พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า (2)

วันนี้ พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย พวกเรามาขับร้องเพลงสรรเสริญกันเถิด  จงหาสักเพลงที่พวกเจ้าชอบและที่พวกเจ้าขับร้องเป็นประจำ  (พวกเราจะขับร้องเพลงสรรเสริญหมายเลข 760 ที่มาจากพระวจนะของพระเจ้า ชื่อเพลง “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”)

1  “ความรัก” อ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ารัก เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่หลอกลวง พร่ำบ่น ทรยศ ก่อกบฏ เรียกร้องหรือแสวงหาที่จะได้รับบางสิ่งหรือได้รับในปริมาณที่เจาะจง

2  “ความรัก” อ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ารัก  เจ้าก็จะมอบอุทิศตัวของเจ้าอย่างยินดี จะทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างยินดี เจ้าจะไปกันได้กับเรา เจ้าจะละทิ้งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อเรา เจ้าจะยอมละทิ้งครอบครัวของเจ้า อนาคตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า และการสมรสของเจ้า  หาไม่แล้ว ความรักของเจ้าจะไม่ใช่ความรักเลย แต่เป็นการหลอกลวงและการทรยศ!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว

เพลงสรรเสริญนี้เป็นตัวเลือกที่ดี  พวกเจ้าทุกคนชื่นชมในการขับร้องบทเพลงนี้หรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากร้องเพลงนี้?  พวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงความรักแบบนี้ภายในตัวพวกเจ้าเองหรือไม่?  (ยังเลย)  คำใดในบทเพลงนี้ที่ขับเคลื่อนเจ้าอย่างลึกซึ้งที่สุด?  (“ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์”  แต่ภายในตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังคงมองเห็นความไม่บริสุทธิ์มากมายยิ่งนัก และหลายส่วนของข้าพเจ้าที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ได้บรรลุถึงความรักประเภทที่บริสุทธิ์และไร้มลทินเลยจริงๆ)  หากเจ้ายังไม่ได้บรรลุถึงความรักที่บริสุทธิ์และไร้มลทิน เช่นนั้นแล้ว ความรักของเจ้าอยู่ที่ระดับใด?  (ข้าพเจ้าอยู่แค่ในช่วงระยะที่ข้าพเจ้าเต็มใจจะแสวงหา ที่ซึ่งข้าพเจ้ากำลังโหยหา)  ว่ากันตามวุฒิภาวะของเจ้าเอง และพูดจากประสบการณ์ของเจ้าเองแล้ว เจ้าได้บรรลุถึงระดับใดหรือ?  เจ้ามีความหลอกลวงหรือไม่?  เจ้ามีการร้องทุกข์หรือไม่?  เจ้ามีข้อเรียกร้องภายในหัวใจของเจ้าหรือไม่?  มีสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องการและอยากได้จากพระเจ้าหรือไม่?  (มี ข้าพเจ้ามีสิ่งแปดเปื้อนต่างๆ เหล่านี้อยู่ภายใน)  สิ่งเหล่านั้นจะออกมาในรูปการณ์แวดล้อมใด?  (เมื่อสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับข้าพเจ้าไม่เข้ากันกับมโนคติที่หลงผิดของข้าพเจ้า หรือเมื่อความอยากได้อยากมีของข้าพเจ้าไม่ได้รับการตอบสนอง  กล่าวคือ  ในช่วงขณะเช่นนั้น ข้าพเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้ออกมา)  พวกเจ้า พี่น้องชายหญิงที่มาจากไต้หวัน พวกเจ้าขับร้องเพลงสรรเสริญนี้บ่อยๆ ด้วยหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถบอกสักเล็กน้อยเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเจ้าในเรื่อง “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน” ได้หรือไม่?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงนิยามความรักในหนทางนี้?  (ข้าพเจ้าชอบบทเพลงสรรเสริญนี้มาก เพราะข้าพเจ้าสามารถเห็นได้จากบทเพลงนี้ว่าความรักนี้เป็นความรักที่ครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังคงมีหนทางอีกยาวไกลทีเดียวกว่าจะทำได้ตามมาตรฐานนั้น และข้าพเจ้ายังคงอยู่ไกลจากการบรรลุถึงความรักที่แท้จริงอย่างมาก  มีบางอย่างที่ข้าพเจ้าสามารถทำให้มีความก้าวหน้าและให้ความร่วมมือได้ โดยผ่านทางความแข็งแกร่งที่พระวจนะของพระองค์มอบให้แก่ข้าพเจ้าและโดยผ่านทางการอธิษฐาน  อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบหรือการเผยเฉพาะบางอย่าง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่มีอนาคตหรือชะตาลิขิต ว่าข้าพเจ้าไม่มีบั้นปลาย  ในชั่วขณะเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนแอมาก  และประเด็นปัญหานี้รบกวนข้าพเจ้าอยู่บ่อยครั้ง)  ท้ายที่สุดแล้วเจ้ากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดเมื่อเจ้ากล่าวว่า “อนาคตและชะตาลิขิต”?  มีบางสิ่งบางอย่างซึ่งเฉพาะเจาะจงที่เจ้ากำลังอ้างอิงถึงหรือไม่?  มันเป็นภาพหรือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าได้จินตนาการขึ้นมา หรือว่า อนาคตและชะตาลิขิตของเจ้าเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริง?  มันเป็นวัตถุที่เป็นจริงหรือไม่?  เราต้องการให้พวกเจ้าแต่ละคนคิดเกี่ยวกับมัน กล่าวคือ ความกังวลที่พวกเจ้ามีสำหรับอนาคตและชะตาลิขิตของพวกเจ้านั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด?  (มันคือการมีความสามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดเพื่อที่ข้าพเจ้าจะสามารถอยู่รอดได้)  พวกเจ้า พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เจ้าก็จงพูดคุยด้วยสักเล็กน้อยเถิดเกี่ยวกับความเข้าใจของเจ้าในเรื่อง “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”  (เมื่อบุคคลหนึ่งมีความรักเช่นนี้ ย่อมไม่มีราคีใดก่อเกิดในตัวพวกเขาแต่ละคน และพวกเขาก็ไม่ถูกอนาคตและชะตาลิขิตของตนตีกรอบเอาไว้  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็สามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ได้ทุกประการ และติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด  มีเพียงความรักต่อพระเจ้าประเภทนี้เท่านั้นที่เป็นความรักบริสุทธิ์และไร้มลทิน  ในการวัดตัวข้าพเจ้าเองกับสิ่งนั้น ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่า ถึงแม้จะปรากฏชัดว่าข้าพเจ้าได้สละตัวเองหรือทิ้งสิ่งทั้งหลายเฉพาะบางอย่างในช่วงไม่กี่ปีหลังของการเชื่อในพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่สามารถมอบหัวใจของข้าพเจ้าให้พระองค์ได้อย่างแท้จริง  เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ และข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในสภาวะด้านลบ  ข้าพเจ้ามองเห็นตัวเองกำลังปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นข้าพเจ้าก็กำลังพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า ข้าพเจ้าไร้ความสามารถที่จะรักพระเจ้าจนหมดทั้งหัวใจของข้าพเจ้าได้ และบั้นปลายของข้าพเจ้า อนาคตของข้าพเจ้า และชะตาลิขิตของข้าพเจ้านั้น อยู่ในความนึกคิดจิตใจของข้าพเจ้าตลอดเวลา)  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเกิดความเข้าใจในเพลงสรรเสริญนี้บ้างแล้ว และได้เชื่อมโยงเพลงสรรเสริญนี้เข้ากับประสบการณ์จริงของพวกเจ้าบ้างแล้ว  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าเข้าใจแต่ละวลีในเพลงสรรเสริญ “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน” นี้ในระดับต่างๆ กัน  ผู้คนบางคนคิดว่ามันเกี่ยวกับความเต็มใจ ผู้คนบางคนกำลังพยายามที่จะทิ้งอนาคตของเขา ผู้คนบางคนกำลังพยายามที่จะปล่อยครอบครัวของพวกเขาไป และผู้คนบางคนไม่ได้กำลังพยายามที่จะรับสิ่งอันใด  คนอื่นๆ ยังคงกำลังพึงประสงค์ให้ตัวเองไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการร้องทุกข์ และที่จะไม่กบฏต่อพระเจ้า  เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ที่จะแนะนำความรักประเภทนี้และทรงพึงประสงค์ที่จะให้ผู้คนรักพระองค์ในหนทางนี้?  นี่คือความรักชนิดที่ผู้คนสามารถบรรลุได้หรือไม่?  กล่าวคือ ผู้คนสามารถที่จะรักในหนทางนี้ได้หรือไม่?  ผู้คนอาจมองเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถ เพราะพวกเขาไม่มีคำบอกใบ้อันใดเกี่ยวกับความรักชนิดนี้  เมื่อผู้คนไม่มีสิ่งนั้น และเมื่อโดยรากฐานแล้วพวกเขาไม่รู้เรื่องความรัก พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ และพระวจนะเหล่านี้ก็ย่อมไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับพวกเขา  ในเมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในพิภพนี้และอยู่ในอุปนิสัยที่เสื่อมทราม หากผู้คนมีความรักชนิดนี้ หรือหากบุคคลหนึ่งสามารถครองความรักชนิดนี้ ความรักที่ไม่มีการร้องขอและไม่มีการเรียกร้อง ความรักที่ทำให้พวกเขาเต็มใจที่จะอุทิศตัวเองและสู้ทนกับความทุกข์และละวางทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเป็นเจ้าของ เช่นนั้นแล้ว ผู้คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับใครบางคนซึ่งครองความรักชนิดนี้อย่างไร?  บุคคลเช่นนั้นจะไม่มีความเพียบพร้อมหรอกหรือ?  (มี)  บุคคลที่เพียบพร้อมเช่นนั้นมีอยู่ในโลกนี้หรือไม่?  บุคคลชนิดนี้ไม่มีอยู่จริงในพิภพนี้เลย  การนี้แน่นอนที่สุด  เพราะฉะนั้น ผู้คนบางคนใช้ความพยายามอันใหญ่หลวงเพื่อวัดตัวพวกเขาเองกับคำพูดเหล่านี้โดยผ่านทางประสบการณ์ทั้งหลายของพวกเขา  พวกเขาจัดการตัวเอง ยับยั้งตัวเอง และถึงขั้นต่อต้านตัวเองอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ พวกเขาสู้ทนกับความทุกข์และทำให้ตัวเองละวางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา  พวกเขาละวางความเป็นกบฏของพวกเขา และความอยากได้อยากมีและความต้องการของพวกเขาเอง  แต่ในท้ายที่สุดพวกเขายังคงไม่สามารถดีได้เพียงพอ  เหตุใดจึงเกิดการนั้นขึ้น?  พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้เพื่อจัดเตรียมมาตรฐานหนึ่งให้ผู้คนได้ติดตาม เพื่อที่ผู้คนจะได้รู้จักมาตรฐานที่พระเจ้าทรงเรียกร้องต่อพวกเขา  แต่พระเจ้าเคยตรัสว่ามนุษย์ต้องสัมฤทธิ์การนี้ในทันทีหรือไม่?  พระเจ้าเคยตรัสว่าผู้คนต้องสัมฤทธิ์การนี้เป็นเวลานานเพียงใดหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าเคยตรัสว่าผู้คนต้องรักพระองค์ในหนทางนี้หรือไม่?  ข้อมูลอักษรบทตอนนี้กล่าวการนั้นหรือไม่?  ไม่ มันไม่ได้กล่าวเช่นนั้น  พระเจ้าแค่กำลังทรงบอกผู้คนเกี่ยวกับความรักที่พระองค์ทรงอ้างอิงถึง  ส่วนการที่ผู้คนสามารถรักพระเจ้าในหนทางนี้และปฏิบัติกับพระเจ้าในหนทางนี้ได้หรือไม่นั้น ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกมนุษย์คือสิ่งใดเล่า?  ไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปถึงข้อพึงประสงค์เหล่านั้นในทันที เพราะนั่นคงจะอยู่เหนือความสามารถของผู้คน  พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าผู้คนจำเป็นต้องพบกับสภาพเงื่อนไขจำพวกใดเพื่อที่จะรักในหนทางนี้?  หากผู้คนอ่านพระวจนะเหล่านี้เป็นนิจศีล พวกเขาจะค่อยๆ มีความรักนี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว สภาพเงื่อนไขเหล่านี้คือสิ่งใด?  ก่อนอื่น ผู้คนสามารถเป็นอิสระจากความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าได้อย่างไร?  (มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้)  การเป็นอิสระจากความหลอกลวงเป็นอย่างไร?  (พวกเขาต้องเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ด้วยเช่นกัน)  การเป็นใครบางคนที่ไม่ทำข้อตกลงกับพระเจ้าเป็นอย่างไร?  นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ด้วยเช่นกัน  การเป็นอิสระจากความฉลาดแกมโกงเป็นอย่างไร?  การกล่าวว่าไม่มีตัวเลือกในความรักหมายความว่าอย่างไร?  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้กลับมาสู่การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  มีรายละเอียดมากมายในที่นี้  การที่พระเจ้าทรงสามารถตรัสถึงและให้นิยามความรักชนิดนี้ในหนทางนี้พิสูจน์ถึงสิ่งใด?  พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงครองความรักชนิดนี้?  (ได้)  พวกเจ้าสามารถมองเห็นการนี้ที่ใด?  (ในความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์)  ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์มีเงื่อนไขหรือไม่?  มีสิ่งกีดขวางหรือระยะห่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีความสงสัยเกี่ยวกับมนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตมนุษย์และทรงเข้าใจมนุษย์ พระองค์ทรงเข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริง  พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความหลอกลวงต่อมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ในเมื่อพระเจ้าตรัสถึงความรักนี้อย่างเพียบพร้อมเพียงนั้น พระทัยของพระองค์หรือเนื้อแท้ของพระองค์จะสามารถมีความเพียบพร้อมถึงเพียงนั้นได้หรือไม่?  (ได้)  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้ เมื่อผู้คนมีประสบการณ์ถึงจุดหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถรู้สึกถึงการนี้ได้  ผู้คนเคยให้นิยามความรักในหนทางนี้หรือไม่?  มนุษย์ได้ให้นิยามความรักในรูปการณ์แวดล้อมใด?  มนุษย์กล่าวถึงความรักอย่างไร?  มนุษย์ไม่กล่าวถึงความรักในแง่ของการให้หรือการถวายหรอกหรือ?  (พูด)  นิยามความรักนี้พูดง่ายเกินไป มันขาดพร่องเนื้อแท้

คำนิยามของพระเจ้าเกี่ยวกับความรักและหนทางที่พระเจ้าตรัสถึงความรักนั้นเชื่อมโยงกับแง่มุมหนึ่งแห่งเนื้อแท้ของพระองค์ แต่นั่นคือแง่มุมใด?  ครั้งที่แล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับหัวเรื่องหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่ง หัวเรื่องที่ผู้คนได้สนทนากันมาก่อนบ่อยครั้งแล้ว  หัวเรื่องนี้ประกอบด้วยคำหนึ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในครรลองของการเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นคำหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  นั่นเป็นคำที่มาจากภาษาของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม คำนิยามของคำนี้เป็นทั้งชัดแจ้งและทั้งคลุมเครือในท่ามกลางมนุษย์  คำนี้คืออะไร?  (ความบริสุทธิ์)  ความบริสุทธิ์ นั่นคือ หัวข้อของพวกเราที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว  พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของหัวข้อนี้  ทุกคนได้รับความเข้าใจใหม่บางอย่างเกี่ยวกับเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วของพวกเราหรือไม่?  แง่มุมใดหรือจากความเข้าใจนี้ ที่พวกเจ้าพิจารณาว่าเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น?  กล่าวคือ อะไรคือสิ่งที่อยู่ภายในความเข้าใจนี้หรือภายในคำพูดเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่า ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นแตกต่างหรือแปรปรวนไปจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตามที่เราได้พูดเกี่ยวกับการนั้นในช่วงระหว่างการสามัคคีธรรม?  เจ้ามีความประทับใจอันใดเกี่ยวกับการนี้บ้างหรือไม่?  (พระเจ้าตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ไม่ปนเปื้อน  นี่คือการสำแดงถึงแง่มุมหนึ่งของความบริสุทธิ์)  (ยังมีความบริสุทธิ์อยู่ด้วยเมื่อพระเจ้าทรงพิโรธต่อมนุษย์  พระพิโรธของพระองค์ปราศจากมลทิน)  (สำหรับความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามีทั้งพระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระองค์ภายในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  การนี้ได้ทิ้งความประทับใจอันแรงกล้าอย่างยิ่งต่อข้าพเจ้า  ในการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วของพวกเรานั้น ได้มีการกล่าวถึงด้วยว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นเป็นเอกลักษณ์—ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการนี้ในอดีต  หลังจากได้ยินสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมแล้วเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงได้เข้าใจว่า พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากโมหะแบบมนุษย์  พระพิโรธของพระเจ้าเป็นสิ่งเชิงบวก และสิ่งนั้นมีหลักการ ซึ่งถูกส่งออกมาเนื่องจากเนื้อแท้โดยกำเนิดของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเชิงลบ และดังนั้นพระองค์จึงทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมา  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้ครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใด)  หัวข้อของพวกเราวันนี้คือความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ผู้คนทั้งหมดได้ยินและได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งที่ผู้คนมากมายพูดคุยเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในเวลาเดียวกัน พวกเขากล่าวว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  คำว่า “บริสุทธิ์” ไม่ใช่คำที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนใดอย่างแน่นอน—มันเป็นคำที่ใช้กันโดยทั่วไป  แต่ในแง่ของความหมายภายในคำนั้น ผู้คนสามารถมองเห็นการแสดงออกใดเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าหรือ?  พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งใดที่ผู้คนสามารถระลึกรู้ได้หรือ?  เราเกรงว่านี่จะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดรู้เลย  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม แต่เช่นนั้นแล้วหากเจ้านึกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าแล้วกล่าวว่าสิ่งนั้นบริสุทธิ์ นั่นดูเหมือนจะค่อนข้างคลุมเครือ ค่อนข้างบิดเบือนปะปน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เจ้าพูดว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม หรือเจ้าพูดว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นบริสุทธิ์ ดังนั้นในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าบรรยายลักษณะเฉพาะของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอย่างไร พวกเจ้าเข้าใจสิ่งนั้นว่าอย่างไร?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งใดหรือที่ผู้คนจะระลึกได้ว่าบริสุทธิ์เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผย หรือสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น?  พวกเจ้าเคยคิดถึงการนี้มาก่อนหรือไม่?  สิ่งที่เราได้เห็นก็คือว่า บ่อยครั้งที่ผู้คนโพล่งออกมาด้วยคำที่ใช้กันโดยทั่วไปหรือมีวลีที่ได้ถูกพูดไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะรู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร  นั่นล่ะคือวิธีที่ทุกคนพูดถึงการนั้น และพวกเขาพูดในวิธีนั้นจนติดเป็นนิสัย นั่นจึงกลายเป็นคำศัพท์เฉพาะชุดหนึ่งสำหรับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาได้เจาะลึกและศึกษารายละเอียดจริงๆ แล้ว พวกเขาก็คงจะพบว่าพวกเขาไม่รู้ว่าความหมายจริงคืออะไรหรือการนั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด  เช่นเดียวกับคำว่า “บริสุทธิ์” ไม่มีผู้ใดเลยที่รู้อย่างแน่ชัดว่าเนื้อแท้ของพระเจ้าแง่มุมใดที่ถูกอ้างอิงถึงเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระองค์ที่พวกเขาพูดถึงกัน และไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะปรับคำว่า “บริสุทธิ์” ให้เข้ากันกับพระเจ้าอย่างไร  ผู้คนสับสนในหัวใจของพวกเขา และการระลึกได้ของพวกเขาที่มีต่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็คลุมเครือและไม่ชัดเจน  ส่วนเรื่องพระเจ้าทรงบริสุทธิ์อย่างไรนั้น ก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจชัดเจนเสียทีเดียว  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อนี้เพื่อที่จะปรับคำว่า “บริสุทธิ์” ให้เข้ากันกับพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นเนื้อหาที่แท้จริงในเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  นี่จะกีดกันผู้คนบางคนไม่ให้ใช้คำนี้อย่างติดเป็นนิสัยและอย่างไม่ระมัดระวัง และไม่ให้พูดสิ่งทั้งหลายอย่างไร้แบบแผนเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นหมายถึงอะไรหรือสิ่งเหล่านั้นถูกต้องและแม่นยำหรือไม่  ผู้คนมักพูดเช่นนี้อยู่เสมอว่า เจ้ามี เขามี และด้วยเหตุนี้มันจึงได้กลายเป็นวาทะติดปาก  การนี้ทำให้คำศัพท์เฉพาะดังกล่าวหมองมัวโดยไม่ตั้งใจ

โดยผิวเผินแล้วนั้น คำว่า “บริสุทธิ์” ดูเหมือนง่ายมากที่จะเข้าใจมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุดจริงๆ ผู้คนก็เชื่อว่าคำว่า “บริสุทธิ์” หมายถึง สะอาด ไม่มีรอยเปื้อน ศักดิ์สิทธิ์ และไร้มลทิน  ยังมีบรรดาผู้ที่เอาคำว่า “ความบริสุทธิ์” กับคำว่า “ความรัก” มาเกี่ยวข้องกันในเพลงสรรเสริญ “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”  ซึ่งเราเพิ่งขับร้องกันไปเมื่อครู่  การนี้ถูกต้อง นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำนี้  ความรักของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในแก่นแท้ของพระองค์ แต่นั่นไม่ใช่ความครบถ้วนบริบูรณ์ของแก่นแท้ของพระองค์  อย่างไรก็ตาม ในมโนคติที่หลงผิดของผู้คน พวกเขามองเห็นคำนี้และมีแนวโน้มที่จะเอาคำนี้ไปเชื่อมสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเองมีทรรศนะว่าบริสุทธิ์และสะอาด  หรือกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดโดยส่วนตัวว่าไม่มีรอยเปื้อนหรือไร้มลทิน  ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนได้กล่าวว่าดอกบัวนั้นสะอาด และว่ามันเบ่งบานแบบไร้มลทินจากโคลนตมสกปรก  ดังนั้นผู้คนจึงได้เริ่มประยุกต์ใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับดอกบัว  ผู้คนบางคนมองเห็นเรื่องราวความรักที่แต่งขึ้นว่าบริสุทธิ์ หรือพวกเขาอาจมีทรรศนะว่าตัวละครอันน่าทึ่งประทับใจที่เสกสรรขึ้นบางตัวนั้นบริสุทธิ์  ยิ่งไปกว่านั้น บางคนพิจารณาว่าผู้คนจากพระคัมภีร์ หรือคนอื่นๆ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือฝ่ายจิตวิญญาณทั้งหลาย เช่น เหล่าวิสุทธิชน อัครทูตทั้งหลาย หรือคนอื่นๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยติดตามพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์—ว่าได้ผ่านประสบการณ์ฝ่ายจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่ผู้คนคิดฝันไปเอง สิ่งเหล่านี้คือมโนคติที่หลงผิดที่มนุษย์ยึดถือ  เหตุใดผู้คนจึงยึดถือมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้เล่า?  เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก กล่าวคือ นั่นเป็นเพราะผู้คนดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและอาศัยอยู่ในโลกที่เลวและโสมม  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสัมผัส ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยก็คือความเลวและความเสื่อมทรามของซาตาน ตลอดจนการวางกลอุบาย การต่อสู้กันเอง และสงครามที่เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนภายใต้อิทธิพลของซาตาน  เพราะฉะนั้น แม้เมื่อพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในผู้คน และแม้เมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขาและทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือรู้จักความบริสุทธิ์และแก่นแท้ของพระเจ้าได้  บ่อยครั้งที่ผู้คนพูดว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แต่พวกเขาขาดพร่องความเข้าใจที่แท้จริง พวกเขาเพียงแค่กำลังกล่าวคำพูดที่ว่างเปล่า  เพราะผู้คนดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสโครกและความเสื่อมทราม และอยู่ในอำนาจของซาตาน และพวกเขาไม่เห็นความสว่าง ไม่รู้จักสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องเชิงบวกเลย และยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้จักความจริง ไม่มีผู้ใดรู้อย่างแท้จริงเลยว่า “บริสุทธิ์” หมายถึงอะไร  ดังนั้น มีสิ่งที่บริสุทธิ์หรือผู้คนที่บริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางมนุษยชาติที่เสื่อมทรามนี้บ้างหรือไม่?  พวกเราสามารถกล่าวด้วยความมั่นใจได้ว่า ไม่ ไม่มี เพราะมีเพียงแก่นแท้ของพระเจ้าเท่านั้นที่บริสุทธิ์

ครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับแง่มุมหนึ่งที่ว่า เนื้อแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์อย่างไร  การนี้ได้จัดเตรียมแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่ผู้คนในการได้รับความรู้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่นั่นไม่เพียงพอ  นั่นไม่สามารถพอที่จะทำให้ผู้คนรู้จักความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งนั่นยังไม่สามารถพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นเป็นเอกลักษณ์  ยิ่งไปกว่านั้น นั่นไม่สามารถพอที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความบริสุทธิ์ที่จำแลงร่างขึ้นอย่างครบถ้วนในพระเจ้าได้  ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่พวกเราต้องสานต่อการสามัคคีธรรมของพวกเราในเรื่องนี้ต่อไป  ครั้งที่แล้ว การสามัคคีธรรมของพวกเราได้กล่าวถึงสามหัวข้อ ดังนั้น บัดนี้พวกเราควรสนทนาหัวข้อที่สี่กัน  พวกเราจะเริ่มต้นด้วยการอ่านจากคัมภีร์ทั้งหลาย

การทดลองของซาตาน

มัทธิว 4:1-4  ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลอง และพระองค์ทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงหิว ส่วนผู้ทดลองมาหาพระองค์ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” พระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”

เหล่านี้คือคำพูดที่มารใช้เพื่อพยายามทดลององค์พระเยซูเจ้าเป็นครั้งแรก  เนื้อหาของสิ่งที่มารได้กล่าวไว้คืออะไร?  (“ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”)  คำพูดที่มารได้พูดไปเหล่านี้ช่างเรียบง่ายทีเดียว ว่าแต่มีปัญหาเกี่ยวกับแก่นแท้ของคำพูดเหล่านี้หรือไม่?  มารกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่ในหัวใจของมันนั้น มันรู้หรือมันไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า?  มันรู้หรือมันไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์  (มันรู้)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดมันจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็น”?  (มันกำลังพยายามที่จะทดลองพระเจ้า)  แต่จุดประสงค์ของมันในการทำเช่นนั้นคืออะไรหรือ?  มันได้กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า”  ในหัวใจของมันนั้น มันรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มันรู้อยู่แก่ใจของมัน แต่ทั้งที่รู้การนี้ มันได้นบนอบต่อพระองค์และนมัสการพระองค์หรือไม่?  (ไม่)  มันต้องการทำสิ่งใด?  มันต้องการที่จะใช้วิธีการนี้และคำพูดเหล่านี้เพื่อทำให้องค์พระเยซูเจ้ากริ้ว และจากนั้นจึงหลอกพระองค์ให้กระทำการอยู่ในแนวเดียวกับเจตนาของมัน  นี่ไม่ใช่ความหมายเบื้องหลังคำพูดของมารหรอกหรือ?  ในหัวใจของซาตาน มันรู้อย่างชัดเจนว่านี่คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่อย่างไรก็ดีมันได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ไป  นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของซาตานหรอกหรือ?  ธรรมชาติของซาตานคือสิ่งใด?  (กลับกลอก เลว และไม่มีความยำเกรงต่อพระเจ้า)  ผลสืบเนื่องใดหรือที่จะส่งผลจากการไม่มีความยำเกรงต่อพระเจ้า?  นั่นไม่ใช่การที่มันต้องการโจมตีพระเจ้าหรอกหรือ?  มันได้ต้องการใช้วิธีการนี้โจมตีพระเจ้า และดังนั้นมันจึงได้กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  นี่ไม่ใช่เจตนาชั่วของซาตานหรอกหรือ?  จริงๆ แล้วมันกำลังพยายามที่จะทำสิ่งใด?  จุดประสงค์ของมันชัดแจ้งมาก กล่าวคือ มันกำลังพยายามที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อปฏิเสธพระสถานภาพและพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  สิ่งที่ซาตานหมายถึงในคำพูดเหล่านั้นก็คือ “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงแปรสภาพก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปัง  หากท่านไม่สามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ดังนั้น ท่านก็ไม่ควรดำเนินงานของท่านอีกต่อไป”  การนี้ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มันต้องการที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อโจมตีพระเจ้า มันต้องการที่จะรื้อถอนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า นี่คือความมุ่งร้ายของซาตาน  การปองร้ายของมันเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติถึงธรรมชาติของมัน  ถึงแม้ว่ามันจะรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการประสูติเป็นมนุษย์จริงๆ ของพระเจ้าพระองค์เอง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะทำสิ่งประเภทนี้ โดยติดตามเบื้องหลังพระปฤษฎางค์ของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด โจมตีพระองค์อย่างยืนกรานไม่ลดละและพยายามอย่างหนักที่จะก่อกวนและก่อวินาศกรรมต่อพระราชกิจของพระเจ้า

บัดนี้ พวกเรามาชำแหละวลีที่ซาตานพูดนี้กันเถิด นั่นคือ “จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  การแปรสภาพก้อนหินให้เป็นขนมปัง—นี่หมายถึงสิ่งใดหรือไม่?  หากมีอาหาร เหตุใดจึงไม่กินอาหาร?  เหตุใดจึงจำเป็นต้องแปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหาร?  สามารถกล่าวได้หรือว่า ตรงนี้ไม่มีความหมายอะไรอยู่เลย?  ถึงแม้ว่าพระองค์กำลังทรงอดพระกระยาหารอยู่ ณ เวลานั้น แน่หรือว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงมีพระกระยาหารเพื่อเสวย?  (พระองค์ทรงมี)  ดังนั้น ตรงนี้ พวกเราสามารถมองเห็นความวิปริตในคำพูดของซาตานได้  สำหรับการหักหลังและการคิดร้ายทั้งหมดของซาตานนั้น พวกเรายังคงสามารถมองเห็นความวิปริตและความไร้สาระของมัน  ซาตานทำสิ่งทั้งหลายมากมายที่ทำให้พวกเจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติที่คิดร้ายของมัน เจ้าสามารถมองเห็นว่ามันทำสิ่งทั้งหลายที่ก่อวินาศกรรมต่อพระราชกิจของพระเจ้า และเมื่อเห็นการนี้ เจ้ารู้สึกว่ามันน่าเกลียดชังและน่าโกรธเกรี้ยว  แต่ในทางตรงกันข้าม เจ้าไม่เห็นธรรมชาติที่เป็นเด็กไม่รู้จักโตและน่าขันเบื้องหลังคำพูดและการกระทำของมันหรอกหรือ?  นี่เป็นการเปิดเผยหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตาน ในเมื่อมันมีธรรมชาติประเภทนี้ มันก็จะทำสิ่งประเภทนี้  สำหรับผู้คนในวันนี้ คำพูดเหล่านี้ของซาตานวิปริตและน่าหัวเราะ  แต่ซาตานก็มีความสามารถในการเปล่งคำพูดเช่นนั้นจริงๆ  พวกเราพูดได้หรือไม่ว่ามันไม่รู้เท่าทันและไร้สาระ?  ความเลวของซาตานมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งและเผยตัวออกมาอยู่ตลอดเวลา  และองค์พระเยซูเจ้าตรัสตอบมันอย่างไรหรือ?  (“มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”)  พระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจอันใดบ้างหรือไม่?  (พระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจ)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจ?  นั่นก็เพราะว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  บัดนี้ มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียวหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน  พระองค์ไม่ได้ทรงอดอยากจนสิ้นพระชนม์หรอกหรือ?  พระองค์ไม่ได้อดอยากจนสิ้นพระชนม์ ดังนั้นซาตานจึงได้เข้าหาพระองค์ กระตุ้นเตือนพระองค์ให้แปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหารโดยพูดสิ่งทั้งหลายเช่น “หากท่านแปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหารได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็จะมีของให้กินไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วท่านก็จะไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องหิวอีกต่อไปไม่ใช่หรือ?”  แต่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้”  ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในร่างทางกายภาพ แต่ก็ไม่ใช่อาหารที่ช่วยให้ร่างทางกายภาพของเขามีชีวิตอยู่หรือหายใจได้ แต่เป็นพระวจนะทุกคำที่ดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าต่างหาก  ในด้านหนึ่ง พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  พระวจนะเหล่านี้ให้ความเชื่อแก่ผู้คน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาอาศัยพระเจ้าได้ และว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง  ในอีกด้านหนึ่ง มีแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้ายังคงประทับยืนอยู่ ยังคงดำรงพระชนม์อยู่หลังการอดพระกระยาหารสี่สิบวันและสี่สิบคืนมิใช่หรือ?  นี่มิใช่ตัวอย่างจริงหรอกหรือ?  พระองค์มิได้เสวยพระกระยาหารมาเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน แต่กระนั้นพระองค์ยังคงดำรงพระชนม์อยู่  นี่คือหลักฐานอันทรงพลังซึ่งยืนยันถึงความจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  พระวจนะเหล่านั้นเรียบง่าย แต่สำหรับองค์พระเยซูเจ้าแล้วนั้น พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านั้นเฉพาะเมื่อซาตานทดลองพระองค์เท่านั้น หรือพระวจนะเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระเจ้าทรงเป็นชีวิต แต่ความจริงและชีวิตของพระเจ้านั้นเป็นการเพิ่มเติมในภายหลังหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นเกิดจากประสบการณ์ในเวลาต่อมาหรือไม่?  ไม่—สิ่งเหล่านั้นมีมาแต่เดิมในพระเจ้า  กล่าวคือ ความจริงและชีวิตคือเนื้อแท้ของพระเจ้า  ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเปิดเผยล้วนเป็นความจริง  ความจริงนี้ พระวจนะเหล่านี้—ไม่ว่าเนื้อหาของพระดำรัสจะยาวหรือสั้น—ก็สามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตและให้ชีวิตแก่มนุษย์ได้ พระวจนะเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนมีความสามารถที่จะได้รับความจริงและความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางแห่งชีวิตมนุษย์ และทำให้พวกเขามีความสามารถที่จะมีความเชื่อในพระเจ้าได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่มาของการที่พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพระวจนะเหล่านี้เป็นไปในเชิงบวก  ดังนั้น พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เป็นเชิงบวกนี้บริสุทธิ์?  (ได้)  คำพูดเหล่านั้นของซาตานมาจากธรรมชาติของซาตาน  ซาตานเผยธรรมชาติที่เลวและคิดร้ายของมันไปทั่วทุกหนแห่งอยู่เนืองนิตย์  บัดนี้ ซาตานทำการเปิดเผยเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติหรือไม่?  มีใครชี้นำให้มันทำการนี้หรือไม่?  มีใครช่วยมันหรือไม่?  มีใครบังคับขู่เข็ญมันหรือไม่?  ไม่มี  มันทำการเปิดเผยทั้งหมดเหล่านี้ด้วยความพร้อมใจของมันเอง  นี่คือธรรมชาติอันเลวของซาตาน  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำ และพระองค์ทรงทำมันอย่างไรก็ตาม ซาตานตามติดทุกย่างพระบาทของพระองค์  สาระสำคัญและธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานพูดและทำนั้นเป็นธาตุแท้ของซาตาน—ธาตุแท้ที่เลวและคิดร้าย  บัดนี้ เมื่อพวกเราอ่านต่อไป ซาตานได้พูดอะไรอื่นอีกหรือไม่?  พวกเราจงมาอ่านกันเถิด

มัทธิว 4:5-7  แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’”

ก่อนอื่นพวกเรามาดูคำพูดที่ซาตานได้กล่าวไว้ตรงนี้กันเถิด  ซาตานได้พูดว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป”  และต่อมามันได้อ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายว่า “พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน”  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินคำพูดของซาตาน?  คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต วิปริต และน่าขยะแขยง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ซาตานมักทำสิ่งที่โง่เขลาทั้งหลาย และมันเชื่อว่าตัวมันเองหลักแหลมมาก  บ่อยครั้งที่มันอ้างคำพูดทั้งหลายจากคัมภีร์—แม้กระทั่งพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอง—โดยพยายามที่จะพลิกพระวจนะเหล่านั้นกลับมาหาพระเจ้าเพื่อโจมตีพระองค์และเพื่อทดลองพระองค์ด้วยความพยายามที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันในการก่อวินาศกรรมต่อแผนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในคำพูดเหล่านี้ที่ซาตานพูดหรือไม่?  (ซาตานเก็บงำเจตนาอันเลวเอาไว้)  ในทุกสิ่งที่ซาตานทำนั้น มันได้พยายามที่จะทดลองมวลมนุษย์อยู่เสมอ  ซาตานไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่พูดในหนทางที่อ้อมค้อมโดยใช้การทดลอง การชักจูง และยั่วใจ  ซาตานทดลองพระเจ้าด้วยท่าทีเหมือนว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา โดยเชื่อว่าพระองค์ย่อมไม่ทรงรู้เท่าทัน ทรงโง่เขลา และไม่ทรงสามารถแยกแยะรูปสัณฐานที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจนไม่ผิดกับที่มนุษย์ก็ไม่มีความสามารถแยกแยะได้เช่นกัน  ซาตานคิดว่าพระเจ้าและมนุษย์ก็เหมือนกันที่ไม่มีความสามารถที่จะมองทะลุถึงธาตุแท้ของมันและความหลอกลวงและเจตนาส่อแววร้ายของมัน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความโง่เขลาของซาตานหรอกหรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น  ซาตานอ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายอย่างเปิดเผย โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับมัน และว่าเจ้าจะไม่สามารถจับข้อตำหนิใดๆ ในคำพูดของมันหรือหลีกเลี่ยงการถูกหลอกได้  นี่ไม่ใช่ความไร้สาระและความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของซาตานหรอกหรือ?  การนี้เป็นเหมือนกันไม่มีผิดกับตอนที่ผู้คนเผยแพร่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานต่อพระเจ้า กล่าวคือ บางครั้งพวกผู้ปราศจากความเชื่อก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันกับสิ่งที่ซาตานพูดไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าได้ยินผู้คนพูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันแล้วหรือไม่?  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินสิ่งทั้งหลายดังกล่าวนั้น?  เจ้ารู้สึกขยะแขยงใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเจ้ารู้สึกขยะแขยง เจ้าก็รู้สึกไม่ชอบและเกลียดชังใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้ามีความรู้สึกเหล่านี้เจ้าสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ซาตานทำงานเข้าไปในตัวมนุษย์นั้นเป็นความเลว?  ในหัวใจของเจ้า เจ้าเคยมีความตระหนักนี้หรือไม่ว่า “เมื่อซาตานพูด มันทำเช่นนั้นเพื่อให้เป็นการโจมตีและการทดลอง คำพูดของซาตานนั้นไร้สาระ น่าหัวเราะ เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต และน่าขยะแขยง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าคงจะไม่มีวันตรัสหรือทรงพระราชกิจในหนทางเช่นนั้น และที่จริงแล้วพระองค์ก็ไม่เคยทรงทำเช่นนั้น”?  แน่นอนว่า ในสถานการณ์นี้ผู้คนมีความสามารถสำนึกรับรู้ถึงมันได้เพียงเลือนรางเท่านั้น และยังคงไม่มีความสามารถที่จะจับความเข้าใจความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าแค่รู้สึกว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสคือความจริง เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา และพวกเราต้องยอมรับการนั้น”  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่ก็ตาม เจ้าพูดโดยไม่มีการยกเว้นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง แต่เจ้าไม่รู้ว่าความจริงโดยตัวของมันเองนั้นบริสุทธิ์และว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์

ดังนั้น การโต้ตอบของพระเยซูต่อคำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นอย่างไร?  พระเยซูได้ตรัสกับมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” มีความจริงในพระวจนะเหล่านี้ที่พระเยซูตรัสหรือไม่?  แน่นอนว่ามีความจริงอยู่ในพระวจนะเหล่านี้  โดยผิวเผินแล้ว พระวจนะเหล่านี้เป็นพระบัญชาหนึ่งสำหรับผู้คนที่จะติดตาม เป็นวลีที่เรียบง่าย แต่กระนั้นอย่างไรก็ตาม ทั้งมนุษย์และซาตานมักก้าวล่วงพระวจนะเหล่านี้บ่อยครั้ง  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” เพราะการนี้เป็นสิ่งที่ซาตานทำบ่อยครั้ง โดยพยายามอย่างหนักขณะที่มันดำเนินการเรื่องนี้  สามารถกล่าวได้ว่าซาตานทำการนี้อย่างหน้าไม่อายและปราศจากความละอาย  มันอยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของซาตานที่ไม่ครั่นคร้ามต่อพระเจ้าและที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ถึงแม้เมื่อซาตานได้ยืนเคียงข้างพระเจ้าและสามารถมองเห็นพระองค์ มันก็อดไม่ได้ที่ตัวมันจะทำการทดลองพระเจ้า  เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสกับซาตานว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”  เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานบ่อยครั้ง  ดังนั้น มันถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ที่จะนำวลีนี้มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน?  (ใช่ เพราะพวกเราก็มักจะทดลองพระเจ้าบ่อยครั้งด้วยเช่นกัน)  เหตุใดผู้คนจึงมักจะทดลองพระเจ้าอยู่บ่อยๆ?  นั่นเป็นเพราะผู้คนเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นคำพูดของซาตานข้างต้นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนมักพูดบ่อยครั้งใช่หรือไม่?  และผู้คนพูดคำพูดเหล่านี้ในสถานการณ์ใด?  คนเราอาจสามารถพูดได้ว่าผู้คนพูดสิ่งทั้งหลายเช่นนี้มาโดยตลอดโดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของผู้คนนั้นไม่แตกต่างไปจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานเลย  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสพระวจนะซึ่งเรียบง่ายไม่กี่คำ พระวจนะซึ่งเป็นตัวแทนของความจริง พระวจนะซึ่งผู้คนจำเป็นต้องมี  อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์นี้ องค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัสในหนทางเช่นนี้เพื่อโต้เถียงกับซาตานกระนั้นหรือ?  มีสิ่งใดที่เป็นการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงอยู่ในสิ่งที่พระองค์ตรัสกับซาตานหรือไม่?  (ไม่มี)  องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรในพระทัยของพระองค์เกี่ยวกับการทดลองของซาตาน?  พระองค์ทรงรู้สึกขยะแขยงและผลักไสหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกผลักไสและขยะแขยง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงโต้เถียงกับซาตาน และนับประสาอะไรที่พระองค์จะได้ตรัสถึงหลักการยิ่งใหญ่อันใด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  (ก็เพราะซาตานเป็นเช่นนี้เสมอ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย)  กล่าวได้หรือไม่ว่าซาตานไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล?  (ใช่)  ซาตานสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง?  ซาตานจะไม่มีวันระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงและจะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง นี่คือธรรมชาติของมัน  ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตานที่น่าผลักไส  สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?  ในความพยายามของมันที่จะทดลององค์พระเยซูเจ้านั้น ซาตานได้คิดไปว่าต่อให้มันไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะยังคงพยายามทำเช่นนั้นอยู่  แม้ว่ามันจะถูกลงโทษ แต่มันก็ได้เลือกแล้วที่จะลองพยายาม  แม้ว่ามันคงจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบเลยจากการทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะลองพยายาม ยืนกรานในความพยายามของมันและยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าจนถึงที่สุด  นี่คือธรรมชาติจำพวกใดกัน?  นี่เลวมิใช่หรือ?  สมมติมนุษย์โกรธเกรี้ยวและบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อมีการเอ่ยถึงพระเจ้า เขาเคยเห็นพระเจ้าแล้วหรือไร?  เขารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าคือใคร?  เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร ไม่เชื่อในพระองค์ และพระเจ้าก็ไม่เคยตรัสกับเขา  พระเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องโมโห?  พวกเราพูดได้หรือไม่ว่าบุคคลผู้นี้เลว?  กระแสนิยมทางโลก การกิน การดื่ม และการแสวงหาความหรรษายินดี การไล่ตามคนเด่นคนดัง—ไม่มีสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จะทำให้ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกทุกข์ร้อน  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกล่าวถึงคำว่า “พระเจ้า” หรือความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา  การมีธรรมชาติอันเลวย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  การนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือธรรมชาติอันเลวของมนุษย์  ตอนนี้ เมื่อพูดถึงตัวของพวกเจ้าเอง มีหรือไม่ เวลาที่พวกเจ้ารู้สึกไม่ชอบเมื่อมีการกล่าวถึงความจริง หรือเมื่อมีการกล่าวถึงการทดสอบมวลมนุษย์ของพระเจ้า หรือพระวจนะเกี่ยวกับการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกผลักไส และพวกเจ้าไม่ต้องการได้ยินสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้น?  หัวใจของพวกเจ้าอาจคิดว่า “ผู้คนทั้งหมดล้วนพูดว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงไม่ใช่หรือ?  พระวจนะเหล่านี้บางคำไม่ใช่ความจริง!  เห็นได้ชัดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงพระวจนะแห่งการตักเตือนมายังมนุษย์!”  ผู้คนบางคนอาจถึงขั้นรู้สึกไม่ชอบอย่างรุนแรงในหัวใจของพวกเขา และคิดว่า “การนี้ถูกพูดถึงทุกวัน—การทดสอบของพระองค์ การพิพากษาของพระองค์ เมื่อใดหรือมันถึงจะจบสิ้น?  เมื่อใดพวกเราถึงจะได้รับบั้นปลายที่ดี?”  ไม่มีใครรู้ว่าความโมโหแบบไม่มีเหตุผลนี้มาจากไหน  นี่เป็นธรรมชาติจำพวกใดกัน?  (เป็นธรรมชาติที่เลว)  ธรรมชาติแบบนี้มีธรรมชาติอันเลวของซาตานคอยกำกับและชี้นำ  ตามมุมมองของพระเจ้า ในเรื่องของธรรมชาติที่เลวร้ายของซาตานและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์นั้น พระองค์ไม่เคยทรงโต้เถียงหรือถือสาผู้คน และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้เป็นเรื่องใหญ่เมื่อผู้คนกระทำการอย่างโง่เขลา  เจ้าจะไม่มีวันเห็นว่าพระเจ้าทรงมีทรรศนะคล้ายกันกับมนุษย์ในเรื่องของสิ่งทั้งหลาย และที่มากกว่านั้นคือ เจ้าจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงใช้ทัศนคติ ความรู้ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือการจินตนาการของมวลมนุษย์เพื่อรับมือกับเรื่องทั้งหลาย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผยนั้นเชื่อมโยงกับความจริง  กล่าวคือ พระวจนะทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไปและการกระทำทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปนั้นผูกติดอยู่กับความจริง  ความจริงนี้ไม่ใช่ผลิตผลของความเพ้อฝันบางอย่างซึ่งไร้พื้นฐาน พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความจริงนี้และพระวจนะเหล่านี้โดยคุณความดีแห่งแก่นแท้ของพระองค์และพระชนม์ชีพของพระองค์  เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้และแก่นแท้ของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปนั้นคือความจริง พวกเราจึงสามารถพูดได้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าบริสุทธิ์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสและทรงกระทำนำพาความมีชีวิตชีวาและความสว่างมาให้ผู้คน ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกเหล่านั้น และชี้หนทางให้แก่มนุษยชาติเพื่อที่พวกเขาจะได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของพระเจ้าและโดยแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นการนี้แล้วในตอนนี้มิใช่หรือ?  บัดนี้ พวกเราจะไปต่อกันด้วยการอ่านอีกครั้งจากคัมภีร์

มัทธิว 4:8-11  อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” แล้วมารจึงไปจากพระองค์ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์

ครั้นลูกเล่นสองครั้งก่อนของมันล้มเหลว มารซาตานก็ยังได้พยายามอีกครั้ง กล่าวคือ มันได้แสดงราชอาณาจักรทั้งหมดในโลกและความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้องค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตร และได้ขอให้พระองค์นมัสการมัน  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะที่แท้จริงของมารจากสถานการณ์นี้?  มารซาตานไม่ใช่ไร้ยางอายโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  (ใช่)  มันไร้ยางอายอย่างไร?  ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นซาตานยังได้หันกลับ และแสดงทุกสรรพสิ่งให้พระเจ้าทอดพระเนตร โดยกล่าวว่า “จงมองดูความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความรุ่งโรจน์ของทุกสิ่งในราชอาณาจักรเหล่านี้ หากพระองค์นมัสการเรา เราจะมอบทั้งหมดนี้ให้แก่พระองค์”  นี่ไม่ใช่การพลิกบทบาทโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  ซาตานไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ?  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อความชื่นชมยินดีของพระองค์เองกระนั้นหรือ?  พระเจ้าได้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่มวลมนุษย์ แต่ซาตานต้องการที่จะยึดมันทั้งหมดและครั้นได้ยึดมันทั้งหมดไปแล้ว มันก็มาบอกพระเจ้าว่า “จงนมัสการเรา!  นมัสการเราแล้วเราจะมอบทั้งหมดนี้แก่พระองค์”  นี่คือโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของซาตาน มันไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง!  ซาตานไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของคำว่า “ละอาย”  นี่เป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งของความเลวของมันเท่านั้น  มันไม่รู้แม้กระทั่งว่าความละอายคืออะไร  ซาตานรู้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและว่าพระองค์ทรงบริหารจัดการและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่เป็นของมนุษย์ และนับประสาอะไรที่จะเป็นของซาตาน แต่เป็นของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นมารซาตานยังได้กล่าวอย่างหน้าไม่อายว่ามันจะให้ทุกสรรพสิ่งแก่พระเจ้า  นี่มิใช่อีกตัวอย่างหนึ่งของการที่ซาตานกระทำการอย่างไร้สาระและอย่างไร้ยางอายอีกครั้งหนึ่งหรอกหรือ?  การนี้เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงเกลียดชังซาตานมากยิ่งขึ้นไปอีกมิใช่หรือ?  ถึงกระนั้นไม่สำคัญว่าซาตานได้พยายามสิ่งใด องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกหลอกหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสสิ่งใด?  (“จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”)  พระวจนะเหล่านี้มีความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (มี)  เป็นความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในแบบใด?  พวกเรามองเห็นความเลวและความไร้ยางอายของซาตานในวาทะของมัน  ดังนั้นหากมนุษย์เคารพบูชาซาตาน บทอวสานจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะได้รับความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทั้งหมดหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะได้รับสิ่งใด?  มวลมนุษย์จะแค่กลายเป็นไร้ยางอายและน่าหัวเราะเหมือนซาตานหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงจะไม่แตกต่างไปจากซาตานเลย  เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ ซึ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน นั่นคือ “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”  นี่หมายความว่านอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากพระเจ้าพระองค์เองแล้วนั้น หากเจ้ารับใช้สิ่งอื่น หากเจ้าเคารพบูชามารซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเกลือกกลิ้งอยู่ในความโสมมแบบเดียวกันกับซาตาน  และแล้วเจ้าย่อมจะไร้ความละอายและเลวเหมือนซาตาน และเจ้าก็จะทดลองพระเจ้าและโจมตีพระเจ้าเช่นเดียวกันกับซาตาน  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานจะเป็นอย่างไรสำหรับเจ้า?  เจ้าคงจะถูกพระเจ้าทรงเกลียด ถูกพระเจ้าทรงตีกระหน่ำลง ถูกพระเจ้าทำลาย  หลังจากซาตานได้ทดลององค์พระเยซูเจ้าหลายครั้งโดยไม่สำเร็จแล้ว มันได้พยายามอีกครั้งหรือไม่?  ซาตานไม่ได้พยายามอีกแล้วจากนั้นมันก็ได้จากไป  การนี้พิสูจน์สิ่งใด?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าธรรมชาติอันเลวของซาตาน การคิดร้ายของมัน และความไร้สาระกับความวิปริตของมันนั้นไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยซ้ำ  องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้ซาตานปราชัยด้วยสามประโยคเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นมันก็โกยอ้าวหนีไปแบบหางจุกก้น อับอายเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นใบหน้าของมัน และมันไม่เคยทดลององค์พระเยซูเจ้าอีกเลย  เนื่องจากองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้การทดลองของซาตานครั้งนี้ปราชัยไปแล้ว บัดนี้พระองค์จึงสามารถสานต่อพระราชกิจที่พระองค์จำเป็นต้องทรงกระทำและกิจทั้งหลายซึ่งวางอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้อย่างง่ายดาย  ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำและได้ตรัสไปในสถานการณ์นี้มีความหมายซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดหรือไม่สำหรับมนุษย์ทุกคนหากนำมันมาใช้กับวันปัจจุบัน?  (มี)  ความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจำพวกใด?  การทำให้ซาตานปราชัยเป็นสิ่งง่ายที่จะทำกระนั้นหรือ?  ผู้คนต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติอันเลวของซาตานหรือไม่?  ผู้คนต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับการทดลองของซาตานหรือไม่?  (ต้องมี)  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับการทดลองของซาตานในชีวิตของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถมองทะลุธรรมชาติที่เลวของซาตาน เจ้าจะสามารถทำให้มันปราชัยได้หรือไม่?  หากเจ้ารู้ถึงความไร้สาระและความวิปริตของซาตาน เจ้าจะยังคงยืนอยู่ข้างซาตานและโจมตีพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเข้าใจว่าการคิดร้ายและความไร้ยางอายของซาตานกำลังถูกเปิดเผยโดยผ่านทางตัวเจ้าอย่างไร—หากเจ้าระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้และเข้าใจอย่างชัดเจน—เจ้าจะยังคงโจมตีและทดลองพระเจ้าในหนทางนี้อยู่หรือไม่?  (ไม่ พวกเราจะไม่ทำ)  พวกเจ้าจะทำสิ่งใด?  (พวกเราจะกบฏต่อซาตานและทิ้งมันไป)  นั่นเป็นสิ่งง่ายดายที่จะทำกระนั้นหรือ?  นั่นไม่ง่ายเลย  การที่จะทำเช่นนี้ได้นั้น ผู้คนต้องอธิษฐานบ่อยๆ พวกเขาต้องพาตัวเองมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตรวจสอบตัวเอง  และพวกเขาต้องยอมให้พระเจ้าบ่มวินัย ยอมให้พระองค์พิพากษาและตีสอนพวกเขา  เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้น ผู้คนจึงจะค่อยๆ พาตัวเองหลุดจากการถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้

บัดนี้ พวกเราจะสรุปสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นธาตุแท้ของซาตาน โดยดูที่คำพูดทั้งหมดที่ซาตานกล่าวออกมา  ก่อนอื่น โดยทั่วไปแล้วสามารถกล่าวได้ว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว ซึ่งตรงข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เหตุใดเราจึงพูดว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว?  เพื่อตอบคำถามนี้ คนเราต้องตรวจดูผลสืบเนื่องของสิ่งที่ซาตานทำกับผู้คน  ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและควบคุมมนุษย์ และมนุษย์กระทำการภายใต้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และดำรงชีวิตอยู่ในพิภพหนึ่งซึ่งผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  มวลมนุษย์ถูกซาตานครอบงำและดูดซึมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นมนุษย์จึงมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน ซึ่งเป็นธรรมชาติของซาตาน  จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานได้พูดและทำไปนั้น เจ้าได้เห็นความโอหังของมันแล้วหรือยัง?  เจ้าได้เห็นความหลอกลวงและการคิดร้ายของมันแล้วหรือยัง?  ความโอหังของซาตานส่วนใหญ่แล้วถูกแสดงออกมาอย่างไร?  ซาตานเก็บงำความอยากที่จะยึดครองตำแหน่งของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาหรือไม่?  ซาตานต้องการที่จะฉีกทึ้งพระราชกิจของพระเจ้าและตำแหน่งของพระเจ้า และเอาสิ่งนั้นมาให้ตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ผู้คนจะได้ติดตาม สนับสนุน และเคารพบูชาซาตาน นี่คือธรรมชาติอันโอหังของซาตาน  เมื่อซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม มันบอกพวกเขาตรงๆ หรือไม่ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด?  เมื่อซาตานทดลองพระเจ้า มันออกมาพูดหรือไม่ว่า “ข้าพระองค์กำลังทดลองพระองค์ ข้าพระองค์กำลังจะโจมตีพระองค์”?  มันไม่ทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาด  ดังนั้นซาตานใช้วิธีการใด?  มันล่อลวง ทดลอง โจมตี และวางกับดัก และถึงขั้นอ้างพระวจนะจากคัมภีร์  ซาตานพูดและกระทำการในหนทางต่างๆ นานาเพื่อสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ส่อแววร้ายของมันและทำให้เจตนาของมันลุล่วง  หลังจากซาตานได้ทำการนี้แล้ว สามารถมองเห็นสิ่งใดจากสิ่งที่สำแดงอยู่ในตัวมนุษย์?  ผู้คนกลายเป็นโอหังด้วยหรือไม่?  มนุษย์ได้ทนทุกข์จากความเสื่อมทรามของซาตานมาเป็นเวลาหลายพันปี และดังนั้นมนุษย์จึงได้กลายเป็นคนที่โอหัง หลอกลวง คิดร้าย และอยู่เหนือเหตุผล  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธรรมชาติของซาตาน  ในเมื่อธรรมชาติของซาตานนั้นเลว มันจึงมอบธรรมชาติที่เลวนี้แก่มนุษย์ และนำอุปนิสัยที่เลวและเสื่อมทรามนี้มาให้มนุษย์  ดังนั้น มนุษย์จึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และต้านทานพระเจ้า โจมตีพระเจ้า และทดลองพระองค์เหมือนซาตาน จนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า

ห้าหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้านี้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นหัวข้อที่คุ้นเคย แต่เมื่อพูดไปแล้วมันก็เป็นหัวข้อที่อาจจะกลายเป็นนามธรรมสักนิดหน่อยสำหรับบางคน และล้ำลึกสักนิดหน่อย และเกินเอื้อมถึงสำหรับพวกเขา  แต่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องวิตกกังวล  เราจะช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด  ในการที่จะทำความเข้าใจว่าใครบางคนเป็นบุคคลประเภทใด จงดูสิ่งที่เขาทำและผลสุดท้ายของการกระทำของพวกเขา และแล้วเจ้าจะสามารถมองเห็นธาตุแท้ของบุคคลผู้นั้นได้  สามารถกล่าวในลักษณะนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  เช่นนั้นแล้ว พวกเรามาสามัคคีธรรมเรื่องความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจากแง่มุมนี้กันก่อนเถิด  สามารถกล่าวได้ว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว และดังนั้นการกระทำที่ซาตานทำต่อมนุษย์จึงเป็นการทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอย่างไม่หยุดหย่อน  ซาตานเลว ดังนั้นก็แน่นอนว่าผู้คนที่มันทำให้เสื่อมทรามย่อมเลว  มีใครจะพูดหรือไม่ว่า “ซาตานเลว แต่บางทีคนที่มันทำให้เสื่อมทรามนั้นอาจจะมีบางคนบริสุทธิ์ก็เป็นได้”?  นั่นย่อมจะเป็นเรื่องตลกไม่ใช่หรือ?  เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ซาตานเลว และภายในความเลวของมันก็มีทั้งด้านที่เป็นแก่นสำคัญและด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่ไม่ใช่แค่การพูดคุยที่ว่างเปล่า  พวกเราไม่ได้กำลังพยายามที่จะใส่ร้ายซาตาน พวกเราแค่กำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและความเป็นจริง  การสามัคคีธรรมเรื่องความเป็นจริงของหัวข้อนี้อาจทำร้ายผู้คนบางคนหรือกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่ม แต่ไม่มีเจตนาที่คิดร้าย บางทีพวกเจ้าอาจจะฟังเรื่องนี้ในวันนี้และรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ในไม่ช้าย่อมจะมีสักวันหนึ่งที่พวกเจ้าสามารถตระหนักได้ พวกเจ้าจะดูหมิ่นตัวเอง และจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราพูดในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างยิ่งและมีค่าอย่างยิ่ง  ธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว ดังนั้นพวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า ผลลัพธ์ของการกระทำของซาตานก็ย่อมเลวไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ผูกติดอยู่กับความเลวของมัน?  (ได้)  ดังนั้นซาตานลงมืออย่างไรในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ในบรรดาความเลวที่ซาตานทำไว้ในโลกและในท่ามกลางมนุษยชาติ มีแง่มุมจำเพาะใดบ้างที่มนุษย์สามารถมองเห็นและล่วงรู้ได้?  พวกเจ้าเคยคิดถึงการนี้มาก่อนหรือไม่?  พวกเจ้าอาจจะไม่เคยใช้ความคิดมากมายกับการนี้ ดังนั้น เราขอหยิบยกประเด็นหลักหลายประเด็นมาพูด  ทุกคนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่ซาตานเสนอมาใช่หรือไม่?  นี่คือสาขาวิชาหนึ่งของความรู้ที่มนุษย์ศึกษามิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ตอนแรกซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและใช้วิธีการเยี่ยงซาตานของมันเองเพื่อสื่อความรู้ให้แก่พวกเขา  ต่อมามันใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม โดยปลุกความสนใจของพวกเขาในความรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่องลึกลับ หรือในเรื่องที่ผู้คนอยากสำรวจค้น  สิ่งต่อมาที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามก็คือวัฒนธรรมตามประเพณีและความเชื่อเหนือธรรมชาติ และตามด้วยกระแสนิยมทางสังคม  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์เผชิญในชีวิตประจำวันของพวกเขา และทั้งหมดดำรงอยู่อย่างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้คน สิ่งเหล่านั้นล้วนเชื่อมโยงกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขามองเห็น สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้ยิน สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาสัมผัส และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้รับประสบการณ์  คนเราอาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ไม่มีความสามารถที่จะหนีรอดหรือปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้นได้ต่อให้พวกเขาต้องการจะทำก็ตาม  เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ มวลมนุษย์อับจนหนทาง และทั้งหมดที่มนุษย์สามารถทำได้ก็คือถูกอิทธิพลครอบงำ ติดเชื้อ ถูกควบคุม และถูกผูกมัดโดยสิ่งเหล่านั้น มนุษย์ไร้พลังอำนาจที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น

1. วิธีที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

ก่อนอื่น พวกเราจะคุยกันถึงความรู้  ความรู้คือบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกใช่หรือไม่?  อย่างน้อยที่สุด ผู้คนคิดว่าความหมายแฝงของคำว่า “ความรู้” เป็นเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ  ดังนั้น เหตุใดพวกเราจึงกำลังกล่าวถึงในที่นี้ว่าซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ใช่แง่มุมหนึ่งของความรู้หรอกหรือ?  กฎวิทยาศาสตร์ของนิวตันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความรู้หรอกหรือ?  แรงโน้มถ่วงของโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น เหตุใด ความรู้จึงถูกระบุรายการให้อยู่ท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม?  ทรรศนะของพวกเจ้าในการนี้เป็นอย่างไร?  ความรู้มีความจริงแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่งในตัวมันหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นแล้ว เนื้อแท้ของความรู้คือสิ่งใด?  ความรู้ทั้งหมดที่ผู้คนขวนขวายได้เรียนรู้นั้นอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  มันอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการใช่หรือไม่?  มิใช่ความรู้หรอกหรือที่มนุษย์ได้มาโดยผ่านทางการสำรวจค้น และการรวมยอด บนพื้นฐานของอเทวนิยม?  ความรู้นี้มีความเชื่อมโยงกับพระเจ้าบ้างหรือไม่?  มันเชื่อมโยงกับการนมัสการพระเจ้าหรือไม่?  มันเชื่อมโยงกับความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร?  เราเพิ่งกล่าวไปว่าไม่มีสิ่งใดจากความรู้นี้ที่เชื่อมโยงกับการนมัสการพระเจ้าหรือกับความจริงเลย  ผู้คนบางคนคิดถึงมันเช่นนี้ว่า “ความรู้อาจไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม”  ทรรศนะของพวกเจ้าในเรื่องนี้เป็นอย่างไร?  เจ้าได้รับการสอนด้วยความรู้ที่ว่าความสุขของบุคคลหนึ่งต้องสร้างขึ้นด้วยสองมือของพวกเขาเองใช่หรือไม่?  ความรู้สอนเจ้าว่าชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในมือของเขาเองใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นการพูดคุยประเภทใด?  (มันเป็นการพูดคุยที่ชั่วร้าย)  ถูกต้องที่สุด!  มันเป็นการพูดคุยที่ชั่วร้าย!  ความรู้เป็นเรื่องซับซ้อนที่จะสนทนากัน  เจ้าอาจกล่าวระบุอย่างเรียบง่ายว่าสาขาของความรู้ไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าความรู้  นั่นก็คือสาขาหนึ่งของความรู้ที่เรียนรู้บนพื้นฐานของการไม่นมัสการพระเจ้าและบนการไม่เข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง  เมื่อผู้คนศึกษาความรู้ชนิดนี้ พวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง พวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกำกับดูแลหรือบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการศึกษาวิจัยและสำรวจค้นความรู้สาขาวิชานั้นอย่างไม่รู้จบ และแสวงค้นคำตอบบนพื้นฐานของความรู้  อย่างไรก็ตาม มันไม่ถูกหรือที่ว่าหากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและกลับไล่ตามเสาะหาการศึกษาวิจัยเท่านั้น พวกเขาจะไม่มีวันพบเจอคำตอบที่แท้จริง?  ทั้งหมดที่ความรู้สามารถมอบให้เจ้าได้ก็คือการทำมาหากิน อาชีพการงาน รายได้ เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องหิวโหย แต่มันจะไม่มีวันทำให้เจ้านมัสการพระเจ้า และมันจะไม่มีวันรักษาเจ้าให้ห่างจากความชั่ว  ยิ่งผู้คนศึกษาหาความรู้มากขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งอยากกบฏต่อพระเจ้า อยากให้พระเจ้าอยู่ภายใต้การศึกษาของตน อยากทดสอบพระเจ้า และอยากต้านทานพระเจ้ามากขึ้น  ดังนั้น บัดนี้ พวกเรามองเห็นว่าความรู้กำลังสอนสิ่งใดให้ผู้คน?  ทั้งหมดก็คือปรัชญาของซาตานนั่นเอง  ปรัชญาและกฎแห่งการอยู่รอดที่ซาตานเผยแพร่ไปท่ามกลางมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีความสัมพันธ์อันใดกับความจริงบ้างหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริงเลย และในข้อเท็จจริงแล้วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง  ผู้คนมักกล่าวบ่อยครั้งว่า “ชีวิตคือการเคลื่อนที่” และ “มนุษย์คือเหล็ก ข้าวคือเหล็กกล้า มนุษย์รู้สึกหิวอย่างรุนแรงหากเขาข้ามอาหารไปสักมื้อ” คติพจน์เหล่านี้คือสิ่งใด?  คติพจน์เหล่านี้เป็นเหตุผลวิบัติ และการได้ยินคติพจน์เหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยง  ในสิ่งที่เรียกว่าความรู้ของมนุษย์นั้น ซาตานได้แทรกปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกและการคิดอ่านของมันเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว  และขณะที่ซาตานทำการนี้ มันเปิดโอกาสให้มนุษย์นำการคิด ปรัชญา และทัศนคติของมันไปใช้เพื่อที่มนุษย์อาจปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า ปฏิเสธอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งและเหนือชะตากรรมของมนุษย์  ดังนั้นขณะที่การศึกษาของมนุษย์ก้าวหน้าไปและเขาได้รับความรู้มากขึ้น เขารู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระเจ้ากลายเป็นคลุมเครือ และอาจถึงขั้นไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  เนื่องจากซาตานได้ปลูกฝังความคิด ทรรศนะ และมโนคติอันหลงผิดบางอย่างไว้ในตัวมนุษย์ ครั้นซาตานได้ปลูกฝังพิษนี้ไว้ในตัวมนุษย์แล้ว มนุษย์ย่อมจะถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทรามมิใช่หรือ?  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าผู้คนทุกวันนี้ดำเนินชีวิตตามสิ่งใด?  พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความรู้และความคิดที่ซาตานปลูกฝังหรอกหรือ?  และสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในความรู้นี้และความคิดทั้งหลาย—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปรัชญาและน้ำพิษของซาตานหรือ?  มนุษย์ดำเนินชีวิตตามปรัชญาและพิษของซาตาน  และสิ่งใดคือแก่นของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ซาตานต้องการทำให้มนุษย์ปฏิเสธ ต่อต้าน และยืนหยัดคัดค้านพระเจ้าเหมือนที่มันทำ นี่คือเป้าหมายของซาตานในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และยังเป็นวิถีทางที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย

พวกเราจะเริ่มด้วยการกล่าวถึงแง่มุมที่ผิวเผินที่สุดของความรู้  ไวยากรณ์และคำพูดในภาษาสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  คำพูดสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  คำพูดไม่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้ คำพูดเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้เพื่อพูดและคำพูดยังเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้สื่อสารกับพระเจ้าอีกด้วย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าในปัจจุบัน ภาษาและคำพูดคือวิธีที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับผู้คนด้วย  คำพูดเป็นเครื่องมือ และคำพูดเป็นสิ่งจำเป็น  หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง และสองคูณสองเท่ากับสี่ นี่ไม่ใช่ความรู้หรอกหรือ?  แต่การนี้สามารถทำให้เจ้าเสื่อมทรามได้หรือไม่?  นี่เป็นความรู้ทั่วไป—มันเป็นรูปแบบที่ตายตัว—และดังนั้นมันไม่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้  ดังนั้น ความรู้ประเภทใดหรือที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  ความรู้ที่ทำให้เสื่อมทรามคือความรู้ที่ระคนไปด้วยทัศนคติและความคิดของซาตาน  ซาตานพยายามที่จะพร่ำฝังทัศนคติและความคิดเหล่านี้เข้าไปในมนุษยชาติโดยผ่านทางสื่อกลางของความรู้  ยกตัวอย่างเช่น ในบทความหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดเกี่ยวกับคำที่เขียนขึ้นในตัวของมันเอง  ปัญหาอยู่ที่ทัศนคติและเจตนาของผู้เขียนตอนที่พวกเขาได้เขียนบทความนั้น ตลอดจนเนื้อหาจากความคิดของพวกเขาด้วย  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายซึ่งมีจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ากำลังดูรายการแสดงทางโทรทัศน์ สิ่งทั้งหลายประเภทใดในรายการนั้นหรือ ที่สามารถเปลี่ยนทรรศนะของผู้คนได้?  สิ่งที่ผู้แสดงพูด คำพูดในตัวมันเองจะทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  (ไม่)  สิ่งทั้งหลายจำพวกใดที่จะทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มันคงจะเป็นแก่นความคิดทั้งหลายและเนื้อหาของรายการแสดงนั้น ซึ่งคงจะเป็นตัวแทนของทรรศนะของผู้กำกับ  ข้อมูลที่พกพามาในทรรศนะเหล่านี้สามารถแกว่งหัวใจและจิตใจของผู้คนได้  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  บัดนี้พวกเจ้ารู้แล้วว่าเรากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดในการเสวนาเกี่ยวกับการที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เจ้าจะไม่เข้าใจผิดแล้วใช่หรือไม่?  ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เจ้าอ่านนวนิยายสักเรื่องหรือบทความสักบทความ เจ้าจะสามารถประเมินค่าได้ใช่หรือไม่ว่า ความคิดที่แสดงออกอยู่ในคำทั้งหลายที่เขียนไว้นั้น จะทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามหรือจะมีคุณูปการต่อมนุษยชาติ?  (ใช่ ได้นิดหน่อย)  นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ต้องศึกษาและได้รับประสบการณ์อย่างช้าๆ และไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เข้าใจได้อย่างง่ายดายในทันที  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อทำการวิจัยหรือศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งของความรู้ แง่มุมในเชิงบวกบางอย่างของความรู้นั้นอาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความรู้ทั่วไปบางอย่างเกี่ยวกับสาขานั้น ในขณะที่ยังทำให้เจ้าสามารถรู้ว่าผู้คนควรหลีกเลี่ยงสิ่งใดอีกด้วย  จงดู “ไฟฟ้า” เป็นตัวอย่าง—นี่เป็นสาขาหนึ่งของความรู้มิใช่หรือ?  เจ้าจะไม่เป็นคนไม่รู้เท่าทันหรอกหรือหากเจ้าไม่รู้ว่าไฟฟ้าสามารถช็อตและทำร้ายผู้คนได้?  แต่ทันทีที่เจ้าเข้าใจสาขาของความรู้นี้ เจ้าก็จะไม่ประมาทในการสัมผัสกับวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า และเจ้าก็จะรู้วิธีการที่จะใช้ไฟฟ้า  เหล่านี้เป็นสิ่งเชิงบวกทั้งคู่  ตอนนี้เจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่กับสิ่งที่พวกเราได้สนทนากันมาในแง่ที่เกี่ยวกับวิธีที่ความรู้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มีความรู้อีกหลายชนิดที่ศึกษากันในโลกนี้ และพวกเจ้าต้องใช้เวลาเพื่อแยกความต่างของความรู้เหล่านั้นด้วยตัวพวกเจ้าเอง

2. วิธีที่ซาตานใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

วิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  วิทยาศาสตร์มีเกียรติสูงในจิตใจของมนุษย์ทุกคนและถือว่าลุ่มลึกมิใช่หรือ?  เมื่อกล่าวถึงวิทยาศาสตร์ ผู้คนไม่รู้สึกหรือว่า  “นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกินเอื้อมถึงสำหรับผู้คนธรรมดา นี่เป็นหัวข้อที่นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแต่อย่างใด”?  มันมีความเชื่อมโยงอันใดกับผู้คนธรรมดาหรือไม่?  (มี)  ซาตานใช้วิทยาศาสตร์ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  ในการสนทนาของพวกเราตรงนี้ พวกเราจะพูดคุยถึงสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนมักจะเผชิญในชีวิตของพวกเขาเองเท่านั้น และไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ  มีคำหนึ่งคือ “ยีน”  เจ้าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่?  พวกเจ้าทุกคนคุ้นเคยกับคำนี้  ยีนไม่ได้ถูกค้นพบโดยผ่านทางวิทยาศาสตร์หรอกหรือ?  อันที่จริงแล้วยีนมีความหมายต่อผู้คนอย่างไร?  ยีนไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าร่างกายเป็นสิ่งลึกลับหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับหัวข้อนี้ จะไม่มีผู้คนบางคน—โดยเฉพาะคนอยากรู้อยากเห็น—ที่ต้องการจะรู้มากขึ้นและต้องการรายละเอียดมากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้จะมุ่งเน้นพลังงานของพวกเขาไปกับหัวเรื่องนี้ และเมื่อพวกเขาไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทำ พวกเขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลในหนังสือและทางอินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้รายละเอียดที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนั้น  วิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  กล่าวตรงๆ ได้ว่า วิทยาศาสตร์คือความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์อยากรู้อยากเห็น สิ่งทั้งหลายที่ยังไม่รู้ และพระเจ้าไม่ได้ตรัสบอกแก่พวกเขา วิทยาศาสตร์คือความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งลึกลับทั้งหลายที่มนุษย์ต้องการสำรวจค้น  วงเขตของวิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันค่อนข้างกว้าง มนุษย์ค้นคว้าและศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสนใจ  วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยรายละเอียดและกฎของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ และต่อมาเป็นการนำเสนอทฤษฎีที่เป็นไปได้ทั้งหลายซึ่งทำให้ทุกคนต้องคิดว่า “นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นเลิศจริงๆ!  พวกเขารู้มากมายยิ่งนัก เพียงพอแล้วที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้!”  พวกเขามีความเลื่อมใสอย่างมากให้แก่นักวิทยาศาสตร์มิใช่หรือ?  ผู้คนที่ศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ พวกเขามีทรรศนะแบบใดกัน?  พวกเขาไม่ต้องการศึกษาวิจัยจักรวาล ศึกษาวิจัยสิ่งลึกลับทั้งหลายในสาขาวิชาที่พวกเขาสนใจหรอกหรือ?  บทอวสานสุดท้ายของการนี้เป็นอย่างไร?  ในวิทยาศาสตร์บางอย่าง ผู้คนได้บทสรุปของพวกเขาด้วยการคาดคะเน และในด้านอื่นๆ พวกเขาพึ่งพาประสบการณ์แบบมนุษย์เพื่อให้ได้บทสรุป  ถึงกระนั้นในสาขาอื่นๆ ของวิทยาศาสตร์ ผู้คนก็มาถึงบทสรุปของพวกเขาบนพื้นฐานของการสังเกตการณ์เชิงประวัติศาสตร์หรือทางภูมิหลัง  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดให้ผู้คนหรือ?  สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำก็แค่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนมองเห็นวัตถุในโลกทางกายภาพ และเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่มันไม่สามารถทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  มนุษย์ดูเหมือนว่าจะหาคำตอบในวิทยาศาสตร์ แต่คำตอบเหล่านั้นน่าฉงนฉงายและนำมาเพียงความพึงพอใจชั่วคราวเท่านั้น ความพึงพอใจที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อจำกัดขอบเขตหัวใจของมนุษย์ไว้กับโลกทางวัตถุเท่านั้น  มนุษย์รู้สึกว่าพวกเขาได้รับคำตอบจากวิทยาศาสตร์แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดประเด็นปัญหาใดขึ้นก็ตาม พวกเขาใช้ทรรศนะทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเป็นพื้นฐานเพื่อพิสูจน์และยอมรับประเด็นปัญหานั้น  หัวใจมนุษย์ถูกวิทยาศาสตร์ล่อลวงและครอบงำจนถึงจุดที่มนุษย์ไม่มีจิตใจอีกต่อไปที่จะรู้จักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า และเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมาจากพระเจ้าและว่ามนุษย์ควรมองที่พระองค์เพื่อหาคำตอบ  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ยิ่งบุคคลหนึ่งเชื่อในวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งกลายเป็นไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทางออกเชิงวิทยาศาสตร์ ว่าการศึกษาวิจัยสามารถแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง  พวกเขาไม่แสวงหาพระเจ้าและพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่  มีผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานซึ่งเมื่อเผชิญกับปัญหาอันใด ก็จะใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาสิ่งทั้งหลายและสำรวจหาคำตอบ พวกเขาเชื่อแต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขาไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของมวลมนุษย์ได้ พวกเขาไม่ได้มองดูปัญหาอันมากมายมหาศาลของมวลมนุษย์จากมุมมองของความจริง  ไม่ว่าพวกเขาเผชิญปัญหาใด พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานต่อพระเจ้าหรือแสวงหาการแก้ปัญหาด้วยการค้นหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ในหลายๆ เรื่อง พวกเขาอยากจะเชื่อว่าความรู้สามารถแก้ปัญหาได้ สำหรับพวกเขาแล้ว วิทยาศาสตร์คือคำตอบสุดท้าย  พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ และทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าก็ไม่แตกต่างจากทรรศนะทั้งหลายของนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงมากมายหลายคน ที่พยายามตรวจสอบพระเจ้าตลอดเวลาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์  ยกตัวอย่างเช่น มีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาหลายคนที่ได้ไปยังภูเขาที่เรือใหญ่ได้มาหยุดพัก และด้วยเหตุนี้พวกเขาได้พิสูจน์การมีอยู่ของเรือใหญ่นั้น  แต่ในการปรากฏของเรือใหญ่นั้นพวกเขามองไม่เห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า  พวกเขาเพียงแต่เชื่อในเรื่องราวและประวัติศาสตร์เท่านั้น นี่คือผลลัพธ์ของการที่พวกเขาศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และศึกษาโลกทางวัตถุ  หากเจ้าศึกษาวิจัยสิ่งทั้งหลายทางวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นจุลชีววิทยา ดาราศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์ เจ้าจะไม่มีวันพบผลลัพธ์ที่กำหนดพิจารณาว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดเพื่อมนุษย์เล่า?  มันมิได้ทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าหรอกหรือ?  มันมิได้เป็นเหตุให้ผู้คนนำพระเจ้ามาอยู่ภายใต้การศึกษาทั้งหลายหรอกหรือ?  มันมิได้ทำให้ผู้คนกังขามากยิ่งขึ้นในการดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้า และดังนั้นจึงปฏิเสธและทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่คือผลสืบเนื่อง  ดังนั้นเมื่อซาตานใช้วิทยาศาสตร์มาทำให้มนุษย์เสื่อมทราม จุดมุ่งหมายใดที่ซาตานพยายามจะสัมฤทธิ์?  มันต้องการที่จะใช้บทสรุปทางวิทยาศาสตร์มาชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำให้พวกเขาด้านชา และใช้คำตอบที่กำกวมกุมหัวใจของผู้คนเอาไว้เพื่อที่พวกเขาจะไม่เสาะหาหรือเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่าวิทยาศาสตร์คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

3. วิธีที่ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

สิ่งทั้งหลายมากมายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตามประเพณีนั้น มีอยู่หรือว่าไม่มี?  (มี)  “วัฒนธรรมตามประเพณี” นี้หมายถึงสิ่งใด?  บางคนพูดว่ามันถูกส่งผ่านลงมาจากบรรพบุรุษ—นี่คือแง่มุมหนึ่ง  ตั้งแต่ปฐมกาล วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม คติพจน์ และกฎเกณฑ์ทั้งหลายได้ถูกส่งผ่านลงมาภายในครอบครัว กลุ่มชาติพันธุ์ และแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด และสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของผู้คน  ผู้คนพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตของพวกเขาและถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นกฎเกณฑ์ โดยถือปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นเสมือนว่ามันเป็นชีวิตเสียเอง  แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่เคยต้องการเปลี่ยนแปลงหรือทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้เลย เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกส่งผ่านลงมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา  มีแง่มุมอื่นๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณีที่ขุดฝังอยู่ในกระดูกดำของผู้คน เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่ส่งผ่านลงมาจากขงจื๊อและเม่งจื๊อ และสิ่งทั้งหลายที่ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อสอนแก่ผู้คน  นี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  วัฒนธรรมตามประเพณีนั้นรวมสิ่งใดไว้บ้าง?  มันรวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ผู้คนเฉลิมฉลองหรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลโคมไฟ วันเช็งเม้ง เทศกาลไหว้ขนมจ่าง ตลอดจนเทศกาลสารทจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์  บางครอบครัวถึงขั้นเฉลิมฉลองวันที่ผู้อาวุโสลุถึงวัยเฉพาะ หรือเมื่อลูกหลานมีอายุถึงหนึ่งเดือนหรือหนึ่งร้อยวัน  และอื่นๆ เหล่านี้คือวันหยุดนักขัตฤกษ์ตามประเพณีทั้งสิ้น  วัฒนธรรมตามประเพณีไม่ได้เป็นฐานที่มาของวันหยุดนักขัตฤกษ์เหล่านี้หรอกหรือ?  แก่นของวัฒนธรรมตามประเพณีคือสิ่งใด?  มันมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าหรือไม่?  มันมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการบอกให้ผู้คนปฏิบัติความจริงหรือไม่?  มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ใดเพื่อให้ผู้คนถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ไปยังแท่นบูชาพระเจ้า และรับคำสอนของพระองค์บ้างหรือไม่?  มีวันหยุดนักขัตฤกษ์เยี่ยงนี้บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนทำสิ่งใดในวันหยุดทั้งหมดเหล่านี้?  ในยุคสมัยใหม่ วันหยุดเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นวาระโอกาสสำหรับการกิน การดื่ม และความสนุกสนาน  แหล่งกำเนิดใดเป็นฐานที่มาวัฒนธรรมตามประเพณี?  วัฒนธรรมตามประเพณีมาจากผู้ใด?  มันมาจากซาตาน  เบื้องหลังฉากของวันหยุดตามประเพณีเหล่านี้ ซาตานปลูกฝังบางสิ่งเฉพาะในตัวมนุษย์  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งใด?  การทำให้แน่ใจว่าผู้คนจะจดจำบรรพบุรุษของพวกเขาคือหนึ่งในสิ่งเหล่านั้นใช่หรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงระหว่างวันเช็งเม้ง ผู้คนปัดกวาดเช็ดถูสุสานและถวายเครื่องบูชาแก่บรรพบุรุษของพวกเขา เพื่อที่จะไม่ลืมบรรพบุรุษของพวกเขา  อีกทั้งซาตานยังทำให้แน่ใจด้วยว่าผู้คนจะจดจำการเป็นคนรักชาติ ซึ่งตัวอย่างของการนี้ก็คือเทศกาลไหว้ขนมจ่าง  แล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์คือสิ่งใด?  (งานรวมญาติ)  ภูมิหลังของการรวมญาติคือสิ่งใด?  สิ่งใดคือเหตุผลสำหรับการนี้?  มันเป็นไปเพื่อสื่อสารและเชื่อมโยงกันทางอารมณ์  แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นการฉลองวันส่งท้ายปีเก่าทางจันทรคติหรือเทศกาลโคมไฟ มีหนทางมากมายในการบรรยายเหตุผลเบื้องหลังการฉลองเหล่านี้  ไม่ว่าคนเราจะบรรยายเหตุผลเหล่านั้นอย่างไร แต่ละเหตุผลคือหนทางที่ซาตานปลูกฝังปรัชญาของมันและความคิดของมันในตัวผู้คน เพื่อที่พวกเขาจะไถลห่างไปจากพระเจ้าและไม่รู้ว่ามีพระเจ้า และถวายเครื่องบูชาให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาหรือไม่ก็แก่ซาตาน หรือกิน ดื่ม และมีความสนุกสนานกันเพื่อประโยชน์ของความอยากได้อยากมีแห่งเนื้อหนัง  ขณะที่มีการฉลองวันหยุดเหล่านี้แต่ละวัน ความคิดและทรรศนะของซาตานก็ถูกปลูกลึกลงภายในจิตใจของผู้คนโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว  เมื่อผู้คนมีอายุถึงสี่สิบปี ห้าสิบปี หรือแม้กระทั่งมีอายุมากขึ้น ความคิดและทัศนคติเหล่านี้ของซาตานก็ได้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนทำจนสุดกำลังของพวกเขาเพื่อถ่ายทอดแนวคิดเหล่านี้ต่อไปยังคนรุ่นต่อไปไม่ว่าจะถูกหรือผิด โดยไม่แยกแยะและโดยไม่มีข้อสงสัย  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  วัฒนธรรมตามประเพณีและวันหยุดนักขัตฤกษ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  เจ้ารู้หรือไม่?  (ผู้คนกลายเป็นถูกกักขังและถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ของประเพณีเหล่านี้ จนกระทั่งพวกเขาไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะแสวงหาพระเจ้า)  นี่เป็นหนึ่งแง่มุม  ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนฉลองในช่วงระหว่างตรุษจีน—หากเจ้าไม่ฉลองมัน เจ้าจะไม่รู้สึกเศร้าใจหรอกหรือ?  มีความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เจ้ายึดถือในหัวใจของเจ้าบ้างหรือไม่?  เจ้าอาจจะรู้สึกว่า “ฉันไม่ได้ฉลองปีใหม่ และในเมื่อวันตรุษจีนเป็นวันไม่ดี ตลอดทั้งปีที่เหลือก็จะไม่ดีไปด้วย” ใช่หรือไม่?  เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจและกลัวอยู่บ้างนิดหน่อยมิใช่หรือ?  มีแม้กระทั่งผู้คนบางคนที่ไม่ได้ทำเครื่องบูชาให้บรรพบุรุษของพวกเขามาหลายปี และผู้ซึ่งจู่ๆ ก็ฝันว่าคนที่ตายไปแล้วมาขอเงินจากพวกเขา  พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?  “น่าเศร้าอะไรเช่นนี้ที่ตอนนี้บุคคลผู้นี้จำเป็นต้องใช้เงิน!  ฉันจะเผาเงินกระดาษให้พวกเขาบ้าง  หากฉันไม่ทำ นั่นคงจะไม่ถูกต้องแน่  มันอาจจะทำให้เกิดปัญหากับพวกเราคนที่ยังมีชีวิตอยู่—ใครจะบอกได้ว่าโชคร้ายจะกระหน่ำมาเมื่อใด?”  พวกเขาจะมีเค้าเมฆเล็กๆ แห่งความเกรงกลัวและความกังวลนี้ในหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ  ใครให้ความกังวลนี้แก่พวกเขา?  ซาตานคือแหล่งกำเนิดของความกังวลนี้  นี่ไม่ใช่หนึ่งในหลายหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรอกหรือ?  มันใช้วิธีการและข้ออ้างทั้งหลายเพื่อควบคุมเจ้า เพื่อขู่เจ้า และเพื่อผูกมัดเจ้า จนเจ้าตกอยู่ในความงุนงงและยอมแพ้และนบนอบต่อมัน นี่คือวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  บ่อยครั้งเมื่อผู้คนอ่อนแอหรือเมื่อพวกเขาไม่ตระหนักรู้อย่างเต็มที่ถึงสถานการณ์ พวกเขาอาจทำบางสิ่งบางอย่างโดยไม่ตั้งใจในหนทางที่สับสนปนเป กล่าวคือ พวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยไม่ตั้งใจและอาจจะกระทำการโดยไม่รู้ตัว อาจจะทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่  นี่คือหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ถึงขึ้นมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ตอนนี้ลังเลที่จะแยกไปจากวัฒนธรรมตามประเพณีที่หยั่งรากลึก ผู้ที่เพียงไม่สามารถละวางมันได้  โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอ่อนแอและคิดลบเสียจนพวกเขาปรารถนาที่จะฉลองวันหยุดประเภทเหล่านี้และพวกเขาปรารถนาที่จะพบกับซาตานและทำให้ซาตานพึงพอใจอีกครั้ง เพื่อนำความชูใจมาสู่หัวใจของพวกเขา  ภูมิหลังของวัฒนธรรมตามประเพณีคือสิ่งใด?  มือสีดำของซาตานกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังฉากเหล่านี้ใช่หรือไม่?  ธรรมชาติอันเลวของซาตานกำลังบงการและควบคุมอยู่ใช่หรือไม่?  ซาตานมีอิทธิพลควบคุมเหนือทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมตามประเพณีหนึ่งและฉลองวันหยุดตามประเพณีประเภทเหล่านี้ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่พวกเขากำลังถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพวกเขามีความสุขที่ถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม?  (ได้)  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าทุกคนยอมรับ คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้ารู้ดี

