บทที่ 39

แต่ละวัน เราเคลื่อนไปเหนือจักรวาลทั้งหลาย สังเกตการณ์ทุกสรรพสิ่งที่มือของเราสร้างขึ้น  เหนือฟ้าสวรรค์คือสถานที่แห่งการหยุดพักของเรา และเบื้องล่างคือแผ่นดินที่เราเคลื่อนไหวอยู่  เราปกครองทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางทั้งหมดที่มี เราบัญชาทุกสิ่งทุกอย่างท่ามกลางสรรพสิ่ง ซึ่งทำให้ทั้งหมดที่มีนั้นปฏิบัติตามครรลองแห่งธรรมชาติ และยอมตามคำบัญชาของธรรมชาติ  เนื่องจากเราดูหมิ่นพวกที่เป็นกบฏ และเกลียดพวกที่ต่อต้านเราและไม่เข้าหมวดหมู่ของพวกเขาเอง เราจึงจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของเราอย่างไร้การต้านทาน เราจะทำให้ทั้งหมดที่อยู่เหนือและอยู่ภายในจักรวาลมีระเบียบ  ผู้ใดจะยังกล้าต้านทานเราตามใจชอบ?  ผู้ใดจะกล้าไม่นบนอบการจัดการเตรียมการด้วยมือของเรา?  มนุษย์จะมี “ความสนใจ” ในการทรยศเราได้อย่างไร?  เราจะพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้า “บรรพบุรุษ” ของพวกเขา จะทำให้บรรพบุรุษของพวกเขานำพวกเขากลับไปยังครอบครัวของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้กบฏต่อบรรพบุรุษของพวกเขาและจะหวนคืนมาเคียงข้างเรา  เช่นนั้นคือแผนการของเรา  วันนี้ วิญญาณของเราเคลื่อนไหวไปทั่วแผ่นดินโลก กำหนดหมายเลขให้แก่ผู้คนทุกประเภท ทำเครื่องหมายที่แตกต่างกันบนตัวบุคคลทุกจำพวก เพื่อที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาจะสามารถนำทางพวกเขากลับไปยังครอบครัวของพวกเขาได้สำเร็จ และเพื่อให้เราไม่จำเป็นต้อง “กังวล” เกี่ยวกับพวกเขาอยู่เรื่อยไป ซึ่งน่ารำคาญใจเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ เราจึงแบ่งงานอันตรากตรำ และกระจายความพยายามด้วยเช่นกัน  นี่คือส่วนหนึ่งในแผนการของเรา และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้หยุดชะงักได้  เราจะคัดเลือกตัวแทนที่เหมาะสมจากทั้งหมดที่มีเพื่อบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง อันเป็นการทำให้ทั้งหมดนั้นเกิดการนบนอบที่มีระเบียบแบบแผนเบื้องหน้าเรา  เราตระเวนไปเหนือฟ้าสวรรค์อยู่เนืองนิตย์ และเดินไปภายใต้ฟ้าสวรรค์เหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง  เมื่อเฝ้ามองพิภพอันยิ่งใหญ่ที่ซึ่งผู้คนมาและจากไป เมื่อเฝ้าสังเกตมวลมนุษย์ที่เกาะกลุ่มกันอย่างหนาแน่นบนแผ่นดินโลก และเมื่อมองดูนกและสัตว์ป่าทั้งหลายที่ใช้ชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์นี้ เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนอารมณ์ในหัวใจของเรา  เนื่องจากในเวลาแห่งการสร้างนั้น เราได้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้น และทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปวงนั้นก็ปฏิบัติหน้าที่ของมันในที่ของมันเองภายใต้การจัดการเตรียมการของเรา เราหัวเราะจากเบื้องบน และเมื่อทุกสรรพสิ่งใต้ฟ้าสวรรค์ได้ยินเสียงหัวเราะของเรา พวกมันก็เกิดแรงบันดาลใจทันที เพราะในชั่วขณะนี้นี่เองที่โครงการอันยิ่งใหญ่ของเราเสร็จสมบูรณ์  เราเติมปัญญาแห่งสวรรค์เข้าไปภายในมนุษย์ อันเป็นการทำให้เขาเป็นตัวแทนของเราท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เพราะเราสร้างมนุษย์ขึ้นเพื่อให้เขาเป็นตัวแทนของเรา ไม่ใช่เพื่อกบฏต่อเรา แต่เพื่อสรรเสริญเราในส่วนลึกของหัวใจของเขา  และผู้ใดสามารถสัมฤทธิ์วจนะที่เรียบง่ายเหล่านี้เล่า?  เหตุใดมนุษย์จึงเก็บหัวใจของเขาไว้สำหรับตัวเขาเองอยู่เสมอ?  หัวใจของเขามิใช่มีอยู่เพื่อเราหรอกหรือ?  มิใช่ว่าเราขอสิ่งทั้งหลายจากมนุษย์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นของเราตลอดมา  เราจะมอบสิ่งที่เป็นของเราให้ผู้อื่นไปง่ายๆ ได้อย่างไร?  เราจะมอบ “เครื่องนุ่งห่ม” ที่เราทำขึ้นให้ใครอื่นบางคนไปสวมใส่ได้อย่างไร?  ในสายตาของผู้คนนั้นเป็นราวกับว่าเราได้เสียสติไปแล้ว โดยทนทุกข์จากความเจ็บป่วยทางจิต และไม่เข้าใจสิ่งใดเกี่ยวกับหนทางของมนุษย์เลย ราวกับว่าเราเป็นคนเบาปัญญา  และดังนั้น ผู้คนจึงมองว่าเราเป็นคนไม่รู้ประสาอยู่เสมอ แต่พวกเขาไม่มีวันรักเราอย่างแท้จริง  เนื่องจากทั้งหมดที่มนุษย์ทำนั้นเป็นไปเพื่อจงใจหลอกเรา เราจึงกำจัดมวลมนุษย์ทั้งปวงให้สิ้นไปในความโกรธอันพลุ่งพล่าน  ท่ามกลางสิ่งทั้งปวงที่เราสร้างขึ้นนั้น มีเพียงมวลมนุษย์เท่านั้นที่พยายามคิดหาหนทางใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเราอยู่เสมอ และเป็นเพียงเพราะการนี้เท่านั้นที่เรากล่าวว่า มนุษย์คือ “ผู้ปกครอง” ของทุกสรรพสิ่ง

วันนี้ เราโยนผู้คนทั้งหมดเข้าไปใน “เตาหลอมขนาดใหญ่” เพื่อรับการถลุง  เรายืนอยู่บนที่สูง เฝ้ามองอย่างตั้งใจในขณะที่ผู้คนเผาไหม้อยู่ในเปลวไฟ และเมื่อถูกเปลวเพลิงบังคับ ผู้คนก็เสนอข้อเท็จจริงออกมา  นี่คือหนึ่งในวิธีการที่เราใช้ทำงาน  หากไม่เป็นดังนี้แล้ว ผู้คนคงจะกล่าวอ้างว่าตัวพวกเขาเองนั้น “ถ่อมใจ” และคงจะไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะเป็นคนแรกที่เปิดปากพูดถึงประสบการณ์ทั้งหลายของพวกเขาเอง แต่ทั้งหมดคงจะแค่มองกันและกัน  แน่นอนว่านี่คือการตกผลึกแห่งปัญญาของเรา เพราะเราได้ลิขิตเรื่องต่างๆ ของวันนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนยุคทั้งหลาย  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงเข้าสู่เตาหลอมโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าพวกเขาถูกเชือกดึงเข้าไป ราวกับว่าพวกเขาได้กลายเป็นด้านชาไปแล้ว  ไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีการจู่โจมของเปลวไฟได้ พวกเขา “โจมตี” กันและกัน พวกเขา “สาละวนชื่นชมยินดี” โดยยังคงกลัดกลุ้มกับโชคชะตาของพวกเขาเองในเตาหลอม กลัวอยู่ลึกๆ ว่าพวกเขาจะถูกเผาไหม้จนตาย  เมื่อเราโหมกระพือไฟ มันก็ลุกโชนขึ้นทันใด พวยพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า และเปลวเพลิงนั้นก็ลามเลียเสื้อคลุมของเราอยู่เนืองนิตย์ ราวกับพยายามที่จะดึงมันลงไปในเตาหลอมด้วย  ผู้คนเฝ้ามองเราด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง  เราติดตามไฟนั้นเข้าไปในเตาหลอมทันที และในชั่วขณะนั้นเอง เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้น และผู้คนก็ร้องออกมา  เราตระเวนไปท่ามกลางเปลวไฟนั้น  เปลวเพลิงลุกโชติช่วง แต่หาได้มีเจตนาที่จะทำอันตรายเราไม่ และเราส่งมอบเสื้อคลุมบนกายของเราให้แก่เปลวเพลิงอีกครั้งหนึ่ง—กระนั้นเปลวเพลิงก็รักษาระยะห่างจากเรา  เมื่อนั้นเท่านั้นผู้คนจึงมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเราอย่างชัดเจนในความสว่างของเปลวเพลิง  เนื่องจากพวกเขาอยู่ท่ามกลางการแผดเผาของเตาหลอม พวกเขาจึงหนีไปในทุกทิศทางเพราะใบหน้าของเรา และเตานั้นก็พลันเริ่ม “เดือด”  ทุกคนที่อยู่ในเปลวเพลิงมองเห็นบุตรมนุษย์ ผู้ซึ่งถูกถลุงอยู่ในเปลวไฟ  ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าบนพระกายของพระองค์จะธรรมดา แต่ก็เป็นเสื้อผ้าที่งดงามที่สุด ถึงแม้ว่าฉลองพระบาทที่พระบาทของพระองค์ไม่โดดเด่น แต่ก็กระตุ้นความอิจฉาอย่างยิ่ง ความรุ่งโรจน์อันโชติช่วงแผ่ออกมาจากพระพักตร์ของพระองค์ พระเนตรของพระองค์แวววาว และดูเหมือนว่าเป็นเพราะความสว่างในพระเนตรของพระองค์นั่นเอง ผู้คนจึงมองเห็นพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์อย่างชัดเจน  ผู้คนครั่นคร้าม และพวกเขามองเห็นฉลองพระองค์สีขาวบนพระกายของพระองค์ และพระเกศาของพระองค์ สีขาวดุจขนแกะ ยาวลงมาถึงพระอังสาของพระองค์  ที่สะดุดตาคือ สายคาดสีทองที่พระอุระของพระองค์ฉายความสว่างอันเจิดจ้า ในขณะที่ฉลองพระบาทที่พระบาทของพระองค์ยิ่งน่าประทับใจมากกว่าเสียอีก  และเนื่องจากฉลองพระบาทที่บุตรมนุษย์สวมใส่ยังคงอยู่ดีท่ามกลางไฟนั้น ผู้คนจึงเชื่อว่าฉลองพระบาทนั้นน่าอัศจรรย์  มีเพียงในระหว่างที่เกิดความเจ็บปวดเท่านั้น ผู้คนจึงมองเห็นพระโอษฐ์ของบุตรมนุษย์  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางกระบวนการถลุงแห่งไฟ แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจพระวจนะจากพระโอษฐ์ของบุตรมนุษย์ และด้วยเหตุนั้น ในชั่วขณะนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ยินพระสุรเสียงอันน่าอภิรมย์ของบุตรมนุษย์อีก แต่กลับมองเห็นดาบคมที่บรรจุอยู่ภายในพระโอษฐ์ของพระองค์ และพระองค์ไม่ดำรัสอันใดอีก แต่ดาบของพระองค์ทำร้ายมนุษย์  เมื่อถูกเปลวเพลิงปิดล้อม ผู้คนก็สู้ทนความเจ็บปวด  เนื่องแต่ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา พวกเขาจึงมองการทรงปรากฏที่เหนือธรรมดาของบุตรมนุษย์ต่อไป และเฉพาะในชั่วขณะนี้เท่านั้นที่พวกเขาค้นพบว่าดาวเจ็ดดวงในพระหัตถ์ของพระองค์ได้อันตรธานไปแล้ว  เนื่องจากบุตรมนุษย์ทรงอยู่ในเตาหลอม และมิได้ประทับบนแผ่นดินโลก ดาวเจ็ดดวงในพระหัตถ์ของพระองค์จึงถูกเอาไปเสีย เพราะดาวเหล่านั้นเป็นเพียงคำอุปมา  ในชั่วขณะนี้เอง ดาวเหล่านั้นก็ไม่ถูกกล่าวถึงอีกต่อไป แต่ถูกจัดสรรให้กับส่วนต่างๆ ของบุตรมนุษย์  ในความทรงจำของผู้คนนั้น การดำรงอยู่ของดาวเจ็ดดวงนำมาซึ่งความไม่สบายใจ  วันนี้ เราไม่ทำให้สิ่งทั้งหลายยากลำบากสำหรับมนุษย์อีกต่อไป เราเอาดาวเจ็ดดวงนั้นไปจากบุตรมนุษย์ และรวมทุกส่วนของบุตรมนุษย์เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว  มีเพียงในชั่วขณะนี้เท่านั้นที่มนุษย์สามารถมองเห็นการปรากฏทั้งหมดทั้งมวลของเรา  ผู้คนจะไม่แยกวิญญาณของเราออกจากเนื้อหนังของเราอีกแล้ว เพราะเราได้ขึ้นจากแผ่นดินโลกไปยังที่สูงแล้ว  ผู้คนได้มองเห็นใบหน้าอันแท้จริงของเรา พวกเขาไม่แยกเราออกเป็นส่วนๆ อีกต่อไป และเราไม่ต้องสู้ทนการให้ร้ายของมนุษย์อีกต่อไป  เนื่องจากเราเดินเข้าไปในเตาหลอมอันใหญ่เคียงข้างมนุษย์ เขาจึงยังคงพึ่งพาเรา เขาสำนึกรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเราด้วยจิตสำนึกของเขา  ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมดที่เป็นทองคำบริสุทธิ์จึงค่อยๆ รวมเข้ากับเราท่ามกลางการเผาไหม้ของไฟ ซึ่งเป็นชั่วขณะเดียวกันกับที่แต่ละสิ่งถูกแบ่งไปตามประเภท  เราจัดจำแนก “โลหะ” แต่ละชนิด อันเป็นเหตุให้พวกเขาทั้งหมดหวนคืนไปสู่ครอบครัวของพวกเขา และบัดนี้เท่านั้นที่ทุกสรรพสิ่งเริ่มที่จะฟื้นตัว…

เป็นเพราะมนุษย์แปดเปื้อนยิ่งนัก เราจึงโยนเขาเข้าไปเผาในเตาหลอม  กระนั้นเขาก็ไม่ได้ถูกเปลวเพลิงกำจัดไปสิ้น แต่กลับได้รับการถลุง เพื่อที่เราอาจมีความหรรษายินดีในตัวเขา—เพราะสิ่งที่เราต้องการคือบางสิ่งบางอย่างที่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ ปราศจากมลทิน ไม่ใช่สิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนทั้งหลาย  ผู้คนไม่เข้าใจอารมณ์ของเรา ดังนั้น ก่อนที่จะปีนขึ้นไปบน “เตียงผ่าตัด” พวกเขาจึงถูกความกังวลรุมเร้า ราวกับว่าหลังจากชำแหละพวกเขาแล้ว เราจะฆาตกรรมพวกเขาตรงนั้นทันทีขณะที่พวกเขานอนอยู่บนเตียงผ่าตัดนั่นเอง  เราเข้าใจอารมณ์ของผู้คน และด้วยเหตุนี้เราจึงดูเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งของมวลมนุษย์  เรามีความสงสารอย่างยิ่งต่อ “โชคร้าย” ของมนุษย์  และเราไม่รู้ว่าเหตุใดมนุษย์จึงได้ “ล้มป่วย”  หากเขาสุขภาพดี และไม่มีความพิการ จะมีความจำเป็นอันใดให้ต้องจ่ายราคา และต้องใช้เวลาอยู่บนเตียงผ่าตัด?  แต่ข้อเท็จจริงไม่สามารถถูกเพิกถอนได้—ผู้ใดบอกมนุษย์ว่าอย่าให้ความสนใจกับ “สุขลักษณะของอาหาร”?  ผู้ใดบอกมนุษย์ว่าอย่าให้ความสนใจกับการมีสุขภาพดี?  วันนี้ เรามีวิธีการอื่นใดหรือ?  เพื่อแสดงความสงสารที่เรามีต่อมนุษย์ เราจึงเข้า “ห้องผ่าตัด” พร้อมกับเขา—แล้วผู้ใดบอกเราให้รักมนุษย์?  ด้วยเหตุนี้ เราจึงหยิบ “มีดผ่าตัด” ขึ้นมาและเริ่ม “ผ่าตัด” มนุษย์ด้วยตัวเราเองเพื่อป้องกันผลสืบเนื่องใดๆ  เนื่องแต่ความรักภักดีที่เรามีต่อมนุษย์ ผู้คนจึงหลั่งน้ำตาท่ามกลางความเจ็บปวดเพื่อแสดงความสำนึกรู้คุณที่พวกเขามีต่อเรา  ผู้คนเชื่อว่าเราให้คุณค่ากับความจงรักภักดีต่อพวกพ้อง ว่าเราจะให้ความช่วยเหลือเมื่อ “มิตร” ของเราตกอยู่ในความลำบากยากเย็น และผู้คนถึงกับสำนึกรู้คุณต่อความใจดีมีเมตตาของเรามากขึ้น และกล่าวว่าพวกเขาจะส่ง “ของขวัญ” ให้เราเมื่อพวกเขาหายจากความเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว—แต่เราไม่ใส่ใจในการแสดงออกถึงความตั้งใจเช่นนั้น และกลับมุ่งความสนใจไปที่การผ่าตัดมนุษย์แทน  เนื่องแต่ความอ่อนแอทางกายของมนุษย์ ภายใต้ผลของคมมีด เขาจึงปิดตาแน่นและนอนตะลึงอยู่บนเตียงผ่าตัด—กระนั้นเราก็ไม่สนใจ เราเพียงแต่ทำงานที่อยู่ในมือต่อไป  เมื่อการผ่าตัดแล้วเสร็จ ผู้คนก็รอดพ้นจาก “ปากเสือ” และเราบำรุงเลี้ยงพวกเขาด้วยสารอาหารอันอุดม และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้การนี้ แต่สารอาหารภายในตัวพวกเขาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น  เมื่อนั้นเราจึงยิ้มให้พวกเขา และพวกเขาก็มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเราอย่างชัดเจนหลังจากที่พวกเขาฟื้นคืนสุขภาพของพวกเขาแล้วเท่านั้น และดังนั้นพวกเขาจึงรักเรามากขึ้น พวกเขาถือว่าเราเป็นเสมือนบิดาของพวกเขา—และนี่มิใช่ความเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลกหรอกหรือ?

4 พฤษภาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 38

ถัดไป: บทที่ 40

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger