บทที่ 28
เมื่อครั้งที่เรามาจากศิโยน ทุกสรรพสิ่งได้เฝ้าคอยเรา และเมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยน มนุษย์ทั้งปวงก็มาต้อนรับเรา ขณะที่เราได้มาและได้ไปนั้น ไม่เคยเลยที่ย่างก้าวของเราจะถูกขัดขวางโดยสิ่งที่ไม่เป็นมิตรกับเรา และด้วยเหตุนี้ งานของเราจึงก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น วันนี้ เมื่อเรามาท่ามกลางสิ่งสร้างทั้งปวง ทุกสรรพสิ่งต้อนรับเราด้วยความเงียบ เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะจากไปอีกครั้งหนึ่ง และเกรงกลัวว่าพวกเขาจะสูญเสียสิ่งที่พวกเขาพึ่งพาในฐานะการสนับสนุนไปด้วยการนั้น ทุกสรรพสิ่งติดตามการนำของเรา และทั้งหมดเฝ้าดูทิศทางที่มือของเราชี้บอก วจนะจากปากของเราได้ทำให้สิ่งสร้างมากมายมีความเพียบพร้อมและได้ตีสอนบุตรแห่งความไม่เชื่อฟังมากมาย ด้วยเหตุนั้น มนุษย์ทั้งปวงจึงเขม้นมองวจนะของเราอย่างตั้งใจ และฟังถ้อยคำจากปากของเราอย่างใกล้ชิด และกลัวอย่างลึกล้ำว่าจะพลาดโอกาสอันดีนี้ไป เป็นเพราะเหตุนี้นี่เองที่เราพูดต่อไป เพื่อที่งานของเราอาจดำเนินการจนเสร็จสิ้นเร็วขึ้น และเพื่อที่ภาวะอันน่าปลาบปลื้มใจอาจปรากฏเร็วขึ้นบนแผ่นดินโลกและเยียวยาแก้ไขทัศนียภาพแห่งความอ้างว้างร้างเปล่าบนแผ่นดินโลก เมื่อเรามองไปยังชั้นฟ้า นั่นคือเวลาที่เราหันไปเผชิญหน้ามวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง แผ่นดินทั้งมวลเต็มไปด้วยพลังชีวิตในทันที ไม่มีฝุ่นละอองลอยอยู่ในอากาศอีกต่อไป และโคลนเลนก็ไม่แผ่คลุมพื้นดินอีกต่อไป ดวงตาของเราเปล่งประกายโดยพลัน ทำให้ผู้คนแห่งแผ่นดินทั้งมวลเคารพยกย่องเราและหาที่หลบภัยในเรา ท่ามกลางผู้คนของโลกในวันนี้—รวมถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในนิเวศของเรา—ผู้ใดหลบภัยในเราอย่างแท้จริง? ผู้ใดมอบหัวใจของพวกเขาเพื่อแลกเปลี่ยนกับราคาที่เราได้จ่ายไป? ผู้ใดเคยอยู่อาศัยในนิเวศของเราอย่างสันติสุข? ผู้ใดเคยมอบอุทิศตัวพวกเขาเองเบื้องหน้าเราอย่างแท้จริง? เมื่อเรามีข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ เขาก็รีบปิด “คลังสินค้าเล็กๆ” ของเขาในทันที เมื่อเรามอบให้มนุษย์ เขาก็รีบเปิดปากของเขาโดยเร็วเพื่อแอบเอาความมั่งคั่งของเราไป และในหัวใจของเขานั้น เขามักจะสั่นเทาอยู่บ่อยครั้ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าเราจะบดขยี้กลับไปที่เขา ด้วยเหตุนั้น ปากของมนุษย์จึงครึ่งปิดครึ่งเปิด และเขาไม่สามารถชื่นชมความมั่งคั่งที่เรามอบให้ได้อย่างแท้จริง เราไม่กล่าวโทษมนุษย์โดยง่าย กระนั้นเขาก็กระตุกมือของเราและขอให้เรามอบความกรุณาแก่เขาอยู่เสมอ เฉพาะเมื่อมนุษย์วอนขอเราเท่านั้นที่เรามอบ “ความกรุณา” แก่เขาอีกครั้งหนึ่ง และเรามอบวจนะที่เกรี้ยวกราดที่สุดจากปากของเราแก่เขา จนถึงขนาดที่เขารู้สึกอับอายในทันที และเมื่อไม่สามารถรับ “ความกรุณา” ของเราได้โดยตรง เขาจึงให้ผู้อื่นส่งต่อความกรุณาให้แก่เขาแทน เมื่อเขาจับความเข้าใจในวจนะทั้งหมดของเราอย่างถ้วนทั่วแล้ว วุฒิภาวะของมนุษย์ย่อมได้สัดส่วนกับความปรารถนาของเรา และคำร้องขอของเขาย่อมเกิดผล และไม่สูญเปล่าหรือไร้ผล เราอวยพรคำร้องขอที่จริงใจของมวลมนุษย์ คำร้องขอที่ไม่ใช่การเสแสร้ง
เราได้กระทำการและพูดตลอดยุคทั้งหลาย กระนั้นมนุษย์ก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำเช่นที่เราพูดในวันนี้ และเขาไม่เคยลิ้มรสบารมีและการพิพากษาของเรา แม้ว่าผู้คนบางคนในโลกอดีตได้ยินตำนานต่างๆ เกี่ยวกับเรา แต่ก็ไม่เคยมีใครค้นพบขอบข่ายแห่งความมั่งคั่งของเราอย่างแท้จริง แม้ว่าผู้คนในวันนี้ได้ยินวจนะจากปากของเรา แต่พวกเขายังคงไม่รู้เท่าทันว่ามีความล้ำลึกอยู่ในปากของเรามากเพียงใด และด้วยเหตุนั้นจึงคำนึงถึงปากของเราว่าเป็นกรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์ ผู้คนทั้งปวงปรารถนาที่จะได้บางสิ่งจากปากของเรา ไม่ว่าจะเป็นความลับของรัฐ หรือความล้ำลึกของสวรรค์ หรือพลวัตของโลกวิญญาณ หรือบั้นปลายของมวลมนุษย์ ผู้คนทั้งปวงปรารถนาที่จะได้รับสิ่งเช่นนั้น ด้วยเหตุนั้น หากเราเรียกชุมนุมผู้คนพร้อมกันและบอก “เรื่องราว” แก่พวกเขา พวกเขาก็จะรีบลุกขึ้นจาก “เตียงที่พวกเขานอนป่วยอยู่” ทันทีเพื่อฟังหนทางของเรา ภายในมนุษย์นั้นขาดพร่องหลายสิ่งเกินไป กล่าวคือ เขาไม่เพียงพึงต้องมี “โภชนาการเสริม” เท่านั้น แต่ที่มากกว่านั้นคือ เขาจำเป็นต้องมี “การสนับสนุนทางความคิด” และ “สิ่งหล่อเลี้ยงทางวิญญาณ” อีกด้วย นี่คือสิ่งที่ขาดพร่องในตัวผู้คนทั้งปวง นี่คือ “อาการป่วย” ของมนุษย์ทั้งปวง เราจัดเตรียมการเยียวยารักษาอาการป่วยของมนุษย์เพื่อที่ว่าผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอาจได้รับการสัมฤทธิ์ เพื่อที่ทุกคนอาจได้รับการฟื้นฟูสู่สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และเพื่อที่พวกเขาอาจกลับสู่สภาวะปกติโดยอาศัยการเยียวยารักษาของเรา พวกเจ้าเกลียดชังพญานาคใหญ่สีแดงอย่างแท้จริงหรือไม่? พวกเจ้าเกลียดชังมันอย่างจริงใจโดยแท้หรือไม่? เหตุใดเราจึงถามพวกเจ้าหลายครั้งเหลือเกิน? เหตุใดเราจึงถามคำถามนี้กับพวกเจ้าต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า? มีภาพลักษณ์เช่นไรของพญานาคใหญ่สีแดงในหัวใจของพวกเจ้าหรือ? มันถูกลบออกไปแล้วจริงหรือ? แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้คำนึงถึงมันว่าเป็นบิดาของพวกเจ้าหรอกหรือ? ผู้คนทั้งปวงควรล่วงรู้เจตนารมณ์ในคำถามทั้งหลายของเรา เจตนารมณ์ของเราไม่ใช่เพื่อยั่วยุความโกรธของผู้คน และไม่ใช่เพื่อยุยงให้เกิดการกบฏท่ามกลางมนุษย์ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อที่มนุษย์อาจพบเจอทางออกของเขาเอง แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งปวงปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการของพญานาคใหญ่สีแดง กระนั้นก็ไม่ควรมีผู้ใดร้อนใจ ทั้งหมดจะสำเร็จลุล่วงโดยวจนะของเรา ไม่มีมนุษย์คนใดอาจมีส่วนร่วม และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำงานที่เราจะดำเนินการ เราจะทำให้อากาศของแผ่นดินทั้งมวลใสสะอาดและกำจัดร่องรอยทั้งหมดของพวกปีศาจบนแผ่นดินโลก เราได้เริ่มต้นแล้ว และเราจะตั้งต้นทำขั้นตอนแรกแห่งงานตีสอนของเราในที่อาศัยของพญานาคใหญ่สีแดง ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่าการตีสอนของเราได้บังเกิดแก่ทั้งจักรวาล และเห็นได้ว่าพญานาคใหญ่สีแดงและวิญญาณที่มีมลทินทุกประเภทจะไม่มีพลังอำนาจที่จะหลีกหนีการตีสอนของเรา เพราะเราเฝ้ามองดินแดนทั้งปวง เมื่องานของเราบนแผ่นดินโลกเสร็จสมบูรณ์ นั่นคือเมื่อยุคแห่งการพิพากษามาถึงบทอวสาน เราจะตีสอนพญานาคใหญ่สีแดงอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าประชากรของเราจะมองเห็นเราตีสอนพญานาคใหญ่สีแดงด้วยความชอบธรรม แน่นอนว่าพวกเขาจะพากันแซ่ซ้องสรรเสริญเพราะความชอบธรรมของเรา และแน่นอนว่าจะเชิดชูนามอันบริสุทธิ์ของเราไปตลอดกาลเพราะความชอบธรรมของเรา ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าย่อมจะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างเป็นทางการ และจะสรรเสริญเราอย่างเป็นทางการทั่วแผ่นดินทั้งหลาย ตลอดกาลนาน!
เมื่อยุคแห่งการพิพากษาไปถึงจุดสูงสุดของยุค เราจะไม่เร่งสรุปปิดงานของเรา แต่จะเอาหลักฐานของยุคแห่งการตีสอนมาผสมกลมกลืนกับยุคแห่งการพิพากษาด้วย และเปิดโอกาสให้ประชากรของเราทั้งหมดมองเห็นหลักฐานนี้ ในการนี้ย่อมจะเกิดดอกผลมากขึ้น หลักฐานนี้เป็นวิถีทางที่เราใช้ตีสอนพญานาคใหญ่สีแดง และเราจะทำให้ประชากรของเราเห็นมันด้วยตาของพวกเขาเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักอุปนิสัยของเรามากขึ้น เวลาที่ประชากรของเราชื่นชมเราคือเวลาที่พญานาคใหญ่สีแดงถูกตีสอน การทำให้ผู้คนของพญานาคใหญ่สีแดงลุกฮือและก่อกบฏต่อมันคือแผนการของเรา และนี่คือวิธีการที่เราใช้เพื่อทำให้ประชากรของเรามีความเพียบพร้อม และเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ประชากรทั้งปวงของเราจะเติบโตขึ้นในชีวิต เมื่อดวงจันทร์อันสุกสกาวลอยเด่น คืนมืดอันสงบเงียบย่อมสลายไปโดยพลัน แม้ดวงจันทร์จะเว้าแหว่ง แต่มนุษย์ก็ร่าเริงดี และนั่งอย่างเปี่ยมสันติสุขใต้แสงจันทร์ ชมดูทัศนียภาพอันสวยงามพร้อมแสงจันทร์ มนุษย์ไม่สามารถพรรณนาอารมณ์ของเขาได้ เป็นราวกับว่าเขาปรารถนาที่จะเคลื่อนย้ายความคิดทั้งหลายของเขากลับไปสู่อดีต ราวกับว่าเขาปรารถนาที่จะมองไปข้างหน้ายังอนาคต ราวกับว่าเขากำลังชื่นชมปัจจุบัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และท่ามกลางอากาศที่น่าสบายก็มีกลิ่นอันสดชื่นแทรกซึมอยู่ ขณะที่สายลมอ่อนเริ่มพัดโชย มนุษย์ก็ได้กลิ่นสุคนธรสอันหอมหวน และดูเหมือนว่ากลิ่นหอมนั้นจะทำให้เขามึนเมา ไม่สามารถปลุกเร้าตัวเขาเองได้ นี่เองคือเวลาที่เราได้มาท่ามกลางมนุษย์ด้วยตัวเราเอง และมนุษย์มีสำนึกรับรู้เพิ่มขึ้นในกลิ่นหอมอันเข้มข้นนั้น และด้วยเหตุนั้น มนุษย์ทั้งปวงจึงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสุคนธรสนี้ เรามีสันติสุขกับมนุษย์ มนุษย์มีชีวิตในความปรองดองกับเรา เขาไม่เบี่ยงเบนในความคำนึงที่เขามีถึงเราอีกต่อไป เราไม่ตัดแต่งความขาดตกบกพร่องของมนุษย์อีกต่อไป ไม่มีสีหน้าเป็นทุกข์บนใบหน้าของมนุษย์อีกต่อไป และความตายก็ไม่คุกคามมวลมนุษย์ทั้งปวงอีกต่อไป วันนี้เราก้าวหน้าไปพร้อมกับมนุษย์สู่ยุคแห่งการตีสอน ไปข้างหน้าเคียงข้างกันกับเขา เรากำลังทำงานของเรา กล่าวคือ เราหวดคทาของเราลงไปท่ามกลางมนุษย์และมันฟาดลงบนสิ่งที่เป็นกบฏในตัวมนุษย์ ในสายตาของมนุษย์ คทาของเราดูเหมือนจะมีพลังอำนาจพิเศษ กล่าวคือ มันเข้าตีพวกที่เป็นศัตรูของเราทั้งหมดและไม่ละเว้นพวกเขาโดยง่าย ท่ามกลางพวกที่ต่อต้านเราทั้งหมดคทาทำหน้าที่ที่มีมาแต่กำเนิดของมัน บรรดาผู้ที่อยู่ในมือของเราทั้งปวงย่อมปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเรา และพวกเขาไม่เคยเยาะเย้ยท้าทายความปรารถนาของเราหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของพวกเขา ผลก็คือ ห้วงน้ำจะคำราม ภูเขาจะพังทลาย แม่น้ำใหญ่จะแยกสลาย มนุษย์จะยิ่งโน้มเอียงเข้าหาการเปลี่ยนแปลง ดวงอาทิตย์จะสลัว ดวงจันทร์จะมืดมัว มนุษย์จะไม่มีวันเวลาแห่งการมีชีวิตอยู่ในสันติสุขอีกต่อไป จะไม่มีช่วงเวลาแห่งความสงบเงียบบนผืนแผ่นดินอีกต่อไป ฟ้าสวรรค์จะไม่มีวันสงบและนิ่งเงียบอีกแล้ว และจะไม่สู้ทนอีกต่อไป ทุกสรรพสิ่งจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่และจะฟื้นฟูรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตน ครอบครัวทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะถูกแยกจากกัน และประชาชาติทั้งมวลบนแผ่นดินโลกจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ วันเวลาแห่งการอยู่ร่วมกันอีกครั้งระหว่างสามีกับภรรยาจะหมดไป มารดาและบุตรจะไม่ได้พบกันอีกต่อไป บิดาและบุตรีจะไม่มีวันบรรจบพบกันอีก ทั้งหมดที่เคยมีบนแผ่นดินโลกจะถูกเราทุบทำลาย เราไม่ให้โอกาสผู้คนปลดปล่อยอารมณ์ของพวกเขา เพราะเราปราศจากอารมณ์และรู้สึกรังเกียจอารมณ์ของผู้คนในระดับที่ถึงขีดสุด เป็นเพราะอารมณ์ระหว่างผู้คน เราจึงถูกโยนทิ้งไว้ข้างหนึ่ง และด้วยเหตุนี้เราจึงกลายเป็น “คนอื่น” ในสายตาของพวกเขา เป็นเพราะอารมณ์ระหว่างผู้คน เราจึงถูกลืม เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงฉวยโอกาสหยิบ “มโนธรรม” ของเขามาใช้ เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงเหนื่อยล้ากับการตีสอนของเราเสมอ เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงบอกว่าเราใจร้ายและไม่ยุติธรรม และพูดว่าเราไม่ใส่ใจความรู้สึกของมนุษย์เวลาเราจัดการสิ่งต่างๆ เรามีญาติพี่น้องบนแผ่นดินโลกด้วยหรือ? ผู้ใดเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนเรา โดยไม่คิดถึงอาหารหรือการหลับนอน เพื่อประโยชน์แห่งแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของเรา? มนุษย์จะสามารถเทียบเคียงกับพระเจ้าได้อย่างไร? มนุษย์จะเข้ากันกับพระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าผู้ทรงสร้างจะเป็นประเภทเดียวกันกับมนุษย์ผู้ถูกสร้างได้อย่างไร? เราจะมีชีวิตและกระทำการร่วมกับมนุษย์บนแผ่นดินโลกเสมอไปได้อย่างไร? ผู้ใดสามารถรู้สึกกังวลสนใจในหัวใจของเรา? ใช่คำอธิษฐานของมนุษย์หรือ? ครั้งหนึ่งเราเคยตกลงที่จะร่วมทางกับมนุษย์และเดินไปด้วยกันกับเขา—และใช่ จวบจนวันนี้มนุษย์มีชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลและการอารักขาของเรา แต่จะมีสักวันหนึ่งหรือไม่ที่มนุษย์มีวันสามารถแยกตัวเขาเองออกจากการดูแลของเรา? แม้ว่ามนุษย์ไม่เคยมีความกังวลสนใจในหัวใจของเรา แต่ผู้ใดจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปในแผ่นดินที่ไร้ความสว่างได้? เป็นเพียงเพราะพรของเราเท่านั้นที่มนุษย์มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้
4 เมษายน ค.ศ. 1992