วิธีที่ขั้นตอนที่สองของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสัมฤทธิ์ผล

งานของคนปรนนิบัติคือขั้นตอนแรกในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  วันนี้คือขั้นตอนที่สองในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  เหตุใดจึงมีการกล่าวถึงการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยด้วยเช่นกัน?  นั่นก็เพื่อสร้างรากฐานสำหรับอนาคต  วันนี้คือขั้นตอนสุดท้ายของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย เวลาของการได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ลำบากใหญ่หลวง ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นอันเป็นกิจจะลักษณะในการทำให้มวลมนุษย์มีความเพียบพร้อม จะมาถึงในลำดับถัดไป  ปัญหาหลักในขณะนี้คือการพิชิตชัย แต่ขณะนี้ก็เป็นเวลาของขั้นตอนแรกในกระบวนการแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน  สิ่งที่ขั้นตอนแรกนี้นำมาคือการทำให้ความรู้และการเชื่อฟังของผู้คนเพียบพร้อม ซึ่งโดยปกติแล้วสร้างรากฐานสำหรับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  หากเจ้าหมายจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วเจ้าจะต้องสามารถตั้งมั่นท่ามกลางความทุกข์ลำบากของอนาคต และทุ่มเต็มกำลังของเจ้าเพื่อแผ่ขยายขั้นตอนต่อไปของพระราชกิจได้ นี่คือความหมายของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และเวลาเช่นนั้นยังเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงรับผู้คนไว้อย่างถ้วนทั่วด้วยเช่นกัน  วันนี้พวกเรากำลังพูดคุยถึงการถูกพิชิต ซึ่งเป็นอย่างเดียวกันกับการพูดคุยถึงการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  แต่งานที่ทำในวันนี้คือรากฐานสำหรับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในอนาคต ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับความทุกข์ยากเพื่อที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และประสบการณ์แห่งความทุกข์ยากนี้ต้องมีพื้นฐานอยู่ในการถูกพิชิต  หากผู้คนปราศจากรากฐานของวันนี้—หากพวกเขาไม่ได้ถูกพิชิตอย่างเด็ดขาด—เช่นนั้นแล้ว จะเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะตั้งมั่นในช่วงระหว่างขั้นตอนต่อไปของพระราชกิจ  การถูกพิชิตเพียงง่ายๆ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุด  การนี้เป็นแต่เพียงขั้นตอนหนึ่งของคำพยานที่มีให้กับพระเจ้าต่อหน้าซาตานเท่านั้น  การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือจุดมุ่งหมายสูงสุด และหากเจ้าไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจถูกตัดออกไปเช่นกัน  มีเพียงเมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากในอนาคตเท่านั้นจึงจะเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่า เมื่อนั้นเท่านั้นระดับความบริสุทธิ์ของความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้าจึงจะเป็นที่ประจักษ์ชัด  สิ่งที่ผู้คนพูดในวันนี้คือ  “พวกเราต้องเชื่อฟังพระเจ้าไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใดก็ตาม  ดังนั้นพวกเราเต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นที่สามารถแสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเมตตาพวกเราหรือสาปแช่งพวกเรา หรือไม่ว่าพระองค์จะทรงพิพากษาพวกเราหรือไม่ พวกเราก็ยังคงขอบคุณพระเจ้า”  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้ากล่าวสิ่งนี้แสดงให้เห็นเพียงว่าเจ้ามีความรู้ที่น้อยนิดอยู่บ้าง แต่การที่ความรู้เช่นนี้สามารถนำไปใช้ในความเป็นจริงได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าความรู้นี้เป็นจริงหรือไม่  การที่ผู้คนมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้เช่นนี้ในทุกวันนี้คือผลของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  การที่เจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้หรือไม่นั้น สามารถเห็นได้ในการเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากเท่านั้น และในเวลานั้นจะเห็นได้ว่าเจ้ารักพระเจ้าอย่างแท้จริงจากหัวใจของเจ้าหรือไม่  หากความรักของเจ้าบริสุทธิ์จริงๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะกล่าวว่า  “พวกเราคือตัวประกอบเสริมความเด่น พวกเราคือสรรพสิ่งที่ทรงสร้างในมือของพระเจ้า”  เมื่อเจ้าประกาศข่าวประเสริฐไปยังบรรดาคนต่างชาติ เจ้าจะกล่าวว่า “ฉันแค่กำลังทำงานปรนนิบัติ  ด้วยการใช้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามภายในตัวพวกเรา พระเจ้าได้ตรัสสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อแสดงให้พวกเราเห็นถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์ หากพระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งทั้งหลายเช่นนี้ พวกเราคงจะไร้ความสามารถที่จะเห็นพระเจ้าหรือเข้าใจพระปรีชาญาณของพระองค์ อีกทั้งไร้ความสามารถที่จะรับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนี้และพระพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้”  หากเจ้ามีความรู้จากประสบการณ์นี้อย่างถ่องแท้ เช่นนั้นแล้วนั่นก็เพียงพอแล้ว  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจ้ากล่าวในวันนี้มีมากมายที่ไม่ได้บรรจุความรู้อยู่เลย และทั้งหมดเป็นเพียงคติพจน์อันว่างเปล่าจำนวนมาก ดังที่ว่า  “พวกเราคือตัวประกอบเสริมความเด่นและคนปรนนิบัติ  พวกเราปรารถนาที่จะถูกพิชิต และเป็นคำพยานที่กึกก้องให้กับพระเจ้า…”  เพียงการร้องตะโกนไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีความเป็นจริง อีกทั้งไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าครอบครองวุฒิภาวะ เจ้าต้องมีความรู้ที่ถ่องแท้ และความรู้ของเจ้าต้องได้รับการนำไปทดสอบ

เจ้าควรอ่านถ้อยดำรัสเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงแสดงในระหว่างช่วงเวลานี้ให้มากขึ้น และนำมาเปรียบเทียบเพื่อดูการกระทำของเจ้า กล่าวคือ นี่เป็นข้อเท็จจริงอย่างแน่นอนว่าเจ้าสุขสบายและคือตัวประกอบเสริมความเด่นอย่างแท้จริง!  วันนี้ขอบเขตความรู้ของเจ้าเป็นอย่างไร?  แนวคิดของเจ้า ความคิดของเจ้า พฤติกรรมของเจ้า คำพูดและความประพฤติของเจ้า—การแสดงออกเหล่านี้ทั้งหมดไม่ได้รวมเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าหรอกหรือ?  การแสดงออกของพวกเจ้าไม่ใช่การสำแดงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามซึ่งถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้าหรือ?  ความคิดและแนวคิดของเจ้า แรงจูงใจของเจ้า และความเสื่อมทรามที่ถูกเปิดเผยในตัวเจ้าแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า รวมถึงความบริสุทธิ์ของพระองค์  พระเจ้าประสูติในดินแดนแห่งความโสมมเช่นกัน แต่พระองค์ยังคงมิได้แปดเปื้อนความโสมมนั้น  พระองค์ทรงใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันโสมมเดียวกันกับเจ้า แต่พระองค์ทรงครอบครองเหตุผลและการล่วงรู้ และพระองค์ทรงดูหมิ่นความโสมม  เจ้าอาจไม่แม้แต่จะสามารถสืบหาสิ่งใดที่โสมมในคำพูดและความประพฤติของเจ้า แต่พระองค์สามารถทำได้ และพระองค์ทรงชี้ให้เจ้าเห็นสิ่งเหล่านั้น  สิ่งเก่าๆ เหล่านี้ของเจ้า—การที่เจ้าขาดพร่องการปลูกฝัง ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และสำนึกรับรู้ รวมทั้งวิถีการดำเนินชีวิตที่ล้าหลังของเจ้า—ตอนนี้ถูกนำเข้ามาอยู่ในความสว่างโดยการเปิดเผยของวันนี้ มีเพียงโดยการที่พระเจ้าเสด็จมาบนแผ่นดินโลกเพื่อดำเนินพระราชกิจเท่านั้น ผู้คนจึงมองเห็นความบริสุทธิ์และพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์  พระองค์ทรงพิพากษาและทรงตีสอนเจ้า ทำให้เจ้าได้รับความเข้าใจ บางครั้งธรรมชาติเยี่ยงปีศาจของเจ้าสำแดงออกมา และพระองค์ก็ทรงชี้ให้เจ้าเห็นมัน  พระองค์ทรงรู้จักแก่นแท้ของมนุษย์ประดุจหลังพระหัตถ์ของพระองค์  พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางพวกเจ้า พระองค์เสวยอาหารแบบเดียวกับเจ้า และพระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกัน—แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ทรงรอบรู้มากกว่า พระองค์สามารถตีแผ่เจ้าและมองทะลุแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของมนุษย์  ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงดูหมิ่นมากไปกว่าปรัชญาในการดำเนินชีวิตและการโกงและการหลอกลวงของมนุษย์อีกแล้ว  พระองค์ทรงชิงชังปฏิสัมพันธ์ทางเนื้อหนังของผู้คนเป็นพิเศษ  พระองค์อาจไม่ทรงคุ้นเคยกับปรัชญาของมนุษย์ในการดำเนินชีวิต แต่พระองค์สามารถมองเห็นและตีแผ่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามที่ผู้คนเปิดเผยออกมาได้อย่างชัดเจน  พระองค์ทรงพระราชกิจเพื่อกล่าวและสอนมนุษย์โดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อพิพากษาผู้คน และเพื่อทำให้อุปนิสัยที่ชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระองค์เองสำแดงออกมา  ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงกลายเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับพระราชกิจของพระองค์  พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถทำให้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์และใบหน้าอันน่าเกลียดของซาตานเป็นที่กระจ่าง  แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงลงโทษเจ้า และเพียงทรงใช้เจ้าในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่เจ้าก็รู้สึกละอายใจและไม่พบสถานที่ที่จะซ่อนตัวของเจ้าเองเพราะเจ้าโสมมเกินไป  พระองค์ตรัสโดยใช้สิ่งเหล่านั้นซึ่งได้รับการเปิดโปงในตัวมนุษย์ และมีเพียงเมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกตีแผ่แล้วเท่านั้น ผู้คนจึงหันมาตระหนักว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์เพียงใด  พระองค์ไม่ได้ทรงมองข้ามแม้แต่มลทินอันน้อยนิดที่สุดในตัวมนุษย์ ไม่แม้แต่ความคิดที่โสมมในหัวใจของพวกเขา หากคำพูดและความประพฤติของผู้คนไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ไม่ทรงให้พวกเขามีข้อแก้ตัว  ในพระวจนะของพระองค์ไม่มีที่ว่างสำหรับความโสมมของมนุษย์หรือสิ่งอื่นใด—ทั้งหมดจะต้องถูกตีแผ่  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงเหมือนกับมนุษย์อย่างแท้จริง  หากมีความโสมมแม้แต่น้อยในตัวผู้คน เช่นนั้นแล้วพระองค์ย่อมรังเกียจพวกเขาอย่างที่สุด  มีแม้กระทั่งช่วงเวลาที่ผู้คนไม่สามารถเข้าใจและกล่าวว่า “พระเจ้า เหตุใดพระองค์จึงกริ้วเช่นนี้?  เหตุใดพระองค์จึงไม่ใส่พระทัยในความอ่อนแอของมนุษย์?  เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงสามารถให้อภัยผู้คนบ้างสักเล็กน้อย?  เหตุใดพระองค์จึงไม่สนพระทัยในมนุษย์ถึงเพียงนี้?  เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงทราบว่าผู้คนเสื่อมทรามไปมากเพียงใด แล้วเหตุใดพระองค์ยังคงทรงปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นนี้?”  พระองค์ทรงรังเกียจบาป พระองค์ทรงขยะแขยงสิ่งนั้น และพระองค์ทรงขยะแขยงเป็นอย่างยิ่งหากมีร่องรอยใดๆ ของการไม่เชื่อฟังในตัวเจ้า  เมื่อเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยที่เป็นกบฏ พระองค์ทรงเห็นและทรงขยะแขยงสิ่งนั้นยิ่งนัก—ทรงขยะแขยงเป็นพิเศษ  พระอุปนิสัยของพระองค์และสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นได้รับการสำแดงโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้นั่นเอง  เมื่อเจ้านำตัวเจ้าเองขึ้นมาเปรียบเทียบ เจ้าย่อมเห็นว่า ถึงแม้พระองค์เสวยอาหารแบบเดียวกับมนุษย์ ทรงสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ทรงชื่นชมสิ่งที่พวกเขาทำ รวมทั้งทรงดำเนินพระชนม์ชีพและทรงอยู่อาศัยกับพวกเขา ทว่าพระองค์ก็ไม่ทรงเหมือนกับมนุษย์  การนี้ไม่ใช่นัยสำคัญของตัวประกอบเสริมความเด่นหรอกหรือ?  ฤทธานุภาพของพระเจ้าถูกแสดงให้เห็นโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้ของมนุษย์  ความมืดนั่นเองที่ทำให้เกิดการดำรงอยู่อันมีค่าของความสว่าง

แน่นอนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำให้พวกเจ้าเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นเพียงเพราะทรงอยากจะทำ  ในทางกลับกัน เฉพาะเมื่อพระราชกิจนี้ผลิดอกออกผลเท่านั้นจึงจะกลายเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การเป็นกบฏของมนุษย์เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นเพียงเพราะพวกเจ้าคือตัวประกอบเสริมความเด่น พวกเจ้าจึงมีโอกาสที่จะทราบถึงการแสดงออกอันเป็นธรรมชาติของพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า  พวกเจ้าถูกพิพากษาและตีสอนเนื่องด้วยการเป็นกบฏของพวกเจ้า แต่ก็เป็นการเป็นกบฏของพวกเจ้าเช่นกันที่ทำให้พวกเจ้าคือตัวประกอบเสริมความเด่น และเป็นเพราะการเป็นกบฏของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงได้รับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานแก่พวกเจ้า  การเป็นกบฏของพวกเจ้าคือตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับฤทธานุภาพอันไม่สิ้นสุดและพระปรีชาญาณของพระเจ้า และยังเป็นเพราะการเป็นกบฏของพวกเจ้าเช่นกัน เจ้าจึงได้รับความรอดและพระพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้  แม้ว่าพวกเจ้าได้รับการพิพากษาจากเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พวกเจ้าก็ได้รับความรอดอันล้นเหลืออย่างที่มนุษย์ไม่เคยได้รับมาก่อน  พระราชกิจนี้มีนัยสำคัญสูงสุดสำหรับพวกเจ้า  การเป็น “ตัวประกอบเสริมความเด่น” ยังมีค่าอย่างที่สุดสำหรับพวกเจ้าเช่นกัน นั่นคือ พวกเจ้าได้รับการช่วยให้รอดและได้มาซึ่งพระคุณแห่งความรอดเพราะพวกเจ้าคือตัวประกอบเสริมความเด่น ดังนั้นตัวประกอบเสริมความเด่นดังกล่าวไม่ได้มีค่าสูงที่สุดหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีนัยสำคัญสูงสุดหรอกหรือ?  นี่เป็นเพราะพวกเจ้าดำรงชีวิตในอาณาจักรเดียวกัน ดินแดนอันโสมมเดียวกันกับพระเจ้า พวกเจ้าจึงเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นและได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไว้  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ใดเล่าจะเมตตาพวกเจ้า และผู้ใดเล่าจะเหลียวแลพวกเจ้า พวกผู้คนต่ำต้อยอย่างที่พวกเจ้าเป็น?  ผู้ใดเล่าจะดูแลพวกเจ้า?  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อจะทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกเจ้า เมื่อใดเล่าพวกเจ้าจึงจะได้รับความรอดนี้ซึ่งบรรดาผู้ที่มาก่อนเจ้าไม่เคยได้รับ?  หากเราไม่ได้บังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดูแลพวกเจ้า เพื่อพิพากษาบาปของพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่ร่วงหล่นลงสู่แดนคนตายไปนานแล้วหรอกหรือ?  หากเราไม่ได้บังเกิดเป็นมนุษย์และถ่อมใจของเราเองท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเจ้าไม่ได้เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นเพราะเรารับรูปสัณฐานอย่างมนุษย์ และมาอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าเพื่อทำให้พวกเจ้าสามารถได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้รับความรอดนี้ไว้เพราะเราบังเกิดเป็นมนุษย์หรอกหรือ?  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำรงพระชนม์ชีพกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะยังคงค้นพบว่าพวกเจ้ากำลังดำรงชีวิตที่ต่ำเตี้ยยิ่งกว่าสุนัขและสุกรในนรกแบบมนุษย์หรือไม่?  พวกเจ้ายังไม่ได้รับการตีสอนและพิพากษาเพราะพวกเจ้าเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับงานในเนื้อหนังของเราใช่หรือไม่?  ไม่มีงานใดที่เหมาะกับพวกเจ้ามากไปกว่างานตัวประกอบเสริมความเด่น ด้วยเหตุที่พวกเจ้าคือตัวประกอบเสริมความเด่น พวกเจ้าจึงได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการพิพากษา  พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าการมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำตนเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นถือเป็นพระพรในชีวิตของพวกเจ้าหรอกหรือ?  พวกเจ้าเพียงทำงานของตัวประกอบเสริมความเด่น แต่พวกเจ้าก็รับความรอดเช่นนั้นไว้อย่างที่พวกเจ้าไม่เคยได้มีหรือไม่เคยแม้แต่จินตนาการมาก่อน  วันนี้ หน้าที่ของพวกเจ้าคือการเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น และรางวัลอันสมควรของพวกเจ้าคือการชื่นชมพระพรนิรันดร์กาลในอนาคต  ความรอดที่พวกเจ้าได้รับไม่ใช่ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่างที่ไม่จีรังหรือความรู้บางอย่างที่ไม่ยั่งยืนเกี่ยวกับยุคปัจจุบัน แต่เป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือ การดำเนินต่อไปของชีวิตชั่วนิรันดร์  แม้เราได้ใช้ “ตัวประกอบเสริมความเด่น” เพื่อพิชิตพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ควรรู้ว่าความรอดและพรนี้ได้มอบให้เพื่อได้รับพวกเจ้าไว้ เพื่อประโยชน์ของการพิชิตชัย แต่ก็เพื่อที่เราอาจช่วยพวกเจ้าให้รอดได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน  “ตัวประกอบเสริมความเด่น” นั้นคือข้อเท็จจริง แต่เหตุผลที่พวกเจ้าเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นนั้นเนื่องมาจากการเป็นกบฏของพวกเจ้า และเป็นเพราะการนี้นั่นเอง เจ้าจึงได้รับพรที่ไม่มีใครเคยได้รับ  วันนี้พวกเจ้าได้รับการทำให้เห็นและได้ยิน พรุ่งนี้พวกเจ้าจะได้รับ และยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าจะได้รับพระพรอย่างมหาศาล  ดังนั้น ตัวประกอบเสริมความเด่นไม่ได้มีค่าสูงที่สุดหรอกหรือ?  ผลของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในวันนี้ สัมฤทธิ์ผลได้โดยผ่านทางอุปนิสัยที่เป็นกบฏของพวกเจ้าที่ทำในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่น  กล่าวคือ จุดสุดยอดของขั้นตอนที่สองของการตีสอนและการพิพากษา คือ การใช้สิ่งโสมมและการเป็นกบฏของพวกเจ้าเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น ซึ่งทำให้พวกเจ้าเห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า  เมื่อพวกเจ้าทำให้ตัวเองเชื่อฟังได้อีกครั้งในช่วงระหว่างขั้นตอนที่สองของการพิพากษาและการตีสอน เช่นนั้นแล้วพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าจึงปรากฏแก่พวกเจ้าอย่างเปิดเผย  กล่าวคือ เมื่อการยอมรับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของพวกเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุด นี่ก็เป็นเวลาที่พวกเจ้าเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่ของตัวประกอบเสริมความเด่นแล้วเช่นกัน  ไม่ใช่เจตนารมณ์ของเราที่จะตีตราพวกเจ้า  ในทางกลับกัน เรากำลังใช้บทบาทของพวกเจ้าในฐานะคนปรนนิบัติเพื่อดำเนินการขั้นตอนแรกของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย โดยแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้า  โดยผ่านทางความผิดแผกแตกต่างของพวกเจ้า โดยผ่านทางการเป็นกบฏของพวกเจ้าในการทำตนเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น ผลจากขั้นตอนที่สองของพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนั้นสัมฤทธิ์แล้ว เปิดเผยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าแก่พวกเจ้าอย่างเต็มที่ซึ่งไม่ได้ถูกเปิดเผยทั้งหมดทั้งมวลในขั้นตอนแรก และแสดงให้พวกเจ้าเห็นถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้า ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเป็นซึ่งประกอบด้วยพระปรีชาญาณ การอัศจรรย์ และความบริสุทธิ์อันไร้ที่ติของพระราชกิจของพระองค์  ผลของพระราชกิจเช่นนั้นสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยผ่านทางการพิชิตชัยในระหว่างช่วงเวลาที่แตกต่างกัน และโดยผ่านทางระดับการพิพากษาที่แตกต่างกัน  ยิ่งการพิพากษาใกล้ถึงจุดสูงสุดมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเผยให้เห็นอุปนิสัยที่เป็นกบฏของผู้คนมากขึ้นเท่านั้น และการพิชิตชัยก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น  พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมทั้งหมดทั้งปวงของพระเจ้าเป็นที่กระจ่างในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้  พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน และมีช่วงระยะและระดับที่แตกต่างกัน และดังนั้นแน่นอนว่าผลที่สัมฤทธิ์ได้ก็ย่อมแตกต่างกันด้วย  กล่าวคือ ขอบเขตการนบนอบของผู้คนนั้นกลายเป็นลุ่มลึกยิ่งกว่าที่เคย  หลังจากการนี้เท่านั้นผู้คนจึงจะสามารถได้รับการนำพาเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องไปสู่ความเพียบพร้อม อย่างครบถ้วน  หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น (เมื่อขั้นตอนที่สองของการพิพากษาสัมฤทธิ์ผลขั้นสุดท้าย) ผู้คนจึงจะไม่ถูกพิพากษาอีกต่อไป แต่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องในการได้รับประสบการณ์กับชีวิต  เนื่องจากการพิพากษาเป็นสิ่งแสดงถึงการพิชิตชัย และการพิชิตชัยอยู่ในรูปแบบของการพิพากษาและการตีสอน

พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในสถานที่ที่ล้าหลังและโสมมมากที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งหมด และในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าสามารถแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยที่บริสุทธิ์และชอบธรรมทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ได้อย่างชัดเจน  แล้วพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์แสดงให้เห็นโดยผ่านทางสิ่งใด?  พระอุปนิสัยนี้แสดงให้เห็นเมื่อพระองค์ทรงพิพากษาบาปของมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงพิพากษาซาตาน เมื่อพระองค์ทรงชิงชังบาป และเมื่อพระองค์ทรงรังเกียจศัตรูที่ต่อต้านและกบฏต่อพระองค์  วจนะที่เรากล่าวในวันนี้ก็เพื่อพิพากษาบาปของมนุษย์ เพื่อพิพากษาความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ เพื่อสาปแช่งการไม่เชื่อฟังของมนุษย์  การโกงและการหลอกลวงของมนุษย์ คำพูดและความประพฤติของมนุษย์—ทั้งหมดที่ไม่ลงรอยกับน้ำพระทัยของพระเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้การพิพากษา และความไม่เชื่อฟังทั้งหมดของมนุษย์จะต้องถูกประณามว่าเป็นบาป  พระวจนะของพระองค์เป็นไปตามหลักการแห่งการพิพากษา พระองค์ทรงใช้การพิพากษาความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ การสาปแช่งการเป็นกบฏของมนุษย์ และการตีแผ่ใบหน้าอันน่าเกลียดของมนุษย์เพื่อสำแดงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เอง  ความบริสุทธิ์เป็นสิ่งแสดงถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์ และอันที่จริงแล้ว ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแท้จริงแล้วคือพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าเป็นบริบทของวจนะในวันนี้—เราใช้วจนะเหล่านี้เพื่อพูดและพิพากษา และเพื่อดำเนินงานแห่งการพิชิตชัย  การนี้เพียงอย่างเดียวที่เป็นพระราชกิจอันแท้จริง และการนี้เพียงอย่างเดียวที่ทำให้ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าสาดแสง  หากไม่มีร่องรอยของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาเจ้า อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงแสดงให้เจ้าเห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์  เนื่องจากเจ้ามีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พระเจ้าจะไม่ทรงลงโทษเจ้า และโดยผ่านทางการนี้นี่เองความบริสุทธิ์ของพระองค์จะแสดงให้เห็น  หากพระเจ้าจะทรงเห็นว่าความโสมมและการเป็นกบฏของมนุษย์นั้นมีมากจนเกินไป แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวหรือพิพากษาเจ้า อีกทั้งไม่ได้ทรงตีสอนเจ้าเนื่องจากความไม่ชอบธรรมของเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่คงจะพิสูจน์ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า เพราะพระองค์คงจะไม่ทรงมีความเกลียดชังบาป พระองค์คงจะทรงโสมมเทียบเท่ามนุษย์  วันนี้ เป็นเพราะความโสมมของเจ้า เราจึงพิพากษาเจ้า และเป็นเพราะความเสื่อมทรามและการเป็นกบฏของเจ้า เราจึงตีสอนเจ้า  เราไม่ได้กำลังโอ้อวดฤทธานุภาพของเรากับพวกเจ้าหรือจงใจกดขี่พวกเจ้า เราทำสิ่งเหล่านี้เพราะพวกเจ้าผู้ที่เกิดในแผ่นดินแห่งความโสมมนี้เปรอะเปื้อนสิ่งโสมมอย่างรุนแรงยิ่งนัก  พวกเจ้าเพียงสูญเสียความซื่อตรงและสภาวะความเป็นมนุษย์ของตนเหมือนสุกรในที่สกปรกทั้งหลาย  เป็นเพราะความโสมมและความเสื่อมทรามของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงถูกพิพากษาและเราก็ปลดปล่อยความโกรธของเราใส่พวกเจ้า  แน่นอนว่าเป็นเพราะการพิพากษาโดยวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าจึงสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์ แน่นอนว่าเป็นเพราะความบริสุทธิ์ของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์นี่เอง พระองค์จึงทรงพิพากษาพวกเจ้าและทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ใส่พวกเจ้า และเป็นเพราะพระองค์ทรงเห็นความเป็นกบฏของมวลมนุษย์โดยแท้ พระองค์จึงทรงเผยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์ให้เห็น  ความโสมมและความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทำให้ความบริสุทธิ์ของพระองค์ปรากฏออกมา  นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ทรงบริสุทธิ์และไร้ที่ติ ทว่ายังดำรงพระชนม์ชีพในแผ่นดินแห่งความโสมม  หากบุคคลหนึ่งเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับผู้อื่น และไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เกี่ยวกับเขา และเขาไม่มีอุปนิสัยที่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาความชั่วช้าของมนุษย์ อีกทั้งเขาไม่เหมาะที่จะดำเนินการพิพากษามนุษย์  ผู้คนที่โสมมทัดเทียมกับอีกคนหนึ่งจะสามารถมีคุณสมบัติเหมาะสมในการพิพากษาบรรดาผู้ที่เหมือนกับพวกเขาได้อย่างไร?  พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถพิพากษามวลมนุษย์ที่โสมมทั้งหมดได้  มนุษย์จะสามารถพิพากษาบาปของมนุษย์ได้อย่างไรกัน?  มนุษย์จะสามารถเห็นบาปของมนุษย์ได้อย่างไรกัน และมนุษย์จะสามารถมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะกล่าวโทษบาปเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะพิพากษาบาปของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพระองค์จะสามารถเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงชอบธรรมได้อย่างไร?  เป็นเพราะผู้คนเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทราม พระเจ้าจึงตรัสพิพากษาพวกเขา และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถมองเห็นว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์  ขณะที่พระองค์ทรงพิพากษาและตีสอนมนุษย์เพราะบาปของเขา โดยทรงตีแผ่บาปของมนุษย์ไปพร้อมกันนั้น ไม่มีใครหรือสิ่งใดสามารถหลีกหนีการพิพากษานี้ได้ ทั้งหมดที่โสมมนั้นถูกพระองค์พิพากษา และด้วยเหตุนี้เท่านั้นที่พระอุปนิสัยของพระองค์ได้รับการเปิดเผยว่าชอบธรรม  หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว จะสามารถกล่าวได้อย่างไรว่าพวกเจ้าเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นทั้งในนามและในข้อเท็จจริง?

มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างพระราชกิจที่ได้ทำในอิสราเอลและพระราชกิจของวันนี้  พระยาห์เวห์ทรงนำชีวิตของคนอิสราเอล และไม่มีการตีสอนและการพิพากษามากนัก เพราะในเวลานั้นผู้คนยังไม่ค่อยเข้าใจโลกและมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามอยู่น้อย  ตอนนั้น คนอิสราเอลเชื่อฟังพระยาห์เวห์โดยไม่มีข้อกังขา  เมื่อพระองค์ตรัสบอกให้พวกเขาสร้างแท่นบูชา พวกเขาก็สร้างแท่นบูชาขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อพระองค์ตรัสบอกให้พวกเขาสวมเสื้อคลุมของปุโรหิต พวกเขาก็เชื่อฟัง  ในสมัยนั้น พระยาห์เวห์ทรงเป็นเหมือนคนเลี้ยงแกะที่เฝ้าฝูงแกะ โดยมีแกะเดินตามการนำทางของคนเลี้ยงแกะและกินหญ้าในทุ่งหญ้า พระยาห์เวห์ทรงนำชีวิตของพวกเขา นำทางพวกเขาในวิธีที่พวกเขากิน แต่งกาย พักพิง และเดินทาง  นั่นไม่ใช่เวลาที่จะทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นที่กระจ่าง เพราะมนุษย์ในสมัยนั้นเป็นเด็กแรกเกิด มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นกบฏและเป็นปรปักษ์ ไม่มีความโสมมมากนักท่ามกลางมวลมนุษย์ และดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถทำตนเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  โดยผ่านทางผู้คนที่มาจากแผ่นดินแห่งความโสมมนั่นเอง ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจึงแสดงให้เห็น วันนี้ พระองค์ทรงใช้ความโสมมที่แสดงให้เห็นในตัวผู้คนเหล่านี้ของแผ่นดินแห่งความโสมม และพระองค์ทรงพิพากษา และด้วยเหตุนี้สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นจึงได้รับการเปิดเผยท่ามกลางการพิพากษา  เหตุใดพระองค์จึงทรงพิพากษา?  พระองค์สามารถตรัสพระวจนะแห่งการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงดูหมิ่นบาป พระองค์จะกริ้วถึงเพียงนั้นได้อย่างไรหากพระองค์ไม่ได้ทรงชิงชังการเป็นกบฏของมวลมนุษย์?  หากไม่มีความเดียดฉันท์ภายในพระองค์ ไม่มีความสะอิดสะเอียน หากพระองค์ไม่ใส่พระทัยต่อการเป็นกบฏของผู้คน เช่นนั้นแล้วนั่นก็จะพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงโสมมเท่ากันกับมนุษย์  การที่พระองค์สามารถพิพากษาและตีสอนมนุษย์ได้ก็เพราะพระองค์ทรงเกลียดชังความโสมม และสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดชังนั้นไม่มีอยู่ในพระองค์  หากมีการต่อต้านและความเป็นกบฏอยู่ในพระองค์เช่นกัน พระองค์คงจะไม่ทรงดูหมิ่นพวกที่เป็นปรปักษ์และเป็นกบฏ  หากมีการดำเนินพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายในอิสราเอล ก็คงจะไม่มีความหมายใดๆ ในพระราชกิจนั้น  เหตุใดพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายจึงกำลังได้รับการทรงงานในประเทศจีน สถานที่ที่มืดมิดที่สุดและล้าหลังมากที่สุดในบรรดาประเทศทั้งปวง?  นั่นก็เพื่อแสดงความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระองค์  กล่าวโดยย่อคือ ยิ่งสถานที่มืดมิดมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งแสดงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น  อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของพระเจ้า  มีเพียงในวันนี้เท่านั้นที่พวกเจ้าตระหนักได้ว่าพระเจ้าได้เสด็จลงมาจากฟ้าสวรรค์เพื่อมายืนท่ามกลางพวกเจ้า โดยมีสิ่งโสมมและความเป็นกบฏของพวกเจ้าเป็นเครื่องขับเน้นให้พระองค์ทรงโดดเด่นออกมา และตอนนี้เท่านั้นที่พวกเจ้ารู้จักพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การยกย่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอกหรือ?  อันที่จริงแล้ว พวกเจ้าเป็นกลุ่มคนในประเทศจีนที่ได้รับการเลือกสรร  และเพราะเจ้าได้รับการเลือกสรรและได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเรื่อยมา และเพราะเจ้าไม่เหมาะสมที่จะชื่นชมพระคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าทั้งหมดนี้คือการยกย่องในระดับสูงสุดของพวกเจ้า  พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อพวกเจ้า และได้ทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นถึงพระอุปนิสัยที่บริสุทธิ์ทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงมอบทั้งหมดนั้นแก่พวกเจ้า และได้ทรงทำให้พวกเจ้าชื่นชมพระพรทั้งหมดที่พวกเจ้าอาจสามารถชื่นชมได้  ไม่เพียงแต่เจ้าจะได้ลิ้มรสพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังได้ลิ้มรสความรอดของพระเจ้า การไถ่ของพระเจ้า และการรักพระเจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พวกเจ้าที่โสมมที่สุดแล้วนั้นได้ชื่นชมพระคุณที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น—เจ้าไม่ได้รับพระพรหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่การที่พระเจ้าทรงยกเจ้าขึ้นมาหรอกหรือ?  ผู้คนอย่างพวกเจ้ามีสถานะต่ำที่สุดแล้ว เจ้าไม่คู่ควรกับการชื่นชมพระพรอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ แต่กระนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงสร้างข้อยกเว้นด้วยการยกเจ้าขึ้น  เจ้าไม่รู้สึกละอายใจหรือ?  หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะละอายใจต่อตัวเจ้าเองในท้ายที่สุด และเจ้าจะลงโทษตัวเจ้าเอง  วันนี้ เจ้าไม่ถูกบ่มวินัย อีกทั้งเจ้าไม่ถูกลงโทษ เนื้อหนังของเจ้าปลอดภัยดี—แต่ท้ายที่สุดแล้ว วจนะเหล่านี้จะทำให้เจ้าอับอาย  จนถึงวันนี้ เรายังไม่ได้ตีสอนผู้ใดอย่างเปิดเผย วจนะของเราอาจรุนแรง แต่เรากระทำตนต่อผู้คนอย่างไร?  เราชูใจพวกเขา และเตือนสติพวกเขา และเตือนความจำพวกเขา  เราทำการนี้โดยไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอด  พวกเจ้าไม่เข้าใจเจตจำนงของเราจริงๆ หรือ?  พวกเจ้าควรเข้าใจสิ่งที่เรากล่าว และได้รับแรงดลใจจากสิ่งนั้น  มีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่มีผู้คนมากมายที่เข้าใจ  การนี้ไม่ใช่พระพรของการเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นหรอกหรือ?  การเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นไม่ใช่การได้รับพระพรมากที่สุดหรอกหรือ?  ท้ายที่สุด เมื่อเจ้าไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเจ้าจะกล่าวดังนี้ว่า  “พวกเราคือตัวประกอบเสริมความเด่นที่เป็นแบบฉบับเฉพาะ”  พวกเขาจะถามเจ้าว่า “การที่เธอเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นที่เป็นแบบฉบับเฉพาะหมายความว่าอะไร?”  และเจ้าจะกล่าวว่า  “พวกเราคือตัวประกอบเสริมความเด่นของพระราชกิจของพระเจ้า และของฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์  พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้านั้นถูกความเป็นกบฏของพวกเรานำออกมาแผ่วาง พวกเราเป็นวัตถุที่ใช้ปรนนิบัติพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเราเป็นรยางค์ของพระราชกิจของพระองค์ และยังเป็นเครื่องมือของพระราชกิจด้วยเช่นกัน”  เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้น พวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจ  จากนั้น เจ้าจะกล่าวว่า  “พวกเราเป็นชิ้นงานตัวอย่างและแบบอย่างของการเสร็จสมบูรณ์แห่งพระราชกิจทั่วทั้งจักรวาลของพระเจ้า และของการพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระองค์  ไม่ว่าพวกเราจะบริสุทธิ์หรือโสมม กล่าวโดยย่อแล้ว พวกเราก็ยังคงได้รับพระพรมากกว่าพวกเจ้า เพราะพวกเราได้เห็นพระเจ้าแล้ว และฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าถูกแสดงให้เห็นโดยผ่านทางโอกาสของการที่พระองค์ทรงพิชิตพวกเรา เป็นเพียงเพราะพวกเราโสมมและเสื่อมทรามนั่นเอง จึงทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์โดดเด่นขึ้นมา  พวกเธอมีความสามารถในการเป็นพยานเช่นนั้นให้กับพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเธอไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม!  นี่ไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากการยกย่องที่พระเจ้าทรงมีให้พวกเรา!  แม้ว่าพวกเราอาจจะไม่โอหัง แต่พวกเราสามารถสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างภาคภูมิใจ เพราะไม่มีใครสามารถสืบทอดสัญญาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ และไม่มีใครสามารถชื่นชมพระพรอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้  พวกเรารู้สึกสำนึกรู้คุณยิ่งนักที่พวกเราซึ่งเป็นผู้ที่โสมมสามารถทำงานในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่นในช่วงระหว่างการบริหารจัดการของพระเจ้าได้”  และเมื่อพวกเขาถามว่า “ชิ้นงานตัวอย่างและแบบอย่างคืออะไร?”  เจ้าก็กล่าวว่า “พวกเราเป็นมวลมนุษย์ที่เป็นกบฏและโสมมที่สุด พวกเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง และพวกเราเป็นเนื้อหนังที่ล้าหลังและต่ำต้อยที่สุด  พวกเราคือตัวอย่างชั้นเอกของพวกที่เคยถูกซาตานใช้  วันนี้พวกเราได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าให้เป็นลำดับแรกท่ามกลางมวลมนุษย์ที่จะถูกพิชิต และพวกเราได้มองเห็นพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้าและได้สืบทอดพระสัญญาของพระองค์ พวกเรากำลังได้รับการช่วงใช้เพื่อพิชิตผู้คนให้มากขึ้น ดังนั้นพวกเราจึงเป็นชิ้นงานตัวอย่างและแบบอย่างของบรรดาผู้ที่ถูกพิชิตท่ามกลางมวลมนุษย์”  ไม่มีคำพยานใดที่ดีไปกว่าคำพูดเหล่านี้ และนี่คือประสบการณ์ที่ดีที่สุดของเจ้า

ก่อนหน้า: เหตุใดเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น?

ถัดไป: ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (2)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger