บทที่ 23
ขณะที่เสียงของเราดังออกไป ขณะที่ตาของเราลุกโชนเป็นไฟ เรากำลังเฝ้าดูแลแผ่นดินโลกทั้งหมด เรากำลังเฝ้าสังเกตทั่วทั้งจักรวาล มนุษยชาติทั้งหมดกำลังอธิษฐานต่อเรา โดยหันสายตาอันจับจ้องขึ้นมายังเรา อ้อนวอนเราให้หยุดความโกรธของเรา และสาบานว่าจะไม่กบฏต่อเราอีกแล้ว แต่การนี้ไม่ใช่อดีตอีกต่อไป มันคือขณะนี้ ผู้ใดเล่าสามารถย้อนกลับเจตจำนงของเราได้? แน่ใจหรือว่าไม่ใช่คำอธิษฐานภายในหัวใจของมนุษย์ อีกทั้งไม่ใช่คำพูดในปากของพวกเขา? ผู้ใดเล่ามีความสามารถรอดชีวิตมาได้จนกระทั่งถึงปัจจุบัน หากไม่ใช่เพราะเรา? ผู้ใดเล่ารอดชีวิต เว้นแต่ด้วยคำพูดในปากของเรา? ผู้ใดเล่าไม่ได้ถูกสายตาของเรากำกับดูแล? เราดำเนินงานใหม่ของเราบนแผ่นดินโลกทั้งหมด และผู้ใดเล่าเคยมีความสามารถหนีพ้นไปจากมันได้? ภูเขาทั้งหลายสามารถเลี่ยงหนีมันโดยอาศัยความสูงของพวกมันได้หรือ? ห้วงน้ำทั้งหลายสามารถผลักดันมันให้ห่างออกไปด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลมากมายของพวกมันได้หรือ? ในแผนของเรานั้น เราไม่เคยปล่อยสิ่งใดไปอย่างง่ายๆ และดังนั้นจึงไม่เคยมีบุคคลใด หรือสิ่งใด ที่ได้เคยแคล้วคลาดไปจากเงื้อมมือของเราเลย วันนี้ นามอันบริสุทธิ์ของเราได้รับการยกย่องไปทั่วในหมู่มนุษยชาติ และคำพูดประท้วงก็เกิดขึ้นต่อต้านเราไปทั่วในหมู่มนุษยชาติอีกครั้ง และตำนานเกี่ยวกับสิ่งที่เราเป็นบนแผ่นดินโลกก็แพร่หลายไปทั่วในหมู่มนุษยชาติ เราไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการตัดสินเราของมนุษย์ อีกทั้งเราไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการที่พวกเขาแบ่งแยกร่างกายของเรา และนับประสาอะไรที่เราจะยอมผ่อนปรนให้กับการที่พวกเขาใช้คำผรุสวาทกับเรา มนุษย์มักต้านทานและหลอกลวงเราอยู่เสมอ เพราะเขาไม่เคยรู้จักเราอย่างแท้จริง โดยล้มเหลวที่จะทะนุถนอมวิญญาณของเราหรือหวงแหนความล้ำค่าวจนะของเรา เราให้ “บำเหน็จรางวัล” แก่มนุษย์ตามที่เขาสมควรจะได้ สำหรับทุกความประพฤติและการกระทำของเขา และสำหรับท่าทีที่เขามีต่อเรา และดังนั้น มนุษย์ทั้งหมดจึงกระทำการไปโดยที่สายตาอยู่ที่บำเหน็จรางวัลของพวกเขา และไม่มีสักคนเดียวที่เคยทำงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพลีอุทิศตนเอง พวกมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะทำการมอบอุทิศแบบไม่เห็นแก่ตัว แต่กลับปีติยินดีในบำเหน็จรางวัลที่สามารถได้มาโดยเปล่าๆ ปลี้ๆ ถึงแม้ว่าเปโตรจะได้ปวารณาตัวเขาเองต่อหน้าเรา แต่นั่นไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งบำเหน็จรางวัลของวันพรุ่งนี้ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความรู้ของวันนี้ มนุษยชาติไม่เคยได้เข้าสนิทอย่างจริงแท้กับเรา แต่ได้จัดการกับเราในลักษณะผิวเผินครั้งแล้วครั้งเล่า โดยคิดที่จะได้รับความเห็นชอบจากเราด้วยเหตุนั้นโดยไม่ลำบากยากเย็น เราได้มองลึกลงไปในหัวใจของมนุษย์แล้ว ดังนั้น เราได้ขุดพบ “เหมืองแห่งความมั่งคั่งต่างๆ มากมาย” ในซอกหลืบชั้นในสุดของมัน ซึ่งเป็นบางสิ่งบางอย่างที่แม้แต่มนุษย์เองก็ยังไม่ตระหนักรู้ด้วยซ้ำ แต่กระนั้นเราก็ยังได้ค้นพบใหม่ และดังนั้น มีเพียงเมื่อพวกเขาได้มองเห็น “พยานวัตถุ” เท่านั้น พวกมนุษย์จึงหยุดการถ่อมตนที่แสร้งว่ามีศีลธรรมของตน และยอมรับสภาวะที่ไม่สะอาดของตนเองด้วยฝ่ามือที่ยื่นออกไป ท่ามกลางพวกมนุษย์นั้น มีอีกมากมายหลายอย่างที่เป็นสิ่งใหม่รอให้เรา “สกัด” มันเพื่อความชื่นชมยินดีของมนุษยชาติทั้งปวง แทนที่จะหยุดงานของเราเนื่องด้วยการเสียความสามารถของมนุษย์ เราตัดแต่งเขาโดยสอดคล้องกับแผนดั้งเดิมของเรา มนุษย์ก็เหมือนต้นไม้ผล กล่าวคือ หากไม่มีการตัดแต่ง ต้นไม้ก็จะไม่สามารถออกผลได้ และในท้ายที่สุด ทั้งหมดที่คนผู้หนึ่งจะมองเห็นก็คือกิ่งก้านที่เหี่ยวแห้งและใบไม้ที่ร่วงหล่น โดยไม่มีผลตกถึงพื้นดินเลย
ขณะที่เราประดับประดา “ห้องพักชั้นใน” แห่งราชอาณาจักรของเราวันแล้ววันเล่า ไม่มีผู้ใดเคยบุกเข้ามาใน “ห้องทำงาน” ของเราอย่างกะทันหันเพื่อทำให้งานของเราหยุดชะงัก ผู้คนทั้งปวงกำลังทำจนสุดความสามารถของพวกเขาเพื่อร่วมมือกับเรา ด้วยกลัว “การถูกไล่ออก” และ “การสูญเสียสถานะของพวกเขา” อยู่ลึกๆ แล้วด้วยเหตุนี้จึงไปถึงทางตันในชีวิตของพวกเขา ที่ซึ่งพวกเขาอาจถึงขั้นล้มลงไปสู่ “ทะเลทราย” ที่ซาตานได้จับจองแล้วด้วยซ้ำ เพราะความกลัวของมนุษย์ เราจึงชูใจเขาทุกวัน ขับเคลื่อนเขามาสู่ความรักทุกวัน และยิ่งไปกว่านั้นก็ให้คำแนะนำแก่เขาท่ามกลางชีวิตประจำวันของเขา เป็นราวกับว่าพวกมนุษย์ล้วนเป็นทารกที่เพิ่งถือกำเนิด หากไม่ได้รับการจัดหานมให้ พวกเขาก็จะจากแผ่นดินโลกนี้ไปในไม่ช้า โดยไม่ถูกพบเห็นอีกเลย ท่ามกลางการวิงวอนของมนุษยชาติ เรามาสู่โลกของมนุษย์ และมนุษยชาติก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความสว่างในทันที ไม่ถูกปิดผนึกอยู่ภายใน “ห้อง” ที่พวกเขาร่ำร้องคำอธิษฐานของพวกเขาต่อสวรรค์จากในนั้นอีกต่อไป ทันทีที่พวกเขามองเห็นเรา มนุษย์ก็ทำการพร่ำบ่นอย่างดึงดันถึง “ความคับข้องใจ” ที่เก็บอยู่ในหัวใจของพวกเขา โดยเปิดปากของพวกเขาต่อหน้าเราเพื่อขอร้องให้หย่อนอาหารลงมายังพวกเขา แต่หลังจากนั้น ความกลัวของพวกเขาก็บรรเทาลงและความสงบสำรวมฟื้นคืนมาอีกครั้ง พวกเขาไม่ขอสิ่งใดจากเราอีกต่อไป แต่ผล็อยหลับสนิท หรือมิฉะนั้นก็ปฏิเสธการดำรงอยู่ของเรา พวกเขาผละไปใส่ใจกับธุระการงานของพวกเขาเอง ใน “การทอดทิ้ง” ของมวลมนุษย์นั้น เป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่าพวกมนุษย์ดำเนินการ “ความยุติธรรมอย่างเสมอภาค” ต่อเรา โดยไร้ซึ่ง “ความรู้สึก” อย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อมองเห็นมนุษย์ในแง่มุมที่ไม่น่ารักของเขา เราจึงจากไปอย่างเงียบๆ และจะไม่ลงมาอย่างพร้อมต่อการวิงวอนอย่างจริงจังจริงใจของเขาอีกต่อไป ปัญหาของมนุษย์เพิ่มมากขึ้นวันแล้ววันเล่าโดยที่เขาไม่รู้ตัว และดังนั้น ในท่ามกลางการตรากตรำทำงานหนักของเขานั้น เมื่อเขาค้นพบการดำรงอยู่ของเราโดยฉับพลัน เขาจึงปฏิเสธที่จะยอมรับคำว่า “ไม่” เป็นคำตอบ และคว้าปกคอเสื้อของเราและนำเราเข้ามาในบ้านของเขาในฐานะแขก แต่ถึงแม้เขาอาจจะจัดเตรียมอาหารมื้อหรูไว้สำหรับความชื่นชมยินดีของเรา เขาก็ไม่เคยพิจารณาว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเขาเองแม้สักครั้ง แต่กลับปฏิบัติกับเราในฐานะแขกคนหนึ่งเพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากเรา และดังนั้น ในครั้งนี้ มนุษย์นำเสนอสภาพเงื่อนไขที่สลดใจของเขาอย่างไม่มีพิธีรีตองต่อหน้าเรา โดยหวังที่จะได้ “ลายมือชื่อ” ของเรา และเขา “รับมือ” กับเราด้วยกำลังทั้งหมดของเขา เหมือนคนผู้หนึ่งที่จำเป็นต้องการเงินกู้เพื่อธุรกิจของเขา ในทุกท่าทางและการเคลื่อนไหวของเขา เราจับได้ถึงเจตนาของมนุษย์เพียงชั่วแล่น มันเป็นราวกับว่าในทรรศนะของเขานั้น เราไม่รู้วิธีที่จะอ่านความหมายที่ซ่อนเร้นในการแสดงออกทางสีหน้าของบุคคล หรือที่ซุกอยู่เบื้องหลังคำพูดของเขา หรือวิธีที่จะมองลึกเข้าไปในหัวใจของบุคคลหนึ่ง และดังนั้น มนุษย์จึงไว้ใจปรับทุกข์กับเราถึงทุกๆ ประสบการณ์ในทุกการเผชิญหน้าที่เขาเคยมีมา โดยไม่มีข้อผิดพลาดหรือการละเลย และหลังจากนั้นก็กำหนดข้อเรียกร้องต่อหน้าเรา เราเกลียดชังและดูหมิ่นทุกความประพฤติและการกระทำของมนุษย์ ไม่เคยมีสักคนเดียวท่ามกลางมนุษยชาติที่ได้ทำงานที่เรารัก ราวกับว่ามนุษยชาติกำลังเป็นปรปักษ์กับเราโดยเจตนา และยั่วยุความโกรธของเราอย่างมีจุดประสงค์ กล่าวคือ พวกเขาล้วนเดินขบวนไปๆ มาๆ อยู่ข้างหน้าเรา โดยหลงระเริงกับเจตจำนงของพวกเขาเองต่อหน้าต่อตาเรา ไม่มีสักคนเดียวท่ามกลางมนุษยชาติที่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์ของเรา และในผลสืบเนื่องก็คือ การดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดไม่มีทั้งคุณค่าและความหมาย เป็นเหตุให้มวลมนุษย์มีชีวิตอยู่ในที่ว่างที่ว่างเปล่า แม้จะเป็นดังนั้น มนุษยชาติก็ยังคงปฏิเสธที่จะตื่น แต่ยังคงกบฏต่อเราอยู่ต่อไป โดยยืนกรานอยู่ในความฟุ้งเฟ้อของมัน
ในการทดสอบทั้งหมดที่พวกเขาได้ก้าวผ่านไปนั้น พวกมนุษย์ไม่เคยทำให้เราพอใจเลยสักครั้ง เพราะความไร้ศีลธรรมอันโหดร้ายของพวกเขา มวลมนุษย์ไม่มุ่งหมายที่จะเป็นพยานต่อนามของเรา ตรงกันข้าม พวกเขา “วิ่งไปอีกทางหนึ่ง” ในขณะที่อาศัยเราเพื่อการยังชีพ หัวใจของมนุษย์ไม่หันมาหาเราทั้งหมด และดังนั้น ซาตานจึงทิ้งขยะใส่เขาจนกระทั่งเขาเป็นหมู่ชนที่มีบาดแผล ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยความโสมม แต่มนุษย์ก็ยังคงไม่ตระหนักว่าโฉมหน้าของเขาน่าขยะแขยงเพียงใด กล่าวคือ เขาเอาแต่เคารพซาตานลับหลังเราตลอดเวลาเรื่อยมา ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงโยนมนุษย์ลงไปในบาดาลลึกด้วยความโกรธ ทำอย่างนั้นจนเขาไม่มีวันสามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ แม้จะเป็นเช่นนั้น ในท่ามกลางการคร่ำครวญที่น่าสมเพชของเขานั้น มนุษย์ก็ยังคงปฏิเสธที่จะฟื้นคืนรูปร่างจิตใจของเขา เจตนาที่จะต่อต้นเราจนถึงบทอวสานที่ขมขื่น และหวังที่จะก่อกวนความโกรธของเขาโดยเจตนาด้วยเหตุนั้น เนื่องด้วยสิ่งที่เขาได้ทำลงไปนั้น เราจึงปฏิบัติต่อเขาในฐานะคนบาปที่เขาเป็นและปฏิเสธไม่ให้เขาได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเรา ตั้งแต่แรก เหล่าทูตสวรรค์ได้รับใช้เราและเชื่อฟังเราโดยไม่มีการหยุดหรือการเปลี่ยนแปลง แต่มนุษย์ได้ทำการต่อต้านที่แน่ชัดอยู่เสมอ ราวกับว่าเขาไม่ได้มาจากเรา แต่เกิดมาจากซาตาน เหล่าทูตสวรรค์ล้วนให้การเฝ้าเดี่ยวอย่างที่สุดของพวกเขาแก่เราในสถานที่เฉพาะของพวกเขา พวกเขาไม่หวั่นไหวด้วยกำลังบังคับของซาตาน และเพียงแต่ทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงเท่านั้น เมื่อได้รับการเลี้ยงดูและการบำรุงเลี้ยงโดยเหล่าทูตสวรรค์ บุตรของเราและคนของเราจำนวนมากมายล้วนเติบโตแข็งแรงและสมบูรณ์ขึ้น ไม่มีผู้ใดท่ามกลางพวกเขาที่อ่อนแอหรือปวกเปียก นี่คือการกระทำของเรา ความมหัศจรรย์ของเรา ขณะที่การระดมยิงปืนใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่าเริ่มต้นการก่อตั้งราชอาณาจักรของเรา เหล่าทูตสวรรค์ซึ่งเดินไปด้วยกันเป็นจังหวะก็มาอยู่ต่อหน้าพลับพลาของเราเพื่อนบนอบต่อการตรวจสอบของเรา เพราะหัวใจของพวกเขาเป็นอิสระจากความไม่บริสุทธิ์และรูปเคารพต่างๆ และพวกเขาไม่หลีกหนีการตรวจสอบของเรา
เมื่อมีเสียงกระหึ่มของพายุใหญ่ ฟ้าสวรรค์ก็กดต่ำลงในทันใด ทำให้มวลมนุษย์ทั้งหมดหายใจไม่ออกเพื่อที่พวกเขาจะไม่มีความสามารถที่จะร้องเรียกเราดังได้ที่พวกเขาปรารถนาอีกต่อไป มนุษยชาติทั้งปวงก็ล่มสลายลงโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ต้นไม้โยกไหวไปมาในสายลม บางครั้งบางคราก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้แตกหัก และใบไม้ที่เหี่ยวแห้งก็ถูกพัดปลิวไปทั้งหมด แผ่นดินโลกรู้สึกเยือกเย็นและโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างฉับพลันทันที และผู้คนกอดตัวเองแน่น โดยค้ำยันความวิบัติที่ติดตามมาในฤดูใบไม้ร่วงที่จะโจมตีพวกเขาทุกชั่วขณะ หมู่นกบนเนินเขาบินไปทางนั้นและทางนี้ ราวกับกำลังร้องเรียกหาใครบางคนด้วยความโศกเศร้า สิงโตคำรามในถ้ำบนภูเขา ทำให้ผู้คนหวาดกลัวด้วยเสียงนั้น เยือกเย็นถึงไขกระดูก และทำให้พวกเขาขนลุก และเป็นราวกับว่ามีความรู้สึกเป็นลางไม่ดี เป็นลางบอกเหตุถึงบทอวสานของมวลมนุษย์ เมื่อไม่เต็มใจที่จะรอความยินดีของเราในการกำจัดพวกเขา พวกมนุษย์ทั้งหมดก็อธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์อธิปไตยในสวรรค์อย่างนิ่งเงียบ แต่พายุใหญ่จะสามารถถูกสกัดกั้นด้วยเสียงไหลของน้ำที่ไหลในลำธารเล็กๆ ได้อย่างไร? มันจะสามารถหยุดในฉับพลันด้วยเสียงภาวนาของมนุษย์ได้อย่างไร? ความเดือดดาลในใจกลางของเสียงฟ้าแลบจะสามารถหยุดนิ่งเพื่อประโยชน์ของความขลาดกลัวของมนุษย์ได้อย่างไร? มนุษย์ไหวเอนไปมาในสายลมนั้น เขาวิ่งไปทางนั้นและทางนี้เพื่อซ่อนตัวเขาเองจากฝน และท่ามกลางความโกรธของเรา พวกมนุษย์ก็หวั่นไหวและสั่นสะท้าน กลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะวางมือของเราบนร่างกายของพวกเขา ราวกับว่าเราเป็นปากกระบอกปืนที่เล็งอกของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และเป็นอีกครั้งที่ ราวกับว่าเขาเป็นศัตรูของเรา แต่เขาก็ยังเป็นเพื่อนของเรา มนุษย์ไม่เคยค้นพบเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเราที่มีต่อเขา ไม่เคยเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเรา และดังนั้น เขาจึงทำให้เราขุ่นเคืองโดยไม่ตระหนักรู้ เขาต่อต้านเราโดยไม่ตระหนักรู้ แต่กระนั้นเขาก็ได้มองเห็นความรักของเราโดยไม่มีความหมายใดๆ ด้วยเช่นกัน มันยากสำหรับมนุษย์ที่จะมองเห็นใบหน้าของเราท่ามกลางความโกรธของเรา เราได้ซ่อนเร้นอยู่ในหมู่เมฆดำแห่งความโกรธของเรา และเรายืนอยู่เหนือทั้งจักรวาลท่ามกลางเสียงฟ้าแลบ โดยส่งความปรานีของเราลงมาให้แก่มนุษย์ เพราะมนุษย์ไม่รู้จักเรา เราจึงไม่ตีสอนเขาด้วยเหตุที่ไม่สามารถเข้าใจเจตนาของเราได้ ในสายตาของพวกมนุษย์นั้น เราระบายความโกรธของเราเป็นครั้งคราว เราแสดงให้เห็นรอยยิ้มของเราเป็นครั้งคราว แต่แม้กระทั่งเมื่อเขามองเห็นเรา มนุษย์ก็ไม่เคยมองเห็นอุปนิสัยทั้งหมดของเราอย่างแท้จริง และยังคงไร้ความสามารถที่จะได้ยินเสียงแตรอันไพเราะ เพราะเขาได้กลายเป็นมึนชาและไร้ความรู้สึก เป็นราวกับว่าฉายาของเราดำรงอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ และรูปสัณฐานของเราอยู่ในความคิดของเขา อย่างไรก็ตาม ไม่เคยได้เห็นบุคคลสักคนที่ได้มองเห็นเราอย่างแท้จริงโดยผ่านทางความก้าวหน้ามาถึงวันปัจจุบันของมนุษยชาติ เพราะสมองของมนุษย์นั้นขัดสนเกินไป สำหรับทั้งหมดที่มนุษย์ได้ “ชำแหละ” เรานั้น การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของเขายังไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ใดๆ เพราะวิทยาศาสตร์ของเขายังพัฒนาไปไม่พอ และดังนั้น หัวเรื่องเกี่ยวกับ “ฉายา” ของเรามักจะเป็นความว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงอยู่เสมอ โดยไม่มีผู้ใดที่เติมเต็มมัน ไม่มีผู้ใดทำลายสถิติโลก เพราะแม้กระทั่งการดำรงไว้ซึ่งที่มั่นในปัจจุบันของมวลมนุษย์ก็เป็นการปลอบใจที่ประเมินค่ามิได้ในท่ามกลางความโชคร้ายอันใหญ่หลวงอยู่แล้ว
23 มีนาคม ค.ศ. 1992