4. วิธีที่ซาตานใช้ความเชื่อเหนือธรรมชาติเพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

พวกเจ้าคุ้นเคยกับคำว่า “ความเชื่อเหนือธรรมชาติ” ใช่ไหม?  มีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างความเชื่อเหนือธรรมชาติกับวัฒนธรรมตามประเพณี แต่พวกเราจะไม่พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นในวันนี้  ในทางกลับกัน เราจะเสวนาถึงรูปแบบของความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เผชิญกันโดยทั่วไปมากที่สุด นั่นคือ การดูดวง การทำนายโชคชะตา การจุดธูป และการนมัสการพระพุทธเจ้า  ผู้คนบางคนฝึกดูดวง คนอื่นๆ นมัสการพระพุทธเจ้าและจุดธูป ในขณะที่คนอื่นๆ ได้อ่านโชคชะตาของพวกเขา หรือให้ใครบางคนอ่านโหงวเฮ้งของพวกเขาแล้วบอกโชคชะตาของพวกเขาในหนทางนี้  พวกเจ้ากี่คนที่ได้เคยรับการทำนายโชคชะตาหรืออ่านโหงวเฮ้ง?  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนสนใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะเหตุใดเล่า?  ผู้คนจะได้รับประโยชน์จำพวกใดจากการทำนายโชคชะตาและการดูดวง?  พวกเขาได้รับความพึงพอใจประเภทใดจากการนั้น?  (ความอยากรู้อยากเห็น)  มันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นกระนั้นหรือ?  เท่าที่เราเห็น มันไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเช่นนั้น  เป้าหมายของการดูดวงและการทำนายโชคชะตาคือสิ่งใด?  เหตุใดต้องทำการดูดวง?  นั่นไม่ใช่เพื่อมองเห็นอนาคตหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนอ่านโหงวเฮ้งเพื่อทำนายอนาคต คนอื่นๆ ทำเพื่อดูว่าพวกเขาจะมีโชคดีหรือไม่  ผู้คนบางคนทำเพื่อดูว่าชีวิตแต่งงานของพวกเขาจะเป็นเช่นไร และกระนั้นคนอื่นๆ ก็ทำเพื่อดูว่าปีหน้าจะนำโชคลาภใดมาให้  ผู้คนบางคนอ่านโหงวเฮ้งเพื่อดูว่าความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาและของบุตรชายหรือบุตรสาวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร และนักธุรกิจบางคนทำเพื่อดูว่าพวกเขาจะหาเงินได้มากเพียงใด โดยแสวงหาคำแนะนำของคนอ่านโหงวเฮ้งว่าพวกเขาควรจะใช้การกระทำใด  ดังนั้น การนี้ทำไปเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นใช่หรือไม่?  เมื่อผู้คนรับการอ่านโหงวเฮ้งของพวกเขาหรือทำสิ่งทั้งหลายจำพวกเหล่านี้ นั่นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลในอนาคตของพวกเขาเอง พวกเขาเชื่อว่าทั้งหมดนี้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชะตากรรมของพวกเขาเอง  สิ่งใดจากการนี้บ้างที่มีประโยชน์?  (ไม่มี)  เหตุใดมันจึงไม่มีประโยชน์?  มันไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือที่ได้รับความรู้บางอย่างโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้?  การปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้อาจช่วยให้เจ้ารู้ว่าปัญหาอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใด และหากเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ไม่ใช่หรือ?  หากเจ้ารับการทำนายโชคชะตา นั่นอาจจะแสดงให้เจ้าเห็นวิธีที่จะค้นพบเส้นทางซึ่งถูกต้องที่จะออกไปจากวงกตปริศนา เพื่อที่เจ้าอาจจะได้ชื่นชมกับโชคดีในปีข้างหน้าและได้มามีความอุดมในโภคทรัพย์ยิ่งใหญ่โดยผ่านทางธุรกิจของเจ้า  ดังนั้น มันมีหรือมันไม่มีประโยชน์เล่า?  ไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ไม่มีความเชื่อมโยงกับพวกเรา และการสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้  ซาตานใช้ความเชื่อเหนือธรรมชาติเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไรหรือ?  ผู้คนล้วนต้องการรู้โชคชะตาของตนเอง ดังนั้น ซาตานจึงหาประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเพื่อชักนำพวกเขา  ผู้คนเข้ามาพัวพันในการดูดวง การทำนายโชคชะตา และการอ่านโหงวเฮ้งเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต และถนนประเภทใดที่ทอดอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในที่สุด โชคชะตาและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ที่ผู้คนเป็นกังวลถึงยิ่งนักนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของผู้ใดเล่า?  (ในพระหัตถ์ของพระเจ้า)  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  โดยการใช้วิธีการเหล่านี้ ซาตานต้องการให้ผู้คนรู้สิ่งใด?  ซาตานต้องการที่จะใช้การอ่านโหงวเฮ้งและการทำนายโชคชะตาเพื่อบอกกับผู้คนว่ามันรู้โชคชะตาในอนาคตของพวกเขา และว่ามันไม่เพียงแค่รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังควบคุมสิ่งเหล่านั้นด้วย  ซาตานต้องการที่จะใช้ข้อได้เปรียบจากโอกาสนี้และใช้วิธีการนี้เพื่อควบคุมผู้คน จนกระทั่งผู้คนมีความเชื่อในตัวมันแบบไม่ลืมหูลืมตาและเชื่อฟังทุกคำพูดของมัน  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ารับการอ่านโหงวเฮ้ง หากหมอดูหลับตาของเขาและบอกเจ้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านไปด้วยความกระจ่างแจ้งอย่างเพียบพร้อม เจ้าจะรู้สึกอย่างไรภายใน?  เจ้าจะรู้สึกในทันทีว่า “เขาช่างถูกต้องแม่นยำยิ่งนัก!  ฉันไม่เคยบอกอดีตของฉันแก่ผู้ใดมาก่อน เขารู้เกี่ยวกับมันได้อย่างไรนี่?  ฉันเลื่อมใสหมอดูคนนี้จริงๆ!”  สำหรับซาตานแล้ว มันไม่ใช่ง่ายดายเหลือเกินหรอกหรือที่จะรู้อดีตของเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงนำเจ้ามาถึงที่ที่เจ้าอยู่ในวันนี้ และตลอดเวลานั้นซาตานก็ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและติดตามเจ้ามาโดยตลอด  ช่วงตอนในหลายทศวรรษของชีวิตของเจ้าไม่มีความหมายใดต่อซาตาน และไม่ลำบากยากเย็นสำหรับซาตานเลยที่จะรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  เมื่อเจ้าเรียนรู้ว่าทั้งหมดที่ซาตานพูดนั้นถูกต้องแม่นยำ เจ้าจะไม่มอบหัวใจของเจ้าให้มันหรอกหรือ?  เจ้าไม่ใช่กำลังพึ่งพาอาศัยมันในการควบคุมอนาคตของเจ้าและโชคชะตาของเจ้าหรอกหรือ?  ในทันทีนั้น หัวใจของเจ้าจะรู้สึกนับถือหรือเคารพมันอยู่บ้าง และสำหรับผู้คนบางคนนั้น ดวงจิตของพวกเขาอาจจะถูกมันฉกไปแล้วตรงจุดนี้  และเจ้าจะถามหมอดูทันทีว่า “ฉันควรทำสิ่งใดต่อไป?  ฉันควรหลีกเลี่ยงสิ่งใดในปีที่จะมาถึงนี้?  ฉันต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง?”  และต่อมา เขาจะพูดว่า “เจ้าต้องไม่ไปที่นั่น เจ้าต้องไม่ทำการนี้ ต้องไม่สวมเสื้อผ้าสีนั้นสีนี้ เจ้าควรไปสถานที่นั้นๆ ให้น้อยลง ทำสิ่งนั้นๆ ให้มากขึ้น…”  เจ้าจะไม่รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไว้กับหัวใจในทันทีหรอกหรือ?  เจ้าจะจดจำคำพูดของเขารวดเร็วกว่าพระวจนะของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงจะจดจำสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้?  เพราะเจ้าคงจะต้องการพึ่งพาซาตานเพื่อโชคดี  นี่ไม่ใช่เวลาที่มันยึดหัวใจของเจ้าหรอกหรือ?  เมื่อการทำนายของมันเป็นจริง ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าจะไม่ต้องการตรงกลับไปหามันเพื่อค้นหาว่าปีต่อไปจะนำพาโชคชะตาใดมากระนั้นหรือ?  (ใช่)  เจ้าย่อมจะทำสิ่งใดก็ตามที่ซาตานบอกให้เจ้าทำและเจ้าก็จะหลีกเลี่ยงสิ่งทั้งหลายที่มันบอกให้หลีกเลี่ยง  ในหนทางนี้ เจ้ากำลังเชื่อฟังสิ่งที่มันพูดอยู่มิใช่หรือ?  เจ้าย่อมจะร่วงลงไปอยู่ในอ้อมแขนของมัน ถูกมันชักพาให้หลงผิด และมาอยู่ภายใต้การควบคุมของมันอย่างรวดเร็วมาก  การนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่มันพูดเป็นความจริง และเพราะเจ้าเชื่อว่ามันรู้เกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเจ้า ชีวิตของเจ้าในตอนนี้ และสิ่งที่อนาคตจะนำมา  นี่คือวิธีการที่ซาตานใช้เพื่อควบคุมผู้คน  แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้ใดหรือคือผู้ควบคุมจริงๆ?  พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่ซาตาน  ซาตานแค่กำลังใช้ลูกเล่นอันหลักแหลมของมันในกรณีนี้เพื่อใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนที่ไม่รู้เท่าทัน ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนที่เพียงแค่มองเห็นโลกทางวัตถุเท่านั้น ให้มาเชื่อและพึ่งพามัน  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานและเชื่อคำพูดทุกคำของมัน  แต่ซาตานเคยคลายกำมือของมันหรือไม่เมื่อผู้คนต้องการที่จะเชื่อและติดตามพระเจ้า?  ซาตานไม่เคยทำเช่นนั้น  ในสถานการณ์นี้ ผู้คนกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานจริงๆ ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพฤติกรรมของซาตานในด้านนี้ช่างไร้ยางอาย?  (ได้)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวเช่นนั้นได้?  เพราะเหล่านี้คือชั้นเชิงที่ฉ้อฉลและหลอกลวง  ซาตานไร้ความละอายและชี้นำให้ผู้คนคิดไปในทางที่ผิดว่ามันควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาเอาไว้และควบคุมชะตากรรมที่แท้จริงของพวกเขา  การนี้เป็นเหตุให้ผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันเชื่อฟังมันอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาถูกหลอกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ  ผู้คนก็กราบไหว้ลงต่อหน้ามันในความมึนงงของพวกเขา  ดังนั้น ซาตานใช้วิธีการแบบใด มันพูดสิ่งใดเพื่อทำให้เจ้าเชื่อในมัน?  ยกตัวอย่างเช่น  เจ้าอาจไม่ได้บอกซาตานว่ามีกี่คนในครอบครัวของเจ้า แต่มันอาจจะยังคงสามารถบอกเจ้าได้ว่ามีกี่คน และบอกอายุบิดามารดาและลูกหลานของเจ้า  ถึงแม้เจ้าอาจจะได้มีความสงสัยและกังขาเกี่ยวกับซาตานมาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากได้ยินมันพูดสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าจะไม่รู้สึกว่ามันน่าเชื่อมากขึ้นสักเล็กน้อยหรอกหรือ?  เมื่อนั้นซาตานอาจจะพูดว่า งานนั้นลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าเพียงใดในช่วงนี้ ว่าผู้บังคับบัญชาของเจ้าไม่ให้การยอมรับแก่เจ้าอย่างที่เจ้าสมควรได้รับ และทำงานขัดแย้งกับเจ้าอยู่เสมอ และอื่นๆ  หลังจากได้ยินการนั้นแล้ว เจ้าคงจะคิดว่า “นั่นถูกต้องไม่มีผิด!  สิ่งทั้งหลายในเรื่องงานไม่ได้ราบรื่นเลย”  ดังนั้นเจ้าย่อมจะเชื่อซาตานมากขึ้นอีกนิด  และแล้วมันก็จะพูดสิ่งอื่นอีกเพื่อชักพาให้เจ้าหลงผิด ทำให้เจ้าเชื่อมันมากยิ่งขึ้นไปอีก  เจ้าคงจะพบทีละเล็กทีละน้อยว่าตัวเจ้าเองไม่สามารถต้านทานหรือยังคงสงสัยมันได้อีกต่อไป  ซาตานแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมยิบย่อยไม่กี่อย่าง แม้กระทั่งเล่ห์เหลี่ยมสัพเพเหระ และนี่เองคือวิธีที่มันใช้ชักพาให้เจ้าหลงผิด  เมื่อเจ้าถูกชักพาให้หลงผิด เจ้าจะไม่สามารถระลึกได้ว่าตัวเจ้านั้นอยู่ตำแหน่งแห่งหนใดกันแน่ เจ้าจะทำอะไรไม่ถูก และเจ้าจะเริ่มทำตามสิ่งที่ซาตานพูด  นี่คือวิธีการ “อันปราดเปรื่อง” ที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ซึ่งทำให้เจ้าตกไปอยู่ในกับดักของมันและถูกมันล่อลวงโดยไม่รู้ตัว  ซาตานบอกเจ้าไม่กี่อย่างที่ผู้คนจินตนาการว่าดี และต่อมามันบอกเจ้าว่าให้ทำสิ่งใดและให้หลีกเลี่ยงสิ่งใด  นี่คือวิธีที่เจ้าถูกทำให้หลงกลโดยไม่รู้ตัว  ทันทีที่เจ้าตกหลุมกลลวงนั้น สิ่งทั้งหลายจะแก้ยากสำหรับเจ้า เจ้าจะคิดถึงสิ่งที่ซาตานพูดและสิ่งที่มันบอกให้เจ้าทำอยู่เนืองนิตย์ และเจ้าจะไม่รู้ตัวว่าถูกมันครอบงำ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นั่นเป็นเพราะมวลมนุษย์ขาดพร่องความจริง และดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะตั้งมั่นและต้านทานการล่อลวงและการทดลองของซาตานได้  เมื่อเผชิญหน้าความเลวของซาตานและการหลอกลวง การหักหลัง และการคิดร้ายของมัน มวลมนุษย์ช่างไม่รู้เท่าทัน ไม่เป็นผู้ใหญ่ และอ่อนแอ มิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่หนึ่งในหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรอกหรือ?  (ใช่)  มนุษย์ถูกหลอกและถูกใช้เล่ห์เหลี่ยมทีละเล็กทีละน้อยด้วยวิธีการหลากหลายของซาตานโดยไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาขาดพร่องความสามารถในการแยกความต่างระหว่างด้านบวกและด้านลบ  พวกเขาขาดพร่องวุฒิภาวะนี้และความสามารถที่จะมีชัยเหนือซาตาน

5. วิธีที่ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

กระแสนิยมทางสังคมได้มามีขึ้นเมื่อใด?  สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่มามีอยู่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นหรือ?  คนเราสามารถพูดได้ว่ากระแสนิยมทางสังคมเกิดขึ้นเมื่อซาตานเริ่มทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  กระแสนิยมทางสังคมรวมถึงสิ่งใดบ้าง?  (ลีลาการแต่งกายและการแต่งหน้า)  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนมักเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย  ลักษณะแนวของเสื้อผ้า แฟชั่น และกระแสนิยม—สิ่งเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งแง่มุมเล็กๆ แง่มุมหนึ่ง  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  วลียอดนิยมทั้งหลายที่ผู้คนมักจะโพล่งออกมาบ่อยครั้งนั้นนับด้วยหรือไม่?  ลีลาชีวิตที่ผู้คนอยากได้อยากมีนับด้วยหรือไม่?  นักร้องดาวรุ่ง คนเด่นคนดัง นิตยสาร นวนิยายที่ผู้คนชอบนับด้วยหรือไม่?  (นับ)  ในจิตใจของพวกเจ้านั้น แง่มุมใดของกระแสนิยมทางสังคมที่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้?  สิ่งใดจากกระแสนิยมเหล่านี้ที่จูงใจพวกเจ้ามากที่สุด?  ผู้คนบางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราล้วนมาถึงวัยเฉพาะแล้ว พวกเราอยู่ในวัยห้าสิบหรือหกสิบปี เจ็ดสิบหรือแปดสิบปี  และพวกเราไม่สามารถเข้ากันได้กับกระแสนิยมเหล่านี้อีกต่อไป และกระแสนิยมเหล่านี้ไม่อยู่ในความสนใจของพวกเราจริงๆ”  การนี้ถูกต้องใช่หรือไม่?  คนอื่นๆ อาจกล่าวว่า “พวกเราไม่ทำตามพวกคนเด่นคนดัง นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกคนหนุ่มสาวในวัยยี่สิบกว่าๆ ทำกัน พวกเราไม่สวมเสื้อผ้าตามแฟชั่นด้วย นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนซึ่งใส่ใจภาพลักษณ์ทำกัน”  ดังนั้นอะไรหรือในสิ่งเหล่านี้ที่สามารถทำให้พวกเจ้าเสื่อมทรามได้?  (คติพจน์ยอดนิยม)  คติพจน์เหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  เราจะให้ตัวอย่างหนึ่ง แล้วพวกเจ้าจึงสามารถมองเห็นได้ว่ามันทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรือไม่ กล่าวคือ  “เงินทำให้โลกหมุนไป” นี่เป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่งหรือไม่?  เมื่อเปรียบเทียบกับกระแสนิยมด้านแฟชั่นและอาหารชั้นเลิศที่พวกเจ้าเอ่ยถึง นี่ไม่เลวร้ายกว่ามากหรอกหรือ?  “เงินทำให้โลกหมุนไป” เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?  บางทีผู้คนอาจจะไม่รู้จักคติพจน์นี้จากประสบการณ์ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้?  บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน  นี่คือสิ่งใด?  มันคือการบูชาเงินตรา  มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่?  มันยากมาก!  ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ!  ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ?  ขณะที่เจ้าก้าวจากการคัดค้านคติพจน์ยอดนิยมนี้ไปสู่การยอมรับในที่สุดว่ามันเป็นความจริง หัวใจของเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยบริบูรณ์ และดังนั้นเจ้าก็ได้มาดำรงชีวิตอยู่ด้วยคติพจน์นี้โดยไม่ตั้งใจ  คติพจน์นี้ส่งผลต่อเจ้าถึงระดับใด?  เจ้าอาจจะรู้จักหนทางที่แท้จริง และเจ้าอาจจะรู้จักความจริง แต่เจ้าไร้พลังที่จะไล่ตามเสาะหาการนั้น  เจ้าอาจจะรู้อย่างชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา หรือที่จะทนทุกข์เพื่อให้ได้รับความจริงนั้นมา  ในทางกลับกัน เจ้าคงจะพลีอุทิศอนาคตและชะตาลิขิตของเจ้าเองเพื่อต้านทานพระเจ้าจนถึงที่สุดมากกว่า  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเจ้านั้นลึกซึ้งเพียงใดหรือยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าย่อมจะยืนกรานอย่างดื้อด้านในการที่จะมีหนทางของเจ้าเองและจ่ายราคาให้แก่คติพจน์นี้  ซึ่งหมายความว่าคติพจน์นี้เข้าควบคุมและชักพาให้ความคิดของเจ้าหลงผิดไปแล้ว มันเข้ากำกับพฤติกรรมของเจ้าแล้ว และเจ้าเลือกที่จะปล่อยให้มันปกครองชะตากรรมของเจ้ามากกว่าจะละวางการไล่ตามโภคทรัพย์  การที่ผู้คนสามารถปฏิบัติตนเช่นนี้ การที่คำพูดของซาตานสามารถควบคุมและบงการพวกเขา—นี่ก็หมายความว่าพวกเขาถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทรามไปแล้วมิใช่หรือ?  ปรัชญาและกรอบความคิดของซาตาน และอุปนิสัยของซาตาน ไม่ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้าแล้วหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไล่ตามโภคทรัพย์อย่างมืดบอด และละทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง ซาตานย่อมสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายที่จะชักพาให้เจ้าหลงผิดไปแล้วมิใช่หรือ?  ย่อมเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน  แล้วเวลาที่เจ้าถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม เจ้ารู้สึกได้บ้างหรือไม่?  เจ้าไม่สามารถรู้สึกได้  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นซาตานยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า หรือรู้สึกว่าซาตานกำลังกระทำการอย่างลับๆ เจ้าจะสามารถมองเห็นความชั่วร้ายของซาตานได้หรือ?  เจ้าจะรู้ได้หรือว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามด้วยวิธีใด?  ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามในทุกที่และทุกเวลา  ซาตานทำให้เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะป้องกันตัวจากความเสื่อมทรามนี้ และทำให้มนุษย์อับจนหนทางที่จะต่อต้านมัน  ซาตานทำให้เจ้ายอมรับความคิดของมัน มุมมอง และสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มาจากมัน ในสถานการณ์ที่เจ้าไม่รู้ตัวและเมื่อเจ้าไม่ตระหนักว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า  ผู้คนยอมรับสิ่งเหล่านี้และไม่มีการยกเว้นใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเขาทะนุถนอมและยึดมั่นกับสิ่งเหล่านี้เหมือนทรัพย์สมบัติล้ำค่า พวกเขาปล่อยให้สิ่งเหล่านี้บงการพวกเขาและทำกับพวกเขาเหมือนเป็นของเล่น นี่คือการที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตาน และเชื่อฟังซาตานโดยไม่รู้ตัว และการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานนั้นยิ่งลงลึกมากขึ้นทุกที

ซาตานใช้หลายวิธีการเหล่านี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  มนุษย์มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่าง มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมตามประเพณี และมนุษย์ทุกคนเป็นผู้รับมรดกและผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมตามประเพณี  มนุษย์ถูกผูกมัดให้ต้องดำเนินวัฒนธรรมตามประเพณีที่ซาตานมอบให้เขานี้ต่อไป และมนุษย์ยังปฏิบัติตามกระแสนิยมทางสังคมที่ซาตานจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์อีกด้วย  มนุษย์ไม่สามารถแยกจากซาตานได้ ปฏิบัติตามทุกอย่างที่ซาตานทำอยู่ตลอดเวลา ยอมรับความเลว ความหลอกลวง การคิดร้าย และความโอหังของมัน  ทันทีที่มนุษย์ได้มาครองอุปนิสัยเหล่านี้ของซาตาน เขามีความสุขหรือเศร้าโศกที่ได้มาดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้?  (โศกเศร้า)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า?  (เพราะมนุษย์ถูกมัดและควบคุมโดยสิ่งทั้งหลายที่เสื่อมทรามเหล่านี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในบาปและชีวิตของเขาถูกโอบล้อมอยู่ในการต่อสู้ดิ้นรนที่ยากลำเค็ญ)  ผู้คนบางคนสวมแว่นสายตา โดยมีลักษณะภายนอกเป็นผู้มีภูมิปัญญาอย่างยิ่ง พวกเขาอาจพูดอย่างน่านับถือยิ่งนัก มีวาทศิลป์และเหตุผล และเนื่องจากพวกเขาได้ก้าวผ่านสิ่งทั้งหลายมามากมาย พวกเขาอาจมีประสบการณ์และทันสมัยอย่างมาก พวกเขาอาจมีความสามารถที่จะพูดในรายละเอียดของเรื่องทั้งหลายทั้งใหญ่และเล็กได้ ทั้งพวกเขายังอาจจะมีความสามารถที่จะประเมินความน่าเชื่อถือและให้เหตุผลสิ่งทั้งหลายด้วยเช่นกัน  บางคนอาจจะมองดูที่พฤติกรรมและการปรากฏของผู้คนเหล่านี้ ตลอดจนบุคลิกลักษณะ สภาวะความเป็นมนุษย์ การประพฤติ และอื่นๆ ของพวกเขา และพบว่าพวกเขาไม่มีข้อผิดพลาดเลย  ผู้คนเช่นนั้นมีความสามารถเป็นพิเศษในการปรับตัวให้เข้ากับกระแสนิยมทางสังคมปัจจุบัน  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้อาจสูงวัย พวกเขาก็ไม่เคยล้าหลังกระแสนิยมทั้งหลายของยุคนั้นและไม่เคยแก่เกินเรียน  เมื่อมองผิวเผิน ไม่มีผู้ใดสามารถพบข้อผิดพลาดในบุคคลเช่นนี้ได้ แต่ทว่าเมื่อทบทวนแก่นแท้ภายในของพวกเขานั้น พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุดและโดยสิ้นเชิง  ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถพบข้อผิดพลาดภายนอกจากผู้คนเหล่านี้ได้ ถึงแม้ว่าบนเปลือกนอกนั้นพวกเขาเป็นคนสุภาพ ได้รับการถลุง และครองความรู้และความมีศีลธรรมเฉพาะอย่าง และพวกเขามีความสัตย์สุจริต และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีทางด้อยกว่าผู้คนรุ่นเยาว์ในด้านของความรู้ ทว่าในแง่ของแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนเช่นนี้เป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์และมีชีวิตของซาตาน พวกเขาเป็นสำเนาถูกต้องของซาตาน  นี่คือ “ดอกผล” ของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  สิ่งที่เราได้พูดไปอาจทำให้พวกเจ้าเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนั้นจริงแท้  ความรู้ที่มนุษย์ศึกษา วิทยาศาสตร์ที่เขาเข้าใจ และวิถีทางที่เขาเลือกเพื่อทำให้เขาเข้ากันได้กับกระแสนิยมทางสังคมนั้น คือเครื่องมือที่ซาตานใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามโดยไม่มีการยกเว้น  การนี้แท้จริงอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงดำรงชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง และมนุษย์ไม่มีหนทางที่จะรู้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใดหรือเนื้อแท้ของพระเจ้าคือสิ่งใด  นี่เป็นเพราะบนเปลือกนอกนั้น คนเราไม่สามารถพบข้อผิดพลาดกับหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามได้ คนเราไม่สามารถบอกได้จากพฤติกรรมของใครบางคนว่าสิ่งใดผิดปกติ  ทุกคนทำงานของตนเองอย่างเป็นปกติและดำรงชีวิตตามปกติ พวกเขาอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์อย่างเป็นปกติ พวกเขาศึกษาและพูดอย่างเป็นปกติ ผู้คนบางคนได้เรียนรู้จริยธรรมมาเล็กน้อยและพูดเก่ง มีความเข้าใจและเป็นมิตร ชอบช่วยเหลือและใจบุญ และไม่หาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหยุมหยิมหรือเอาเปรียบผู้คน  อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนี้หยั่งรากลึกภายในตัวพวกเขา และธาตุแท้นี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอาศัยความพยายามภายนอก  เนื่องจากธาตุแท้นี้ มนุษย์จึงไม่สามารถรู้จักความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ และถึงแม้เนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะได้เผยแก่มนุษย์ มนุษย์ก็ไม่จริงจังกับมัน  นี่เป็นเพราะซาตานได้มาครอบงำความรู้สึก แนวคิด ทัศนคติ และความคิดของมนุษย์ไว้แล้วอย่างสิ้นเชิงโดยผ่านทางวิถีทางต่างๆ นานา  การครอบงำและความเสื่อมทรามนี้ไม่ใช่ชั่วคราวหรือเป็นบางโอกาส แต่ปรากฏอยู่ทุกที่และตลอดเวลา  ด้วยเหตุนี้  ผู้คนมากมายยิ่งนักที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสามหรือสี่ปี หรือแม้กระทั่งห้าหรือหกปีแล้ว จึงยังคงมองว่าความคิด ทรรศนะ ตรรกะที่เลวร้ายเหล่านี้ และปรัชญาทั้งหลายที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขาเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า และไร้ความสามารถที่จะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปได้  เป็นเพราะมนุษย์ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่เลว โอหัง และคิดร้ายที่มาจากธรรมชาติของซาตาน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความขัดแย้ง ข้อโต้เถียง และความเข้ากันไม่ได้อยู่บ่อยๆ ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติอันโอหังของซาตาน  หากซาตานได้มอบสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกแก่มวลมนุษย์—ยกตัวอย่างเช่น หากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าจากวัฒนธรรมตามประเพณีที่มนุษย์ได้ยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่ดี—ผู้คนประเภทที่คล้ายกันควรสามารถไปด้วยกันได้หลังจากที่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นแล้ว  ดังนั้น เหตุใดจึงมีการแบ่งแยกมากมายระหว่างผู้คนที่ได้ยอมรับในสิ่งเดียวกัน?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้มาจากซาตานและซาตานได้สร้างการแบ่งแยกขึ้นท่ามกลางผู้คน  สิ่งที่มาจากซาตาน ไม่ว่าภายนอกจะดูมีศักดิ์ศรีหรือยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ย่อมนำความโอหังมาสู่มนุษย์และทำให้ชีวิตของมนุษย์แสดงแต่ความโอหังออกมาเท่านั้น มีแต่ธรรมชาติเลวๆ ที่หลอกลวงเท่านั้น  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  ใครบางคนที่สามารถปลอมตัว ที่ครองความอุดมทรัพย์ทางความรู้ หรือผู้ที่มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดีก็จะยังคงมีเวลาที่ยากลำบากในการปกปิดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่  กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าบุคคลนี้จะห่มคลุมตัวเองสักกี่วิธี ไม่ว่าเจ้าจะคิดถึงพวกเขาในฐานะวิสุทธิชนหรือไม่ หรือเจ้าจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนมีความเพียบพร้อมหรือไม่ หรือเจ้าจะคิดว่าพวกเขาเป็นทูตสวรรค์หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าพวกเขาบริสุทธิ์หมดจดเพียงใด ชีวิตจริงหลังฉากของพวกเขาย่อมเป็นเยี่ยงใด?  เจ้าย่อมจะมองเห็นธาตุแท้อันใดเมื่อพวกเขาเผยอุปนิสัยของตนออกมา?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าย่อมจะมองเห็นธรรมชาติอันเลวของซาตาน  การพูดเช่นนั้นพอจะยอมรับได้หรือไม่?  (ได้)  ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ารู้จักใครบางคนที่ใกล้ชิดกับพวกเจ้า ผู้ที่เจ้าคิดว่าเป็นคนดี อาจจะเป็นใครบางคนที่เจ้าชื่นชู  ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของเจ้า เจ้าคิดถึงพวกเขาอย่างไร?  อย่างแรก เจ้าประเมินว่าบุคคลประเภทนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ ว่าพวกเขาซื่อสัตย์หรือไม่ ว่าพวกเขามีความรักแท้จริงต่อผู้คนหรือไม่ ว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาเป็นประโยชน์และช่วยผู้อื่นหรือไม่  (พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น)  สิ่งที่เรียกว่าความใจดีมีเมตตา ความรัก หรือความดีงามอันใดที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมา?  ทั้งหมดนั้นเป็นเท็จ ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงหน้าฉาก  เบื้องหลังหน้าฉากนี้มีจุดประสงค์อันเลวแอบแฝงอยู่ นั่นก็คือ เพื่อทำให้บุคคลนั้นเป็นที่รักใคร่บูชาและชื่นชู  พวกเจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)

วิธีการที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้น นำพาสิ่งใดมาสู่มวลมนุษย์หรือ?  วิธีการเหล่านั้นนำพาสิ่งใดที่เป็นบวกมาหรือไม่?  ก่อนอื่น มนุษย์สามารถแยกความต่างระหว่างความดีและความชั่วได้หรือไม่?  เจ้าจะพูดหรือไม่ว่า ในพิภพนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่บางคน หรือนิตยสารหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาตรฐานที่พวกเขาใช้เพื่อตัดสินว่าบางสิ่งบางอย่างดีหรือชั่วและถูกหรือผิดนั้น ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  การประเมินของพวกเขาที่มีต่อเหตุการณ์และผู้คนยุติธรรมหรือไม่?  การประเมินเหล่านั้นบรรจุไปด้วยความจริงหรือไม่?  พิภพนี้ มนุษยชาตินี้ ประเมินสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบบนพื้นฐานของมาตรฐานแห่งความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดผู้คนจึงไม่มีความสามารถนั้น?  ผู้คนได้ศึกษาความรู้มากมายยิ่งนัก และรู้มากมายยิ่งนักเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดังนั้นพวกเขาจึงครองความสามารถยิ่งใหญ่มิใช่หรือ?  ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแยกระหว่างสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบได้?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  (เพราะผู้คนไม่มีความจริง วิทยาศาสตร์และความรู้ไม่ใช่ความจริง)  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานนำมาให้มนุษยชาตินั้นเลว เสื่อมทราม และไร้ซึ่งความจริง ชีวิต  และหนทาง  ด้วยความเลวและความเสื่อมทรามที่ซาตานนำมาให้มนุษย์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าซาตานมีความรัก?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความรัก?  ผู้คนบางคนอาจจะพูดว่า  “ท่านผิดแล้ว มีผู้คนมากมายทั่วโลกที่ช่วยเหลือคนยากจนและไร้บ้าน  ผู้คนเหล่านั้นไม่ใช่คนดีหรอกหรือ?  ยังมีองค์กรการกุศลทั้งหลายที่ทำงานที่ดีงามอีกด้วย  งานที่พวกเขาทำไม่ใช่งานที่ดีงามหรอกหรือ?”  เจ้าจะพูดอย่างไรต่อการนั้น?  ซาตานใช้วิธีการและทฤษฎีที่แตกต่างกันมากมายเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ความเสื่อมทรามนี้ของมนุษย์เป็นมโนทัศน์ที่คลุมเครือใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ มันไม่คลุมเครือ  ซาตานยังทำบางสิ่งบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอีกด้วย และมันยังส่งเสริมทัศนคติหรือทฤษฎีในพิภพนี้และในสังคมอีกด้วย  มันส่งเสริมทฤษฎีและปลูกฝังความคิดเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ ในทุกราชวงศ์และในทุกยุคสำคัญในประวัติศาสตร์  ความคิดและทฤษฎีเหล่านี้ค่อยๆ หยั่งรากในหัวใจของผู้คน และต่อมาพวกเขาก็เริ่มดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านั้น  ทันทีที่พวกเขาเริ่มดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่กลายเป็นซาตานโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วผู้คนไม่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับซาตานหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับซาตานแล้ว ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร?  มันจะไม่ใช่ท่าทีแบบเดียวกันกับที่ซาตานมีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่มีผู้ใดกล้ายอมรับการนี้ใช่หรือไม่?  ช่างน่าสยองขวัญยิ่งนัก!  เหตุใดเราจึงพูดว่าธรรมชาติของซาตานนั้นเลว?  เราไม่ได้พูดเช่นนี้อย่างเลื่อนลอย ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติของซาตานถูกระบุและชำแหละตามสิ่งที่มันทำลงไปและสิ่งที่มันเผยให้เห็น  หากเราพูดเพียงว่าซาตานนั้นเลว พวกเจ้าจะคิดอย่างไร?  พวกเจ้าย่อมจะคิดว่า “เห็นได้ชัดว่าซาตานนั้นเลว”  ดังนั้นเราถามเจ้าว่า “แง่มุมใดของซาตานที่เลว?”  หากเจ้าตอบว่า “การต้านทานที่ซาตานมีต่อพระเจ้านั้นเลว” เจ้าย่อมจะไม่ได้พูดด้วยความเข้าใจที่ชัดแจ้งอยู่ดี  บัดนี้เมื่อเราพูดถึงรายละเอียดไปเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ย่อมเข้าใจเนื้อหาจำเพาะเรื่องธาตุแท้อันเลวของซาตานแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติอันเลวของซาตานได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมองเห็นสภาพเงื่อนไขทั้งหลายของเจ้าเอง  มีสัมพันธภาพใดระหว่างสองสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  การนี้มีประโยชน์ต่อพวกเจ้าหรือไม่?  (มี)  เมื่อเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับธาตุแท้อันเลวของซาตานหรือไม่?  พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการนี้?  (จำเป็น)  เพราะเหตุใด?  (ความเลวของซาตานขับให้ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นที่สะดุดตาขึ้นมา)  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  นี่ถูกต้องเป็นบางส่วน เพราะหากปราศจากความเลวของซาตาน ผู้คนย่อมจะไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ การกล่าวเช่นนี้จึงถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพูดว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้ามีอยู่เพียเงพราะต่างขั้วกับความเลวของซาตานเท่านั้น นี่ถูกต้องหรือไม่?  การคิดในหนทางแบบวิภาษวิธีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า แม้เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งนั้นโดยผ่านทางกิจการทั้งหลายของพระองค์ นี่ยังคงเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติถึงเนื้อแท้ของพระเจ้า และนั่นยังคงเป็นเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า นั่นดำรงอยู่เสมอและเป็นเนื้อในแต่ดั้งเดิมของพระเจ้าพระองค์เอง แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งนั้นได้  นี่เป็นเพราะมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่จะรู้เกี่ยวกับเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ดังนั้น การที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงธาตุแท้อันเลวของซาตานกันก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใช่หรือไม่?  (ใช่ สำคัญยิ่ง)  ผู้คนบางคนอาจแสดงความกังขาบางอย่างว่า “ท่านกำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง ดังนั้นเหตุใดท่านจึงพูดคุยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่า ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร และธรรมชาติของซาตานนั้นเลวอย่างไร?”  บัดนี้เจ้าได้คลายความกังขาเหล่านี้แล้วมิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนมีวิจารณญาณในเรื่องความเลวของซาตาน และเมื่อพวกเขามีคำนิยามที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเลวนี้ เมื่อผู้คนสามารถมองเห็นเนื้อหาและลักษณะจำเพาะที่สำแดงถึงความเลว รวมทั้งต้นกำเนิดและธาตุแท้ของความเลวได้อย่างชัดเจน เมื่อนั้นเท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถตระหนักหรือยอมรับโดยผ่านทางการเสวนาถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร ความบริสุทธิ์คือสิ่งใด  หากเราไม่เสวนาถึงความเลวของซาตาน ผู้คนบางคนก็จะเชื่ออย่างผิดๆ ว่าอาจมีบางสิ่งที่ผู้คนทำในสังคมและท่ามกลางผู้คน—หรือสิ่งเฉพาะทั้งหลายที่มีอยู่ในพิภพนี้—ที่เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์อยู่บ้าง  ซึ่งนี่เป็นมุมมองที่ผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

บัดนี้ที่เราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับธาตุแท้ของซาตานในหนทางนี้ พวกเจ้าได้รับความเข้าใจแบบใดเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเจ้าในสองสามปีที่ผ่านมา จากการที่พวกเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและจากการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์?  ขอเชิญพูดถึงสิ่งนั้นได้เลย  เจ้าไม่ต้องใช้คำพูดที่ฟังรื่นหู แต่แค่พูดจากประสบการณ์ของเจ้าเอง  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าประกอบด้วยความรักของพระองค์เท่านั้นหรือ?  แค่ความรักของพระเจ้าเท่านั้นหรือที่พวกเราบรรยายว่าเป็นความบริสุทธิ์?  นั่นคงจะเป็นด้านเดียวเกินไปมิใช่หรือ?  นอกเหนือจากความรักของพระเจ้าแล้ว มีแง่มุมอื่นๆ เกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วหรือไม่?  (เห็นแล้ว  พระเจ้าทรงรังเกียจเทศกาลและวันหยุด ขนบธรรมเนียม และความเชื่อเหนือธรรมชาติทั้งหลาย นี่เป็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน)  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงรังเกียจสิ่งทั้งหลาย เจ้าหมายความเช่นนั้นใช่หรือไม่?  เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด?  ใช่หรือไม่ที่ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าไม่มีเนื้อหาสาระใดๆ มีแต่ความเกลียดชังเท่านั้น?  ในจิตใจของพวกเจ้า พวกเจ้ากำลังคิดใช่หรือไม่ว่า “เป็นเพราะพระเจ้าทรงเกลียดชังสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ ดังนั้นคนเราจึงสามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์กระนั้นหรือ”?  ตรงนี้นี่ไม่ใช่การคาดเดาหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของการคาดการณ์และการตัดสินหรอกหรือ?  สิ่งใดคือการก้าวพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิงเมื่อกล่าวถึงความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า?  (นั่นคือเมื่อพวกเราทิ้งความเป็นจริงไว้เบื้องหลังและพูดถึงคำสอนทั้งหลายแทน)  นี่คือการก้าวพลาดอันใหญ่หลวงยิ่ง  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  (การคาดเดาและการจินตนาการ)  เหล่านี้คือการก้าวพลาดที่ร้ายแรงยิ่งเช่นกัน  เหตุใดการคาดเดาและจินตนาการจึงไม่มีประโยชน์?  สิ่งทั้งหลายที่เจ้าคาดเดาถึงและจินตนาการเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งใดอีกที่ต้องหลีกเลี่ยง  มันเป็นการก้าวพลาดหรือไม่ที่เพียงแค่ท่องจำคำพูดที่น่ายินดียาวเป็นสายเพื่อบรรยายถึงแก่นแท้ของพระเจ้า?  (ใช่แล้ว)  นี่ไม่ยิ่งใหญ่และไร้สาระใช่หรือไม่?  การตัดสินและการคาดเดานั้นไร้สาระ เช่นเดียวกับการหยิบยกคำพูดที่น่ายินดี  การสรรเสริญที่ว่างเปล่าก็ไร้สาระด้วยเช่นกันมิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงชื่นชมการสดับฟังผู้คนพูดคุยเรื่องไร้สาระประเภทนี้หรือไม่?  (ไม่ พระองค์ไม่ทรงชื่นชม)  พระองค์รู้สึกไม่สบายพระทัยเมื่อพระองค์ทรงได้ยินสิ่งนั้น!  เมื่อพระเจ้าทรงนำและทรงช่วยผู้คนกลุ่มหนึ่งให้รอด หลังจากที่ผู้คนกลุ่มนี้ได้ยินพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาไม่เคยเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงหมายถึง  ใครบางคนอาจถามว่า “พระเจ้าทรงดีงามใช่หรือไม่?”  และพวกเขาคงจะตอบว่า “ใช่!”  “ทรงดีงามอย่างไร?”  “ทรงดีงามมาก!”  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์ใช่หรือไม่?”  “ใช่!”  “มากเพียงใด?  เจ้าสามารถบรรยายถึงการนั้นได้หรือไม่?”  “มากมายยิ่งนัก!  ความรักของพระเจ้าล้ำลึกกว่าทะเล สูงส่งกว่าท้องฟ้า!”  คำพูดเหล่านี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  ความไร้สาระนี้ไม่คล้ายกันกับสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งพูดไปหรอกหรือที่ว่า “พระเจ้าทรงเกลียดชังอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงบริสุทธิ์”?  (ใช่แล้ว)  สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  และสิ่งไร้สาระทั้งหลายที่พูดไปนั้นส่วนใหญ่แล้วมาจากที่ใด?  สิ่งไร้สาระทั้งหลายที่พูดไปโดยหลักแล้วมาจากการขาดความรับผิดชอบและความยำเกรงต่อพระเจ้าของผู้คน  พวกเราสามารถพูดเช่นนั้นได้หรือไม่?  เจ้าไม่มีความเข้าใจอันใด แต่ทว่าเจ้ายังคงพูดเรื่องไร้สาระ  นั่นเป็นการไม่รับผิดชอบมิใช่หรือ?  นั่นไม่ใช่การไม่นับถือพระเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าได้เรียนรู้ความรู้บางอย่าง ได้เข้าใจเหตุผลและตรรกะบางอย่าง เจ้าได้ใช้สิ่งเหล่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น ได้ทำเช่นนั้นเป็นหนทางในการเข้าใจพระเจ้าแล้ว  เจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกไม่พอพระทัยเมื่อพระองค์ทรงได้ยินเจ้าพูดจาในแบบนั้นหรือไม่?  เจ้าสามารถพยายามรู้จักพระเจ้าโดยใช้วิธีการเหล่านี้ได้หรือไม่?  เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น มันไม่ฟังดูน่าตะขิดตะขวงหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คนเราต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง จงพูดเฉพาะในขอบข่ายที่เจ้ารู้จักพระเจ้า  จงพูดอย่างซื่อสัตย์และอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และจงอย่าประดับคำพูดของเจ้าด้วยคำชมอันอ่อนหวาน และจงอย่าใช้การป้อยอ พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์การนั้น สิ่งประเภทนี้มาจากซาตาน  อุปนิสัยของซาตานนั้นโอหัง ซาตานชอบการป้อยอและการได้ยินคำพูดที่น่าฟัง  ซาตานจะยินดีและมีความสุขหากผู้คนท่องจำคำพูดที่น่ายินดีทั้งหมดที่พวกเขาได้เรียนรู้มาและใช้คำพูดเหล่านั้นเพื่อซาตาน  แต่พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนี้ พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์การเยินยอหรือการป้อยอ และพระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนพูดไร้สาระและสรรเสริญพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด  พระเจ้าทรงชิงชังและจะไม่แม้กระทั่งฟังการสรรเสริญและการป้อยอที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง  ดังนั้น เมื่อผู้คนสรรเสริญพระเจ้าอย่างไม่จริงใจ และทำการปฏิญญาและอธิษฐานต่อพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด พระเจ้าไม่ทรงรับฟังเลย  เจ้าต้องรับผิดชอบสำหรับสิ่งที่เจ้าพูด  หากเจ้าไม่รู้บางสิ่งบางอย่าง ก็แค่พูดไปเช่นนั้น หากเจ้ารู้บางสิ่งบางอย่าง ก็จงแสดงมันออกไปในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ดังนั้น ตามสิ่งที่ความบริสุทธิ์ของพระเจ้านำมาโดยเฉพาะและโดยแท้จริงนั้น พวกเจ้ามีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับการนั้นหรือไม่?  (เมื่อข้าพเจ้าได้แสดงความกบฏ เมื่อข้าพเจ้ากระทำการล่วงละเมิด ข้าพเจ้าได้รับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และในการนั้นข้าพเจ้าได้เห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  และเมื่อข้าพเจ้าได้เผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้อธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพเจ้าแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และดังที่พระเจ้าได้ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพเจ้าด้วยพระวจนะของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้เห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  การนี้มาจากประสบการณ์ของเจ้าเอง  (จากสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับการนั้น ฉันได้เห็นสิ่งที่มนุษย์ได้กลายมาเป็นหลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและได้รับอันตราย  ถึงกระนั้นก็ตาม พระเจ้าได้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยพวกเราให้รอดและจากการนี้ฉันมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  นี่คือลักษณะการพูดที่เป็นจริง มันคือความรู้ที่แท้จริง  มีหนทางที่แตกต่างกันอันใดในการเข้าใจนี้หรือไม่?  (ข้าพเจ้ามองเห็นความเลวของซาตานจากคำพูดที่มันใช้ชักจูงเอวาให้ทำบาปและการที่มันทดลององค์พระเยซูเจ้า  จากพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสบอกอาดัมและเอวาถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถและไม่สามารถกินได้นั้น ข้าพเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมา อย่างสะอาด และอย่างน่าเชื่อถือ จากการนี้ข้าพเจ้าจึงมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  เมื่อได้ยินคำกล่าวข้างต้นแล้ว คำพูดของผู้ใดที่บันดาลใจเจ้าให้พูดว่า “อาเมน” มากที่สุด?  การสามัคคีธรรมของผู้ใดใกล้เคียงกับหัวข้อการสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้?  การสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคนล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง?  (ดี)  พวกเจ้าพูด “อาเมน” ให้กับสิ่งที่เธอได้พูดไป  สิ่งใดที่เธอได้พูดไปที่ถูกต้องตรงเป้า?  (ในคำพูดของพี่น้องหญิงที่เพิ่งได้พูดไป ข้าพเจ้าได้ยินว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นตรงไปตรงมาและชัดเจนมาก และว่านั่นไม่เหมือนกับการพูดวกไปวนมาของซาตานเลย  ข้าพเจ้ามองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าในการนี้)  นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น  มันถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดีมาก  เรามองเห็นว่าพวกเจ้าได้รับบางสิ่งบางอย่างในการสามัคคีธรรมสองครั้งที่ผ่านไปนี้ แต่พวกเจ้าต้องทำงานหนักต่อไป  เหตุผลที่พวกเจ้าต้องทำงานหนักเป็นเพราะการเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้าเป็นบทเรียนที่ลุ่มลึกมาก นั่นไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่คนเราจะมาเข้าใจในชั่วข้ามคืน หรือที่คนเราสามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

ทุกแง่มุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ความรู้ ปรัชญาของมนุษย์ ความคิดและทัศนคติของมนุษย์ และแง่มุมเฉพาะส่วนบุคคลของผู้คนแต่ละคนขัดขวางพวกเขาอย่างยิ่งจากการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเจ้าได้ยินหัวข้อเหล่านี้ ซึ่งบางส่วนจากหัวข้อเหล่านี้อาจเกินการเอื้อมถึงของพวกเจ้า บางหัวข้อเจ้าอาจไม่เข้าใจ ในขณะที่บางหัวข้อเจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะทำให้ตรงกับความเป็นจริงได้โดยพื้นฐาน  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราเคยได้ยินเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเจ้าในเรื่องความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และเรารู้ว่าในหัวใจของพวกเจ้านั้นพวกเจ้ากำลังเริ่มยอมรับสิ่งที่เราได้พูดและได้สามัคคีธรรมไปเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เรารู้ว่าในหัวใจของพวกเจ้านั้น ความปรารถนาของเจ้าที่จะเข้าใจแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้ากำลังเริ่มแตกหน่อ  แต่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือว่าพวกเจ้าบางคนสามารถใช้คำพูดที่เรียบง่ายที่สุดในการบรรยายความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว  ถึงแม้ว่าการนี้เป็นสิ่งง่ายที่จะพูด และเราได้พูดถึงการนี้ไปก่อนแล้ว ถึงกระนั้นในหัวใจของพวกเจ้าส่วนใหญ่ พวกเจ้ายังไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้ และอันที่จริงคำพูดเหล่านี้ไม่ได้สร้างความประทับใจในจิตใจของพวกเจ้า  ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเจ้าบางคนได้หมายมั่นที่จะจดจำคำพูดเหล่านี้  การนี้ดีมากและเป็นการเริ่มต้นที่มีความหวังอย่างมาก  เราหวังว่าพวกเจ้าจะครุ่นคิดกันต่อไปและสามัคคีธรรมมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในหัวข้อทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดว่าลุ่มลึก—หรือหัวข้อที่เกินเอื้อมถึงสำหรับพวกเจ้า  สำหรับประเด็นเหล่านั้นที่อยู่เกินเอื้อมสำหรับพวกเจ้า จะมีใครบางคนที่ให้การนำแก่พวกเจ้ามากขึ้น  หากเจ้ามีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมในด้านทั้งหลายที่อยู่ภายในการเอื้อมถึงของพวกเจ้าตอนนี้มากยิ่งขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำพระราชกิจของพระองค์และพวกเจ้าจะได้มามีความเข้าใจยิ่งใหญ่ขึ้น  การเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้าและการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  เราหวังว่าพวกเจ้าจะไม่เพิกเฉยการนี้หรือมองว่ามันเป็นเกม เพราะการรู้จักพระเจ้าเป็นรากฐานความเชื่อของมนุษย์และเป็นกุญแจให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุถึงความรอด  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ยังไม่รู้จักพระองค์ หากพวกเขาเพียงดำรงชีวิตอยู่ในวจนะและคำสอนเท่านั้น ก็จะไม่มีวันเป็นไปได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะบรรลุถึงความรอด ต่อให้พวกเขากระทำและดำรงชีวิตสอดคล้องกับความหมายผิวเผินของความจริงก็ตาม  กล่าวคือ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้จักพระองค์ เช่นนั้นแล้วความเชื่อของเจ้าก็ล้วนสูญเปล่าและไม่มีสิ่งใดที่เป็นความเป็นจริงเลย  เจ้าเข้าใจมิใช่หรือ?  (ใช่ พวกเราเข้าใจ)  การสามัคคีธรรมของพวกเราจะจบลง ณ ที่นี้สำหรับวันนี้

4 มกราคม ค.ศ. 2014

ก่อนหน้า: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

ถัดไป: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger