บทที่ 10

จะว่าไปแล้ว ยุคแห่งราชอาณาจักรนั้นแตกต่างจากยุคทั้งหลายที่ผ่านมา  ยุคแห่งราชอาณาจักรไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิธีปฏิบัติตนของมนุษยชาติ ตรงกันข้าม เราลงมายังแผ่นดินโลกเพื่อดำเนินงานของเราให้เสร็จสิ้นด้วยตนเอง งานบางอย่างที่มนุษย์ทั้งไม่สามารถคิดฝันและไม่สามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้  หลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การสร้างโลก งานเป็นเพียงเรื่องการก่อร่างสร้างคริสตจักรเท่านั้น แต่คนเราไม่เคยได้ยินเรื่องการก่อร่างสร้างราชอาณาจักรเลย  แม้ว่าเราจะพูดเรื่องนี้ด้วยปากของเราเอง แต่มีใครรู้สาระของเรื่องนี้บ้างหรือไม่?  เราได้ลงมายังโลกของมนุษย์ครั้งหนึ่งและเฝ้าสังเกตและมีประสบการณ์กับความทุกข์ของพวกเขา แต่เราทำเช่นนั้นโดยไม่ได้ทำให้จุดประสงค์ของการประสูติเป็นมนุษย์ของเราลุล่วง  ทันทีที่การก่อร่างสร้างราชอาณาจักรเริ่มเดินหน้า เนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ของเราก็เริ่มปฏิบัติพันธกิจของเราอย่างเป็นทางการ นั่นคือ กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรได้เข้ารับอำนาจอธิปไตยของพระองค์อย่างเป็นทางการ  จากเรื่องนี้จะเห็นได้ชัดแจ้งว่าการเคลื่อนลงมายังโลกมนุษย์ของราชอาณาจักร—ซึ่งห่างไกลจากการเป็นเพียงการสำแดงให้เห็นภาพตามนั้นจริงๆ เท่านั้น—จึงเป็นหนึ่งในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจริง นี่คือแง่มุมหนึ่งของความหมายของวลีที่ว่า “ความเป็นจริงแห่งการปฏิบัติ”  มนุษย์ไม่เคยได้เห็นการกระทำการของเราแม้สักครั้ง อีกทั้งพวกเขาไม่เคยได้ยินถ้อยคำของเราแม้สักคำ  แม้ว่าพวกเขาได้เห็นการกระทำการของเราแล้ว พวกเขาจะได้ค้นพบอะไรเล่า?  และหากพวกเขาได้ยินเราพูดแล้ว พวกเขาจะได้จับใจความอะไรเล่า?  ทั่วทั้งโลก ทุกคนดำรงอยู่ในความกรุณาและความรักเมตตาของเรา แต่มนุษยชาติทั้งปวงนั้นอยู่ภายใต้การพิพากษาของเรา และอยู่ภายใต้บททดสอบของเราอีกด้วย  เราเปี่ยมปรานีและความรักต่อผู้คนแม้พวกเขาจะถูกทำให้เสื่อมทรามถึงระดับหนึ่งแล้วก็ตาม เราให้การตีสอนแก่พวกเขาแม้พวกเขาทุกคนจะยอมสยบอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์ของเราแล้วก็ตาม  อย่างไรก็ดี มีมนุษย์คนใดบ้างที่ไม่อยู่ท่ามกลางความทุกข์และกระบวนการถลุงที่เราได้ส่งไป?  ผู้คนมากมายยิ่งนักกำลังคลำผ่านความมืดหาความสว่าง และหลายคนยิ่งนักกำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างขมขื่นผ่านการทดสอบของพวกเขา  โยบมีความเชื่อ แต่เขาไม่ได้กำลังแสวงหาทางออกให้กับตัวเองหรอกหรือ?  แม้ว่าคนของเราสามารถตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญหน้าการทดสอบ แต่มีใครบ้างไหมที่ลึกลงไปแล้วก็มีความเชื่อเช่นกัน โดยไม่เอ่ยคำพูดออกมาดังๆ?  ตรงกันข้าม ไม่ใช่ว่าผู้คนกล่าวแสดงการเชื่อของพวกเขาในขณะที่ยังคงเก็บงำความสงสัยไว้ในหัวใจของพวกเขาหรอกหรือ?  ไม่มีมนุษย์คนใดที่ยืนหยัดในการทดสอบหรือที่นบนอบอย่างแท้จริงเมื่อกำลังถูกทดสอบ  หากเราไม่ได้ปิดบังใบหน้าของเราเพื่อหลีกเลี่ยงการมองโลกนี้แล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวลก็จะล้มลงภายใต้การจ้องมองที่เผาไหม้ของเรา เพราะเราไม่ขออะไรจากมนุษย์เลย

เมื่อการกล่าวทักทายราชอาณาจักรดังขึ้น—ซึ่งเป็นตอนที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวานขึ้นด้วย—เสียงนี้สั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เขย่าสวรรค์ชั้นสูงสุด และทำให้ความรู้สึกลึกในใจของมนุษย์ทุกคนสั่นไหว  เพลงสรรเสริญราชอาณาจักรดังกังวานขึ้นอย่างเป็นพิธีการในแผ่นดินแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นการพิสูจน์ว่าเราได้ทำลายชนชาตินั้นและได้สถาปนาราชอาณาจักรของเราแล้ว  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ราชอาณาจักรของเราได้รับการสถาปนาขึ้นบนแผ่นดินโลก  ณ ชั่วขณะนี้ เราเริ่มส่งทูตสวรรค์ของเราออกไปยังทุกๆ ชนชาติในโลกเพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นผู้เลี้ยงแก่บรรดาบุตรของเรา ผู้คนของเรา นี่ก็เพื่อให้เป็นไปตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของงานขั้นตอนต่อไปของเราด้วย  อย่างไรก็ตาม เรามายังที่ที่พญานาคใหญ่สีแดงนอนขดตัวอยู่ และแข่งขันกับมันด้วยตัวเอง  ทันทีที่มนุษย์ทั้งหมดมารู้จักเราในเนื้อหนังและสามารถเห็นกิจการของเราในเนื้อหนัง ถ้ำของพญานาคใหญ่สีแดงก็จะกลายเป็นขี้เถ้าและหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ในฐานะประชากรในราชอาณาจักรของเรา ในเมื่อเจ้าเกลียดพญานาคใหญ่สีแดงเข้ากระดูกดำ เจ้าก็ต้องทำให้หัวใจของเราพึงพอใจด้วยการกระทำของเจ้า และนำความละอายมาสู่พญานาคด้วยวิธีนี้  พวกเจ้าสำนึกรับรู้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงนั้นน่ารังเกียจ?  เจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงหรือไม่ว่ามันเป็นศัตรูของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร?  พวกเจ้ามีความเชื่ออย่างแท้จริงหรือไม่ว่าเจ้าสามารถเป็นคำพยานที่น่าอัศจรรย์ให้เราได้?  พวกเจ้ามีความมั่นใจอย่างแท้จริงหรือไม่ว่าพวกเจ้าสามารถเอาชนะพญานาคใหญ่สีแดงได้?  นี่คือสิ่งที่เราขอจากพวกเจ้า ทั้งหมดที่เราต้องการคือให้พวกเจ้าสามารถไปถึงขั้นตอนนี้ได้  พวกเจ้าจะสามารถทำตามนี้ได้หรือไม่?  เจ้ามีความเชื่อว่าเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลเรื่องนี้ได้หรือไม่?  มนุษย์สามารถทำอะไรได้กันแน่?  เราทำด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ?  ทำไมเราถึงบอกว่าเราลงไปด้วยตัวเองในสถานที่ที่มีการเข้าร่วมการสู้รบ?  สิ่งที่เราต้องประสงค์คือความเชื่อของพวกเจ้า ไม่ใช่ความประพฤติของพวกเจ้า  มนุษย์ทุกคนไม่สามารถเข้าใจวจนะของเราแบบตรงไปตรงมาได้ และกลับเพียงแค่เหลือบมองวจนะเหล่านั้นด้วยหางตาไปแทน  การนี้ได้ช่วยให้เจ้าสัมฤทธิ์เป้าหมายของเจ้าแล้วหรือไม่?  เจ้าได้มารู้จักเราด้วยวิธีนี้แล้วหรือไม่?  ด้วยความสัตย์จริง ในบรรดามนุษย์บนแผ่นดินโลก ไม่มีแม้สักคนที่สามารถมองหน้าเราตรงๆ ได้ และไม่มีแม้สักคนที่สามารถเข้าใจความหมายที่บริสุทธิ์และไร้สิ่งปลอมปนของวจนะของเราได้  ดังนั้น เราจึงเริ่มดำเนินโครงการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนบนแผ่นดินโลก เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของเราและทำให้หัวใจของผู้คนมีภาพที่แท้จริงของเรา  ด้วยวิธีนี้ เราจะนำยุคที่มโนคติที่หลงผิดมีอำนาจเหนือผู้คนไปถึงบทอวสาน

วันนี้ เราไม่เพียงกำลังลงมายังชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดงเท่านั้น แต่เรายังกำลังหันไปเผชิญหน้ากับทั่วทั้งจักรวาลอีกด้วย ทำให้สวรรค์ชั้นสูงสุดทั้งหมดทั้งมวลสั่นไหว  มีสถานที่ใดสักแห่งไหมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การพิพากษาของเรา?  มีสถานที่สักแห่งไหมที่ไม่ดำรงอยู่ภายใต้ความหายนะที่เรากระหน่ำลงไป?  ทุกที่ที่เราไป เราได้กระจาย “เมล็ดพันธุ์แห่งความวิบัติ” ทุกประเภทไว้แล้ว  นี่เป็นหนึ่งในวิธีทำงานของเรา และเป็นการกระทำเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่เราหยิบยื่นให้พวกเขายังคงเป็นความรักอย่างหนึ่ง  เราปรารถนาที่จะอนุญาตให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นอีกทำความรู้จักเราและสามารถเห็นเรา และในหนทางนี้จึงมายำเกรงพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งพวกเขาไม่อาจมองเห็นมาหลายปีเหลือเกิน แต่เป็นผู้ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงแล้ว ณ บัดนี้  อะไรหรือคือเหตุผลที่เราได้สร้างโลกขึ้นมา?  ทำไมหลังจากมนุษย์ได้กลายเป็นเสื่อมทราม เราจึงไม่ได้ทำลายล้างพวกเขาเสียให้สิ้น?  เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดใช้ชีวิตท่ามกลางความวิบัติด้วยเหตุผลอะไรเล่า?  อะไรคือจุดประสงค์ของเราในการรับสภาพมนุษย์?  เมื่อเรากำลังปฏิบัติงานของเรา มนุษย์ไม่เพียงเรียนรู้เฉพาะรสชาติของความขมขื่นเท่านั้น แต่ยังเรียนรู้รสชาติของความหวานอีกด้วย  จากผู้คนทั้งหมดในโลกนี้มีใครบ้างที่ไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ภายในพระคุณของเรา?  หากเราไม่ได้มอบพรด้านวัตถุให้กับมนุษย์แล้ว ใครเล่าในโลกจะสามารถชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ได้?  เป็นไปได้หรือไม่ว่าการยอมให้พวกเจ้าเข้าประจำที่ของพวกเจ้าในฐานะคนของเราคือพร?  หากเจ้าไม่ได้เป็นคนของเรา แต่กลับเป็นคนปรนนิบัติ พวกเจ้าจะไม่ดำรงอยู่ภายในพรของเราเช่นนั้นหรือ?  ไม่มีแม้สักคนท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถหยั่งถึงต้นกำเนิดของวจนะของเราได้  มนุษยชาตินั้น—แทนที่จะหวงแหนความล้ำค่าของตำแหน่งที่เราได้มอบแก่พวกเขา พวกเขาหลายคนเหลือเกินกลับบ่มเพาะความขุ่นเคืองในหัวใจเพราะสมญานาม “คนปรนนิบัติ” และหลายคนเหลือเกินหล่อเลี้ยงความรักที่มีต่อเราในหัวใจของพวกเขาเพราะสมญานาม “ประชากรของเรา”  ไม่ควรมีใครพยายามหลอกเรา ดวงตาของเรามองเห็นทุกอย่าง!  ใครเล่าท่ามกลางพวกเจ้าที่รับด้วยความเต็มใจ มีใครในหมู่พวกเจ้าบ้างที่นบนอบโดยบริบูรณ์?  หากการกล่าวทักทายราชอาณาจักรไม่ได้ดังขึ้น พวกเจ้าจะสามารถนบนอบอย่างแท้จริงจนถึงปลายทางหรือไม่?  สิ่งที่มนุษย์สามารถทำและคิดได้ และพวกเขาสามารถไปได้ไกลแค่ไหน—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเราได้กำหนดพิจารณาไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับการเผาไหม้ของเราในความสว่างของโฉมหน้าของเรา  ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งได้รับการดลใจจากกำลังใจของเรา กระตุ้นตัวพวกเขาเองให้ทะยานไปข้างหน้าในการแสวงหา  เมื่อกองกำลังของซาตานโจมตีคนของเรา เราก็อยู่ที่นั่นเพื่อผลักดันพวกมันกลับไป เมื่อแผนการร้ายของซาตานสร้างความหายนะในชีวิตของพวกเขา เราก็ส่งมันวิ่งแจ้นกลับไปในความแตกพ่าย เมื่อไปแล้วจะไม่กลับมาอีกเลย  บนแผ่นดินโลก วิญญาณชั่วทุกรูปแบบเดินเพ่นพ่านตลอดกาลเพื่อหาที่พักผ่อน และกำลังค้นหาซากศพมนุษย์ที่สามารถบริโภคได้อย่างไม่รู้จบ  คนของเรา!  เจ้าต้องยังคงอยู่ในการดูแลและการปกป้องของเรา  จงอย่าเหลวไหลเป็นอันขาด!  จงอย่าประพฤติตัวโดยไร้ความยั้งคิดเป็นอันขาด!  เจ้าควรมอบถวายความจงรักภักดีของเจ้าในบ้านของเรา และด้วยความจงรักภักดีเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถจัดให้มีการตีโต้เล่ห์เหลี่ยมของหมู่มารได้  ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นใด เจ้าไม่ควรประพฤติตัวเช่นที่เจ้าได้ทำในอดีต คือทำสิ่งหนึ่งต่อหน้าเราและทำสิ่งอื่นลับหลังเรา หากเจ้าทำตัวแบบนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อยู่ไกลออกไปจากการไถ่แล้ว  เราไม่ได้เอ่ยวจนะเช่นนี้มากเกินพอไปแล้วหรือ?  แน่นอนว่าเป็นเพราะธรรมชาติเก่าของมนุษยชาตินั้นไม่สามารถแก้ไขได้ เราจึงต้องให้มีการเตือนความจำแก่ผู้คนซ้ำๆ  จงอย่าเบื่อ!  ทั้งหมดที่เราพูดก็เพื่อให้แน่ใจในโชคชะตาของพวกเจ้า!  สถานที่ที่สามานย์และโสมมเป็นสิ่งที่ซาตานต้องการอย่างแน่นอน ยิ่งเจ้าสิ้นหวังที่จะได้รับการไถ่มากขึ้นเท่าใดและยิ่งเจ้าเหลวไหลมากขึ้นเท่าใด โดยปฏิเสธที่จะนบนอบต่อการยับยั้งชั่งใจ เช่นนั้นแล้ว วิญญาณที่มีมลทินเหล่านั้นก็จะยิ่งกอบโกยโอกาสให้ตัวพวกมันเองแทรกซึมเข้าไปในตัวเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  หากเจ้าได้มาถึงจุดนี้แล้ว ความจงรักภักดีของพวกเจ้าก็จะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากคำพูดพล่อยๆ ที่ปราศจากความเป็นจริงใดๆ แม้แต่น้อย และวิญญาณที่มีมลทินก็จะเขมือบปณิธานของพวกเจ้าลงไป และเปลี่ยนให้เป็นการกบฏและแผนการร้ายเยี่ยงซาตานเพื่อใช้ในการทำให้งานของเราหยุดชะงัก  จากตรงนั้น เจ้าสามารถถูกเราเฆี่ยนตีได้ไม่ว่าเวลาใด  ไม่มีใครเข้าใจถึงความรุนแรงของสถานการณ์นี้ ผู้คนทั้งหมดเพียงแค่ทำหูทวนลมกับสิ่งที่พวกเขาได้ยิน และไม่ระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย  เราจำไม่ได้ว่าสิ่งใดถูกทำไปแล้วในอดีต เจ้ายังคงรออย่างจริงจังให้เราผ่อนปรนต่อเจ้าด้วยการ “ลืม” อีกครั้งกระนั้นหรือ?  แม้ว่ามนุษย์ได้ต่อต้านเรา เราก็จะไม่ตำหนิพวกเขาด้วยเรื่องนี้ เพราะพวกเขามีวุฒิภาวะน้อยเกินไป และดังนั้น เราจึงไม่ได้ตั้งข้อเรียกร้องต่างๆ ที่สูงเกินไปกับพวกเขา  สิ่งที่เราพึงประสงค์ก็คือพวกเขาไม่เหลวไหล และพวกเขานบนอบต่อความยับยั้งชั่งใจ  แน่นอนว่ามันไม่ได้เกินความสามารถของพวกเจ้าที่จะสนองตอบข้อกำหนดนี้ ใช่หรือไม่?  ผู้คนส่วนใหญ่กำลังรอให้เราเปิดเผยความล้ำลึกต่างๆ มากขึ้นไปอีกเพื่อให้พวกเขาชื่นชมจนอิ่มตาของพวกเขา  อย่างไรก็ตาม ต่อให้เจ้ามาเข้าใจความล้ำลึกต่างๆ ทั้งหมดของสวรรค์แล้ว เจ้าจะทำอะไรได้กับความรู้นั้นกันแน่?  มันจะเพิ่มพูนความรักที่เจ้ามีต่อเราหรือไม่?  จะกระตุ้นความรักที่เจ้ามีต่อเราหรือไม่?  เราไม่ดูแคลนมนุษย์ อีกทั้งเราไม่กระทำการตัดสินพวกเขาอย่างเลินเล่อ  หากสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รูปการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงของมนุษย์ เราคงจะไม่มีวันสวมมงกุฎที่มีตราเช่นนี้ให้พวกเขาง่ายๆ อย่างนี้หรอก  จงคิดย้อนกลับไปในอดีต: เราได้ใส่ร้ายป้ายสีพวกเจ้ากี่ครั้งกันเล่า?  เราได้ดูแคลนพวกเจ้ากี่ครั้งกันเล่า?  เราได้เฝ้ามองพวกเจ้าโดยไม่คำนึงถึงรูปการณ์แวดล้อมจริงๆ ของพวกเจ้ากี่ครั้งกันเล่า?  กี่ครั้งแล้วที่ถ้อยคำของเราล้มเหลวที่จะเอาชนะพวกเจ้าได้อย่างสุดหัวใจ?  กี่ครั้งแล้วที่เราได้พูดโดยไม่เข้าถึงโสตประสาทส่วนลึกภายในตัวพวกเจ้า?  มีใครบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้อ่านวจนะของเราโดยไม่กลัวและสั่นเทา หวาดหวั่นอยู่ลึกๆ ว่าเราจะบดขยี้เจ้าลงไปในบาดาลลึก?  ใครเล่าไม่สู้ทนการทดสอบจากวจนะของเรา?  ภายในถ้อยคำของเรามีสิทธิอำนาจพำนักอยู่ แต่นี่ไม่ใช่เพื่อการกระทำการพิพากษาอันเลินเล่อต่อมนุษย์ ตรงกันข้าม เราใส่ใจต่อรูปการณ์แวดล้อมจริงๆ ของพวกเขา เราสำแดงความหมายที่มีอยู่โดยธรรมชาติในวจนะของเราต่อพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ  ในความเป็นจริงแล้ว มีผู้ใดบ้างที่สามารถระลึกรู้ฤทธานุภาพสูงสุดของเราในวจนะของเราได้?  มีผู้ใดบ้างที่สามารถเข้าใจทองคำอันบริสุทธิ์ที่สุดภายในวจนะของเรา?  เราได้กล่าววจนะไปแล้วกี่คำกัน?  มีผู้ใดได้หวงแหนความล้ำค่าของวจนะเหล่านั้นหรือไม่?

3 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 9

ถัดไป: เพลงเฉลิมราชอาณาจักร

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger