พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2
พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
บัดนี้เมื่อพวกเจ้าได้ฟังการสามัคคีธรรมก่อนหน้านี้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว เราก็มั่นใจว่าพวกเจ้าย่อมมีวจนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ติดตัวไปเป็นอันมาก ส่วนพวกเจ้าจะสามารถยอมรับ จับใจความ และเข้าใจได้มากเท่าใดนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้าใช้ความมานะพยายามกับมันมากเท่าใด เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมีท่าทีที่จริงจังตั้งใจในเรื่องนี้ พวกเจ้าไม่ควรทำความเข้าใจแบบสุกเอาเผากินแต่อย่างใด! ตอนนี้ การรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าเท่ากับการรู้จักทั้งหมดทั้งปวงของพระเจ้าหรือไม่? คนเราสามารถพูดได้ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือจุดเริ่มต้นของการรู้จักพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ และคนเรายังสามารถพูดได้อีกเช่นกันว่าการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าหมายถึงว่าบุคคลได้ก้าวผ่านประตูของการรู้จักเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์แล้ว ความเข้าใจนี้คือส่วนหนึ่งของการรู้จักพระเจ้า ถ้าเช่นนั้นแล้ว อีกส่วนหนึ่งคืออะไร? นี่คือหัวข้อที่เราต้องการจะสามัคคีธรรมในวันนี้—ซึ่งเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
เราได้เลือกจากพระคัมภีร์มาสองส่วน ซึ่งจะใช้เป็นหัวข้อการสามัคคีธรรมของวันนี้ กล่าวคือ ส่วนแรกเกี่ยวกับการทำลายเมืองโสโดมของพระเจ้า ซึ่งสามารถพบได้ในปฐมกาล 19:1-11 และปฐมกาล 19:24-25 ส่วนที่สองเกี่ยวกับการปลดปล่อยเมืองนีนะเวห์โดยพระเจ้า ซึ่งสามารถพบได้ในโยนาห์ 1:1-2 นอกเหนือจากบทที่สามและสี่ของหนังสือโยนาห์ เราคาดว่าพวกเจ้าทั้งหมดคงกำลังรอที่จะฟังว่าเรามีสิ่งใดจะพูดเกี่ยวกับสองส่วนนี้ โดยธรรมชาติแล้ว สิ่งที่เราพูดไม่สามารถไถลห่างเกินไปจากขอบเขตของการรู้จักพระเจ้าพระองค์เองและการรู้จักเนื้อแท้ของพระองค์ แต่การสามัคคีธรรมของวันนี้จะมุ่งเน้นที่สิ่งใด? มีพวกเจ้าคนใดรู้หรือไม่? ส่วนใดของการสามัคคีธรรมของเราเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่จับความสนใจของพวกเจ้า? เหตุใดเราจึงพูดว่ามีเพียงองค์หนึ่งเดียวผู้ครอบครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนั้นเท่านั้นที่เป็นพระเจ้าพระองค์เอง? เราปรารถนาที่จะชี้แจงสิ่งใดโดยการกล่าวเช่นนั้น? เราปรารถนาให้พวกเจ้าเรียนรู้สิ่งใดจากสิ่งนั้น? สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นแง่มุมหนึ่งของวิธีการแสดงออกถึงเนื้อแท้ของพระองค์หรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อแท้ของพระองค์ ส่วนหนึ่งที่พิสูจน์พระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์หรือไม่? เมื่อตัดสินจากคำถามเหล่านี้แล้ว พวกเจ้าบอกได้หรือไม่ว่าเรากำลังจะพูดอะไร? เราต้องการให้พวกเจ้าเข้าใจสิ่งใด? จงพิจารณาการนี้อย่างรอบคอบ
มนุษย์ถูกทำลายด้วยพระพิโรธของพระเจ้าเพราะต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อรั้น
อันดับแรก พวกเรามาดูที่บทตอนต่างๆ ของคัมภีร์ที่อธิบายการทำลายเมืองโสโดมของพระเจ้ากัน
ปฐมกาล 19:1-11 ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป” ทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงแวะไปกับเขา เข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดงานเลี้ยงท่านทั้งสอง ปิ้งขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ทั้งหมดจากทุกมุมเมืองพากันมาล้อมบ้านนั้นไว้ พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา” โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูเสีย กล่าวว่า “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” แต่พวกนั้นร้องว่า “ถอยไป” และขู่ว่า “เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก” พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู แต่แขกทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอดหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ
ปฐมกาล 19:24-25 แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน
จากบทตอนเหล่านี้ จะมองเห็นได้ไม่ยากว่าความชั่วร้ายและความเสื่อมทรามของเมืองโสโดมได้ไปถึงระดับที่เป็นที่น่าชิงชังสำหรับทั้งมนุษย์และพระเจ้า และเห็นได้ว่าเมืองนี้จึงสมควรถูกทำลายในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่มีอะไรเกิดขึ้นภายในเมืองนี้ก่อนที่เมืองจะถูกทำลาย? ผู้คนสามารถได้แรงบันดาลใจอันใดจากเหตุการณ์เหล่านี้? ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเหตุการณ์เหล่านี้แสดงสิ่งใดให้ผู้คนเห็นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์? เพื่อให้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด พวกเรามาอ่านสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์อย่างละเอียดกัน…
ความเสื่อมทรามของเมืองโสโดม: เป็นที่น่ากราดเกรี้ยวสำหรับมนุษย์ เป็นที่น่าเดือดดาลสำหรับพระเจ้า
ในคืนนั้น โลทได้รับทูตสวรรค์สององค์จากพระเจ้า และได้จัดเตรียมการเลี้ยงอาหารให้กับท่านทั้งสอง หลังจากรับประทานอาหาร ก่อนที่พวกเขาจะนอนลง ผู้คนจากทั่วทั้งเมืองล้อมรอบที่พักของโลทและเรียกเขา คัมภีร์บันทึกว่าพวกเขาพูดว่า “ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา” ใครที่พูดคำพูดเหล่านี้? พวกเขาพูดกับใคร? คำพูดเหล่านี้คือคำพูดของผู้คนเมืองโสโดมที่ตะโกนด้านนอกที่พักของโลท และหมายจะให้โลทได้ยิน การได้ยินคำพูดเหล่านี้ทำให้รู้สึกอย่างไร? เจ้าโกรธหรือไม่? คำพูดเหล่านี้ทำให้เจ้าคลื่นเหียนหรือไม่? ตัวเจ้ากรุ่นไปด้วยความเดือดดาลหรือไม่? คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ส่งกลิ่นของซาตานหรอกหรือ? เจ้าสามารถรับรู้ความเลวและความมืดในเมืองนี้ผ่านทางคำพูดเหล่านี้ได้หรือไม่? เจ้าสามารถรับรู้ความเหี้ยมโหดและความป่าเถื่อนของพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้โดยผ่านทางคำพูดของพวกเขาได้หรือไม่? เจ้าสามารถรับรู้ความลึกของความเสื่อมทรามของพวกเขาโดยผ่านทางพฤติกรรมของพวกเขาได้หรือไม่? ไม่ยากเลยที่จะมองเห็นโดยผ่านทางเนื้อหาคำพูดของพวกเขาว่า ธรรมชาติที่ชั่วร้ายและอุปนิสัยที่ป่าเถื่อนของพวกเขาได้ไปถึงระดับที่เกินการควบคุมของพวกเขาเองเสียแล้ว ทุกๆ ผู้คนในเมืองนี้ยกเว้นโลทไม่ได้แตกต่างไปจากซาตาน แค่มองเห็นบุคคลอื่นก็ทำให้ผู้คนเหล่านี้อยากทำร้ายและเคี้ยวกลืนพวกเขาลงไป… สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้คนเราได้มีสำนึกรับรู้ถึงธรรมชาติที่น่าเกลียดและน่ากลัวของเมืองนี้ ตลอดจนกลิ่นอายของความตายรอบเมืองนี้เท่านั้น แต่ยังให้คนเราได้มีสำนึกรับรู้ถึงความชั่วร้ายและความกระหายเลือดของมันด้วย
ขณะที่โลทพบว่าตัวเขาเองเผชิญหน้ากับกลุ่มคนอันธพาลที่ไร้มนุษยธรรม ผู้คนที่เต็มไปด้วยความอยากอันป่าเถื่อนที่จะกลืนกินดวงจิตของมนุษย์ โลทได้ตอบสนองอย่างไร? ตามคัมภีร์ ความว่า “ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” สิ่งที่โลทหมายถึงจากคำพูดเหล่านี้คือสิ่งนี้ กล่าวคือ เขาเต็มใจที่จะสละลูกสาวสองคนของเขาเพื่อปกป้องทูตสวรรค์ จากการคำนวณอย่างมีเหตุผลทั้งหมดแล้ว ผู้คนเหล่านี้ควรยอมรับเงื่อนไขของโลทและทิ้งทูตสวรรค์สององค์ไว้ลำพัง อย่างไรเสีย ทูตสวรรค์ก็เป็นคนแปลกหน้าอย่างสมบูรณ์สำหรับพวกเขา ผู้คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาโดยสิ้นเชิงและไม่เคยทำความเสียหายต่อผลประโยชน์ของพวกเขา ถึงกระนั้น พวกเขาได้รับการกระตุ้นจากธรรมชาติที่ชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้สงบลง แต่กลับใช้ความมานะพยายามของตนมากยิ่งขึ้นแทน ในที่นี้ การแลกเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งของพวกเขาสามารถให้ผู้คนได้มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงและเลวทรามของผู้คนเหล่านี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะเดียวกัน ยังทำให้ผู้คนสามารถจับใจความและเข้าใจเหตุผลว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรารถนาที่จะทำลายเมืองนี้
ดังนั้นแล้ว พวกเขาพูดสิ่งใดต่อไป? ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “‘ถอยไป’ และขู่ว่า ‘เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก’ พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู” เพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องการพังประตูบ้านของโลท? เหตุผลก็คือว่าพวกเขากระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะทำร้ายทูตสวรรค์สององค์นั้น อะไรที่นำทูตสวรรค์สององค์มาที่เมืองโสโดม? จุดประสงค์ที่ท่านทั้งสองมาที่นั่นคือเพื่อช่วยโลทและครอบครัวของเขาให้รอด แต่ผู้คนในเมืองเข้าใจผิดคิดว่าท่านทั้งสองมาเพื่อเข้ารับตำแหน่งราชการ ผู้คนในเมืองใช้การคาดคะเนเป็นพื้นฐานเพียงอย่างเดียวในความอยากที่จะทำร้ายทูตสวรรค์สององค์นี้อย่างป่าเถื่อนของพวกเขา โดยไม่ถามจุดประสงค์ของทูตสวรรค์ พวกเขาปรารถนาที่จะทำร้ายคนสองคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาเลย เป็นที่ชัดเจนว่าผู้คนในเมืองนี้ได้สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลของพวกเขาไปแล้วโดยสิ้นเชิง ระดับความวิปลาสและความป่าเถื่อนของพวกเขาไม่แตกต่างเสียแล้วจากธรรมชาติที่เลวทรามของซาตานซึ่งมันใช้ทำร้ายและกลืนกินมนุษย์
เมื่อพวกเขาสั่งให้โลทส่งผู้คนเหล่านี้ให้ แล้วโลททำเช่นไร? จากตัวบทนี้ พวกเราทราบว่าโลทไม่ได้ส่งตัวพวกท่านให้ โลทรู้จักทูตสวรรค์ของพระเจ้าสององค์นี้หรือไม่? แน่นอนว่าไม่! แต่กระนั้น เหตุใดเขาจึงสามารถช่วยเหลือท่านทั้งสองนี้ได้? เขารู้หรือไม่ว่าพวกท่านมาเพื่อทำสิ่งใด? ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้เหตุผลที่พวกท่านมา แต่เขาก็รู้ว่าพวกท่านคือผู้รับใช้ของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงนำพวกท่านเข้าไปในบ้านของเขา การที่เขาสามารถเรียกผู้รับใช้ของพระเจ้าเหล่านี้ด้วยคำว่า “เจ้านาย” แสดงให้เห็นว่าโลทเป็นผู้ติดตามพระเจ้าอย่างเป็นนิจศีล ไม่เหมือนกับผู้คนอื่นๆ ในเมืองโสโดม ดังนั้น เมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาหาเขา เขาจึงได้เสี่ยงชีวิตของเขาเองเพื่อรับผู้รับใช้ทั้งสองนี้เข้ามาในบ้านของเขา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเสนอลูกสาวสองคนของเขาเป็นการแลกเปลี่ยนเพื่อปกป้องผู้รับใช้ทั้งสองนี้ด้วยเช่นกัน นี่คือความประพฤติที่ชอบธรรมของโลท เป็นการแสดงออกถึงแก่นแท้ธรรมชาติของโลทที่จับต้องได้ อีกทั้งยังเป็นเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ไปช่วยโลท เมื่อเผชิญกับภัยอันตราย โลทปกป้องผู้รับใช้ทั้งสองนี้โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใด เขายังพยายามแม้กระทั่งจะแลกลูกสาวสองคนของเขากับความปลอดภัยของผู้รับใช้เหล่านี้ นอกเหนือจากโลทแล้ว มีบุคคลอื่นใดภายในเมืองนี้ที่จะกระทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้อีกหรือไม่? ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า—ไม่ ไม่มี! ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าทุกคนภายในเมืองโสโดม ยกเว้นโลท ต่างเป็นเป้าหมายของการทำลาย และเป็นเช่นนั้นอย่างยุติธรรมด้วย—พวกเขาสมควรได้รับมัน
เมืองโสโดมถูกทำลายล้างอย่างวายวอดเพราะล่วงเกินพระพิโรธของพระเจ้า
เมื่อผู้คนจากเมืองโสโดมเห็นผู้รับใช้ทั้งสองนี้ พวกเขาไม่ได้ถามเหตุผลในการมาของพวกท่าน อีกทั้งไม่มีผู้ใดถามว่าพวกท่านมาเพื่อเผยแพร่น้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับรวมตัวกันและมาเพื่อจับผู้รับใช้ทั้งสองนี้ ราวกับสุนัขป่าหรือหมาป่าที่มุ่งร้ายโดยไม่รอคำอธิบายใดๆ พระเจ้าทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ขณะมันเกิดขึ้นหรือไม่? พระเจ้ามีพระดำริอย่างไรในพระทัยของพระองค์เกี่ยวกับพฤติกรรมประเภทนี้ของมนุษย์ เหตุการณ์ประเภทนี้? พระเจ้าได้ตัดสินพระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ พระองค์จะไม่ทรงลังเลหรือรอคอย อีกทั้งจะไม่ทรงแสดงความอดทนใดๆ อีกแล้ว วันของพระองค์ได้มาถึงแล้ว และดังนั้น พระองค์จึงเริ่มต้นพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำ ด้วยเหตุนี้เอง ปฐมกาล 19:24-25 จึงระบุว่า “แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้กำมะถันและไฟจากพระยาห์เวห์ ตกจากฟ้าลงมาบนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ และพระองค์ทรงทำลายล้างเมืองเหล่านั้น ที่ลุ่มทั้งหมด ชาวเมืองทั้งสิ้นและพืชที่งอกบนดิน” สองข้อพระคัมภีร์นี้บอกวิธีที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อทำลายเมืองนี้ อีกทั้งสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงทำลาย ประการแรก พระคัมภีร์บรรยายว่าพระเจ้าทรงเผาเมืองด้วยไฟ และว่าขอบเขตของไฟนี้เพียงพอที่จะทำลายผู้คนทั้งหมดและทั้งหมดที่งอกบนพื้นดิน นั่นจึงกล่าวได้ว่า ไฟซึ่งตกมาจากสวรรค์นี้ไม่เพียงแต่ทำลายเมืองเท่านั้น แต่ยังได้ทำลายผู้คนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดภายในเมืองด้วย จนกระทั่งไม่มีร่องรอยใดๆ เหลืออยู่ หลังจากที่เมืองถูกทำลายไปแล้ว ดินแดนนี้ถูกทิ้งให้สูญสิ้นสิ่งมีชีวิต ไม่มีชีวิตอีกแล้ว อีกทั้งไม่มีสัญญาณของชีวิตใดๆ เลย เมืองได้กลายเป็นดินแดนรกร้าง สถานที่ว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความเงียบเหมือนความตาย จะไม่มีการทำเลวต่อพระเจ้าในสถานที่นี้อีกแล้ว ไม่มีการฆ่าฟันหรือการหลั่งเลือดอีกแล้ว
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ที่จะเผาเมืองนี้ให้สิ้นไปทั้งหมด? พวกเจ้ามองเห็นในที่นี้หรือไม่? พระเจ้าทรงสามารถทนดูมวลมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างของพระองค์เอง ถูกทำลายเช่นนี้ได้จริงๆ หรือ? หากเจ้าสามารถหยั่งรู้โทสะของพระยาห์เวห์พระเจ้าจากไฟที่ถูกโยนลงมาจากสวรรค์ได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่เป็นการยากที่จะมองเห็นว่าความเดือดดาลของพระองค์ใหญ่หลวงเพียงใด เมื่อตัดสินจากเป้าหมายการทำลายของพระองค์และระดับที่เมืองนี้ถูกทำลายล้าง เมื่อพระเจ้าทรงดูหมิ่นเมืองหนึ่ง พระองค์จะทรงส่งการลงโทษของพระองค์มายังเมืองนั้น เมื่อพระเจ้าทรงรังเกียจเมืองหนึ่ง พระองค์จะทรงออกคำเตือนซ้ำๆ เพื่อเตือนผู้คนถึงโทสะของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าตัดสินพระทัยที่จะสิ้นสุดและทำลายเมืองหนึ่ง—นั่นคือ เมื่อพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์ถูกล่วงเกิน—พระองค์จะไม่ประทานการลงโทษหรือคำเตือนใดๆ อีก แต่พระองค์จะทรงทำลายเมืองนั้นโดยตรงแทน พระองค์จะทรงทำให้เมืองนั้นหายไปสิ้น นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
หลังจากที่เมืองโสโดมเป็นปรปักษ์และต้านทานพระองค์ซ้ำๆ พระเจ้าทรงกำจัดมันเสียสิ้น
บัดนี้เมื่อพวกเราได้มีความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว พวกเราอาจกลับไปให้ความสนใจกับเมืองโสโดม—สถานที่ที่พระเจ้าทรงเห็นว่าเป็นเมืองแห่งบาป โดยการทำความเข้าใจกับเนื้อแท้ของเมืองนี้ พวกเราจะสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ที่จะทำลายเมืองนี้ และเหตุใดพระองค์จึงทรงทำลายมันอย่างราบคาบเช่นนั้น จากการนี้ พวกเราสามารถมารู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้
จากมุมมองของมนุษย์ เมืองโสโดมเป็นเมืองที่สามารถตอบสนองความอยากและความเลวของมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ มันยั่วยวนและทำให้เคลิบเคลิ้มด้วยดนตรีและการเต้นรำคืนแล้วคืนเล่า ความรุ่งเรืองของมันขับดันมนุษย์ให้หลงใหลและบ้าคลั่ง ความเลวของมันกัดกร่อนหัวใจของผู้คนและทำให้พวกเขาเคลิบเคลิ้มอยู่ในความชั่วช้า นี่คือเมืองที่บรรดาวิญญาณชั่วและมีมลทินออกอาละวาด มันเต็มไปด้วยบาปและการฆาตกรรม และอากาศก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือดเน่าเหม็น มันคือเมืองที่ทำให้ผู้คนกลัวจนตัวเย็นเฉียบ เมืองที่คนเราจะถอยหนีด้วยความสยดสยอง ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้—ไม่ว่าชายหรือหญิง คนหนุ่มสาวหรือคนแก่—แสวงหาหนทางที่แท้จริง ไม่มีผู้ใดโหยหาความสว่าง หรือถวิลหาที่จะเดินออกจากบาป พวกเขาใช้ชีวิตภายใต้การควบคุมของซาตาน ใต้ความเสื่อมทรามและการหลอกลวงของซาตาน พวกเขาได้สูญเสียสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาได้สูญเสียสำนึกรับรู้ของพวกเขา และพวกเขาได้สูญเสียเป้าหมายในการดำรงอยู่แต่ดั้งเดิมของมนุษย์ไปแล้ว พวกเขาได้กระทำความประพฤติชั่วร้ายนับไม่ถ้วนในการต้านทานพระเจ้า พวกเขาปฏิเสธการทรงนำของพระองค์ และต่อต้านน้ำพระทัยของพระองค์ ความประพฤติชั่วร้ายของพวกเขาคือสิ่งที่นำพาผู้คนเหล่านี้ เมืองนี้ และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างภายในเมืองนี้ลงไปสู่เส้นทางแห่งการทำลายล้างทีละก้าว
ถึงแม้ว่าสองบทตอนนี้ไม่ได้บันทึกรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับขอบเขตความเสื่อมทรามของผู้คนเมืองโสโดม แต่บันทึกการประพฤติของพวกเขาต่อผู้รับใช้สองท่านของพระเจ้าหลังจากที่ผู้รับใช้สองท่านนั้นมาถึงในเมืองแทนก็ตาม แต่นี่ก็คือข้อเท็จจริงง่ายๆ ที่เผยให้เห็นว่าชาวเมืองโสโดมเสื่อมทราม เลว และต้านทานพระเจ้าเพียงใด ด้วยข้อเท็จจริงนี้ ใบหน้าและเนื้อแท้ที่แท้จริงของผู้คนในเมืองก็ถูกเปิดโปงด้วยเช่นกัน ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะยอมรับคำเตือนของพระเจ้า แต่พวกเขายังไม่ยำเกรงต่อการลงโทษของพระองค์ด้วย ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสบประมาทโทสะของพระเจ้า พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอย่างหูหนวกตาบอด ไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดหรือทรงทำสิ่งนั้นอย่างไร ธรรมชาติที่เลวทรามของพวกเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ต่อต้านพระเจ้าซ้ำๆ ผู้คนเมืองโสโดมเป็นปรปักษ์ต่อการดำรงอยู่ของพระเจ้า การเสด็จมาของพระเจ้า การลงโทษของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นปรปักษ์ต่อคำเตือนของพระองค์ พวกเขาช่างโอหังเหลือเกิน พวกเขาเคี้ยวกลืนและทำร้ายผู้คนทุกคนที่สามารถถูกเคี้ยวกินและทำร้ายได้ และพวกเขาปฏิบัติต่อผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างไม่ต่างกัน เมื่อคำนึงถึงความประพฤติชั่วทั้งหมดที่ผู้คนของโสโดมกระทำแล้ว การทำร้ายผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของมันเท่านั้น และดังนั้นธรรมชาติชั่วร้ายของพวกเขาที่ถูกเผยออกมาเมื่อรวมกันแล้วจึงไม่ได้มากไปกว่าหยดน้ำหนึ่งหยดในทะเลอันกว้างใหญ่เลยจริงๆ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเลือกที่จะทำลายพวกเขาด้วยไฟ พระเจ้าไม่ได้ทรงใช้น้ำท่วม อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงใช้เฮอริเคน แผ่นดินไหว สึนามิ หรือวิธีการอื่นใดในการทำลายเมืองนั้น การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองนี้มีนัยสำคัญถึงอะไร? มันหมายถึงการทำลายเมืองนี้อย่างราบคาบ มันหมายถึงว่าเมืองนี้ได้อันตรธานหายไปจากโลกและจากการมีอยู่โดยสิ้นเชิง ในที่นี้ “การทำลายล้าง” ไม่ได้หมายถึงการอันตรธานหายไปของรูปร่างและโครงสร้างหรือการปรากฏภายนอกอื่นๆ ของเมืองนี้เท่านั้น แต่ยังหมายถึงว่าดวงจิตของผู้คนภายในเมืองนี้ก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป โดยได้ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นด้วยเช่นกัน กล่าวอย่างง่ายๆ คือ ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเมืองนี้ได้ถูกทำลาย จะไม่มีชีวิตหน้าหรือการกลับมาเกิดใหม่สำหรับผู้คนในเมืองนั้น พระเจ้าได้ทรงกำจัดพวกเขาออกจากมนุษยชาติที่พระองค์ทรงสร้างไปแล้วชั่วกัลปาวสาน การใช้ไฟมีนัยสำคัญถึงการสิ้นสุดของบาปในสถานที่แห่งนี้ และบาปในที่แห่งนั้นได้ถูกระงับเอาไว้ บาปนี้จะไม่มีอยู่และไม่เผยแพร่อีกต่อไป นี่หมายความว่าความเลวของซาตานได้สูญเสียดินแดนที่คอยบำรุงเลี้ยงมัน รวมทั้งสุสานที่ทำให้มันมีที่อยู่และที่ใช้ชีวิต ในสงครามระหว่างพระเจ้าและซาตาน การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟนั้นคือเครื่องแสดงชัยชนะของพระเจ้าที่ใช้ตีตราซาตานไว้ ความย่อยยับของเมืองโสโดมคือการก้าวพลาดครั้งใหญ่ในความมักใหญ่ใฝ่สูงของซาตานในอันที่จะต่อต้านพระเจ้าโดยการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและกลืนกินมนุษย์ และในทำนองเดียวกันก็เป็นเครื่องบ่งชี้อันน่าเหยียดหยามถึงช่วงเวลาหนึ่งในพัฒนาการของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นเวลาที่มนุษย์ปฏิเสธการทรงนำของพระเจ้าและปล่อยให้ตัวเองถูกความชั่วร้ายครอบงำ ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นบันทึกเกี่ยวกับการเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าที่แท้จริง
เมื่อไฟที่พระเจ้าทรงส่งมาจากสวรรค์ได้เผาทำลายเมืองโสโดมจนไม่เหลือสิ่งใดนอกจากเถ้าถ่าน นั่นหมายความว่าเมืองที่มีชื่อว่า “โสโดม” ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วหลังจากนั้น เช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างภายในเมืองนั้น มันถูกทำลายด้วยโทสะของพระเจ้า อันตรธานหายไปภายในพระพิโรธและพระบารมีของพระเจ้า เนื่องจากพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เมืองโสโดมจึงได้รับการลงโทษที่ยุติธรรมและบทอวสานที่ชอบธรรม การมีอยู่ของเมืองโสโดมถึงกาลอวสานก็เพราะความเลวของมัน และนอกจากนี้ยังเป็นเพราะความพึงปรารถนาของพระเจ้าที่จะไม่มีวันมองดูเมืองนี้ หรือผู้คนใดๆ ที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองนี้ หรือชีวิตใดๆ ที่ได้เติบโตขึ้นภายในเมืองนี้อีก “ความพึงปรารถนาที่จะไม่มีวันมองดูเมืองนี้อีก” ของพระเจ้า คือพระพิโรธของพระองค์และพระบารมีของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงเผาเมืองนี้เพราะความชั่วร้ายและบาปของมันที่เป็นเหตุให้พระองค์กริ้ว รังเกียจ และเกลียดชังมัน และทรงปรารถนาที่จะไม่มองเห็นมันหรือผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ภายในเมืองนั้นอีกเลย ทันทีที่เมืองได้เผาไหม้จนหมดสิ้นเหลือเพียงเถ้าไว้เบื้องหลังแล้ว เมืองนี้ก็ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้วในสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง แม้กระทั่งความทรงจำของพระองค์เกี่ยวกับเมืองนี้ก็ถูกลบหายไปด้วย การนี้หมายความว่า ไฟที่ส่งมาจากสวรรค์ไม่เพียงแต่จะทำลายทั้งเมืองโสโดมเท่านั้น มันไม่เพียงแค่ได้ทำลายผู้คนภายในเมืองที่เต็มไปด้วยบาปอย่างมากเท่านั้น อีกทั้งมันไม่เพียงแค่ได้ทำลายทุกสรรพสิ่งภายในเมืองที่ได้มีมลทินด้วยบาปเท่านั้น นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ไฟยังได้ทำลายความทรงจำที่เป็นความเลวและการต้านทานพระเจ้าของมนุษยชาติอีกด้วย นี่คือจุดประสงค์ของพระเจ้าในการเผาเมืองนี้จนมอด
มนุษยชาตินี้ได้กลายเป็นเสื่อมทรามอย่างสุดขีด ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใด หรือตัวพวกเขาเองได้มาจากที่ใด หากเจ้ากล่าวถึงพระเจ้ากับพวกเขา พวกเขาจะโจมตี ใส่ร้ายป้ายสี และหมิ่นประมาท แม้กระทั่งเมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าได้มาเพื่อเผยแพร่คำเตือนของพระองค์ ผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่แสดงสัญญาณของการกลับใจและไม่เลิกการประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาเท่านั้น แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาได้ทำร้ายผู้รับใช้ของพระเจ้าอย่างไม่เกรงกลัว สิ่งที่พวกเขาแสดงออกและเผยออกมาคือแก่นแท้ธรรมชาติแห่งความเป็นปรปักษ์สุดขีดต่อพระเจ้าของพวกเขา พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าการต้านทานพระเจ้าของผู้คนที่เสื่อมทรามเหล่านี้เป็นมากกว่าการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา เช่นเดียวกับการที่มันเป็นมากกว่าเหตุการณ์ใส่ร้ายป้ายสีหรือเย้ยหยันซึ่งมาจากการขาดพร่องความเข้าใจความจริงแค่นั้น การประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาไม่ได้มีสาเหตุมาจากทั้งความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พวกเขาได้กระทำในหนทางนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ถูกหลอก และแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาได้ถูกทำให้หลงเข้าใจผิด การประพฤติของพวกเขาได้มาถึงระดับของการเป็นปรปักษ์ การต่อต้าน และการแสดงความคิดเห็นต่อต้านพระเจ้าโดยไม่เกรงกลัวอย่างโจ่งแจ้งแล้ว พฤติกรรมของมนุษย์ประเภทนี้จะทำให้พระเจ้าทรงเดือดดาลอย่างไม่มีข้อสงสัย และมันจะทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เดือดดาล—พระอุปนิสัยที่ต้องไม่ได้รับการทำให้ขุ่นเคือง ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์และพระบารมีของพระองค์ออกมาโดยตรงอย่างเปิดเผย นี่คือการเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างแท้จริง เมื่อเผชิญหน้ากับเมืองที่ท่วมท้นไปด้วยบาป พระเจ้าทรงพึงปรารถนาที่จะทำลายมันในลักษณะที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ กำจัดผู้คนภายในเมืองนั้นและทั้งหมดทั้งปวงของบาปของพวกเขาในวิธีที่ครบบริบูรณ์มากที่สุด ทำให้ผู้คนในเมืองนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป และหยุดบาปภายในสถานที่นี้ไม่ให้ทวีคูณขึ้น วิธีที่รวดเร็วที่สุดและครบบริบูรณ์มากที่สุดในการดำเนินการดังกล่าวคือการเผามันให้มอดไหม้ด้วยไฟ ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองโสโดมไม่ใช่ท่าทีของการทิ้งขว้างหรือความเฉยเมย แต่พระองค์ทรงใช้พระพิโรธ พระบารมี และสิทธิอำนาจของพระองค์ในการลงโทษ บดขยี้ และทำลายผู้คนเหล่านี้ให้สิ้นซาก ท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาไม่ใช่ท่าทีของการทำลายล้างทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายล้างดวงจิตซึ่งเป็นการกำจัดชั่วนิรันดร์ด้วยเช่นกัน นี่คือความหมายโดยนัยที่แท้จริงของสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงจากคำว่า “ไม่มีอยู่อีกต่อไป”
ถึงแม้ว่าพระพิโรธของพระเจ้าจะถูกซ่อนเร้นและไม่เป็นที่รับรู้สำหรับมนุษย์ แต่พระพิโรธของพระเจ้าก็ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน
การปฏิบัติของพระเจ้าต่อมนุษยชาติทั้งหมดที่เบาปัญญาและไม่รู้เท่าทันอย่างที่มนุษยชาติเป็นนั้น โดยหลักแล้วมีพื้นฐานอยู่บนความปรานีและการทนยอมรับ ในทางตรงกันข้าม พระพิโรธของพระองค์ได้รับการปกปิดไว้เป็นส่วนใหญ่ในสถานการณ์ส่วนมาก และไม่เป็นที่รับรู้ของมนุษย์ ดังนั้น จึงเป็นการยากที่มนุษย์จะได้เห็นพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ อีกทั้งยังเป็นการยากด้วยเช่นกันที่จะเข้าใจพระพิโรธของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น มนุษย์จึงเห็นพระพิโรธของพระเจ้าเป็นของเล่น เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับพระราชกิจและขั้นตอนสุดท้ายในการทนยอมรับและการอภัยโทษให้มนุษย์ของพระเจ้า—นั่นคือ เมื่อความปรานีครั้งสุดท้ายของพระเจ้าและคำเตือนสุดท้ายของพระองค์มาถึงมวลมนุษย์—หากผู้คนยังคงใช้วิธีการเดียวกันในการต่อต้านพระเจ้าและไม่ได้ใช้ความพยายามใดๆ ในการกลับใจ ในการทำให้วิธีของพวกเขาถูกต้อง และยอมรับความปรานีของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ประทานการทนยอมรับและความอดทนของพระองค์ให้แก่พวกเขาอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าจะทรงถอนความปรานีของพระองค์ในครั้งนี้กลับ หลังจากนี้ พระเจ้าจะเพียงทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไปเท่านั้น พระองค์สามารถแสดงออกถึงพระพิโรธของพระองค์ในหนทางต่างๆ หลายหนทาง เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถใช้วิธีการต่างๆ เพื่อลงโทษและทำลายผู้คน
การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองโสโดมคือวิธีการที่รวดเร็วที่สุดของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษยชาติหรือสิ่งอื่นใดให้สิ้นซาก การเผาผู้คนเมืองโสโดมได้ทำลายมากกว่าร่างกายทางกายภาพของพวกเขา มันได้ทำลายทั้งหมดทั้งปวงของจิตวิญญาณของพวกเขา ดวงจิตของพวกเขา และร่างกายของพวกเขา ซึ่งทำให้แน่ใจว่าผู้คนภายในเมืองจะไม่มีอยู่อีกต่อไปทั้งในโลกวัตถุและโลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์ นี่คือหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเผยและแสดงถึงพระพิโรธของพระองค์ ลักษณะการเผยและการแสดงออกนี้คือแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่ยังเป็นการเผยเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าตามธรรมชาติด้วย เมื่อพระเจ้าทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป พระองค์ทรงหยุดเผยความปรานีหรือความเมตตาใดๆ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงแสดงการทนยอมรับหรือความอดทนใดๆ ของพระองค์อีก ไม่มีบุคคล สิ่งของ หรือเหตุผลใดที่สามารถโน้มน้าวพระองค์ให้ทรงอดทนต่อไป ให้ประทานความปรานีของพระองค์อีกครั้ง ให้ประทานการทนยอมรับของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มาแทนที่สิ่งเหล่านี้โดยปราศจากความลังเลสักชั่วขณะหนึ่ง และทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา พระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่รวดเร็วและหมดจดตามความปรารถนาของพระองค์เอง นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มา ซึ่งมนุษย์ต้องไม่ล่วงเกิน และยังเป็นการแสดงออกถึงแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ด้วยเช่นกัน เมื่อผู้คนเป็นประจักษ์พยานในการที่พระเจ้าทรงแสดงความกังวลและความรักต่อมนุษย์ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะสังเกตพบพระพิโรธของพระองค์ มองเห็นพระบารมีของพระองค์ หรือรู้สึกถึงความไม่ยอมผ่อนปรนที่พระองค์ทรงมีต่อการถูกล่วงเกิน สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเป็นอุปนิสัยแห่งความปรานี การทนยอมรับ และความรักอย่างเดียวเท่านั้นมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนเห็นพระเจ้าทรงทำลายเมืองหรือทรงรังเกียจมนุษยชาติ ความเดือดดาลของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษย์และพระบารมีของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง นี่คือความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินใดๆ นั้นเกินกว่าจินตนาการของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ และท่ามกลางสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกแซงสิ่งนี้หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งนี้ได้ นับประสาอะไรที่สิ่งนี้จะสามารถถูกปลอมแฝงหรือเอาอย่างได้ ด้วยเหตุนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมนี้คือแง่มุมที่มนุษยชาติควรรู้เป็นที่สุด มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีพระอุปนิสัยประเภทนี้ และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ครอบครองพระอุปนิสัยประเภทนี้ พระเจ้าทรงครอบครองพระอุปนิสัยอันชอบธรรมประเภทนี้เพราะพระองค์ทรงรังเกียจความชั่วร้าย ความมืด ความเป็นกบฏ และการกระทำอันเลวของซาตาน—ซึ่งก็คือการทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและกลืนกินมวลมนุษย์—เพราะพระองค์ทรงรังเกียจการทำบาปทั้งปวงซึ่งต่อต้านพระองค์ และเพราะแก่นแท้ของพระองค์นั้นบริสุทธิ์และปราศจากความมัวหมอง เป็นเพราะการนี้นั่นเองพระองค์จึงจะไม่ทรงทนทุกข์กับการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ต่อต้านหรือแข่งขันกับพระองค์อย่างเปิดเผย แม้แต่ผู้ที่พระองค์เคยทรงแสดงความปรานีให้หนึ่งครั้งหรือผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ หากแค่พวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์และฝ่าฝืนหลักธรรมแห่งความอดทนและการทนยอมรับของพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดปล่อยและเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน โดยไม่มีความปรานีหรือการลังเลโดยแม้แต่น้อย
พระพิโรธของพระเจ้าคือการพิทักษ์กำลังบังคับแห่งความยุติธรรมทั้งหมดและสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด
โดยการทำความเข้าใจกับตัวอย่างเหล่านี้ของพระดำรัส พระดำริ และการกระทำของพระเจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระอุปนิสัยที่จะไม่ทนยอมรับการถูกมนุษย์ล่วงเกินได้หรือไม่? กล่าวอย่างสั้นๆ คือ ไม่ว่ามนุษย์สามารถเข้าใจมันได้มากเพียงใดก็ตาม นี่คือแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าพระองค์เอง และเป็นสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ ความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ พระพิโรธของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ พระบารมีของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ หลักธรรมเบื้องหลังโทสะของพระเจ้าคือการแสดงให้เห็นถึงพระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ที่มีพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าหลักธรรมนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของเนื้อแท้ของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เองอีกด้วย พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระองค์เอง ซึ่งไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการเปลี่ยนผันของเวลาเลย อีกทั้งไม่ได้รับการปรับเปลี่ยนจากการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ พระอุปนิสัยประจำพระองค์ของพระองค์คือเนื้อแท้ภายในของพระองค์ ไม่ว่าพระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์กับผู้ใด เนื้อแท้ของพระองค์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อมีผู้ทำให้พระเจ้ากริ้ว สิ่งที่พระเจ้าทรงส่งออกไปคือพระอุปนิสัยประจำพระองค์ ในขณะนี้หลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังโทสะของพระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งพระอัตลักษณ์และสถานะที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย พระองค์ไม่ได้เกิดโทสะเพราะการเปลี่ยนแปลงในเนื้อแท้ของพระองค์ หรือเพราะมีองค์ประกอบที่แตกต่างเกิดขึ้นจากพระอุปนิสัยของพระองค์ แต่เพราะการต่อต้านพระองค์ของมนุษย์ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ การยั่วยุพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัดของมนุษย์คือการท้าทายพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าเองอันร้ายแรง ในทรรศนะของพระเจ้า เมื่อมนุษย์ท้าทายพระองค์ มนุษย์ก็กำลังแข่งขันกับพระองค์และทดลองโทสะของพระองค์ เมื่อมนุษย์ต่อต้านพระเจ้า เมื่อมนุษย์แข่งขันกับพระเจ้า เมื่อมนุษย์ทดลองโทสะของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง—และช่วงเวลาเช่นนั้นคือเวลาที่บาปไร้การควบคุม—พระพิโรธของพระเจ้าจะเผยและแสดงตัวออกมาโดยธรรมชาติ ดังนั้น การแสดงออกของพระเจ้าถึงพระพิโรธของพระองค์จึงเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังบังคับทั้งหมดที่เลวย่อมจะไม่มีอยู่อีกต่อไป และเป็นสัญลักษณ์ว่ากำลังบังคับที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดจะถูกทำลาย นี่คือความเป็นเอกลักษณ์ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และของพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อความทรงเกียรติและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถูกท้าทาย เมื่อกำลังบังคับแห่งความยุติธรรมถูกขัดขวางและมนุษย์มองไม่เห็น เมื่อนั้นพระเจ้าจะส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้า กำลังบังคับทั้งหมดเหล่านั้นบนแผ่นดินโลกที่แข่งขันกับพระเจ้า ต่อต้านพระองค์ และต่อสู้กับพระองค์ จึงเลว เสื่อมทราม และไม่ยุติธรรม สิ่งเหล่านี้มาจากซาตานและเป็นของซาตาน เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรมและทรงมีความสว่างและความบริสุทธิ์อันไร้ที่ติ ดังนั้นทุกสิ่งที่เลว เสื่อมทราม และเป็นของซาตานย่อมจะหายไปเมื่อพระพิโรธของพระเจ้าถูกปลดปล่อยออกมา
ถึงแม้ว่าการแสดงพระพิโรธของพระเจ้าโดยทันทีจะเป็นแง่มุมหนึ่งของการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ แต่โทสะของพระเจ้าก็ใช่ว่าไม่เลือกเป้าหมาย และใช่ว่าปราศจากหลักธรรม ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าไม่ได้ด่วนกริ้วเลย อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงเผยพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์อย่างไม่ใส่พระทัย ยิ่งไปกว่านั้น พระพิโรธของพระเจ้าอยู่ภายใต้การควบคุมและได้รับการไตร่ตรองอย่างรอบคอบอย่างยิ่ง พระพิโรธของพระองค์เทียบไม่ได้กับการที่มนุษย์เกิดความเดือดดาลหรือระบายความโกรธของตัวเองแบบเป็นนิสัยเลย การสนทนามากมายระหว่างมนุษย์และพระเจ้าถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ คำพูดของผู้คนบางคนที่เกี่ยวข้องกับการสนทนาเหล่านั้นตื้นเขิน ไม่รู้เท่าทัน และเหมือนเด็กทารก แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงบดขยี้พวกเขา อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวโทษพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระหว่างการทดสอบของโยบ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเพื่อนสามคนของโยบและคนอื่นๆ อย่างไรหลังจากที่พระองค์ทรงได้ยินคำพูดที่พวกเขาพูดกับโยบ? พระองค์ทรงกล่าวโทษพวกเขาหรือไม่? พระองค์ทรงเดือดดาลกับพวกเขาหรือไม่? พระองค์ไม่ได้ทรงทำอะไรเช่นนั้น! แต่พระองค์กลับทรงบอกโยบให้วอนขอในนามของพวกเขาและอธิษฐานเพื่อพวกเขาแทน และพระเจ้าพระองค์เองไม่ทรงเก็บเอาความผิดพลาดของพวกเขาไปใส่พระทัย เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งหมดแสดงถึงท่าทีที่สำคัญที่สุดที่พระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติต่อมนุษยชาติที่เสื่อมทรามและไม่รู้เท่าทันอย่างที่มนุษย์เป็น ดังนั้น การปลดปล่อยพระพิโรธของพระเจ้าไม่ได้เป็นการแสดงออกถึงอารมณ์ของพระองค์แต่อย่างใด อีกทั้งไม่ใช่วิธีที่พระองค์ทรงใช้ระบายความรู้สึกของพระองค์ พระพิโรธของพระเจ้าไม่ใช่การระเบิดความเดือดดาลออกอย่างหมดสิ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเข้าใจผิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์เนื่องเพราะพระองค์ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของพระองค์เองได้ หรือเพราะโทสะของพระองค์ได้มาถึงจุดเดือดและต้องมีการระบายออก ในทางตรงกันข้าม พระพิโรธของพระองค์คือการเผยให้เห็นและการแสดงออกอย่างจริงแท้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และเป็นการเผยในเชิงสัญลักษณ์ถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นความพิโรธ และพระองค์ไม่ทรงทนยอมรับการล่วงเกิน—นี่ไม่ใช่การกล่าวว่าโทสะของพระเจ้าไม่แยกแยะสาเหตุหรือไม่มีหลักการ มนุษยชาติที่เสื่อมทรามนั่นเองที่ถือสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการระเบิดความเดือดดาลอย่างไร้หลักการตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นความเดือดดาลประเภทที่ไม่แยกแยะสาเหตุ ทันทีที่มนุษย์มีสถานะ เขามักจะพบว่าการควบคุมอารมณ์ของเขาเป็นเรื่องยาก และดังนั้นเขาจะสุขสำราญกับการฉวยโอกาสที่จะแสดงความไม่พอใจและระบายอารมณ์ของเขา เขามักจะเกิดความเดือดดาลโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพื่อเผยความสามารถของเขา และให้คนอื่นรู้ว่าสถานะและอัตลักษณ์ของเขาแตกต่างจากสถานะและอัตลักษณ์ของผู้คนธรรมดา แน่นอนว่าผู้คนที่เสื่อมทรามที่ปราศจากสถานะใดๆ ก็มักจะสูญเสียการควบคุมด้วยเช่นกัน บ่อยครั้งที่ความโกรธของพวกเขาเกิดจากความเสียหายต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาจะระบายอารมณ์ของตนและความโอหังของพวกเขาบ่อยครั้งเพื่อปกป้องสถานะและศักดิ์ศรีของพวกเขาเอง มนุษย์จะบันดาลโทสะและระบายอารมณ์ของตนเพื่อปกป้องและสนับสนุนการมีอยู่ของบาป และการกระทำเหล่านี้คือวิธีที่มนุษย์ใช้แสดงความไม่พอใจของเขา พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกลอุบายและเล่ห์กล เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและความเลวของมนุษย์ และเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาเต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากที่บ้าคลั่งของมนุษย์ เมื่อความยุติธรรมปะทะกับความชั่วร้าย ความโกรธของมนุษย์จะไม่ปะทุขึ้นเพื่อปกป้องการมีอยู่ของความยุติธรรมหรือสนับสนุนความยุติธรรม ในทางตรงกันข้าม เมื่อกำลังบังคับแห่งความยุติธรรมถูกคุกคาม ถูกข่มเหง และถูกโจมตี ท่าทีที่มนุษย์มีคือท่าทีที่เมินเฉย หลบเลี่ยง หรือถอยหนี อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากำลังบังคับแห่งความเลว ท่าทีที่มนุษย์มีคือท่าทีของการโอนอ่อนผ่อนตาม ว่าง่ายและยอมรับใช้ ดังนั้น การระบายอารมณ์ของมนุษย์จึงเป็นทางหนีของกำลังบังคับแห่งความเลว แสดงออกถึงการประพฤติตนเลวที่ไร้การควบคุมและหยุดไม่ได้ของมนุษย์ที่มีเนื้อหนัง อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกไป กำลังบังคับที่เลวทั้งหมดจะถูกหยุดยั้ง บาปทั้งหมดที่ทำร้ายมนุษย์จะถูกระงับ กำลังบังคับที่เป็นปรปักษ์ทั้งหมดที่ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าจะถูกทำให้เห็นชัดเจน ถูกแยกออกมาต่างหาก และถูกสาปแช่ง ในขณะที่ผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตานทั้งหมดที่ต่อต้านพระเจ้าจะถูกลงโทษและถอนรากถอนโคน แทนที่สิ่งเหล่านั้น พระราชกิจของพระเจ้าจะดำเนินไปโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าจะพัฒนาต่อไปทีละขั้นตอนตามกำหนดการ และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่ถูกซาตานก่อกวนและชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป ในขณะที่บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าจะชื่นชมการเป็นผู้นำและการจัดเตรียมของพระเจ้าท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่สงบเงียบและสงบสุข พระพิโรธของพระเจ้าคือการพิทักษ์ที่ป้องกันไม่ให้กำลังบังคับที่เลวทั้งหมดเพิ่มจำนวนและออกอาละวาด และยังเป็นการพิทักษ์ที่ปกป้องการมีอยู่และการแพร่พันธุ์ของทุกสรรพสิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวก และคุ้มกันสิ่งเหล่านั้นจากการปราบปรามและการบ่อนทำลายชั่วนิรันดร์
พวกเจ้าสามารถมองเห็นเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้าในการทำลายเมืองโสโดมของพระองค์ได้หรือไม่? มีสิ่งอื่นใดที่ผสมปนเปอยู่ภายในความเดือดดาลของพระองค์หรือไม่? ความเดือดดาลของพระเจ้าบริสุทธิ์หรือไม่? หากพูดตามภาษามนุษย์ พระพิโรธของพระเจ้าไม่มีสิ่งเจือปนใช่หรือไม่? มีมารยาเสแสร้งใดๆ อยู่เบื้องหลังพระพิโรธของพระองค์หรือไม่? มีการสมคบคิดใดๆ หรือไม่? มีความลับที่พูดไม่ได้ใดๆ หรือไม่? เราสามารถบอกพวกเจ้าได้อย่างเด็ดขาดและเอาจริงเอาจังว่า ไม่มีส่วนใดในพระพิโรธของพระเจ้าที่สามารถทำให้คนเราเกิดความสงสัยได้ โทสะของพระองค์คือโทสะที่บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่ได้เก็บงำเจตนารมณ์หรือเป้าหมายอื่นไว้เลย เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังโทสะของพระองค์เป็นเหตุผลที่บริสุทธิ์ ไร้การกล่าวโทษ และอยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ โทสะของพระองค์คือการเผยและการแสดงให้เห็นเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระองค์อย่างเป็นธรรมชาติ นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมี นี่คือส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า และยังเป็นความแตกต่างที่โดดเด่นระหว่างเนื้อแท้จำเพาะของพระผู้สร้างกับของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง
ไม่ว่าคนหนึ่งจะโกรธขึ้นมาต่อหน้าผู้อื่นหรือลับหลังพวกเขา ทุกคนมีเจตนาและจุดประสงค์ที่แตกต่างกันในความโกรธของพวกเขา บางทีพวกเขากำลังสร้างบารมีของพวกเขาอยู่ หรือบางทีพวกเขากำลังป้องกันผลประโยชน์ของพวกเขาเอง รักษาภาพลักษณ์ของพวกเขา หรือรักษาหน้า บางคนใช้ความยับยั้งชั่งใจในความโกรธของตน ในขณะที่คนอื่นๆ หุนหันพลันแล่นมากกว่าและปล่อยให้ความเดือดดาลปะทุขึ้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาปรารถนาโดยไม่มีความยับยั้งชั่งใจเลยแม้แต่น้อย กล่าวอย่างสั้นๆ คือ ความโกรธของมนุษย์มาจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขา ไม่สำคัญว่าความโกรธนั้นจะมีจุดประสงค์ใดก็ตาม ความโกรธนั้นก็เป็นของเนื้อหนังและของธรรมชาติ ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับความยุติธรรมหรือความอยุติธรรมเพราะไม่มีสิ่งใดในแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ที่สอดคล้องกับความจริง ดังนั้น อารมณ์ของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามและพระพิโรธของพระเจ้าไม่อาจได้รับการกล่าวถึงในขณะเดียวกันได้ พฤติกรรมของมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามเริ่มต้นด้วยความอยากที่จะพิทักษ์ความเสื่อมทรามโดยไม่มีข้อยกเว้น และมันมีพื้นฐานมาจากความเสื่อมทรามอย่างแท้จริง นี่คือเหตุผลว่าทำไมความโกรธของมนุษย์จึงไม่สามารถได้รับการกล่าวถึงในขณะเดียวกันกับพระพิโรธของพระเจ้าได้ ไม่สำคัญว่าความโกรธของมนุษย์อาจดูถูกต้องเหมาะสมในทางทฤษฎีเพียงใดก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความเดือดดาลของพระองค์ออกไป กำลังบังคับอันเลวจะถูกยับยั้งและสิ่งที่เลวทั้งหลายย่อมจะถูกทำลาย ในขณะที่สิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวกจะมาชื่นชมการใส่พระทัยและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า และได้รับอนุญาตให้ดำเนินต่อไปได้ พระเจ้าปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์เพราะสิ่งที่อยุติธรรม เป็นลบ และเลว คอยขัดขวาง รบกวน หรือทำลายกิจกรรมและพัฒนาการที่ปกติของสิ่งทั้งหลายที่ยุติธรรมและเป็นบวก เป้าหมายของโทสะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อพิทักษ์สภาวะและพระอัตลักษณ์ของพระองค์เอง แต่เพื่อพิทักษ์การดำรงอยู่ของสิ่งที่ยุติธรรม เป็นบวก สวยงาม และดี เพื่อพิทักษ์ธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่รอดโดยปกติของมนุษยชาติ นี่คือสาเหตุที่เป็นรากเหง้าของพระพิโรธของพระเจ้า ความเดือดดาลของพระเจ้าคือการเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นธรรมชาติ และแท้จริงอย่างยิ่ง ในความเดือดดาลของพระองค์ไม่มีแรงจูงใจแอบแฝง อีกทั้งไม่มีความหลอกลวงหรือการคิดแผนการ นับประสาอะไรที่จะมีความอยากได้อยากมี ความมีเล่ห์เหลี่ยม ความมุ่งร้าย ความรุนแรง ความเลว หรือลักษณะอื่นใดที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามมีร่วมกัน ก่อนที่พระเจ้าจะทรงปลดปล่อยความเดือดดาลของพระองค์ออกไป พระองค์ได้ทรงล่วงรู้แก่นแท้ของทุกเรื่องอย่างชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งแล้ว และพระองค์ได้ทรงกำหนดคำจำกัดความและข้อสรุปที่ถูกต้องแม่นยำและชัดเจนแล้ว ดังนั้น วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง เช่นเดียวกับท่าทีของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงสับสนปนเป หูหนวกตาบอด หุนหันพลันแล่น หรือไม่ระมัดระวัง และพระองค์ไม่ได้ทรงขาดหลักการอย่างแน่นอน นี่คือแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้า และมวลมนุษย์ได้บรรลุการดำรงอยู่ที่ปกติก็เพราะแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระพิโรธของพระเจ้านี้นั่นเอง หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า มนุษยชาติคงจะลงมาสู่สภาวะการใช้ชีวิตที่ผิดปกติ และทุกสรรพสิ่งที่ยุติธรรม สวยงาม และดีงามจะถูกทำลายและไม่มีอยู่อีกต่อไป หากปราศจากพระพิโรธของพระเจ้า ธรรมบัญญัติและกฎการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างจะถูกทำลาย หรือแม้กระทั่งถูกล้มล้างอย่างสมบูรณ์ นับตั้งแต่การทรงสร้างมนุษย์ พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่องเพื่อพิทักษ์และค้ำชูการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ เพราะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์กอปรด้วยพระพิโรธและพระบารมี ผู้คน สิ่งของ และวัตถุทั้งหมดที่เลว และทุกสรรพสิ่งที่รบกวนและทำความเสียหายต่อการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษย์จึงถูกลงโทษ ควบคุม และทำลายเนื่องจากพระพิโรธของพระองค์ ในช่วงระยะเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา พระเจ้าทรงใช้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อบดขยี้และทำลายบรรดาวิญญาณชั่วและมีมลทินทุกประเภทที่ต่อต้านพระเจ้าและกระทำการเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและข้ารับใช้ของซาตานในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้า ดังนั้น พระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รุดหน้าไปตามแผนของพระองค์อยู่เสมอ นี่จึงกล่าวได้ว่า เนื่องจากการมีอยู่ของพระพิโรธของพระเจ้า ความถูกต้องชอบธรรมที่สุดในหมู่มวลมนุษย์จึงไม่เคยถูกทำลาย
ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว แน่นอนว่าพวกเจ้าต้องมีความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นไปอีกว่าจะดูความเลวของซาตานออกได้อย่างไร!
ถึงแม้ซาตานจะดูมีมนุษยธรรม ยุติธรรม และมีคุณธรรม แต่เนื้อแท้ของซาตานนั้นโหดร้ายและเลว
ซาตานสร้างชื่อเสียงของมันผ่านทางการหลอกลวงผู้คน และมักจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำและแบบอย่างของความยุติธรรม ภายใต้การเสแสร้งเทียมเท็จว่ากำลังพิทักษ์ความยุติธรรม มันทำร้ายผู้คน กลืนกินดวงจิตของพวกเขา และใช้วิถีทางทุกประเภทเพื่อทำให้มนุษย์ด้านชา ยุยงและชักพาให้มนุษย์หลงผิด เป้าหมายของมันคือการทำให้มนุษย์เห็นชอบและเห็นพ้องกับการประพฤติเลวของมัน เพื่อทำให้มนุษย์เข้าร่วมกับมันในการต่อต้านสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเรามองทะลุกลอุบายและแผนร้ายของมัน และมองทะลุลักษณะเฉพาะที่เลวทรามของมัน และเมื่อคนเราไม่ปรารถนาที่จะถูกมันเหยียบย่ำและถูกมันหลอกลวง หรือที่จะทำงานเป็นทาสเพื่อมันต่อไป หรือที่จะถูกลงโทษและถูกทำลายเคียงข้างมัน เมื่อนั้นซาตานก็จะเปลี่ยนลักษณะเฉพาะราววิสุทธิชนก่อนหน้านี้ของมัน และฉีกหน้ากากจอมปลอมเพื่อเผยใบหน้าที่แท้จริงของมัน ซึ่งเลว ต่ำทราม น่าเกลียด และป่าเถื่อน มันรักแต่จะทำลายทุกคนที่ไม่ยอมติดตามมันและต่อต้านกำลังบังคับอันเลวของมันให้สิ้นไปเท่านั้น ณ จุดนี้ ซาตานไม่สามารถสวมรูปลักษณ์ที่น่าไว้วางใจและเป็นสุภาพบุรุษได้อีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ลักษณะเฉพาะอันแท้จริงที่น่าเกลียดและชั่วร้ายของมันกลับถูกเผยออกมาภายใต้คราบคนดีแทน ทันทีที่กลอุบายของซาตานถูกตีแผ่ออกมาและลักษณะเฉพาะที่แท้จริงของมันถูกเปิดโปง มันจะระเบิดความเดือดดาลโดยฉับพลันและแสดงความป่าเถื่อนของมันออกมา หลังจากนี้ ความอยากทำร้ายและกลืนกินผู้คนของมันมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้น การที่มนุษย์ตื่นรู้ความจริงทำให้มันเดือดดาล แล้วมันก็บังเกิดความเกลียดชังและความอาฆาตแค้นอย่างแรงกล้าต่อมนุษย์เพราะพวกเขาใฝ่หาอิสรภาพและความสว่าง และต้องการหลุดพ้นไปจากคุกของมัน ความเดือดดาลของมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องและค้ำจุนความเลวของมัน และยังเป็นการเผยถึงธรรมชาติที่ป่าเถื่อนของมันอย่างแท้จริง
ในทุกๆ เรื่อง พฤติกรรมของซาตานย่อมเปิดโปงธรรมชาติที่เลวของมัน ในบรรดาการทำเลวทั้งหมดที่ซาตานลงมือกับมนุษย์—ตั้งแต่ความพยายามในช่วงแรกๆ ที่จะชักพาให้มนุษย์หลงติดตามมัน ไปจนถึงการใช้ประโยชน์จากมนุษย์โดยฉุดลากมนุษย์เข้าสู่การทำเลวตามมัน ไปจนถึงการอาฆาตแค้นมนุษย์หลังจากที่ลักษณะที่แท้จริงของมันถูกเปิดโปงและมนุษย์ได้รับรู้และละทิ้งมันไปแล้ว—การกระทำเหล่านี้ไม่มีสักอย่างเดียวที่ไม่เปิดโปงเนื้อแท้อันเลวของซาตาน หรือไม่พิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ว่าซาตานไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับสิ่งที่เป็นบวกเลย มันคือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งที่เลว ทุกการกระทำของมันล้วนปกป้องความเลวของมันเอง รักษาความต่อเนื่องของการทำเลวของมัน ต่อต้านสิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวกทั้งหลาย และทำลายธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ การกระทำเหล่านี้ของซาตานเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า และพวกมันจะถูกทำลายด้วยพระพิโรธของพระเจ้า ถึงแม้ว่าซาตานจะมีความเดือดดาลของมันเอง แต่ความเดือดดาลของมันก็เป็นเพียงวิธีพรั่งพรูธรรมชาติอันเลวของมันออกมา เหตุผลที่ว่าทำไมซาตานจึงฉุนเฉียวและโกรธเกรี้ยวนั้นเป็นเพราะว่า กลอุบายที่ไม่สามารถบรรยายได้ของมันได้ถูกเปิดโปงแล้ว แผนร้ายของมันไม่ได้รอดพ้นไปง่ายๆ ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากอันบ้าคลั่งของมันที่จะแทนที่พระเจ้าและทำตัวเป็นพระเจ้าได้ถูกบดขยี้และสกัดกั้น และเป้าหมายของมันที่จะควบคุมมนุษยชาติทั้งหมดตอนนี้ไม่เป็นผลแล้วและไม่มีวันสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ สิ่งที่หยุดแผนร้ายของซาตานไม่ให้เกิดผลและยับยั้งไม่ให้ความเลวของซาตานแพร่กระจายและอาละวาดก็คือการที่พระเจ้าทรงเรียกใช้พระพิโรธของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยเหตุผลนี้ ซาตานจึงทั้งเกลียดชังและยำเกรงพระพิโรธของพระเจ้า ในแต่ละครั้งที่พระพิโรธของพระเจ้าเคลื่อนลงมา พระพิโรธของพระองค์ไม่เพียงแต่เปิดหน้ากากของรูปลักษณ์เลวทรามที่แท้จริงของซาตานเท่านั้น แต่ยังเปิดโปงความอยากได้อยากมีอันเลวที่ซาตานมีต่อความสว่างด้วย และในกระบวนการนั้น เหตุผลที่ซาตานมีความเดือดดาลต่อมนุษยชาติก็ถูกตีแผ่ การระเบิดความเดือดดาลของซาตานคือการเผยธรรมชาติอันเลวของมันออกมาอย่างแท้จริง และเป็นการเปิดโปงกลอุบายของมัน แน่นอนว่าทุกครั้งที่ซาตานเดือดดาลก็คือการป่าวประกาศว่าการทำลายล้างสิ่งที่เลวทั้งหลายคืบคลานเข้ามาแล้ว รวมทั้งการปกป้องสิ่งที่เป็นบวกและทำให้สิ่งที่เป็นบวกดำเนินต่อไป เป็นการป่าวประกาศความจริงที่ว่าพระพิโรธของพระเจ้าไม่สามารถถูกล่วงเกินได้!
คนเราต้องไม่อาศัยประสบการณ์และจินตนาการเพื่อรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า
เมื่อเจ้าพบว่าตัวเจ้าเองกำลังเผชิญกับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เจ้าจะพูดหรือไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีสิ่งเจือปน? เจ้าจะพูดหรือไม่ว่ามีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังความเดือดดาลของพระเจ้า และว่าความเดือดดาลของพระเจ้ามีสิ่งเจือปน? เจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าโดยกล่าวว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่จำเป็นต้องชอบธรรมไปเสียทั้งหมดเสมอไปหรือไม่? เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระทำแต่ละอย่างของพระเจ้า เจ้าต้องมั่นใจเสียก่อนว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นปราศจากองค์ประกอบอื่นใด ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์บริสุทธิ์และไม่มีที่ติ การกระทำเหล่านี้รวมถึงการที่พระเจ้าทรงบดขยี้ ลงโทษ และทำลายล้างมนุษยชาติ ทุกๆ การกระทำของพระเจ้าได้รับการดำเนินการโดยสอดคล้องกับอุปนิสัยโดยเนื้อแท้ของพระองค์และแผนของพระองค์อย่างเข้มงวด และไม่รวมถึงส่วนเสี้ยวใดๆ ของความรู้ ธรรมเนียมประเพณี และปรัชญาของมนุษยชาติ ทุกๆ การกระทำของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ ซึ่งไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งใดก็ตามที่เป็นของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม มวลมนุษย์มีมโนคติที่หลงผิดว่ามีเพียงความรัก ความปรานี และการทนยอมรับของพระเจ้าต่อมนุษยชาติเท่านั้นที่ไม่มีที่ติ ไม่มีสิ่งเจือปน และศักดิ์สิทธิ์ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าความเดือดดาลของพระเจ้าและพระพิโรธของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งเจือปนเฉกเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ใคร่ครวญคำถามทั้งหลาย เช่น เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงทนยอมรับการล่วงเกิน หรือเหตุใดความเดือดดาลของพระเจ้าจึงยิ่งใหญ่นัก ในทางตรงกันข้าม บางคนสำคัญผิดว่าพระพิโรธของพระเจ้ามาจากอารมณ์ที่ไม่ดี ดังเช่น อารมณ์ของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม และเข้าใจผิดว่าโทสะของพระเจ้าเป็นความเดือดดาลแบบเดียวกันกับความโกรธของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม พวกเขาถึงขั้นตั้งสมมุติฐานอย่างผิดๆ ว่าความเดือดดาลของพระเจ้าเป็นเหมือนกับการเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติตามธรรมชาติ และว่าการส่งพระพิโรธของพระเจ้าออกมาก็แค่เป็นเหมือนกับความโกรธของผู้คนที่เสื่อมทรามเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่มีความสุขบางอย่าง และเชื่อว่าการปล่อยพระพิโรธของพระเจ้าคือการแสดงออกถึงอารมณ์ของพระองค์ หลังจากการสามัคคีธรรมนี้ เราหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะไม่มีแนวคิดที่ผิด การจินตนาการ หรือการคาดคะเนใดๆ เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอีกต่อไป หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของเรา เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมีการระลึกรู้ที่แท้จริงในหัวใจของพวกเจ้าได้ถึงพระพิโรธแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถละวางความเข้าใจอันคลาดเคลื่อนที่เคยมีในพระพิโรธของพระเจ้าลงได้ และหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงการเชื่อและทรรศนะผิดๆ ของเจ้าเองเกี่ยวกับเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถมีคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะไม่มีความสงสัยใดๆ เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอีกต่อไป และหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ยัดเยียดการใช้เหตุผลหรือการจินตนาการแบบมนุษย์ใดๆ ให้กับพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าคือเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้าเอง พระอุปนิสัยนี้ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์เขียนขึ้นหรือก่อให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก็คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ และไม่มีความสัมพันธ์หรือความเชื่อมโยงกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ พระเจ้าพระองค์เองก็คือพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์จะไม่มีวันกลายเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และแม้ว่าพระองค์ทรงกลายเป็นสมาชิกหนึ่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระอุปนิสัยและเนื้อแท้ภายในของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้น การรู้จักพระเจ้าจึงไม่ใช่แบบเดียวกับการรู้จักวัตถุ การรู้จักพระเจ้าไม่ใช่การชำแหละบางสิ่งบางอย่าง อีกทั้งยังไม่ใช่แบบเดียวกับการทำความเข้าใจบุคคลหนึ่ง หากมนุษย์ใช้มโนทัศน์หรือวิธีการทำความรู้จักวัตถุหรือทำความเข้าใจบุคคลของตน มาทำความรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีวันสามารถบรรลุถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า การรู้จักพระเจ้าไม่ได้อาศัยประสบการณ์หรือจินตนาการ และดังนั้นเจ้าต้องไม่ยัดเยียดใช้ประสบการณ์หรือจินตนาการของเจ้ากับพระเจ้าโดยเด็ดขาด ไม่ว่าประสบการณ์และจินตนาการของเจ้าอาจมากมายเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นยังคงมีข้อจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น จินตนาการของเจ้าไม่ได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง แล้วนับประสาอะไรที่จะสอดคล้องกับความจริง และจินตนาการของเจ้าไม่เข้ากันกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ที่แท้จริงของพระเจ้า เจ้าจะไม่มีวันประสบความสำเร็จหากเจ้าอาศัยจินตนาการของเจ้าในการทำความเข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า นี่เป็นเส้นทางเดียว กล่าวคือ ยอมรับทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้า จากนั้นค่อยๆ รับประสบการณ์และทำความเข้าใจมัน จะมีวันหนึ่งที่พระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้าเพื่อที่จะเข้าใจและรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง เนื่องเพราะการให้ความร่วมมือของเจ้า และเนื่องเพราะความหิวและความกระหายความจริงของเจ้า และด้วยเหตุนี้ พวกเรามาสรุปการสนทนาในส่วนนี้ของพวกเรากันเถิด
มนุษยชาติได้รับความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้าโดยผ่านทางการกลับใจที่จริงใจ
ต่อไปนี้คือเรื่องราวตามพระคัมภีร์เกี่ยวกับ “ความรอดของพระเจ้าของเมืองนีนะเวห์”
โยนาห์ 1:1-2 พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์ บุตรอามิททัยว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เพราะความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว”
โยนาห์ 3 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และจงประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า” ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า “โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ ใครจะรู้ได้? พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่พินาศ” เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา
โยนาห์ 4 แต่เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ ท่านจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? นี่เป็นเหตุให้ข้าพระองค์รีบหนีไปเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และพระกรุณา กริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้น เวลานี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีแล้วหรือ?” แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกเมือง นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้สำหรับตัวท่านเองที่นั่น ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเมืองนั้น และพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อบรรเทาความร้อนรุ่ม ดังนั้นโยนาห์จึงมีความยินดีอย่างยิ่งเรื่องต้นละหุ่งนั้น แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไป และท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า “ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่” แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีแล้วหรือ?” ท่านทูลว่า “ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า” “จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า เจ้ามีความสงสารต่อต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน: แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?”
สรุปเรื่องราวของเมืองนีนะเวห์
ถึงแม้ว่าเรื่องราว “ความรอดแห่งเมืองนีนะเวห์ของพระเจ้า” มีความยาวแบบสรุป แต่ก็ทำให้คนเราสามารถมองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เพื่อให้เข้าใจอย่างแน่ชัดว่าด้านนั้นประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง พวกเราต้องกลับไปยังคัมภีร์และทบทวนหนึ่งในการกระทำของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงดำเนินการในกระบวนการทรงพระราชกิจของพระองค์
พวกเรามาดูที่ตอนเริ่มต้นของเรื่องราวนี้กัน: “พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์ บุตรอามิททัยว่า ‘จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เพราะความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว’” (โยนาห์ 1:1-2) ในบทตอนนี้จากคัมภีร์ พวกเรารู้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้ามีพระบัญชาให้โยนาห์ไปที่เมืองนีนะเวห์ เหตุใดพระองค์จึงมีพระบัญชาให้โยนาห์ไปที่เมืองนี้? พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน กล่าวคือ ความชั่วร้ายของผู้คนภายในเมืองนี้ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า และดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงส่งโยนาห์มาประกาศกับพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำ ในขณะที่ไม่มีการบันทึกถึงสิ่งใดที่บอกพวกเราว่าโยนาห์เป็นใคร แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวโยงกับการรู้จักพระเจ้า และดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องเข้าใจโยนาห์ผู้นี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องรู้เพียงว่าพระเจ้าได้มีพระบัญชาให้โยนาห์ทำสิ่งใด และเหตุผลของพระเจ้าในการกระทำดังกล่าวคืออะไร
คำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้าไปถึงชาวนีนะเวห์
พวกเรามาอ่านต่อไปในบทตอนที่สองกันเถิด ซึ่งเป็นบทที่สามของหนังสือโยนาห์ ความว่า “โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า ‘อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย’” เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าทรงถ่ายทอดให้กับโยนาห์โดยตรงเพื่อบอกต่อชาวนีนะเวห์ ดังนั้น แน่นอนว่าพระวจนะเหล่านี้จึงเป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ทรงปรารถนาที่จะตรัสต่อชาวนีนะเวห์ พระวจนะเหล่านี้บอกผู้คนว่าพระเจ้าได้ทรงเริ่มชิงชังและเกลียดผู้คนในเมืองนี้ เพราะความชั่วร้ายของพวกเขาได้มาอยู่เฉพาะสายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์ และดังนั้นพระองค์จึงทรงปรารถนาที่จะทำลายเมืองนี้ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พระเจ้าจะได้ทรงทำลายเมืองนี้ พระองค์จะทรงทำการประกาศต่อชาวนีนะเวห์ และในขณะเดียวกันก็ประทานโอกาสให้พวกเขาได้กลับใจจากความชั่วร้ายของพวกเขาและเริ่มต้นใหม่ โอกาสนี้ดำเนินอยู่สี่สิบวัน และไม่นานไปกว่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากผู้คนภายในเมืองไม่กลับใจ ยอมรับบาปของพวกเขา และหมอบราบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าภายในสี่สิบวัน พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนี้เช่นเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงทำลายเมืองโสโดมไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะบอกผู้คนในเมืองนีนะเวห์ เป็นที่ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่แค่ถ้อยแถลงธรรมดาๆ ถ้อยแถลงนี้ไม่เพียงสื่อถึงโทสะของพระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงท่าทีของพระองค์ต่อชาวนีนะเวห์ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นคำเตือนอย่างจริงจังต่อผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในเมืองด้วย คำเตือนนี้บอกพวกเขาว่าการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้ทำให้พวกเขาได้รับความเกลียดชังจากพระยาห์เวห์พระเจ้าแล้ว และจะนำพวกเขาไปถึงปากขอบแห่งการทำลายล้างพวกเขาเองในไม่ช้า ดังนั้น ชีวิตของผู้อาศัยทุกคนในเมืองนีนะเวห์จึงอยู่ในภยันตรายที่จวนตัว
ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างปฏิกิริยาของเมืองนีนะเวห์และเมืองโสโดมต่อคำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้า
การถูกทำลายหมายถึงอะไร? ในภาษาพูด มันหมายถึงการไม่มีอยู่อีกต่อไป แต่ในลักษณะเช่นใดเล่า? ใครที่สามารถทำลายทั้งเมืองได้? แน่นอนว่าการกระทำเช่นนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ ผู้คนเมืองนีนะเวห์ไม่ใช่คนโง่เขลา ทันทีที่พวกเขาได้ยินการกล่าวประกาศนี้ พวกเขาก็เกิดแนวคิดขึ้น พวกเขารู้ว่าการกล่าวประกาศได้มาจากพระเจ้าแล้ว พวกเขารู้ว่าพระเจ้ากำลังจะทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ และพวกเขารู้ว่าความชั่วร้ายของพวกเขาได้ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเดือดดาลและนำโทสะของพระองค์ลงมายังพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะถูกทำลายไปพร้อมกับเมืองของพวกเขาในไม่ช้า แล้วผู้คนในเมืองประพฤติอย่างไรหลังจากที่ได้ยินคำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้า? พระคัมภีร์อธิบายในรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงว่าผู้คนมีปฏิกิริยาอย่างไร ตั้งแต่กษัตริย์ลงมาจนถึงสามัญชน ในคัมภีร์มีการบันทึกพระวจนะต่อไปนี้ ความว่า “คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า ‘โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ…’” (โยนาห์ 3:5-9)
หลังจากที่ได้ยินการกล่าวประกาศของพระยาห์เวห์พระเจ้าแล้ว ผู้คนเมืองนีนะเวห์ก็แสดงท่าทีที่ตรงกันข้ามกับท่าทีของผู้คนเมืองโสโดมโดยสิ้นเชิง—ในขณะที่ผู้คนเมืองโสโดมต่อต้านพระเจ้าอย่างเปิดเผย โดยทำความชั่วต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านี้แล้ว ผู้คนเมืองนีนะเวห์ไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ต้านทาน พวกเขากลับเชื่อพระเจ้าและแถลงเรื่องการอดอาหารแทน คำว่า “เชื่อ” ในที่นี้หมายถึงอะไร? คำนี้ชี้แนะโดยตัวมันเองถึงความเชื่อและการนบนอบ หากพวกเราใช้พฤติกรรมจริงๆ ของชาวนีนะเวห์มาอธิบายคำนี้ คำนี้หมายถึงว่าพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถและจะทรงทำอย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ และหมายถึงว่าพวกเขาเต็มใจที่จะกลับใจ ผู้คนเมืองนีนะเวห์รู้สึกกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับความวิบัติที่จวนเจียนจะเกิดขึ้นหรือไม่? การเชื่อของพวกเขาคือสิ่งที่ใส่ความกลัวไว้ในหัวใจของพวกเขา ดังนั้นแล้ว พวกเราจะสามารถนำสิ่งใดมาใช้พิสูจน์การเชื่อและความกลัวของชาวนีนะเวห์ได้? สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระคัมภีร์ระบุ นั่นคือ “…พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด” นี่จึงกล่าวได้ว่าชาวนีนะเวห์เชื่ออย่างแท้จริง และจากการเชื่อนี้ทำให้เกิดความกลัวขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นก็นำพวกเขาให้อดอาหารและนุ่งห่มผ้ากระสอบ นี่คือวิธีการที่พวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเริ่มกลับใจ ไม่เพียงแต่ชาวนีนะเวห์จะไม่ต่อต้านพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังแสดงให้เห็นการกลับใจของพวกเขาอย่างชัดเจนโดยผ่านทางพฤติกรรมและการกระทำของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากผู้คนเมืองโสโดมโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ผู้คนเมืองนีนะเวห์ทุกคนทำ ไม่ใช่แค่สามัญชนเท่านั้น—กษัตริย์ก็ไม่มีข้อยกเว้นด้วย
การกลับใจของกษัตริย์เมืองนีนะเวห์ได้รับการชมเชยจากพระยาห์เวห์พระเจ้า
เมื่อกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ทรงได้สดับตรับฟังข่าวนี้ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระองค์ และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบและประทับบนกองขี้เถ้า จากนั้น พระองค์ทรงประกาศว่า ทุกคนในเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้ลิ้มรสสิ่งใด และแกะ วัว หรือสัตว์เลี้ยงอื่นใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กินหญ้าหรือดื่มน้ำ ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงต้องนุ่งห่มผ้ากระสอบ และผู้คนต้องร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจังจริงใจ กษัตริย์ยังได้ทรงประกาศว่าทุกคนจะหันเหจากหนทางที่ชั่วของพวกเขา และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ เมื่อพิจารณาจากลำดับของการกระทำนี้ กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ได้มีการกลับใจที่แท้จริงในพระทัยของพระองค์ ลำดับการกระทำที่พระองค์ทรงปฏิบัตินี้—การลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระองค์ การเปลื้องฉลองพระองค์สำหรับกษัตริย์ของพระองค์ การทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ และการประทับบนกองขี้เถ้า—บอกผู้คนว่ากษัตริย์เมืองนีนะเวห์กำลังทรงวางพักสถานะการเป็นกษัตริย์ของพระองค์ และกำลังทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบเคียงข้างสามัญชน นี่จึงกล่าวได้ว่า กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ไม่ได้ทรงดำรงสถานะการเป็นกษัตริย์ของพระองค์เพื่อกระทำการประพฤติชั่วของพระองค์หรือการทารุณซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์ทำต่อไปหลังจากที่ได้สดับฟังประกาศจากพระยาห์เวห์พระเจ้า แต่พระองค์ทรงวางพักสิทธิอำนาจที่พระองค์ทรงครอง และกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า ในชั่วขณะนี้ กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ไม่ได้กำลังทรงกลับใจในฐานะกษัตริย์ พระองค์ได้เสด็จมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์ในฐานะไพร่ฟ้าธรรมดาของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังได้ตรัสบอกทั้งเมืองให้กลับใจและสารภาพบาปของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าในลักษณะเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงทำ นอกจากนี้ พระองค์ทรงมีแผนเฉพาะว่าจะทำเช่นนั้นอย่างไร ดังที่เห็นในคัมภีร์ ความว่า “คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ… ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ” ในฐานะผู้ปกครองเมือง กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ทรงครองสถานะและอำนาจสูงสุด และสามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่ทรงปรารถนา เมื่อเผชิญกับประกาศของพระยาห์เวห์พระเจ้า พระองค์จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ หรือกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์เพียงลำพังก็ได้ ส่วนเรื่องที่ว่าผู้คนในเมืองเลือกที่จะกลับใจหรือไม่นั้น พระองค์จะเพิกเฉยต่อเรื่องนั้นโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ไม่ได้ทรงทำเช่นนี้เลย ไม่เพียงแต่พระองค์จะลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระองค์ ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ และประทับบนกองขี้เถ้า และกลับใจและสารภาพบาปของพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าเท่านั้น พระองค์ยังทรงสั่งให้ผู้คนและสัตว์เลี้ยงทั้งหมดภายในเมืองทำเช่นเดียวกันด้วย พระองค์ทรงสั่งแม้กระทั่งให้ผู้คน “ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง” กษัตริย์เมืองนีนะเวห์ได้ทรงทำสิ่งที่ผู้ปกครองควรทำให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างแท้จริงโดยผ่านทางลำดับการกระทำเหล่านี้ ลำดับการกระทำของพระองค์คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ผลได้ยากสำหรับกษัตริย์ทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และแท้จริงแล้วไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเคยสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ การกระทำเหล่านี้สามารถเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์ และควรค่าทั้งแก่การยกย่องและการเอาอย่างจากมวลมนุษย์ นับตั้งแต่อรุณรุ่งของมนุษย์ กษัตริย์ทุกพระองค์ได้ทรงนำไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ให้ต้านทานและต่อต้านพระเจ้า ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเคยนำไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ให้วอนขอพระเจ้าเพื่อแสวงหาการไถ่สำหรับความชั่วร้ายของพวกเขา รับการอภัยโทษจากพระยาห์เวห์พระเจ้า และหลีกเลี่ยงการลงโทษที่จวนเจียนจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กษัตริย์เมืองนีนะเวห์สามารถนำไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ให้หันหาพระเจ้า ให้ทิ้งการประพฤติชั่วของแต่ละคนไว้เบื้องหลัง และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ นอกจากนั้น พระองค์ยังสามารถละวางบัลลังก์ของพระองค์ลงได้ และเพื่อเป็นการตอบแทน พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงเปลี่ยนพระทัยและรู้สึกเสียพระทัย ทรงถอนพระพิโรธของพระองค์ และทรงอนุญาตให้ผู้คนในเมืองมีชีวิตรอด และพิทักษ์รักษาพวกเขาไว้จากการทำลายล้าง การกระทำเหล่านี้ของกษัตริย์สามารถเรียกได้เพียงว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่หายากในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เท่านั้น และแม้กระทั่งเป็นตัวอย่างต้นแบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม ซึ่งกลับใจและสารภาพบาปของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นการกลับใจที่จริงใจลึกภายในหัวใจของชาวนีนะเวห์
หลังจากที่ได้ยินถ้อยแถลงของพระเจ้า กษัตริย์เมืองนีนะเวห์และไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์ได้ลงมือกระทำหลายสิ่งหลายอย่าง การกระทำเหล่านี้และพฤติกรรมของพวกเขามีธรรมชาติอย่างไร? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื้อแท้ของการประพฤติของพวกเขาทั้งหมดทั้งปวงเป็นอย่างไร? เหตุใดพวกเขาจึงทำอย่างที่พวกเขาได้ทำลงไป? ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาได้กลับใจอย่างจริงใจ ไม่เพียงเพราะพวกเขาได้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงใจและสารภาพบาปของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพวกเขาได้เลิกการประพฤติที่ชั่วร้ายของพวกเขาด้วย พวกเขาได้กระทำในหนทางนี้เพราะหลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พวกเขารู้สึกกลัวอย่างเหลือเชื่อ และเชื่อว่าพระองค์จะทรงทำอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ ด้วยการอดอาหาร สวมใส่ผ้ากระสอบ และนั่งบนกองขี้เถ้า พวกเขาปรารถนาที่จะแสดงความเต็มใจของพวกเขาที่จะปฏิรูปวิถีของพวกเขาและระงับจากความชั่วร้าย และพวกเขาได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อที่จะระงับโทสะของพระองค์ อ้อนวอนให้พระองค์ถอนการตัดสินพระทัยของพระองค์และมหันตภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา หากพวกเราตรวจสอบพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขา พวกเราจะสามารถมองเห็นได้ว่าพวกเขาเข้าใจแล้วว่าการกระทำชั่วร้ายก่อนหน้าของพวกเขาเป็นที่น่าชิงชังสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้า และพวกเราสามารถมองเห็นได้เช่นกันว่าพวกเขาเข้าใจเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงจะทรงทำลายพวกเขาในไม่ช้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาทุกคนจึงปรารถนาที่จะกลับใจอย่างสมบูรณ์ หันเหออกจากการประพฤติชั่วของพวกเขา และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่พวกเขาได้มาตระหนักรู้ถึงถ้อยแถลงของพระยาห์เวห์พระเจ้า พวกเขาทุกๆ คนรู้สึกกลัวในหัวใจของพวกเขา พวกเขาหยุดการประพฤติชั่วร้ายของพวกเขา และไม่กระทำการเหล่านั้นที่เป็นที่น่าชิงชังอย่างยิ่งสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าอีกต่อไป นอกจากนั้น พวกเขาได้วอนขอต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าให้ประทานอภัยบาปในอดีตของพวกเขา และไม่ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาตามการกระทำในอดีตของพวกเขา พวกเขาเต็มใจที่จะไม่ทำความชั่วร้ายอีกครั้ง และเต็มใจที่จะปฏิบัติตามคำแนะนำของพระยาห์เวห์พระเจ้าถ้าเพียงแต่การทำเช่นนั้นจะไม่ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกราดเกรี้ยวอีกได้ การกลับใจของพวกเขาจริงใจและถี่ถ้วน มันมาจากส่วนลึกภายในหัวใจของพวกเขา และไม่ได้เสแสร้งและไม่ได้เป็นแค่เรื่องชั่วครู่ชั่วยาม
ทันทีที่ผู้คนทั้งหมดของเมืองนีนะเวห์ตั้งแต่กษัตริย์ไปจนถึงสามัญชนได้เรียนรู้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้ากริ้วพวกเขา พระเจ้าทรงสามารถมองเห็นทุกๆ การกระทำหลังจากนั้นของพวกเขาและการประพฤติของพวกเขาทั้งหมดทั้งปวงได้อย่างกระจ่างชัดเจน รวมทั้งทุกๆ การตัดสินใจและตัวเลือกที่พวกเขาเลือก พระทัยของพระเจ้าก็ได้เปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของพวกเขา พระเจ้าทรงมีกรอบความคิดในชั่วขณะนั้นอย่างไร? พระคัมภีร์สามารถตอบคำถามนั้นกับเจ้าได้ ในคัมภีร์ได้มีการบันทึกพระวจนะต่อไปนี้ ความว่า “เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา” (โยนาห์ 3:10) ถึงแม้ว่าพระเจ้าได้เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ กรอบความคิดของพระองค์ก็ไม่มีสิ่งใดที่ซับซ้อน พระองค์เพียงทรงเปลี่ยนจากการแสดงโทสะของพระองค์เป็นการทำให้โทสะของพระองค์สงบลง จากนั้นก็ตัดสินพระทัยที่จะไม่นำมหันตภัยมาสู่เมืองนีนะเวห์ เหตุผลว่าทำไมการตัดสินพระทัยของพระเจ้า—ที่จะละเว้นชาวนีนะเวห์จากมหันตภัย—นั้นรวดเร็วยิ่งนักก็เป็นเพราะว่า พระเจ้าทรงสังเกตเห็นหัวใจของทุกผู้คนในเมืองนีนะเวห์ พระองค์ทรงเห็นสิ่งที่พวกเขามีอยู่ลึกภายในหัวใจของพวกเขา นั่นคือ การกลับใจอย่างจริงใจของพวกเขาและการสารภาพบาปของพวกเขา การเชื่อในพระองค์อย่างจริงใจของพวกเขา สำนึกรับรู้ที่ลึกซึ้งของพวกเขาว่าการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้ทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เดือดดาลอย่างไร และส่งผลให้เกิดความกลัวการลงโทษที่ใกล้จะเกิดขึ้นจากพระยาห์เวห์พระเจ้า ในขณะเดียวกัน พระยาห์เวห์พระเจ้ายังทรงได้ยินการอธิษฐานของพวกเขา ซึ่งมาจากส่วนลึกภายในหัวใจของพวกเขา วอนขอพระองค์ไม่ให้กริ้วพวกเขาอีกต่อไป เพื่อให้พวกเขาอาจหลีกเลี่ยงมหันตภัยนี้ได้ เมื่อพระเจ้าทรงสังเกตเห็นข้อเท็จจริงทั้งหมดเหล่านี้ โทสะของพระองค์ก็ได้เลือนหายไปทีละเล็กละน้อย ไม่ว่าโทสะของพระองค์เมื่อก่อนหน้าจะมีมากเพียงใด พระทัยของพระองค์ก็ได้เกิดความประทับใจเมื่อพระองค์ทรงเห็นการกลับใจอย่างจริงใจลึกภายในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ และดังนั้น พระองค์จึงไม่ทรงสามารถทนนำมหันตภัยมาสู่พวกเขาได้ และพระองค์ทรงหยุดกริ้วพวกเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงยื่นความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ให้แก่พวกเขาต่อไปและทรงนำและจัดเตรียมให้แก่พวกเขาต่อไปแทน
หากการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเป็นจริง เจ้าจะได้รับการใส่พระทัยจากพระองค์บ่อยครั้ง
การที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนเจตนารมณ์ของพระองค์ต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับการลังเลหรือสิ่งใดก็ตามที่กำกวมหรือคลุมเครือ แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นคือการแปลงรูปจากโทสะที่บริสุทธิ์เป็นการทนยอมรับที่บริสุทธิ์ นี่คือการเผยถึงเนื้อแท้ของพระเจ้าอย่างแท้จริง พระเจ้าไม่มีวันไม่แน่พระทัยหรือลังเลในการกระทำของพระองค์ หลักธรรมและจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ทั้งหมดมีความชัดเจนและโปร่งใส บริสุทธิ์และไร้ข้อบกพร่อง โดยไม่มีกลโกงหรือกลอุบายใดผสมปนเปอยู่ภายใน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เนื้อแท้ของพระเจ้าไม่มีความมืดหรือความเลว พระเจ้าเกิดโทสะกับชาวนีนะเวห์เพราะการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้มาอยู่เฉพาะสายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์ ณ ขณะนั้นโทสะของพระองค์มาจากเนื้อแท้ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อโทสะของพระเจ้าค่อยๆ น้อยลงและเมื่อพระองค์ได้ประทานการทนยอมรับของพระองค์ให้กับผู้คนเมืองนีนะเวห์อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเผยไปก็ยังคงเป็นเนื้อแท้ของพระองค์เอง ทั้งหมดทั้งปวงของการเปลี่ยนแปลงนี้มีเหตุผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า ในระหว่างช่วงเวลาทั้งหมดนี้ อุปนิสัยที่มิอาจถูกล่วงเกินได้ของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื้อแท้ที่ทนยอมรับของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเนื้อแท้ที่เปี่ยมความรักใคร่และเปี่ยมปรานีของพระเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง เมื่อผู้คนกระทำการที่ชั่วร้ายและล่วงเกินพระเจ้า พระองค์จะทรงนำโทสะของพระองค์มาสู่พวกเขา เมื่อผู้คนกลับใจอย่างแท้จริง พระทัยของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลง และโทสะของพระองค์จะยุติ เมื่อผู้คนต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อรั้นต่อไป ความเดือดดาลของพระองค์จะไม่ยุติ และความเดือดดาลของพระองค์จะบีบคั้นพวกเขาทีละน้อยจนกระทั่งพวกเขาถูกทำลาย นี่คือเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงแสดงและเผยพระอุปนิสัยอันใดของพระองค์ออกมานั้น—จะเป็นพระพิโรธ หรือความปรานีและความรักเมตตา—ย่อมขึ้นอยู่กับการประพฤติตนและพฤติกรรมของมนุษย์ รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา หากพระเจ้าทรงทำให้บุคคลหนึ่งอยู่ภายใต้โทสะของพระองค์อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหัวใจของบุคคลเยี่ยงนี้ต่อต้านพระเจ้า เพราะบุคคลเยี่ยงนี้ไม่เคยกลับใจ ก้มศีรษะของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หรือมีการเชื่อจริงแท้ในพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจึงไม่เคยได้รับความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า หากใครบางคนได้รับการใส่พระทัยของพระเจ้า ความปรานีของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคคลเช่นนี้มีการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของพวกเขา และหัวใจของพวกเขาไม่ได้ต่อต้านพระเจ้า บ่อยครั้งที่บุคคลเช่นนี้กลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้น ถึงแม้ว่าบ่อยครั้งที่การบ่มวินัยของพระเจ้าลงมาสู่บุคคลเช่นนี้ แต่พระพิโรธของพระองค์จะไม่ลงมาสู่เขาด้วย
คำอธิบายสั้นๆ นี้ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระทัยของพระเจ้า มองเห็นความเป็นจริงของเนื้อแท้ของพระองค์ มองเห็นว่าโทสะของพระเจ้าและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจตนารมณ์ของพระองค์ ไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ ถึงแม้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์พิโรธและเมื่อพระองค์เปลี่ยนพระทัยของพระองค์จะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่ามีความไม่เชื่อมโยงกันหรือความตรงกันข้ามกันเป็นอย่างมากระหว่างสองแง่มุมนี้ในเนื้อแท้ของพระเจ้า—กล่าวคือ โทสะของพระองค์และการทนยอมรับของพระองค์—แต่ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อการกลับใจของชาวนีนะเวห์ก็ทำให้ผู้คนมองเห็นอีกด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าอีกครั้ง การเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษยชาติสามารถมองเห็นได้อีกครั้งถึงความจริงของความปรานีและความเมตตาของพระเจ้าอย่างแท้จริง และมองเห็นการเผยเนื้อแท้ของพระเจ้าที่แท้จริง มนุษยชาติมีแต่จะต้องยอมรับว่าความปรานีและความเมตตาของพระเจ้าไม่ใช่นิทานปรัมปรา และไม่ใช่สิ่งที่ปลอมขึ้น นี่เป็นเพราะว่าความรู้สึกที่พระเจ้าทรงมีในชั่วขณะนั้นเป็นสิ่งที่แท้ และการเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งที่แท้—พระเจ้าประทานความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์อีกครั้งโดยแท้
การกลับใจที่แท้จริงในหัวใจของชาวนีนะเวห์ทำให้พวกเขาได้รับความปรานีของพระเจ้า และเปลี่ยนแปลงบทอวสานของพวกเขาเอง
มีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างการเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้ากับพระพิโรธของพระองค์หรือไม่? แน่นอนว่าไม่! นี่เป็นเพราะว่าการทนยอมรับของพระเจ้าในเวลาเฉพาะนั้นๆ มีเหตุผลของมัน เหตุผลนี้คืออะไรกัน? เหตุผลนี้คือเหตุผลที่ได้รับการระบุไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขา” และ “และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ”
“การประพฤติชั่ว” นี้ไม่ได้อ้างอิงถึงการกระทำชั่วหยิบมือหนึ่ง แต่อ้างอิงถึงแหล่งกำเนิดความชั่วที่ทำให้เกิดพฤติกรรมของผู้คน “หันกลับจากการประพฤติชั่วของคนเรา” หมายความว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะไม่มีวันกระทำการเหล่านี้อีก กล่าวคือ พวกเขาจะไม่มีวันประพฤติในหนทางชั่วนี้อีกครั้ง วิธีการ แหล่งกำเนิด จุดประสงค์ เจตนา และหลักการของการกระทำของพวกเขาทั้งหมดได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว พวกเขาจะไม่มีวันใช้วิธีการและหลักการเหล่านั้นเพื่อนำความสำราญและความสุขมายังหัวใจของพวกเขาอีก คำว่า “เลิก” ใน “และเลิกการทารุณซึ่งมือคนเราทำ” หมายถึงการวางลงหรือละทิ้ง เพื่อตัดขาดกับอดีตอย่างสมบูรณ์และไม่มีวันหันกลับ เมื่อผู้คนเมืองนีนะเวห์เลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ สิ่งนี้พิสูจน์และแสดงถึงการกลับใจที่แท้จริงของพวกเขา พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตรูปลักษณ์ภายนอกของผู้คนรวมถึงหัวใจของพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงสังเกตดูการกลับใจที่แท้จริงอย่างปราศจากคำถามในหัวใจของชาวนีนะเวห์ และยังได้ทรงเฝ้าสังเกตว่าพวกเขาได้ทิ้งการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำแล้ว พระองค์ก็ได้เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ นี่จึงกล่าวได้ว่า การประพฤติและพฤติกรรมของผู้คนเหล่านี้ และวิธีการที่หลากหลายในการปฏิบัติสิ่งต่างๆ อีกทั้งการกลับใจและการสารภาพบาปอย่างจริงใจของพวกเขาในหัวใจของพวกเขา เป็นสาเหตุให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ เปลี่ยนเจตนารมณ์ของพระองค์ กลับการตัดสินพระทัยของพระองค์ และไม่ลงโทษหรือทำลายพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ผู้คนเมืองนีนะเวห์จึงสัมฤทธิ์ผลในบทอวสานที่แตกต่างออกไปสำหรับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไถ่ชีวิตของพวกเขาเอง และในเวลาเดียวกันก็ได้รับความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า ซึ่งในจุดนั้นพระเจ้าก็ถอนพระพิโรธของพระองค์กลับเช่นกัน
ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้านั้นหาไม่ยาก—การกลับใจที่แท้จริงของมนุษย์ต่างหากที่หายาก
ไม่ว่าพระเจ้ากริ้วชาวนีนะเวห์เพียงใดก็ตาม ทันทีที่พวกเขาประกาศเรื่องการอดอาหารและนุ่งห่มผ้ากระสอบและนั่งบนกองขี้เถ้า พระทัยของพระองค์ก็เริ่มอ่อนลง และพระองค์เริ่มเปลี่ยนพระทัย ในเวลาที่พระองค์ทรงกล่าวประกาศต่อพวกเขาว่าพระองค์จะทำลายเมืองนี้—ชั่วขณะก่อนการกลับใจและการสารภาพบาปของพวกเขานั้น—พระเจ้ายังคงกริ้วพวกเขา ทันทีที่พวกเขาได้ดำเนินลำดับการกระทำที่กลับใจต่างๆ แล้ว โทสะที่พระเจ้ามีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ก็ค่อยๆ แปลงรูปเป็นความปรานีและการทนยอมรับพวกเขา ไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการเผยพระอุปนิสัยสองแง่มุมนี้ของพระเจ้าพร้อมกันในเหตุการณ์เดียวกัน ดังนั้นแล้ว คนเราควรเข้าใจและรู้ถึงการขาดพร่องความขัดแย้งนี้อย่างไร? พระเจ้าได้ทรงแสดงและเผยเนื้อแท้แต่ละอย่างที่ตรงข้ามกันสองขั้วนี้เป็นการตอบแทนเมื่อผู้คนเมืองนีนะเวห์กลับใจแล้ว ซึ่งทำให้ผู้คนมองเห็นความเป็นจริงและความมิอาจถูกล่วงเกินได้แห่งเนื้อแท้ของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้ท่าทีของพระองค์เพื่อบอกผู้คนดังนี้ว่า ไม่ใช่ว่าพระเจ้าไม่ทรงทนยอมรับผู้คนหรือว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์จะแสดงความปรานีต่อพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาแทบจะไม่กลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่พบได้ยากที่ผู้คนจะหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำอย่างแท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระเจ้ากริ้วมนุษย์ พระองค์ทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง และพระองค์ทรงหวังโดยแท้ว่าจะมองเห็นการกลับใจที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งในกรณีนั้น พระองค์ก็จะประทานความปรานีและการทนยอมรับให้กับมนุษย์อย่างโอบอ้อมอารีต่อไป นี่จึงกล่าวได้ว่าการประพฤติชั่วของมนุษย์ก่อให้เกิดพระพิโรธของพระเจ้า ในขณะที่ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้าถูกประทานให้กับผู้ที่ฟังพระเจ้าและกลับใจเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างแท้จริง ให้กับผู้ที่สามารถหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ ท่าทีของพระเจ้าได้รับการเผยอย่างชัดเจนมากในการปฏิบัติต่อชาวนีนะเวห์ของพระองค์ กล่าวคือ ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้าไม่ได้ยากที่จะได้รับมาเลย และสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์คือการกลับใจที่แท้จริงของคนเรา ตราบเท่าที่ผู้คนหันกลับจากการประพฤติชั่วของพวกเขาและเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ พระเจ้าจะเปลี่ยนพระทัยของพระองค์และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา
พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้างเป็นจริงและแจ่มแจ้ง
เมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนพระทัยต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์แล้ว ความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์เป็นฉากหน้าเทียมเท็จหรือไม่? แน่นอนว่าไม่! เช่นนั้นแล้ว การเปลี่ยนผ่านระหว่างสองแง่มุมนี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าในระหว่างที่พระเจ้าทรงจัดการกับสถานการณ์หนึ่งเดียวนี้ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด? พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์—พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีการแบ่งส่วนเลย ไม่ว่าพระองค์จะกำลังแสดงโทสะหรือความปรานีและการทนยอมรับต่อผู้คนหรือไม่ก็ตาม ทั้งหมดนี้คือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้ามีชีวิตชีวาและชัดเจนแจ่มแจ้ง และพระองค์เปลี่ยนพระดำริและท่าทีของพระองค์ตามวิธีที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป การแปลงรูปของท่าทีของพระองค์ต่อชาวนีนะเวห์บอกมนุษยชาติว่าพระองค์มีพระดำริและแนวคิดของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงเป็นหุ่นยนต์หรือรูปปั้นดิน แต่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ดำรงพระชนม์ พระองค์สามารถกริ้วผู้คนเมืองนีนะเวห์ เช่นเดียวกับที่พระองค์สามารถประทานอภัยให้กับอดีตของพวกเขาเพราะท่าทีของพวกเขา พระองค์สามารถตัดสินพระทัยที่จะนำโชคร้ายมาสู่ชาวนีนะเวห์ และพระองค์ยังสามารถเปลี่ยนการตัดสินพระทัยของพระองค์เพราะการกลับใจของพวกเขาได้เช่นกัน ผู้คนชอบนำกฎเกณฑ์มาใช้อย่างเคร่งครัด และชอบใช้กฎเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อกำหนดขอบเขตและนิยามพระเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกเขาชอบใช้สูตรเพื่อพยายามเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ดังนั้น ในขอบเขตความคิดของมนุษย์ พระเจ้าไม่มีพระดำริ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงมีแนวคิดที่เป็นสาระสำคัญใดๆ แต่ในความเป็นจริง พระดำริของพระเจ้าอยู่ในสภาวะที่มีการแปลงรูปอยู่เสมอ ตามการเปลี่ยนแปลงในสิ่งทั้งหลายและในสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ขณะที่พระดำริเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลง แง่มุมที่แตกต่างกันในแก่นแท้ของพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผย ในช่วงระหว่างกระบวนการแปลงรูปนี้ ในชั่วขณะนั้นๆ ที่พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงต่อมวลมนุษย์คือการมีอยู่ที่เป็นจริงของพระชนม์ชีพของพระองค์ และการที่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง ในขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้การเผยที่แท้จริงของพระองค์เองเพื่อพิสูจน์ต่อมวลมนุษย์ถึงความจริงเกี่ยวกับการมีอยู่ของพระพิโรธของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ ความเมตตาของพระองค์ และการทนยอมรับของพระองค์ เนื้อแท้ของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยในทุกที่และทุกเวลาตามวิธีการที่สิ่งทั้งหลายพัฒนาไป พระองค์ทรงครอบครองความโกรธเกรี้ยวของราชสีห์และความปรานีและการทนยอมรับของมารดา พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ไม่ยอมให้มีการตั้งคำถาม การฝ่าฝืน การเปลี่ยนแปลง หรือการบิดเบือนโดยผู้ใด พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—นั่นคือ พระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—สามารถได้รับการเปิดเผยทุกที่และทุกเวลาท่ามกลางทุกเรื่องและทุกสิ่ง พระองค์ทรงให้การแสดงออกที่มีชีวิตชีวาแก่แง่มุมเหล่านี้ในทุกมุมของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และพระองค์ทรงนำสิ่งเหล่านี้มาดำเนินการด้วยความมีชีวิตชีวาในทุกชั่วขณะที่ผ่านไป พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเวลาหรือพื้นที่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่ได้แสดงออกหรือเปิดเผยขึ้นเองตามข้อจำกัดของเวลาหรือพื้นที่ แต่ด้วยความสบายที่สมบูรณ์แบบในทุกที่และทุกเวลา เมื่อเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้ามีการเปลี่ยนพระทัยและยุติการแสดงพระพิโรธของพระองค์ และงดเว้นจากการทำลายเมืองนีนะเวห์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเปี่ยมปรานีและเปี่ยมความรักใคร่เท่านั้น? เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระพิโรธของพระเจ้ากอปรด้วยพระวจนะที่ว่างเปล่า? เมื่อพระเจ้าทรงเดือดดาลด้วยพระพิโรธที่ดุดันและถอนความปรานีของพระองค์กลับ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้สึกถึงความรักที่แท้จริงต่อมนุษยชาติ? พระพิโรธที่ดุดันนี้ได้รับการแสดงออกโดยพระเจ้าเพื่อตอบสนองต่อการกระทำชั่วของผู้คน พระพิโรธของพระองค์ไม่ได้มีข้อตำหนิ พระทัยของพระเจ้าได้รับการกระตุ้นให้ตอบสนองต่อการกลับใจของผู้คน และการกลับใจนี้นี่เองที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย เมื่อพระองค์ทรงรู้สึกตื้นตัน เมื่อพระองค์เปลี่ยนพระทัย และเมื่อพระองค์ทรงแสดงความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์ต่อมนุษย์ ทั้งหมดนี้ปราศจากข้อตำหนิโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้สะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน และไม่มีสิ่งเจือปน การทนยอมรับของพระเจ้าที่แท้แล้วก็คือการทนยอมรับ เช่นเดียวกับที่ความปรานีของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความปรานี พระอุปนิสัยของพระองค์เผยถึงพระพิโรธหรือความปรานีและการทนยอมรับตามการกลับใจของมนุษย์ และความผันแปรต่างๆ ในการประพฤติของมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์ทรงเผยและแสดงออกสิ่งใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นบริสุทธิ์และตรงไปตรงมา เนื้อแท้ของสิ่งเหล่านั้นย่อมแตกต่างจากเนื้อแท้ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เมื่อพระเจ้าทรงแสดงหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของพระองค์ หลักธรรมเหล่านั้นปราศจากข้อตำหนิหรือมลทินใดๆ และดังนั้นพระดำริของพระองค์ แนวคิดของพระองค์ และทุกๆ การตัดสินพระทัยที่พระองค์ทรงทำ และทุกๆ การกระทำที่พระองค์ทรงมีก็เป็นเช่นเดียวกัน เนื่องจากพระเจ้าได้ตัดสินพระทัยเช่นนี้ และเนื่องจากพระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้ พระเจ้าก็ทรงทำให้ภาระหน้าที่ของพระองค์ครบบริบูรณ์เช่นเดียวกัน ผลลัพธ์ของภาระหน้าที่ของพระองค์มีความถูกต้องและไม่มีข้อบกพร่องก็เพราะแหล่งกำเนิดของผลลัพธ์นั้นไม่มีข้อบกพร่องและไม่มีมลทินนั่นเอง พระพิโรธของพระเจ้าไม่มีข้อตำหนิ ในทำนองเดียวกัน ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้า—ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมี—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไร้ข้อตำหนิ และสามารถทนต่อการตรึกตรองครุ่นคิดและประสบการณ์ได้
จากความเข้าใจที่พวกเจ้ามีในเรื่องราวของเมืองนีนะเวห์ ตอนนี้พวกเจ้ามองเห็นเนื้อแท้อีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าหรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้าหรือไม่? มีผู้ใดในบรรดามนุษยชาติที่ครอบครองอุปนิสัยประเภทนี้หรือไม่? มีผู้ใดครอบครองความพิโรธประเภทนี้ ซึ่งเป็นพระพิโรธของพระเจ้าหรือไม่? มีผู้ใดครอบครองความปรานีและการทนยอมรับเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงครอบครองหรือไม่? ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มีใครสามารถเรียกใช้ความโกรธเกรี้ยวที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นและตัดสินใจที่จะทำลายหรือนำความวิบัติมาสู่มวลมนุษย์ได้? และใครที่มีคุณสมบัติที่จะมอบความปรานีแก่มนุษย์ ทนยอมรับและให้อภัย และด้วยเหตุนั้นจึงเปลี่ยนการตัดสินใจก่อนหน้าของเขาที่จะทำลายมนุษย์? พระผู้สร้างได้แสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์โดยผ่านทางวิธีการและหลักธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เอง และพระองค์ไม่ทรงอยู่ภายใต้การควบคุมหรือข้อจำกัดใดที่กำหนดโดยผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใดก็ตาม ด้วยพระอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์นี้ จึงไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนพระดำริและแนวคิดของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวพระองค์และเปลี่ยนการตัดสินพระทัยใดๆ ของพระองค์ได้ พฤติกรรมและความคิดทั้งหมดที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงนั้นย่อมดำรงอยู่ภายใต้การพิพากษาแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้ว่าพระองค์จะใช้พระพิโรธหรือความปรานี มีเพียงเนื้อแท้ของพระผู้สร้างเท่านั้น—หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง—ที่สามารถตัดสินใจในการนี้ได้ เช่นนั้นเองที่เป็นธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง!
จากการวิเคราะห์และการทำความเข้าใจการแปลงรูปของท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ พวกเจ้าสามารถใช้คำว่า “เป็นเอกลักษณ์” เพื่ออธิบายความปรานีที่พบภายในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้หรือไม่? ก่อนหน้านี้เราได้พูดไปแล้วว่าพระพิโรธของพระเจ้าเป็นแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ ตอนนี้เราจะนิยามสองแง่มุม—คือพระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระเจ้า—ในฐานะพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์ พระอุปนิสัยของพระองค์ไม่ทนยอมรับการถูกล่วงเกินหรือการถูกตั้งคำถาม พระอุปนิสัยของพระองค์คือบางสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ครอบครอง พระอุปนิสัยนี้ทั้งเป็นเอกลักษณ์และเป็นของพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว นี่จึงกล่าวได้ว่า พระพิโรธของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์และมิอาจถูกล่วงเกินได้ ในหนทางเดียวกัน อีกแง่มุมในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า—กล่าวคือ ความปรานีของพระเจ้า—ก็ศักดิ์สิทธิ์และไม่สามารถถูกล่วงเกินได้ ไม่มีสิ่งใดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่สามารถแทนที่หรือเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการกระทำของพระองค์ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดจะสามารถแทนที่หรือเป็นตัวแทนของพระองค์ในความย่อยยับของเมืองโสโดมหรือความรอดของเมืองนีนะเวห์ได้ นี่คือการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของพระเจ้า
ความรู้สึกที่จริงใจของพระผู้สร้างต่อมวลมนุษย์
ผู้คนมักพูดว่าการรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตาม เราขอพูดว่าการรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะพระเจ้าทรงแสดงกิจการทั้งหลายของพระองค์ให้มนุษย์ได้เห็นบ่อยครั้ง พระเจ้าไม่เคยทรงยุติการสนทนาของพระองค์กับมวลมนุษย์ และพระองค์ไม่เคยทรงปกปิดพระองค์เองจากมนุษย์ อีกทั้งพระองค์ไม่เคยทรงซ่อนเร้นพระองค์เอง พระดำริของพระองค์ แนวคิดของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ และกิจการของพระองค์ ทั้งหมดได้รับการเปิดเผยต่อมวลมนุษย์ ดังนั้น ตราบเท่าที่มนุษย์ปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้า เขาสามารถมาเข้าใจและรู้จักพระองค์ได้โดยผ่านทางวิถีทางและวิธีการทุกชนิด เหตุผลว่าทำไมมนุษย์จึงคิดอย่างหูหนวกตาบอดว่าพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะหลีกเลี่ยงเขา ว่าพระเจ้าตั้งพระทัยที่จะซ่อนเร้นพระองค์เองจากมนุษยชาติ ว่าพระเจ้าไม่ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะยอมให้มนุษย์เข้าใจและรู้จักพระองค์นั้น เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใด อีกทั้งเขาไม่ปรารถนาที่จะเข้าใจพระเจ้า ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์ไม่กังวลสนใจในพระดำริ พระวจนะ หรือกิจการของพระผู้สร้าง… กล่าวตามความจริงคือ หากบุคคลหนึ่งเพียงใช้เวลาว่างของเขาเพื่อเพ่งความสนใจและทำความเข้าใจกับพระวจนะหรือกิจการของพระผู้สร้าง และหากพวกเขาเพียงให้ความสนใจในพระดำริของพระผู้สร้างและเสียงแห่งพระหทัยของพระองค์แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะไม่เป็นการยากที่บุคคลนั้นจะตระหนักว่าพระดำริ พระวจนะ และกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างสามารถปรากฏแก่ตาและเห็นได้ชัดแจ้ง ในทำนองเดียวกัน การตระหนักว่าพระผู้สร้างทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ตลอดเวลา ว่าพระองค์ทรงอยู่ในการสนทนากับมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดทั้งปวงเสมอ และว่าพระองค์ทรงปฏิบัติกิจการใหม่ๆ ทุกวัน ก็จะใช้ความมานะพยายามเพียงน้อยนิด เนื้อแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ได้รับการแสดงออกในการสนทนาของพระองค์กับมนุษย์ พระดำริและแนวคิดของพระองค์ได้รับการเผยอย่างครบบริบูรณ์ในกิจการของพระองค์ พระองค์ทรงติดตามเคียงข้างและสังเกตดูมวลมนุษย์ตลอดเวลา พระองค์ตรัสกับมวลมนุษย์และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงอย่างเงียบๆ ด้วยพระวจนะที่เงียบเชียบของพระองค์ว่า “เราอยู่ในฟ้าสวรรค์ และเราอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของเรา เรากำลังจับตามอง เรากำลังรอ เราอยู่เคียงข้างเจ้า…” พระหัตถ์ของพระองค์อบอุ่นและแข็งแรง ย่างพระบาทของพระองค์แผ่วเบา พระสุรเสียงของพระองค์นุ่มนวลและสง่างาม รูปสัณฐานของพระองค์ผ่านและหมุนไป โดยโอบกอดมวลมนุษย์ทั้งปวง โฉมพระพักตร์ของพระองค์งดงามและละมุนละไม พระองค์ไม่เคยทรงจากไป ไม่เคยทรงหายไป ในเวลากลางวันและกลางคืน พระองค์ทรงเป็นเพื่อนร่วมทางของมวลมนุษย์อยู่เนืองนิตย์ ไม่เคยจากพวกเขาไป ความใส่พระทัยอย่างอุทิศพระองค์และการรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษต่อมนุษยชาติของพระองค์ ตลอดจนความกังวลและความรักต่อมนุษย์อย่างแท้จริงของพระองค์ ได้รับการแสดงออกทีละน้อยขณะที่พระองค์ทรงช่วยเมืองนีนะเวห์ให้รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโต้ตอบระหว่างโยนาห์และพระยาห์เวห์พระเจ้าได้เผยให้เห็นอย่างสมบูรณ์ถึงความอ่อนโยนที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านั้น เจ้าสามารถได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความรู้สึกที่จริงใจที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษยชาติ…
บทตอนต่อไปนี้ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือโยนาห์ 4:10-11: “จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า เจ้ามีความสงสารต่อต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน: แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?” เหล่านี้คือพระวจนะจริงๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้า ซึ่งบันทึกจากการสนทนาระหว่างพระเจ้าและโยนาห์ ถึงแม้ว่าการโต้ตอบนี้จะสั้น แต่ก็เปี่ยมไปด้วยการดูแลเอาพระทัยใส่ที่พระผู้สร้างทรงมีต่อมวลมนุษย์ และความลังเลของพระองค์ที่จะทอดทิ้งมวลมนุษย์ไปเสีย พระวจนะเหล่านี้แสดงถึงท่าทีและความรู้สึกที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์ภายในพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงระบุเจตนารมณ์ที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติโดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ซึ่งมีความชัดเจนและแน่นอนอย่างที่มนุษย์แทบจะไม่เคยได้ยิน การโต้ตอบนี้เป็นตัวแทนท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์—แต่ท่าทีนี้เป็นท่าทีประเภทใด? ท่าทีนี้คือท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ก่อนและหลังจากการกลับใจของพวกเขา และท่าทีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมวลมนุษย์ ภายในพระวจนะเหล่านี้คือพระดำริของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์
พระดำริใดของพระเจ้าที่ได้รับการเปิดเผยในพระวจนะเหล่านี้? หากเจ้าให้ความสนใจกับรายละเอียดในขณะที่เจ้าอ่าน เจ้าจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าพระองค์ทรงใช้คำว่า “สงสาร” การใช้คำนี้แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์
ในระดับความหมายตามตัวอักษร ผู้คนสามารถตีความคำว่า “สงสาร” ได้ในหลายทาง กล่าวคือ ประการแรก มันหมายถึง “การรักและปกป้อง การรู้สึกถึงความอ่อนโยนต่อบางสิ่ง” ประการที่สอง หมายถึง “การรักอย่างมาก” และประการสุดท้าย หมายถึง “การไม่เต็มใจจะทำร้ายบางสิ่งและการไม่อาจทนที่จะทำเช่นนั้นได้” กล่าวอย่างสั้นๆ คือ คำนี้สื่อความหมายถึงการรักใคร่เอ็นดูและความรักอย่างอ่อนโยน ตลอดจนความไม่เต็มใจที่จะละทิ้งบางคนหรือบางสิ่ง มันสื่อความหมายถึงความปรานีและการทนยอมรับที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์ แม้พระเจ้าจะทรงใช้คำนี้ ซึ่งมนุษย์ใช้พูดกันทั่วไป แต่เมื่อพระองค์ตรัสคำนี้ออกมา เสียงแห่งพระหทัยของพระองค์และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ก็ถูกเผยออกมาจนหมด
ถึงแม้ว่าเมืองนีนะเวห์จะเต็มไปด้วยผู้คนที่เสื่อมทราม เลว และรุนแรงเช่นเดียวกับชาวเมืองโสโดม แต่การกลับใจของพวกเขาส่งผลให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัยและตัดสินพระทัยที่จะไม่ทำลายพวกเขา เพราะวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะและคำแนะนำของพระเจ้า แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากท่าทีของพลเมืองของโสโดม และเพราะการนบนอบต่อพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ของพวกเขาและการกลับใจจากบาปของพวกเขาอย่างซื่อสัตย์ ตลอดจนพฤติกรรมที่แท้จริงจากหัวใจของพวกเขาในทุกเรื่อง พระเจ้าจึงได้ทรงแสดงความสงสารจากพระหทัยของพระองค์เองอีกครั้งและได้ประทานความสงสารนี้ให้แก่พวกเขา สิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษยชาติและความสงสารที่พระองค์ทรงมีให้มนุษยชาติเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดสามารถทำซ้ำได้ และเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลใดจะครอบครองความปรานีของพระเจ้า การทนยอมรับของพระองค์ หรือความรู้สึกที่จริงใจที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติ มีผู้ใดบ้างที่เจ้าเห็นว่าเป็นบุรุษหรือสตรีที่ยิ่งใหญ่ หรือแม้กระทั่งเป็นยอดมนุษย์ แล้วแถลงแบบนี้ต่อมวลมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง โดยพูดในฐานะบุรุษหรือสตรีที่ยิ่งใหญ่จากที่สูง หรือจากจุดสูงสุด? ผู้ใดในหมู่มวลมนุษย์สามารถรู้สภาวะของชีวิตมนุษย์ได้ราวกับที่รู้จักฝ่ามือของพวกเขา? ผู้ใดสามารถรับภาระและความรับผิดชอบสำหรับการดำรงอยู่ของมนุษยชาติได้? ผู้ใดที่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวประกาศการทำลายเมืองเมืองหนึ่งได้? และผู้ใดที่มีคุณสมบัติที่จะอภัยโทษเมืองเมืองหนึ่ง? ผู้ใดสามารถพูดได้ว่าพวกเขาสงสารสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา? มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้น! มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีความอ่อนโยนต่อมวลมนุษย์นี้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงแสดงความเห็นใจและความรักใคร่เอ็นดูต่อมวลมนุษย์นี้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีความรักใคร่เอ็นดูที่แท้จริงและไม่อาจถูกทำลายได้ให้แก่มวลมนุษย์นี้ ในทำนองเดียวกัน มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถประทานความปรานีแก่มวลมนุษย์นี้และสงสารสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งปวงของพระองค์ พระทัยของพระองค์ถูกฉุดดึงไปตามทุกการกระทำของมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์กริ้ว เสียพระทัย และเศร้าโศกกับความเลวและความเสื่อมทรามของมนุษย์ พระองค์พอพระทัย ทรงเปี่ยมสุข ประทานอภัย และทรงปีติยินดีกับการกลับใจและการเชื่อของมนุษย์ ทุกๆ พระดำริและแนวคิดของพระองค์มีอยู่เพื่อมวลมนุษย์และวนเวียนอยู่กับมวลมนุษย์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและทรงมีได้รับการแสดงออกทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ ทั้งหมดทั้งปวงของอารมณ์ของพระองค์มีความเกี่ยวพันกับการมีอยู่ของมวลมนุษย์ เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์แล้ว พระองค์ทรงเดินทางและทรงสาละวนเร่งร้อน พระองค์ทรงสละทุกเศษเสี้ยวแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างเงียบๆ พระองค์ทรงอุทิศทุกนาทีและทุกวินาทีแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์… พระองค์ไม่เคยทรงรู้ว่าจะทะนุถนอมพระชนม์ชีพของพระองค์เองอย่างไร กระนั้น พระองค์ก็ทรงสงสารมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เองเสมอ… พระองค์ประทานทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาตินี้… พระองค์ประทานความปรานีและการทนยอมรับของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไขและโดยปราศจากความคาดหวังถึงการตอบแทน พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพียงเพื่อให้มวลมนุษย์สามารถเอาชีวิตรอดเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้ต่อไป และได้รับการจัดเตรียมชีวิตจากพระองค์ พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพียงเพื่อที่สักวันหนึ่ง มวลมนุษย์จะยอมสยบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และระลึกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงบำรุงเลี้ยงการมีอยู่ของมนุษย์และทรงจัดหาชีวิตให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง
พระผู้สร้างทรงแสดงความรู้สึกที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติ
การสนทนาระหว่างพระยาห์เวห์พระเจ้าและโยนาห์นี้เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่พระผู้สร้างทรงมีให้กับมนุษยชาติอย่างปราศจากข้อสงสัย ในทางหนึ่ง การสนทนานี้ให้ข้อมูลกับผู้คนเกี่ยวกับความเข้าใจที่พระผู้สร้างทรงมีเกี่ยวกับสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงภายใต้อธิปไตยของพระองค์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสว่า “แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความเข้าใจที่พระเจ้าทรงมีเกี่ยวกับเมืองนีนะเวห์นั้นไม่ใช่ไม่ละเอียด พระองค์ไม่เพียงแต่ทรงรู้จำนวนของสิ่งมีชีวิตภายในเมืองเท่านั้น (ซึ่งรวมถึงผู้คนและปศุสัตว์) แต่พระองค์ยังทรงรู้จำนวนของผู้คนที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา—นั่นคือ จำนวนเด็กเล็กและคนหนุ่มสาวที่มีอยู่ นี่คือหลักฐานที่เป็นรูปธรรมว่าพระเจ้าทรงมีความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับมวลมนุษย์ ในอีกทางหนึ่ง การสนทนานี้ให้ข้อมูลผู้คนเกี่ยวกับท่าทีที่พระผู้สร้างทรงมีต่อมนุษยชาติ กล่าวคือ น้ำหนักของมนุษยชาติในพระทัยของพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นดั่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “เจ้ามีความสงสารต่อต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน แล้วเราไม่ควรละเว้นไม่ทำร้ายเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่หรือ…?” เหล่านี้คือพระวจนะที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงตำหนิโยนาห์ แต่พระวจนะทั้งหมดนั้นจริงแท้
ถึงแม้ว่าโยนาห์ได้รับความไว้วางพระทัยให้กล่าวประกาศพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ เขาก็ไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ได้เข้าใจความกังวลและความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนในเมือง ด้วยการตำหนินี้ พระองค์ทรงหมายที่จะบอกเขาว่า มนุษยชาติคือผลิตผลแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง และพระองค์ได้ทรงใช้ความมานะพยายามอันพากเพียรกับบุคคลทุกๆ คน ว่าบุคคลทุกๆ คนแบกความคาดหวังของพระเจ้าไว้บนบ่าของพวกเขา และว่าบุคคลทุกๆ คนได้ชื่นชมการจัดหาชีวิตของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาเป็นความมานะพยายามอันพากเพียรเพื่อบุคคลทุกๆ คน การตำหนินี้ยังบอกโยนาห์ด้วยว่าพระเจ้าทรงสงสารมนุษยชาติ ซึ่งเป็นงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์เอง เช่นเดียวกับที่โยนาห์สงสารต้นละหุ่งนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งมวลมนุษย์อย่างง่ายๆ หรือจนกระทั่งชั่วขณะสุดท้ายที่เป็นไปได้เลย เพราะเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ มีเด็กเล็กและปศุสัตว์ที่ไร้เดียงสามากมายภายในเมืองนั้น เวลาจัดการมนุษย์ทรงสร้างที่อ่อนวัยและไม่รู้เท่าทันเหล่านี้ ซึ่งไม่สามารถแม้แต่จะแยกแยะมือขวามือซ้ายของตนออกจากกัน การที่พระเจ้าจะทรงสิ้นสุดชีวิตของพวกเขาและกำหนดบทอวสานของพวกเขาอย่างเร่งรีบเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่คิดฝันได้น้อยลงไปอีก พระเจ้าทรงหวังจะได้ทอดพระเนตรเห็นพวกเขาเติบโต พระองค์ทรงหวังว่าพวกเขาจะไม่เดินบนเส้นทางเดียวกันกับผู้อาวุโสของพวกเขา ว่าพวกเขาจะไม่ต้องได้ยินคำเตือนของพระยาห์เวห์พระเจ้าอีกครั้ง และว่าพวกเขาจะเป็นพยานให้กับอดีตของเมืองนีนะเวห์ ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงหวังที่จะเห็นเมืองนีนะเวห์หลังจากที่มันได้กลับใจแล้ว เห็นอนาคตของเมืองนีนะเวห์หลังจากการกลับใจของมัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ เห็นเมืองนีนะเวห์ดำเนินชีวิตภายใต้ความปรานีของพระเจ้าอีกครั้ง ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า มนุษย์ทรงสร้างที่ไม่สามารถแยกแยะมือขวาออกจากมือซ้ายของตนได้นั้นก็คืออนาคตของเมืองนีนะเวห์ พวกเขาจะแบกรับอดีตที่น่ารังเกียจของเมืองนีนะเวห์ เช่นเดียวกับที่พวกเขาจะแบกรับหน้าที่อันสำคัญในการเป็นพยานต่อทั้งอดีตของเมืองนีนะเวห์และอนาคตของมันภายใต้การทรงนำทางของพระยาห์เวห์พระเจ้า ในถ้อยแถลงความรู้สึกที่แท้จริงของพระองค์นี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงแสดงความปรานีของพระผู้สร้างที่ทรงมีให้กับมนุษยชาติทั้งหมดทั้งมวล สิ่งนี้แสดงให้มนุษยชาติเห็นว่า “ความปรานีของพระผู้สร้าง” ไม่ใช่วลีที่ว่างเปล่า อีกทั้งไม่ใช่คำสัญญาที่ไร้ค่าไม่จริงใจ ความปรานีของพระผู้สร้างมีหลักธรรม วิธีการ และวัตถุประสงค์ที่เป็นรูปธรรม พระเจ้าทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง และพระองค์ไม่ทรงใช้การพูดเท็จหรือการปลอมแปลง และในลักษณะเดียวกันนี้ มนุษยชาติได้รับความปรานีของพระองค์อย่างไม่รู้จบในทุกช่วงเวลาและทุกยุคสมัย อย่างไรก็ตาม จนถึงวันนี้ การโต้ตอบของพระผู้สร้างกับโยนาห์เป็นการแถลงด้วยวาจาแต่เพียงครั้งเดียวของพระองค์ว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงแสดงความปรานีต่อมนุษยชาติ พระองค์ทรงแสดงความปรานีต่อมนุษยชาติอย่างไร พระองค์ทรงทนยอมรับมนุษยชาติอย่างไร และความรู้สึกที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีให้กับมนุษยชาติ พระวจนะที่รวบรัดของพระยาห์เวห์พระเจ้าในช่วงระหว่างการสนทนานี้แสดงออกถึงพระดำริของพระองค์ต่อมนุษยชาติโดยถ้วนทั่วทั้งหมด พระวจนะเหล่านี้เป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงท่าทีของพระทัยของพระองค์ต่อมนุษยชาติ และยังเป็นหลักฐานที่เป็นรูปธรรมถึงการประทานความปรานีอย่างอุดมให้แก่มนุษยชาติของพระองค์ ความปรานีของพระองค์ไม่ได้ถูกประทานให้กับชนรุ่นอาวุโสกว่าของมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังประทานให้กับสมาชิกที่เยาว์วัยกว่าของมนุษยชาติด้วย เช่นเดียวกับที่เคยเป็นมาเสมอจากชั่วคนหนึ่งถึงอีกชั่วคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าพระพิโรธของพระเจ้าจะลงมาถึงบางมุมโลกและบางยุคของมนุษยชาติบ่อยครั้ง แต่ความปรานีของพระเจ้าก็ไม่เคยยุติ ด้วยความปรานีของพระองค์ พระองค์ทรงชี้แนะและนำทางสิ่งมีชีวิตทรงสร้างของพระองค์รุ่นแล้วรุ่นเล่า จัดหาและบำรุงเลี้ยงมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพราะความรู้สึกที่แท้จริงที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่สมควรหรือที่เราจะสงสาร…?” พระองค์ทรงสงสารสิ่งทรงสร้างของพระองค์เองเสมอ นี่คือความปรานีแห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระผู้สร้าง และยังเป็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างโดยสมบูรณ์อีกด้วย!
ผู้คนห้าประเภท
ณ ขณะนี้ เราจะจบการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไว้ที่นี่ อันดับต่อไป เราจะจัดผู้ติดตามของพระเจ้าออกเป็นหลายประเภทตามความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และความเข้าใจและประสบการณ์ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะรู้จักช่วงระยะที่พวกเจ้ากำลังอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้าด้วย ในแง่ของความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าและความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้น โดยทั่วไปแล้วช่วงระยะและวุฒิภาวะต่างๆ ที่ผู้คนมีนั้นสามารถแยกออกได้เป็นห้าประเภท หัวข้อนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการรู้จักพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ดังนั้น ขณะที่พวกเจ้าอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ พวกเจ้าควรพยายามคิดให้ออกอย่างรอบคอบว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์มากเพียงใดกันแน่ และหลังจากนั้น พวกเจ้าควรใช้ผลลัพธ์นั้นตัดสินว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าอยู่ในช่วงระยะใด แท้จริงแล้ววุฒิภาวะของพวกเจ้ามีมากเพียงใด และแท้จริงแล้วพวกเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด
ประเภทที่หนึ่ง: ช่วงระยะของทารกที่พันผ้าอ้อม
“ทารกที่พันผ้าอ้อม” หมายถึงอะไร? ทารกที่พันผ้าอ้อมคือทารกที่เพิ่งเกิดมาในโลกนี้ ซึ่งก็คือเด็กแรกเกิด นั่นคือเวลาที่ผู้คนไม่มีวุฒิภาวะมากที่สุด
โดยพื้นฐานแล้วผู้คนในช่วงระยะนี้ไม่มีการตระหนักรู้หรือจิตสำนึกใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขางุนงงอย่างที่สุดและไม่รู้เท่าทันเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้คนเหล่านี้อาจเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานานแล้วหรือบางทีอาจไม่นานนักเลย แต่สภาวะที่งุนงงอย่างที่สุดและไม่รู้เท่าทันของพวกเขาและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาทำให้พวกเขาอยู่ภายในช่วงระยะของทารกที่พันผ้าอ้อม คำจำกัดความที่แน่นอนของสภาวะของทารกที่พันผ้าอ้อมนั้นเป็นดังนี้คือ ไม่สำคัญว่าบุคคลประเภทนี้จะเชื่อในพระเจ้ามานานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะสับสนปนเป งุนงง และซื่อเสมอ พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงเชื่อในพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่รู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใดหรือผู้ใดคือพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดตามพระเจ้า แต่ก็ไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัดเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถกำหนดพิจารณาได้ว่าองค์หนึ่งเดียวที่พวกเขาติดตามนั้นคือพระเจ้าหรือไม่ นับประสาอะไรที่จะกำหนดพิจารณาได้ว่าพวกเขาควรเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ นี่คือสภาวะที่แท้จริงของบุคคลประเภทนี้ ความคิดของผู้คนเหล่านี้มืดสลัว และกล่าวอย่างง่ายๆ คือ การเชื่อของพวกเขานั้นปนเปยุ่งเหยิง พวกเขาอยู่ในสภาวะที่พิศวงและว่างเปล่าเสมอ “ความสับสนปนเป” “ความงุนงง” และ “ความซื่อ” คือสิ่งที่สรุปสภาวะของพวกเขา พวกเขายังไม่เคยเห็นอีกทั้งยังไม่เคยรู้สึกถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้า และดังนั้น การพูดกับพวกเขาเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าก็มีประโยชน์พอๆ กับการให้พวกเขาอ่านหนังสือที่เขียนด้วยอักษรอียิปต์โบราณ—พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจหรือยอมรับมัน สำหรับพวกเขาแล้ว การรู้จักพระเจ้าก็เหมือนกับการได้ยินเรื่องเล่าเพ้อฝัน ขณะที่ความคิดของพวกเขาอาจมืดสลัว แต่ที่จริงแล้วพวกเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าการรู้จักพระเจ้าเป็นเรื่องเสียเวลาและเป็นการพยายามที่สูญเปล่าอย่างที่สุด นี่คือบุคคลประเภทแรก กล่าวคือ ทารกที่พันผ้าอ้อม
ประเภทที่สอง: ช่วงระยะของทารกที่ยังดูดนม
เมื่อเปรียบเทียบกับทารกที่พันผ้าอ้อม บุคคลจำพวกนี้มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง น่าเศร้าใจที่พวกเขายังคงไม่มีความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม พวกเขายังคงขาดพร่องความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพระเจ้าและขาดพร่องความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาไม่เข้าใจชัดเจนนักว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้า แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขามีจุดประสงค์และแนวคิดที่ชัดเจนของพวกเขาเอง พวกเขาไม่สนใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ วัตถุประสงค์และจุดประสงค์ที่พวกเขาแสวงหาโดยผ่านทางการเชื่อในพระเจ้าคือการชื่นชมพระคุณของพระองค์ การมีความชื่นบานยินดีและสันติสุข การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย การชื่นชมการใส่พระทัยและการปกป้องของพระเจ้า และการใช้ชีวิตภายใต้พรของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับระดับที่พวกเขารู้จักพระเจ้า พวกเขาไม่มีความเร่งเร้าที่จะแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้กังวลสนใจว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสิ่งใด หรือพระองค์ทรงปรารถนาจะทำสิ่งใด พวกเขาเพียงแสวงหาอย่างหูหนวกตาบอดเพื่อให้ได้ชื่นชมพระคุณของพระองค์และได้รับพรจากพระองค์มากขึ้น พวกเขาพยายามที่จะได้รับเป็นร้อยเท่าในยุคปัจจุบัน และได้รับชีวิตนิรันดร์ในยุคที่กำลังจะมาถึง ความคิดของพวกเขา ระดับการสละตัวเองของพวกเขา การอุทิศตัวของพวกเขา และความทุกข์ของพวกเขา ทั้งหมดมีวัตถุประสงค์เดียวกัน นั่นคือ เพื่อให้ได้รับพระคุณและพรจากพระเจ้า พวกเขาไม่มีความกังวลสนใจเกี่ยวกับเรื่องอื่นใด บุคคลประเภทนี้มั่นใจแต่เพียงว่าพระเจ้าทรงสามารถรักษาผู้คนให้ปลอดภัยและประทานพระคุณของพระองค์ให้แก่พวกเขาได้ คนเราสามารถพูดได้ว่าพวกเขาไม่สนใจและไม่เข้าใจชัดเจนนักว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด หรือผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะได้รับด้วยพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาไม่เคยใช้ความมานะพยายามใดๆ เพื่อให้รู้จักเนื้อแท้และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่เคยรวบรวมความสนใจที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาขาดพร่องความโน้มเอียงที่จะให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะรู้จักสิ่งเหล่านี้ด้วย พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะถามถึงพระราชกิจของพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ เจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือสิ่งอื่นใดที่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า และพวกเขาขาดพร่องความโน้มเอียงนั้นมากเกินที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ นี่เป็นเพราะว่าพวกเขาเชื่อว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีความเกี่ยวโยงกับการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขากังวลสนใจแต่กับพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเองโดยตรง และผู้สามารถประทานพระคุณให้กับมนุษย์ได้เท่านั้น พวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ในสิ่งอื่นใดเลย และดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ ไม่ว่าพวกเขาจะได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม หากปราศจากผู้ที่คอยให้น้ำหรือป้อนอาหารพวกเขา ก็เป็นการยากที่พวกเขาจะเดินต่อไปในเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้า หากพวกเขาไม่สามารถชื่นชมความชื่นบานยินดีและสันติสุขก่อนหน้านั้นของพวกเขาหรือพระคุณของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วก็ค่อนข้างมีแนวโน้มว่าพวกเขาจะเดินจากไป นี่คือบุคคลประเภทที่สอง กล่าวคือ บุคคลที่ดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกที่ยังดูดนม
ประเภทที่สาม: ช่วงระยะของทารกที่หย่านม หรือช่วงระยะของเด็กเล็ก
ผู้คนกลุ่มนี้ครอบครองความตระหนักรู้ที่ชัดเจนระดับหนึ่ง พวกเขาตระหนักรู้ว่าการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าตัวพวกเขาเองครอบครองประสบการณ์ที่แท้จริง และพวกเขาตระหนักรู้ว่าถึงแม้ว่าพวกเขาไม่มีวันเบื่อการแสวงหาความชื่นบานยินดีและสันติสุข การแสวงหาพระคุณ หรือถึงแม้ว่าพวกเขาสามารถเป็นพยานโดยแบ่งปันประสบการณ์การชื่นชมพระคุณของพระเจ้าของพวกเขา หรือโดยสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพรที่พระองค์ได้ประทานให้พวกเขา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครอบครองชีวิต อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาครอบครองความเป็นจริงของความจริง โดยเริ่มต้นจากความมีสติของพวกเขา พวกเขายุติการมีความหวังที่ไร้เหตุผลว่าพวกเขาจะมีแต่พระคุณของพระเจ้าติดตามเคียงข้างเท่านั้น แต่พวกเขากลับปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อพระเจ้าในขณะที่พวกเขาชื่นชมพระคุณของพระเจ้าไปพร้อมกันแทน พวกเขาเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา สู้ทนความยากลำบากและความเหนื่อยล้าเล็กน้อย มีส่วนร่วมในการให้ความร่วมมือกับพระเจ้าในระดับหนึ่งๆ อย่างไรก็ตาม เพราะการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามีสิ่งเจือปนมากเกินไป เพราะเจตนาและความอยากแต่ละอย่างที่พวกเขาเก็บงำนั้นแข็งแกร่งเกินไป เพราะอุปนิสัยของพวกเขาโอหังลำพองมากเกินไป จึงยากยิ่งที่พวกเขาจะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือจงรักภักดีต่อพระเจ้า ดังนั้น พวกเขาจึงไม่สามารถทำให้ความปรารถนาแต่ละอย่างของพวกเขาเป็นจริง หรือทำตามสัญญาที่พวกเขามีให้กับพระเจ้าได้อยู่บ่อยครั้ง พวกเขามักพบตัวเองอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้ง กล่าวคือ พวกเขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยจนถึงระดับสูงสุดที่เป็นไปได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ใช้กำลังทั้งหมดของพวกเขาในการต่อต้านพระองค์ และพวกเขามักให้คำปฏิญาณต่อพระเจ้า แต่หลังจากนั้นก็ทำผิดคำปฏิญาณของพวกเขาอย่างรวดเร็ว และที่บ่อยยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามักพบตัวเองอยู่ในสภาวะที่ขัดแย้งอื่นๆ อีก กล่าวคือ พวกเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ แต่กระนั้นพวกเขาก็ปฏิเสธพระองค์และทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระองค์ พวกเขาหวังอย่างร้อนรนว่าพระเจ้าจะประทานความรู้แจ้งให้แก่พวกเขา นำทางพวกเขา จัดหาให้พวกเขา และช่วยเหลือพวกเขา แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงแสวงหาทางออกของตัวเอง พวกเขาปรารถนาที่จะเข้าใจและรู้จักพระเจ้า แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับหลีกเลี่ยงพระเจ้าอยู่เสมอ และหัวใจของพวกเขาปิดรับพระองค์ ในขณะที่พวกเขามีความเข้าใจและประสบการณ์เพียงผิวเผินเกี่ยวกับความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าและของความจริง และมีมโนทัศน์ที่ผิวเผินเกี่ยวกับพระเจ้าและความจริง พวกเขายังคงไม่สามารถยืนยันหรือกำหนดพิจารณาจากจิตใต้สำนึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงหรือไม่ หรือยืนยันว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมอย่างแท้จริงหรือไม่ พวกเขายังไม่สามารถกำหนดพิจารณาความเป็นจริงของพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะกำหนดพิจารณาการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระองค์ การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาประกอบด้วยความสงสัยและความเข้าใจผิดเสมอ และยังประกอบด้วยการจินตนาการและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายด้วยเช่นกัน ในขณะที่พวกเขาชื่นชมพระคุณของพระเจ้า พวกเขาก็ได้รับประสบการณ์หรือปฏิบัติตามความจริงบางอย่างด้วยความลังเลเช่นกัน ซึ่งพวกเขาพิจารณาความจริงเหล่านี้ว่ามีความเป็นไปได้ในการประเทืองการเชื่อของพวกเขา เสริมประสบการณ์ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ยืนยันความถูกต้องของความเข้าใจเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และสนองความทะนงของพวกเขาด้วยการเดินบนเส้นทางชีวิตที่ตัวพวกเขาเองสร้างขึ้น และทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมให้สำเร็จลุล่วงเพื่อมวลมนุษย์ ในขณะเดียวกัน พวกเขายังทำสิ่งเหล่านี้เพื่อสนองความอยากของพวกเขาเองเพื่อที่จะได้รับพร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเดิมพันที่พวกเขาวางด้วยความหวังว่าจะได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นสำหรับมนุษยชาติ และเพื่อให้สำเร็จลุล่วงในความทะเยอทะยานที่มักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากชั่วชีวิตของพวกเขาว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้รับพระเจ้าแล้ว ผู้คนเหล่านี้มีน้อยคนเหลือเกินที่จะสามารถได้รับความรู้แจ้งของพระเจ้า เพราะความอยากของพวกเขาและเจตนาที่จะได้รับพรของพวกเขานั้นสำคัญสำหรับพวกเขามากเกินไป พวกเขาไม่มีความอยากที่จะละทิ้งสิ่งนี้ และพวกเขาไม่สามารถทนที่จะทำเช่นนั้นได้โดยแท้ พวกเขากลัวว่าหากปราศจากความอยากที่จะได้รับพร และหากปราศจากความมักใหญ่ใฝ่สูงที่ทะนุถนอมมายาวนานว่าจะไม่หยุดพักจนกว่าพวกเขาจะได้รับพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะสูญเสียเครื่องกระตุ้นที่จะเชื่อในพระเจ้าไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้าความเป็นจริง พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับพระอุปนิสัยหรือเนื้อแท้ของพระเจ้าด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่จะพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้า นี่เป็นเพราะว่าทันทีที่พระเจ้า เนื้อแท้ของพระองค์ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์เข้าแทนที่การจินตนาการของพวกเขา ความฝันของพวกเขาจะลอยหายไปในควันไฟ และสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเชื่อที่บริสุทธิ์และ “คุณความดี” ที่สะสมผ่านการทำงานอย่างเพียรพยายามมานานหลายปีจะหายไปและกลายเป็นความว่างเปล่า ในทำนองเดียวกัน “อาณาเขต” ที่พวกเขาได้พิชิตด้วยหยาดเหงื่อและเลือดของพวกเขามานานหลายปีจะเผชิญกับการพังทลาย ทั้งหมดนี้จะมีนัยสำคัญว่าการทำงานและความมานะพยายามนานหลายปีของพวกเขาไร้ประโยชน์มาตลอด และว่าพวกเขาต้องเริ่มต้นจากความว่างเปล่าอีกครั้ง นี่คือความเจ็บปวดที่ยากลำบากที่สุดที่พวกเขาจะแบกรับไว้ในหัวใจของพวกเขา และเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาอยากจะเห็นน้อยที่สุด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงถูกขังไว้ในภาวะจนมุมนี้ และปฏิเสธที่จะหันหลังกลับ นี่คือบุคคลประเภทที่สาม กล่าวคือ บุคคลที่ดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกที่กำลังหย่านม
ผู้คนสามประเภทที่อธิบายไปข้างต้น—ซึ่งหมายถึงผู้ที่ดำรงอยู่ในสามช่วงระยะเหล่านี้—ไม่ได้ครอบครองความเชื่อที่แท้จริงใดๆ เกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาไม่ได้มีการระลึกรู้หรือการยืนยันที่ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำใดๆ เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น จึงเป็นการยากอย่างยิ่งที่ผู้คนสามประเภทนี้จะเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง อีกทั้งยังเป็นการยากเช่นกันที่พวกเขาจะได้รับความปรานี ความรู้แจ้ง หรือความกระจ่างของพระเจ้า เพราะลักษณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและท่าทีที่ผิดพลาดที่พวกเขามีต่อพระเจ้านั้นทำให้เป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจภายในหัวใจของพวกเขา ความสงสัย มโนทัศน์ผิดๆ และการจินตนาการของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีมากเกินกว่าการเชื่อและความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า เหล่านี้คือผู้คนสามประเภทที่มีความเสี่ยงอย่างมาก และเป็นสามช่วงระยะที่อันตรายอย่างมาก เมื่อคนเรารักษาท่าทีที่สงสัยพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้า เรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงหรือไม่และความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระองค์ และเมื่อคนเราไม่สามารถมั่นใจในสิ่งเหล่านี้ได้ คนเราจะสามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าได้อย่างไร? คนเราจะสามารถยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิตได้อย่างไร? คนเราจะสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้อย่างไร? คนเราจะสามารถยอมรับความรอดของพระเจ้าได้อย่างไร? คนประเภทนี้จะสามารถได้รับการทรงนำทางและการจัดเตรียมที่แท้จริงของพระเจ้าได้อย่างไร? ผู้ที่อยู่ในสามช่วงระยะเหล่านี้สามารถต่อต้านพระเจ้า ตัดสินพระเจ้า หมิ่นประมาทพระเจ้า หรือทรยศพระเจ้าได้ทุกเมื่อ พวกเขาสามารถทิ้งขว้างหนทางที่แท้จริงและละทิ้งพระเจ้าได้ทุกเมื่อ คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนในสามช่วงระยะเหล่านี้ดำรงอยู่ในช่วงเวลาวิกฤติ เพราะพวกเขาไม่เคยเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า
ประเภทที่สี่: ช่วงระยะของเด็กที่กำลังเติบโต หรือวัยเด็ก
หลังจากที่บุคคลหนึ่งหย่านมแล้ว—นั่นคือ หลังจากที่พวกเขาได้ชื่นชมพระคุณในปริมาณที่มากพอแล้ว—พวกเขาเริ่มต้นสำรวจความหมายของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขาเริ่มปรารถนาที่จะทำความเข้าใจคำถามต่างๆ เช่น เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์กับมนุษย์ เมื่อความคิดที่ไม่ชัดเจนและรูปแบบความคิดที่งุนงงสับสนเหล่านี้อุบัติขึ้นภายในตัวพวกเขาและดำรงอยู่ภายในตัวพวกเขา พวกเขาก็ได้รับการให้น้ำอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน ในระหว่างช่วงเวลานี้ พวกเขาไม่มีความสงสัยใดๆ อีกต่อไปเกี่ยวกับความจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขามีการจับความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำว่าการเชื่อในพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร บนพื้นฐานนี้ พวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าทีละน้อย และพวกเขาค่อยๆ ได้รับคำตอบบางอย่างสำหรับความคิดที่ไม่ชัดเจนและรูปแบบความคิดที่งุนงงสับสนของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาตลอดจนความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้านั้น ผู้คนในช่วงระยะนี้เริ่มต้นออกเดินบนร่องครรลองที่ถูกต้อง และพวกเขาเข้าสู่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน ผู้คนเริ่มมีชีวิตภายในช่วงระยะนี้เอง การบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงการครอบครองชีวิตคือการค่อยๆ ตอบคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับการรู้จักพระเจ้าที่ผู้คนมีอยู่ในหัวใจของพวกเขาทีละน้อย—เช่น ความเข้าใจผิด การจินตนาการ มโนคติที่หลงผิด และคำจำกัดความที่คลุมเครือเกี่ยวกับพระเจ้า—และไม่เพียงแต่พวกเขาจะมาเชื่อและระลึกได้จริงๆ ถึงความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังมาครอบครองคำจำกัดความที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับพระเจ้า และมีสถานที่ที่ถูกต้องสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาด้วย และการติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงจะเข้ามาแทนที่ความเชื่อที่คลุมเครือของพวกเขา ในระหว่างช่วงระยะนี้ ผู้คนค่อยๆ มารู้จักมโนทัศน์ผิดๆ ที่พวกเขามีต่อพระเจ้า รวมทั้งการไล่ตามเสาะหาและวิธีเชื่ออันคลาดเคลื่อนของพวกเขา พวกเขาเริ่มกระหายความจริง กระหายที่จะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การตีสอน และการบ่มวินัยของพระเจ้า และกระหายการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พวกเขาค่อยๆ ทิ้งมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการทุกชนิดเกี่ยวกับพระเจ้าไว้เบื้องหลังในระหว่างช่วงระยะนี้ และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงและแก้ไขความรู้ผิดๆ ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้ถูกต้อง และได้รับความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า ถึงแม้ว่าความรู้ส่วนหนึ่งที่ผู้คนในช่วงระยะนี้ครอบครองนั้นจะไม่เฉพาะเจาะจงหรือถูกต้องแม่นยำมากนัก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ เริ่มทิ้งขว้างมโนคติที่หลงผิด ความรู้ที่คลาดเคลื่อน และความเข้าใจผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาไม่รักษามโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาเองเกี่ยวกับพระเจ้าไว้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มต้นเรียนรู้วิธีทิ้งขว้าง—เพื่อทิ้งขว้างสิ่งทั้งหลายที่พบท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง สิ่งทั้งหลายจากความรู้ และสิ่งทั้งหลายจากซาตาน พวกเขาเริ่มเต็มใจที่จะนบนอบต่อสิ่งที่ถูกต้องและเป็นบวก แม้กระทั่งต่อสิ่งที่มาจากพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งที่สอดคล้องกับความจริง นอกจากนี้ พวกเขายังเริ่มพยายามที่จะได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า เริ่มพยายามที่จะรู้จักและปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ด้วยตัวเอง ยอมรับพระวจนะของพระองค์มาเป็นหลักการของการกระทำของพวกเขา และเป็นพื้นฐานในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ในระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้คนยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ขณะที่พวกเขายอมรับการพิพากษา การตีสอน และพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากลับกลายมามีความตระหนักรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสามารถสำนึกรับรู้ได้ว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อภายในหัวใจของพวกเขานั้นทรงมีอยู่อย่างแท้จริง พวกเขารู้สึกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในพระวจนะของพระเจ้า ในประสบการณ์ของพวกเขาและชีวิตของพวกเขาว่าพระเจ้าทรงเฝ้าดูชะตากรรมของมนุษย์เสมอ และทรงนำทางและจัดเตรียมให้มนุษย์เสมอ พวกเขาค่อยๆ ยืนยันถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยผ่านทางความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับพระเจ้า ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะตระหนัก พวกเขาก็ได้รับรองและเริ่มเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้าอย่างหนักแน่นโดยไม่รู้ตัวไปแล้ว และพวกเขาได้รับรองพระวจนะของพระเจ้าไปแล้ว ทันทีที่ผู้คนรับรองพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาจะปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ปฏิเสธมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง ปฏิเสธความรู้ของพวกเขาเอง ปฏิเสธการจินตนาการของพวกเขาเองอย่างไม่หยุดยั้ง และในขณะเดียวกันก็ยังแสวงหาว่าความจริงคืออะไรและเจตนารมณ์ของพระเจ้ามีอะไรบ้างอย่างไม่หยุดยั้งด้วยเช่นกัน ความรู้ที่ผู้คนมีเกี่ยวกับพระเจ้าค่อนข้างผิวเผินในระหว่างช่วงเวลาแห่งพัฒนาการนี้—พวกเขาไม่สามารถบรรยายความรู้นี้เป็นคำพูดได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ อีกทั้งพวกเขายังไม่สามารถแสดงความรู้นี้ในแง่ที่เป็นรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงได้—และพวกเขามีเพียงความเข้าใจที่มีพื้นฐานมาจากการรับรู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อนำมาวางเปรียบเทียบกับสามช่วงระยะก่อนหน้านี้ ชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของผู้คนในช่วงเวลานี้ได้รับการให้น้ำและการจัดหาพระวจนะของพระเจ้าให้เรียบร้อยแล้ว และดังนั้นจึงได้เริ่มผลิใบอ่อนแล้ว ชีวิตของพวกเขาเป็นเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ใต้พื้นดิน หลังจากที่ได้รับความชื้นและสารอาหารแล้ว มันจะงอกผ่านดินขึ้นมา และการผลิใบอ่อนของมันจะเป็นตัวแทนของการเกิดชีวิตใหม่ การเกิดนี้ทำให้คนเราสามารถมองเห็นสัญญาณของชีวิต เมื่อผู้คนมีชีวิต พวกเขาจะเติบโต ดังนั้น บนรากฐานเหล่านี้—กล่าวคือ การค่อยๆ เดินหน้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า การทิ้งขว้างมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง การได้รับการทรงนำทางโดยพระเจ้า—ชีวิตของผู้คนจะเติบโตทีละเล็กละน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การเติบโตนี้ประเมินวัดบนพื้นฐานใด? การเติบโตนี้ประเมินวัดตามประสบการณ์ที่บุคคลนั้นมีกับพระวจนะของพระเจ้า และความเข้าใจแท้จริงที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบว่าเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะใช้คำพูดของพวกเขาเองในการอธิบายอย่างถูกต้องแม่นยำถึงความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าและเนื้อแท้ของพระองค์ในระหว่างช่วงเวลาแห่งการเติบโตนี้ แต่ผู้คนกลุ่มนี้ก็ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความยินดีโดยผ่านทางการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าตามความชอบส่วนตัว หรือเต็มใจที่จะเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามเสาะหาจุดประสงค์ของพวกเขาเองในการได้รับพระคุณของพระองค์อีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตที่ดำเนินตามพระวจนะของพระเจ้า และกลายเป็นไพร่ฟ้าที่ได้รับความรอดของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามั่นใจและพร้อมที่จะยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า นี่คือเครื่องหมายของผู้ที่อยู่ในช่วงระยะแห่งการเติบโต
ถึงแม้ว่าผู้คนในช่วงระยะนี้จะมีความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่บ้าง แต่ความรู้นี้ก็พร่ามัวและเลือนรางอย่างมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบรรยายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างภายในแล้ว เพราะพวกเขาได้รับความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้ามาบ้างแล้ว อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ค่อนข้างผิวเผิน และยังอยู่ในช่วงระยะชั้นต้น ผู้คนกลุ่มนี้มีมุมมองที่เฉพาะเจาะจงซึ่งพวกเขาใช้ปฏิบัติต่อพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมุมมองนี้ได้รับการแสดงออกผ่านความเปลี่ยนแปลงของเป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา และวิธีการที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้น พวกเขาได้เห็นแล้วในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ในข้อพึงประสงค์ทุกประเภทของพระองค์ต่อมนุษย์ และในสิ่งที่พระองค์ทรงเผยเกี่ยวกับมนุษย์ ว่าหากพวกเขายังคงไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขายังคงไม่พยายามเข้าสู่ความเป็นจริง หากพวกเขายังคงไม่พยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและรู้จักพระเจ้าในขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสูญเสียความหมายของการเชื่อในพระเจ้า พวกเขามองเห็นว่า ไม่ว่าพวกเขาจะชื่นชมพระคุณของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือรู้จักพระเจ้าได้ และเห็นว่าหากผู้คนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้พระคุณของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่มีวันสัมฤทธิ์การเติบโต ได้รับชีวิต หรือสามารถได้รับความรอดได้ กล่าวโดยสรุปคือ หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและไร้ความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะคงอยู่ในช่วงระยะของทารกชั่วนิรันดร์ และไม่มีวันคืบหน้าแม้เพียงหนึ่งก้าวในการเติบโตของชีวิตของพวกเขา หากเจ้าดำรงอยู่ในช่วงระยะของทารกตลอดไป หากเจ้าไม่มีวันเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าไม่มีวันมีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของเจ้า หากเจ้าไม่มีวันครอบครองการเชื่อและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วจะมีความเป็นไปได้ใดๆ หรือไม่ที่พวกเจ้าจะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า? ดังนั้น ผู้ใดก็ตามที่เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่เริ่มยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า ผู้ใดก็ตามที่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง และผู้ใดก็ตามที่มีหัวใจที่กระหายความจริง ผู้ที่มีความอยากที่จะรู้จักพระเจ้า และความอยากที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า เหล่านี้คือผู้ที่ครอบครองชีวิตอย่างแท้จริง นี่คือบุคคลประเภทที่สี่อย่างแท้จริง นั่นคือประเภทของเด็กที่กำลังเติบโต ผู้ที่อยู่ในช่วงระยะของวัยเด็ก
ประเภทที่ห้า: ช่วงระยะการเติบโตเต็มที่ของชีวิต หรือช่วงระยะของผู้ใหญ่
หลังจากได้รับประสบการณ์และเดินเตาะแตะผ่านช่วงระยะของวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่วงระยะของการเติบโตที่เต็มไปด้วยการขึ้นลงซ้ำๆ แล้ว ชีวิตของผู้คนก็จะกลายเป็นมีเสถียรภาพขึ้น จังหวะก้าวเดินไปข้างหน้าของพวกเขาไม่หยุดยั้งเป็นครั้งคราวอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางพวกเขาได้ ถึงแม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยังคงขรุขระและตะปุ่มตะป่ำ แต่พวกเขาก็ไม่อ่อนแอหรือขลาดกลัวอีกต่อไป และพวกเขาไม่คลำทางไปข้างหน้าหรือไม่รู้เหนือรู้ใต้อีกต่อไป รากฐานของพวกเขาหยั่งรากลึกภายในประสบการณ์จริงกับพระวจนะของพระเจ้า และหัวใจของพวกเขาได้รับการดึงดูดจากความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พวกเขากระหายที่จะติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า ที่จะรู้เนื้อแท้ของพระเจ้า และที่จะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า
ผู้คนในช่วงระยะนี้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่าใครที่พวกเขาเชื่อ และพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าเหตุใดพวกเขาจึงควรเชื่อในพระเจ้าและความหมายของชีวิตของพวกเขาเอง และพวกเขารู้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือความจริง ในช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ พวกเขาระลึกได้ว่าหากปราศจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า บุคคลหนึ่งจะไม่มีวันสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยหรือรู้จักพระเจ้าได้ และจะไม่มีวันสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง ภายในหัวใจของผู้คนเหล่านี้คือความอยากอย่างยิ่งที่จะได้รับการทดสอบจากพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาอาจมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในขณะที่ได้รับการทดสอบ และเพื่อบรรลุถึงความรักที่บริสุทธิ์มากขึ้น และในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าใจและรู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงยิ่งขึ้น ผู้คนในช่วงระยะนี้ได้อำลาช่วงระยะของทารกและช่วงระยะของการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าและการกินขนมปังให้อิ่มท้องอย่างสิ้นเชิงแล้ว พวกเขาไม่วางความหวังอันฟุ้งเฟ้อไว้ที่การทำให้พระเจ้าทรงทนยอมรับและแสดงความปรานีต่อพวกเขาอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับมั่นใจและหวังที่จะได้รับการตีสอนและการพิพากษาอย่างไม่หยุดยั้งจากพระเจ้า เพื่อที่จะแยกตัวพวกเขาเองออกจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้า และการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา หรือเป้าหมายสุดท้ายของการไล่ตามเสาะหาของพวกเขา ทั้งหมดต่างชัดเจนอย่างยิ่งในหัวใจของพวกเขา ดังนั้น ผู้คนในช่วงระยะของผู้ใหญ่ได้อำลาช่วงระยะของความเชื่อที่คลุมเครือ ช่วงระยะที่พวกเขาอาศัยพระคุณเพื่อความรอด ช่วงระยะของชีวิตที่ยังไม่เติบโตเต็มที่และไม่สามารถทนต่อการทดสอบ ช่วงระยะของความพร่ามัว ช่วงระยะของการคลำทาง ช่วงระยะของการไม่มีเส้นทางให้เดินบ่อยครั้ง ช่วงเวลาที่ไม่มั่นคงของการสลับไปมาระหว่างความร้อนและความเย็นอย่างฉับพลัน และช่วงระยะที่คนเราติดตามพระเจ้าโดยที่ปิดตาข้างหนึ่ง อย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้คนประเภทนี้ได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้าบ่อยครั้ง และมีส่วนร่วมในการสมาคมและการสื่อสารที่แท้จริงกับพระเจ้าบ่อยครั้ง คนเราสามารถพูดได้ว่าผู้คนที่ใช้ชีวิตในช่วงระยะนี้เข้าใจเจตนารมณ์ส่วนหนึ่งของพระเจ้าแล้ว พวกเขาสามารถพบหลักธรรมของความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ และรู้ว่าจะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร นอกจากนั้น พวกเขายังได้พบเส้นทางแห่งการรู้จักพระเจ้าแล้ว และได้เริ่มเป็นพยานต่อความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าแล้ว ในช่วงระหว่างกระบวนการแห่งการเติบโตทีละน้อย พวกเขาได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าทีละน้อย ได้แก่ เจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษยชาติ และเจตนารมณ์ที่พระเจ้าทรงบริหารจัดการมนุษยชาติ พวกเขายังค่อยๆ ได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในแง่ของแก่นแท้ด้วยเช่นกัน ไม่มีมโนคติที่หลงผิดหรือการจินตนาการใดของมนุษย์ที่สามารถแทนที่ความรู้นี้ได้ ในขณะที่คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าในช่วงระยะที่ห้านั้นชีวิตของบุคคลหนึ่งเติบโตเต็มที่อย่างสมบูรณ์ หรือว่าบุคคลนี้มีความชอบธรรมหรือครบบริบูรณ์ ถึงอย่างนั้น บุคคลประเภทนี้ก็ได้ก้าวไปข้างหน้าสู่ช่วงระยะของการเติบโตเต็มที่ในชีวิตแล้ว และสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มายืนประจันกับพระวจนะของพระเจ้าและเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้แล้ว เพราะบุคคลประเภทนี้ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามากมายยิ่งนัก ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบนับไม่ถ้วน และได้รับประสบการณ์กับเหตุการณ์แห่งการบ่มวินัย การพิพากษา และการตีสอนนับไม่ถ้วนจากพระเจ้า การนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเขาจึงไม่ใช่การนบนอบแบบสัมพัทธ์ แต่เป็นการนบนอบที่แน่นอน ความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าได้แปลงรูปจากภาวะที่ไม่รู้ตัวเป็นความรู้ที่ชัดเจนและแม่นยำ จากผิวเผินเป็นลึกซึ้ง จากเบลอและพร่ามัวเป็นพิถีพิถันและจับต้องได้ พวกเขาได้เปลี่ยนจากการคลำทางอย่างพากเพียรและการแสวงหาในเชิงรับเป็นความรู้อย่างไม่ต้องพยายามและการเป็นพยานในเชิงรุก สามารถกล่าวได้ว่าผู้คนในช่วงระยะนี้มีความเป็นจริงความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเขาได้ก้าวไปบนเส้นทางสู่ความเพียบพร้อม เช่นเดียวกับเส้นทางที่เปโตรเดิน นี่คือบุคคลชนิดที่ห้า ผู้ที่ใช้ชีวิตในช่วงระยะของการเติบโตเต็มที่—ช่วงระยะของผู้ใหญ่
14 ธันวาคม ค.ศ. 2013