การที่จะลุล่วงหน้าที่ของคนเราให้ดี การเข้าใจความจริงย่อมจะสำคัญอย่างยิ่งยวด

เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างน่าพึงพอใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามอย่างใหญ่หลวงเพื่อความจริง  ผู้คนสามารถปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมเหล่านี้ได้ด้วยการจับความเข้าใจหลักธรรมความจริงเท่านั้น  นอกจากนี้ผู้คนยังจำเป็นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับความเชี่ยวชาญสารพัดสาขาและทักษะเฉพาะทางทั้งหลายที่สัมพันธ์กับหน้าที่ของพวกเขา และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้กลวิธีบางอย่างที่เรียบง่ายและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  คนบางคนมีความเชี่ยวชาญเชิงกลวิธีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะประยุกต์สิ่งนี้เข้ากับหน้าที่ของพวกเขา  ยามที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลาย หัวใจของพวกเขาไม่เคยเข้าใจชัดเจนในเรื่องนั้น  พวกเขาไม่รู้ว่าในการทำสิ่งทั้งหลาย หนทางใดถูกต้อง หนทางใดที่เป็นไปตามหลักธรรมความจริง และสามารถเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น หรือหนทางใดที่ไม่ถูกต้องและละเมิดหลักธรรม  จิตใจของพวกเขาอยู่ในสภาวะที่สับสน  สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนหนทางนี้ถูกต้อง แต่หนทางอื่นก็ดูเหมือนทำได้เช่นกัน  พวกเขาไม่เคยแน่ใจว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรให้พอเหมาะพอควร และไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงเป็นการติดตามเส้นทางที่ถูกต้อง  นี่พิสูจน์อะไร?  (พวกเขาไม่เข้าใจความจริง)  ผู้คนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาอยู่ในสภาวะที่เคลือบคลุมเกี่ยวกับสภาวะภายในของตัวเองและความเข้าใจของตัวเอง รวมทั้งมาตรฐานการประเมินสำหรับหลายสิ่ง  เมื่อพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในการทำบางสิ่ง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจทุกสิ่ง และรู้สึกว่าทุกสิ่งง่ายดายสำหรับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม พอพวกเขาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ชีวิตจริงเข้าจริงๆ พวกเขากลับไม่รู้จะคิดเห็นประการใด ไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับสิ่งนั้น หรือหนทางที่ถูกต้องที่จะเดินหน้าต่อ  ถึงตอนนั้นเองที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีอะไรและไม่เข้าใจอะไรที่เป็นความจริงเลย  คำสอนทั้งหลายที่พวกเขาสนทนาไปกันก่อนหน้านั้นช่างไร้ประโยชน์  พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากแสวงหาจากผู้อื่นและหารือกับคนเหล่านั้นเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยามที่ผู้คนซึ่งไม่เข้าใจความจริงเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนึ่ง—พวกเขามึนงงสับสน เต็มไปด้วยความวิตกกังวล รู้สึกว่าทำนี่ก็ผิดและทำนั่นก็ไม่ถูก รวมทั้งไม่สามารถพบเจอเส้นทางที่ถูกต้อง  ถึงตอนนั้นพวกเขาจึงสามารถมองเห็นว่า เมื่อปราศจากความจริง การก้าวย่างสักก้าวก็ช่างลำบากยากเย็นนัก!  อะไรคือสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นจำเป็นต้องมีที่สุด ณ เวลานี้?  ความรู้และปรัชญาเยี่ยงซาตานหรือความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง?  สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือการเข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง ต่อให้เจ้าทำงานชิ้นหนึ่งเสร็จ เจ้าก็จะรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับงานนั้น  เจ้าจะไม่รู้ว่าตัวเองทำงานนั้นไปอย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ หรือว่าผลลัพธ์จะเป็นอะไรหลังจากที่งานเสร็จสิ้นลง  เจ้าไม่สามารถประเมินวัดสิ่งเหล่านี้ได้  เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่สามารถประเมินวัดสิ่งเหล่านั้นได้?  เหตุใดเล่าหัวใจของเจ้าจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเสมอ?  นั่นเป็นเพราะ ยามที่เจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เจ้าไม่แน่ใจว่าเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นในหนทางที่สอดคล้องจริงและอย่างแท้จริงกับหลักธรรมทั้งหลายหรือไม่ ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังปฏิบัติอยู่คือหลักธรรมหรือไม่ และว่าการปฏิบัติของเจ้าสอดคล้องกับความจริงหรือไม่  เจ้าไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันการนี้ได้  หากเจ้าสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างเล็กน้อย เจ้าก็จะรู้สึกว่าตัวเจ้ามีความสามารถอย่างมาก และได้รับต้นทุนบางอย่าง จนกลายเป็นชะล่าใจ  กระนั้นก็ตาม หากไม่มีผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดหรือการนั้นไม่บรรจบกับมาตรฐานของหลักธรรมทั้งหลาย เจ้าก็จะกลายเป็นคิดลบทันที และคิดว่า “เมื่อไหร่นะพระเจ้าจึงจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน?  ทำไมพระเจ้าจึงทรงให้ความรู้แจ้งแก่คนอื่นตลอดเวลา ในขณะที่ตัวฉันไม่ได้รับแรงบันดาลใจ ความรู้แจ้ง และความกระจ่างใดเลย?”  บางครั้งเจ้าอาจรู้สึกว่าเจ้าทำสิ่งทั้งหลายไปด้วยความตั้งใจที่ถูกต้องและทุ่มเทความพยายามอย่างใหญ่หลวง เจ้าจึงหวังว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับ เห็นชอบ และยืนยันรับรองความพยายามของเจ้าอย่างมีความสุข  อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็เกรงพระเจ้าจะตรัสว่าที่เจ้าปฏิบัติตนไปนั้นไม่ถูกต้องและไม่ทรงเห็นชอบด้วย  นี่ไม่แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจในเรื่องส่วนได้ส่วนเสียหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าเห็นว่าเจ้ามีวุฒิภาวะต่ำ เป็นกบฏและโอหังเกินไป และเห็นว่าเจ้ากลายเป็นชะล่าใจเมื่อใดก็ตามที่เจ้าสัมฤทธิ์สิ่งที่เล็กน้อยที่สุด เจ้าก็จะรู้สึกว่าเจ้าเสื่อมทรามเกินไป เจ้าคือซาตานมารร้ายตนหนึ่ง และไม่คู่ควรกับความรอดของพระเจ้า  จากนั้น หลังจากที่สร้างความสัมฤทธิ์ผลเล็กน้อยบางอย่างเพิ่มเติม เจ้าก็จะคิดว่า จะว่าไปแล้วเจ้าไม่แย่นัก ว่าเจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง และสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างได้ ดังนั้นเจ้าจึงสมควรได้รับการปูนบำเหน็จ  นี่แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจที่มีต่อส่วนได้ส่วนเสียใช่หรือไม่?  สภาวะของความกังวลเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสียนี้เกิดขึ้นจากสิ่งใด?  นี่สัมพันธ์โดยตรงกับการขาดความเข้าใจความจริง  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมทำให้เกิดสภาวะและการสำแดงมากมาย  หลักๆ ก็คือการที่ผู้คนมักจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะกังวลใจเกี่ยวกับส่วนได้ส่วนเสีย  นี่เป็นสภาวะปกติของพวกเขา  เพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าไม่สามารถประเมินวัดความสามารถของตัวเจ้าเองได้ เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเจ้าสามารถทำได้และไม่สามารถทำได้  เพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าจึงไม่รู้ว่าอะไรคือหลักธรรมและมาตรฐานให้ติดตามยามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หรืออะไรคือผลลัพธ์ที่ต้องมุ่งหมาย  เจ้าไม่รู้ด้วยว่าเป้าหมายและทิศทางของชีวิตคืออะไร  เจ้าไม่รู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงกริ้วเจ้า เหตุใดพระเจ้าจึงทรงชมเชยเจ้า หรือเหตุใดพระเจ้าจึงทรงปรานีเจ้า—เจ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้เลยสักอย่างเดียว  เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าควรยืนอยู่ตรงไหน และเจ้าไม่สามารถประเมินวัดว่าสิ่งที่เจ้าทำลงไปนั้นได้ลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่ และเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างน่าพึงพอใจหรือไม่  บางครั้งเจ้าก็ทำสิ่งทั้งหลายอย่างขลาดกลัว และครั้งอื่นๆ เจ้าก็กล้าและบ้าระห่ำ  สภาวะของเจ้าไม่มั่นคงอยู่เสมอ  สภาวะของบุคคลหนึ่งจึงกลายเป็นไม่มั่นคงได้อย่างไร?  สุดท้ายแล้ว นี่ก็สัมพันธ์กับการขาดความเข้าใจความจริง  เมื่อผู้คนไม่ความเข้าใจความจริง พวกเขาก็รับมือกับสิ่งทั้งหลายโดยปราศจากหลักธรรม  พวกเขาเอาแน่เอานอนไม่ได้เป็นอย่างสูงในยามที่ทำสิ่งต่างๆ และเบี่ยงเบนอย่างไม่สร่างซาไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง  ยามที่ไม่ได้ทำสิ่งใดก็ดูเหมือนพวกเขาเข้าใจทุกสิ่ง และพวกเขาก็พูดถึงคำสอนได้ดี—แต่เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น และพวกเขาถูกขอให้หาทางแก้ไข ให้ประยุกต์ใช้ความจริงทั้งหมดที่พวกเขาเข้าใจกับชีวิตจริง พวกเขาไร้เส้นทาง พวกเขาไม่รู้ว่าจะใช้หลักธรรมใด และพวกเขาพูดกับตัวเองว่า “ฉันเข้าใจว่าฉันต้องปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างสัตย์ซื่อ ฉันต้องซื่อสัตย์ ฉันต้องไม่มีมโนคติที่หลงผิดหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ฉันต้องเชื่อฟังพระเจ้า—แต่ฉันควรรับมือกับการนี้จริงๆ อย่างไรเล่า?”  พวกเขาเอาแต่คิดทบทวนการนั้นและพยายามนำกฎเกณฑ์มาใช้ และจบลงตรงที่ไม่มีแนวคิดเลยว่าจะใช้กฎเกณฑ์ใด  พวกเจ้าคิดว่าใครบางคนที่จำเป็นต้องค้นคว้าผ่านหนังสือแห่งพระวจนะของพระเจ้าเมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับพวกเขานั้น คือใครคนหนึ่งซึ่งเข้าใจความจริงกระนั้นหรือ?  นี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  ผู้คนดังกล่าวแค่เข้าใจคำสอนไม่กี่ประการ แต่ยังไม่ได้จับความเข้าใจความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้  นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวตามปกติ และสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าตนเองเข้าใจนั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากคำสอน  หากเจ้าเข้าใจความจริง หากเจ้ามีความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า เจ้าก็จะรู้วิธีกระทำการให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีกระทำการภายในขอบเขตของหลักธรรม  หากทั้งหมดที่เจ้าเข้าใจคือคำสอน—และไม่ใช่ความจริง—เช่นนั้นแล้ว เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้าจริงๆ หากเจ้าพึ่งพาคำสอนหรือติดตามกฎเกณฑ์ทั้งหลาย เจ้าจะไม่มีทางผ่านพ้นไปได้  เจ้าจะไม่สามารถพบหลักธรรมและจะไม่สามารถพบเส้นทางสู่การปฏิบัติ  ซึ่งกล่าวได้ว่า นี่อาจดูราวกับว่าเจ้าเข้าใจแง่มุมหนึ่งของความจริง ราวกับเจ้าเข้าใจความหมายของคำพูดที่เป็นความจริงเหล่านั้น และราวกับเจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงขอเล็กน้อย—ราวกับเจ้ารู้ทั้งหมดนี้—แต่เมื่อเกิดบางสิ่งขึ้นกับเจ้า เจ้าไม่สามารถนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ เจ้าประยุกต์ใช้กฎเกณฑ์ทั้งหลายอย่างมืดบอดและทำให้สิ่งทั้งหลายยุ่งเหยิงไปหมด  นี่ไม่น่าละอายหรอกหรือ?  เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับผู้คนซึ่งเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาสามารถค้นพบหลักธรรมที่จะปฏิบัติ พวกเขามีเส้นทางแห่งการปฏิบัติ และสามารถนำหลักธรรมความจริงไปสู่การปฏิบัติได้  สำหรับบรรดาผู้คนที่สามารถเพียงกล่าวพล่ามคำพูดและคำสอนนั้น ดูราวกับว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่เมื่อถึงเวลาลงมือกระทำ พวกเขากลับทำให้ทุกอย่างสับสนปนเปไปหมด  นี่พิสูจน์ว่า ผู้คนที่กล่าวพล่ามคำพูดและคำสอนออกมานั้นไม่เข้าใจความจริงอย่างแน่นอน  ผู้คนที่กล่าวพล่ามคำพูดและคำสอนนั้นกำลังพยายามลวงผู้อื่นให้หลงผิด พวกเขาเป็นคนหลอกลวง  พวกเขากำลังหลอกลวงทั้งตัวเองและผู้อื่น—ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังทำร้ายตัวเองและทำร้ายผู้อื่นด้วย

ตอนนี้สิ่งที่พวกเจ้าเข้าใจเป็นความจริงหรือเป็นคำสอนมากกว่ากัน?  (เป็นคำสอนมากกว่า)  อะไรคือสาเหตุของการนี้?  (นี่เป็นผลลัพธ์ของการไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  (การขาดความพยายามที่จะไปและไตร่ตรองความจริง)  มีบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ แต่เหตุผลที่พวกเจ้าให้มาล้วนเอาตนเองเป็นที่ตั้ง  มีเหตุผลหนึ่งซึ่งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ซึ่งสัมพันธ์กับขีดความสามารถของผู้คน  ผู้คนบางคนได้ฟังคำเทศนามานานกว่าทศวรรษ แต่ไม่สามารถแยกแยะความจริงออกจากคำสอนได้ และพวกเขาก็ไม่แยกแยะความแตกต่างระหว่างการเชื่อฟังกฎเกณฑ์กับการปฏิบัติความจริง  พวกเขาฟังคำเทศนาอย่างตั้งใจและทำงานอย่างรอบคอบเพื่อให้เกิดวิจารณญาณ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถบอกความแตกต่างได้อยู่ดี  พวกเขารู้สึกว่า การสามัคคีธรรมทั้งหลายที่ทุกคนทำอยู่นั้นแทบจะเหมือนกันทั้งสิ้น นั่นก็คือ ทั้งหมดเป็นเรื่องดีมาก และทั้งหมดนั้นล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงทีเดียว  หลังจากที่ฟังการสามัคคีธรรมเหล่านั้น พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรคือคำสอนและอะไรคือความจริง  นี่เป็นปัญหาของขีดความสามารถใช่หรือไม่?  (ใช่)  ขีดความสามารถของพวกเจ้าสามารถขึ้นไปถึงระดับของความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  ทุกครั้งที่ที่พวกผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมกันในการชุมนุมหรือการสมาคมกัน และมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเจ้าในเวลาอื่น พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความเป็นจริงความจริงมากเท่าไร และเป็นคำสอนมากเท่าไร?  (ได้)  ถ้าพวกเจ้าสามารถบอกได้ นั่นพิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีวิจารณญาณอยู่บ้าง และพวกเจ้าไม่ได้ไร้ความสามารถในเรื่องของวิจารณญาณโดยสิ้นเชิง  หากพวกเจ้าสามารถบอกความแตกต่างได้ นั่นก็พิสูจน์ว่าขีดความสามารถของพวกเจ้าไม่แย่  ขีดความสามารถของผู้คนถูกแบ่งเป็นหลายระดับคือ ต่ำ ปานกลาง ดี และดีเป็นพิเศษ  เหล่านี้คือสี่ระดับโดยพื้นฐาน  ผู้ที่มีขีดความสามารถแย่กว่าขีดความสามารถขั้นต่ำย่อมไม่สามารถจับความเข้าใจความจริงได้ พวกเขาไม่มีขีดความสามารถเลยสักนิด  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดที่ได้ยินและไม่กระทำการด้วยความคิด ตรรกะ หรือหลักธรรมในสิ่งใดที่พวกเขาทำ  ในหัวของพวกเขาล้วนมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย  พวกเขาเป็นคนสับสนเลอะเลือน เป็นสิ่งที่พวกเราอาจจะเรียกขานว่าพวกเดรัจฉาน  หากขีดความสามารถของพวกเขาต่ำสุดขั้ว  พวกเขาก็พิการทางเชาว์ปัญญา  พวกเขาขาดสำนึกของผู้คนปกติ  ผู้คนเหล่านี้คือคนที่พวกเราอาจเรียกว่าโง่ ครึ่งบ้า หรือโง่เขลาเบาปัญญา

ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสุดขั้วนั้นเป็นผู้พิการทางเชาว์ปัญญา—พวกเราไม่จำเป็นต้องเสวนาเกี่ยวกับพวกเขาอีกต่อไป  พวกเรามาพูดคุยกันถึงวิธีทำให้ขีดความสามารถต่ำแสดงตนออกมากันเถิด  คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ก็ยังคงไม่เข้าใจความจริง  พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่พื้นฐานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้เสียด้วยซ้ำ พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง และพวกเขาไม่สามารถให้คำพยานได้  เหล่านี้คือการสำแดงทั้งหลายของขีดความสามารถต่ำ  อะไรคือการสำแดงอื่นๆ ของขีดความสามารถต่ำ?  หลังจากฟังคำเทศนามาหลายปี ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถต่ำย่อมรู้สึกว่าคำเทศนาทั้งหมดนั้นเหมือนกัน—ทั้งหมดเป็นเรื่องเดียวกัน  พวกเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ชัดเจนระหว่างรายละเอียดของความจริงนานัปการ นับประสาอะไรกับการบอกความแตกต่างระหว่างความจริงกับคำสอน  พวกเขาไม่สามารถกล่าวคำพูดและคำสอนที่เรียบง่ายที่สุดด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการเข้าใจความจริง  ผู้คนเช่นนั้นมีขีดความสามารถที่แย่ที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดใช่หรือไม่?  สำหรับผู้คนเช่นนั้น ไม่สำคัญว่าพวกเขาฟังคำเทศนาอย่างไรหรือพวกเขาฟังคำเทศนามานานกี่ปี พวกเขาไม่สามารถเข้าใจคำเทศนาเหล่านั้น และพวกเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง หรือการรู้จักตัวเองหมายถึงอะไร  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าไร หรือพวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมายขนาดไหน สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริง  พวกเขาทำได้เพียงเชื่อฟังกฎเกณฑ์ไม่กี่ข้อและจดจำสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาพิจารณาว่าสำคัญได้ไม่กี่อย่าง—ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และพวกเขาก็จำเรื่องนี้ไม่ได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  ก็เพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำ พวกเขาไม่สามารถขึ้นไปสู่ความจริง และไม่สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้มากมายเกินไปนัก  อย่างมากที่สุด พวกเขาก็สามารถเข้าใจบางคำสอนอย่างผิวเผิน  พวกเขาไปได้ไกลที่สุดแค่นี้  บ่อยครั้งที่ผู้คนเช่นนั้นค่อนข้างโอหังและพูดจายกตน  คนบางคนจะพูดว่า “ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนที่ฉันยังอยู่ในท้องแม่ฉัน  ฉันกลายเป็นผู้บริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว และได้รับบัพติศมาล้างบาปและการชำระให้สะอาดมานานแล้วด้วย”  พวกเขาบางคนยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้ามานานสามปี ห้าปี หรือกระทั่งสิบปีด้วยซ้ำ ทว่าพวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเดิมซ้ำๆ กัน  นี่ไม่ใช่สัญญาณของขีดความสามารถต่ำหรอกหรือ?  คนบางคนกล่าวว่า “คุณพูดว่า ฉันไม่รู้จักตัวเอง—พวกคุณคือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง  ฉันกลายเป็นผู้บริสุทธิ์มาตั้งนานแล้ว”  ผู้คนที่พูดเช่นนี้คือพวกที่ขาดความเข้าใจฝ่ายวิญญาณมากที่สุด เป็นพวกที่มีขีดความสามารถด้อยที่สุด  เจ้ายังคงสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงกับผู้คนเช่นนั้นได้หรือไม่?  ไม่สามารถ  ไม่สำคัญว่าเจ้าพูดคุยไปมากเท่าไร พวกเขาก็จะไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริง อะไรกันแน่คือการปฏิบัติความจริง อะไรกันแน่คือการเชื่อฟังพระเจ้า อะไรคือการเข้าสู่ชีวิต และอะไรคือการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา  พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือเอื้อมถึงระดับนี้  ในการเชื่อพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาเอาใจใส่การติดตามกฎเกณฑ์บางอย่าง อาทิ การถอนตัวจากกิจธุระทางโลก การประกาศตัดโลก การไม่ข้องแวะกับพวกมาร การไม่ทำความชั่ว การก่อบาปน้อยลง การยึดมั่นต่อพระนามของพระเจ้า การไม่ทรยศพระเจ้า รวมทั้งการอธิษฐานและการพึ่งพาพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง—แค่เรื่องเหล่านี้เอง  โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็ยังถูกจำกัดเขตอยู่พิธีการทั้งหลายของการเชื่อทางศาสนา  หลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและบทเทศน์เกี่ยวกับความจริงไปมากมายเหลือเกิน พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยิน  ยิ่งพวกเขาฟังมากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกสับสน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รับอะไรในนั้นเข้าไปเลย  หากเจ้าถามพวกเขาถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พวกเขาก็ตอบเจ้าไม่ได้  พวกเขาสามารถพูดได้เพียงสิ่งเรียบง่ายไม่กี่อย่างเกี่ยวกับคำสอน  นี่หมายความว่าขีดความสามารถของพวกเขาต่ำสุดขั้วและพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้

อะไรหรือคือการสำแดงของผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลาง?  การสำแดงหลักก็คือการที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้  หลังจากที่รับฟังคำเทศนา พวกเขาเข้าใจเพียงบางคำพูดและคำสอนเท่านั้น แต่พวกเขาไม่สามารถค้นพบความสว่างใหม่ใดเลย  เมื่อเกิดสิ่งตกมาถึงพวกเขา พวกเขายังไม่สามารถรับมือกับสิ่งเหล่านั้นได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้  พวกเขาทำได้เพียงกล่าวคำสอนอันว่างเปล่าและติดตามกฎเกณฑ์เท่านั้น  ยามที่ฟังคำเทศนา พวกเขาดูเหมือนเข้าใจ แต่เมื่อสิ่งทั้งหลายตกมาถึงพวกเขา พวกเขาก็จะยังคงติดตามกฎเกณฑ์และกระทำไปตามเจตจำนงของตัวเอง  และพวกเขาดุด่าว่ากล่าวผู้อื่นเสมอด้วยการกล่าวคำพูดและคำสอนต่างๆ  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาเข้าใจคำสอนมากมาย และยามที่สามัคคีธรรมกับผู้อื่น พวกเขาสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองได้มากขึ้นเล็กน้อย  พวกเขาสามารถแสดงความหมายของตนเองในหนทางที่ครบบริบูรณ์และเป็นรูปธรรม รวมทั้งสามารถมีการสนทนาที่เป็นปกติกับผู้คน  อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าอะไรคือความจริงหรืออะไรคือความเป็นจริง  พวกเขาคิดว่าคำสอนที่พวกเขาพูดคุยถึงนั้นคือความเป็นจริงความจริง และไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่คนอื่นพูดเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงความจริง ความเข้าใจของพวกเขาเอง หรือเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้  ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางเหล่านี้รู้สึกว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างความจริงกับคำสอน  ไม่สำคัญว่าพวกเขาฟังคำเทศนาไปมากมายเท่าใด พวกเขาก็ไม่สามารถแยกแยะความจริงที่พวกเขาควรปฏิบัติและความจริงที่พวกเขาต้องมีเพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด  พวกเขาไม่รู้จักการเข้าใจตนเองเช่นกัน และไม่รู้ว่าพวกเขาควรปฏิบัติความจริงใดเพื่อปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง  ในชีวิตจริงของพวกเขา พวกเขาได้เพียงติดตามกฎเกณฑ์ ติดตามพิธีกรรมทางศาสนา เข้าร่วมการชุมนุมอย่างไม่ลดละ ประกาศคำสอนแก่ผู้อื่นอย่างไม่ลดละ และทุ่มเทความพยายามบางอย่างอย่างไม่ลดละในการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง  อย่างไรก็ดี สำหรับความจริงที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย ความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวพวกเขาเอง หรือการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาไม่เข้าไปสู่หรือลงลึกในสิ่งเหล่านี้เลย  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถโดยเฉลี่ย  ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางสามารถไปถึงระดับนี้ได้เท่านั้น  มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ามายี่สิบหรือสามสิบปีและยังคงพูดคุยเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายเท่านั้น  พวกเจ้าเคยติดต่อกับผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้ามามากกว่าทศวรรษ ทว่าทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการพ่นคำสอนทั้งหลายหรือไม่?  (เคย)  ผู้คนจำพวกนี้มีขีดความสามารถปานกลาง

อะไรหรือคือการสำแดงของผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดี?  ไม่สำคัญว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานเท่าไร หลังจากได้ยินคำเทศนาหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถบอกได้ว่าคำเทศนานั้นแตกต่างจากสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว และว่าคำเทศนานั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ถูกสอนในศาสนา  พวกเขาสามารถบอกได้ว่าคำเทศนานั้นลงลึกกว่า มีรายละเอียดมากกว่า และสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างสมบูรณ์  เพราะฉะนั้น หลังจากที่พวกเขายอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า พวกเขาก็เริ่มมุ่งเน้นการปฏิบัติความจริง และการเข้าไปสู่ความเป็นจริง  ในชีวิตจริงของพวกเขา พวกเขาฝึกฝนตัวเองในวิธีการปฏิบัติและการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น พระเจ้าตรัสว่า “พวกเจ้าต้องเป็นคนซื่อสัตย์”  ในตอนแรกเริ่มเลยนั้น ผู้คนเหล่านี้เพียงถือปฏิบัติเสมือนกฎเกณฑ์ และกล่าวสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในจิตใจ  ในกระบวนการฟังคำเทศนาและในประสบการณ์จริงของพวกเขา พวกเขาค่อยๆ สรุปย่ออย่างต่อเนื่องสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มา และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ได้รับประสบการณ์และเข้าใจว่า ที่จริงแล้ว อะไรคือความจริงของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และที่จริงแล้ว ชีวิตคืออะไร  พวกเขามีความสามารถที่จะประยุกต์พระวจนะที่พระเจ้าตรัส และความจริงที่พวกเขาเข้าใจจากการฟังคำเทศนามาใช้ในชีวิตจริงของพวกเขา และทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นความเป็นจริงของพวกเขาเอง  ด้วยประสบการณ์จริง ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาก็ค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น  เมื่อผู้คนเหล่านี้รับฟังคำเทศนาหรืออ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็สามารถจับใจความความจริงที่บรรจุอยู่ในคำเทศนาหรือพระวจนะเหล่านั้น  ในที่นี้ ความจริงหมายถึงอะไร?  ความจริงไม่ใช่คำสอนที่ว่างเปล่า ไม่ใช่วิธีการพูด ไม่ใช่ทฤษฎีเกี่ยวกับบางสิ่ง  ในทางกลับกัน ความจริงเกี่ยวข้องกับความลำบากยากเย็นที่เผชิญในชีวิตจริง และสภาวะเสื่อมทรามสารพันที่คนคนหนึ่งเผยออกมา  ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีสามารถระบุชี้ชัดถึงภาวะเหล่านี้ และมาเปรียบเทียบกับพระวจนะและวิวรณ์ต่างๆ ของพระเจ้า  จากนั้นพวกเขาก็จะรู้วิธีที่ปฏิบัติไปตามพระวจนะของพระเจ้า  โดยหลักแล้ว ขีดความสามารถที่ดีสะท้อนอยู่ตรงไหนหรือ?  ความสามารถที่จะทำความเข้าใจสิ่งที่กำลังถูกกล่าวในคำเทศนา จับใจความความสัมพันธ์ระหว่างคำพูดเหล่านี้กับสภาวะจริงของคนคนหนึ่ง จับใจความว่าคำพูดเหล่านี้จะส่งผลใดต่อตัวของคนคนนั้น—นี่คือขีดความสามารถที่ดี  นอกเหนือจากการสามารถจับใจความคำพูดเหล่านี้และเชื่อมโยงคำพูดเหล่านี้เข้ากับตัวเอง ผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีก็ยังสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติในชีวิตจริง และประยุกต์ใช้หลักธรรมเหล่านี้กับทุกความลำบากยากเย็นหรือสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญในชีวิตจริงของตน  นี่เองคือสิ่งที่หมายถึงการมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึก  บรรดาผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเช่นนั้นเท่านั้นที่มีขีดความสามารถที่ดีอย่างแท้จริง

เมื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามบางอย่างของพวกเขาออกมา พวกเขาไม่สามารถหยั่งรู้สภาวะของตนเองหรือแก่นแท้ของปัญหาได้อย่างชัดเจนนัก  พวกเขาเพียงตัดสินสิ่งเหล่านั้นโดยการจับคู่สิ่งเหล่านั้นเข้ากับคำสอนทั้งหลายที่พวกเขาเข้าใจ  พวกเขาไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงแก่นแท้ของปัญหา หรือระลึกรู้ถึงรากเหง้าของแก่นแท้นี้ และแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับความจริง  เมื่อเผชิญหน้ากับบางสถานการณ์ หลังการถูกจัดการและตัดแต่ง หลังการชำแหละสถานการณ์นั้นและการวิเคราะห์สถานการณ์นั้น พวกเขาก็ได้รับความประทับใจลึกซึ้งและความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับตัวสถานการณ์นั้นเอง  อย่างไรก็ดี เมื่อเผชิญหน้ากับสภาวะหรือรูปการณ์แวดล้อมที่แตกต่างออกไป พวกเขาก็จะไม่เข้าใจอีก จะไม่รู้ว่าต้องทำอะไร และจะไม่ค้นหาหลักธรรมเพื่อติดตาม  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถปานกลาง  สำหรับบรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดี เหตุใดเล่าพวกเราจึงพูดว่าพวกเขามีขีดความสามารถดี?  เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนึ่ง ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีอาจไม่มีเส้นทางแห่งการปฏิบัติในทันที แต่พวกเขาสามารถค้นหาเส้นทางได้โดยการฟังคำเทศนาหรือแสวงหาพระวจนะของพระเจ้า  จากนั้นพวกเขาก็จะรู้ว่าจะเข้าหาสถานการณ์นั้นอย่างไร  พวกเขาจะรู้หรือไม่ว่า คราวหน้าต้องทำอย่างไรเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน?  (รู้)  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  (พวกเขาไม่เพียงติดตามกฎเกณฑ์  พวกเขาสามารถไตร่ตรองสถานการณ์เพื่อค้นหาเส้นทาง และจากนั้นก็ประยุกต์ใช้สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มากับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน)  ถูกต้อง พวกเขาได้ค้นพบหลักธรรมและพวกเขาเข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง  ครั้นพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาย่อมรู้จักสภาวะต่างๆ การเปิดเผยต่างๆ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามต่างๆ ของผู้คนซึ่งแง่มุมนี้ของความจริงอ้างอิงถึง รวมไปถึงเรื่องต่างๆ รูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเผชิญในชีวิตของพวกเขา และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริง  พวกเขาเข้าใจชัดเจนถึงหลักธรรมทั้งหลายของการทำสิ่งต่างๆ ดังกล่าว และเมื่อพวกเขาเผชิญกับสิ่งที่คล้ายคลึงกันในภายหน้า พวกเขาก็รู้วิธีที่จะปฏิบัติไปตามหลักธรรมความจริง  นี่คือสิ่งที่เป็นการเข้าใจความจริงโดยถ่องแท้  เพราะฉะนั้น เนื่องจากคนบางคนสามารถเข้าใจความจริงได้ เนื่องจากพวกเขามีขีดความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นหัวหน้าทีมหรือผู้นำคริสตจักรได้  อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ บางคนเพียงสามารถเข้าใจได้ที่ระดับของคำสอนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเป็นหัวหน้าทีมได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถที่จะจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลาย หรือรับมือกับการกำกับดูแลได้  การขอให้เจ้ารับใช้ในฐานะหัวหน้าทีมก็คือการขอให้เจ้ารับเอาภาวะผู้นำและรับมือกับการกำกับดูแล  ในการรับมือกับการกำกับดูแลนั้น เจ้าต้องใช้สิ่งใดหรือ?  ไม่ใช่คำสอน คำขวัญ ความรู้ หรือมโนคติอันหลงผิด  นี่เป็นการขอให้เจ้าใช้หลักธรรมความจริงเพื่อรับมือกับการกำกับดูแล  นี่เป็นหลักธรรมพื้นฐานที่สุดและสูงที่สุดในการทำสิ่งใดๆ ก็ตามในพระนิเวศของพระเจ้า  หากขีดความสามารถของเจ้านั้นปานกลางหรือต่ำ และเจ้าไม่สามารถเข้าใจความจริง เจ้าจะสามารถรับมือกับการกำกับดูแลได้อย่างไรเล่า?  เจ้าจะสามารถแบกความรับผิดชอบนี้ได้อย่างไรเล่า?  เจ้าไม่ดีพอสำหรับงานการนี้ หน้าที่นี้  คนบางคนได้รับการคัดสรรให้เป็นหัวหน้าทีม แต่พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่สามารถทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงได้เลย  พวกเขาไม่คู่ควรที่จะถูกเรียกว่าหัวหน้าทีมและควรถูกแทนที่  คนบางคนได้รับการคัดสรรเป็นหัวหน้าทีม และพวกเขาสามารถควบคุมดูแลงานนั้นและแก้ไขบางปัญหาที่สัมพันธ์กับความจริงได้ เพราะพวกเขาเข้าใจบางสิ่งที่เป็นหลักธรรมความจริง  นี่คือสิ่งที่ทำให้ใครบางคนมีคุณวุฒิสำหรับงานนั้นและเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าทีม  คนบางคนไม่สามารถแบกรับงานนั้นหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้  เหตุผลหลักสำหรับการนี้คืออะไร?  สำหรับส่วนน้อยของผู้คนดังกล่าว เหตุผลเป็นเพราะพวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ต่ำ  อย่างไรก็ดี สำหรับส่วนใหญ่ เหตุผลก็คือขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา  นี่เป็นสาเหตุของการที่พวกเขาไม่สามารถทำการงานหรือหน้าที่ของพวกเขาได้ดี  ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจความจริงหรือการเรียนรู้วิชาชีพหรือทักษะเฉะพาะทาง ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีย่อมสามารถจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายที่มีอยู่ในการเหล่านั้น เพื่อที่จะเข้าถึงรากเหง้าของสิ่งทั้งหลาย และเพื่อที่จะระบุชี้ชัดถึงความเป็นจริงและแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมมีการตัดสินที่ถูกต้องและกำหนดมาตรฐานและหลักธรรมที่ถูกต้องในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ ทุกการงานที่พวกเขามีส่วนร่วม  นี่เองคือขีดความสามารถที่ดี  ผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีนั้นสามารถที่จะรับมือกับการกำกับดูแลงานสารพัดหลากหลายในพระนิเวศของพระเจ้าได้  พวกที่มีขีดความสามารถปานกลางหรือต่ำนั้นไร้ความสามารถในงานดังกล่าว  ไม่ว่าในวิถีทางใด นี่ก็ไม่ใช่กรณีของการที่พระนิเวศแห่งพระเจ้าโปรดปรานหรือดูแคลนบางคน หรือปฏิบัติต่อผู้คนต่างกัน—นี่ก็แค่การที่ผู้คนมากมายไม่สามารถรับมือกับการกำกับดูแลเพราะขีดความสามารถของพวกเขา  เหตุใดเล่าพวกเขาจึงไม่สามารถรับมือกับการกำกับดูแล?  อะไรคือสาเหตุรากเหง้า?  นั่นก็คือการที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริง  นั่นเป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขานั้นปานกลางหรือถึงขั้นต่ำมาก  นี่เป็นเหตุผลที่ความจริงนั้นอยู่เลยพ้นพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้เมื่อพวกเขาได้ยินความจริง  คนบางคนอาจไม่เข้าใจความจริงเพราะพวกเขาไม่ตั้งใจฟัง หรือก็อาจเป็นได้ว่าพวกเขาเยาว์วัยและถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมโนคติเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า และนั่นก็ไม่น่าสนใจอะไรเลยสำหรับพวกเขา  อย่างไรก็ดี นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลหลัก  เหตุผลหลักก็คือการที่ขีดความสามารถของพวกเขานั้นไม่เพียงพอ  สำหรับผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ด้อยกว่า ไม่สำคัญว่าหน้าที่ของพวกเขาคืออะไร หรือพวกเขาทำงานนั้นมานานเท่าไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามามากเพียงใด หรือเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้  พวกเขายืดเยื้อการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง ทำให้สิ่งทั้งหลายเป็นปัญหายุ่งเหยิงไปหมด และไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดเลย  สำหรับคนบางคนที่รับใช้ในฐานะหัวหน้าทีมและรับมือกับการกำกับดูแลงานบางอย่าง ในตอนแรกที่พวกเขาเข้ารับความรับผิดชอบของงาน พวกเขาไม่จับความเข้าใจในหลักธรรมทั้งหลาย  ภายหลังความล้มเหลวหลายครั้ง พวกเขาจึงมาเข้าใจความจริงและจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายโดยการแสวงหาและการตั้งคำถาม  จากนั้นพวกเขาจึงสามารถรับมือกับการกำกับดูแลและแบกรับงานนั้นได้ด้วยตนเองบนพื้นฐานของหลักธรรมเหล่านี้  นี่เองที่หมายถึงการมีขีดความสามารถ  สำหรับผู้คนอื่นๆ เจ้าสามารถบอกหลักธรรมทั้งหมดให้พวกเขาได้ และสามารถถึงขั้นบรรยาย ถึงรายละเอียดของวิธีที่จะนำหลักธรรมเหล่านั้นมาทำให้เป็นผล และพวกเขาก็จะดูเหมือนเข้าใจสิ่งที่เจ้าบอกพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายได้ยามที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับพึ่งพาแนวคิดและจินตนาการของตนเอง ถึงขั้นเชื่อว่าการนี้ถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถพูดอย่างชัดเจนได้ และไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับหลักธรรมหรือเปล่า  หากเบื้องบนตรัสถามคำถามกับพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นวุ่นวายใจและไม่รู้จะพูดอะไร  พวกเขารู้สึกแน่ใจก็ต่อเมื่อเบื้องบนทรงรับมือกับการกำกับดูแลและจัดเตรียมการนำให้เท่านั้น  นี่บ่งชี้ว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นต่ำมาก  ด้วยขีดความสามารถที่ต่ำเช่นนั้น พวกเขาไม่สามารถสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือดำรงชีวิตตามหลักธรรมความจริงได้ นับประสาอะไรกับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในลักษณะที่น่าพึงพอใจ

เมื่อสักครู่นี้ เราเพิ่งเอ่ยไปว่า มีอีกระดับหนึ่งอยู่เหนือขีดความสามารถที่ดี ซึ่งก็คือขีดความสามารถที่ดีมาก  หลังจากที่ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีมากมาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าและในประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาก็ค่อยๆ ก้าวผ่าน รู้สึกและเข้าใจว่าสภาวะอันหลากหลายที่ถูกเอ่ยถึงในพระวจนะของพระเจ้านั้นหมายถึงอะไร  แม้แต่ตอนที่พวกเขาได้รับการจัดเตรียมหรือความช่วยเหลือที่เล็กน้อยมาก พวกเขาก็สามารถค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า ตั้งข้อพึงประสงค์สำหรับตนเองไปตามหลักธรรม ทิศทาง และมาตรฐานทั้งหลายตามที่พระวจนะของพระเจ้าบอกไว้ และหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนและตรรกะวิบัติทั้งหลาย  พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงและมารู้จักตัวเองและรู้จักพระเจ้าได้โดยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าด้วยตัวเอง  นี่คือขีดความสามารถสูงสุด และผู้คนเช่นนั้นมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกสูงสุด  จงบอกเราที มีผู้คนแบบนี้ท่ามกลางเหล่ามนุษย์หรือไม่?  บางทีพวกเจ้าไม่อาจพบผู้คนแบบนี้ได้ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ทุกวันนี้ แต่พวกเจ้าพอจะนึกถึงใครบางคนในพระคัมภีร์ที่เป็นแบบนี้หรือไม่?  (นึกได้ โยบกับเปโตร)  โยบและเปโตรเป็นคนจำพวกนี้ทั้งคู่  พวกเขาอยู่ในหมู่มนุษย์ที่มีขีดความสามารถสูงสุด  ไม่ต้องกล่าวถึงความเป็นมนุษย์ บุคลิกลักษณะ และความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ในด้านของขีดความสามารถแล้ว พวกเขาเป็นคนสองคนที่มีขีดความสามารถสูงสุด  อะไรเป็นเกณฑ์สำหรับการกล่าวเช่นนี้?  (โยบไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่เขาได้มารู้จักพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว)  พระเจ้าไม่เคยตรัสกับโยบ แล้วประสบการณ์และความรู้ของเขามาจากไหน?  โยบได้ทำการสังเกตและการค้นพบในชีวิตของเขา จากนั้นก็ลิ้มรสสิ่งเหล่านั้นอย่างใส่ใจ ซึ่งนั่นได้สร้างความประทับใจบางอย่างขึ้นในหัวใจของเขา และนำพาความรู้แจ้งและความกระจ่างบางประการมาสู่เขา  เขาจับใจความความจริงทั้งหลายได้ทีละน้อย และหลังจากที่จับใจความสิ่งเหล่านั้นได้ เขาก็ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับการจับใจความของตนและความเข้าใจของตนที่มีต่อความจริง ค่อยๆ มายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  “การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว” เป็นสิ่งที่ผู้คนควรถือปฏิบัติและฝึกฝน  นี่เป็นหนทางสูงสุดที่ผู้คนควรติดตาม ในสายตาของชนรุ่นหลัง ดูเหมือนโยบนำคำประกาศนี้มาสู่การปฏิบัติได้อย่างง่ายดายทีเดียว  เจ้าคิดว่านั่นเรียบง่ายและง่ายดายก็เพราะเจ้าไม่รู้หรือไม่ได้รับประสบการณ์ด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของคำพูดเหล่านี้  โยบได้คำประกาศนี้มาอย่างไรเล่า?  เขาได้มาซึ่งคำประกาศนี้โดยผ่านทางประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของตนเอง  ในสายตาของผู้คนนั้น คำพูดที่ว่า “ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” ควรทำหน้าที่เป็นคติประจำใจ พวกเขาควรติดตามและปฏิบัติเป็นหลักธรรมความจริง—นี่จึงถูกต้อง  แต่โยบไม่ได้มุ่งเน้นว่าจะกล่าวคำพูดนั้นอย่างไร เขามุ่งเน้นเพียงว่าจะลงมือกระทำอย่างไร  แล้วเขามาถึงหลักธรรมที่เขานำมาสู่การกระทำได้อย่างไรเล่า?  (โดยผ่านทางประสบการณ์แห่งชีวิตประจำวันของเขา)  เขาสามารถปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ในการกระทำทั้งหลายของเขาได้อย่างไร?  (เขามามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของเขา)  เขามองเห็นกิจการของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำต่อผู้คนในชีวิตปกติของเขา  เขาได้พัฒนาความยำเกรงต่อพระเจ้า ความเชื่อที่ถ่องแท้ในพระเจ้า ความเลื่อมใสที่แท้จริง และความเชื่อฟังกับความไว้วางใจที่แท้จริงโดยผ่านทางประสบการณ์เหล่านี้  นี่คือวิธีที่ความยำเกรงของเขาที่มีต่อพระเจ้าถูกสร้างขึ้นมา  เขาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับการรู้จักยำเกรงพระเจ้า  ความยำเกรงที่มีต่อพระเจ้าเป็นบทสรุปของการปฏิบัติทั้งหลายและพฤติกรรมของเขาหลังจากที่เขาได้เชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้ามานานหลายปี  พวกเราอาจกล่าวได้ว่า ความยำเกรงที่มีต่อพระเจ้าคือแก่นแท้ของพฤติกรรม ความรู้ และหลักธรรมแห่งการกระทำของเขา  อากัปกิริยาของเขา สิ่งที่เขาเผยออกมา และวิธีที่เขาประพฤติเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ตลอดจนความตั้งใจและหลักธรรมแห่งการกระทำที่ลึกที่สุดของเขา—แก่นแท้ของการสำแดงเหล่านี้ก็คือการที่เขายำเกรงพระเจ้า  พระเจ้าทรงให้คำนิยามแก่เขาเช่นนี้  โยบสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่นั่นไม่ใช่เพราะพระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายกับเขา หรือทรงจัดหาความจริงให้เขาอย่างมหาศาล หลังจากนั้น เขาจึงค่อยๆ สัมฤทธิ์ความยำเกรงต่อพระเจ้าโดยผ่านการจับใจความของตัวเขาเอง  ในยุคนั้น พระเจ้าไม่ได้ตรัสพระวจนะที่ชัดเจนอันใดกับเขา  อย่างมากที่สุด สิ่งที่โยบสามารถมองเห็นได้ก็คือทูตทั้งหลายของพระเจ้า และสิ่งที่เขาสามารถได้ยินอย่างมากที่สุดก็คือตำนานหรือเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าที่ถูกส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษของเขา  นี่คือทั้งหมดที่เขาสามารถรู้ได้  อย่างไรก็ดี ด้วยการพึ่งพาเพียงข้อมูลเหล่านี้ โยบค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ และสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากการดำรงชีวิตของเขามากขึ้น  ความเชื่อในพระเจ้าของเขาค่อยๆ เติบโตแข็งแกร่งขึ้นทุกที และความยำเกรงแท้จริงต่อพระเจ้าก็ก่อกำเนิดขึ้นในตัวเขาด้วยเช่นกัน  หลังจากที่สองสิ่งนี้ก่อกำเนิดขึ้นในตัวเขาแล้ว วุฒิภาวะที่แท้จริงของโยบและขีดความสามารถที่แท้จริงของเขาก็เกิดปรากฎชัดขึ้นมา  อะไรเล่าที่พวกเราสามารถมองเห็นได้จากโยบ?  พวกเราสามารถมองเห็นว่ามีความจริงอยู่มากมาย—ความจริงที่สัมพันธ์กับน้ำพระทัยของพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ และความรอดของมวลมนุษย์—ซึ่งอันที่จริงแล้ว ผู้คนสามารถมาจับใจความได้ทีละน้อยในชีวิตประจำวันของพวกเขา ตราบที่พวกเขามีขีดความสามารถและการคิดแบบมนุษย์ปกติ  โยบเป็นตัวอย่างของการนี้  เขาสามารถจับใจความบางสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้  เขาได้จับใจความสิ่งใดหรือ?  คติประจำใจสูงสุดของเขาซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อเขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบทั้งหลายของเขา นี่เป็นความเข้าใจสูงสุดของเขาด้วยเช่นกัน  อะไรคือคติประจำใจที่เป็นความเข้าใจสูงสุดนี้ด้วย?  “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21)  ภายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ปัจจุบัน ในแง่ของประเด็นปัญหานี้ มีใครไหมที่มีความเข้าใจที่แท้จริงดังเช่นโยบ?  มีใครไหมที่สามารถบรรลุความเข้าใจของโยบ?  (ไม่มี)  สิ่งที่ผู้คนเข้าใจในตอนนี้คือคำสอนเท่านั้น  คำพูดเหล่านั้นเกิดขึ้นจากประสบการณ์ของโยบ  ชนรุ่นหลังสามารถกล่าวคำเหล่านี้ได้ แต่พวกเขาไม่มีความเข้าใจคำพูดเหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา  ในตอนแรก โยบก็ไม่ได้มีความเข้าใจนี้เหมือนกัน แต่คำพูดเหล่านี้มาจากเขาและเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงของเขา  โยบมีความเป็นจริงนี้  ไม่สำคัญว่าชนรุ่นหลังได้พูดตามและเลียนแบบโยบไปมากมายเพียงใด พวกเขาก็แค่เข้าใจคำสอนเท่านั้น  เหตุใดเราจึงพูดว่านั่นเป็นเพียงคำสอน?  อันดับแรก นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่สามารถนำมาสู่การปฏิบัติได้  อันดับสอง ผู้คนก็แค่ไม่มีประสบการณ์ทั้งหลายที่โยบมี และไม่มีความรู้ที่ได้รับมาจากประสบการณ์เหล่านี้ ดังนั้นความรู้ของพวกเขาจึงว่างเปล่า  ไม่สำคัญว่าเจ้าพูดคำพูดนั้นมากมายเพียงใดหรือเจ้าโห่ร้องดังเพียงใด—“พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้า”—เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับเจ้าในชีวิต เจ้าสามารถรับรู้ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ว่านั่นคือพระราชกิจของพระเจ้า?  หากพระเจ้าทรงลิดรอนและทำลาย เจ้ายังคงสามารถถวายพระพรพระนามของพระเจ้าในหัวใจเจ้าหรือไม่?  การนี้ลำบากยากเย็นสำหรับเจ้า  เหตุใดจึงยากลำบากสำหรับเจ้าที่จะทำการนี้?  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่รู้เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าในการทำการนี้ และเจ้าก็ไม่ระลึกรู้อำนาจอธิปไตยของพระองค์ด้วยเช่นกัน  เจ้าไม่สามารถเข้าใจสองสิ่งนี้ได้  เจ้าไม่สามารถจับความน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจตำแหน่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรยึดไว้ ความนบนอบที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี หรือการกระทำทั้งหลายที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรลงมือทำ  เจ้าไม่สามารถทำการใดที่กล่าวมาได้เลย  ด้วยเหตุนั้นยามที่เจ้าท่องคำพูดของโยบ คำพูดเหล่านั้นจึงกลายเป็นว่างเปล่าโดยมิอาจรับรู้ได้เลย ไม่มีอะไรที่มากไปกว่าคำพูดที่แค่สวยงามและทันสมัย  เพราะฉะนั้น แม้ว่าทั้งเจ้าและโยบได้กล่าวคำพูดเดียวกัน แต่ความเข้าใจและการจับใจความของโยบที่มีต่อคำพูดเหล่านี้ในหัวใจของเขานั้นแตกต่างจากของเจ้า และเขากล่าวคำพูดเหล่านี้ภายในบริบททางอารมณ์ที่แตกต่างจากเจ้า  เหล่านี้คือสองสภาวะของจิตใจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  โยบไม่ได้กล่าวคำเหล่านี้เป็นปรกติ  แต่เมื่อพระเจ้าทรงลิดรอนทุกสิ่งไปจากเขา เขากลับหมอบกราบลงบนพื้นและสรรเสริญกิจการของพระเจ้า  อย่างไรก็ตามที เจ้าประกาศคำพูดเหล่านี้บ่อยครั้ง แต่เจ้าจะประพฤติอย่างไรเมื่อเผชิญกับการลิดรอนของพระเจ้า?  เจ้าจะสามารถคุกเข่าลงและอธิษฐานหรือไม่?  เจ้าคงไม่สามารถที่จะนบนอบได้  ต่อให้โดยภายนอกเจ้าพูดว่า “ฉันควรนบนอบ  พระเจ้าทรงทำการนี้ และพวกเราเหล่ามนุษย์ไม่มีความสามารถและไม่อาจขัดขืน ดังนั้นฉันจะปล่อยให้สิ่งต่างๆ แสดงบทบาทไป” นี่เป็นการเชื่อฟังที่แท้จริงหรือไม่?  ไม่ต้องพูดถึงธรรมชาติของภาวะอารมณ์ของเจ้าที่ขัดขืน เป็นกบฏและคิดลบ มีความแตกต่างอันใดหรือไม่ระหว่างท่าทีของเจ้ากับท่าทีของโยบ?  (มี)  มีความแตกต่างอันไพศาลอยู่ประการหนึ่ง  นี่เป็นความแตกต่างระหว่างการมีกับการไม่มีความเป็นจริงความจริง  นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างสิ่งที่คนคนหนึ่งได้รับประสบการณ์และจับใจความกลายมาเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติของชีวิตคนคนนั้น กับแค่เพียงความเข้าใจคำสอนโดยปราศจากการมีความเป็นจริง  ยามที่ไม่ได้เผชิญกับสิ่งใด ผู้คนจะประกาศคำพูดของโยบ แต่เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนมากมายไม่สามารถกล่าวคำพูดของโยบได้  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเพียงเข้าใจคำสอนเท่านั้น  คำพูดเหล่านี้ไม่ได้กลายมาเป็นชีวิตของพวกเขา และไม่ได้ชี้นำความคิดและท่าทีของพวกเขาเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา  ไม่ว่าอย่างไร ยามที่สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับผู้คนซึ่งมีคำพูดเหล่านี้เป็นชีวิตของตน ย่อมเห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเป็นคติประจำใจที่พวกเขาประกาศในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นท่าทีแท้จริงของพวกเขาที่มีต่อผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลาย  ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นท่าทีแท้จริงของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า  คำพูดเหล่านี้เป็นรูปจำแลงของชีวิตพวกเขา ไม่ใช่แค่บางคำขวัญที่พวกเขาโห่ร้อง  นี่เน้นให้เห็นเด่นชัดถึงความแตกต่างระหว่างการเข้าใจความจริงกับการไม่เข้าใจความจริง

ทีนี้พวกเรามาพิจารณาเปโตรกัน  เหตุใดพวกเราจึงพูดว่าเปโตรมีขีดความสามารถที่ดี?  นั่นเป็นเพราะเปโตรสามารถจับใจความความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าแสดง และเข้าใจพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า  ยุคสมัยที่เปรโตรดำรงชีวิตอยู่นั้นคือยุคพระคุณ  ทางแห่งการไถ่ที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนในยุคพระคุณนั้นสูงส่งกว่าทางในยุคพระบัญญัติ  ทางแห่งการไถ่นั้นเกี่ยวข้องกับความจริงพื้นฐานบางประการเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์และความจริงเบื้องต้นบางประการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยมนุษย์  ตัวอย่างเช่น เกี่ยวข้องกับการเชื่อฟังพระเจ้า การนบนอบต่ออำนาจอธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า ตลอดจนวิธีที่ผู้คนควรตอบสนองเมื่อพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบางอย่างของตนออกมา  แม้เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาหารือกันในลักษณะที่เป็นวงกว้างและเป็นระบบ แต่ก็ได้ถูกเอ่ยถึง  แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ถูกนำมาหารือกันมากมายกว่าในช่วงเวลาของโยบ แต่น้อยกว่าทุกวันนี้อย่างมีนัยสำคัญ  ถึงแม้ไม่มีคำพูดบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับแง่มุมดังกล่าวของความจริงเหมือนการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยมนุษย์ ท่าทีของเหล่ามนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า แก่นแท้ของความเสื่อมทรามที่อยู่ลึกในหัวใจผู้คน หรือการเปิดเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนคนหนึ่ง องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ไว้ในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน  นี่ก็แค่ว่าผู้คนไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับนี้ และดังนั้นคำพูดเหล่านี้จึงไม่ถูกบันทึกไว้  ตัวอย่างเช่น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเปโตรดังนี้ “เราบอกความจริงกับท่านว่า ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (มัทธิว 26:34)  เปโตรได้ตอบสนองพระดำรัสนี้ว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:35)  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดประเภทใด?  (เหล่านี้คือคำพูดแห่งความโอหังที่บ่งชี้ถึงการขาดความรู้จักตนเอง)  คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดอันโอหังที่กล่าวโดยใครคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักตัวเอง  ดังนั้น นี่จึงเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง  อะไรคือสิ่งที่เปโตรได้ตระหนักหลังจากที่ไก่ขัน?  (ว่าเขากล่าวถึงตัวเขาเองอย่างอวดตน)  เมื่อเขาตระหนักถึงการนี้ เขารู้สึกบางอย่างในหัวใจเขาหรือไม่?  (รู้สึก)  หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออะไร?  (สำนึกผิด หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด)  ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรู้สึกผิดและสำนึกผิด  เขากล่าวว่า “สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสนั้นถูกแล้ว  สิ่งที่ข้าพระองค์กล่าวเกี่ยวกับการรักองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นแค่ความปรารถนา เป็นอุดมคติ และเป็นคำขวัญจำพวกหนึ่ง  ข้าพระองค์ไม่มีวุฒิภาวะสูงเพียงนั้น”  เมื่อเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมที่องค์พระเยซูเจ้าถูกจับกุม เปโตรก็ขี้ขลาดและหวาดกลัว  บางคนถามเขาว่า “นั่นใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านหรือไม่?  พวกท่านรู้จักพระองค์หรือไม่”  แล้วเปโตรกำลังคิดอะไรอยู่ในใจตอนนั้นเล่า?  “ใช่ ข้ารู้จักพระองค์ แต่หากข้ายอมรับ พวกเขาก็จะจับกุมข้าไปด้วย”  เพราะความขี้ขลาดและความเกรงกลัวต่อความทุกข์ของเขา และพราะเขากลัวที่จะถูกจับกุมไปกับองค์พระเยซูเจ้าด้วย เขาจึงไม่ยอมรับว่ารู้จักพระองค์  ความใจเสาะของเขาเอาชนะความเชื่อ  แล้วเช่นนั้นความเชื่อของเขาจริงแท้หรือเทียมเท็จเล่า?  (เทียมเท็จ)  ณ เวลานี้ เขาตระหนักว่าตอนที่เขากล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะไปกับพระองค์ ทั้งไปสู่คุกและไปสู่ความตาย”  คำพูดเหล่านี้เป็นการคิดเพ้อฝันไปเอง  คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้ของเขา แต่เป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า เป็นคำขวัญ และคำสอน  เขาไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง  เมื่อใดหรือที่เขาตระหนักว่าเขาไม่มีวุฒิภาวะที่แท้จริง?  (เมื่อข้อเท็จจริงทั้งหลายถูกเปิดเผย)  เพียงตอนที่เผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงทั้งหลายและตอนที่เขารู้สึกผิดและสำนึกผิดเท่านั้นเขาจึงตระหนักว่า “ผลปรากฏว่า ความเชื่อและวุฒิภาวะของข้านั้นน้อยมากดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไม่มีผิด  สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสนั้นถูกต้องแล้ว  สิ่งที่ข้าพูดกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเพียงความอวดตนเท่านั้นเอง  นั่นไม่ใช่ความเชื่อที่จริงแท้ แต่เป็นแรงผลักดันเพียงชั่ววูบ  เมื่อเผชิญหน้ากับบางสิ่ง ข้าขี้ขลาดและไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์ มีแนวคิดที่เห็นแก่ตนเอง ตัดสินใจเลือกเอง ไม่เชื่อฟัง และไม่มีหัวใจที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง  นั่นคือความขาดแคลนความเชื่อของข้า เช่นนั้นก็คือขนาดของวุฒิภาวะของข้า”  ความสำนึกผิดของเขาทำให้เกิดความคิดเหล่านี้ขึ้นในตัวเขาอย่างนั้นหรือ?  ความสำนึกผิดของเขาแสดงให้เห็นว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับตัวเองและการประเมินวัดที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับวุฒิภาวะ สภาวะ และความเชื่อของเขาแล้ว  พันธสัญญาใหม่เพียงแต่บันทึกว่า เปโตรปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามหน แต่ไม่บันทึกคำพยานเชิงประสบการณ์ของเปโตรว่าเขาสำนึกผิด กลับตัว และเปลี่ยนแปลงอย่างไร  ในข้อเท็จจริงนั้น เปโตรเขียนจดหมายเกี่ยวกับการนี้ แต่บรรดาผู้แก้ไขพระคัมภีร์เลือกที่จะไม่รวมจดหมายเหล่านั้นไว้ด้วย  นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดซึ่งแสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้นำของคริสตจักรในเวลานั้นล้วนให้ความสนใจต่อวิธีประกาศและเป็นพยานยืนยัน แต่ไม่มีใครเลยในหมู่พวกเขาที่เข้าใจประสบการณ์ชีวิต  พวกเขาล้วนแต่มุ่งเน้นไปที่วิธีที่อัครสาวกเหล่านั้นประกาศและทำงาน และวิธีที่อัครสาวกเหล่านั้นทนทุกข์ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน ตลอดจนความเข้าใจของผู้คนเกี่ยวกับความจริงและความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า  คนเหล่านั้นที่แก้ไขพระคัมภีร์ได้บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเปโตรในแง่ธรรมดาและเรียบง่ายเกินจริงมากเกินไป แต่พวกเขาบันทึกเหตุการณ์ของชีวิตเปาโลอย่างละเอียดและมากเป็นพิเศษ  นี่แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีอคติ  พวกเขาไม่เข้าใจว่าความจริงคืออะไร ทั้งยังไม่เข้าใจว่าการเป็นพยานแด่พระเจ้าหมายถึงอะไร  พวกเขาเคารพบูชาเปาโล พวกเขาจึงเลือกจดหมายของเปาโลมากกว่า ในขณะที่คัดสรรของเปโตรมาเพียงไม่กี่ฉบับ  โดยการแก้ไขพระคัมภีร์ในหนทางนี้ พวกเขาก่อให้เกิดข้อผิดพลาดของหลักธรรม ซึ่งเป็นเหตุให้บรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเคารพบูชาและเลียนแบบเปาโลมาเป็นเวลาสองพันปี  การนี้นำทางให้โลกศาสนาทั้งโลกเดินไปตามเส้นทางแห่งการขัดขืนพระเจ้า กลายเป็นอาณาจักรทางศาสนาภายใต้การควบคุมของพวกศัตรูของพระคริสต์  พวกเขาเพิกเฉยต่อคำพยานชั้นเลิศของเปโตร โดยเพียงทำการบันทึกจดหมายของเปโตรสองฉบับเท่านั้น—จดหมายฉบับที่หนึ่งและฉบับที่สองของเปโตร  แต่สำหรับวิธีที่เปโตรได้รับประสบการณ์ตามจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา วิธีที่พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่เขา สิ่งที่พระเยซูตรัสเมื่อพระองค์ทรงปรากฏแก่เขา วิธีที่เปโตรยอมรับการพิพากษาและการตีสอน การจัดการและการตัดแต่ง บททดสอบและการถลุงของพระเจ้า วิธีที่เขาเต็มใจถูกตรึงกางเขนกลับหัวในท้ายที่สุด วิธีที่เปโตรมาถึงจุดนี้ วิธีที่เขาสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขา และวิธีที่เขาบรรลุความเชื่อและความเชื่อฟังเช่นนั้น—ไม่มีบันทึกของกระบวนการแห่งประสบการณ์นี้เลย  นี่ไม่ใช่วิธีที่ควรเป็นเลย  ช่างน่าเวทนาที่สิ่งซึ่งมีค่าที่สุดเหล่านี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้

นับจากการปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามหนของเปโตรซึ่งถูกบันทึกไว้ในประกาศกิตติคุณทั้งสี่ มาจนถึงการตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้าในท้ายที่สุดของเปโตร ผู้คนมองเห็นอะไรเมื่อพวกเขานำสองเหตุการณ์นี้มาวางไว้ด้วยกัน?  เปโตรขยับจากการปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามหนไปสู่การถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้าในที่สุด  ตรงนี้มีกระบวนการอันลำบากยากเย็น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ควรค่าแก่การสำรวจค้นอยู่ไม่ใช่หรือ?  กระบวนการนี้คืออะไร?  (กระบวนการแห่งการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย)  นั่นถูกต้องแล้ว การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยมนุษย์คือการเดินทางของชีวิตแห่งการสามารถละทิ้งและสละตนเองเพื่อพระเจ้าได้ และเต็มใจนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าทั้งมวล  ประสบการณ์ชีวิตก็คือกระบวนการนี้นั่นเอง  นี่ไม่ใช่การแสดงละครอย่างสิ้นเชิง  จากการจุดเริ่มต้นตอนที่เปโตรไม่กล้ายอมรับว่าเขาเป็นผู้ติดตามขององค์พระเยซูเจ้า จนถึงตอนจบเมื่อเขามีความกล้าหาญและความเชื่อ โดยเต็มใจที่จะถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า และขึ้นมาถึงระดับนี้  ช่างเป็นกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เขาได้ประสบในความเชื่อของเขา อุปนิสัยของเขา และความเชื่อฟังของเขา!  มีกระบวนการแห่งการเติบโตอยู่อย่างแน่นอน  ผู้คนสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่านี่เป็นกระบวนการการเติบโตจำพวกใดกันแน่ เพราะคำพูดที่ถูกกล่าวถึงในวันนี้คือความจริงทั้งหลายซึ่งบรรดาผู้ที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าต้องเข้าใจ  ทุกวันนี้พระเจ้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ให้กระจ่างต่อผู้คนแล้ว และได้ทรงจัดหาความจริงเหล่านี้ให้กับพวกเขา  ดังนั้นประสบการณ์ของเปโตรเป็นอย่างไร?  หลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงจากไปแล้ว ไม่มีใครบอกเขาในแง่ที่ชัดเจนถึงสิ่งที่เขาควรได้รับประสบการณ์เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังต่อพระเจ้า  ในยุคนั้น เมื่อไม่มีพระวจนะที่ชัดเจนจากพระเจ้ามาสู่เขา เขาก็สัมฤทธิ์วุฒิภาวะและความเชื่อแห่งความเชื่อฟังแบบเต็มใจโดยปราศจากคำพร่ำบ่นหรือตัวเลือกส่วนบุคคลใดๆ ในท้ายที่สุด  จงบอกเราทีว่าเขาได้รับความจริงอะไรในที่สุด?  และเขาได้รับความจริงเหล่านั้นมาอย่างไร?  นั่นเป็นไปโดยผ่านทางการอธิษฐาน การแสวงหา และค่อยๆ รับประสบการณ์และควานหา  แน่นอนว่าในช่วงระหว่างเวลานี้ เปโตรได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระเจ้า รวมทั้งการทรงนำและพระคุณอันพิเศษของพระเจ้า  นอกเหนือจากสิ่งต่างๆ ดังกล่าว เขาเพียงสามารถได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกโดยผ่านทางความพยายามของตัวเขาเอง  ในช่วงระหว่างกระบวนการนี้ ความรู้ของเปโตรเกี่ยวกับตัวเขาเอง เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และเกี่ยวกับทุกแง่มุมของความจริงที่ผู้คนควรเข้าไปสู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากความมืดมนไปสู่ความชัดเจน จากนั้นก็ไปสู่ความถูกต้องแม่นยำ และแล้วก็ไปสู่เส้นทางแห่งการปฏิบัติที่แน่ชัดและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  กระบวนการนี้จะแผ่ขยายไปจนถึงปลายทางเมื่อเขาสามารถที่จะเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากความเบี่ยงเบนใดๆ  เขากล้าที่จะปฏิบัติหนทางนี้หลังจากที่เขาได้มาซึ่งการยืนยันในหัวใจของเขาแล้วเท่านั้น  การยืนยันนี้มาจากที่ใด?  โดยผ่านทางการควานหาตลอดจนผ่านทางการอธิษฐานและการแสวงหา  เขาเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำการและเปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงกระทำการ  ไม่มีอุปสรรคหรือการบ่มวินัย  เขามีความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สันติสุข และความชื่นบานยินดี และในเวลาเดียวกันก็มีการเกื้อหนุน การอวยพร และการทรงนำของพระเจ้า  นี่คือวิธีที่เขาได้รับการยืนยัน  หลังจากที่ได้รับการยืนยันแล้ว เขาก็เดินหน้าต่อไปอย่างกล้าแกร่งเพื่อแสวงหา ควานหาและปฏิบัติ  หลังจากผ่านกระบวนการอันซับซ้อนเช่นนั้น เปโตรก็ค่อยๆ มาถึงความเข้าใจที่แม่นยำเกี่ยวกับแง่มุมทั้งหลายของธรรมชาติมนุษย์ การรู้จักตนเอง และอุปนิสัย ตลอดจนสภาวะอันหลากหลายที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์สร้างขึ้นมาในหลากหลายสภาพแวดล้อม  หลังจากจับความเข้าใจนี้แล้ว เขาก็เริ่มลงมือทำงานกับสิ่งเหล่านี้เพื่อแสวงหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติที่สอดรับกัน  ในท้ายที่สุด เขาก็แก้ไขแต่ละสภาวะที่เป็นผลลัพธ์มาจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามสารพัดในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน  เขาแก้ไขสิ่งเหล่านั้นอย่างไร?  เขาแก้ไขสิ่งเหล่านั้นไปทีละน้อยโดยการใช้ความจริงและหลักธรรมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงเปิดเผย  แน่นอนว่า เขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุงมากมายในช่วงระหว่างเวลานี้  พระเจ้าทรงทดสอบและถลุงเขามากน้อยเพียงใด?  ในท้ายที่สุด เขาก็จับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้และเข้าใจว่า พระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนเรียนรู้บทเรียนแห่งความเชื่อฟัง  ดังนั้นแล้ว พระเจ้าทรงพระราชกิจกับเปโตรเพียงใดเพื่อทำให้เขาตระหนักว่าผู้คนควรปฏิบัติความเชื่อฟัง?  ก่อนหน้านี้พวกเราได้เอ่ยถึงบางสิ่งที่เปโตรกล่าวไว้  เจ้าจำได้หรือไม่ว่าคืออะไร?  (“หากพระเจ้าทรงปฏิบัติกับฉันราวของเล่น ฉันจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร?”)  ถูกต้อง นั่นแหละ  ในกระบวนการของการได้รับประสบการณ์และก้าวผ่านการทรงนำและพระราชกิจของพระเจ้า เปโตรพัฒนาความรู้สึกนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนราวของเล่นมิใช่หรือ?”  แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นแรงจูงใจต่อการกระทำทั้งหลายของพระเจ้า  ผู้คนพึ่งพามุมมอง การคิด และความรู้แบบมนุษย์ของพวกเขาเพื่อประเมินเรื่องนี้และรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเล่นกับผู้คนตามสบายราวกับพวกเขาเป็นของเล่น  วันหนึ่งพระองค์ตรัสว่าจะทำเรื่องนี้และวันรุ่งขึ้นพระองค์ก็ทรงบอกพวกเขาให้ทำเรื่องนั้น  เจ้าเริ่มรู้สึกโดยไม่รู้ตัวว่า “โอ้ พระเจ้าตรัสมากมายหลายสิ่งเหลือเกิน  พระองค์กำลังทรงพยายามทำอะไร?”  ผู้คนรู้สึกสับสนและถูกถาโถมใส่เล็กน้อย  พวกเขาไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใด  พระเจ้าทรงใช้วิธีการนี้เพื่อทดสอบเปโตร  ผลลัพธ์สุดท้ายของการทดสอบนี้คืออะไร?  (เปโตรสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังไปจนตาย)  เขาสัมฤทธิ์ความเชื่อฟัง  นี่เป็นผลลัพธ์ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ และพระเจ้าทรงมองเห็น  เปโตรกล่าวคำพูดใดที่แสดงให้พวกเราเห็นว่าเขาได้เริ่มเชื่อฟังและเติบโตทางวุฒิภาวะแล้ว?  เปโตรพูดว่าอะไรหรือ?  เปโตรยอมรับและมีทัศนะอย่างไรต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไปทั้งหมดและท่าทีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ราวของเล่น?  ท่าทีของเปโตรเป็นอย่างไร?  (เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร?”)  ใช่แล้ว นั่นคือท่าทีของเปโตร  เป็นคำพูดของเขาแน่นอน  ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์แห่งการทดสอบและการถลุงของพระเจ้าคงไม่มีวันกล่าวคำพูดเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่เข้าใจการเล่าเรื่องในที่นี้ และไม่เคยได้รับประสบการณ์นั้นมาก่อน  เนื่องจากพวกเขาไม่เคยได้รับประสบการณ์นี้ พวกเขาจึงไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน  หากพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ พวกเขาจะสามารถพูดเรื่องนี้ตามสบายเหลือเกินได้อย่างไร?  คำพูดเหล่านี้เป็นบางสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งคงไม่มีทางคิดขึ้นมาได้?  เปโตรสามารถพูดเรื่องนี้ได้เพราะเขามีประสบการณ์กับบททดสอบและการถลุงมากมายเหลือเกิน  พระเจ้าทรงลิดรอนสิ่งต่างๆ มากมายไปจากเขา แต่ในเวลาเดียวกันก็ทรงมอบให้เขามากมาย  หลังการให้ พระองค์ก็ทรงพรากไปอีก  หลังจากที่ทรงเอาสิ่งต่างๆ ไปจากเขา พระเจ้าก็ทรงทำให้เปโตรได้เรียนรู้ที่จะเชื่อฟัง แล้วจากนั้นก็ทรงมอบให้เขาอีกครั้ง  จากมุมมองของมนุษย์ หลายสิ่งที่พระเจ้าทรงทำดูเป็นไปตามแต่พระหทัย ซึ่งทำให้เกิดภาพลวงตาแก่ผู้คนว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติกับผู้คนราวของเล่น ไม่ให้เกียรติผู้คน และไม่ปฏิบัติต่อผู้คนในฐานะที่เป็นมนุษย์  ผู้คนคิดว่าพวกเขามีชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี เหมือนของเล่น พวกเขาคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงมอบสิทธิให้พวกเขาตัดสินใจเลือกอย่างอิสระ และคิดว่าพระเจ้าสามารถตรัสสิ่งใดก็ได้ที่พระองค์ทรงต้องประสงค์  เมื่อพระองค์ทรงมอบบางสิ่งแก่เจ้า พระองค์ตรัสว่า “เจ้าสมควรแก่บำเหน็จนี้สำหรับสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไป  นี่คือการอวยพรของพระเจ้า”  เมื่อพระองค์ทรงพรากสิ่งทั้งหลายไป พระองค์แค่ทรงมีสิ่งอื่นที่จะตรัสเท่านั้น  ผู้คนควรทำสิ่งใดในกระบวนการนี้?  เจ้าไม่มีสิทธิที่จะตัดสินพระเจ้าว่าทรงถูกหรือผิด  เจ้าไม่มีสิทธิที่จะระบุธรรมชาติแห่งการกระทำของพระเจ้า และแน่นอนว่า ในกระบวนการนี้เจ้าไม่มีสิทธิที่จะมอบศักดิ์ศรียิ่งใหญ่ขึ้นให้กับชีวิตของตน  นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่เจ้าควรตัดสินใจ  บทบาทนี้ไม่ใช่ของเจ้า  แล้วอะไรคือบทบาทของเจ้า?  เจ้าควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผ่านทางประสบการณ์  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและไม่สามารถทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ทางเลือกเดียวของเจ้าก็คือการเชื่อฟัง  เป็นการง่ายสำหรับเจ้าหรือไม่ที่จะเชื่อฟังภายใต้รูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว?  (ไม่)  ไม่ง่ายเลยที่จะเชื่อฟัง  นี่คือบทเรียนที่เจ้าควรเรียนรู้  หากเป็นการง่ายสำหรับเจ้าที่จะเชื่อฟัง เจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียน เจ้าคงไม่จำเป็นต้องถูกจัดการหรือตัดแต่ง และก้าวผ่านบททดสอบและการถลุง  เพราะเป็นการลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าที่จะเชื่อฟังพระเจ้า พระองค์จึงทรงทดสอบเจ้าอย่างสม่ำเสมอ ทรงจงใจเล่นกับเจ้าราวกับเจ้าเป็นของเล่น  ในวันที่เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเจ้าที่จะเชื่อฟังพระเจ้า  เมื่อความเชื่อฟังของเจ้าที่มีต่อพระเจ้ามาโดยปราศจากความลำบากยากเย็นหรือความขัดข้อง เมื่อเจ้าสามารถเชื่อฟังอย่างเต็มใจและอย่างชื่นบาน โดยปราศจากตัวเลือก ความตั้งใจ หรือความชอบส่วนตนของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าราวกับเป็นของเล่น และเจ้าจะได้ทำอย่างที่เจ้าควรทำ  หากวันหนึ่งเจ้าพูดว่า “พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันราวกับเป็นของเล่น และฉันดำรงชีวิตอยู่อย่างปราศจากศักดิ์ศรี  ฉันไม่เห็นด้วยกับการนี้และฉันจะไม่เชื่อฟัง” นั่นอาจเป็นวันที่พระเจ้าทอดทิ้งเจ้า  จะเป็นอย่างไรหากวุฒิภาวะของเจ้าได้ไปถึงระดับที่เจ้าพูดว่า “แม้น้ำพระทัยของพระเจ้านั้นไม่ง่ายเลยที่จะจับความเข้าใจ และพระเจ้าทรงหลบซ่อนจากฉันเสมอ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำอะไร ฉันจะเต็มใจเชื่อฟัง  ต่อให้ฉันไม่สามารถเชื่อฟังได้ ฉันก็ยังคงต้องรับเอาท่าทีนี้มาใช้ และไม่มีคำพร่ำบ่นหรือตัวเลือกของตัวเอง  นี่เป็นเพราะฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  หน้าที่ของฉันคือเชื่อฟัง และนี่เป็นภาระผูกพันที่ชัดเจนซึ่งฉันไม่อาจหนีพ้นได้  พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ถูกต้อง  ฉันไม่ควรเพลิดเพลินไปกับมโนคติอันหลงผิดหรือจินตนาการใดเกี่ยวกับสิ่งพระเจ้าทรงทำ  นี่ไม่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สำหรับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้ฉัน ฉันขอบคุณพระเจ้า  สำหรับสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบให้ฉัน หรือทรงมอบให้แล้วจากนั้นก็ทรงพรากไป ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นกัน  การกระทำทั้งหลายของพระเจ้าล้วนเป็นประโยชน์ต่อฉัน ต่อให้ฉันไม่สามารถมองเห็นประโยชน์นั้นเลยก็ตาม สิ่งที่ฉันควรทำก็ยังคงเป็นเชื่อฟัง”?  คำพูดเหล่านี้ไม่ส่งผลเดียวกันกับคำพูดของเปโตรตอนที่เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าจะไม่พร้อมและไม่เต็มใจได้อย่างไร”?  บรรดาผู้ที่มีวุฒิภาวะเช่นนั้นเท่านั้นจึงเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง

ต่อไป พวกเรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับขีดความสามารถของผู้คน  ยามประเมินวัดว่าบุคคลหนึ่งมีขีดความสามารถหรือไม่ จงดูตรงที่ว่าพวกเขาสามารถจับความเข้าใจน้ำพระทัยและท่าทีของพระเจ้าเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาในชีวิตประจำวัน ตลอดจนตำแหน่งที่พวกเขาควรอยู่ และหลักธรรมที่พวกเขาควรติดตาม และท่าทีที่พวกเขาควรมีหรือไม่  หากเจ้าสามารถจับความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมมีขีดความสามารถ  หากสิ่งที่เจ้าจับความเข้าใจไม่เกี่ยวข้องอันใดกับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงให้เจ้าในชีวิตจริงของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่มีขีดความสามารถหรือไม่ก็มีขีดความสามารถไม่ดี  วุฒิภาวะที่แท้จริงของเปโตรกับโยบเกิดขึ้นอย่างไรหรือ และพวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาได้รับและเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยวจากความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาอย่างไรในท้ายที่สุด?  พวกเขาไม่มีทางเลยที่จะชื่นชมสิ่งที่พวกเจ้าชื่นชมในวันนี้ พวกเจ้ามีใครบางคนที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง จัดเตรียมให้พวกเจ้า เกื้อสนุนพวกเจ้า และช่วยเหลือพวกเจ้าอยู่เสมอ  มีใครบางคนที่จะช่วยพวกเจ้าตรวจสอบสิ่งทั้งหลาย  พวกเขาไม่มีสิ่งนี้เลย  ความจริงส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้เข้าใจนั้นได้รับจากสิ่งที่พวกเขาได้ตระหนักมาแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้มีประสบการณ์มาแล้ว สิ่งที่พวกเขาค่อยๆ ขบคิดออกและก้าวผ่านในชีวิตประจำวันของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถสูง  เมื่อผู้คนไม่มีขีดความสามารถดังกล่าว และไม่มีท่าทีจำพวกนี้ต่อความจริงและความรอด พวกเขาจะไม่แสวงหาความจริงและไม่ใส่ใจต่อการปฏิบัติความจริงในทุกสิ่ง  ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่สามารถที่จะได้มาซึ่งความจริง  หลังจากได้ยินเรื่องราวของโยบและเปโตร ผู้คนส่วนใหญ่อิจฉาพวกเขา  อย่างไรก็ดี หลังจากอิจฉาโยบและเปโตรมาช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาก็ไม่จริงจังกับเรื่องนี้  พวกเขารู้สึกว่าตนเองก็สามารถกล่าวคำพูดอมตะของโยบและเปโตรยามที่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาได้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย  ตามที่พวกเราพิจารณากันตอนนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ง่ายเลย

ในพันธสัญญาใหม่ นอกเหนือจากประกาศกิตติคุณทั้งสี่ จดหมายฝากของเปาโลกินพื้นที่มากสุด  ในช่วงระหว่างคาบเวลาเดียวกัน เป็นไปได้ว่า เปาโลกับเปโตรแทบจะทำงานที่เหมือนกัน แต่ความมีหน้ามีตาของเปาโลนั้นมากกว่าของเปโตรมากมาย  พวกเราสามารถมองเห็นอะไรได้จากสองสถานการณ์นี้?  พวกเราสามารถมองเห็นเส้นทางที่ชายทั้งสองคนนี้เดิน  หลายบรรทัดในจดหมายฝากของเปาโลถูกรับมาใช้เป็นคติประจำใจโดยชนรุ่นหลัง และทุกคนใช้คำกล่าวที่เลื่องชื่อของเปาโลเป็นแรงจูงใจให้กับตนเอง  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาล้วนลงเอยบนเส้นทางที่ผิด และหลายคนถึงขั้นลงไปตามเส้นทางของพวกศัตรูของพระคริสต์  ในทางตรงข้าม เปโตรแทบไม่ได้มีการแสดงตนต่อสาธารณะเลย  โดยพื้นฐานแล้ว เขาไม่เขียนหนังสือ ไม่นำเสนอคำสอนที่ลุ่มลึกและลี้ลับ และไม่ได้ให้คำขวัญ หรือทฤษฎีที่ฟังดูสูงส่งเพื่อสอนและช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงในกาลสมัยนั้น และเขาก็ไม่ได้ให้ทฤษฎีที่เลิศลอยที่จะส่งอิทธิพลต่อชนรุ่นหลัง  เขาเพียงแค่เสาะแสวงที่จะรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในลักษณะที่มีเหตุผลและสัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่คือความแตกต่างระหว่างเส้นทางที่พวกเขาทั้งสองใช้เดิน  ในตอนท้าย เปาโลใช้เส้นทางของศัตรูพระคริสต์และได้รับความพินาศ ขณะที่เปโตรใช้เส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการรักพระเจ้า และได้รับการทำให้เพียบพร้อม  โดยการพิจารณาเส้นทางที่พวกเขาใช้เดิน เจ้าสามารถมองเห็นว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ผู้คนประเภทใด ผู้คนประเภทใดที่พระเจ้าทรงไม่ชอบ การสำแดงและการพรั่งพรูออกมาจากผู้คนที่พระเจ้าทรงไม่ชอบ เส้นทางประเภทใดที่ผู้คนเหล่านี้ใช้เดิน สัมพันธภาพแบบไหนที่พวกเขามีต่อพระเจ้า และอะไรคือสิ่งที่พวกเขาใส่ใจ  พวกเจ้าจะพูดหรือไม่ว่าเปาโลมีขีดความสามารถ?  ขีดความสามารถของเปาโลอยู่ในชั้นไหนหรือ?  (ชั้นดีมาก)  พวกเจ้าได้ยินคำเทศนามามากเหลือเกินแต่ยังคงไม่เข้าใจ  ขีดความสามารถของเปาโลสามารถถูกพิจารณาว่าดีมากได้หรือไม่?  (ไม่ มันต่ำ)  เหตุใดขีดความสามารถของเปาโลจึงต่ำ?  (เขาไม่รู้จักตัวเองและไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า)  นั่นเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจความจริง  เขาก็ได้ยินคำเทศนาที่องค์พระเยซูเจ้าทรงให้ไว้มากมายด้วยเช่นกัน และในช่วงระหว่างคาบเวลาที่เขาทำงาน แน่นอนว่ามีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่  ในเมื่อเขาทำงานทั้งหมดนั้น เขียนจดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมด และเดินทางไปตามคริสตจักรเหล่านั้นทั้งหมด แล้วเป็นไปได้อย่างไรว่าเขายังคงไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับความจริง และไม่ได้ประกาศอะไรเลยนอกจากคำสอน?  นั่นเป็นขีดความสามารถแบบไหนกัน?  ขีดความสามารถต่ำ  ที่มากกว่านั้นคือ เปาโลข่มเหงองค์พระเยซูเจ้าและจับกุมบรรดาสาวกของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นองค์พระเยซูเจ้าก็ได้ซัดโทษใส่ด้วยแสงสว่างจ้าจากฟ้า  เปาโลเข้าหาและเข้าใจเหตุการณ์ยิ่งใหญ่นี้ที่บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างไร?  แบบวิธีของความเข้าใจของเขาต่างจากของเปโตร  เขาคิดว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงซัดโทษใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ทำบาปลงไป ดังนั้นข้าพเจ้าต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะชดเชยให้กับการนี้ และทันทีที่คุณความดีของข้าพเจ้าสมดุลกันกับโทษบาปของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะได้รับบำเหน็จ”  เขารู้จักตัวเองหรือไม่?  เขาไม่รู้จักตัวเอง  เขาไม่ได้พูดว่า “ข้าพเจ้าต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าเพราะธรรมชาติที่มุ่งร้ายของข้าพเจ้า ธรรมชาติที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า—ไม่มีอะไรดีเลยเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้า!”  เขามีความรู้จักตัวเองเช่นนั้นหรือไม่?  (ไม่)  และเขาบันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ในจดหมายฝากของเขาอย่างไร?  เขามีทัศนะอย่างไรต่อเหตุการณ์นี้?  (เขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงเรียกให้เขาทำงาน)  เขาเชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกเขาโดยการสาดแสงสว่างจ้าลงบนตัวเขา และว่าพระเจ้าจะเริ่มใช้เขาให้เกิดประโยชน์ใหญ่หลวง  ด้วยความที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเชื่อว่านี่เป็นข้อพิสูจน์ที่ทรงพลังที่สุดว่า เขาจะได้รับการปูนบำเหน็จและได้รับการสวมมงกุฎ รวมไปถึงต้นทุนที่ใหญ่ที่สุดที่เขาสามารถใช้เพื่อให้ได้รับมงกุฎและบำเหน็จทั้งหลาย  ที่เพิ่มเติมไปกว่านั้นคือ ลึกลงไปในหัวใจของเขา เขารู้สึกมีหนามแหลมชิ้นหนึ่งคอยทิ่มแทง  หนามชิ้นนี้คืออะไร?  หนามชิ้นนี้คือโรคหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้เขาเป็นการลงโทษสำหรับการขัดขืนอย่างบ้าคลั่งของเขาที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  เขาจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  เขามีอาการป่วยอย่างหนึ่งในหัวใจและความคิดของเขาเสมอ “นี่เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าจะสามารถยกโทษให้ข้าพเจ้าได้หรือไม่  โชคดีที่องค์พระเยซูเจ้าช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้รอด และทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ  นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะไถ่ตัวข้าพเจ้าเอง  ข้าพเจ้าควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดของข้าพเจ้า และอาจจะไม่ใช่แค่บาปของข้าพเจ้าเท่านั้นที่จะได้รับการยกโทษ แต่ข้าพเจ้ายังสามารถได้รับมงกุฎกับบำเหน็จด้วย  นั่นคงวิเศษไปเลย!”  อย่างไรก็ดี เขาไม่เคยสามารถกำจัดหนามชิ้นนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความอกสั่นขวัญหายในหัวใจของเขาได้เลย  เขารู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับมันเสมอ  “ข้าพเจ้าจะชดเชยให้กับความผิดพลาดอย่างมหันต์นี้ได้อย่างไร?  ข้าพเจ้าจะยกเลิกมันให้หมดได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ส่งผลกับโอกาสประสบความสำเร็จของข้าพเจ้าหรือมงกุฎที่ข้าพเจ้าหวังจะได้รับ?  ข้าพเจ้าต้องทำงานมากขึ้นเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จ่ายราคาให้มากขึ้น เขียนจดหมายฝากมากขึ้น และใช้เวลาวิ่งวุ่นให้มากขึ้น สู้รบกับซาตานและเป็นคำพยานที่งดงาม”  นี่คือวิธีที่เขาเข้าหาการนี้  เขามีความเสียใจบ้างหรือไม่?  (ไม่)  เขาไม่มีความเสียใจเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับความรู้จักตัวเอง  เขาไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย  นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของเปาโลมีปัญหา และว่าเขาไม่มีสมรรถภาพที่จะเข้าใจความจริง  ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของเขาและสิ่งที่เขาไล่ตามเสาะหา และส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะขีดความสามารถของเขา เขาไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ และเขาก็ไม่ตะหนักรู้ “มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก  ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเลวเกินไป ชั่วเกินไป  ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือธรรมชาติของซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์  การนี้อยู่ที่รากเหง้าของการไถ่มวลมนุษย์ของพระเจ้า  มนุษย์จำเป็นต้องได้รับการไถ่ของพระเจ้า  ดังนั้นมนุษย์ควรมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อยอมรับการไถ่ของพระองค์ได้อย่างไร?”  เขาไม่เคยพูดสิ่งดังกล่าวเลย  เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงได้ขัดขืนและกล่าวโทษพระเยซู  ถึงแม้เขายอมรับว่าเขาเป็นตัวการใหญ่ แต่เขาก็ไม่ได้ทบทวนเรื่องนี้เลย  เขาแค่ครุ่นคิดหาวิธีที่เขาจะสามารถหักล้างบาปร้ายแรงทั้งหลายดังกล่าวได้ วิธีที่เขาจะสามารถชดใช้ให้กับบาปของเขา ชดเชยให้กับบาปของเขาโดยความประพฤติที่เป็นความดีความชอบ และสุดท้ายก็ยังคงบรรลุถึงมงกุฎและบำเหน็จที่เขามุ่งหวัง  ไม่สำคัญว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาก็ไม่อาจเข้าใจความจริงหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าได้จากสิ่งทั้งหลายที่อุบัติขึ้นกับเขา  เขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย  สำหรับการรับความจริง เปาโลเป็นบุคคลที่แย่ที่สุด ดังนั้นพวกเราสามารถพูดได้ว่าขีดความสามารถของเปาโลแย่ที่สุด

ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนที่ไม่สามารถเข้าใจความจริงสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนที่ต้องการได้รับการช่วยให้รอดต้องมีขีดความสามารถที่น่าพึงพอใจ  อย่างน้อยพวกเขาต้องมีขีดความสามารถปานกลาง และไม่มีขีดความสามารถที่ต่ำเกินไป  พวกเขาต้องบรรลุความเข้าใจความจริง  ไม่ว่าพวกเขาสามารถจับใจความความจริงได้มากเพียงใด อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องมารู้จักตัวเองบนพื้นฐานแห่งการเข้าใจความจริงของพวกเขา และต้องรู้วิธีที่จะปฏิบัติความจริง  พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ในหนทางนี้  เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ในหนทางนี้?  เมื่อเจ้าสามารถเชื่อมโยงสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับเจ้าในชีวิตประจำวันของเจ้าเข้ากับความจริง และสามารถมีทัศนะและปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถนำพาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในชีวิตจริงของเจ้า และเจ้าก็จะสามารถยอมรับการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า การถูกตัดแต่งและจัดการโดยพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งบททดสอบและการถลุงทั้งหลายในพระวจนะของพระองค์บนรากฐานนี้  มิฉะนั้นแล้ว หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เจ้าก็จะไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะยอมรับการพิพากษา บททดสอบ และการถลุงของพระวจนะของพระองค์เสียด้วยซ้ำ  ก่อนการยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องเข้าใจความจริงบางอย่าง มีท่าทีแห่งความเชื่อฟังต่อพระเจ้า และได้เปลี่ยนแปลงไปในบางหนทาง  เจ้าต้องรู้ด้วยเช่นกันว่าเจ้าควรจัดการกับเหตุสุดวิสัยทั้งหลายด้วยท่าที วิธีคิด และมุมมองใด  สิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับความจริง  นี่ไม่ใช่กรณีที่ผู้คนสามารถใช้คำขวัญทางศาสนา พิธีกรรมทางศาสนา และกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายเพื่อที่จะรับมือกับการนี้และสัมพันธ์กับความจริงอย่างไม่ใส่ใจ  และนี่ก็ไม่ใช่กรณีที่เพียงแค่การทำความประพฤติดีบางอย่างก็เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริงแล้ว  การนี้ไม่เรียบง่ายเช่นนั้น  เมื่อคำนึงถึงสิ่งที่เจ้ารู้ สิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ และสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเจ้า เจ้าต้องรู้แน่แก่ใจถึงหลักธรรมที่เจ้าควรยึดปฏิบัติตาม  เจ้าเกี่ยวข้องกับความจริงได้ในหนทางนี้เท่านั้น  นอกจากนี้ หนทางที่เจ้าปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงให้เจ้าทำ หนทางที่เจ้าปฏิบัติต่อลักษณะและท่าทีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้า รวมไปถึงท่าทีและมุมมองที่เจ้ารับมาใช้ต้องเกี่ยวข้องกับความจริง  ในหนทางนี้เท่านั้นที่เจ้าสามารถมีการเข้าสู่ชีวิต  มิฉะนั้นแล้ว พระเจ้าจะไม่สามารถทรงพระราชกิจใดในตัวเจ้าได้  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  (พวกเราเข้าใจ)  จงมองดูผู้คนในศาสนาที่ยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ พูดคุยเกี่ยวกับคำสอนและแสร้งทำเป็นคนดีพวกนั้นสิ  การกระทำของพวกเขาดูดีจากภายนอก แต่เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่เคยทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาเลย?  นั่นเป็นเพราะสิ่งทั้งหลายที่เขาทำและความประพฤติดีทั้งหมดของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับความจริง  พวกเขาได้เพียงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตนเองเท่านั้น แต่นี่ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่ดีพอที่จะไปถึงข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระเจ้า  เสมือนกับเด็กคนหนึ่งที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนประถมศึกษาต้องการตรงไปเข้ามหาวิทยาลัย  นั่นเป็นไปได้หรือไม่?  นั่นเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิงเพราะพวกเขาไม่มีคุณวุฒิ  เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางที่ผู้คนเดินหรือความเป็นมนุษย์หรือขีดความสามารถของพวกเขา อย่างน้อยผู้คนก็ควรเป็นไปตามเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับความรอด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาต้องเข้าใจความจริง ปลดเปลื้องอุปนิสัยเสื่อมทรามของตน และสามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างแท้จริง

พวกเราประเมินวัดขีดความสามารถของผู้คนอย่างไร?  หนทางอันเหมาะสมที่จะทำการนี้ก็คือโดยการดูท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงและดูว่าพวกเขาสามารถจับใจความความจริงได้หรือไม่  คนบางคนสามารถเรียนรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อพวกเขาได้ยินความจริง พวกเขาก็เกิดสับสนและเผลอหลับไปเลย  พวกเขากลายเป็นสับสนเลอะเลือนในหัวใจ สิ่งที่พวกเขาได้ยิน ไม่มีสิ่งใดเข้าหู และพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังได้ยิน—นั่นคือสิ่งที่เป็นขีดความสามารถต่ำ  เมื่อเจ้าบอกกับผู้คนบางคนว่าพวกเขามีขีดความสามารถต่ำ พวกเขาย่อมไม่เห็นด้วย  พวกเขาคิดว่าการมีการศึกษาสูงและรอบรู้หมายถึงพวกเขามีขีดความสามารถดี  การศึกษาที่ดีแสดงถึงขีดความสามารถสูงหรือไม่?  ไม่  ขีดความสามารถของผู้คนควรถูกประเมินวัดอย่างไร?  ขีดความสามารถควรถูกประเมินวัดบนพื้นฐานของระดับที่พวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  นี่เป็นหนทางที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในการประเมินวัด  ผู้คนบางคนเจ้าสำนวน หัวไว และมีทักษะเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับผู้อื่น—แต่เมื่อพวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาไม่เคยสามารถที่จะเข้าใจสิ่งใดเลย และเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่จับใจความพระวจนะเหล่านั้น  เมื่อพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขามักกล่าวคำพูดและคำสอนเสมอ เผยให้เห็นว่าตัวพวกเขาเป็นแค่มือสมัครเล่น และทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ผู้คนเหล่านี้มีขีดความสามารถต่ำ  แล้วผู้คนเช่นนั้นมีสมรรถภาพที่จะทำงานเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าหรือ?  (ไม่มี)  ทำไมเล่า?  (พวกเขาขาดหลักธรรมความจริง)  ถูกต้อง นี่เป็นบางสิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจในตอนนี้  การทำงานในพระนิเวศของพระเจ้านั้นพูดได้อีกอย่างว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา  เมื่อเป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา การนี้เกี่ยวข้องกับความจริง พระราชกิจของพระเจ้า หลักธรรมแห่งการประพฤติปฏิบัติ และหนทางและวิธีการสำหรับปฏิบัติต่อผู้คนทุกประเภท  ประเด็นปัญหาเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการที่ผู้คนสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในลักษณะที่มีประสิทธิผลและน่าพึงพอใจหรือไม่  ประเด็นปัญหาที่สัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรานั้น เกี่ยวข้องกับความจริงหรือไม่?  หากประเด็นปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความจริง ทว่าเจ้ายังไม่เข้าใจความจริงและพึ่งพาเฉพาะความฉลาดเล็กน้อยของเจ้า เจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสมหรือไม่?  (ไม่)  ไม่  ต่อให้ไม่มีอะไรบิดเบี้ยวไปในบางเรื่อง ก็อาจเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง และเป็นสิ่งภายนอกล้วนๆ  อย่างไรก็ดี เจ้ายังต้องมีหลักธรรมยามที่ทำสิ่งภายนอก และรับมือกับสิ่งเหล่านั้นในหนทางที่ทุกคนถือว่าเหมาะสม  สมมุติว่าเจ้าถูกขอให้รับมือบางสิ่งโดยสอดคล้องกับหลักธรรมทั้งหมดตามลำพัง และขณะที่เจ้ากำลังทำสิ่งนี้ ก็เกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันขึ้น และเจ้าไม่รู้วิธีที่จะจัดการกับสถานการณ์นั้น  เจ้าคิดว่าเจ้าควรเดินหน้าไปตามประสบการณ์ของเจ้า แต่การกระทำตามที่ประสบการณ์สอนเจ้าอย่างไม่มีผิดนั้น ได้แค่รบกวนและทำให้สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่หยุดชะงัก ทำให้ยุ่งเหยิงไปหมด  นี่ไม่ใช่ข้อผิดพลาดหรอกหรือ?  อะไรคือสาเหตุของการนั้น?  นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่มีการจับใจความที่ผ่องแผ้ว เจ้าไม่เข้าใจความจริง และเจ้าไม่มีการจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลาย  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความจริงและหลักธรรม เจ้าก็ไม่สามารถที่จะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นได้ และเจตจำนงของตัวเจ้าเองก็ระเบิดออกมา  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าทำให้งานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหาย และเจ้าทำให้ตัวเองขายหน้า  การจัดการกับปัญหาตามวิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์นั้นมีประสิทธิผลหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดจึงไม่มีประสิทธิผล?  นั่นเป็นเพราะวิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์ไม่ใช่ความจริง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะไม่ยอมรับวิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์  หากเจ้ารับมือกับปัญหาโดยใช้วิธีการและประสบการณ์แบบมนุษย์เสมอ นั่นไม่ใช่แค่หมายความว่า เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมกว่าที่เจ้าเป็นจริงๆ หรอกหรือ?  นั่นไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอหรอกหรือ?  คนบางคนถึงกับโต้เถียงว่า “ไม่ใช่ว่าฉันไม่เข้าใจความจริงที่เกี่ยวกับเรื่องนี้—ในใจฉันเข้าใจเรื่องนั้น  ก็แค่ว่าฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ให้มากพอเท่านั้นเอง  หากฉันทุ่มความพยายามและพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบมากขึ้น ฉันย่อมสามารถรับมือได้ดี  ที่ผ่านมา ตอนที่มีปฏิสัมพันธ์และรับมือสิ่งต่างๆ กับบรรดาผู้เชื่อ ฉันต้องใช้วิถีทางและวิธีการเฉพาะบางอย่าง  ถึงอย่างไร พระนิเวศของพระเจ้าไม่อนุญาตให้ใช้แนวทางเหล่านี้ ฉันก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร  ฉันแค่จัดการกับเรื่องนั้นไปตามหนทางของฉันเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่ฉันทำผิดพลาดไปนิดหน่อย”  ผู้คนเหล่านี้รู้จักตัวเองหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้จักตนเอง?  การนี้เกี่ยวกับความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงในเรื่องนี้ แต่คิดหาหนทางที่จะปกปิดความผิดพลาดของตน  พวกเขาคิดว่าพวกเขาเพียงทำผิดพลาดและละเลยในแง่พฤติกรรมของตน  พวกเขาไม่คิดว่าข้อผิดพลาดของพวกเขาเกี่ยวข้องกับความจริง หรือคิดว่าข้อผิดพลาดนั้นเกิดเนื่องมาจากการขาดความเข้าใจความจริงและข้อเท็จจริงที่พวกเขากระทำบนพื้นฐานของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำ  เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ผู้คนเหล่านี้ก็มองหาเหตุผลและข้อแก้ตัวอยู่ตลอดเวลา  พวกเขาคิดว่าพวกเขาแค่ทำผิดพลาดไป  ในปฏิกิริยาอันดับแรกของพวกเขานั้น พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาต้องแสวงหาความจริง  ในปฏิกิริยาอันดับที่สองของพวกเขา พวกเขายังคงไม่รู้ว่าพวกเขาต้องแสวงหาความจริง และในปฏิกิริยาอันดับที่สามของพวกเขา พวกเขายังคงไม่รู้ว่าพวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาความจริงและทำความรู้จักกับตนเอง  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำมาก  ไม่สำคัญว่าเจ้าแนะนำพวกเขา เปิดโปงพวกเขา และสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ยังจะไม่ตระหนักว่าหลักธรรมความจริงใดที่พวกเขาละเมิดลงไป และความจริงใดที่พวกเขาควรนำไปสู่การปฏิบัติ  ไม่สำคัญว่าเจ้าแนะนำพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่มีวันตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้  พวกเขาขาดพร่องแม้กระทั่งความสามารถเพียงน้อยนิดของการจับใจความความจริง  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำ  ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงชัดเจนอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ตระหนักว่านี่คือความจริง  พวกเขาจะใช้เหตุผลและข้อแก้ตัวของตัวเอง หรือพูดว่านั่นเป็นแค่ความผิดพลาดหรือข้อผิดพลาดเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อปิดปังข้อเท็จจริง  พวกเขาจะไม่ยอมรับแม้แต่น้อยว่า พวกเขาได้ละเมิดความจริงและเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา  ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำความผิดพลาดใดลงไป ได้เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกมา หรือพวกเขาได้ก่อให้เกิดสภาวะอันเสื่อมทรามไปมากเท่าใด พวกเขาก็จะไม่มีวันตระหนักว่า อันที่จริงแล้วอะไรคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอะไรคือแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขา  และพวกเขาก็ไม่รู้วิธีที่จะแสวงหาความจริงหรือวิธีที่จะรู้จักตัวเองในเรื่องนี้  พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้  พวกเขาด้านชาทางจิตวิญญาณและไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย  นี่เป็นการสำแดงของขีดความสามารถที่ต่ำ

