่ตรองอนาคตของเจ้าเอง มักร่างเค้าโครงว่าอนาคตของเจ้าควรมีรูปร่างอย่างไร แต่ไม่สำคัญว่าอะไรจะปรากฏขึ้นระหว่างทาง พระเจ้าทรงเห็นมันทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างชัดเจน บางทีเจ้าอาจลืมอดีตของตัวเจ้าเองไปแล้ว แต่สำหรับพระเจ้า ไม่มีใครที่สามารถเข้าใจเจ้าได้ดีไปกว่าพระองค์ เจ้าดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สายพระเนตรอันจับจ้องของพระเจ้า เติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ในระหว่างช่วงเวลานี้ กิจที่สำคัญที่สุดของพระเจ้าคือบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีใครเคยล่วงรู้ บางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีใครรู้จัก พระเจ้าไม่ทรงบอกใครเกี่ยวกับการนี้เป็นแน่ ดังนั้นแล้วอะไรหรือคือสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุด? อาจกล่าวได้ว่า นั่นก็คือการรับประกันว่าพระเจ้าจะทรงช่วยบุคคลให้รอด นี่หมายความว่าหากพระเจ้าทรงต้องประสงค์ช่วยบุคคลนี้ให้รอด พระองค์ต้องทรงทำการนี้ กิจนี้สำคัญยิ่งชีพต่อทั้งมนุษย์และพระเจ้า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร? ดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่มีความรู้สึกอันใดเกี่ยวกับการนี้ หรือมโนทัศน์อันใดเกี่ยวกับการนี้ ดังนั้นเราก็จะบอกพวกเจ้า ตั้งแต่เวลาที่เจ้าถือกำเนิดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจมากมายกับเจ้า แต่พระองค์ไม่ทรงบอกเล่าแบบหมดเปลือกในทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำแก่เจ้า พระเจ้าไม่ได้ทรงอนุญาตให้เจ้ารู้การนี้ และพระองค์ไม่ได้ทรงบอกเจ้า อย่างไรก็ดี สำหรับมวลมนุษย์ ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นสำคัญ ตามพระดำริของพระเจ้านั้น มันคือบางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ต้องทรงทำ ในพระทัยของพระองค์มีบางสิ่งสำคัญที่พระองค์ทรงจำเป็นต้องทำซึ่งเกินเลยสิ่งใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้ไปมาก นั่นคือ ตั้งแต่เวลาที่บุคคลถือกำเนิดมาจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าต้องทรงรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา เมื่อเจ้าได้ยินพระวจนะเหล่านี้ เจ้าอาจรู้สึกราวกับว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจอย่างครบถ้วน เจ้าอาจถามว่า “ความปลอดภัยนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ?” ถ้าอย่างนั้น อะไรหรือคือความหมายตามตัวอักษรของ “ความปลอดภัย”? บางทีพวกเจ้าอาจเข้าใจว่ามันหมายถึงสันติสุข หรือบางทีพวกเจ้าอาจเข้าใจว่ามันหมายถึงการไม่เคยผ่านประสบการณ์กับความวิบัติหรือหายนะใด การดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย การดำเนินชีวิตปกติ แต่ในหัวใจของพวกเจ้า เจ้าต้องรู้ว่ามันไม่เรียบง่ายอย่างนั้น ดังนั้น อันที่จริงแล้วสิ่งนี้ที่เราได้พูดถึงมาตลอด ว่าพระเจ้าต้องทรงทำนั้น คืออะไรกันแน่? ความปลอดภัยหมายถึงอะไรสำหรับพระเจ้า? มันใช่เครื่องรับประกันความหมายปกติของ “ความปลอดภัย” จริงๆ หรือ? ไม่ใช่ ดังนั้นแล้วอะไรเล่าคือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ? “ความปลอดภัย” นี้หมายความว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป นี่สำคัญไหม? การไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป—นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเจ้าหรือไม่? ใช่แล้ว นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยส่วนตัวของเจ้า และไม่อาจมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าได้ ทันทีที่เจ้าถูกซาตานสวาปามเข้าไป ดวงจิตของเจ้าและเนื้อหนังของเจ้าไม่เป็นของพระเจ้าอีกต่อไป พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดอีกต่อไป พระเจ้าทรงละทิ้งบรรดาดวงจิตและผู้คนที่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป ดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่พระเจ้าต้องทรงทำก็คือการรับประกันความปลอดภัยนี้ของเจ้า เพื่อรับประกันว่าเจ้าจะไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่ใช่หรอกหรือ? ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงตอบกันไม่ได้เล่า? ดูเหมือนว่าพวกเจ้านั้นไร้ความสามารถที่จะรู้สึกถึงพระเมตตาอันใหญ่หลวงของพระเจ้าสินะ!
พระเจ้าทรงทำมากมายที่นอกเหนือกว่าการรับประกันความปลอดภัยของผู้คน การรับประกันว่าพวกเขาจะไม่ถูกซาตานสวาปามเข้าไป พระองค์ยังทรงปฏิบัติพระราชกิจขั้นเตรียมการอย่างมากมายมหาศาลก่อนที่จะทรงเลือกสรรและทรงช่วยใครบางคนให้รอดอีกด้วย ก่อนอื่นเลยก็คือ พระเจ้าทรงทำการตระเตรียมที่พิถีพิถันเกี่ยวกับการที่เจ้าจะมีลักษณะนิสัยแบบใด เจ้าจะถือกำเนิดในครอบครัวประเภทใด ใครจะเป็นบิดามารดาของเจ้า เจ้าจะมีพี่น้องชายหญิงกี่คน และสถานการณ์ สถานะทางเศรษฐกิจ และภาวะทั้งหลายของครอบครัวที่เจ้าจะถือกำเนิดนั้นจะเป็นอย่างไร พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าส่วนใหญ่ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นถือกำเนิดในครอบครัวประเภทใด? ครอบครัวเหล่านั้นเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงหรือไม่? พวกเราไม่อาจกล่าวได้แน่นอนว่าไม่มีใครเลยที่ถือกำเนิดในครอบครัวที่มีชื่อเสียง อาจมีจำนวนหนึ่ง แต่พวกเขาก็มีจำนวนน้อยมาก พวกเขาถือกำเนิดในครอบครัวที่อุดมด้วยโภคทรัพย์เป็นพิเศษ ครอบครัวเศรษฐีพันล้าน หรือมหาเศรษฐีหรือไม่? ไม่ พวกเขาแทบจะไม่เคยถือกำเนิดในครอบครัวประเภทนี้เลย ดังนั้นแล้ว ครอบครัวประเภทใดหรือที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้กับผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่? (ครอบครัวธรรมดา) ถ้าอย่างนั้นแล้วครอบครัวใดบ้างที่อาจพิจารณาได้ว่าเป็น “ครอบครัวธรรมดา”? ครอบครัวเหล่านั้นรวมไปถึงครอบครัวของคนทำงาน นั่นก็คือ ครอบครัวทั้งหลายที่อาศัยเงินค่าจ้างเพื่อความอยู่รอด ที่สามารถหาซื้อปัจจัยจำเป็นพื้นฐานได้ และที่ไม่มั่งมีเกินไปนัก ครอบครัวเหล่านี้รวมไปถึงครอบครัวที่ทำการเกษตร ชาวนาที่อาศัยการเพาะปลูกพืชผลเพื่อเป็นอาหารของพวกเขา—มีธัญพืชไว้กิน และเสื้อผ้าไว้สวมใส่ และไม่ต้องหิวโหยหรือหนาวจนจะแข็งตาย แล้วก็มีบางครอบครัวที่ทำธุรกิจเล็กๆ และบางครอบครัวที่พ่อแม่เป็นปัญญาชน และครอบครัวเหล่านี้ยังสามารถนับได้ว่าเป็นครอบครัวธรรมดาเช่นกัน ยังมีพ่อแม่บางคนที่เป็นพนักงานบริษัทหรือข้าราชการชั้นผู้น้อยด้วย ที่ไม่สามารถนับได้เช่นกันว่าเป็นครอบครัวที่มีความโดดเด่น ส่วนถือกำเนิดกันในครอบครัวธรรมดา และการนี้ทั้งหมดได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ก่อนอื่น นั่นกล่าวได้ว่า สภาพแวดล้อมนี้ที่เจ้าดำรงชีวิตอยู่ไม่ใช่ครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งตามที่ผู้คนอาจจะจินตนาการกันไป และนี่เป็นครอบครัวที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดตัดสินให้เจ้า และผู้คนส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตอยู่ภายในขีดจำกัดของครอบครัวประเภทนี้ ดังนั้นแล้วสถานะทางสังคมเล่าเป็นเช่นไร? ภาวะเศรษฐกิจของพ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ปานกลางและพวกเขาไม่มีสถานะทางสังคมที่สูงส่ง—สำหรับพวกเขานั้นแค่มีหน้าที่การงานก็ดีแล้ว ผู้คนเหล่านี้รวมไปถึงบรรดาพวกผู้ปกครองหรือไม่? หรือบรรดาประธานาธิบดีของประเทศ? ไม่รวม ถูกต้องหรือไม่? อย่างมากที่สุดพวกเขาก็เป็นผู้คนอย่างเช่นพวกผู้จัดการในธุรกิจขนาดเล็กหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก สถานะทางสังคมของพวกเขานั้นดีพอใช้และภาวะทางเศรษฐกิจของเขานั้นอยู่ระดับปานกลาง อีกปัจจัยหนึ่งคือสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของครอบครัว ก่อนอื่น ไม่มีพ่อแม่คนใดท่ามกลางครอบครัวเหล่านี้ที่ชัดเจนว่ามีอิทธิพลให้ลูกๆ ของพวกเขาเดินเข้าไปสู่เส้นทางแห่งการทำนายโชคชะตาหรือการดูดวง เหล่านี้คือไม่กี่ครอบครัวเลยที่เกี่ยวพันกับสิ่งทั้งหลายดังกล่าว พ่อแม่ส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างปกติ ในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงเลือกสรรประชากร พระองค์ทรงกำหนดสภาพแวดล้อมประเภทนี้ให้พวกเขา ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดของพระองค์ เมื่อดูอย่างผิวเผิน ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำอะไรซึ่งเป็นการเขย่าโลกเป็นพิเศษสำหรับมนุษย์ พระองค์แค่ทรงดำเนินหน้าต่อไปอย่างเงียบเชียบและอย่างลับๆ ในการทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำอย่างถ่อมพระทัยและในความเงียบ แต่ในข้อเท็จจริงนั้น ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ พระองค์ทรงทำเพื่อที่จะวางรากฐานสำหรับความรอดของเจ้า เพื่อตระเตรียมถนนเบื้องหน้าและภาวะที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อความรอดของเจ้า ถัดไปนั้น พระเจ้าก็ทรงนำพาทุกตัวบุคคลกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ทีละคนในเวลาที่เฉพาะเจาะจง พอถึงตอนนั้นที่เจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า นั่นก็ถึงตอนที่เจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์พอดี เมื่อถึงคราที่การนี้เกิดขึ้น บางคนได้กลายเป็นพ่อแม่ไปเสียเองแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงเป็นลูกของใครบางคนอยู่ อีกนัยหนึ่งคือ บางคนได้แต่งงานและมีลูกแล้ว ในขณะที่บางคนยังคงเป็นโสด ยังไม่ได้เริ่มต้นครอบครัวของพวกเขาเอง แต่ไม่ว่าสถานการณ์ของคนเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ทรงกำหนดเวลาไว้แล้วที่พวกเจ้าจะถูกเลือกสรรและเวลาที่ข่าวประเสริฐและพระวจนะของพระองค์จะมาถึงเจ้า พระเจ้าได้ทรงกำหนดรูปการณ์แวดล้อมไว้แล้ว ซึ่งกำหนดตัดสินในเรื่องของบุคคลบางคนหรือบริบทบางอย่างซึ่งจะใช้ในการส่งผ่านข่าวประเสริฐต่อไปยังเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ยินพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมภาวะที่จำเป็นทั้งหมดไว้ให้เจ้าแล้ว ด้วยหนทางนี้ แม้มนุษย์ไม่ตระหนักรู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้น มนุษย์ก็ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์และกลับสู่ครอบครัวของพระเจ้า มนุษย์ยังติดตามพระเจ้าและเข้าสู่แต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์โดยไม่รู้ตัวอีกด้วย อันเป็นการเข้าสู่แต่ละขั้นตอนของวิธีทรงพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งพระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้เพื่อมนุษย์ พระเจ้าทรงใช้หนทางใดหรือเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อมนุษย์ ณ เวลานี้? ก่อนอื่น อย่างน้อยที่สุดเลยก็คือการทรงดูแลและการทรงคุ้มครองซึ่งมนุษย์ชื่นชมยินดี นอกเหนือจากนี้ พระเจ้าทรงกำหนดผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งนานาสารพันเพื่อที่มนุษย์อาจมองเห็นการดำรงอยู่ของพระองค์และกิจการของพระองค์โดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น มีบางคนที่เชื่อในพระเจ้าเพราะใครบางคนในครอบครัวของพวกเขามีอาการป่วย เมื่อคนอื่นๆ ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา พวกเขาก็เริ่มที่จะเชื่อในพระเจ้า และการเชื่อนี้เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์นี้ ดังนั้นแล้วใครกันที่ได้จัดการเตรียมการสถานการณ์นี้? (พระเจ้า) โดยวิถีทางของอาการป่วยนี้ มีบางครอบครัวที่ทุกคนเป็นผู้เชื่อ ในขณะที่มีครอบครัวอื่นๆ ที่ในครอบครัวมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อ เมื่อดูอย่างผิวเผิน อาจดูเหมือนว่าใครบางคนในครอบครัวของเจ้าประสบกับความเจ็บป่วย แต่ในข้อเท็จจริงแล้วมันเป็นภาวะหนึ่งที่ถูกประทานแก่เจ้าเพื่อที่เจ้าอาจมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือพระเมตตาของพระเจ้า เพราะชีวิตครอบครัวนั้นยากลำบากสำหรับผู้คนบางคนและพวกเขาไม่สามารถพบสันติสุขได้เลย เป็นไปได้ว่าโอกาสเหมาะที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จอาจนำเสนอตัวมันเองออกมา—ใครบางคนส่งต่อข่าวประเสริฐและกล่าวว่า “จงเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าแล้วเจ้าจะมีสันติสุข” ด้วยเหตุนี้ โดยมิได้ตระหนักรู้ พวกเขาจึงได้มาเชื่อในพระเจ้าภายใต้รูปการณ์แวดล้อมอันเป็นธรรมชาติอย่างมาก ดังนั้นนี่ไม่ใช่ภาวะชนิดหนึ่งหรอกหรือ? และข้อเท็จจริงที่ว่าครอบครัวของพวกเขาไม่อยู่ในสันติสุขนั้น เป็นพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้พวกเขาใช่หรือไม่? ยังมีบางคนอีกเช่นกันที่มาเชื่อในพระเจ้าด้วยเหตุผลอื่นๆ มีเหตุผลที่แตกต่างกันและหนทางที่แตกต่างกันของการเชื่อ แต่ไม่สำคัญว่าเหตุผลใดนำพาให้เจ้าเชื่อในพระองค์ ที่เป็นจริงก็คือทั้งหมดถูกจัดการเตรียมการและได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า ในตอนแรกนั้น พระเจ้าทรงใช้หนทางสารพัดที่จะเลือกสรรเจ้าและนำพาเจ้าเข้ามาสู่ครอบครัวของพระองค์ นี่คือพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่บุคคลทุกคน
ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจในเรื่องเหล่านี้ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ไม่เพียงแค่ประทานพระคุณและพระพรแก่มนุษย์เหมือนกับที่พระองค์ทรงเคยทำมาก่อน อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเกลี้ยกล่อมมนุษย์ให้ก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป ในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ อะไรหรือที่มนุษย์ได้เห็นจากแง่มุมทั้งหมดของพระราชกิจของพระเจ้าที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วย? มนุษย์ได้เห็นความรักของพระเจ้าและการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ในระหว่างช่วงเวลานี้พระเจ้าทรงจัดเตรียม ทรงเกื้อหนุน ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ค่อยๆ มารู้จักเจตนารมณ์ของพระองค์ รู้จักพระวจนะที่พระองค์ตรัส และความจริงที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์ ยามที่มนุษย์อ่อนแอ ยามที่พวกเขาคิดลบ ยามที่พวกเขาไม่มีที่ไหนให้หันไปหา พระเจ้าจะทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อชูใจ แนะนำ และหนุนใจมนุษย์ เพื่อให้วุฒิภาวะอันน้อยนิดของมนุษย์สามารถค่อยๆ เติบโตด้วยความแข็งแกร่ง ลุกขึ้นด้วยความคิดบวก และกลายเป็นเต็มใจที่จะให้ความร่วมมือกับพระเจ้า แต่เมื่อมนุษย์กบฏต่อพระเจ้าหรือต้านทานพระองค์ หรือเมื่อมนุษย์เปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขา พระเจ้าจะไม่ทรงแสดงพระกรุณาในการสั่งสอนและการบ่มวินัยมนุษย์ อย่างไรก็ดี พระเจ้าจะทรงแสดงความยอมผ่อนปรนและความอดทนต่อความโง่เขลา ความไม่รู้เท่าทัน ความอ่อนแอ และความไม่เป็นผู้ใหญ่ของมนุษย์ ด้วยหนทางนี้ โดยผ่านทางพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเพื่อมนุษย์ มนุษย์ค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น เติบโตขึ้น และมารู้จักเจตนารมณ์ของพระเจ้า มารู้จักความจริงบางอย่าง มารู้ว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ รู้ว่าความเลวและความมืดคืออะไร พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการเดียวโดยการสั่งสอนและการบ่มวินัยมนุษย์ตลอดเวลา แต่พระองค์ก็ไม่ทรงแสดงความยอมผ่อนปรนและความอดทนตลอดเวลา แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงจัดเตรียมให้แต่ละบุคคลในหนทางที่แตกต่างกันที่ช่วงระยะที่แตกต่างกัน และตามวุฒิภาวะและขีดความสามารถที่แตกต่างกันของพวกเขา พระองค์ทรงทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อมนุษย์และด้วยต้นทุนที่ยิ่งใหญ่ มนุษย์ไม่ล่วงรู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้หรือเกี่ยวกับต้นทุนนี้ กระนั้นก็ตามในทางปฏิบัติแล้ว ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำก็เป็นการดำเนินการกับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง ความรักของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ โดยผ่านทางพระคุณของพระเจ้า มนุษย์หลีกพ้นความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า และตลอดเวลานั้นพระเจ้าทรงแสดงความยอมผ่อนปรนซ้ำแล้วซ้ำอีกสำหรับความอ่อนแอของมนุษย์ การพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์ค่อยๆ มารู้จักความเสื่อมทรามและแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ สิ่งซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียม ความรู้แจ้งของพระองค์เกี่ยวกับมนุษย์ และการทรงนำของพระองค์ทั้งหมดเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์รู้จักแก่นแท้ของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงสิ่งที่ผู้คนต้องการ ถนนเส้นที่พวกเขาควรใช้ รู้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตเพื่ออะไร รู้ถึงคุณค่าและความหมายของชีวิตของพวกเขา และวิธีเดินไปบนถนนข้างหน้า สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำไม่สามารถแยกจากพระประสงค์ดั้งเดิมหนึ่งประการของพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วอะไรหรือคือพระประสงค์นี้? เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงใช้วิธีการเหล่านี้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์กับมนุษย์? พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ใด? อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นสิ่งใดในมนุษย์? พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับอะไรจากมนุษย์? สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นก็คือการที่หัวใจของมนุษย์สามารถฟื้นคืนได้ วิธีการเหล่านี้ที่พระองค์ทรงใช้ในการทรงพระราชกิจกับมนุษย์นั้นเป็นความพยายามต่อเนื่องเพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ เพื่อปลุกจิตวิญญาณของมนุษย์ เพื่อทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าพวกเขามาจากที่ไหน ใครกำลังนำ เกื้อหนุน และจัดเตรียมให้พวกเขา และใครได้อนุญาตให้มนุษย์มีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน วิธีการเหล่านี้เป็นวิถีทางเพื่อทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจว่าใครคือพระผู้สร้าง พวกเขาควรนมัสการใคร ถนนประเภทใดที่พวกเขาควรเดิน และในหนทางใดที่มนุษย์ควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกมันเป็นวิถีทางที่จะค่อยๆ ฟื้นคืนหัวใจของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์จะได้รู้จักพระหทัยของพระเจ้า เข้าใจพระหทัยของพระเจ้า และจับใจความได้ถึงการทรงดูแลอันยิ่งใหญ่และความคิดที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอด เมื่อหัวใจของมนุษย์ฟื้นคืน มนุษย์ไม่ปรารถนาที่จะใช้ชีวิตด้วยอุปนิสัยอันต่ำทรามและเสื่อมทรามอีกต่อไป แต่กลับปรารถนาจะไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เมื่อหัวใจของมนุษย์ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มนุษย์ก็ย่อมสามารถฉีกตัวออกจากซาตานได้อย่างสิ้นเชิง พวกเขาจะไม่ถูกซาตานทำอันตรายอีกต่อไป ไม่ถูกควบคุมหรือถูกมันหลอกอีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มนุษย์สามารถให้ความร่วมมืออย่างเป็นเชิงรุกในพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้พระเจ้าสมดังพระทัย ด้วยเหตุนี้จึงบรรลุถึงความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว นี่คือจุดประสงค์ดั้งเดิมของพระราชกิจของพระเจ้า
การเสวนาที่พวกเราเพิ่งกล่าวถึงความเลวของซาตานนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่า มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ใจอันใหญ่หลวง และรู้สึกว่าชีวิตของมนุษย์ถูกรุมเร้าด้วยโชคร้าย แต่บัดนี้ที่เรากำลังพูดถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับมนุษย์ นั่นทำให้พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหรือ? (มีความสุขมาก) ตอนนี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการให้กับมนุษย์อย่างอุตสาหะนั้นไม่มีจุดด่างพร้อย ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นปราศจากข้อผิดพลาด ซึ่งหมายความว่ามันไม่มีที่ติ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาแก้ไข แนะนำ หรือทำการเปลี่ยนแปลงอันใดกับมัน ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเพื่อทุกปัจเจกบุคคลนั้นไม่ต้องกังขาเลย พระองค์ทรงนำทางทุกคนโดยการจูงมือ ทรงให้การดูแลเจ้าในทุกชั่วขณะที่กำลังผ่านไป และไม่เคยทรงไปห่างเจ้าแม้สักครั้ง เมื่อผู้คนเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบนี้และด้วยภูมิหลังแบบนี้ พวกเราจะกล่าวได้หรือไม่ว่าในข้อเท็จจริงแล้วผู้คนเติบโตขึ้นในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้า? (ได้) แล้วตอนนี้พวกเจ้ายังคงรู้สึกถึงสำนึกแห่งความสูญเสียหรือไม่? มีใครบ้างไหมที่ยังคงรู้สึกในทางลบ? มีใครบ้างไหมที่รู้สึกว่าพระเจ้าได้ทรงละทิ้งมวลมนุษย์? (ไม่) ถ้าเช่นนั้น อันที่จริงแล้วพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใดกันแน่? (พระองค์ได้ทรงเฝ้าดูมวลมนุษย์) ความคิดและการทรงดูแลอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงใส่เข้าไปในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นเกินกว่าจะตั้งคำถาม ที่มากไปกว่านั้นคือ ในการดำเนินพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำเช่นนั้นโดยปราศจากเงื่อนไขเสมอมา พระองค์ไม่เคยทรงพึงประสงค์ให้เจ้าคนใดต้องรู้ราคาที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อเจ้าเพื่อทำให้เจ้ารู้สึกสำนึกบุญคุณต่อพระองค์อย่างลึกซึ้ง พระเจ้าได้ทรงเคยพึงประสงค์การนี้จากเจ้าหรือไม่? (ไม่) ในครรลองอันยาวนานของชีวิตมนุษย์ แทบจะทุกปัจเจกบุคคลได้เคยเผชิญกับสถานการณ์อันตรายมากมายและเผชิญหน้ากับการทดลองมากมาย นี่เป็นเพราะซาตานกำลังยืนอยู่ข้างๆ เจ้า ดวงตาของมันจับจ้องที่เจ้าตลอดเวลา เมื่อความวิบัติซัดใส่เจ้า ซาตานสำราญในการนี้ เมื่อภัยพิบัติเกิดแก่เจ้า เมื่อไม่มีอะไรเลยที่ถูกต้องสำหรับเจ้า เมื่อเจ้ากลายเป็นติดพันอยู่ในใยของซาตาน ซาตานมีความชื่นชมยินดีอันใหญ่หลวงจากสิ่งเหล่านี้ ในส่วนของสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำอยู่นั้น พระองค์กำลังทรงคุ้มครองเจ้ากับทุกชั่วขณะที่กำลังผ่านไป ทรงคัดท้ายเจ้าให้ห่างจากโชคร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าและจากความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่าทุกอย่างที่มนุษย์มี—สันติสุขและความชื่นบานยินดี พระพรและความปลอดภัยส่วนบุคคล—ในข้อเท็จจริงแล้วทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า พระองค์ทรงนำและทรงกำหนดตัดสินชะตากรรมของทุกปัจเจกบุคคล ว่าแต่พระเจ้าทรงมีมโนคติที่หลงผิดเกินขนาดเกี่ยวกับพระฐานะของพระองค์ดังที่ผู้คนบางคนพูดกันกระนั้นหรือ? พระเจ้าทรงประกาศกับเจ้ากระนั้นหรือว่า “เราคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้งหมด เป็นเรานั่นเองที่ควบคุมดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าต้องร้องขอความกรุณาจากเรา และการไม่เชื่อฟังจะถูกลงโทษด้วยความตาย”? พระเจ้าทรงเคยข่มขู่มวลมนุษย์ในหนทางนี้หรือ? (ไม่เคย) พระองค์เคยตรัสหรือไม่ว่า “มวลมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ดังนั้นเราปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไรย่อมไม่สำคัญ และพวกเขาอาจได้รับการปฏิบัติในหนทางอันใดก็ย่อมได้ เราไม่จำเป็นต้องทำการจัดการเตรียมการอันสมเหตุสมผลให้กับพวกเขา”? พระเจ้าทรงพระดำริในหนทางนี้หรือ? พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระองค์ในหนทางนี้หรือ? (ไม่) ในทางตรงกันข้าม การปฏิบัติของพระเจ้าต่อแต่ละบุคคลนั้นเป็นไปอย่างจริงจังจริงใจ และด้วยความรับผิดชอบ พระองค์ทรงปฏิบัติกับเจ้าอย่างรับผิดชอบมากกว่าที่เจ้าปฏิบัติกับตัวเอง นี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ? พระเจ้าไม่ได้ตรัสอย่างไร้จุดหมาย พระองค์ไม่ได้ทรงโอ้อวดฐานะอันสูงส่งของพระองค์และไม่ทำอะไรอย่างสุกเอาเผากินกับผู้คน แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงทำสิ่งทั้งหลายที่พระองค์เองทรงจำเป็นต้องทำอย่างซื่อสัตย์และอย่างเงียบกริบ สิ่งเหล่านี้นำพระพร สันติสุข และความชื่นบานยินดีมาสู่มนุษย์ พวกมันนำพามนุษย์เข้ามาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าและมาอยู่ในครอบครัวของพระองค์อย่างสันติสุขและอย่างมีความสุข แล้วจากนั้นพวกเขาจึงดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและยอมรับความรอดของพระเจ้าด้วยเหตุผลและการคิดที่เป็นปกติ แล้วพระเจ้าเคยทรงตีสองหน้ากับมนุษย์ในพระราชกิจของพระองค์กระนั้นหรือ? พระองค์เคยแสดงความเมตตาอันเทียมเท็จ ใช้วาจาเสนาะหูไม่กี่คำมาเจรจากับมนุษย์อย่างสุกเอาเผากิน แล้วจากนั้นก็หันหลังให้หรือไม่? (ไม่เคย) พระเจ้าได้เคยตรัสอย่างแล้วทำอย่างกระนั้นหรือ? พระเจ้าได้ทรงเคยให้คำสัญญาอันว่างเปล่าและอวดตัวโดยทรงบอกผู้คนว่าพระองค์สามารถทำนี่เพื่อพวกเขาได้หรือช่วยพวกเขาทำนั่นได้แต่แล้วก็ทรงหายวับไปกระนั้นหรือ? (ไม่เคย) ไม่มีการหลอกลวงในพระเจ้า ไม่มีความเทียมเท็จ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์ทรงจริงแท้ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ผู้คนสามารถเชื่อใจได้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งผู้คนสามารถมอบความไว้วางใจในชีวิตของพวกเขาและทุกสิ่งที่พวกเขามีได้ เนื่องจากในพระเจ้านั้นไม่มีเล่ห์ลวง พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงจริงใจที่สุด? (ได้) แน่นอนว่าพวกเราสามารถกล่าวได้! แม้คำว่า “จริงใจ” นั้นอ่อนกำลังเกินไป มีความเป็นมนุษย์มากเกินไปเมื่อนำไปประยุกต์ใช้กับพระเจ้า มีคำอื่นใดเล่าให้พวกเราใช้? เช่นนั้นเองที่เป็นขีดจำกัดของภาษาของมนุษย์ แม้จะไม่เหมาะนักที่จะเรียกพระเจ้าว่า “จริงใจ” กระนั้นพวกเราก็จะใช้คำนี้สำหรับตอนนี้ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและจริงใจ ดังนั้นแล้วตอนที่พวกเราพูดถึงแง่มุมเหล่านี้ พวกเรากำลังอ้างอิงถึงอะไรอยู่หรือ? พวกเรากำลังอ้างอิงถึงความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับซาตานใช่หรือไม่? ใช่ พวกเราอาจกล่าวเช่นนั้นได้ นี่เป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสักร่องรอยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานในพระเจ้า เราพูดถูกหรือไม่ในเรื่องนี้? อาเมน? (อาเมน!) ในพระเจ้านั้นไม่มีการเผยอุปนิสัยอันเลวของซาตานให้เห็นเลย ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำและทรงเปิดเผยให้เห็นนั้นเป็นประโยชน์และช่วยมนุษย์ทั้งสิ้น ทำเพื่อจัดเตรียมให้กับมนุษย์โดยทั้งสิ้น เต็มเปี่ยมด้วยชีวิตและให้มนุษย์มีถนนที่จะติดตามและมีทิศทางที่จะใช้ พระเจ้าไม่ทรงเสื่อมทราม และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เมื่อมองดูทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์? เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมวลมนุษย์หรือสิ่งใดที่ละม้ายคล้ายแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม จากมุมมองนี้พวกเราสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ พระเจ้าไม่ทรงแสดงความเสื่อมทรามอันใดและในเวลาเดียวกันกับที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระเจ้าก็ทรงเผยแก่นแท้ของพระองค์เอง ซึ่งยืนยันด้วยประการทั้งปวงว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงบริสุทธิ์ พวกเจ้าเห็นการนี้หรือไม่? เพื่อที่จะรู้จักแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตอนนี้พวกเรามาดูสองแง่มุมนี้กันเถิด ประการแรก ไม่มีร่องรอยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามในพระเจ้า และประการที่สอง แก่นแท้แห่งพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวมนุษย์นั้นเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เห็นแก่นแท้ของพระเจ้าเอง และแก่นแท้นี้เป็นด้านบวกทั้งสิ้น เนื่องจากสิ่งทั้งหลายที่พระราชกิจทุกส่วนของพระเจ้านำมาสู่มนุษย์นั้นล้วนเป็นด้านบวก ก่อนอื่น พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์นั้นซื่อสัตย์—นี่ไม่ใช่เรื่องด้านบวกหรอกหรือ? พระเจ้าทรงมอบปัญญาแก่มนุษย์—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ? พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์สามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่วได้—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ? พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์เข้าใจความหมายและคุณค่าของชีวิตมนุษย์—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ? พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นเข้าไปข้างในแก่นแท้ของผู้คน เหตุการณ์ทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายซึ่งสอดคล้องกับความจริง—นี่ไม่ใช่ด้านบวกหรอกหรือ? ย่อมเป็นด้านบวก และผลลัพธ์ของทั้งหมดนี้ก็คือมนุษย์ไม่ถูกซาตานชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป จะไม่ถูกซาตานทำอันตรายหรือควบคุมอีกต่อไป อีกนัยหนึ่งก็คือ สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากความเสื่อมทรามของซาตานโดยครบบริบูรณ์ และดังนั้นจึงค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว พวกเจ้าได้เดินไปบนเส้นทางนี้ไกลแค่ไหนแล้วเล่าตอนนี้? มันยากที่จะกล่าว ใช่หรือไม่? แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเจ้าก็มีความเข้าใจเบื้องต้นว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร สิ่งใดเลวและสิ่งใดเป็นลบใช่หรือไม่? อย่างน้อยในตอนนี้พวกเจ้าก็กำลังเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต มั่นใจได้หรือไม่ที่จะกล่าวเช่นนี้? ย่อมได้อย่างแน่นอน
มีบางสิ่งที่ต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตามที่พวกเจ้าได้ยินได้ฟังและเข้าใจมาทั้งหมดนั้น ใครบ้างในหมู่พวกเจ้าสามารถกล่าวได้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคืออะไร? ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เราพูดถึงหมายถึงอะไร? จงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักอึดใจ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือความจริงแท้ของพระองค์ใช่หรือไม่? ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือความสัตย์ซื่อของพระองค์ใช่หรือไม่? ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือความไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ใช่หรือไม่? มันคือความถ่อมพระทัยของพระองค์ใช่หรือไม่? ความรักของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์หรือ? พระเจ้าประทานความจริงและชีวิตแก่มนุษย์โดยไม่หวังผลตอบแทน—นี่คือความบริสุทธิ์ของพระองค์ใช่หรือไม่? ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความบริสุทธิ์ของพระองค์ ทั้งหมดนี้ที่พระเจ้าทรงเปิดเผยเป็นเอกลักษณ์และไม่ดำรงอยู่ภายในมนุษยชาติอันเสื่อมทราม และจึงไม่สามารถมองเห็นมันได้ในมนุษยชาติ ไม่สามารถเห็นร่องรอยของมันได้แม้แต่น้อยในช่วงระหว่างกระบวนการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ไม่ว่าจะในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานหรือในแก่นแท้หรือธรรมชาติของซาตาน ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นนั้นเป็นเอกลักษณ์ พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงมีและทรงครองแก่นแท้ประเภทนี้ ณ จุดนี้ในการหารือของพวกเรา พวกเจ้าคนใดบ้างที่เคยเห็นคนใดคนหนึ่งท่ามกลางมวลมนุษย์ที่บริสุทธิ์อย่างที่เราเพิ่งอธิบายไป? (ไม่เคย) เช่นนั้นแล้ว มีใครบ้างไหมที่บริสุทธิ์เพียงนี้ท่ามกลางพวกที่เจ้าชื่นชู มวลมนุษย์ผู้มีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่ที่พวกเจ้าเคารพบูชา? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว เมื่อพวกเรากล่าวว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นเอกลักษณ์ นี่เป็นการพูดเกินจริงหรือไม่? ไม่เลยจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นเอกลักษณ์อันบริสุทธิ์ของพระเจ้ายังมีด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอีกด้วย มีความคลาดเคลื่อนอันใดหรือไม่ระหว่างความบริสุทธิ์ที่เราพูดถึงตอนนี้กับความบริสุทธิ์ที่พวกเจ้าได้คิดถึงและจินตนาการไว้ก่อนหน้านี้? (มี) มีความความคลาดเคลื่อนใหญ่โตมากอยู่ประการหนึ่ง ยามที่ผู้คนพูดถึงความบริสุทธิ์ พวกเขามักจะหมายถึงสิ่งใดหรือ? (พฤติกรรมภายนอกบางอย่าง) เมื่อผู้คนกล่าวว่าพฤติกรรมหรือสิ่งอื่นบางอย่างนั้นบริสุทธิ์ พวกเขากล่าวการนี้เพียงเพราะพวกเขามองว่ามันบริสุทธิ์หรือน่ายินดีต่อสำนึกรับรู้ทั้งหลาย อย่างไรก็ดี สิ่งเหล่านี้ขาดพร่องอย่างไม่แปรผันในเนื้อแท้จริงๆ ของความบริสุทธิ์—นี่เองที่เป็นแง่มุมของคำสอน นอกเหนือจากนี้ แง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความบริสุทธิ์ที่ผู้คนมโนภาพขึ้นในจิตใจของพวกเขานั้นอ้างอิงถึงสิ่งใดเล่า? ส่วนใหญ่แล้วมันใช่สิ่งที่พวกเขาจินตนาการหรือตัดสินให้มันเป็นหรือไม่? ตัวอย่างเช่น ชาวพุทธบางคนเสียชีวิตขณะที่กำลังปฏิบัติ โดยจากไปในขณะที่พวกเขานั่งหลับนิ่งอยู่กับที่ บางคนพูดว่าพวกเขาได้กลายเป็นบริสุทธิ์และโบยบินไปสู่สวรรค์ นี่ก็เป็นผลผลิตของการจินตนาการด้วยเช่นกัน แล้วก็มีคนอื่นๆ ที่คิดว่าเทพยดาที่ลอยลงมาจากสวรรค์นั้นบริสุทธิ์ ที่จริงแล้ว มโนทัศน์ของผู้คนเกี่ยวกับคำว่า “บริสุทธิ์” นั้น ตลอดมาก็เป็นแค่ความเพ้อฝันและทฤษฎีอันไร้แก่นสารประเภทหนึ่ง ซึ่งโดยรากฐานแล้วไม่มีสาระสำคัญจริงอยู่เลย และยิ่งไปกว่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับแก่นแท้ของความบริสุทธิ์เลย แก่นแท้ของความบริสุทธิ์คือความรักที่แท้จริง แต่ที่มากไปกว่านี้ก็คือ มันคือแก่นแท้ของความจริง ความชอบธรรม และความสว่าง คำว่า “บริสุทธิ์” นั้นเป็นการเหมาะควรเฉพาะเมื่อประยุกต์ใช้กับพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีอะไรในสิ่งทรงสร้างที่คู่ควรต่อการถูกเรียกว่า “บริสุทธิ์” มนุษย์ต้องเข้าใจเรื่องนี้ ตั้งแต่นี้ไป พวกเราจะใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับพระเจ้าเท่านั้น นี่เป็นการเหมาะควรหรือไม่? (ใช่ เหมาะควร)
เล่ห์กลที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
ตอนนี้พวกเรามาย้อนกลับไปพูดถึงว่าซาตานนำวิถีทางใดมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามกันเถิด พวกเราเพิ่งพูดถึงหนทางสารพัดที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงพระราชกิจกับมนุษย์ และซึ่งพวกเจ้าทุกคนสามารถรับประสบการณ์ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเราจะไม่พูดในรายละเอียดมากเกินไป แต่ในหัวใจของพวกเจ้า บางทีมันอาจไม่ชัดเจนว่าซาตานนำเล่ห์กลและกลยุทธ์ใดมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม หรืออย่างน้อยที่สุดเจ้าไม่มีความเข้าใจเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับพวกมัน จะเป็นประโยชน์หรือไม่ที่เราจะพูดถึงการนี้อีกครั้ง? พวกเจ้าต้องการเรียนรู้การนี้หรือไม่? บางทีพวกเจ้าบางคนอาจจะถามว่า “ทำไมจึงพูดถึงซาตานอีก? ชั่วขณะที่ซาตานถูกเอ่ยถึง พวกเราก็กลายเป็นโกรธขึ้นมา และเมื่อพวกเราได้ยินชื่อของมัน พวกเรารู้สึกรำคาญใจไปหมด” ไม่สำคัญว่ามันจะทำให้เจ้าไม่ชูใจเพียงใด เจ้าก็ต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทั้งหลาย สิ่งเหล่านี้จะต้องถูกพูดถึงตรงๆ และทำให้เข้าใจชัดเจนเพื่อประโยชน์ของความเข้าใจของมนุษย์ มิฉะนั้นแล้วมนุษย์ย่อมไม่สามารถหลุดรอดจากอิทธิพลของซาตานได้จริงๆ
พวกเราได้หารือกันก่อนหน้านี้ถึงห้าวิธีที่ซาตานใช้ในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ซึ่งรวมถึงเล่ห์กลทั้งหลายของซาตาน วิธีที่ซาตานใช้ในการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามเป็นเพียงชั้นพื้นผิว ที่แฝงร้ายยิ่งกว่าก็คือเล่ห์กลที่ซ่อนตัวภายใต้พื้นผิวนี้ อันเป็นสิ่งที่ซาตานใช้ในการสัมฤทธิ์เป้าหมายของมัน อะไรหรือคือเล่ห์กลเหล่านี้? ว่ามาเลย สรุปออกมา (มันโกง ล่อใจ และบีบบังคับ) ยิ่งเจ้าระบุรายการเล่ห์กลเหล่านี้ออกมามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น ดูราวกับว่าเจ้าได้ถูกซาตานทำอันตรายลึกและมีความรู้สึกรุนแรงเกี่ยวกับหัวข้อนี้ (มันยังใช้วาทศิลป์แบบปากหวานก้นเปรี้ยวอีกด้วย มันใช้อิทธิพลและครอบงำผู้คนโดยใช้กำลังบังคับ) การครอบงำโดยใช้กำลังบังคับ—สิ่งนี้ทิ้งความประทับใจที่ลึกเป็นพิเศษ ผู้คนกลัวการครอบงำโดยใช้กำลังบังคับของซาตาน มีเล่ห์กลอื่นใดอีกไหม? (มันทำอันตรายผู้คนอย่างรุนแรง ทำการข่มขู่และยื่นข้อเสนอชักนำ และมันโกหก) การโกหกคือหนึ่งในหลายสิ่งที่มันทำ ซาตานโกหกเพื่อที่มันจะสามารถโกงเจ้าได้ อะไรคือธรรมชาติของการโกหก? การโกหกไม่ใช่อย่างเดียวกับการโกงหรอกหรือ? ในข้อเท็จจริงแล้ว เป้าหมายของการพูดโกหกก็คือเพื่อโกงเจ้า มีเล่ห์กลอื่นใดอีกหรือไม่? จงบอกเล่ห์กลของซาตานทั้งหมดที่พวกเจ้ารู้แก่เรา (มันทดลอง ทำอันตราย ทำให้มืดบอด และชักพาให้หลงผิด) พวกเจ้าส่วนใหญ่ย่อมรู้สึกเช่นเดียวกันในเรื่องของการชักพาให้หลงผิดนี้ มีอะไรอีก? (มันควบคุมมนุษย์ จับมนุษย์ไว้ ข่มขวัญมนุษย์ และกีดกันไม่ให้มนุษย์เชื่อในพระเจ้า) เรารู้ความหมายโดยรวมของสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้ากำลังบอกเรา และนี่เป็นเรื่องที่ดี พวกเจ้าทั้งหมดรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับการนี้ ดังนั้นตอนนี้พวกเรามาทำการสรุปถึงเล่ห์กลเหล่านี้กันเถิด
ที่ซาตานนำมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามนั้นมีอยู่หกเล่ห์กลหลัก
เล่ห์กลแรกคือการควบคุมและการบีบบังคับ นั่นคือ ซาตานจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อควบคุมหัวใจของเจ้า “การบีบบังคับ” หมายถึงอะไร? มันหมายถึงการใช้การข่มขู่และยุทธวิธีแบบใช้กำลังเพื่อทำให้เจ้าเชื่อฟังมัน ทำให้เจ้าคิดถึงผลที่ตามมาหากเจ้าไม่เชื่อฟัง เจ้ากลัวและไม่กล้าท้าทายมัน ดังนั้นเจ้าจึงนบนอบต่อมัน
เล่ห์กลที่สองคือการโกงและการใช้เล่ห์เหลี่ยม “การโกงและการใช้เล่ห์เหลี่ยม” พ่วงท้ายมาด้วยอะไรหรือ? ซาตานสร้างเรื่องราวและการโกหกบางอย่าง ใช้เล่ห์ลวงให้เจ้าให้เข้าไปสู่การที่เชื่อในเรื่องเหล่านั้น มันไม่เคยบอกเจ้าว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ แต่มันก็ไม่กล่าวตรงๆ ว่าเจ้าไม่ได้ถูกทำขึ้นโดยพระเจ้า มันไม่ใช้คำว่า “พระเจ้า” เลย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับใช้สิ่งอื่นแทน ใช้สิ่งที่ชักพาให้เจ้าหลงผิดนี้เพื่อให้เจ้าไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าเลยโดยพื้นฐาน แน่อยู่แล้วว่า “การใช้เล่ห์เหลี่ยม” นี้รวมไปถึงแง่มุมมากมาย ไม่ใช่แค่แง่มุมนี้เท่านั้น
เล่ห์กลที่สามคือการฝังคำสอนแบบใช้กำลังบังคับ ผู้คนถูกฝังคำสอนแบบใช้กำลังบังคับด้วยสิ่งใดหรือ? การฝังคำสอนโดยใช้กำลังบังคับทำโดยทางเลือกของมนุษย์เองหรือไม่? มันทำด้วยความยินยอมของมนุษย์หรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน ต่อให้เจ้าไม่ยินยอม เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับมันได้เลย ซาตานฝังคำสอนให้เจ้า ปลูกฝังเจ้าด้วยการคิดของมัน กฎเกณฑ์ชีวิตของมัน และแก่นแท้ของมันโดยที่เจ้านั้นไม่ตระหนักรู้เลย
เล่ห์กลที่สี่คือการข่มขวัญและการล่อลวง นั่นคือ ซาตานนำสารพัดเล่ห์กลมาใช้เพื่อให้เจ้ายอมรับมัน ทำตามมัน และทำงานปรนนิบัติมัน มันก็จะทำอะไรก็ตามเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของมัน บางครั้งมันให้ความอนุเคราะห์เล็กน้อยแก่เจ้า โดยตลอดเวลานั้นก็ยั่วใจให้เจ้ากระทำบาป หากเจ้าไม่ทำตามมัน มันจะทำให้เจ้าทุกข์ทนและลงโทษเจ้า และใช้สารพัดหนทางโจมตีและวางแผนร้ายใส่เจ้า
เล่ห์กลที่ห้าคือการชักพาให้หลงผิดและทำให้ไร้ความรู้สึก “การชักพาให้หลงผิดและทำให้ไร้ความรู้สึก” ก็คือเมื่อซาตานปลูกฝังบางแนวคิดและถ้อยคำที่ฟังหวานหู ซึ่งทั้งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและดูน่าเชื่อถือไว้ในตัวพวกเขา เพื่อทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังให้ความคำนึงถึงสถานการณ์ฝ่ายเนื้อหนังของผู้คน ถึงชีวิตและอนาคตของพวกเขา เมื่ออันที่จริงแล้วเป้าหมายเดียวของมันคือการหลอกเจ้า แล้วมันก็ทำให้เจ้าไม่รู้สึกรู้สาเพื่อที่เจ้าจะไม่รู้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด เพื่อที่เจ้าจะได้ถูกเล่นเล่ห์โดยที่ไม่รู้ตัวและมาอยู่ใต้การควบคุมของมันด้วยเหตุนั้น
เล่ห์กลที่หกคือการทำลายร่างกายและจิตใจ ซาตานทำลายส่วนใดของมนุษย์หรือ? ซาตานทำลายจิตใจของเจ้า ทำให้เจ้าไร้พลังที่จะต้านทาน หมายความว่า หัวใจของเจ้าหันไปหาซาตานทีละน้อยๆ โดยที่เจ้าไม่นึกฝัน มันปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในตัวเจ้าทุกวัน ใช้แนวคิดและวัฒนธรรมเหล่านี้ทุกวันเพื่อส่งอิทธิพลและเตรียมเจ้าให้พร้อม บ่อนทำลายเจตจำนงของเจ้าทีละน้อยๆ เพื่อที่ในท้ายที่สุดเจ้าก็ไม่อยากเป็นคนดีอีกต่อไป เพื่อให้เจ้าไม่ปรารถนาที่จะยืนหยัดขึ้นมาเพื่อสิ่งที่เจ้าเรียกว่า “ความยุติธรรม” อีกต่อไป เจ้าไม่มีพลังใจที่จะว่ายทวนกระแสอีกต่อไป แต่กลับไหลไปตามมันไปโดยไม่รู้ตัว “การทำลายล้าง” หมายความว่าซาตานทรมานผู้คนมากจนกระทั่งพวกเขากลายเป็นเงาร่างของตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป นี่คือเวลาที่ซาตานโถมเข้าใส่ คว้ากุมไว้และสวาปามพวกเขาเข้าไป
แต่ละเล่ห์กลเหล่านี้ที่ซาตานนำมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ทำให้มนุษย์ไร้พลังที่จะต้านทาน เล่ห์กลหนึ่งใดในเหล่านี้ก็สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อมนุษย์ได้ อีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่ซาตานทำและเล่ห์กลอันใดที่มันนำมาก็ใช้สามารถทำให้เจ้าเสื่อมสภาพได้ สามารถนำพาเจ้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน และสามารถทำให้เจ้าติดหล่มแห่งความชั่วและบาปได้ เหล่านี้เองคือเล่ห์กลที่ซาตานนำมาใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม
พวกเราสามารถกล่าวได้ว่าซาตานนั้นเลว แต่เพื่อที่จะยืนยันการนี้ พวกเรายังคงต้องดูว่าผลสืบเนื่องของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามคืออะไร และอุปนิสัยและแก่นแท้ใดบ้างที่มันนำพามาสู่มนุษย์ พวกเจ้าทั้งหมดรู้บางอย่างเกี่ยวกับการนี้ ดังนั้นจงพูดออกมาเถิด อะไรหรือคือผลสืบเนื่องของการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม? อุปนิสัยเสื่อมทรามใดหรือที่พวกเขาแสดงออกและเปิดเผยให้เห็น? (ความโอหังและความหยิ่งผยอง ความเห็นแก่ตัวและความน่าดูหมิ่น ความคดโกงและเล่ห์ลวง ความร้ายกาจและความมุ่งร้าย และการขาดสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง) โดยรวมทั้งหมดแล้ว พวกเราสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขาไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่เลย ตอนนี้ ขอให้บรรดาพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ได้พูดบ้าง (ทันทีที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอ คิดว่าตนสำคัญและทะนงตน โลภมากและเห็นแก่ตัวในแบบเฉพาะ เรารู้สึกว่าเหล่านี้คือปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด) (หลังจากที่ผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว พวกเขาไม่มีวันหยุดที่จะทำทุกสิ่งให้ได้รับรายการทั้งหลายในทางวัตถุและความอุดมด้วยโภคทรัพย์ และพวกเขาถึงขั้นกลายเป็นอริกับพระเจ้า ต้านทานพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า และพวกเขาก็สูญเสียมโนธรรมและเหตุผลที่มนุษย์ควรมี) สิ่งที่พวกเจ้าได้พูดมานั้นล้วนเหมือนกันโดยพื้นฐาน แม้จะมีความแตกต่างเล็กน้อยอยู่บ้างก็ตาม พวกเจ้าบางคนก็แค่ได้รวมรายละเอียดเล็กน้อยเพิ่มเข้าไปเฉยๆ สรุปได้ว่า สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับมนุษยชาติที่เสื่อมทรามคือความโอหัง ความมีเล่ห์ลวง ความมุ่งร้าย และความเห็นแก่ตัว อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าทั้งหมดก็ได้มองข้ามสิ่งเดียวกันไป ผู้คนไม่มีมโนธรรม พวกเขาได้สูญเสียเหตุผลของพวกเขาและไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์—แต่มีอีกสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญมากที่พวกเจ้าไม่ได้เอ่ยถึง ซึ่งก็คือ “การทรยศ” ผลสืบเนื่องท้ายสุดของอุปนิสัยเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์คนใดก็ตามทันทีที่พวกเขาได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามก็คือการที่พวกเขาทรยศพระเจ้านั่นเอง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสอะไรแก่ผู้คนหรือพระองค์ทรงพระราชกิจใดกับพวกเขา พวกเขาไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่พวกเขารู้ว่าเป็นความจริง นั่นคือ พวกเขาไม่ยอมรับรู้ในพระเจ้าอีกต่อไปและพวกเขาทรยศพระองค์ นี่คือผลสืบเนื่องของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม อุปนิสัยเสื่อมทรามทั้งหมดของมนุษย์นั้นล้วนเป็นแบบเดียวกัน ในบรรดาวิธีทั้งหลายที่ซาตานใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม—ความรู้ที่ผู้คนเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ที่พวกเขารู้จัก ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อเหนือธรรมชาติและวัฒนธรรมตามประเพณี รวมถึงกระแสนิยมทางสังคม—มีวิธีใดบ้างที่มนุษย์สามารถใช้บอกว่าสิ่งใดยุติธรรมและสิ่งใดไม่ยุติธรรม? มีอะไรบ้างที่สามารถช่วยให้มนุษย์รู้ว่าสิ่งใดบริสุทธิ์และสิ่งใดเลว? มีมาตรฐานใดบ้างที่จะใช้ประเมินวัดสิ่งเหล่านี้? (ไม่มี) ไม่มีมาตรฐานและพื้นฐานที่สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้เลย แม้ผู้คนอาจรู้จักคำว่า “บริสุทธิ์” แต่ก็ไม่มีใครสักคนรู้ตามที่เป็นจริงว่าบริสุทธิ์นั้นคืออะไร ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานนำพามาสู่มนุษย์สามารถช่วยให้พวกเขารู้จักความจริงได้กระนั้นหรือ? พวกมันสามารถช่วยมนุษย์ให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มากขึ้นได้กระนั้นหรือ? พวกมันสามารถช่วยมนุษย์ให้ดำรงชีวิตในหนทางที่พวกเขาสามารถนมัสการพระเจ้าได้มากขึ้นได้หรือไม่? (ไม่) เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่สามารถช่วยให้มนุษย์นมัสการพระเจ้าหรือเข้าใจความจริงได้ และไม่สามารถช่วยให้มนุษย์รู้ว่าความบริสุทธิ์และความเลวคืออะไร ในทางกลับกัน มนุษย์กลับเสื่อมลงทุกที ไถลห่างจากพระเจ้าไปไกลขึ้นทุกที นี่คือสาเหตุที่พวกเรากล่าวว่าซาตานนั้นเลว เมื่อได้ชำแหละธาตุแท้ที่เลวของซาตานออกมามากเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าได้เห็นองค์ประกอบอันใดของความบริสุทธิ์ในซาตานหรือไม่ ไม่ว่าจะในธาตุแท้ของมันหรือในความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับแก่นแท้ของมัน? (ไม่เห็น) แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นถึงขนาดนั้น ดังนั้นพวกเจ้าได้เห็นแง่มุมใดของแก่นแท้ของซาตานที่มีความคล้ายคลึงอันใดกับพระเจ้าหรือไม่? (ไม่เห็น) การแสดงออกอันใดของซาตานมีความคล้ายคลึงใดกับพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) ดังนั้นตอนนี้เราต้องการถามพวกเจ้าว่า โดยใช้คำของพวกเจ้าเองแล้ว แท้ที่จริงนั้น ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคืออะไรกันแน่? ก่อนอื่น คำว่า “ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า” ที่พูดกันนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร? คำเหล่านี้พูดกันโดยเชื่อมโยงกับแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่? หรือว่าคำเหล่านี้พูดกันโดยเชื่อมโยงกับพระอุปนิสัยของพระองค์ในบางแง่มุม? (คำเหล่านี้พูดกันโดยเชื่อมโยงกับแก่นแท้ของพระเจ้า) พวกเราต้องระบุให้ชัดเจนถึงจุดยืนหลักที่ใช้ในการเข้าถึงหัวข้อที่ต้องการของพวกเราอย่างชัดเจน คำเหล่านี้พูดกันโดยเชื่อมโยงกับแก่นแท้ของพระเจ้า ก่อนอื่น พวกเราได้ใช้ความเลวของซาตานเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้นเจ้าได้เห็นแก่นแท้อันใดของซาตานอยู่ในพระเจ้าหรือไม่? แล้วถ้าเป็นแก่นแท้อันใดของมวลมนุษย์ล่ะ? (ไม่ พวกเราไม่ได้เห็น พระเจ้าไม่ทรงโอหัง ไม่ทรงเห็นแก่ตัว และไม่ทรงทรยศ และจากการนี้พวกเราได้เห็นแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่เปิดเผยออกมา) มีอะไรอื่นเพิ่มเติมอีกไหม? (พระเจ้าไม่ทรงมีร่องรอยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน สิ่งที่ซาตานมีเป็นด้านลบอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงมีนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากด้านบวก พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ ทรงเฝ้าดูพวกเราและทรงคุ้มครองพวกเรา ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกเรายังเล็กมาก มาโดยตลอดชั่วชีวิตของพวกเราและจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่พวกเราสับสนและหลงทาง ในพระเจ้านั้นไม่มีเล่ห์ลวง ไม่มีการโกง พระองค์ตรัสอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา และนี่ก็เช่นกันที่เป็นแก่นแท้อันแท้จริงของพระเจ้า) ดีมาก! (พวกเราสามารถเห็นได้ว่าไม่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดของซาตานอยู่ในพระเจ้า ไม่มีการตีสองหน้า ไม่มีการอวดตัว ไม่มีสัญญาอันว่างเปล่า และไม่มีเล่ห์ลวง พระเจ้าทรงเป็นเพียงองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่มนุษย์สามารถเชื่อได้ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและจริงใจ จากพระราชกิจของพระเจ้า พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงบอกผู้คนให้ซื่อสัตย์ ทรงมอบปัญญาแก่พวกเขา ทรงทำให้พวกเขาสามารถแยกแยะความดีออกจากความชั่วและมีวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งนานาสารพัน พวกเราสามารถเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ในการนี้) พวกเจ้าพูดจบแล้วหรือยัง? พวกเจ้าพึงพอใจกับสิ่งที่เราได้พูดไปหรือไม่? ในหัวใจของพวกเจ้านั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าอย่างแท้จริงมากเพียงใด? และเจ้าจับใจความความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้มากเพียงใด? เรารู้ว่าในใจของพวกเจ้าแต่ละคนนั้นมีความเข้าใจซึ่งสามารถรับรู้ได้ในระดับหนึ่ง เพราะแต่ละคนสามารถรู้สึกได้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา และพวกเขาได้รับหลายสิ่งหลายอย่างจากพระเจ้าในระดับที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นพระคุณกับพระพร ความรู้แจ้งกับความกระจ่าง และการพิพากษากับการตีสอนของพระเจ้า และเพราะสิ่งเหล่านี้ มนุษย์จึงได้รับความเข้าใจอย่างง่ายบางประการเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า
แม้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่พวกเรากำลังหารือกันอยู่วันนี้อาจดูแปลกสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ แต่บัดนี้พวกเราก็ได้เริ่มต้นหัวข้อนี้กันแล้วโดยหาได้คำนึงถึงเรื่องนี้ไม่ และขณะที่พวกเจ้าเดินไปบนถนนเบื้องหน้า พวกเจ้าก็จะได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น เจ้าพึงจะต้องค่อยๆ รู้สึกและเข้าใจในช่วงระหว่างการได้รับประสบการณ์ของตัวเจ้าเอง สำหรับตอนนี้ ความเข้าใจของเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานการรับรู้ของเจ้าเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้านั้นยังพึงต้องมีช่วงเวลายาวนานที่จะเรียนรู้ ที่จะยืนยัน ที่จะรู้สึก และที่จะผ่านประสบการณ์กับมัน จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง พวกเจ้าก็จะรู้จากใจกลางหัวใจของเจ้าว่า “ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า” หมายความว่า แก่นแท้ของพระเจ้านั้นไร้ข้อตำหนิ ว่าความรักของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้มนุษย์ไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว และเจ้าจะมารู้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นไม่มีมลทินและไม่อาจตำหนิได้เลย แง่มุมเหล่านี้ของแก่นแท้ของพระเจ้าไม่ใช่ถ้อยคำที่พระองค์ทรงใช้เพียงเพื่อที่จะโอ้อวดอัตลักษณ์ของพระองค์ แต่ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงใช้แก่นแท้ของพระองค์เพื่อปฏิบัติกับแต่ละคนและทุกคนด้วยความจริงใจอันสงบเงียบ อีกนัยหนึ่งก็คือ แก่นแท้ของพระเจ้าไม่ว่างเปล่า และไม่เป็นไปในเชิงทฤษฎีหรือเชิงคำสอน และแน่นอนว่าไม่ใช่ความรู้ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่การศึกษาชนิดหนึ่งสำหรับมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น แก่นแท้ของพระเจ้าคือการเปิดเผยที่แท้จริงถึงการกระทำของพระเจ้าเอง และคือแก่นแท้ที่ถูกเปิดเผยเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น มนุษย์ควรรู้จักแก่นแท้นี้และจับใจความได้ เพราะทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำและพระวจนะทุกคำที่พระองค์ตรัสนั้นมีคุณค่าใหญ่หลวงและมีนัยสำคัญใหญ่หลวงต่อบุคคลทุกๆ คน ครั้นเจ้ามาจับใจความได้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ครั้นเจ้ามาจับใจความได้ถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถตระหนักได้จริงถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “พระเจ้าพระองค์เอง ผู้ทรงเอกลักษณ์” เจ้าจะไม่เพ้อฝันอีกต่อไป โดยคิดไปว่ามีเส้นทางอื่นๆ ที่เจ้าสามารถเลือกเดินได้นอกเหนือจากเส้นทางนี้ และเจ้าจะไม่เต็มใจอีกต่อไปแล้วที่จะทรยศทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า เนื่องเพราะแก่นแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ นั่นจึงหมายความว่า เจ้าสามารถก้าวเดินไปตลอดชีวิตบนเส้นทางแห่งความสว่างอันชอบธรรมได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถรู้ความหมายของชีวิตได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์จริง และทั้งครองและรู้จักความจริงได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถได้มาซึ่งชีวิตจากความจริงได้ก็โดยผ่านทางพระเจ้าเท่านั้น เฉพาะพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถช่วยให้เจ้าหลบเลี่ยงความชั่วและช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากอันตรายและการควบคุมของซาตานได้ นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดและไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถช่วยเจ้าให้รอดจากทะเลแห่งความทุกข์เพื่อที่เจ้าจะไม่ทุกข์ทนอีกต่อไป การนี้กำหนดตัดสินโดยแก่นแท้ของพระเจ้า เฉพาะพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงช่วยเจ้าให้รอดโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่ท้ายที่สุดแล้วทรงรับผิดชอบต่ออนาคตของพวกเจ้า ต่อโชคชะตาของพวกเจ้าและต่อชีวิตของพวกเจ้า และพระองค์ทรงจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่งเพื่อเจ้า นี่คือบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างหรือที่ไม่ได้ถูกสร้างสามารถสัมฤทธิ์ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างหรือที่ไม่ได้ถูกสร้างที่จะมีแก่นแท้เฉกเช่นแก่นแท้ของพระเจ้า ไม่มีบุคคลใดหรือสิ่งใดมีความสามารถที่จะช่วยเจ้าให้รอดหรือนำทางเจ้าได้ นี่คือความสำคัญของแก่นแท้ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ บางทีพวกเจ้าอาจรู้สึกว่าโดยหลักแล้ว วจนะเหล่านี้ที่เราได้กล่าวไปอาจช่วยได้เล็กน้อย แต่หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้ารักความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้มามีประสบการณ์กับการที่ถ้อยคำเหล่านี้จะไม่เพียงเปลี่ยนโชคชะตาของเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น วจนะเหล่านี้จะนำพาเจ้าไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์ เจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่? ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้ามีความสนใจที่จะรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่? (มี) เป็นการดีที่ได้รู้ว่าเจ้าสนใจ สำหรับวันนี้ พวกเราจะจบหัวข้อการสามัคคีธรรมของพวกเราเรื่องการรู้จักความบริสุทธิ์ของพระเจ้าไว้ตรงนี้
***
เราอยากจะพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำเมื่อตอนต้นของการชุมนุมของพวกเราวันนี้ซึ่งทำให้เราประหลาดใจ พวกเจ้าบางคนอาจกำลังเลี้ยงดูสำนึกแห่งความกตัญญู บางทีเจ้าอาจกำลังรู้สึกสำนึกในบุญคุณ และดังนั้นภาวะอารมณ์ของเจ้าจึงนำมาซึ่งการกระทำอันสอดรับกัน สิ่งที่เจ้าได้ทำไปนั้นไม่ใช่อะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องมีการตำหนิ มันไม่ใช่ทั้งถูกหรือผิด แต่เราอยากให้พวกเจ้าเข้าใจอะไรบางอย่าง อะไรเล่าคือสิ่งที่เราต้องการให้เจ้าเข้าใจ? ก่อนอื่น เราอยากถามพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งทำไปตอนนี้ นั่นใช่การหมอบกราบหรือการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการหรือไม่? ใครบอกเราได้หรือไม่? (พวกเราเชื่อว่ามันคือการหมอบกราบ) พวกเจ้าเชื่อว่ามันคือการหมอบกราบ ถ้าอย่างนั้นแล้ว อะไรหรือคือความหมายของการหมอบกราบ? (นมัสการ) ถ้าอย่างนั้นแล้ว อะไรหรือคือการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการ? เราไม่เคยสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับการนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้เรารู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น พวกเจ้าหมอบกราบในการชุมนุมตามปกติของเจ้าหรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าหมอบกราบเมื่อเจ้ากล่าวคำอธิษฐานของเจ้าหรือไม่? (หมอบกราบ) ยามที่สถานการณ์เอื้ออำนวย แต่ละครั้งที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าหมอบกราบหรือไม่? (หมอบกราบ) นั่นก็ดีแล้ว แต่วันนี้ สิ่งที่เราอยากให้พวกเจ้าเข้าใจก็คือ พระเจ้าเพียงทรงยอมรับการแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าหรือโค้งคำนับของผู้คนสองประเภทเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลจากพระคัมภีร์หรือความประพฤติและการประพฤติปฏิบัติของบุคคลฝ่ายจิตวิญญาณคนใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราจะบอกบางอย่างที่แท้จริงแก่พวกเจ้าตรงนี้เดี๋ยวนี้เลย ก่อนอื่น การหมอบกราบและการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงยอมรับการแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าหรือโค้งคำนับของบรรดาผู้ที่หมอบกราบด้วยตัวเอง? นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงเรียกใครบางคนให้มาหาพระองค์และทรงเรียกตัวบุคคลผู้นี้ให้ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า พระเจ้าจึงจะทรงอนุญาตให้เขาหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ นี่คือบุคคลประเภทแรก ประเภทที่สองคือผู้ที่คุกเข่าลงเพื่อนมัสการของใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว มีเพียงผู้คนสองประเภทนี้เท่านั้น แล้วพวกเจ้าเป็นคนประเภทใดหรือ? พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่? นี่คือข้อเท็จจริงจริงๆ แม้มันอาจทำร้ายความรู้สึกของเจ้าไปสักนิด ไม่มีอะไรที่ต้องพูดเกี่ยวกับการแสดงความเคารพโดยการคุกเข่าหรือโค้งคำนับของผู้คนช่วงระหว่างการอธิษฐาน—นี่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นดังที่ควรเป็น เพราะยามที่ผู้คนอธิษฐานนั้น โดยมากก็เป็นการอธิษฐานเพื่อให้ได้อะไรบางอย่าง เป็นการเปิดใจของพวกเขาต่อพระเจ้าและมาเผชิญหน้ากันกับพระองค์ นั่นเป็นการสัมพันธ์สนิทและการแลกเปลี่ยนแบบใจแลกใจกับพระเจ้า การนมัสการด้วยการคุกเข่าไม่ควรเป็นแค่พิธีการธรรมดาเท่านั้น เรามิใช่หมายที่จะตำหนิเจ้าสำหรับสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำไปในวันนี้ เราแค่ต้องการทำให้เป็นที่ชัดเจนต่อพวกเจ้าเพื่อให้เจ้าเข้าใจหลักธรรมนี้—เจ้ารู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่? (ใช่ พวกเรารู้) เรากำลังบอกเรื่องนี้กับเจ้าเพื่อให้เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้นแล้ว ผู้คนมีโอกาสเหมาะอันใดที่จะหมอบกราบและคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าหรือไม่? มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันมีโอกาสเหมาะนี้ วันนั้นจะมาถึงในอีกไม่ช้าไม่นาน แต่เวลานั้นไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าเห็นหรือไม่? เรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าอารมณ์เสียหรือไม่? (ไม่) นั่นก็ดีแล้ว บางทีวจนะเหล่านี้อาจสร้างแรงจูงใจหรือบันดาลใจพวกเจ้า ให้พวกเจ้าสามารถรู้อยู่ในใจถึงที่นั่งลำบากปัจจุบันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และรู้ว่าสัมพันธภาพประเภทใดที่มีอยู่ตอนนี้ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ แม้เมื่อไม่นานมานี้พวกเราได้พูดถึงและแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมกันไปบ้างแล้ว ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าก็ยังคงไม่พอเพียงเอาเสียเลย มนุษย์ยังมีหนทางอีกยาวไกลที่ต้องไปต่อบนถนนสายนี้แห่งการพยายามที่จะเข้าใจพระเจ้า ไม่ใช่เจตนารมณ์ของเราในการที่จะให้พวกเจ้าทำการนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วน หรือให้รีบร้อนแสดงความทะเยอทะยานหรือความรู้สึกประเภทเหล่านี้ สิ่งที่พวกเจ้าได้ทำลงไปในวันนี้อาจเผยให้เห็นและแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเจ้า และเราก็ได้รู้สึกถึงพวกมัน ดังนั้นในขณะที่พวกเจ้ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เราก็แค่ต้องการยืนขึ้นและมอบความปรารถนาดีของเราแก่พวกเจ้า เพราะเราปรารถนาให้พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ดี ดังนั้น ในทุกคำพูดและทุกการกระทำของเรา เราทำอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้า เพื่อนำพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าสามารถมีความเข้าใจที่ถูกต้องและทรรศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับทุกสรรพสิ่ง พวกเจ้าสามารถจับใจความการนี้ได้ หรือไม่ได้? (ได้) นั่นก็ดีแล้ว แม้ว่าผู้คนมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันหลากหลายของพระเจ้า แง่มุมต่างๆ ของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำ ส่วนใหญ่ของความเข้าใจนี้ก็ไปไม่ไกลเกินกว่าการอ่านพระวจนะบนหน้ากระดาษ หรือการทำความเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นในหลักทั่วไป หรือแค่การนึกถึงพระวจนะเหล่านั้น สิ่งที่ผู้คนขาดพร่องที่สุดก็คือความเข้าใจจริงและความรู้ความเข้าใจเชิงลึกซึ่งมาจากประสบการณ์ที่เป็นจริง แม้ว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการสารพัดเพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ให้ตื่น แต่ก็ยังมีถนนสายยาวที่ต้องเดินก่อนที่การนี้จะสำเร็จลุล่วง เราไม่ต้องการเห็นใครก็ตามรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งพวกเขาไว้ในความหนาวเย็น ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาหรือได้หันหลังให้กับพวกเขา ทั้งหมดที่เราต้องการเห็นก็คือ ทุกคนอยู่บนถนนที่ไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการพยายามเข้าใจพระเจ้า โดยตบเท้าเดินหน้าอย่างหาญกล้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เรรวน โดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือภาระอันใด ไม่สำคัญว่าเจ้าได้กระทำความผิดใดไป ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ไถลห่างไปไกลเพียงใด หรือเจ้าได้ฝ่าฝืนไปอย่างรุนแรงเพียงใด จงอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระหรือสัมภาระส่วนเกินที่เจ้าต้องแบกไปด้วยในการไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้าของเจ้า จงตบเท้าเดินหน้าต่อไป พระเจ้าทรงยึดถือความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา การนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นี่คือส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของแก่นแท้ของพระเจ้า ตอนนี้ พวกเจ้ารู้สึกดีขึ้นสักนิดหรือไม่? (ดีขึ้น) เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถนำเอาวิธีการที่ถูกต้องไปใช้กับทุกสรรพสิ่งและกับวจนะที่เราได้กล่าวไปแล้ว พวกเราก็มาจบการสามัคคีธรรมนี้กันไว้ตรงนี้เถิด ลาก่อน!
11 มกราคม ค.ศ. 2014