บทที่ 35
เราได้เริ่มดำเนินงานของเราจนเสร็จสิ้นท่ามกลางมวลมนุษย์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้คนดำรงชีวิตในกระแสเดียวกันกับเรา เมื่อเราทำงานของเราเสร็จสิ้น เราจะยังคงอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ เนื่องจากพวกเขาเป็นสิ่งที่ได้รับการบริหารจัดการตลอดแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของเรา และเรามีความปรารถนาให้พวกเขากลายเป็นเจ้านายของทุกสรรพสิ่ง ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงเดินท่ามกลางมวลมนุษย์ต่อไป ขณะที่มวลมนุษย์และเราเข้าสู่ยุคปัจจุบัน เรารู้สึกสบายใจมาก เพราะความเร็วของงานของเราได้เพิ่มสูงขึ้น พวกมนุษย์จะสามารถตามทันได้อย่างไร? เราได้ทำงานมากมายกับผู้คนที่มึนชาและหัวทึบ ถึงกระนั้นพวกเขาก็แทบจะไม่ได้รับสิ่งใดเพราะพวกเขาไม่ทะนุถนอมเรา เราได้พักอาศัยท่ามกลางผู้คนทั้งหมดและได้สังเกตการณ์ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่ว่าพวกเขาอาจจะอยู่ที่ใด ทั้งบนพื้นดินและใต้ดิน พวกที่ถูกจำแนกประเภทในฐานะ “พวกมนุษย์” ทั้งหมดกำลังต้านทานเรา ราวกับว่า “การต้านทานเรา” ได้เป็นการงานของมนุษย์ ราวกับว่าการไม่ทำการงานนี้จะเป็นเหตุให้พวกเขากลายเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนที่ไม่มีผู้ใดรับเลี้ยง อย่างไรก็ตาม เราไม่ตัดสินโทษผู้คนอย่างไร้กฎเกณฑ์บนพื้นฐานของการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขา เรากลับสนับสนุนและจัดเตรียมให้พวกเขาโดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของพวกเขาเสียมากกว่า เพราะพวกมนุษย์เป็นตัวละครศูนย์กลางของแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของเรา เราจึงให้การนำมากขึ้นแก่บรรดาผู้ที่ได้รับเลือกให้เล่นบทบาทของ “มนุษย์” เพื่อที่พวกเขาอาจเล่นบทบาทนั้นอย่างสุดหัวใจและสุดความสามารถของพวกเขา และดังนั้น การแสดงที่เรากำลังกำกับนี้จะเป็นความสำเร็จที่เร้าใจ นี่คือคำวิงวอนของเราต่อมวลมนุษย์ หากเราไม่ได้อธิษฐานเพื่อมวลมนุษย์ พวกเขาจะไม่สามารถเล่นบทบาทของพวกเขาได้หรือ? เช่นนั้นแล้วมันจะเป็นกรณีที่เราสามารถทำสิ่งที่ผู้คนขอให้เราทำให้สำเร็จลุล่วงได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งที่เราขอให้พวกเขาทำให้สำเร็จลุล่วงได้หรือ? สามารถกล่าวได้ว่าเราไม่ใช้อานุภาพของเราเพื่อบีบคั้นมวลมนุษย์ แต่นี่คือคำขอร้องสุดท้ายของเราแทน ซึ่งเราอ้อนวอนต่อพวกเขาอย่างจริงจังตั้งใจและจริงใจทั้งสิ้น พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งที่เราขอได้อย่างแท้จริงหรือ? เราได้กำลังให้แก่ผู้คนเป็นเวลาหลายปีแล้ว ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รับสิ่งใดเป็นการตอบแทน ผู้ใดได้เคยให้สิ่งใดแก่เรา? โลหิต หยาดเหงื่อ และน้ำตาของเราเป็นเหมือนหมอกภูเขาหรือ? เราได้ให้ “การฉีดวัคซีน” แก่ผู้คนหลายครั้ง และได้บอกพวกเขาว่าข้อพึงประสงค์ของเราต่อพวกเขาไม่ได้เข้มงวด เช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงหลีกเลี่ยงเราเนืองๆ? มันเป็นเพราะเราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเยี่ยงลูกไก่ ซึ่งจะถูกฆ่าทันทีที่พวกมันถูกจับหรือ? เราโหดเหี้ยมและไร้มนุษยธรรมเหลือเกินจริงๆ หรือ? พวกมนุษย์ประเมินวัดเราด้วยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองเสมอ เราเป็นเช่นเดียวกันกับที่เราเป็นในฟ้าสวรรค์ขณะที่เราอยู่ในมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาหรือไม่? เราไม่พิจารณามโนคติที่หลงผิดของผู้คนว่าเป็นวัตถุเพื่อความชื่นชมยินดีของเรา แต่เรากลับมองเห็นหัวใจของพวกเขาในฐานะสิ่งทั้งหลายที่จะเลื่อมใสเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกฉุนเฉียวมากกับมโนธรรมของพวกเขา เพราะในความคิดของพวกเขา เราเองก็ไม่มีมโนธรรม เพราะฉะนั้น เราจึงมีความคิดเห็นเพิ่มขึ้นมากมายเกี่ยวกับมโนธรรมของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์มโนธรรมของพวกเขาโดยตรง แต่เรากลับนำทางพวกเขาต่อไปอย่างทรหดอดทนและอย่างเป็นระบบเสียมากกว่า จะว่าไปแล้ว พวกมนุษย์อ่อนแอ และไม่สามารถทำงานใดๆ ได้
วันนี้เราก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่งการตีสอนที่ไร้เขตคั่นซึ่งเราได้ชื่นชมพร้อมกับมวลมนุษย์อย่างเป็นทางการ ด้วยมือของเรา เรายังออกคำบัญชาอีกด้วย และภายใต้การบัญชาการของเรา มวลมนุษย์มีความประพฤติดี ไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านเรา ทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของเรา ดำเนินงานที่เราได้มอบหมายให้จนเสร็จสิ้น เนื่องจากนี่คือ “การงาน” ของพวกเขา ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในฟ้าสวรรค์และใต้ฟ้าสวรรค์ ผู้ใดไม่นบนอบต่อแผนการทั้งหลายของเรา? ผู้ใดไม่อยู่ในการคว้าจับของเรา? ผู้ใดไม่เปล่งคำสรรเสริญและคำยกย่องสำหรับวจนะของเราและงานของเรา? พวกมนุษย์เลื่อมใสกิจการและการกระทำของเรา และดังนั้น เพราะทุกการเคลื่อนไหวของเรา พวกเขาจึงเทตัวพวกเขาเองลงสู่กระแสแห่งงานของเรา ผู้ใดสามารถปลดปล่อยตัวพวกเขาเองให้เป็นอิสระได้? ผู้ใดสามารถรอดพ้นจากงานที่เราได้จัดการเตรียมการ? โดยประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา พวกมนุษย์ถูกบีบให้ยอมพักอยู่ หากไม่มีมัน พวกเขาทั้งหมดก็จะได้แอบกลับมาจาก “แนวหน้า” และกลายเป็น “ทหารหนีทัพ” ผู้ใดไม่กลัวความตาย? ผู้คนสามารถเอาชีวิตของพวกเขาไปเสี่ยงได้อย่างแท้จริงหรือ? เราไม่ได้นำมาบังคับใช้กับผู้ใดเพราะเราได้รับความเข้าใจอย่างถ้วนทั่วในธรรมชาติของมนุษย์มานานแล้ว ด้วยเหตุนั้น เราได้กำลังรับภาระโครงการทั้งหลายที่ผู้คนไม่เคยได้ทำมาก่อนเสมอ เพราะไม่มีผู้ใดจะสามารถทำงานของเราจนเสร็จสิ้นได้ เราจึงได้ก้าวเท้าเดินไปบนสนามรบด้วยตนเอง เพื่อมีส่วนร่วมในการดิ้นรนต่อสู้แห่งความเป็นและความตายกับซาตาน ทุกวันนี้ ซาตานกำลังอาละวาดอย่างสุดขั้ว เหตุใดเราไม่ใช้โอกาสนี้เพื่ออวดจุดมุ่งเน้นของงานของเราและเปิดเผยอานุภาพของเรา? อย่างที่เราได้เคยพูดไว้ก่อนหน้า เราใช้กลอุบายของซาตานเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นของเรา นี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีที่สุดหรือ? บัดนี้เท่านั้นที่เราเปิดเผยรอยยิ้มแห่งความสมดังใจหมาย เนื่องจากเราได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเราแล้ว เราจะไม่วิ่งวุ่นและขอให้พวกมนุษย์ “ช่วยเหลือ” อีกต่อไป เราได้หยุดกระวีกระวาด และไม่ดำรงชีวิตของคนเร่ร่อนอีกต่อไป จากนี้ไป เราจะดำรงชีวิตในสันติสุข พวกมนุษย์จะปลอดภัยหายห่วงเช่นเดียวกัน เนื่องจากวันของเราได้มาถึงแล้ว บนแผ่นดินโลก เราได้ดำเนินชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายของมนุษย์ ชีวิตซึ่งในนั้นความอยุติธรรมมากมายดูเหมือนจะได้เกิดขึ้น ในสายตาของพวกมนุษย์ เราได้แบ่งปันความชื่นบานและความโศกเศร้าของพวกเขา ตลอดจนความทุกข์ยากของพวกเขา เหมือนกับพวกมนุษย์ เราก็ได้ดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกและใต้ฟ้าสวรรค์ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงได้มองเห็นเราในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เราสร้างเสมอ เพราะพวกมนุษย์ไม่ได้มองเห็นเราเช่นที่เราเป็นในฟ้าสวรรค์ พวกเขาจึงไม่เคยได้สละความพยายามมากมายในนามของเรา อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ของวันนี้ ผู้คนไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับว่าเราเป็นองค์เจ้านายแห่งชะตากรรมของพวกเขาและเป็นผู้พูดซึ่งกำลังปราศรัยจากก้อนเมฆ เพราะฉะนั้น พวกมนุษย์จึงได้แตะศีรษะของพวกเขากับพื้นดินเบื้องหน้าเราเพื่อนมัสการ นี่ไม่ใช่ข้อพิสูจน์การกลับมาอย่างมีชัยของเราหรือ? นี่ไม่ใช่การพรรณนาถึงชัยชนะของเราเหนือกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรทั้งหมดหรือ? ผู้คนทั้งหมดได้มีลางสังหรณ์ว่าโลกกำลังมาถึงบทอวสาน ว่ามนุษยชาติจะก้าวผ่านการชำระให้สะอาดครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งที่เราขอต่อพวกเขาอย่างรู้สึกตัวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากร่ำไห้ภายใต้การตีสอนของเรา สามารถทำสิ่งใดได้? ผู้ใดได้บอกให้พวกมนุษย์ไม่เชื่อฟัง? ผู้ใดได้บอกให้พวกเขาเข้าสู่ยุคสุดท้าย? เหตุใดพวกเขาจึงได้เกิดในโลกมนุษย์ในยุคสุดท้าย? ทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดการเตรียมการและวางแผนโดยเราเอง ผู้ใดสามารถเปล่งคำร้องทุกข์ได้?
ตั้งแต่การสร้างโลก เราได้ท่องไปท่ามกลางมวลมนุษย์ เป็นเพื่อนร่วมทางกับพวกเขาในการดำรงอยู่ทางโลกของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในรุ่นก่อนๆ เราไม่เคยได้เลือกบุคคลใดแม้แต่คนเดียว ทั้งหมดได้ถูกจดหมายเงียบของเราบอกปัด นี่เป็นเพราะผู้คนในอดีตไม่ได้รับใช้เราเพียงผู้เดียว ดังนั้นเราจึงไม่ได้รักพวกเขาเพียงผู้เดียวเป็นการตอบแทน พวกเขาได้รับเอา “ของขวัญ” ของซาตาน และจากนั้น ได้หันกลับและได้มอบสิ่งเหล่านั้นให้เรา นี่ไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายสีเราหรือ? และขณะที่พวกเขาได้ทำการถวายของพวกเขา เราก็ไม่ได้เปิดเผยความขยะแขยงของเรา แต่เรากลับได้เปลี่ยนอุบายของพวกเขาให้เป็นการใช้งานของเราเองโดยเพิ่มเติม “ของขวัญ” เหล่านี้ไปที่วัสดุแห่งการบริหารจัดการของเรา ต่อมา ครั้นพวกมันได้ถูกแปรรูปโดยเครื่องจักร เราย่อมจะเผาสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน ในยุคปัจจุบัน พวกมนุษย์ไม่ได้ถวาย “ของขวัญ” มากมายให้แก่เรา ถึงกระนั้นเราก็ไม่ตำหนิพวกเขาสำหรับการนี้ ผู้คนเหล่านี้ได้อัตคัดขัดสนและมือว่างเปล่าเสมอมา ด้วยเหตุนั้น เมื่อได้สังเกตการณ์ความเป็นจริงของสถานการณ์ของพวกเขาแล้ว เราก็ไม่เคยได้ทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้ข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลใดๆ ตั้งแต่เราได้มายังโลกมนุษย์ ตรงกันข้าม หลังจากให้ “วัสดุ” แก่พวกเขา เราก็ได้แสวงหา “ผลิตภัณฑ์ที่เสร็จแล้ว” ซึ่งเราต้องการเสียมากกว่า เนื่องจากนี่คือขอบข่ายของสิ่งที่มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ เราได้ใช้เวลาหลายปีเหลือเกินในความยากลำบาก เพื่อเรียนรู้ว่าสิ่งใดคือความหมายของการดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์ ก่อนที่จะทำข้อเรียกร้องที่เหมาะสม หากเราไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์ เราจะสามารถได้เข้าใจเรื่องต่างๆ ที่ผู้คนพบว่าลำบากยากเย็นที่จะหารือได้อย่างไร? แม้กระนั้นก็ตาม พวกมนุษย์ไม่เห็นเช่นนั้น พวกเขาพูดว่าเราเป็นพระเจ้าผู้ทรงเหนือธรรมชาติ ทรงฤทธานุภาพทั้งหมดพระองค์เอง นี่ไม่ใช่มโนคติที่หลงผิดที่พวกมนุษย์ทั้งหมดได้เก็บงำไว้อย่างแน่นอนตลอดประวัติศาสตร์ ที่พวกเขาเก็บงำไว้แม้แต่ในวันนี้หรือไม่? เราได้พูดว่าบนแผ่นดินโลก ไม่มีผู้ใดที่สามารถรู้จักเราอย่างแท้จริงและอย่างเต็มเปี่ยม ข้อสังเกตนี้มีนัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของมัน มันไม่ใช่เพียงแค่การพูดลอยๆ เราได้ผ่านประสบการณ์และสังเกตการณ์การนี้ด้วยตัวเราเอง ดังนั้นเราจึงมีความเข้าใจในรายละเอียด หากเราไม่ได้ลงมาที่โลกมนุษย์แล้วไซร้ ผู้ใดจะมีโอกาสที่จะรู้จักเรา? ผู้ใดจะสามารถฟังวจนะของเราด้วยตนเอง? ผู้ใดจะสามารถมองเห็นรูปทรงของเราท่ามกลางพวกเขา? ตลอดยุคทั้งหลาย เรายังคงได้ซ่อนเร้นในก้อนเมฆเสมอมา ก่อนหน้านั้น เราได้ทำการพยากรณ์ไว้ว่า “เราจะลงมาที่โลกมนุษย์ในยุคสุดท้ายเพื่อทำหน้าที่เป็นแบบอย่างที่ดีของพวกเขา” นี่คือสาเหตุที่ผู้คนของวันนี้เท่านั้นมีความโชคดีที่สามารถขยายเส้นขอบฟ้าของพวกเขาให้กว้างขึ้นได้ นี่ไม่ใช่ความใจดีมีเมตตาที่เราได้มอบให้แก่พวกเขาหรือ? พวกเขาจะไม่สามารถเข้าใจพระคุณของเราจริงๆ หรือ? เหตุใดมนุษย์จึงมึนชาและหัวทึบเหลือเกิน? พวกเขาได้มาไกลเพียงนี้แล้ว เหตุใดพวกเขาจึงยังคงไม่ได้ตื่นขึ้น? เราได้อยู่ในพิภพนี้เป็นเวลาหลายปี แต่ผู้ใดรู้จักเรา? ไม่น่าแปลกใจที่เราตีสอนผู้คน ดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นวัตถุซึ่งรองรับการใช้สิทธิอำนาจของเรา ดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นลูกกระสุนในปืนของเรา ซึ่งทั้งหมดจะ “รอดพ้น” เมื่อได้ถูกยิงออกไปแล้ว ผู้คนจินตนาการว่ามันเป็นเช่นนั้น เราได้เคารพพวกมนุษย์เสมอมา เราไม่เคยได้ใช้ประโยชน์พวกเขาอย่างไร้กฎเกณฑ์หรือค้าขายพวกเขาเยี่ยงทาส นี่เป็นเพราะเราไม่สามารถทิ้งพวกเขา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถทิ้งเรา ด้วยเหตุนั้น พันธนาการแห่งชีวิตและความตายจึงได้ก่อร่างขึ้นระหว่างเรา เราได้ทะนุถนอมมวลมนุษย์เสมอมา ถึงแม้ว่ามวลมนุษย์ไม่เคยได้ทะนุถนอมเรา แต่พวกเขาก็หวังพึ่งเราเสมอ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เราสละความพยายามให้กับพวกเขาต่อไป เรารักผู้คนเหมือนสมบัติล้ำค่าของเราเอง เพราะพวกเขาเป็น “ทุน” ของการบริหารจัดการของเราบนแผ่นดินโลก เพราะฉะนั้น เราจะไม่ขับพวกเขาออกไปอย่างแน่นอน เจตจำนงของเราต่อพวกมนุษย์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พวกเขาสามารถไว้วางใจในคำปฏิญาณของเราอย่างแท้จริงได้หรือ? พวกเขาสามารถทำให้เราพึงพอใจเพื่อประโยชน์แห่งเราได้อย่างไร? นี่คือกิจที่ได้ถูกกำหนดไว้สำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง มันคือ “การบ้าน” ที่เราได้มอบหมายให้พวกเขา มันคือความหวังของเราที่พวกเขาทั้งหมดจะทำงานหนักเพื่อทำสิ่งนั้นให้เสร็จสิ้น
23 เมษายน ค.ศ. 1992