พวกเรายกบางตัวอย่างมาสามัคคีธรรมกันสักเล็กน้อยถึงวิธีที่จะประเมินวัดขีดความสามารถของบุคคลหนึ่งกันเถิด  ตัวอย่างเช่น เราพูดว่า คนบางคนผัดวันประกันพรุ่งและขอไปทีในการทำสิ่งทั้งหลาย  หลังจากได้ยินเช่นนี้ ผู้คนที่มีขีดความสามารถที่ดีจะตระหนักในทันทีว่า สภาวะนี้เป็นบางสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ด้วยเช่นกัน และตระหนักว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับสภาวะและท่าทีดังกล่าวบ่อยครั้งในยามที่พวกเขารู้สึกไม่ดีทางกายหรือยามที่พวกเขาคิดลบหรือขี้เกียจ  นอกจากนั้น ภาพบางภาพจะลอยผ่านจิตใจของพวกเขาในเวลาที่พวกเขาผัดวันประกันพรุ่งปรือปฏิบัติตนในหนทางที่ขอไปทีในบางชิ้นงาน  พวกเขาจะเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าและยอมรับว่า สิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยก็คือความจริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามของมนุษย์ และยอมรับว่า ความจริงนี้สัมพันธ์กับอุปนิสัยเสื่อมทรามทั้งหลายของมนุษย์  พวกเขาจะยอมรับด้วยเช่นกันว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และจับใจความพระวจนะเหล่านั้นในลักษณะที่ผ่องแผ้วโดยปราศจากความเข้าใจผิดหรือมโนคติอันหลงผิดของตัวพวกเขาเอง  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถดี  ทันทีที่ได้ยินพระวจนะเหล่านี้ ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นการประเมินวัดตัวเองเทียบกับพระวจนะเหล่านั้น  พวกเขาจะตระหนักว่านี่คือสภาวะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ด้วยเช่นกัน และพวกเขาจะเชื่อมโยงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าเข้ากับสภาวะและชีวิตประจำวันของตัวเอง  จากนั้นพวกเขาก็จะทำการทบทวนตัวเอง มองสภาวะนี้ของตนให้ชัดเจน และยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง  นี่คือวิธีที่ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถที่ดีแสดงปฏิกิริยาเมื่อพวกเขาได้ยินพระวจนะของของพระเจ้า  สำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลาง เจ้าไม่สามารถพูดแค่ “ผัดวันประกันพรุ่ง” และ “ขอไปที”  เจ้าต้องชี้ชัดถึงประเด็นปัญหาของพวกเขาตรงๆ โดยการเปิดโปงการสำแดงต่างๆ ของพวกเขา และผสานการนี้เข้ากับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ โดยพูดว่า “คุณมักสับสนเลอะเลือนและไม่จริงจังกับสิ่งต่างๆ  คุณแค่ทำหน้าที่แบบนี้อย่างขอไปที  คุณจะไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร?  ฉันพูดเรื่องนี้กับคุณกี่ครั้งแล้ว?  นี่เรียกว่าการขอไปทีและการผัดวันประกันพรุ่ง”  จงชี้ชัดถึงปัญหาของพวกเขาเช่นนี้  หลังจากได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาจะทบทวนว่าพวกเขาผัดวันประกันพรุ่งและปฏิบัติตนในหนทางแบบขอไปทีอย่างไร  หลังจากที่พวกเขาทบทวนเรื่องนี้อย่างแท้จริงและได้เรียนรู้เรื่องนี้ พวกเขาก็จะยอมรับความผิดพลาดของตนและสามารถแก้ไขความผิดพลาดเหล่านั้นได้  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาระลึกได้นั้นเป็นสิ่งที่ตายตัว เป็นสภาวะที่ตายตัว  พวกเขาสามารถเห็นพ้องและยอมรับสิ่งที่เจ้าพูดหากนั่นอยู่ในแนวเดียวกับความคิดฝันของของพวกเขาเอง  นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าขีดความสามารถปานกลาง  การทำงานกับผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางพึงต้องใช้ความพยายาม และเจ้าสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้อย่างเต็มที่โดยการกล่าวจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงเท่านั้น  อะไรคือสภาวะของผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ?  พวกเขาควรถูกเข้าหาอย่างไร?  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำนั้นโง่ทึ่มและไม่เต็มบาท  พวกเขาไม่สามารถรู้เท่าทันสถานการณ์ใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญ และพวกเขาไม่แสวงหาความจริง  หากผู้คนไม่บอกสิ่งต่างๆ กับพวกเขาในลักษณะที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา พวกเขาก็ไม่สามารถคิดออกได้ด้วยตัวเอง  ดังนั้นในเวลาที่พูดคุยกับผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถต่ำ เจ้าต้องพูดให้ชัดเจนและตรงไปตรงมามากขึ้น และเจ้าก็ต้องยกตัวอย่างด้วย  เจ้าต้องพูดบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก  นี่เป็นหนทางเดียวที่คำพูดของเจ้าสามารถส่งผลได้บ้าง  เจ้าจำเป็นต้องพูดเช่นนี้ “การที่คุณปฏิบัติหน้าที่แบบนี้เป็นการที่คุณผัดวันประกันพรุ่งและขอไปที!”  ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  “ฉันทำหรือ?  ฉันผัดวันประกันพรุ่งหรือ?  ทันทีที่ฉันตื่นนอนในตอนเช้า ฉันก็เริ่มคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับหน้าที่ของฉัน และฉันก็จะทำสิ่งเหล่านั้นให้เสร็จเป็นอันดับแรก  ตอนที่ฉันออกไปข้างนอก ฉันก็คิดถึงวิธีที่จะทำสิ่งเหล่านั้นให้ดีด้วยเช่นกัน  ฉันไม่ผัดวันประกันพรุ่งหรือกระทำการในหนทางที่ขอไปที  ฉันทุ่มความพยายามมากมายลงไปสิ่งเหล่านี้!”  ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจะเป็นการไม่ยอมรับสิ่งที่เจ้าพูดออกมา  พวกเขาไม่มีการตื่นรู้เลย และโดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาไม่ตระหนักว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่ขอไปทีและผัดวันประกันพรุ่ง  เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จำเป็นต้องอธิบายกับพวกเขาว่าอะไรคือการสำแดงของการผัดวันประกันพรุ่งและการขอไปที และพูดในหนทางที่โน้มน้าวพวกเขาจริงๆ ก่อนที่พวกเขาจะยอมรับคำพูดของเจ้า  ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาเลยที่จะยอมรับว่าพวกเขาทำได้ไม่ดี หรือว่าพวกเขาได้ทำความผิดพลาดในเรื่องภายนอกทั้งหลาย  หากบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริง หลักธรรมแห่งการปฏิบัติ หรือพระอุปนิสัยของพระเจ้า นั่นยิ่งลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ  พวกเขาจะไม่เข้าใจสิ่งใดที่เจ้ากล่าว และยิ่งเจ้าพูดคุย พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกสับสนและอยู่ในความมืดมน และพวกเขาจะไม่ต้องการฟังอีกต่อไป  ผู้คนเหล่านี้มีขีดความสามารถต่ำอย่างสุดขีด นี่เป็นการสำแดงของการไร้ความสามารถของพวกเขาที่จะเอื้อมถึงความจริง  สำหรับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างไร นั่นก็ไร้ประโยชน์  ไม่สำคัญว่าเจ้าพยายามที่จะพูดคุยกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้  อย่างมากที่สุดพวกเขาก็สามารถเข้าใจบางคำสอนและบางกฎเกณฑ์  เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงอย่างมากมายใหญ่โตกับผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ  แค่บอกพวกเขาในลักษณะเรียบง่ายว่าต้องทำอะไร และหากพวกเขาสามารถยึดมั่นในการทำแบบนั้นต่อไปได้ นั่นก็ดีเลยทีเดียว  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำสุดขีดนั้นขาดความสามารถในการจับใจความใดๆ จนถึงขนาดที่พวกเขาจะไม่มีวันสามารถเข้าใจความจริง และพวกเขาไม่สามารถถูกกำหนดให้ไปถึงระดับของการปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้อย่างแน่นอน  หากบางสิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าผู้คนเหล่านี้ และเจ้าก็อธิบายกับพวกเขาอย่างชัดเจนทั้งหมด พวกเขาจะยังคงไม่สามารถเชื่อมโยงการนั้นเข้ากับตัวเอง  นี่คือสิ่งที่พวกเราเรียกว่าขีดความสามารถต่ำ  ตัวอย่างเช่น เมื่อพูดถึงการโกหก จงดูว่าผู้คนที่มีขีดความสามารถดีแสดงปฏิกิริยาอย่างไร  เมื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถดีได้ยินผู้อื่นพูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาจัดการและแก้ไขสภาวะของการโกหกและการหลอกลวง พูดถึงสภาวะของการโกหกของพวกเขาพร้อมยกตัวอย่าง พวกเขาจะทบทวนตัวเองและเปรียบเทียบสิ่งที่พวกเขาได้ยินมากับสภาวะของตัวเอง  หลังจากนี้ พวกเขาก็จะสามารถระลึกได้ถึงสถานการณ์ที่พวกเขาพูดโกหกและความตั้งใจที่พวกเขามีในขณะที่กระทำการในหนทางนั้น  บนพื้นฐานของการเปิดเผยในชีวิตประจำวันของพวกเขา ผ่านทางการตรวจสอบความตั้งใจ สิ่งจูงใจ และความคิดของพวกเขา ผู้คนซึ่งมีขีดความสามารถดีจะสามารถค้นพบว่าคำพูดใดของพวกเขาที่เป็นคำโกหกและคำพูดใดมีความหลอกลวง  เมื่อพวกเขาฟังคำพยานเชิงประสบการณ์ของผู้อื่น พวกเขาก็สามารถได้รับประโยชน์และได้รับบางสิ่ง  ต่อให้เจ้าเพียงพูดคุยเกี่ยวกับหลักธรรมไม่กี่ประการ พวกเขาจะเข้าใจและเรียนรู้ที่จะนำหลักธรรมเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้  จากนั้นพวกเขาก็จะถือคำพูดเหล่านี้เป็นหลักธรรมความจริง ทำให้คำพูดเหล่านี้เป็นความเป็นจริงของตัวเอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทีละน้อย  หลังจากที่บุคคลหนึ่งซึ่งมีขีดความสามารถปานกลางได้ยินคำพยานเชิงประสบการณ์ของผู้อื่น พวกเขาจะสามารถมองเห็นว่าคำพยานเหล่านี้สัมพันธ์กับการสำแดงที่เห็นชัดเจนของตัวเองอย่างไร แต่พวกเขาจะสามารถเชื่อมโยงคำพยานทั้งหลายเข้ากับการสำแดงที่เห็นได้ชัดเจนน้อยกว่าของตน หรือการสำแดงทั้งหลายในส่วนลึกของหัวใจพวกเขาที่ไม่ได้ถูกแสดงออกมา  นอกจากนี้ การจับใจความหลักธรรมความจริงของพวกเขาก็ยังตื้นเขินกว่าเล็กน้อย เช่นเดียวกับคำสอน  ระดับการจับใจความของพวกเขานั้นแย่กว่าของผู้คนที่มีขีดความสามารถดีเป็นอย่างมาก  สำหรับผู้คนที่มีคุณสมบัติต่ำ เมื่อฟังคำพยานของผู้อื่น ไม่สำคัญว่าคนอื่นๆ เหล่านั้นชำแหละว่าสิ่งใดเป็นคำโกหกและคำพูดลอยๆ และสิ่งใดเป็นสภาวะที่เต็มไปด้วยความหลอกลวง พวกเขาก็จะไม่สามารถเชื่อมโยงการนี้เข้ากับตนเอง และพวกเขาจะไม่สามารถทบทวนตนเองหรือมารู้จักตนเองได้  ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงล้มเหลวที่จะระลึกได้ถึงการโกหกและสภาวะที่เต็มไปด้วยความลวงของตัวเอง แต่พวกเขาถึงกับคิดว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์อย่างมากผู้ซึ่งไม่สามารถพูดโกหกได้  ต่อให้ผู้อื่นโกหกและหลอกลวงพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถหยั่งรู้การนี้ได้และพวกเขาก็สามารถถูกหลอกได้อย่างง่ายดาย  พวกเขายิ่งสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงที่ผู้อื่นสามัคคีธรรมกันได้น้อยลงเสียด้วยซ้ำ  พวกเขาขาดความสามารถในการจับใจความแม้เพียงน้อยนิด  นี่คือการสำแดงหนึ่งของขีดความสามารถต่ำ

ในบรรดาผู้คนสามประเภทที่พวกเราเพิ่งเอ่ยถึง คนแบบไหนที่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้?  บุคคลประเภทใดที่สามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงได้?  (ผู้คนที่มีขีดความสามารถดี)  ผู้คนที่มีขีดความสามารถดีสามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริงได้เร็วกว่าและลึกกว่าเล็กน้อย  ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้ช้ากว่าและผิวเผินกว่า  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้เลย  นี่คือความแตกต่าง  เจ้ามองเห็นหรือไม่ว่าผู้คนแตกต่างจากกันและกันอย่างไร?  (เห็น)  ความแตกต่างของพวกเขาอยู่ตรงไหน?  ความแตกต่างของพวกเขาอยู่ในขีดความสามารถของพวกเขาและท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริง  ผู้คนที่รักความจริงและมีขีดความสามารถดีเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างรวดเร็วและสามารถได้รับชีวิต  ผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลางนั้นด้านชาและดื้อรั้น  การเข้าไปสู่ความจริงของพวกเขานั้นเชื่องช้า และความก้าวหน้าของชีวิตพวกเขาก็เชื่องช้าเช่นกัน  ผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำไม่เพียงแค่โง่เขลาและโอหัง แต่พวกเขายังเบาปัญญา มีสีหน้าว่างเปล่าและหม่นหมอง พวกเขาด้านชาในจิตวิญญาณของพวกเขา มีปฏิกิริยาเชื่องช้า และเข้าใจความจริงช้า  ผู้คนดังกล่าวปราศจากชีวิต เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง และไม่ทำสิ่งใดนอกจากพูดคุยเกี่ยวกับคำสอน โห่ร้องคำขวัญ และติดตามกฎเกณฑ์  เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ภายในคนที่ไม่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงเหล่านั้น มีชีวิตอยู่หรือไม่?  พวกเขาปราศจากชีวิต  เมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับผู้คนที่ปราศจากชีวิต พวกเขาทำตามเจตจำนงของตนเองและปฏิบัติตนแบบมืดบอด บางคราวก็หลุดอ้อมไปทิศทางหนึ่ง และบางคราวก็อ้อมไปอีกทิศทางหนึ่ง ขาดเส้นทางปฏิบัติที่แม่นยำ รวมทั้งรู้สึกลังเลและอับจนหนทางเสมอ  พวกเขาดูน่าสังเวช  หลายปีที่ผ่านมา เราได้ยินคนบางคนพูดอย่างไม่ขาดสายว่า พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับพวกเขา  ยังเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรหลังจากที่พวกเขาได้ฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกินแล้ว?  การแสดงออกของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจนหนทางจริงๆ  ใบหน้าของพวกเขาว่างเปล่าและหม่นหมอง  บางคนพูดว่า “ฉันถูกเรียกว่าด้านชาได้อย่างไร?  ฉันมีความรู้สึกไวต่อสิ่งที่เป็นความนิยมทางโลกมาก ฉันรู้วิธีที่จะใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ควบคุมเกมทุกประเภท  พวกคุณโง่เง่าและไม่รู้วิธีใช้ของเหล่านั้น  ขีดความสามารถของพวกคุณต่ำขนาดนั้นได้อย่างไร?”  แต่ความฉลาดอันน้อยนิดของพวกเขาก็แค่ทักษะและความหลักแหลมนิดหน่อย—นี่ไม่นับเป็นขีดความสามารถ  หากเจ้าขอให้พวกเขาฟังคำเทศนาหรือสามัคคีธรรมถึงความจริง ผู้คนเหล่านี้ก็ถูกเปิดโปงว่า ในจิตวิญญาณของพวกเขา พวกเขาด้านชาอย่างเหลือร้าย  พวกเขาด้านชาอย่างไรหรือ?  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่พวกเขายังคงไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดและไม่สามารถประมาณค่าการนี้ได้ ทั้งพวกเขาก็ไม่ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นบุคคลประเภทใด  หากเจ้าถามว่าพวกเขาคิดอะไรเกี่ยวกับขีดความสามารถของพวกเขา พวกเขาจะพูดว่า “ขีดความสามารถของฉันแย่กว่าขีดความสามารถที่ดีนิดหน่อย แต่ดีกว่าขีดความสามารถปานกลางมากมาย”  นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นต่ำเพียงใด  นั่นไม่เบาปัญญาไปหน่อยหรือ?  เมื่อผู้คนมีขีดความสามารถต่ำจริงๆ พวกเขาก็เปิดเผยความโง่เขลาประเภทนี้ออกมา  ไม่สำคัญว่านั่นคืออะไร หากบางสิ่งเกี่ยวข้องกับความจริงหรือหลักธรรมทั้งหลาย พวกเขาก็จะไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนั้นเลย และไม่สามารถที่จะขึ้นไปถึงระดับของสิ่งนั้นได้  นี่คือสิ่งที่หมายถึงการมีขีดความสามารถต่ำ

บัดนี้ที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเจ้าจะสามารถประเมินวัดได้หรือไม่ว่า อะไรคือขีดความสามารถดีและอะไรคือขีดความสามารถต่ำ?  หากเจ้าสามารถเข้าใจว่า อะไรคือขีดความสามารถดีและอะไรคือขีดความสามารถต่ำ รวมทั้งมองเห็นขีดความสามารถของตัวเองและแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้าได้อย่างชัดเจน การนี้จะช่วยให้เจ้ารู้จักตัวเอง  ทันทีที่เจ้ามีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่ทางของตัวเอง เจ้าก็จะมีสำนึกเล็กน้อยและรู้จักการประมาณค่าตัวเอง  เจ้าจะไม่หมิ่นเหม่ที่จะกลายเป็นโอหัง และเจ้าจะหนักแน่นมั่นคงขึ้นและสบายใจยามที่ทำหน้าที่ของเจ้า  เจ้าจะไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินไป และเจ้าจะไม่สามารถใส่ใจดูแลงานของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม  เมื่อผู้คนไม่รู้จักตนเอง นั่นย่อมเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนมากมาย  ความเดือดร้อนจำพวกใดหรือ?  แม้ว่าขีดความสามารถของพวกเขานั้นปานกลางอย่างชัดเจน พวกเขาก็คิดเสมอว่าพวกเขามีขีดความสามารถดี ดีกว่าผู้อื่น  พวกเขามีแรงผลักดันในหัวใจของพวกเขาเสมอ และต้องการเสมอที่จะทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำและนำทางผู้อื่น  พวกเขามีสิ่งต่างๆ ดังกล่าวอยู่ในหัวใจของพวกเขาเสมอ แล้วการนี้จะส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือไม่?  พวกเขาถูกสิ่งเหล่านี้รบกวนเสมอมา หัวใจของพวกเขาไม่สบาย และพวกเขาไม่สามารถสงบใจลงได้  พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดี แต่พวกเขายังทำบางสิ่งที่โง่เขลาและน่าขายหน้า และบางสิ่งที่ไร้สำนึกซึ่งทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงอีกด้วย  พวกเขามีปัญหาร้ายแรงขนาดนั้น—ยอมรับได้หรือไม่หากพวกเขายังคงไม่ได้รับการแก้ไข?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ผู้คนเหล่านี้ต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  ก่อนอื่นเลยก็คือ พวกเขาต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและทบทวนว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีความคิดเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาจึงมักใหญ่ใฝ่สูงนัก และสิ่งเหล่านี้มาจากไหน  หากพวกเขาเพียงคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้แบบเรียบง่าย พวกเขาจะแทรกซึมเข้าสู่แก่นแท้ของปัญหาทั้งหลายได้หรือไม่?  ไม่ได้โดยสิ้นเชิง  พวกเขาต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อค้นหารากเหง้าของปัญหา—เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นการง่ายสำหรับพวกเขาที่จะแก้ไข  ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของพวกเขาสามารถถูกถอนรากถอนโคนได้เมื่อพวกเขาได้แก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนแล้วเท่านั้น  ในหนทางนี้พวกเขาก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ในแบบตามความเป็นจริง และรู้หน้าที่มากยิ่งขึ้น พวกเขาจะไม่อวดเบ่งไปทั่วอย่างมากมาย จะไม่เชื่อว่าพวกเขาดีกว่าคนอื่นทุกคน หรือทำตัวอยู่เหนือผู้อื่นเหลือเกินอีกต่อไป และพวกเขาจะไม่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากผู้อื่น  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก  อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็จะมีความถูกต้องเหมาะควรแบบมีศักดิ์ศรีและแบบเที่ยงธรรมเยี่ยงธรรมมิกชน  ในหนทางนี้เท่านั้นพวกเขาจึงสามารถแน่ใจว่าจะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้าและมาสู่พระนิเวศของพระเจ้า อย่างน้อยพวกเขาก็ควรมีมโนธรรมและสำนึกเพื่อให้พวกเขายอมรับความจริง  หากพวกเขาเป็นเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อ เหมือนสัตว์ป่าที่ไม่เชื่อง พวกเขาจะไม่สามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  คนบางคนพูดว่า “การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นลำบากยากเย็นอะไรหนักหนาหรือ?  ฉันมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง”  การมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย  เจ้าต้องมีท่าทีที่ถูกต้องและหัวใจที่เชื่อฟังพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับการยอมรับโดยพระเจ้าอย่างชื่นบาน  หากผู้คนที่เหมือนสัตว์ร้ายมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงเกลียดพวกเขาและขยะแขยงพวกเขา  เพราะฉะนั้นการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการคิดปรารถนาของผู้คน ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะทรงยอมรับรู้ว่าเจ้าได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแค่เพราะเจ้าปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น  สิทธิ์ในการตัดสินใจในเรื่องนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  เจ้าจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น  เมื่อเจ้ามีความตั้งใจที่ถูกต้อง แสวงหาความจริง และอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เนืองนิตย์เท่านั้น เจ้าจึงสามารถรับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ถึงตอนนั้นเท่านั้นเจ้าจึงได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง  หากพระเจ้าตรัสว่าเจ้าเป็นคนธรรมดาที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่เชื่อง พระเจ้าจะสนพระทัยเจ้าบ้างไหม?  (ไม่)  พระเจ้าจะไม่สนพระทัยเจ้าแต่อย่างใด พระองค์เพียงแต่จะทรงมอบสิ่งต่างๆ ที่ระดับผิวเผินเท่านั้น เช่น พระคุณนิดหน่อยและพระพรไม่กี่ประการ  ตามหลักความจริง เจ้าจะไม่สามารถไปอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้เลย  ดังนั้นก่อนที่พระเจ้าจะทรงระลึกถึงเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ เจ้าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อไปถึงจุดที่พระเจ้าทรงระลึกถึงเจ้าในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า  ถึงตอนนั้นเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงเริ่มทดสอบหน้าที่ของเจ้าและทดสอบทุกคำพูดและความประพฤติของเจ้า ทดสอบความคิดและแนวคิดของเจ้า ถึงตอนนั้นเท่านั้น พระเจ้าจึงจะเริ่มทรงพระราชกิจในตัวเจ้า  ก่อนที่จะก้าวผ่านประตูพระนิเวศของพระเจ้า การสำแดงและพฤติกรรมบางอย่างของผู้คน การเปิดเผยความเป็นมนุษย์ของพวกเขา การปฏิบัติของพวกเขา ความคิดและแนวคิดของพวกเขา รวมทั้งท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้านั้นน่าขยะแขยงและน่าคลื่นเหียนต่อพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงจูงมือผู้คนที่พระองค์ทรงพบว่าน่าขยะแขยงและน่าคลื่นเหียน และทรงนำพวกเขาผ่านประตูพระนิเวศของพระองค์หรือไม่?  (พระองค์จะไม่ทรงทำ)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดคนบางคนที่เป็นเช่นนี้จึงรู้สึกยินดีและมีความสุขเหลือเกิน?  ความรู้สึกนี้มาจากไหน?  จากการเสแสร้ง  การนี้ไม่ขาดสำนึกไปหน่อยหรือ?  (ใช่)  พระเจ้า—พระผู้สร้าง—ทรงมีมาตรฐานในการเลือกสรรผู้ติดตามของพระองค์อย่างแน่นอน  นั่นไม่เพียงพอที่ผู้คนจะแค่เชื่อ  พระเจ้าทรงโปรดผู้คนที่ซื่อสัตย์ และพระเจ้าทรงอวยพรผู้คนที่สละตนเองเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ  พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่สามารถยกย่องและเป็นพยานยืนยันต่อพระองค์  มาตรฐานของพระเจ้าสำหรับผู้คนนั้นต่างจากมาตรฐานทั้งหลายของมนุษย์  ตอนที่เจ้าเลือกเพื่อนคนหนึ่งเพื่อคบหา เจ้าจำเป็นต้องพิจารณาบุคลิกลักษณะของพวกเขา พิจารณาว่าพวกเขาเข้ากับรสนิยมของเจ้า ว่าพวกเขามีบุคลิกภาพแบบไหน ว่าพวกเขามีงานอดิเรกเหมือนกันกับเจ้าหรือไม่ และพิจารณารูปลักษณ์ของพวกเขา  แม้แต่เจ้าก็ยังมีมาตรฐานในยามที่เจ้าเลือกผู้คน แล้วพระเจ้าล่ะ?  คนบางคนพูดว่า “พระเจ้าทรงใช้มาตรฐานอะไรในการคัดสรรผู้คน?  การเข้าหาพระเจ้าลำบากยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ?  ลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนมากเลยหรือที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเข้าประตูพระนิเวศของพระเจ้า?”  ในข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ลำบากยากเย็น ค่ามาตรฐานไม่สูง แต่มีมาตรฐาน  ก่อนอื่น อย่างน้อยผู้คนต้องมีท่าทีเคร่งศรัทธาและรู้ที่ทางของตน  นอกจากนั้น พวกเขาต้องเข้าหาพระเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และผ่องแผ้ว  พวกเขาต้องวางตัวด้วยความดีพร้อมแบบธรรมิกชนในทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำด้วยเช่นกัน และอย่างน้อยที่สุดพวกเขาต้องมีคำพูดและความประพฤติ กิริยามารยาท และการอบรมเลี้ยงดูที่ดีมาบ้าง  หากเจ้าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขพื้นฐานเหล่านี้ พูดตรงๆ เลยว่า พระเจ้าจะไม่สนพระทัยเจ้าเลย  เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  เมื่อพูดถึงเรื่องผู้คนซึ่งเชื่อในพระเจ้า จงมองตรงสิ่งที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขาสำแดง และสิ่งที่พวกเขาเปิดเผย  เหตุใดพวกเขาจึงทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงและคลื่นเหียนมากยิ่งนัก?  นั่นเป็นเพราะคนเหล่านี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ ไม่มีมโนธรรมและสำนึก และพวกเขาไม่มีกระทั่งความถูกต้องเหมาะควรแบบธรรมิกชนที่เป็นรากฐานและพื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ  ผู้คนเช่นนี้ต้องการให้พระเจ้าทรงจูงมือนำทางพวกเขาผ่านประตูพระนิเวศของพระองค์ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้  พวกคนโง่เท่านั้นที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับผู้คนอย่างคนที่ขาดความเป็นมนุษย์เหล่านี้  คนบางคนแต่งหน้าหนาและนุ่งน้อยห่มน้อยในชีวิตประจำวันของพวกเขา  พวกเขาแต่งกายยั่วยวนยิ่งกว่านางระบำในหมู่ผู้ไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ  ในชีวิตส่วนตัวและการประพฤติปฏิบัติของพวกเขา เจ้าไม่อาจมองเห็นว่า พวกเขาแตกต่างจากผู้ไม่เชื่ออย่างไรบ้าง  ยามที่พวกเขาอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง พวกเขาดูเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อและผู้ปราศจากความเชื่ออย่างชัดเจน  ผู้คนเช่นนั้นอาจปรากฏให้เห็นภายนอกเสมือนผู้เชื่อที่แท้จริง พวกเขาอาจประกาศตัดสิ่งต่างๆ ได้ พวกเขาอาจสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ และพวกเขาบางคนอาจไม่ท้อถอยเมื่อเผชิญหน้ากับการข่มเหงและความทุกข์เข็ญ ว่าแต่ผู้คนเช่นนั้นสามารถยอมรับความจริงได้หรือ?  พวกเขาสามารถยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าได้หรือ?  บนพื้นฐานของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาใช้ชีวิต พวกเขาเป็นผู้คนที่เที่ยงธรรมและมีศักดิ์ศรีหรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้คนที่รักความจริงหรือไม่?  พวกเขาเป็นผู้คนที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  พระเจ้าทรงต้องการผู้คนเช่นคนเหล่านี้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ทรงต้องการ  เหล่านี้คือพวกผู้ไม่เชื่อที่แอบลักลอบเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาอยู่นอกประตูพระนิเวศของพระเจ้าและยังไม่ได้ผ่านเข้าไป  สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าคือการช่วยเหลือและแรงงาน—คนเหล่านี้เป็นเพื่อนของคริสตจักร แต่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงต้องการผู้ไม่เชื่อหรือสัตว์ป่า  ยังมีคนบางคนด้วยเช่นกันที่วางอำนาจไปทั่วพระนิเวศของพระเจ้า โดยต้องการควบคุมคริสตจักรและมีสิทธิอำนาจทั้งหมด บนพื้นฐานของการเชื่อในพระเจ้านานหลายปีของพวกเขา ต้นทุนเล็กน้อยที่พวกเขามี และหน้าที่สำคัญที่พวกเขาได้ลุล่วงในอดีต  ท่าทีของผู้คนเหล่านี้ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงนั้นน่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า  บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาและสิ่งทั้งหลายที่บรรจุอยู่ในห้วงลึกของหัวใจพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้ผู้คนดังกล่าวในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระองค์  เนื่องจากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับรู้ผู้คนดังกล่าวในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระองค์ เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้พวกเขาทำงานในพระนิเวศของพระองค์?  พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาช่วยเหลือและทำงานชั่วคราวได้  ในกระบวนการของการช่วยเหลือและการทำงานชั่วคราวนั้น หากพวกเขามีมโนธรรมและสำนึกจริงๆ หากพวกเขาสามารถฟัง เชื่อฟัง และยอมรับความจริง และหากพวกเขามีความถูกต้องเหมาะควรแบบธรรมิกชน และมีบางสิ่งที่เป็นหัวใจซึ่งยำเกรงพระเจ้า และทำสิ่งทั้งหลายด้วยหัวใจที่จริงใจ หากพวกเขาผ่านข้อทดสอบเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงนำทางพวกเขาเข้าไปสู่พระนิเวศของพระองค์ และพวกเขาจะกลายเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ณ เวลานี้ งานที่พวกเขาทำและสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้กับพวกเขาก็จะกลายเป็นหน้าที่ของพวกเขา  สิ่งที่ผู้คนทำนอกประตูพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่การทำหน้าที่ให้ลุล่วง นั่นเป็นการช่วยเหลือและการทำงานเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า และผู้คนเหล่านี้เป็นพวกคนปรนนิบัติ

ตอนนี้พวกเจ้าสามารถประเมินวัดได้ไหม ว่าพวกเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าตัดสินตามความยาวนานของเวลาที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรเป็นสมาชิกคนหนึ่ง ว่าแต่นี่เป็นวิธีการที่ถูกต้องแม่นยำของการประเมินวัดหรือ?  (ไม่ใช่)  อะไรคือพื้นฐานที่เจ้าควรใช้เพื่อการประเมินวัด?  นั่นอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเจ้ามีปฏิกิริยาภายในอันใดหรือไม่เมื่อเจ้าได้ยินความจริง เจ้ารู้สึกผิด รู้สึกถูกติติง และรู้สึกถูกบ่มวินัยอยู่ลึกๆ ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ในตอนที่เจ้าละเมิดความจริงหรือขัดขืนและกบฏต่อพระเจ้า  คนบางคนถูกบ่มวินัยในรูปแบบของการเกิดแผลในปากหลังกล่าวคำพูดที่เป็นการด่วนตัดสิน ส่วนคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติตนในลักษณะที่สะเพร่าและสุกเอาเผากิน ไม่จริงจังกับสิ่งต่างๆ ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงทำให้พวกเขาเจ็บป่วย  เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกเอ่ยถึง หากผู้คนเหล่านี้รู้สึกสำนึกผิดอยู่ลึกๆ ภายในและสามารถกลับใจได้—หากพวกเขาแสดงการสำแดงเหล่านี้ออกมา—เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คือสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเหล่านี้ในฐานะสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า และของครอบครัวพระองค์เอง  พระองค์ทรงสั่งสอน บ่มวินัย ติติง ตัดแต่งและจัดการกับพวกเขา—นี่เองคือการเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า  เมื่อท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเปลี่ยนไป และเจ้าสามารถกลับใจได้ พระเจ้าก็จะทรงเปลี่ยนท่าทีของพระองค์ที่มีต่อเจ้าด้วยเช่นกัน  เมื่อเจ้าได้เข้าสู่ชีวิต และทัศนะของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายและทิศทางของชีวิตเจ้าได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง รวมทั้งความเชื่อและความยำเกรงต่อพระเจ้าที่เจ้ายึดถืออยู่ในห้วงลึกของหัวใจได้เติบโตและแปลงสภาพไปทีละน้อย เจ้าก็จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระนิเวศของพระเจ้า  คนบางคนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับพระนิเวศของพระเจ้ามากนัก  ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาได้ทำสิ่งไม่ดีไปมากพอสมควรเลยทีเดียว  พวกเขาได้โกหกและคดโกง ทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่สะเพร่าและสุกเอาเผากิน ปฏิบัติตนตามอำเภอใจและเป็นไปเพื่อตนเองแต่ฝ่ายเดียว ขโมยของถวาย สร้างความร้าวฉาน ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน และทำให้งานของคริสตจักรอับปางลง  พวกเขาได้กระทำผิดมากมาย แต่ก็ไม่เคยรู้สึกถึงการถูกตำหนิ  หัวใจของพวกเขาไม่รู้สึกสำนึกผิด และพวกเขาไม่มีสำนึกของความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย  ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ที่ยืนอยู่นอกประตูพระนิเวศของพระเจ้า  ผู้คนจำพวกนี้ดำรงชีวิตอยู่นอกประตูพระนิเวศของพระเจ้าเสมอ  พวกเขาไม่ติดตามหลักธรรมใดเลยในสิ่งที่พวกเขาทำและไม่สนใจพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  พวกเขามุ่งเน้นแต่เพียงการปฏิบัติกิจทั้งหลาย การวิ่งวุ่นไปทั่ว การทุ่มเทแรงกายแรงใจ การอวดแสดงตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ และการสะสมต้นทุนส่วนตัว  เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักรและการทำหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็กระทำอย่างสะเพร่าและสุกเอาเผากิน พวกเขาโกหกและหลอกลวงพระเจ้า และถึงขั้นควบคุมและทำให้พี่น้องชายหญิงสับสน  พวกเขาไม่รู้สึกถึงการตำหนิหรือการสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาไม่รู้สึกถึงการบ่มวินัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  คนเหล่านี้ไม่ใช่สมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า  โดยภายนอกนั้น บุคคลประเภทนี้แสดงให้เห็นความมีใจกระตือรือร้นอย่างมากกับการวิ่งวุ่นและการสละตนเอง แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเชื่ออย่างมากและเต็มใจสละตนเอง  นั่นดูเหมือนพวกเขารักความจริง รักพระเจ้า และเต็มใจปฏิบัติความจริง  อย่างไรก็ดีทันทีที่พวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาก็สัปหงกไป ไม่อาจนั่งนิ่งได้ และรู้สึกถูกผลักไส  พวกเขาคิดในใจว่า “การสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การชี้ชัดให้เห็นถึงสภาวะของผู้คน บอกให้ผู้คนรู้จักตนเอง แล้วจากนั้นก็ทำให้พวกเขาเข้าใจความจริงเล็กน้อย และสัมฤทธิ์การเชื่อฟังในที่สุดหรอกหรือ?  ฉันเข้าใจทั้งหมดนี้ แล้วทำไมถึงจำเป็นต้องสามัคคีธรรมอีก?”  คนเหล่านี้ไม่รักความจริงเลย และแม้เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงการตำหนิและไม่ได้รับการบ่มวินัย ราวกับพวกเขาปราศจากหัวใจ  คนเหล่านี้ล้วนอยู่นอกพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ  นับตั้งแต่พวกเขายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในตอนแรกจนถึงวันนี้ พวกเขาก็ไม่เคยยอมรับรู้เลยว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระเจ้าคือพระผู้สร้างของพวกเขา  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน  อย่างไรก็ตาม เพราะพวกเขามีเชาว์ปัญญาฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยและมีใจกระตือรือร้นอยู่บ้าง ผนวกด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขา พวกเขามุ่งเน้นการวิ่งวุ่นสาละวนและทำงานเพื่อให้ได้รับการเลื่อมใสของผู้คน ทั้งหมดก็เพื่อให้พวกเขาสามารถสรรค์สร้างตำแหน่งเพื่อตัวเองได้ในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกเขาคิดว่า “ฉันได้สร้างชื่อเสียงเกียรติยศและได้รับความน่าเชื่อถือในหลากหลายสถานที่โดยการทำกิจเหล่านี้และการวิ่งวุ่นไปทั่วแบบนี้  ฉันได้ทำให้ตำแหน่งในคริสตจักรของฉันมั่นคงปลอดภัย และไม่ว่าฉันไปที่ไหน พี่น้องชายหญิงก็เคารพยกย่องฉัน  การมีหน้ามีตาท่ามกลางพี่น้องชายหญิงแบบนั้นก็เพียงพอแล้ว นี่หมายความว่าฉันมีชีวิต  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพิถีพิถันเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงนิยาม”  ผู้คนเหล่านี้เป็นคนประเภทใด?  พูดให้ถูกต้องก็คือพวกเขาคือบรรดาผู้ปราศจากความเชื่อ  อะไรคือพื้นฐานของการกล่าวเช่นนี้?  พื้นฐานก็คือท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงและมีต่อพระเจ้า  พวกเขาไม่มีวันกลับใจ ไม่มีวันมารู้จักตนเอง และไม่มีวันรู้ว่าอะไรกันแน่คือการเชื่อฟังพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ ทำการบริหารจัดการส่วนตัวในนามของการลุล่วงหน้าที่ของตน และการสนองความอยากได้อยากมีและการเลือกชอบของตนเอง  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน และได้ฟังคำเทศนามามากมายยิ่งนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีแนวคิดของความจริงเลย และพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าพึงประสงค์ให้คนเราปฏิบัติความจริง  หลังจากที่ฟังคำเทศนามามากมายเหลือเกิน พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าอันที่จริงแล้วหนทางนั้นเกี่ยวกับอะไร  จากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่รู้สึกว่ามนุษย์นั้นเสื่อมทรามสุดขั้วและจำเป็นต้องได้รับความรอดจากพระเจ้า  พวกเขาไม่มีความพึงปรารถนาที่ถ่องแท้รวมทั้งการโหยหาความจริงและพระเจ้าจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา  นี่ไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ?  (เป็น)  นี่เป็นปัญหาอย่างมาก  สำหรับพวกเขาแล้ว พระเจ้า ความจริงและความรอดเป็นแค่วาทศิลป์ เป็นแค่การโต้เถียงหรือคำขวัญประเภทหนึ่ง  นั่นเป็นปัญหาอย่างมาก

อะไรคือสิ่งที่พวกเจ้ามองเห็นว่าเป็นความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างเปาโลกับเปโตร?  เปาโลทำงานอยู่หลายปี โดยการเดินทาง การสละตัวเอง การร่วมทำคุณงามความดี และการสู้ทนความทุกข์มากมาย แต่เส้นทางที่เขาเดินนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความจริง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเชื่อฟังพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และแน่นอนว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการได้รับการช่วยให้รอด  เพราะฉะนั้นไม่สำคัญว่าความมีหน้ามีตาของเปาโลนั้นสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่างานเขียนของเขามีอิทธิพลต่อชนรุ่นหลัง เขาไม่ใช่ใครบางคนที่รักองค์พระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง  เขาไม่มีความเข้าใจถ่องแท้เกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้า เขาไม่ยอมรับรู้องค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว แต่ระลึกถึงองค์พระเยซูเจ้าในฐานะพระบุตรของพระเจ้า ในฐานะบุคคลธรรมดาสามัญเท่านั้น  ผลลัพธ์ก็คือเขาไม่มีการเชื่อฟังที่แท้จริงต่อองค์พระเยซูเจ้า เขาแค่ทำทุกอย่างที่เขาทำได้เพื่อที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและชนะใจผู้คน ก่อตั้งคริสตจักร และเป็นผู้เลี้ยงส่วนตัวให้กับคนเหล่านั้นด้วยความหวังที่จะได้รับความเห็นชอบของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงค้นคว้าลึกลงไปในหัวใจของเปาโลและไม่ทรงเห็นชอบในตัวเขา  ในทางตรงกันข้าม เปโตรทำสิ่งต่างๆ อย่างเงียบๆ และหัวใจของเขามักเต็มไปด้วยสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้กับเขาเสมอ  เขาไล่ตามเสาะหาความเปี่ยมรักและความเข้าใจพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้า  ในช่วงระหว่างเวลานี้ เขาได้ยอมรับการถูกพระเจ้าตำหนิ จัดการ ตัดแต่ง และแม้แต่ว่ากล่าว  พระวจนะใดที่พระเจ้าทรงใช้ว่ากล่าวเปโตร?  (“จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” (มัทธิว 16:23))  ถูกต้อง “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน”  พระเจ้าตรัสพระวจนะดังกล่าว แต่พระวจนะเหล่านี้ไม่ได้กำหนดปลายทางของเปโตร พระวจนะเหล่านี้เป็นแค่คำว่ากล่าว  พระเจ้าทรงว่ากล่าวเปาโลในช่วงระหว่างงานของเขาหรือไม่?  (ไม่)  ในแง่หนึ่ง เมื่อมองที่ปัจจัยส่วนบุคคล พระเจ้าไม่ได้ว่ากล่าวเขา  ในอีกแง่หนึ่งจากมุมมองของปัจจัยทางข้อเท็จจริง เปาโลไม่ได้ยอมรับความจริง ไม่ได้แสวงหาความจริง และไม่ได้แสวงหาหนทางของการรับความรอดเลย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถรับหรือมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ได้  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวเขาเป็นการใช้การปรนนิบัติของเขาให้เป็นประโยชน์—หากเขาสามารถให้การปรนนิบัติจนถึงปลายทางโดยไม่ก่อความชั่วอันใหญ่หลวงใดๆ เขาก็ยังคงสามารถเป็นคนปรนนิบัติได้ อย่างไรก็ตาม หากเขาก่อความชั่วอันใหญ่หลวงใด จุดจบย่อมจะต่างไป  นั่นคือความแตกต่าง  ในทางกลับกัน เปโตรรับการบ่มวินัย การสั่งสอน และการตำหนิจากพระเจ้าไปมากมาย  จากภายนอกย่อมจะดูเหมือนว่า เปโตรไม่คล้อยตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้พระเจ้าไม่ทรงยินดี แต่จากมุมมองของน้ำพระทัยพระเจ้า บุคคลเช่นนี้เป็นคนที่พระเจ้าทรงต้องการและเป็นคนที่ทำให้พระเจ้าทรงยินดีไม่มีผิด  นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงสั่งสอนและตัดแต่งเขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เขาเติบโตไปทีละน้อย เข้าสู่ความจริง และมาเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า สัมฤทธิ์การเชื่อที่แท้จริงและการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในท้ายที่สุด  นี่คือความรักของพระเจ้าและความรอดของพระเจ้า

ตอนนี้ชัดเจนในหัวใจของพวกเจ้าไหมว่าพวกเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าได้เข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือยัง?  โดยพื้นฐานของสิ่งที่เราเพิ่งสามัคคีธรรมไป พวกเจ้าสามารถประเมินวัดการนี้หรือไม่?  พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้หรือไม่ว่า พวกเจ้าได้เข้าประตูพระนิเวศของพระเจ้าแล้วและเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า?  (พวกเราแน่ใจ)  เป็นสิ่งดีที่พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้  นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้ามีรากฐานแล้ว และว่าพวกเจ้าได้หยั่งรากในพระนิเวศของพระเจ้า  พวกที่ขาดรากฐานนั้นอยู่ข้างนอกพระนิเวศของพระเจ้า และพระเจ้าไม่ยอมรับรู้เกี่ยวกับพวกเขา  จะเป็นอย่างไรหากเจ้าเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า และบอกผู้อื่นว่าเจ้าเป็นผู้ติดตามของพระเจ้า และเป็นสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงรู้จักเจ้า?  นั่นย่อมจะเป็นปัญหา ถูกต้องหรือไม่?  นี่จะเป็นพระพรหรือคำสาปแช่งสำหรับผู้คน?  นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดี  เพราะฉะนั้นหากเจ้าต้องการได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าและพูดว่าเจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง เจ้าต้องทำบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ตระเตรียมความประพฤติดีบางอย่าง พุ่งหัวใจของเจ้าตรงไปที่พระเจ้า และมีหัวใจที่ยกชูพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่  เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้า  อันดับแรก เจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดทั้งหลายในทัศนะ ท่าที และการปฏิบัติทั้งหลายของเจ้าด้วยความเคารพต่อพระเจ้าและความจริง ตลอดจนเส้นทางผิดๆ ที่เจ้าได้ใช้เดิน  สิ่งเหล่านี้ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง  นี่คือรากฐาน  จากนั้นเจ้าจำเป็นต้องยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงและลุล่วงหน้าที่ตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกทำให้สัมฤทธิ์ พระเจ้าจะพึงพอพระทัยและพระองค์จะทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์  อันดับที่สอง เจ้าต้องค่อยๆ ปล่อยให้พระเจ้าทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง เป็นคนที่ได้มาตรฐาน  หากเจ้ายังคงอยู่ข้างนอกพระนิเวศของพระเจ้าและพระเจ้ายังไม่ทรงยอมรับรู้เกี่ยวกับเจ้าในฐานะสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระองค์ แต่เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการได้รับการช่วยให้รอด นั่นไม่ใช่แค่ความฝันของคนโง่หรอกหรือ?  บัดนี้พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับการสั่งสอนและการบ่มวินัยบางอย่าง มีพระคุณและพระพรของพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้ามีรากฐาน  นี่เป็นสิ่งที่ดี  ขั้นตอนถัดไปคือการสามารถสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตบนพื้นฐานของการเข้าใจความจริง การเปลี่ยนความจริงเหล่านี้ให้เป็นชีวิตของเจ้าเองและใช้ชีวิตตามความจริงเหล่านี้ การประยุกต์ใช้ความจริงเหล่านี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและในทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า  จากนั้นเจ้าก็จะมีความหวังสำหรับความรอด  พวกเจ้าส่วนใหญ่ไม่ใช่เป็นพวกที่มีขีดสามารถต่ำ พวกเจ้าล้วนสามารถถือได้ว่าอยู่ในขีดความสามารถปานกลาง  มีความหวังสำหรับความรอด แต่พวกเจ้าล้วนมีข้อบกพร่องและข้อตำหนิในความเป็นมนุษย์ของพวกเจ้า  พวกเจ้าบางคนขี้เกียจ บางคนคุยโต บางคนโอหัง และบางคนก็หัวทึบ ด้านชา และดันทุรังไปหน่อย  เหล่านี้เป็นเรื่องของอุปนิสัย  สำหรับปัญหาบางปัญหาในเรื่องความเป็นมนุษย์และอุปนิสัย เจ้าต้องแสวงหาความจริงผ่านประสบการณ์ ต้องทบทวนตนเอง และต้องยอมรับการถูกตัดแต่งและจัดการ เพื่อที่จะตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงก้าวหน้า และสัมฤทธิ์ประสบการณ์และความลึกซึ้งที่เกี่ยวกับการยอมรับและการเข้าใจความจริงของเจ้า  ในหนทางนี้เจ้าจะเติบโตในชีวิตทีละน้อย  เมื่อมีชีวิต คนเราก็มีความหวัง  เมื่อปราศจากชีวิต ก็ไม่มีความหวัง  ตอนนี้พวกเจ้ามีชีวิตหรือไม่?  พวกเจ้ามีความเข้าใจและมีประสบการณ์แห่งความจริงในหัวใจของเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเชื่อฟังพระเจ้ามากแค่ไหนและเชื่อฟังในระดับใด?  ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องชัดเจนในสิ่งเหล่านี้  หากพวกเจ้าไม่ชัดเจน ได้แต่สับสนมึนงง การเติบโตของชีวิตก็จะลำบากยากเย็น

ในคริสตจักร มีพวกที่คิดว่าการใช้ความพยายามอย่างหนักหรือการทำสิ่งที่เสี่ยงอันตรายไม่กี่อย่างหมายความว่าพวกเขาได้เพิ่มพูนคุณงามความดีแล้ว  ในข้อเท็จจริงตามการกระทำของพวกเขา พวกเขาย่อมควรค่าแก่การชมเชยโดยแท้ แต่อุปนิสัยกับท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริงนั้นน่าเกลียดชังและน่ารังเกียจสุดขั้ว  พวกเขาไม่มีความรักให้กับความจริงแต่เบื่อหน่ายความจริง  ลำพังการนี้ก็ทำให้พวกเขาน่าชิงชังแล้ว  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่า  เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นว่าผู้คนมีขีดความสามารถไม่ดี ว่าพวกเขามีข้อด้อยบางอย่าง และมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามหรือเนื้อแท้ที่ต่อต้านพระองค์ พระองค์ก็ไม่ทรงรังเกียจพวกเขา และไม่ทรงให้พวกเขาอยู่ห่างจากพระองค์  นั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ใช่ท่าทีต่อมนุษย์ของพระองค์  พระเจ้าไม่ทรงเกลียดผู้คนที่มีขีดความสามารถต่ำ พระองค์ไม่ทรงเกลียดความโง่เขลาของพวกเขา และพระองค์ไม่ทรงเกลียดที่พวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  สิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดที่สุดในตัวผู้คนคืออะไร?  นั่นก็คือเมื่อพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง  หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง เช่นนั้นแล้ว เพียงลำพังเพราะการนั้น พระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงพบความปีติยินดีในตัวเจ้า  การนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้  หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง หากเจ้าไม่รักความจริง หากท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริงคือไม่ใส่ใจ ดูหมิ่นเหยียดหยาม และโอหัง หรือถึงกับผลักไส ขัดขืน และปฏิเสธ—หากนี่เป็นวิธีที่เจ้าประพฤติตน—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าย่อมดูหมิ่นเจ้าอย่างถึงที่สุด และเจ้าย่อมหมดโอกาสประสบความสำเร็จ เกินกว่าจะได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้ารักความจริงจริงๆ ในหัวใจของเจ้า ทว่าค่อนข้างมีขีดความสามารถต่ำ ทั้งขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และโง่เขลาไปบ้าง หากเจ้าทำผิดพลาดบ่อยๆ แต่ไม่ตั้งใจทำชั่ว และได้เพียงทำสิ่งที่โง่เขลาไปไม่กี่อย่าง หากหัวใจเจ้าเต็มใจที่จะได้ยินการสามัคคีธรรมถึงความจริงของพระเจ้า และหัวใจเจ้าถวิลหาความจริง หากท่าทีที่เจ้าใช้ในการปฏิบัติของเจ้าต่อความจริงและพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นท่าทีที่ของความจริงใจและความถวิลหา และเจ้าสามารถมองเห็นความล้ำค่าและทะนุถนอมพระวจนะของพระเจ้า—นี่ก็เพียงพอแล้ว  พระเจ้าโปรดผู้คนเช่นนั้น  แม้ว่าบางครั้งเจ้าอาจโง่เขลาไปหน่อย พระเจ้ายังคงโปรดเจ้า  พระเจ้าทรงรักหัวใจที่ถวิลหาความจริงของเจ้า และพระองค์ทรงรักท่าทีที่จริงใจต่อความจริงของเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจึงมีพระกรุณาต่อเจ้าและประทานพระคุณให้เจ้าอยู่เสมอ  พระองค์ไม่ทรงพิจารณาขีดความสามารถต่ำของเจ้าหรือความโง่เขลาของเจ้า และพระองค์ก็ไม่ทรงพิจารณาการฝ่าฝืนของเจ้า  เพราะท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริงคือความจริงใจและความกระตือรือร้น อีกทั้งหัวใจของเจ้าก็เที่ยงแท้ เช่นนั้นแล้ว—เมื่อพิจารณาจากความเที่ยงแท้ของหัวใจเจ้าและท่าทีนี้ของเจ้า—พระองค์จะทรงเปี่ยมกรุณาต่อเจ้าตลอดกาล และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้า และเจ้าก็จะมีความหวังแห่งความรอด  ในอีกแง่หนึ่ง หากหัวใจของเจ้ากระด้างและตามแต่ใจตนเอง หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง ไม่เคยใส่ใจในพระวจนะของพระเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับความจริง รวมทั้งเป็นปรปักษ์และดูถูกดูหมิ่นจากก้นบึ้งของหัวใจเจ้า เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีที่พระเจ้ามีต่อเจ้า?  ความรังเกียจ ความขยะแขยง และพระพิโรธที่ไม่สิ้นสุด  อะไรคือลักษณะเฉพาะสองประการที่ประจักษ์ชัดในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า?  พระกรุณาอันอุดมและพระพิโรธอันล้ำลึก  คำว่า “อุดม” ใน “พระกรุณาอันอุดม” หมายความว่าพระกรุณาของพระเจ้านั้น ยอมผ่อนปรน อดทน อดกลั้น และเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด—นั่นคือความหมายของ “อุดม”  เพราะผู้คนโง่เขลาและมีขีดความสามารถต่ำ พระเจ้าจึงจำเป็นต้องทรงทำในหนทางนี้  หากเจ้ารักความจริงแต่โง่เขลาและมีขีดความสามารถต่ำ ท่าทีของพระเจ้าก็มีพระกรุณาอันอุดมต่อเจ้า  พระกรุณาประกอบด้วยสิ่งใด?  ความอดทนและการยอมผ่อนปรน กล่าวคือ พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนและอดทนต่อความไม่รู้เท่าทันของเจ้า พระองค์ประทานความเชื่อและความยอมผ่อนปรนต่อเจ้าอย่างเพียงพอที่จะเกื้อหนุนเจ้า จัดเตรียมให้เจ้าและช่วยเหลือเจ้า เพื่อให้เจ้าสามารถที่จะเข้าใจความจริงไปทีละน้อยและค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ขึ้น  การนี้สร้างขึ้นบนรากฐานใด?  การนี้สร้างขึ้นบนรากฐานของความรักและความถวิลหาความจริงของคนเรา และท่าทีที่จริงใจของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้า พระวจนะของพระองค์และความจริง  สิ่งเหล่านี้คือพฤติกรรมพื้นฐานที่ควรถูกสำแดงในผู้คน  แต่หากใครบางคนเบื่อหน่ายความจริงในหัวใจของพวกเขา ชิงชังความจริง หรือถึงกับเกลียดความจริง หากพวกเขาไม่เคยจริงจังกับความจริง และพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จของพวกเขาเสมอ ว่าพวกเขาเคยทำงานอย่างไร พวกเขามีประสบการณ์มากแค่ไหน พวกเขาได้ก้าวผ่านสิ่งใดมาบ้าง พระเจ้าทรงยอมรับนับถือพวกเขาและทรงไว้วางใจมอบหมายกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายให้พวกเขาอย่างไร—หากพวกเขาเพียงพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เกี่ยวกับคุณวุฒิของพวกเขา ความสัมฤทธิ์ผลและความสามารถพิเศษของพวกเขา โอ้อวดตัวเองเสมอ และไม่เคยสามัคคีธรรมถึงความจริง เป็นคำพยานต่อพระเจ้า หรือสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ได้รับจากประสบการณ์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า หรือความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าของพวกเขา ไม่ใช่ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ?  นี่คือวิธีที่การเบื่อหน่ายความจริงและการไม่รักความจริงถูกสำแดงออกมา  คนบางคนกล่าวว่า “พวกเขาสามารถฟังคำเทศนาได้อย่างไรหากพวกเขาไม่รักความจริง?”  ทุกคนที่ฟังคำเทศนารักความจริงหรือ?  ผู้คนบางคนแค่ทำท่าพอเป็นพิธี  พวกเขาถูกบังคับให้แสดงละครต่อหน้าผู้อื่น โดยเกรงกลัวว่าหากพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ยอมรับความเชื่อของพวกเขา  พระเจ้าทรงนิยามท่าทีที่มีต่อความจริงนี้อย่างไร?  พระเจ้าตรัสว่าพวกเขาไม่รักความจริง ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริง  ภายในอุปนิสัยของพวกเขามีสิ่งหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่งชีพที่สุดสำคัญยิ่งชีพกว่าความโอหังและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงด้วยซ้ำ และนั่นคือการเบื่อหน่ายความจริง  พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นการนี้  เมื่อคำนึงถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  พระองค์พิโรธพวกเขา  หากพระเจ้าพิโรธใครบางคน บางคราวพระองค์ทรงติติงพวกเขา หรือทรงบ่มวินัยและลงโทษพวกเขา  หากพวกเขาไม่จงใจต่อต้านพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงยอมผ่อนปรนรอคอย และทรงสังเกตดู  พระองค์อาจทรงใช้ผู้ปราศจากความเชื่อคนนี้เพื่อทำการปรนนิบัติพระองค์เพราะสถานการณ์หรือเหตุผลเชิงวัตถุวิสัยอื่นๆ  แต่ทันทีที่สภาพแวดล้อมเปิดโอกาส และได้เวลาที่เหมาะสม ผู้คนดังกล่าวจะถูกเขี่ยทิ้งจากพระนิเวศของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เหมาะที่จะทำการปรนนิบัติเสียด้วยซ้ำ  เช่นนั้นคือพระพิโรธของพระเจ้า  เหตุใดพระเจ้าจึงพิโรธอย่างลึกล้นเหลือเกินเล่า?  นี่แสดงให้เห็นความเกลียดชังถึงขีดสุดของพระเจ้าต่อพวกที่เบื่อหน่ายความจริง  พระพิโรธอันลึกล้ำของพระเจ้าบ่งชี้ว่าพระองค์ได้ทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายของผู้คนที่เบื่อหน่ายความจริงดังกล่าวไว้แล้ว  พระเจ้าทรงจำแนกชั้นผู้คนเหล่านี้ไว้ตรงไหน?  พระเจ้าทรงจำแนกพวกเขาไว้ในกลุ่มของซาตาน  เป็นเพราะพระองค์ทรงเปี่ยมพระพิโรธต่อพวกเขาและทรงรังเกียจพวกเขา พระเจ้าทรงปิดประตูใส่หน้าพวกเขา พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้พวกเขาย่างเท้าเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า และไม่ทรงมอบโอกาสให้พวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  นี่คือการสำแดงพระพิโรธของพระเจ้าอย่างหนึ่ง  พระเจ้าทรงวางพวกเขาในระดับเดียวกับซาตาน ระดับเดียวกับปีศาจโสมมและวิญญาณชั่ว ระดับเดียวกับพวกที่ปราศจากความเชื่อด้วยเช่นกัน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระองค์จะทรงขับพวกเขาออกไป  นี่ไม่ใช่หนทางหนึ่งที่จะรับมือกับพวกเขาหรอกหรือ?  (ใช่)  นั่นก็คือพระพิโรธของพระเจ้า  และอะไรที่รอพวกเขาอยู่เมื่อพวกเขาได้ถูกขับออกไปแล้ว  พวกเขาจะสามารถชื่นชมพระคุณและพระพรของพระเจ้า รวมทั้งความรอดของพระเจ้าได้อีกสักครั้งหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนในยุคพระคุณมักพูดบางอย่างเช่นนี้ “พระเจ้าทรงประสงค์ให้บุคคลทุกคนได้รับความรอดและไม่ทรงประสงค์ให้ใครทนทุกข์กับความพินาศ”  ผู้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้  นั่นเป็นภาวะอารมณ์และท่าทีของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้รอด  ว่าแต่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างไร?  พระองค์ทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งหมดให้รอดหรือเพียงบางส่วน?  ส่วนใดหรือที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด และผู้คนใดที่พระองค์ทรงทอดทิ้ง?  ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจถึงหัวใจของเรื่องนี้ได้  พวกเขาสามารถพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับคำสอนทั้งหลายเท่านั้น  “พระเจ้าทรงประสงค์ให้บุคคลทุกคนได้รับความรอดและไม่ทรงประสงค์ให้ใครทนทุกข์กับความพินาศ”  มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่พูดแบบนี้ แต่พวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแต่อย่างใด  ในข้อเท็จจริงนั้น น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการช่วยให้รอดเฉพาะบรรดาผู้ที่รักความจริงและผู้ที่สามารถยอมรับความรอดของพระองค์ได้เท่านั้น  พวกที่เบื่อหน่ายความจริงและไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้าคือพวกที่ปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า  พระเจ้าไม่เพียงจะไม่ช่วยพวกเขาให้รอดเท่านั้น แต่พระองค์จะทำลายผู้คนเหล่านี้ในท้ายที่สุด  ถึงแม้บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ารู้ว่าความรักของพระองค์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด กว้างใหญ่ไพศาลเกินจะเปรียบปาน และทรงอิทธิฤทธิ์ พระเจ้าไม่ทรงเต็มใจที่จะมอบพระคุณและความรักนี้ให้กับพวกที่เบื่อหน่ายความจริง  พระเจ้าจะไม่ทรงมอบความรักและความรอดของพระองค์ให้กับผู้คนเหล่านี้โดยเปล่าประโยชน์  นี่คือท่าทีของพระเจ้า  พวกที่เบื่อหน่ายความจริงและไม่ยอมรับความรอดของพระเจ้านั้นเป็นเหมือนขอทานที่มองหาอาหาร—ไม่สำคัญว่าพวกเขาขออาหารกับใคร ในหัวใจพวกเขา พวกเขาไม่เพียงขาดความเคารพต่อผู้ที่ให้คุณ แต่ยังเย้ยหยันและเกลียดชังผู้มีอุปการะคุณด้วย  พวกเขาจะถึงกับอยากฉกฉวยสิ่งของที่เป็นของผู้มีอุปการะคุณมาเป็นของตัวเองเสียด้วยซ้ำ  ผู้มีอุปการะคุณจะเต็มใจให้อาหารกับขอทานเช่นนั้นหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ เพราะพวกเขาไม่น่าสงสารอย่างแท้จริง แต่น่ารังเกียจเกินไปเสียมากกว่า  อะไรคือท่าทีที่ผู้มีอุปการะคุณมีต่อบุคคลเช่นนั้น?  พวกเขาอยากให้อาหารแก่สุนัขมากกว่าที่จะให้กับขอทานแบบนี้  นี่คือสิ่งที่พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริง  พวกเจ้าคิดว่า ผู้คนประเภทไหนเป็นพวกที่เบื่อหน่ายความจริง?  พวกเขาใช่พวกที่ขัดขืนและต่อต้านพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาอาจจะไม่ได้ขัดขืนพระเจ้าอย่างเปิดเผย แต่แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขานั้นปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า ซึ่งเทียบได้กับการบอกพระเจ้าอย่างเปิดเผยว่า “ข้าพระองค์ไม่ชอบฟังสิ่งที่พระองค์ตรัส ข้าพระองค์ไม่ยอมรับสิ่งนั้น และเนื่องจากข้าพระองค์ไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระองค์คือความจริง ข้าพระองค์จึงไม่เชื่อในพระองค์  ข้าพระองค์เชื่อในผู้ใดก็ตามที่ให้ผลกำไรและให้ประโยชน์แก่ข้าพระองค์”  นี่คือท่าทีของผู้ไม่เชื่อใช่หรือไม่?  หากนี่เป็นท่าทีของเจ้าที่มีต่อความจริง ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผยหรอกหรือ?  และหากเจ้าเป็นปรปักษ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผย พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอดหรือ?  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น  นั่นเป็นเหตุผลของพระพิโรธของพระเจ้าที่มีต่อทุกคนที่ปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า  แก่นแท้ของผู้คนเช่นนี้ แก่นแท้ของผู้คนซึ่งรังเกียจความจริง คือแก่นแท้ของการเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่มีแก่นแท้ดังกล่าวในฐานะของผู้คน  พวกเขาคือศัตรูและปีศาจในสายพระเนตรของพระองค์  พระองค์ย่อมจะไม่มีวันช่วยพวกเขาให้รอด  สุดท้ายแล้ว พวกเขาจะถูกผลักลงสู่ความวิบัติและถูกทำลาย  พวกเจ้าว่าอย่างไร—หากขอทานกินอาหารของผู้มีอุปการะคุณ และก่นด่า เยาะเย้ย หยามหยัน และถึงกับโจมตีผู้มีอุปการะคุณ ผู้มีอุปการะคุณจะเกลียดพวกเขาหรือไม่?  แน่นอนที่สุด  อะไรคือเหตุผลของความเกลียดชังนี้เล่า?  (ขอทานไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณต่อผู้มีอุปการะคุณของพวกเขาสำหรับการให้อาหารพวกเขา แต่พวกเขากลับก่นด่า เยาะเย้ย หยามหยันและโจมตีผู้มีอุปการะคุณ  บุคคลเช่นนั้นไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลโดยสิ้นเชิง และไม่มีความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน)  ท่าทีใดที่ผู้มีอุปการะคุณควรมีต่อขอทานคนนี้?  ผู้มีอุปการะคุณควรเอาสิ่งของทั้งหลายที่พวกเขาให้แก่ขอทานตั้งแต่แรกคืนมา แล้วจากนั้นก็ไล่พวกนั้นไป  พวกเขาควรให้สิ่งเหล่านี้เป็นอาหารกับสุนัขหรือสัตว์ป่าดีกว่าให้สิ่งเหล่านี้กับขอทานผู้นี้  นี่คือผลสืบเนื่องที่ขอทานนั่นได้นำมาสู่ตัวพวกเขาเอง  มีเหตุผลอยู่ประการหนึ่งที่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึกยิ่งนักต่อบุคคลหนึ่งหรือบุคคลประเภทหนึ่ง  เหตุผลนี้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยความชอบของพระเจ้า แต่โดยท่าทีต่อความจริงของบุคคลนั้น  เมื่อบุคคลหนึ่งเบื่อหน่ายความจริง ย่อมส่งผลเสียร้ายแรงต่อการบรรลุความรอดของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถหรือไม่สามารถยกโทษได้ นี่ไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของพฤติกรรม หรือบางสิ่งที่ถูกเปิดเผยในตัวพวกเขาเพียงชั่ววูบ  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง และพระเจ้าก็ทรงหัวเสียที่สุดกับผู้คนเช่นนี้  หากบางครั้งคราว เจ้าเปิดเผยการสำแดงความเสื่อมทรามของการเบื่อหน่ายความจริงออกมา เจ้าก็ต้องทบทวนบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า ว่าการเปิดเผยเหล่านี้เป็นเพราะความชิงชังรังเกียจความจริง หรือจากการขาดความเข้าใจความจริง  การนี้พึงต้องมีการค้นคว้า และการนี้พึงต้องมีความช่วยเหลือและความรู้แจ้งของพระเจ้า  หากธรรมชาติแก่นแท้ของเจ้าไปถึงขอบข่ายที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริง และเจ้าไม่เคยยอมรับความจริง รวมทั้งชิงชังและเป็นปรปักษ์ต่อความจริง เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหา  แน่ใจได้เลยว่าเจ้าเป็นคนชั่ว และพระเจ้าจะไม่ช่วยเจ้าให้รอด

อะไรคือความแตกต่างระหว่างผู้ไม่เชื่อกับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้า?  ใช่แค่ความแตกต่างในความเชื่อมั่นทางศาสนาหรือไม่?  ไม่ใช่  พวกผู้ไม่เชื่อไม่ยอมรับรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดง  นี่พิสูจน์ว่าพวกผู้ไม่เชื่อล้วนเบื่อหน่ายความจริงและพวกเขาเกลียดความจริง  ตัวอย่างเช่น ใช่ข้อเท็จจริงหรือไม่ว่ามนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า?  (ใช่)  ใช่ความจริงหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้?  พวกเขายอมรับรู้และเชื่อเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์  พวกเขาโอบรับข้อเท็จจริงนี้ โอบรับความจริงนี้เป็นรากฐานของความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา—นี่คือการยอมรับความจริง  นี่หมายถึงการยอมรับจากห้วงลึกของหัวใจพวกเขาถึงข้อเท็จจริงของการทรงสร้างมนุษย์โดยพระเจ้า ความเปรมปรีดิ์กับการเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า การเต็มใจยอมรับการทรงนำและอธิปไตยของพระเจ้า และการยอมรับรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของพวกเรา  และอะไรคือท่าทีของพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาได้ยินว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า”?  (พวกเขาไม่ยอมรับหรือยอมรับรู้คำพูดนี้)  นอกเหนือจากการไม่ยอมรับคำพูดนี้ ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาคืออะไร?  พวกเขาจะถึงกับเย้ยหยันเจ้า ทำทุกสิ่งที่พวกเขาทำได้เพื่อพยายามใช้สิ่งนี้ต่อต้านเจ้า เยาะเย้ย และล้อเลียนเจ้า มองเจ้าอย่างเหยียดหยามและดูถูกดูหมิ่นคำพูดเหล่านี้และข้อเท็จจริงนี้  พวกเขาอาจถึงขั้นรับเอาท่าทีของการเย้ยหยัน การประชดประชัน การดูหมิ่นเหยียดหยาม และการเป็นปรปักษ์มาใช้กับทุกคนที่ยอมรับรู้คำพูดเหล่านี้  นี่ไม่ใช่การเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าเห็นผู้คนแบบนี้ เจ้าเกลียดชังพวกเขาหรือไม่?  เจ้าคิดอย่างไร?  เจ้าพิจารณาว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า  นั่นคือข้อเท็จจริง  นั่นเที่ยงแท้อย่างมิอาจโต้แย้งได้  เจ้าไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนี้ เจ้าไม่ตระหนักรู้ต้นกำเนิดของเจ้า เจ้าไม่สำนึกบุญคุณอย่างแท้จริง เจ้าไม่มีมโนธรรมและคิดคดทรยศ  เจ้าเป็นพวกของซาตานโดยแท้จริง!”  นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้?  เจ้าคิดแบบนี้แค่เพราะพวกเขาไม่ชอบถ้อยแถลงนี้อย่างนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดวิธีคิดอย่างชิงชังเช่นนั้นขึ้นในตัวเจ้า?  (นั่นเป็นเพราะท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริง)  ความโกรธของเจ้าจะไม่ใหญ่หลวงนักหากพวกเขาถือว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดธรรมดา เป็นทฤษฎีหรือความเชื่อมั่นทางศาสนา  แต่เมื่อเจ้าเห็นความรังเกียจเดียดฉันท์ ความเป็นปรปักษ์ และการดูถูกดูหมิ่นที่เกิดขึ้นในตัวพวกเขา เมื่อเจ้าเห็นพวกเขาเผยคำพูด ท่าที และอุปนิสัยที่ลบหลู่ถ้อยแถลงแห่งความจริงนี้ เจ้าก็โมโหขึ้นมา  เป็นอย่างนั้นใช่หรือไม่?  แม้บางคนไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาก็เคารพความเชื่อของผู้อื่น และไม่พยายามที่จะทำลายเรื่องของความเชื่อที่ผู้อื่นพูด  เจ้าไม่มีความชิงชังรังเกียจหรือความเกลียดชังใดๆ ต่อพวกเขา เจ้าก็ยังคงเป็นเพื่อนกับพวกเขาและดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติสุขกับพวกเขาได้  เจ้าจะไม่กลายเป็นศัตรูกัน  ในข้อเท็จจริงนั้น มีผู้ไม่เชื่อจำนวนไม่มากที่สามารถเข้ากันได้กับเจ้า  แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับหนทางที่เที่ยงแท้และกลายเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าก็ยังสามารถข้องแวะและเข้ากันได้กับพวกเขา  อย่างน้อยพวกเขาก็มีมโนธรรมและเหตุผล  พวกเขาไม่วางอุบายต่อต้านเจ้าและจะไม่แทงเจ้าข้างหลัง ดังนั้นเจ้าจึงสามารถคบค้าสมาคมกับพวกเขาได้  เจ้ารู้สึกโมโหอยู่ในหัวใจเจ้า—ต่อพวกที่พยายามทำลายความจริง—ผู้ซึ่งเบื่อหน่ายความจริง เจ้าสามารถเป็นเพื่อนกับพวกเขาได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นอกจากการไม่เป็นเพื่อนกับพวกเขาแล้ว เจ้าคิดอะไรอื่นเกี่ยวกับพวกเขาอีก?  หากเจ้าถูกขอให้เลือกวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขา เจ้าจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?  เจ้าจะพูดว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า  นั่นคือข้อเท็จจริง นั่นคือความจริง และช่างเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์อะไรเช่นนั้น!  คุณไม่เพียงไม่ยอมรับคำพูดนี้ คุณยังพยายามทำลายคำพูดนี้ด้วย—คุณไม่มีมโนธรรมอย่างแท้จริง!  หากพระเจ้าประทานอำนาจแก่ฉัน ฉันจะแช่งคุณ  ฉันจะเฆี่ยนดีคุณ ฉันจะเปลี่ยนคุณเป็นขี้เถ้า!”  นั่นเป็นอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือสำนึกของความยุติธรรม  แต่เมื่อเจ้าเห็นว่าพวกเขาเป็นปีศาจ สิ่งที่สมเหตุผลย่อมจะเป็นการเพิกเฉยต่อพวกเขา และอยู่ห่างจากพวกเขา  เมื่อพวกเขาพูดกับเจ้า แค่เออออตามน้ำไปก็ไม่เป็นไร  นี่คือการทำที่ชาญฉลาด  แม้ว่าลึกลงไปนั้น เจ้ารู้ว่าเจ้าอยู่บนเส้นทางที่ต่างจากผู้คนเช่นนั้น  พวกเขาไม่อาจมีวันที่มีความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง  ต่อให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าจริงก็ตาม พระองค์ก็จะไม่ต้องประสงค์พวกเขา  พวกเขาปฏิเสธและขัดขืนพระเจ้า พวกเขาเป็นสัตว์ร้าย พวกเขาเป็นปีศาจ พวกเขาไม่เดินตามเส้นทางเดียวกับพวกเรา  บรรดาผู้ที่มีความเชื่ออันถ่องแท้ในพระเจ้าไม่เต็มใจที่จะเข้ามาติดต่อกับพวกปีศาจ  พวกเขาสบายดีเมื่อพวกเขาไม่เห็นปีศาจตนใด แต่เมื่อพวกเขาเห็น พวกเขาก็ขัดขืนพวกปีศาจทันที  หัวใจพวกเขาจะรู้สึกสันติสุขก็ต่อเมื่อพวกเขาไม่เคยเห็นปีศาจตนใดเลย  ผู้คนบางคนพูดคุยเกี่ยวกับกิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้ากับพวกปีศาจที่ไม่เชื่อ  คนเหล่านี้เป็นคนที่โง่เง่าที่สุด  พวกเขาไม่แยกแยะระหว่างคนในกับคนนอก พวกเขาเป็นพวกคนโง่งุ่มง่ามที่ไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลย  พระเจ้าทรงช่วยผู้คนที่มีความสามารถในเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนั้นให้รอดได้หรือไม่?  ไม่ได้โดยสิ้นเชิง  ผู้คนที่มีการข้องแวะกับพวกปีศาจเสมอเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ  พวกเขาไม่ใช่คนของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างแน่นอน และไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาก็จะจำเป็นต้องหวนคืนสู่ซาตาน  คนบางคนไม่สามารถหยั่งรู้ว่าใครคือพี่น้องชายหญิงและใครคือผู้ปราศจากความเชื่อ  พวกเขาเป็นผู้คนที่สับสนเลอะเลือนที่สุด  พวกเขาบอกพวกผู้ปราศจากความเชื่อและพวกปีศาจเกี่ยวกับกิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  การนี้ก็เหมือนกับการโยนไข่มุกให้พวกสุกร และให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับพวกสุนัข  ผู้ปราศจากความเชื่อและปิศาจเหล่านั้นก็เหมือนพวกสุกรกับสุนัข พวกเขาถูกจำแนกให้อยู่ในหมู่สัตว์เดรัจฉาน  หากเจ้าหารือกับพวกเขาเกี่ยวกับกิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าจะดูโง่เขลา  หลังจากพวกเขาได้ยิน พวกเขาจะใส่ร้ายพระนิเวศของพระเจ้าและความจริงโดยไม่ใส่ใจ  หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะทำให้พระเจ้าผิดหวังและเป็นหนี้พระเจ้า  กิจธุระแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องไม่ถูกหารือกับพวกปราศจากความเชื่อและพวกปีศาจ  ผู้คนรู้สึกรำคาญ ขัดขืน และไม่เต็มใจที่จะสัมผัสกับพวกที่ไม่ชอบความจริงและเบื่อหน่ายความจริง หรือใส่ร้ายความจริง แล้วเจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไร?  พระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระชนม์ชีพของพระเจ้า รวมทั้งแก่นแท้ของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเปิดเผยล้วนเป็นความจริงทั้งหมด  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนคนหนึ่งซึ่งเบื่อหน่ายความจริงเป็นบุคคลที่ต่อต้านพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า  นี่เป็นยิ่งกว่าเรื่องของความเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า  สำหรับผู้คนแบบนี้ พระโทสะของพระเจ้ามหันต์นัก

บัดนี้พวกเจ้าล้วนมีรากฐานบางประการ และพวกเจ้าก็สามารถนับเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้  พวกเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างขยันขันแข็ง และในกระบวนการของการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า จงตรวจสอบวาจาและความประพฤติของตนเอง ตรวจสอบสภาวะอันหลากหลายของพวกเจ้า และพากเพียรที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในอุปนิสัยของพวกเจ้าอย่างสม่ำเสมอ  นี่เป็นสิ่งมีค่า  จากนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริง  อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าก็ต้องทำให้พระเจ้าทรงยอมรับพวกเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถไปถึงระดับของโยบ และขาดคุณสมบัติที่จะนำทางพระเจ้าไปสู่การเดิมพันกับซาตานเพื่อทดสอบเจ้าเป็นการส่วนตัว อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าโดยการกระทำและการประพฤติปฏิบัติของเจ้า แล้วพระเจ้าจะเอาพระทัยใส่และคุ้มครองเจ้า รวมทั้งยอมรับรู้ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระองค์ และเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระองค์คนหนึ่ง  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  เพราะนับตั้งแต่เจ้ายอมรับรู้และเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็แสวงหาวิธีที่จะเดินตามหนทางของพระเจ้าอยู่เป็นนิจ  เพราะพระเจ้าพึงพอพระทัยพฤติกรรมของเจ้าและความจริงใจของเจ้า พระองค์ได้ทรงนำทางเจ้าเข้าไปสู่พระนิเวศของพระองค์เพื่อรับการฝึกฝน ได้รับการตัดแต่งและจัดการ และเพื่อยอมรับความรอดของพระองค์  ช่างเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!  เริ่มจากบุคคลนอกพระนิเวศของพระเจ้าซึ่งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระเจ้าหรือความจริง เจ้ายอมรับการทดสอบแรกของพระเจ้า และหลังจากผ่านการทดสอบ พระเจ้าทรงนำทางเจ้าเข้าไปสู่พระนิเวศของพระองค์เป็นการส่วนพระองค์ ทรงนำเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ทรงไว้วางใจมอบหมายพระบัญชาให้เจ้า จัดการเตรียมหน้าที่ให้เจ้าปฏิบัติ และปล่อยให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่มนุษย์ภายในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ถึงแม้เป็นงานที่ไม่โดดเด่น แต่ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ได้รับการเอาใจใส่และการคุ้มครองของพระเจ้า และเจ้าก็ได้รับพระสัญญาจากพระเจ้า  พระพรนี้ยิ่งใหญ่เพียงพอ  พวกเราจะพักวางการได้รับมงกุฎและได้รับบำเหน็จในชีวิตหน้า และพูดถึงแค่สิ่งที่ผู้คนสามารถชื่นชมได้ในชีวิตนี้—ความจริงที่เจ้าได้ยิน พระคุณ พระกรุณา การเอาพระทัยใส่ และการคุ้มครองของพระเจ้าที่เจ้าชื่นชม แม้แต่การบ่มวินัยและการสั่งสอนหลากหลายชนิดที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้า และการจัดเตรียมความจริงเหล่านี้ที่พระเจ้าทรงมอบให้กับมนุษย์—จงบอกเราว่า เจ้าได้รับมามากเท่าใด?  สุดท้ายแล้ว นอกเหนือจากการเข้าใจความจริงเหล่านี้ พระเจ้าจะทรงช่วยเจ้าให้รอดจากฝ่ายของซาตานอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อให้เจ้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นบุคคลที่รู้จักพระเจ้า มีความจริงเป็นชีวิตของเจ้า และมีประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า  พระพรนี้ไม่ใช่พระพรใหญ่หรอกหรือ?  (เป็นพระพรใหญ่)  นี่เป็นพระสัญญาของพระเจ้า  หลังจากที่พระเจ้าทรงนำพาเจ้าเข้ามาในพระนิเวศของพระองค์  พระองค์ทรงบอกเจ้าว่า “เจ้าได้รับการอวยพร  โดยการเข้าสู่คริสตจักร เจ้ามีความหวังของการได้รับการช่วยให้รอด”  บางทีเจ้าอาจไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ในความเป็นจริง พระสัญญาของพระเจ้าได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว  ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าก็กำลังทรงทำทุกสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะทรงทำให้พระสัญญานี้ลุล่วง—โดยการจัดหาความจริง การตัดแต่งและการจัดการกับเจ้า การมอบหน้าที่ให้เจ้า และการไว้วางพระทัยมอบหมายพระบัญชาให้เจ้า—เพื่อที่ชีวิตเจ้าจะเติบโตขึ้นทีละน้อย และเจ้าจะกลายเป็นบุคคลที่เชื่อฟังและนมัสการพระเจ้า  ตอนนี้ผู้คนได้รับพระสัญญานี้หรือยัง?  ยังคงมีหนทางที่ต้องไปก่อนถึงวันแห่งความลุล่วงและความสัมฤทธิ์ผลของพระสัญญานี้  อันที่จริงพวกเจ้าบางคนได้รับพระสัญญานี้ไปแล้ว และพวกเจ้าบางคนก็มีความมุ่งมั่นแต่ยังไม่ได้รับพระสัญญานี้  นั่นขึ้นอยู่กับว่าพวกเจ้ามีความมุ่งมั่นที่จะจับความเข้าใจพระสัญญานี้และสามารถที่จะทำพระสัญญานี้ให้ลุล่วงหรือไม่  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำถูกมอบให้กับผู้คนทีละขั้นตอน ณ เวลาที่เหมาะสม และในเกณฑ์ประเมินวัดที่เหมาะสม  ไม่เคยมีความผิดพลาด ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการเป็นคนโง่ มีขีดความสามารถต่ำ อายุน้อย หรือการเชื่อในพระเจ้าเพียงระยะเวลาสั้นๆ  อย่าปล่อยให้เหตุผลทางข้อเท็จจริงแวดล้อมมีผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของเจ้า  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสอะไร ประการแรก พระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักและประเมินวัดวุฒิภาวะและขีดความสามารถจริงของพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งมารู้จักเกณฑ์ประเมินวัดของตัวเอง  ประการที่สอง ในแง่มุมที่เป็นบวก พระวจนะของพระเจ้าให้ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงที่ลึกซึ้งขึ้นแก่ผู้คน รวมทั้งเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี เพื่อที่จะสนองน้ำพระทัยพระเจ้า  เหล่านี้คือจุดประสงค์ของพระวจนะของพระเจ้า  อันที่จริงแล้ว การสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้นั้นเรียบง่ายมาก  ตราบที่เจ้ามีหัวใจที่รักความจริงย่อมไม่มีความลำบากยากเย็น  อะไรหรือคือความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุดสำหรับพวกมนุษย์?  นั่นก็คือการที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริงและไม่รักความจริงเอาเสียเลย  นี่คือความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวงที่สุด  นี่เกี่ยวข้องปัญหาของธรรมชาติ  หากเจ้าไม่กลับใจอย่างแท้จริง ก็อาจส่อเค้าความเดือดร้อน  หากเจ้าเบื่อหน่ายความจริง รวมทั้งใส่ร้ายความจริงและคอยดูถูกเหยียดหยามความจริงอยู่เสมอ หากเจ้ามีธรรมชาติแบบนี้ เจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้โดยง่าย  ต่อให้เจ้าเปลี่ยนแปลง ก็ยังคงต้องดูว่าท่าทีของพระเจ้าได้เปลี่ยนไปหรือไม่  หากสิ่งที่เจ้าทำสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็ยังมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  หากเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีของพระเจ้าได้ และลึกลงไปในพระหทัยของพระเจ้า พระองค์ทรงเอือมระอาแก่นแท้ของเจ้ามานานแล้ว เช่นนั้นเจ้าย่อมไม่มีความหวังแห่งความรอด  เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจำเป็นต้องตรวจสอบตัวเอง  หากเจ้าอยู่ในสภาวะที่เจ้าเบื่อหน่ายความจริงและขัดขืนความจริง นี่อันตรายมาก  หากเจ้าเกิดสภาวะแบบนั้นบ่อยครั้ง ตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นบ่อยครั้ง หรือหากเจ้าเป็นบุคคลจำพวกนี้โดยพื้นฐาน นี่ยิ่งเป็นปัญหาเข้าไปใหญ่  หากเจ้าอยู่ในสภาวะของการเบื่อหน่ายความจริงเป็นบางโอกาส ประการแรกคือนั่นอาจเนื่องมาจากวุฒิภาวะของเจ้าน้อย ประการที่สอง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์เองนั้นบรรจุไปด้วยแก่นแท้จำพวกนี้ ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะนี้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  อย่างไรก็ดี สภาวะนี้ไม่แสดงถึงแก่นแท้ของเจ้า  บางครั้งภาวะอารมณ์ชั่วแล่นอาจก่อให้เกิดสภาวะที่เป็นเหตุให้เจ้าเบื่อหน่ายความจริง  นี่ก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น  ไม่ได้มีสาเหตุมาจากแก่นแท้แห่งอุปนิสัยของเจ้าซึ่งเบื่อหน่ายความจริง  หากนั่นเป็นสภาวะชั่วคราว ก็ย่อมสามารถย้อนกลับได้ ว่าแต่เจ้าจะย้อนกลับไปได้อย่างไร?  เจ้าจำเป็นต้องมาเฉพาะพระเจ้าในทันทีเพื่อแสวงหาความจริงในแง่มุมนี้ และเริ่มที่จะสามารถยอมรับรู้ความจริง นบนอบต่อความจริง และเชื่อฟังพระเจ้า  เช่นนั้นสภาวะนี้ก็ได้รับการแก้ไข  หากเจ้าไม่แก้ไขและปล่อยให้สภาวะนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย  ตัวอย่างเช่น คนบางคนพูดว่า “ไม่ว่าอย่างไรฉันก็มีขีดความสามารถต่ำและไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ดังนั้นฉันจะหยุดไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้าด้วย  พระเจ้าทรงมอบขีดความสามารถนี้ให้ฉันได้อย่างไร?  พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม!”  เจ้าปฏิเสธความชอบธรรมของพระเจ้า  นี่ไม่ใช่การเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ?  นี่เป็นท่าทีของการเบื่อหน่ายความจริงและเป็นการสำแดงหนึ่งของการเบื่อหน่ายความจริง  มีบริบทหนึ่งของการเกิดการสำแดงนี้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางแก้บริบทนั้นและสาเหตุรากเหง้าของสภาวะนี้  ครั้นสาเหตุรากเหง้าได้รับการแก้ไข สภาวะของเจ้าก็จะหายตามไปด้วย  บางสภาวะเป็นเหมือนอาการอย่างหนึ่ง เช่น อาการไอ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากไข้หวัดหรือโรคปอดอักเสบ  หากเจ้ารักษาอาการไข้หวัดและโรคปอดอักเสบ อาการไอก็จะดีขึ้นไปด้วย  เมื่อสาเหตุรากเหง้าได้รับการแก้ไข อาการทั้งหลายก็หายไป  แต่บางสภาวะของการเบื่อหน่ายความจริงไม่ใช่อาการของโรค แต่เป็นเนื้องอก  สาเหตุรากเหง้าของโรคนั้นอยู่ภายใน  เจ้าอาจไม่สามารถพบอาการใดโดยการมองจากภายนอก แต่ทันทีที่โรคถูกค้นพบ นั่นย่อมถึงแก่ชีวิต  นี่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงมาก  ผู้คนดังกล่าวไม่มีวันยอมรับหรือยอมรับรู้ความจริง หรือถึงขั้นใส่ร้ายความจริงอยู่เป็นนิจเหมือนพวกผู้ไม่เชื่อ  ต่อให้คำพูดทั้งหลายไม่เคยผ่านริมฝีปากพวกเขาออกมา พวกเขาก็ยังคอยใส่ร้าย ปฏิเสธ และหักล้างความจริงอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ไม่สำคัญว่าเป็นความจริงใด—ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักตัวเอง การยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเรา การยอมรับความจริง การเชื่อฟังพระเจ้า การไม่ทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะสะเพร่าและสุกเอาเผากิน หรือการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์—พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับสภาพ หรือใส่ใจในแง่มุมใดของความจริง หรือถึงขั้นหักล้างและใส่ร้ายทุกแง่มุมของความจริงเสียด้วยซ้ำ  นี่คืออุปนิสัยของการเบื่อหน่ายความจริง นี่เป็นแก่นแท้จำพวกหนึ่ง  แก่นแท้นี้นำทางไปสู่บทอวสานประเภทใด?  การถูกปฏิเสธและขับออกโดยพระเจ้า แล้วจากนั้นก็การทำให้พินาศ  ผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก

สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในวันนี้ช่วยพวกเจ้าได้หรือไม่?  (ได้ ข้าพระองค์ทราบว่าอะไรคือขีดความสามารถที่ดีและขีดความสามารถที่ไม่ดี  ข้าพระองค์มีความเข้าใจจริงเกี่ยวกับขีดความสามารถของข้าพระองค์เอง และข้าพระองค์สามารถประเมินวัดตัวเองได้อย่างถูกต้องแม่นยำเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับข้าพระองค์  ข้าพระองค์จะไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกเสมอ แต่จะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ในลักษณะที่อยู่กับความเป็นจริง)  ไม่สำคัญว่าพวกเราสามัคคีธรรมถึงแง่มุมใดของความจริง นั่นจะเอื้อประโยชน์ต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้า  หากพวกเจ้าสามารถรับคำพูดเหล่านี้และรวมคำพูดเหล่านี้เข้ากับชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เช่นนั้นสิ่งที่เราได้พูดไปก็ไม่สูญเปล่า  ทุกครั้งที่พวกเจ้ามาเข้าใจความจริงทีละน้อย พวกเจ้าก็จะทำสิ่งทั้งหลายได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น และเส้นทางของพวกเจ้าก็จะเปิดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย  หากพวกเจ้ารู้ความจริงเพียงน้อยนิดและไม่มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับวุฒิภาวะและขีดความสามารถตามจริงของพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะไม่มีความถูกต้องแม่นยำในการทำสิ่งต่างๆ เสมอ ประมาณตนเกินจริงและประเมินค่าตนเองสูงเกินไปเสมอ และทำสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายแต่ปราศจากความรู้ โดยกลับคิดไปว่า พวกเจ้ากำลังปฏิบัติตนบนพื้นฐานของความจริง  พวกเจ้าจะคำนึงถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันเหล่านี้ว่าเป็นหลักธรรมความจริง  การเบี่ยงเบนในสิ่งทั้งหลายที่พวกเจ้าทำจะใหญ่หลวงถึงขีดสุด  หากมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความรู้ และการเรียนรู้แบบมนุษย์เหล่านี้โดดเด่นอยู่ในหัวใจของผู้คน พวกเขาก็จะไม่แสวงหาความจริง  หากความจริงกลายเป็นอันดับสอง อันดับสาม หรือแม้กระทั่งสุดท้ายในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าที่กุมอำนาจเหนือเจ้า?  นั่นก็คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าและมโนคติอันหลงผิด ปรัชญา ความรู้และการเรียนรู้แบบมนุษย์  สิ่งเหล่านี้มีอธิปไตยเหนือเจ้า ดังนั้นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในตัวเจ้าจะไม่ส่งประสิทธิผล  หากพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไม่ได้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้าภายในตัวเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ยังคงห่างไกลจากการได้รับการช่วยให้รอด  เจ้าไม่ได้ก้าวเข้ามาบนเส้นทางของความรอด  เจ้าคิดว่าพระหทัยของพระเจ้าไม่วิตกกังวลหรือ?  เพื่อที่จะวางเจ้าบนเส้นทางแห่งความรอด พระเจ้าจำเป็นต้องแสดงพระกรุณาให้เจ้าเห็นมากแค่ไหน?  หากพวกเจ้าสามารถหนีพ้นจากความรู้และวัฒนธรรมดั้งเดิม และปรัชญาเยี่ยงซาตาน เรียนรู้ที่จะประเมินวัดทุกสรรพสิ่งด้วยความจริงบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า ใช้หลักธรรมความจริงทั้งหลายเป็นมาตรฐานสำหรับการตรวจตราดูแลสิ่งทั้งหลาย และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็จะกลายเป็นบุคคลที่มีความเป็นจริงความจริง บุคคลที่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตด้วยการพึ่งพาตนเองอย่างแท้จริง  ในปัจจุบัน พวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่ระดับนี้ พวกเจ้ายังมีหนทางไป  พวกเจ้ามีแค่ชีวิตเล็กๆ และพวกเจ้ายังคงจำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่โดยพระกรุณา ความรักและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า  นี่หมายความว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป  หากเจ้าได้รับมอบกิจชิ้นหนึ่ง เจ้าจะสามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์โดยไม่พึ่งพาผู้ใดได้หรือไม่?  เจ้าสามารถทำงานนั้นให้ดีได้หรือไม่?  หากเจ้าสร้างปัญหายุ่งเหยิงต่อสิ่งทั้งหลาย นี่เป็นการขัดขืนพระเจ้าและการไม่ให้เกียรติพระเจ้า  หากเจ้าทำงานไปได้ครึ่งทาง แต่แล้วก็กลับออกไปหาความสนุกสนาน นั่นไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ค่อยมั่นคงหรอกหรือ?  นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนทำงานที่พึ่งพาได้ และว่าเจ้าไม่ทำงานของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม  เจ้าจะจำเป็นต้องให้ผู้คนเฝ้าดูและกำกับดูแลเจ้าเสมอว่าเจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าหรือไม่  คนบางคนในวัยสามสิบกว่าและสี่สิบกว่าของพวกเขายังคงมีลักษณะนิสัยทางศีลธรรมเช่นนี้  นั่นจบสิ้นแล้วสำหรับพวกเขา  พวกเขาจะไม่สำเร็จลุล่วงสิ่งใดในชีวิตพวกเขา  หากเจ้าอยู่ในวัยยี่สิบกว่าของเจ้าและเพียงเชื่อในพระเจ้ามาสองหรือสามปี เจ้าสามารถได้รับการยกโทษสำหรับการเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะน้อย  ความไม่มั่นคง ความพึ่งพาไม่ได้ การจำเป็นต้องได้รับการดูแล ปกป้อง เตือนความจำ เตือนสติ และทรงนำโดยพระเจ้าอยู่เสมอ จำเป็นต้องชื่นชมพระคุณเหล่านี้ของพระเจ้าเสมอ ดำรงชีวิตอยู่โดยการพึ่งพาพระคุณเหล่านี้ และไม่สามารถที่จะทำโดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ นี่คือการมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป  ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในภาวะนี้  หากสิ่งทั้งหลายไม่ถูกอธิบายต่อพวกเจ้าโดยละเอียดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ พวกเจ้าก็จะทำผิดพลาดและสร้างปัญหายุ่งเหยิงให้กับงานของเจ้าเป็นบางครั้ง  หากสิ่งเล็กน้อยใดไม่ถูกอธิบายแก่พวกเจ้า พวกเจ้าก็จะหลงออกนอกทาง ซึ่งเป็นความกังวลเสมอสำหรับผู้อื่น  จากภายนอก พวกเจ้าล้วนเป็นผู้ใหญ่ แต่ที่จริงแล้ว พวกเจ้ามีชีวิตในจิตวิญญาณของพวกเจ้าไม่มากนัก  แม้ว่าพวกเจ้ามีเจตจำนงและความจริงใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ และพวกเจ้าก็มีความเชื่อที่ถ่องแท้อยู่บ้าง แต่พวกเจ้าก็เข้าใจเกี่ยวกับความจริงน้อยเกินไป  ในการทำหน้าที่ของพวกเจ้า พวกเจ้าพึ่งพาพระคุณ พระพร การทรงนำ และการเตือนความจำทั้งหลายของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์เพื่อที่จะขยับไปข้างหน้า  หากมีสิ่งใดน้อยไป การนั้นก็จะไม่เป็นไปอย่างถูกต้อง  ดังนั้น พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในแง่มุมใดที่ถูกสำแดงอยู่ในตัวพวกเจ้า?  พระกรุณาอันอุดมล้นของพระองค์ และแน่นอนว่านี่คือหลักธรรมแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  เหตุใดพวกเจ้าจึงยังคงไม่ได้ชื่นชมบททดสอบและการถลุงของพระเจ้า?  นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่มีวุฒิภาวะเช่นนั้น  พวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป พวกเจ้าเข้าใจความจริงน้อยเกินไป พวกเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจถึงแก่นของสิ่งใดได้ พวกเจ้าสับสนเมื่อเผชิญความลำบากยากเย็น พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงไหน พวกเจ้าเป็นเหตุให้ผู้คนกังวลเสมอ และไม่สำคัญว่าพวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่อะไร ผู้อื่นก็จำเป็นต้องสอนให้เจ้าทำการนั้นทีละขั้นตอน จำเป็นต้องใช้ความพยายามในส่วนของผู้อื่นมากเกินไป  ทุกอย่างต้องถูกอธิบายอย่างละเอียดสำหรับเจ้าและต้องได้รับการพูดซ้ำเกินหนึ่งหน ไม่เช่นนั้นการนั้นก็จะไม่เป็นไปด้วยดี  สิ่งปกติธรรมดาต้องถูกพูดสองถึงสามหน แต่หลังจากผ่านไปเพียงครู่ เจ้าก็จะลืมและนั่นก็จำเป็นต้องถูกพูดซ้ำอีกหลายครั้ง  นี่เป็นบุคคลจำพวกไหนหรือ?  นี่เป็นบุคคลที่สับสนมึนงงผู้ซึ่งไม่ใส่หัวใจของพวกเขาหรือจิตใจของพวกเขาเข้าไปในสิ่งที่พวกเขาทำ และเป็นผู้ซึ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะให้การปรนนิบัติใดเลย  ผู้คนเช่นนั้นสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  ไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจความจริงอย่างแน่นอน เพราะขีดความสามารถของพวกเขานั้นต่ำนักและพวกเขาไม่สามารถขึ้นถึงระดับของความจริง  บางคนมีวุฒิภาวะน้อย แต่พวกเขาก็สามารถเรียนรู้บางสิ่งหลังจากที่ก้าวผ่านไปหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือสามครั้ง  หากพวกเขาสามารถรับ เข้าใจและจับความเข้าใจความจริงได้หลังจากที่ได้ยินการสามัคคีธรรมถึงความจริง พวกเขาก็เป็นผู้คนที่มีขีดความสามารถ  ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตที่จะมีขีดความสามารถแต่มีวุฒิภาวะน้อย  การนี้เพียงสัมพันธ์กับความลึกซึ้งของประสบการณ์ของผู้คนดังกล่าว และสัมพันธ์โดยตรงกับความลึกซึ้งของความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับความจริง  ภายหลังประสบการณ์ที่มากขึ้นและความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับความจริง วุฒิภาวะของพวกเขาก็จะเติบโตไปตามธรรมชาติ

2 มีนาคม ค.ศ. 2019

ก่อนหน้า: การแก้ไขความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญ

ถัดไป: การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger