บทที่ 21
มนุษย์ล้มลงในท่ามกลางความสว่างของเรา และตั้งมั่นเพราะความรอดของเรา เมื่อเรานำความรอดมาสู่ทั่วทั้งจักรวาล มนุษย์พยายามหาหนทางที่จะเข้าสู่ท่ามกลางกระแสแห่งการฟื้นฟูของเรา กระนั้นก็มีคนมากหลายที่ถูกกระแสอันเชี่ยวกรากของการฟื้นฟูนี้พัดพาจากไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ มีคนมากหลายที่ถูกห้วงน้ำไหลเชี่ยวท่วมทับและกวาดกลืน และมีคนอีกมากมายเช่นกันที่ตั้งมั่นท่ามกลางกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก ผู้ซึ่งไม่เคยสูญเสียสำนึกรับรู้ถึงทิศทางของพวกเขา และด้วยเหตุนี้จึงเป็นผู้ที่ติดตามกระแสเชี่ยวกรากมาจนถึงทุกวันนี้ เรารุดหน้าไปพร้อมกับมนุษย์ กระนั้นมนุษย์ก็ยังคงไม่เคยรู้จักเรา เขารู้จักเพียงเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ภายนอกเท่านั้น แต่ไม่รู้เท่าทันความมั่งคั่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเรา แม้ว่าเราจัดเตรียมให้แก่มนุษย์และมอบให้เขาในแต่ละวัน แต่เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับอย่างแท้จริง ไม่สามารถรับความมั่งคั่งทั้งหมดที่เรามอบให้ได้ ไม่มีความเสื่อมทรามอันใดของมนุษย์ที่หลีกหนีการจับสังเกตของเราได้ สำหรับเราแล้ว โลกภายในของเขาชัดเจนพอๆ กับดวงจันทร์ที่ส่องสว่างบนผืนน้ำ เราไม่ปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างฉาบฉวย อีกทั้งไม่ทำกับเขาอย่างพอเป็นพิธี เป็นเพียงว่ามนุษย์นั้นไม่สามารถรับผิดชอบตัวเขาเองได้ และด้วยเหตุนี้มวลมนุษย์ทั้งปวงจึงต่ำทรามอยู่เสมอ และแม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังคงไม่สามารถพาตัวเองหลุดพ้นจากความต่ำทรามเช่นนั้นได้ มวลมนุษย์ที่อ่อนด้อยและน่าสงสาร! เหตุใดจึงเป็นว่ามนุษย์นั้นรักเรา แต่กลับไม่สามารถติดตามเจตนารมณ์แห่งวิญญาณของเรา? เราไม่ได้เปิดเผยตัวเราเองต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริงหรอกหรือ? มวลมนุษย์ไม่เคยเห็นใบหน้าของเราเลยจริงๆ หรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าเราแสดงความกรุณาต่อมวลมนุษย์น้อยเกินไป? โอ พวกกบฏในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง! พวกเขาต้องถูกบดขยี้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา พวกเขาต้องปลาสนาการไปท่ามกลางการตีสอนของเรา และพวกเขาต้องถูกขับออกจากหมู่มวลมนุษย์ในวันที่กิจการอันยิ่งใหญ่ของเราเสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้มวลมนุษย์ทั้งปวงรู้จักหน้าตาอันอัปลักษณ์ของพวกเขา ข้อเท็จจริงที่ว่ามนุษย์แทบจะไม่เห็นใบหน้าของเราหรือได้ยินเสียงของเรานั้นเป็นเพราะทั้งโลกขุ่นมัวเกินไป และเสียงอึกทึกครึกโครมของมันก็มีมากเกินไป และด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเกียจคร้านเกินกว่าที่จะค้นหาใบหน้าของเราและพยายามเข้าใจหัวใจของเรา นี่ไม่ใช่เหตุแห่งความเสื่อมทรามของมนุษย์หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่สาเหตุที่มนุษย์ขัดสนหรอกหรือ? มวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ท่ามกลางการจัดเตรียมของเราเสมอมา หากไม่เป็นเช่นนั้น หากว่าเราไม่เปี่ยมกรุณา ผู้ใดจะรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้เล่า? ความมั่งคั่งในเรานั้นมิอาจทัดเทียมได้ กระนั้นความวิบัติทั้งหมดก็อยู่ภายในมือของเราเช่นกัน—และผู้ใดเล่าที่สามารถหลีกหนีไปจากความวิบัติได้ตามอำเภอใจของพวกเขาทุกเมื่อ? คำอธิษฐานของมนุษย์หรือการร่ำไห้ภายในหัวใจของเขาเปิดโอกาสให้เขาทำเช่นนั้นได้หรือ? มนุษย์ไม่เคยอธิษฐานต่อเราอย่างแท้จริง และดังนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวงจึงไม่เคยมีผู้ใดใช้ชีวิตท่ามกลางความสว่างอันแท้จริงไปตลอดชีวิตของพวกเขา ผู้คนได้แต่ใช้ชีวิตในความสว่างที่กะพริบริบหรี่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ เป็นการนี้นี่เองที่นำทางมาสู่ความขาดตกบกพร่องของมวลมนุษย์ในวันนี้
ทุกคนกำลังร้อนรนทนไม่ไหว เต็มใจทุ่มเทเพื่อเราเพื่อที่จะได้บางสิ่งบางอย่างจากเรา และดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับจิตวิทยาของมนุษย์ เราจึงให้คำสัญญาต่างๆ แก่เขาเพื่อบันดาลใจให้เกิดความรักแท้จริงในตัวเขา เป็นความรักแท้จริงของมนุษย์จริงๆ หรือที่มอบความแข็งแกร่งให้แก่เขา? เป็นความจงรักภักดีที่มนุษย์มีต่อเราหรือที่ขับเคลื่อนวิญญาณของเราในสวรรค์? สวรรค์ไม่เคยได้รับผลกระทบแม้แต่น้อยนิดจากการกระทำของมนุษย์ และหากเราปฏิบัติต่อมนุษย์บนพื้นฐานแห่งการกระทำทุกอย่างของเขา เช่นนั้นแล้วมวลมนุษย์ทั้งปวงก็คงจะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการตีสอนของเรา เราได้เห็นผู้คนมากมายมีน้ำตาไหลอาบแก้มของพวกเขา และเราได้เห็นผู้คนมากมายมอบหัวใจของพวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับความมั่งคั่งของเรา แม้จะมี “ศรัทธาแก่กล้า” เช่นนั้น เราก็ยังไม่เคยให้ทั้งหมดของเราแก่มนุษย์อย่างเสรีตามคำรบเร้าอันปัจจุบันทันด่วนทั้งหลายของเขา ด้วยว่ามนุษย์ยังไม่เคยเต็มใจที่จะอุทิศตัวเขาเองต่อหน้าเราอย่างเปรมปรีดิ์เลย เราได้ดึงหน้ากากออกจากผู้คนทั้งปวง และโยนหน้ากากเหล่านี้ทิ้งในบึงไฟ และผลก็คือ สิ่งที่มนุษย์ทึกทักเอาว่าเป็นความจงรักภักดีและคำร้องขอนั้นไม่เคยตั้งมั่นต่อหน้าเราเลย มนุษย์เป็นเหมือนเมฆในท้องฟ้า กล่าวคือ เมื่อลมส่งเสียงโหยหวน เขาก็กลัวฤทธิ์แห่งกำลังบังคับของมันและดังนั้นจึงเร่งรีบลอยตามลมไป เต็มไปด้วยความกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะถูกบดขยี้จนล้มคว่ำเพราะความไม่เชื่อฟังของเขา นี่ไม่ใช่ใบหน้าอันอัปลักษณ์ของมนุษย์หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกกันว่าความเชื่อฟังของมนุษย์หรอกหรือ? นี่ไม่ใช่ “ความรู้สึกที่แท้จริง” และน้ำใจไมตรีอันจอมปลอมของมนุษย์หรอกหรือ? ผู้คนมากหลายปฏิเสธที่จะเชื่อตามถ้อยคำทั้งหมดที่ออกจากปากของเรา และหลายคนไม่ยอมรับการประเมินของเรา และด้วยเหตุนี้คำพูดและการกระทำของพวกเขาจึงเผยเจตนาที่เป็นกบฏของพวกเขา สิ่งที่เรากล่าวนั้นตรงกันข้ามกับธรรมชาติเดิมของมนุษย์หรือ? เราไม่ได้ให้คำนิยามที่เหมาะสมแก่มนุษย์ซึ่งสอดคล้องกับ “กฎธรรมชาติ” หรอกหรือ? มนุษย์ไม่เชื่อฟังเราอย่างแท้จริง หากเขาค้นหาเราอย่างแท้จริงแล้ว เราก็คงจะไม่ต้องกล่าวมากมายถึงเพียงนี้ มนุษย์เป็นขยะที่ไร้ค่า และเราต้องใช้การตีสอนของเรามาบังคับให้เขารุดหน้าไป หากเราไม่ทำเช่นนั้น ถึงแม้ว่าคำสัญญาที่เราให้แก่เขาจะเพียงพอต่อความชื่นชมยินดีของเขา แต่หัวใจของเขาจะสามารถถูกขับเคลื่อนได้อย่างไร? มนุษย์ใช้ชีวิตท่ามกลางการดิ้นรนต่อสู้อันเจ็บปวดอยู่เสมอมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว กล่าวได้ว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในความสิ้นหวังอยู่เสมอ ผลก็คือ เขาถูกทิ้งให้หดหู่ใจและเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ และดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับความมั่งคั่งที่เรามอบให้แก่เขานั้นอย่างชื่นบาน แม้กระทั่งในวันนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถยอมรับความหวานทั้งมวลของจิตวิญญาณจากเราได้ ผู้คนทำได้เพียงคงความอ่อนด้อยต่อไป และรอคอยยุคสุดท้ายเท่านั้น
ผู้คนมากมายปรารถนาที่จะรักเราอย่างแท้จริง แต่เพราะหัวใจของพวกเขาไม่ใช่ของพวกเขาเอง พวกเขาจึงไม่มีการควบคุมเหนือตัวพวกเขาเอง ผู้คนมากมายรักเราอย่างแท้จริงขณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์กับบททดสอบที่เรามอบให้ กระนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าเราดำรงอยู่จริง และเพียงแค่รักเราในความว่างเปล่าและไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ที่แท้จริงของเรา ผู้คนมากมายวางหัวใจของพวกเขาลงตรงหน้าเราแล้วจากนั้นก็ไม่ให้ความสนใจในหัวใจของพวกเขา และด้วยเหตุนี้หัวใจของพวกเขาจึงถูกซาตานคว้าไปเมื่อใดก็ตามที่มันมีโอกาส และแล้วพวกเขาก็ผละจากเราไป ผู้คนมากหลายรักเราอย่างจริงแท้เมื่อเราจัดเตรียมวจนะของเราให้ กระนั้นก็หาได้ทะนุถนอมวจนะของเราในจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับใช้วจนะของเราอย่างเพลิดเพลินเหมือนสมบัติสาธารณะและโยนวจนะของเรากลับไปยังที่เดิมเมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกอยากจะทำ มนุษย์ค้นหาเราท่ามกลางความเจ็บปวด และเขามองมาที่เราท่ามกลางบททดสอบ ในระหว่างช่วงเวลาแห่งสันติสุข เขาชื่นชมเรา เมื่อตกอยู่ในอันตราย เขาก็ปฏิเสธเรา เมื่อเขาติดธุระ เขาก็ลืมเรา และเมื่อเขาว่าง เขาก็ปฏิบัติต่อเราอย่างพอเป็นพิธี—แต่ทว่าไม่เคยมีใครรักเราโดยตลอดชีวิตของพวกเขาเลย เราปรารถนาให้มนุษย์จริงจังจริงใจต่อหน้าเรา กล่าวคือ เราไม่ขอให้เขามอบสิ่งใดแก่เรา แต่เพียงขอให้ผู้คนทั้งปวงจริงจังกับเราเท่านั้น และแทนที่จะป้อยอเรา ก็ขอให้พวกเขาเปิดโอกาสให้เรานำความจริงใจของมนุษย์กลับมา ความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และราคาแห่งความพยายามของเราแผ่ซ่านไปทั่วผู้คนทั้งปวง กระนั้นข้อเท็จจริงของทุกการกระทำของมนุษย์ก็แผ่ซ่านไปทั่วผู้คนทั้งปวงเช่นเดียวกับการที่พวกเขาหลอกลวงเราด้วย เป็นราวกับว่าส่วนผสมต่างๆ ของการหลอกลวงของมนุษย์อยู่กับเขามาตั้งแต่ในครรภ์ ราวกับว่าเขาได้ครอบครองทักษะพิเศษแห่งการใช้เล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้มาตั้งแต่เกิด ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยเปิดเผยให้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้ ไม่เคยมีใครมองทะลุเข้าไปยังแหล่งกำเนิดของทักษะที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเหล่านี้ ผลก็คือ มนุษย์ใช้ชีวิตท่ามกลางการหลอกลวงโดยไม่ตระหนักถึงมัน และเป็นราวกับว่าเขายกโทษให้ตัวเอง ราวกับว่านี่เป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้ามากกว่าที่จะเป็นการที่เขาจงใจหลอกลวงเรา นี่ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของการที่มนุษย์หลอกลวงเราหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่กลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของเขาหรอกหรือ? เราไม่เคยมึนงงกับคำประจบเอาใจและกลลวงของมนุษย์เลย เพราะเราเข้าใจเนื้อแท้ของเขามานานแล้ว ผู้ใดรู้บ้างว่ามีความไม่บริสุทธิ์ในเลือดของเขามากเพียงใด และมีพิษของซาตานอยู่ภายในไขกระดูกของเขามากเพียงใด? มนุษย์คุ้นเคยกับมันมากยิ่งขึ้นในแต่ละวันที่ผ่านไป จนกระทั่งเขาไม่รู้สึกถึงอันตรายที่ซาตานกระทำ และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความสนใจที่จะค้นหา “ศิลปะแห่งการดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์แข็งแรง”
เมื่อมนุษย์อยู่ห่างจากเรา และเมื่อเขาทดสอบเรา เราซ่อนตัวจากเขาอยู่ในท่ามกลางหมู่เมฆ ผลก็คือ เขาไม่สามารถพบเจอร่องรอยอันใดของเรา และได้แต่ดำรงชีวิตไปตามเงื้อมมือของคนเลวเท่านั้น โดยทำทุกสิ่งที่พวกมันขอ เมื่อมนุษย์อยู่ใกล้ชิดเรา เราปรากฏแก่เขาและเราไม่ซ่อนเร้นใบหน้าของเราจากเขา และในเวลานี้ มนุษย์มองเห็นโฉมหน้าที่ใจดีมีเมตตาของเรา พลันเขาก็เกิดมีสำนึกรับรู้ขึ้นมาและแม้ว่าเขาไม่ตระหนักถึงมัน แต่ก็เกิดความรักต่อเราขึ้นมาในตัวเขา ในหัวใจของเขา เขาพลันรู้สึกถึงความหวานที่มิอาจเปรียบได้ และแปลกใจว่าเขาไม่สามารถรู้ถึงการดำรงอยู่ของเราในจักรวาลมาได้อย่างไรกัน ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีสำนึกรับรู้ถึงความน่ารักน่าชื่นชมของเรามากขึ้น และที่มากกว่านั้นคือ มีสำนึกรับรู้ถึงความล้ำค่าของเรา ผลก็คือ เขาปรารถนาที่จะไม่มีวันจากเราไปอีก เขามองเห็นเราเป็นความสว่างแห่งการอยู่รอดของเขา และเขากอดเราแน่น ด้วยเกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะทิ้งเขาไป เราไม่รู้สึกตื้นตันใจในความกระตือรือร้นของมนุษย์ แต่เราเปี่ยมกรุณาต่อเขาเพราะความรักของเขา ในเวลานี้มนุษย์ใช้ชีวิตท่ามกลางบททดสอบของเราในทันใด ใบหน้าของเราอันตรธานไปจากหัวใจของเขา และเขารู้สึกในทันทีว่าชีวิตของเขาว่างเปล่า และความคิดของเขาหันไปหาการหลีกหนี ณ เวลานั้น หัวใจของมนุษย์ถูกตีแผ่ เขาไม่ได้สวมกอดเราเพราะอุปนิสัยของเรา แต่ขอให้เราอารักขาเขาเพราะความรักของเรา กระนั้นเมื่อความรักของเราจู่โจมกลับไปยังมนุษย์ เขาก็เปลี่ยนใจของเขาในทันใด เขาฉีกพันธสัญญาที่เขาทำกับเราและหลีกหนีไปจากการพิพากษาของเรา ไม่เต็มใจที่จะมองใบหน้าที่เปี่ยมกรุณาของเราอีกเลย และดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนทรรศนะที่เขามีต่อเรา และกล่าวว่าเราไม่เคยช่วยมนุษย์ให้รอด ที่จริงแล้วความรักที่แท้จริงไม่ได้เกี่ยวพันกับสิ่งใดนอกจากความกรุณาเท่านั้นหรือ? มนุษย์รักเราต่อเมื่อเขาได้ใช้ชีวิตภายใต้ความสว่างที่ฉายส่องของเราเท่านั้นหรือ? เขาเหลียวกลับไปมองวันวาน แต่ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้—นี่ไม่ใช่ภาวะของมนุษย์หรอกหรือ? พวกเจ้าจะยังคงเป็นเช่นนี้อย่างแท้จริงในวันพรุ่งนี้หรือไม่? สิ่งที่เราต้องประสงค์คือให้มนุษย์มีหัวใจที่โหยหาเราในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของเขา ไม่ใช่หัวใจที่ทำให้เราพึงพอใจด้วยเปลือกนอก
21 มีนาคม ค.ศ. 1992