อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?

ผู้คนเชื่อในพระเจ้ามานาน ถึงกระนั้นพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีความเข้าใจว่าคำว่า “พระเจ้า” หมายถึงอะไร และเพียงติดตามด้วยความว้าวุ่นสับสนเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดกันแน่ที่มนุษย์ควรเชื่อในพระเจ้า หรือว่าพระเจ้าทรงเป็นอะไร  หากผู้คนรู้เพียงที่จะเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์เท่านั้น แต่ไม่รู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และหากพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้าด้วยแล้วไซร้ เช่นนี้จะไม่นับเป็นเรื่องชวนขันขนานใหญ่หรอกหรือ?  แม้ว่าได้มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว ผู้คนได้เคยเป็นพยานถึงข้อความล้ำลึกแห่งสวรรค์หลายอย่าง ทั้งยังเคยได้ยินเรื่องความรู้อันลุ่มลึกที่มนุษย์ไม่เคยเข้าใจมาแล้วก็มาก แต่พวกเขาก็รู้ไม่เท่าทันถึงความจริงพื้นฐานที่สุดหลายประการซึ่งมนุษย์ไม่เคยไตร่ตรองมาก่อน  บางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี  เราจะไม่รู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นได้อย่างไร?  คำถามนี้ไม่ดูเบาพวกเราไปหน่อยหรือ?”  อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงนั้น แม้ผู้คนจะติดตามเราในวันนี้ พวกเขากลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานใดๆ ของเราในวันนี้เลย ทั้งยังล้มเหลวในการจับความเข้าใจแม้แต่คำถามที่ชัดเจนและง่ายที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำถามต่างๆ ที่ซับซ้อนมากๆ อย่างบรรดาคำถามที่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย  จงรู้เถิดว่าบรรดาคำถามที่เจ้าไม่ใส่ใจ ที่เจ้าไม่เคยระบุถึงนั้นคือคำถามที่สำคัญที่สุดซึ่งเจ้าต้องเข้าใจ นั่นเพราะว่าเจ้ารู้จักแต่การติดตามหมู่คนเท่านั้น โดยไม่สนใจและไม่ใส่ใจว่าเจ้าควรจะเตรียมตนเองให้พร้อมในเรื่องใดบ้าง  เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือว่าเหตุใดเจ้าจึงควรมีความเชื่อในพระเจ้า?  เจ้ารู้จริงๆ หรือในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น?  เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือในสิ่งที่มนุษย์เป็น?  ในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งมีความเชื่อในพระเจ้า หากเจ้าล้มเหลวที่จะเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เจ้าก็ไม่ได้หมดสิ้นศักดิ์ศรีของผู้เชื่อในพระเจ้าหรอกหรือ?  งานของเราในวันนี้คือ การทำให้ผู้คนเข้าใจแก่นแท้ของพวกเขา เข้าใจสิ่งทั้งสิ้นที่เราทำ และรู้จักพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า  นี่เป็นปฏิบัติการปิดท้ายของแผนการบริหารจัดการของเรา ช่วงระยะสุดท้ายของงานของเรา  นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงบอกพวกเจ้าล่วงหน้าเรื่องความล้ำลึกทั้งสิ้นของชีวิต เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถยอมรับมันจากเราได้  เมื่อสิ่งนี้คืองานแห่งยุคสุดท้าย เราจึงต้องบอกความจริงชีวิตทั้งปวงที่พวกเจ้าไม่เคยยอมรับมาก่อนให้พวกเจ้ารู้ แม้พวกเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจหรือทนรับได้เนื่องจากการที่เพียงขาดตกบกพร่องเกินไปและมีความพร้อมในตัวน้อยเกินไป  เราจะสรุปปิดตัวงานของเรา นั่นก็คือเราจะทำงานที่เราควรทำให้เสร็จสิ้นเสียก่อน และจะบอกพวกเจ้าถึงเรื่องทั้งหมดที่เราได้บัญชาให้พวกเจ้าทำ เพื่อไม่ให้พวกเจ้าหลงผิดและพลัดตกลงไปในกลอุบายของมารอีกเมื่อความมืดมิดเคลื่อนตัวลงมา  มีหลายหนทางที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ หลายเรื่องที่พวกเจ้าไม่มีความรู้เอาเสียเลย  พวกเจ้าช่างไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก เรารู้อยู่เต็มเปี่ยมถึงวุฒิภาวะของพวกเจ้าและข้อบกพร่องต่างๆ ของพวกเจ้า  เพราะฉะนั้น แม้จะมีถ้อยคำมากมายที่พวกเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้ แต่เราก็ยังคงเต็มใจที่จะบอกความจริงซึ่งพวกเจ้าไม่เคยยอมรับมาก่อนทั้งปวงนี้แก่พวกเจ้า นั่นเพราะเรากังวลอยู่ตลอดเวลาว่าด้วยวุฒิภาวะของพวกเจ้าในขณะนี้ พวกเจ้าจะสามารถยืนหยัดในคำพยานของเจ้าที่มีต่อเราได้หรือไม่  หาใช่ว่าเราคิดว่าพวกเจ้ามีค่าเพียงเล็กน้อยไม่ พวกเจ้าทั้งหมดคือสัตว์ร้ายที่ยังต้องก้าวผ่านการฝึกฝนอย่างเป็นทางการของเรา และเรามิอาจมองเห็นได้โดยสิ้นเชิงว่ามีเกียรติยศมากเพียงใดภายในพวกเจ้า  แม้ว่าเราได้สละพลังงานไปอย่างมากในการทำงานกับพวกเจ้า ดูเหมือนว่าองค์ประกอบที่เป็นบวกในพวกเจ้านั้นจะไม่มีอยู่จริงในทางปฏิบัติ และองค์ประกอบที่เป็นลบก็มีเพียงนับนิ้วได้และเป็นได้แค่คำพยานที่ทำให้ซาตานละอายใจเท่านั้น  อย่างอื่นแทบทุกอย่างในตัวพวกเจ้าคือพิษของซาตาน  พวกเจ้ามองดูเราราวกับว่าพวกเจ้าอยู่เหนือความรอด  เมื่อเรื่องราวต่างๆ ยืนยันเช่นนี้ เรามองดูการแสดงออกและอากัปกิริยานานาสารพันของพวกเจ้า แล้วในที่สุดเราก็รู้วุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า  นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราจึงวิตกกังวลในเรื่องพวกเจ้าอยู่เสมอ เมื่อถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตตามลำพังแบบนี้ มนุษย์จะดีขึ้นกว่าวันนี้จริงๆ หรือแค่พอๆ กับที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้หนอ?  วุฒิภาวะดุจทารกของพวกเจ้าไม่ทำให้พวกเจ้ากระวนกระวายเลยหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนคนอิสราเอลที่เราเลือกสรร—คนที่จงรักภักดีต่อเรา และต่อเราเพียงผู้เดียวตลอดเวลาได้จริงๆ หรือไม่?  สิ่งที่ถูกเปิดเผยในพวกเจ้านั้นหาใช่ความประพฤติผิดของเด็กๆ ที่ได้หลงผิดไปจากพ่อแม่ไม่ แต่เป็นความเดียรัจฉานที่ระเบิดออกมาจากสัตว์ที่แส้ของนายมันเฆี่ยนไม่ถึง  พวกเจ้าพึงรู้จักธรรมชาติของตนเอง อันเป็นจุดอ่อนที่พวกเจ้ามีร่วมกัน มันคือความเจ็บป่วยที่พวกเจ้าทุกคนรู้จักกันดี  ดังนั้น การเตือนสติเดียวที่เราจะมอบแก่พวกเจ้าในวันนี้คือ จงยืนหยัดในคำพยานที่เจ้ามีต่อเราไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดๆ จงอย่าให้ความเจ็บป่วยเดิมกำเริบขึ้นมาอีก  การเป็นคำพยานนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด—มันคือหัวใจแห่งงานของเรา  พวกเจ้าควรยอมรับวจนะของเราเช่นเดียวกับที่มารีย์ยอมรับวิวรณ์ของพระยาห์เวห์ที่มาถึงเธอในความฝัน นั่นคือ โดยการเชื่อและตามด้วยการนบนอบ  เพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงมีคุณสมบัติของการเป็นผู้รักษาพรหมจรรย์  เนื่องจากพวกเจ้าเป็นผู้ที่ได้ยินวจนะของเรามากที่สุด จึงเป็นผู้ที่ได้รับพรจากเรามากที่สุด  เราได้มอบสิ่งครองที่มีค่าทั้งหมดที่เรามีให้แก่พวกเจ้า เราได้มอบทุกสิ่งแก่พวกเจ้าไปแล้ว ถึงกระนั้นพวกเจ้าช่างมีสถานภาพที่แตกต่างอย่างมหาศาลเหลือเกินกับคนอิสราเอล พวกเจ้าช่างต่างกันคนละโลกเลยทีเดียว  แต่เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว พวกเจ้าได้รับมากกว่าอย่างมากมาย ในขณะที่พวกเขาเฝ้ารอคอยการปรากฏของเราอย่างแทบขาดใจ พวกเจ้ากลับผ่านวันอันน่ายินดีไปกับเรา และแบ่งปันความไพบูลย์ของเรา  ในเมื่อมีความแตกต่างกันมากเช่นนี้ เจ้ามีสิทธิ์อันใดหรือที่จะพร่ำบ่นปาวๆ และต่อล้อต่อเถียงกับเรา และเรียกร้องส่วนแบ่งในสิ่งที่เราครอง?  พวกเจ้ายังได้รับไม่มากหรอกหรือ?  เราให้พวกเจ้ามากมาย แต่สิ่งที่พวกเจ้าตอบแทนเรามีแต่ความโศกเศร้าร้าวใจและความวิตกกังวล ความคับแค้นใจและความไม่พอใจที่มิอาจข่มได้เท่านั้นเอง  พวกเจ้าช่างน่ารังเกียจเดียดฉันท์เหลือเกิน—แต่ทว่าก็น่าสงสารอยู่เช่นกัน ดังนั้น เราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล้ำกลืนความคับแค้นใจทั้งหมดของเราเอาไว้และเปล่งเสียงแสดงความโต้แย้งของเราต่อเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า  กว่าหลายพันปีของงาน เราไม่เคยท้วงติงตัดพ้อต่อมวลมนุษย์ เพราะเราได้ค้นพบว่า ตลอดพัฒนาการของมนุษยชาตินั้น มีเพียง “กลลวง” ท่ามกลางพวกเจ้าเท่านั้นที่กลายมาเป็นที่รู้จักมากที่สุด เสมือนมรดกล้ำค่าที่ตกทอดมาสู่พวกเจ้าโดยบรรพบุรุษผู้มีชื่อเสียงในบรรพกาล  เราเกลียดชังพวกลูกผสมสุกรและสุนัขที่คล้ายมนุษย์เต็มที  พวกเจ้าช่างไร้มโนธรรมอะไรเช่นนี้หนอ!  พวกเจ้าช่างมีบุคลิกลักษณะที่ต่ำช้าเกินไป!  หัวใจของพวกเจ้าช่างแข็งกระด้างเกินไป!  หากเราเอาวจนะเหล่านั้นและงานที่เราทำไปให้แก่คนอิสราเอล เราคงได้รับสง่าราศีไปเนิ่นนานแล้ว  ทว่าท่ามกลางพวกเจ้า เรื่องนี้กลับมิอาจบรรลุถึงได้ ท่ามกลางพวกเจ้านั้น มีเพียงความเพิกเฉยอย่างโหดร้าย มีเพียงท่าทียักไหล่อย่างไม่นำพาของพวกเจ้าและข้ออ้างมากมายของพวกเจ้า พวกเจ้าช่างไร้ความรู้สึกเกินไปและไร้ค่าอย่างถึงที่สุด!

พวกเจ้าควรอุทิศตนทั้งสิ้นแก่งานของเรา  พวกเจ้าควรทำงานที่ให้ประโยชน์ต่อเรา  เราเต็มใจอธิบายทุกอย่างที่พวกเจ้าไม่เข้าใจเพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถได้รับทั้งหมดทุกสิ่งที่ยังขาดพร่องอยู่จากเราได้  แม้ว่าความบกพร่องของพวกเจ้านั้นมากล้นเกินคณานับ เราก็ยังเต็มใจที่จะทำงานที่ควรทำกับพวกเจ้าต่อไป และมอบความปรานีสุดท้ายของเราเพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับผลประโยชน์จากเรา และได้รับเกียรติยศที่ขาดหายไปในตัวพวกเจ้า และเป็นสิ่งที่โลกไม่เคยได้เห็น  เราได้ทำงานมาหลายปี ถึงกระนั้นก็ไม่มีมนุษย์คนใดรู้จักเราเลย  เราปรารถนาจะบอกสิ่งลี้ลับหลายอย่างแก่พวกเจ้าซึ่งเราไม่เคยบอกใครอื่นมาก่อนเลย

ท่ามกลางมนุษย์นั้น เราเคยเป็นวิญญาณที่พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ วิญญาณที่พวกเขาไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์ด้วยได้  ด้วยเพราะงานสามช่วงระยะบนแผ่นดินโลกนี้ (การสร้างโลก การไถ่และการทำลายล้าง) เราจึงปรากฏท่ามกลางพวกเขาในเวลาต่างๆ กัน (อย่างไม่เปิดเผย) เพื่อทำงานของเราท่ามกลางพวกเขา  ครั้งแรกที่เราได้มาอยู่ท่ามกลางมนุษย์คือในระหว่างยุคแห่งการไถ่  แน่นอนว่า เราเข้ามาในครอบครัวชาวยิวครอบครัวหนึ่ง ดังนั้น คนพวกแรกที่ได้เห็นพระเจ้าเสด็จมาในแผ่นดินโลกก็คือพวกยิว  เหตุผลที่เราได้ทำงานนี้ด้วยตัวเองก็เพราะว่าเราต้องประสงค์ที่จะใช้เนื้อหนังที่มาประสูติของเราเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อทำงานแห่งการไถ่ของเรา  ดังนั้น คนพวกแรกที่จะได้เห็นเราจึงเป็นพวกยิวในยุคพระคุณ  นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้ทำงานในเนื้อหนัง  ในยุคแห่งอาณาจักรนั้น งานของเราคือการพิชิตและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเราจึงทำงานการเป็นผู้เลี้ยงของเราในเนื้อหนังอีกครั้ง  นี่เป็นครั้งที่สองของเราในการทำงานในเนื้อหนัง  ในสองช่วงระยะสุดท้ายของงาน สิ่งที่ผู้คนเกี่ยวข้องด้วยไม่ใช่พระวิญญาณที่มองไม่เห็นหรือจับต้องไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นพระวิญญาณที่ได้เป็นจริงขึ้นมาในเนื้อหนัง  ดังนั้นในสายตาของมนุษย์ เราจึงกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งโดยปราศจากรูปร่างหน้าตาและความรู้สึกเช่นพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าที่ผู้คนมองเห็นไม่เพียงแต่เป็นเพศชายเท่านั้น แต่เป็นเพศหญิงด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและเป็นปริศนาที่สุด  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่งานพิเศษสุดของเราได้พังทลายการเชื่อเก่าๆ ที่ยึดถือกันมาเนิ่นนานหลายต่อหลายปีลงไป  ผู้คนพากันตกตะลึง!  พระเจ้าไม่ได้เป็นแค่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณ พระวิญญาณที่ทรงทวีอานุภาพขึ้นเป็นเจ็ดเท่า หรือพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด แต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเช่นกัน—มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เหมือนใคร  พระองค์ไม่เพียงเป็นเพศชาย แต่เป็นเพศหญิงด้วยเช่นกัน  สองพระองค์เหมือนกันตรงที่ทั้งสองพระองค์ทรงกำเนิดมาเป็นมนุษย์ และต่างกันตรงที่หนึ่งนั้นทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และอีกหนึ่งนั้นทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์ แต่กระนั้นก็ก่อเกิดมาจากพระวิญญาณโดยตรง  สองพระองค์เหมือนกันตรงที่ทั้งสองประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเพื่อดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าพระบิดา และต่างกันตรงที่หนึ่งนั้นทรงปฏิบัติพระราชกิจการไถ่ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  ทั้งสองพระองค์ต่างเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระบิดา ทว่าหนึ่งนั้นเป็นผู้ไถ่ ซึ่งเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความปรานี ส่วนอีกหนึ่งนั้นคือพระเจ้าแห่งความชอบธรรมซึ่งเปี่ยมด้วยความโกรธเคืองและการพิพากษา  หนึ่งนั้นคือจอมทัพผู้ทรงเปิดตัวพระราชกิจแห่งการไถ่ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือพระเจ้าผู้ชอบธรรมซึ่งทำให้พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสำเร็จลุล่วง  หนึ่งนั้นคือปฐมกาล อีกหนึ่งนั้นคือบทอวสาน  หนึ่งนั้นเป็นเนื้อหนังที่ไร้บาป ขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือเนื้อหนังซึ่งเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ สืบสานพระราชกิจนั้นต่อไปและไม่เคยมีบาป  ทั้งสองพระองค์เป็นพระวิญญาณเดียวกัน แต่สถิตในมนุษย์ที่แตกต่างกันและทรงถือกำเนิดในสถานที่ต่างกัน และอยู่ต่างช่วงเวลากันหลายพันปี  อย่างไรก็ตาม พระราชกิจทั้งมวลของทั้งสองพระองค์ต่างเสริมกันและกัน ไม่เคยขัดแย้งกัน และสามารถพูดถึงได้ในคราวเดียวกัน  ทั้งสองพระองค์ล้วนเป็นคน แต่คนหนึ่งเป็นเด็กชาย อีกคนเป็นทารกเพศหญิง  ในช่วงหลายปีดังกล่าว สิ่งที่ผู้คนได้เห็นนั้นไม่ใช่เพียงพระวิญญาณและไม่ใช่เพียงมนุษย์เพศชายผู้หนึ่ง แต่ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ตรงกับมโนคติที่หลงผิดใดๆ ของมนุษย์อีกด้วย เมื่อเป็นดังนั้น มนุษย์จึงไม่มีวันหยั่งถึงเราได้อย่างครบถ้วน  พวกเขาเฝ้าแต่เชื่อครึ่งและไม่เชื่อครึ่งในตัวเรา—เป็นทำนองว่าเรามีอยู่จริง แต่ก็เป็นภาพมายาในฝันเช่นกัน—นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใด กระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนยังคงไม่รู้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น  พวกเจ้าสามารถสรุปความเป็นเราได้ด้วยประโยคเรียบง่ายประโยคเดียวจริงๆ หรือไม่?  พวกเจ้ากล้าพูดจริงๆ หรือว่า “พระเยซูไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระเจ้า และพระเจ้าไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระเยซู”?  พวกเจ้ากล้าพอที่จะพูดได้จริงๆ หรือว่า “พระเจ้าไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระวิญญาณ และพระวิญญาณไม่ใช่อื่นใดนอกจากพระเจ้า”?  พวกเจ้าพูดได้ง่ายๆ เลยหรือว่า “พระเจ้าเป็นแค่มนุษย์ที่สวมสภาพเนื้อหนัง”?  พวกเจ้ากล้าที่จะยืนกรานจริงๆ หรือว่า “พระฉายาของพระเยซูคือพระฉายาอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”?  พวกเจ้าสามารถใช้คารมโวหารของตัวเองมาอธิบายพระฉายาและพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนจริงๆ หรือ?  พวกเจ้ากล้าจริงๆ หรือที่จะพูดว่า “พระเจ้าทรงสร้างเฉพาะผู้ชายเท่านั้นตามลักษณะพระฉายาของพระองค์ ไม่ทรงสร้างผู้หญิง”?  หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ ก็คงจะไม่มีเพศหญิงอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เราคัดสรรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้หญิงจะเป็นหนึ่งในจำพวกของมนุษยชาติ บัดนี้ เจ้ารู้อย่างแท้จริงหรือไม่ ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น?  พระเจ้าทรงเป็นมนุษย์ใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณใช่หรือไม่?  พระเจ้าทรงเป็นผู้ชายจริงๆ หรือ?  เฉพาะพระเยซูเท่านั้นหรือที่สามารถทำให้งานที่เราจะต้องทำนั้นเสร็จสิ้น?  หากพวกเจ้าเลือกเพียงหนึ่งข้อจากข้างต้นเพื่อสรุปแก่นแท้ของเรา พวกเจ้าก็เป็นผู้เชื่อผู้จงรักภักดีคนหนึ่งซึ่งไม่รู้เท่าทันเสียเหลือเกิน  หากเราได้ทำงานแห่งการประสูติเป็นมนุษย์ไปเพียงหนเดียวเท่านั้น พวกเจ้าจะจำกัดขอบเขตเราไหม?  เจ้าสามารถเข้าใจเราอย่างถ้วนทั่วได้โดยการมองเพียงแวบเดียวจริงๆ หรือ?  พวกเจ้าสามารถสรุปความเป็นเราได้อย่างสมบูรณ์จากสิ่งที่พวกเจ้าพบเห็นในช่วงชีวิตที่ผ่านมาจริงๆ หรือไม่?  หากเราทำงานเดิมในการประสูติเป็นมนุษย์ของเราทั้งสองหน พวกเจ้าจะเข้าใจเราว่าอย่างไร?  พวกเจ้าจะทิ้งให้เราถูกตอกตรึงกางเขนไปตลอดกาลหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงเรียบง่ายอย่างที่พวกเจ้ากล่าวอ้างอย่างนั้นหรือ?

แม้ว่าความเชื่อของพวกเจ้าจะจริงใจอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครเลยในพวกเจ้าที่สามารถบอกถึงตัวตนของเราได้ทั้งหมด ไม่มีใครเลยที่สามารถให้คำพยานที่ครบถ้วนต่อข้อเท็จจริงทั้งหมดที่พวกเจ้าเห็น  จงตรองดูเถิด ทุกวันนี้ พวกเจ้าส่วนใหญ่ต่างละเลยหน้าที่ของตนเอง แต่กลับไล่ตามเสาะหาเนื้อหนัง ปรนเปรอเนื้อหนัง และชื่นชมเนื้อหนังอย่างตะกรุมตะกราม  พวกเจ้าถือครองความจริงเพียงเล็กน้อย  แล้วเช่นนั้น พวกเจ้าจะสามารถเป็นคำพยานต่อทั้งหมดที่พวกเจ้าได้เห็นมาได้อย่างไรกัน?  พวกเจ้ามั่นใจจริงๆ หรือว่าสามารถเป็นพยานของเราได้?  หากวันหนึ่งมาถึงเมื่อเจ้าไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานต่อทุกสิ่งที่เจ้าเห็นในวันนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสูญเสียการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และการดำรงอยู่ของเจ้าก็จะปราศจากความหมายใดๆ เลย  เจ้าก็จะไม่ควรค่าแก่การเป็นมนุษย์  กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ!  เราได้ทำงานกับพวกเจ้ามาอย่างมากมายเหลือคณา แต่เพราะว่าขณะนี้เจ้าไม่ได้กำลังเรียนรู้อะไรเลย ไม่ตระหนักรู้อะไรเลย และลงแรงของเจ้าไปอย่างไร้ผล เมื่อถึงเวลาที่เราจะขยายงานของเรา เจ้าก็จะได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่า พูดไม่ออกและไร้ประโยชน์อย่างที่สุด  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นคนบาปมิใช่หรือ?  เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะไม่รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งหรือ?  เจ้าจะไม่จมดิ่งลงสู่ความหดหู่หรือ?  งานทั้งหมดของเราในวันนี้ไม่ได้ทำไปด้วยความเรื่อยเฉื่อยและความเบื่อหน่าย แต่เพื่อวางรากฐานสำหรับงานในอนาคตของเรา  หาใช่ว่าเรามาถึงทางตัน เลยจำเป็นต้องคิดหาสิ่งใหม่  เจ้าควรเข้าใจงานที่เราทำ ไม่ใช่อะไรที่ทำโดยเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นอยู่บนถนน แต่เป็นงานที่กระทำในฐานะตัวแทนของพระบิดาของเรา  พวกเจ้าควรรู้ว่าเราไม่ได้กำลังทำงานทั้งหมดนี้เพียงลำพัง ทว่าเราเป็นตัวแทนของพระบิดาของเราต่างหาก  ขณะเดียวกัน บทบาทของพวกเจ้าก็คือ เคร่งครัดต่อการติดตาม นบนอบ เปลี่ยนแปลง และเป็นพยาน  สิ่งที่พวกเจ้าพึงเข้าใจคือเรื่องที่ว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงควรเชื่อในเรา นี่เป็นคำถามสำคัญที่สุดที่พวกเจ้าแต่ละคนจะต้องเข้าใจ  เพื่อเห็นแก่พระสิริของพระองค์ พระบิดาของเราจึงได้ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าที่จะมอบพวกเจ้าทั้งหมดให้กับเรานับแต่ชั่วขณะที่พระองค์ได้ทรงสร้างโลกแล้ว  เพื่อประโยชน์ต่องานของเรา และเพื่อพระสิริของพระองค์ พระองค์จึงได้ลิขิตพวกเจ้าไว้แล้วล่วงหน้า  เป็นเพราะพระบิดาของเรานั่นเอง พวกเจ้าจึงเชื่อในเรา เป็นเพราะการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระบิดาของเราพวกเจ้าจึงติดตามเรา  เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการเลือกของตัวพวกเจ้าเองเลยแม้แต่น้อย  ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ พวกเจ้าจะต้องเข้าใจด้วยว่าพวกเจ้าเป็นพวกที่พระบิดาของเราประทานให้เราเพื่อพระประสงค์แห่งการเป็นพยานต่อเรา  เนื่องจากพระองค์ทรงมอบพวกเจ้าแก่เรา พวกเจ้าจึงควรจะปฏิบัติตามหนทางต่างๆ ที่เรามอบแก่พวกเจ้าด้วย รวมถึงวิธีต่างๆ และวจนะที่เราสอนพวกเจ้าเช่นกัน เพราะเป็นหน้าที่ของพวกเจ้าที่จะยึดปฏิบัติตามหนทางของเรา  นี่คือจุดประสงค์ดั้งเดิมของความเชื่อของพวกเจ้าในเรา  เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวแก่พวกเจ้าดังนี้ พวกเจ้าเป็นเพียงผู้คนที่พระบิดาของเราประทานแก่เราเพื่อให้ปฏิบัติตามหนทางของเรา  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าเพียงเชื่อในเราเท่านั้น พวกเจ้าไม่ได้เป็นของเรา เพราะพวกเจ้าหาใช่ครอบครัวคนอิสราเอลไม่ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับเป็นพวกของงูดึกดำบรรพ์  ทั้งหมดที่เรากำลังขอให้พวกเจ้าทำคือ เป็นพยานให้เรา แต่ในวันนี้พวกเจ้าต้องเดินตามหนทางของเรา  ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อคำพยานในอนาคตทั้งสิ้น  หากพวกเจ้าปฏิบัติเฉพาะหน้าที่ในฐานะคนที่รับฟังหนทางของเราเท่านั้น พวกเจ้าก็จะปราศจากคุณค่า และนัยสำคัญของการที่พระบิดาของเราประทานพวกเจ้าแก่เราก็จะสูญไป  สิ่งที่เรายืนกรานที่จะบอกพวกเจ้าก็คือ พวกเจ้าควรเดินตามหนทางของเรา

ก่อนหน้า: พวกเจ้ามีความเข้าใจในพระพรอย่างไร?

ถัดไป: การเป็นมนุษย์ที่แท้จริงหมายถึงอะไร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger