เส้นทาง… (5)

ในอดีต ไม่มีใครรู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตระหนักรู้เส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนิน  นั่นคือสาเหตุที่ผู้คนทำให้ตัวพวกเขาเองดูเขลาเฉพาะพระพักตร์พระจ้าเสมอ  กล่าวอย่างเป็นธรรมได้ว่าเกือบทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าไม่รู้จักพระวิญญาณ และความเชื่อของพวกเขายุ่งเหยิงและสับสน เห็นได้ชัดว่าผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้า และแม้ว่าปากของพวกเขาอาจพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระองค์ แต่โดยแก่นแท้แล้ว เมื่อดูความประพฤติของพวกเขา พวกเขาเชื่อในตัวพวกเขาเอง ไม่ใช่พระเจ้า  จากประสบการณ์จริงของเราเอง เราได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันให้แก่พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และจากภายนอกก็ดูเหมือนว่าผู้คนถูกบังคับให้ยอมรับรู้คำพยานของพระเจ้า แทบจะไม่สามารถกล่าวได้เลยว่าพวกเขาเชื่อว่าพระวิญญาณของพระเจ้าปราศจากความผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง  อย่างไรก็ตาม เรากล่าวว่าสิ่งที่ผู้คนเชื่อไม่ใช่บุคคลผู้นี้ นับประสาอะไรที่จะเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้า แต่กลับเชื่อในความรู้สึกของพวกเขาเอง  ด้วยการทำเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้เชื่อแต่ตัวพวกเขาเองเท่านั้นหรอกหรือ?  สิ่งที่เรากล่าวนี้จริง  เราไม่ได้กำลังตีตราผู้คน ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราต้องอธิบายให้ชัดเจน กล่าวคือ สำหรับผู้คนที่ได้รับการนำพามาจนถึงทุกวันนี้ การที่พวกเขามีความกระจ่างชัดหรือสับสนนั้นล้วนขึ้นอยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น  ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะควบคุมได้  นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราได้เอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงบังคับให้ผู้คนเชื่อ นี่คือวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจ และเป็นเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนิน  โดยแก่นแท้แล้ว ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อในผู้ใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบความรู้สึกชนิดหนึ่งแก่ผู้คนโดยการบังคับ ทำให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา  นั่นไม่ใช่วิธีที่เจ้าเชื่อหรอกหรือ?  เจ้าไม่รู้สึกว่าความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าเป็นสิ่งที่แปลกหรอกหรือ?  เจ้าไม่คิดว่าประหลาดหรือที่เจ้าไม่สามารถรอดพ้นจากกระแสนี้ได้?  เจ้ามิได้พยายามขบคิดเกี่ยวกับการนี้บ้างเลยหรือ?  นี่มิใช่หมายสำคัญและสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอกหรือ?  ต่อให้เจ้านึกอยากจะหนีไปให้พ้นมาหลายครั้งหลายครา แต่ก็มีพลังชีวิตอันทรงพลังที่ดึงดูดเจ้าเอาไว้และทำให้เจ้าลังเลที่จะเดินหนีไปเสมอมา  และทุกครั้งที่เจ้าตกอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น เจ้าก็เริ่มร่ำไห้และสะอึกสะอื้นทุกครั้ง ไม่รู้ว่าจะทำประการใดต่อไป  พวกเจ้าบางคนพยายามที่จะจากไปก็จริง แต่เมื่อเจ้าพยายามจะไปก็กลับรู้สึกเหมือนว่ามีมีดทิ่มแทงหัวใจของเจ้า รู้สึกเหมือนว่าดวงจิตของเจ้าถูกพรากไปจากเจ้าโดยผีทางโลกบางตน ทิ้งให้หัวใจของเจ้าทุรนทุรายและไร้สันติสุข  หลังจากนั้น เจ้าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจและกลับมาหาพระเจ้าอย่างช่วยไม่ได้… เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนหรอกหรือ?  เราไม่มีความสงสัยเลยว่าพี่น้องชายหญิงที่ยังหนุ่มยังสาวและสามารถเปิดใจของพวกเขา ย่อมจะกล่าวว่า “ใช่แล้ว!  ฉันเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาหลายครั้งเหลือเกิน ซึ่งทำให้ฉันละอายใจเมื่อนึกถึง!”  ในชีวิตประจำวันของเราเอง เรามีความสุขเสมอที่ได้ปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงที่ยังหนุ่มสาวของเราในฐานะเพื่อนสนิท เพราะมีความไร้เดียงสามากมายเหลือเกินในตัวพวกเขา—พวกเขาสะอาดบริสุทธิ์และดีงามยิ่งนัก  พวกเขาเป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางของเรา  นั่นคือเหตุผลที่เรามองหาโอกาสเสมอที่จะพาเพื่อนสนิททั้งหมดของเรามาคุยกันถึงอุดมคติของพวกเราและแผนการของพวกเรา  ขอน้ำพระทัยของพระเจ้าจงดำเนินไปในตัวพวกเราด้วย เพื่อที่พวกเราทั้งหมดจะได้เป็นเหมือนเลือดและเนื้อหนังเดียวกัน ไม่มีสิ่งขวางกั้นหรือระยะห่างระหว่างพวกเรา  ขอพวกเราทั้งหมดจงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า!  หากเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ พวกเราก็ขอวิงวอนให้พระองค์ประทานสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องให้แก่พวกเราด้วยเถิด เพื่อที่พวกเราอาจทำให้ความปรารถนาในหัวใจของพวกเราลุล่วง  ขอพระองค์กรุณาพวกเราผู้อ่อนวัยและขาดพร่องเหตุผล และเปิดโอกาสให้พวกเราได้ทุ่มเทพละกำลังภายในหัวใจของพวกเรา!”  เราวางใจว่านี่คือเจตนารมณ์ของพระเจ้า เพราะเมื่อนานมาแล้วเราได้อธิษฐานต่อพระเจ้าและกล่าวว่า “ข้าแต่พระบิดา!  พวกเราร้องเรียกพระองค์อยู่เสมอบนแผ่นดินโลก ปรารถนาให้น้ำพระทัยของพระองค์เสร็จสิ้นบนแผ่นดินโลกในไม่ช้านี้  ข้าพระองค์ขอแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์  ขอพระองค์ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ และโปรดทำให้พระบัญชาของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์ในตัวข้าพระองค์โดยเร็วด้วยเถิด  ข้าพระองค์เต็มใจด้วยซ้ำที่พระองค์จะทรงเปิดเส้นทางใหม่ในท่ามกลางพวกเรา หากนั่นหมายถึงการที่น้ำพระทัยของพระองค์จะลุล่วงในเร็ววัน!  ข้าพระองค์ขอเพียงให้พระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า และข้าพระองค์วางใจว่าจะไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ สามารถยับยั้งได้!”  เช่นนั้นคือพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้ เจ้ามองไม่เห็นเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินอยู่หรอกหรือ?  ทุกครั้งที่เราพบปะพี่น้องชายหญิงผู้อาวุโสกว่า เรามีสำนึกรับรู้ถึงการกดขี่อันสุดที่จะพรรณนาได้นี้  เมื่อเราพบปะพวกเขา เรามองเห็นว่าพวกเขามีแต่สังคม มโนคติอันหลงผิดทางศาสนาของพวกเขา ประสบการณ์ในการรับมือสิ่งต่างๆ ของพวกเขา ลักษณะการพูดจาของพวกเขา คำพูดที่พวกเขาใช้ และอื่นๆ—พวกเขามีแต่ชวนให้เคืองทั้งสิ้น  พวกเขาควรที่จะเปี่ยมไปด้วย “ปัญญา”  เรารักษาระยะให้ห่างจากพวกเขาที่สุดเท่าที่เราจะทำได้เสมอ เพราะสำหรับเราเป็นการส่วนตัวแล้ว เรามิได้มีปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตทางโลกติดตัว  ทุกครั้งที่เราพบปะผู้คนเหล่านี้ พวกเขาทำให้เราเหนื่อยล้า เหงื่อผุดทั่วศีรษะของเรา บางครั้งเราก็รู้สึกบีบคั้นมากจนเราแทบจะหายใจไม่ออก  ด้วยเหตุนี้เอง ในชั่วขณะที่หมิ่นเหม่จะมีภัยนี้ พระเจ้าก็ทรงมอบทางออกอันยิ่งใหญ่ให้แก่เรา  บางทีนั่นอาจจะเป็นเพียงความเห็นผิดของเรา  เราใส่ใจเพียงสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระเจ้าเท่านั้น การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าคือสิ่งสำคัญที่สุด  เราอยู่ห่างจากผู้คนเหล่านี้ แต่หากว่าพระเจ้าพึงประสงค์ให้เราพบปะพวกเขา เราก็ยังคงเชื่อฟัง  ไม่ใช่ว่าพวกเขาน่ารังเกียจ แต่ทว่า “ปัญญา” มโนคติอันหลงผิด และปรัชญาการดำเนินชีวิตทางโลกของพวกเขานั้นน่าชิงชังยิ่ง  เราอยู่ที่นั่นเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าเสร็จสมบูรณ์ ไม่ใช่เพื่อเรียนรู้วิธีการที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ  เราจำได้ถึงครั้งหนึ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราว่า “บนแผ่นดินโลกนั้น จงพยายามทำตามน้ำพระทัยพระบิดาของเจ้าและทำให้พระบัญชาของพระองค์เสร็จสมบูรณ์เท่านั้น  ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เจ้าต้องกังวล”  เมื่อนึกถึงการนี้ก็ทำให้เรามีสันติสุขเล็กน้อย  นั่นเป็นเพราะเรารู้สึกเสมอว่ากิจการของมนุษย์ช่างซับซ้อน เราไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องเหล่านั้นได้ และเราไม่เคยรู้เลยว่าจะต้องทำเช่นไร  ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงถูกทิ้งให้ว้าวุ่นอยู่หลายครั้งนับไม่ถ้วนเพราะการนี้ และเกลียดชังมวลมนุษย์เรื่อยมา เหตุใดผู้คนถึงต้องซับซ้อนนัก?  เหตุใดพวกเขาจึงเรียบง่ายไม่ได้?  เหตุใดจึงต้องพยายามทำตัวฉลาดปานนั้น?  เมื่อเราพบปะผู้คน ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปตามพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีแก่เรา  อาจมีบางคราที่ไม่ใช่กรณีเช่นนั้น แต่ใครจะรู้ได้ว่ามีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของเรา?

หลายครั้งที่เราได้ให้คำปรึกษาแก่พี่น้องชายหญิงที่อยู่กับเราว่าพวกเขาควรเชื่อในพระเจ้าด้วยหัวใจของพวกเขา ว่าพวกเขาไม่ควรมองหาผลประโยชน์ให้ตนเอง แต่ควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หลายครั้งที่เราร่ำไห้ด้วยความระทมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่าเหตุใดผู้คนจึงไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  แน่นอนว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถอันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีเหตุผลได้มิใช่หรือ?  แล้วเราก็ไม่รู้เหตุผลเช่นกันว่าเหตุใด—ซึ่งการนี้เกือบจะกลายเป็นปริศนาในจิตใจของเราไปแล้ว—ว่าเหตุใดผู้คนไม่เคยตระหนักถึงเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินอยู่ ทว่ากลับยังคงยึดเกาะสัมพันธภาพอันผิดปกติที่พวกเขามีกับผู้อื่น?  การได้เห็นผู้คนเยี่ยงนี้ทำให้เราพะอืดพะอม  แทนที่จะมองไปยังเส้นทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขากลับมุ่งเน้นไปที่ความประพฤติของมนุษย์แทน  เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะพึงพอพระทัยกับการนี้?  เรารู้สึกเศร้าใจเพราะการนี้อยู่บ่อยครั้ง  มันเกือบจะกลายเป็นภาระของเรา—และยังทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สบายพระทัยอีกด้วย  เจ้าไม่รู้สึกถึงความเสื่อมเสียใดๆ ในหัวใจของเจ้าเลยหรือ?  ขอพระเจ้าทรงเปิดดวงตาแห่งวิญญาณของพวกเราด้วยเถิด  หลายครั้งแล้วที่เราผู้นำทางผู้คนเข้าสู่พระราชกิจของพระเจ้า ได้อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า “โอ พระบิดา!  ข้าพระองค์ปรารถนาให้น้ำพระทัยของพระองค์เป็นแกนสำคัญ ข้าพระองค์เสาะแสวงน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพระองค์ขอให้ข้าพระองค์สัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระองค์ เพื่อที่พระองค์อาจทรงรับผู้คนกลุ่มนี้ไว้  ขอพระองค์ทรงพาพวกเราไปยังดินแดนแห่งอิสรภาพ เพื่อที่พวกเราอาจสัมผัสพระองค์ด้วยวิญญาณของพวกเรา และขอพระองค์ทรงปลุกความรู้สึกฝ่ายวิญญาณภายในหัวใจของพวกเราให้ตื่นขึ้น!”  เราปรารถนาให้น้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นผลสำเร็จ ด้วยเหตุนี้เราจึงอธิษฐานอย่างไม่ลดละให้พระวิญญาณของพระองค์ประทานความรู้แจ้งแก่พวกเราเรื่อยไป ให้พวกเราเดินบนเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ—ด้วยว่าเส้นทางที่เราเดินคือเส้นทางแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  แล้วจะมีผู้ใดเดินเส้นทางนี้แทนเราได้อีก?  นี่คือสิ่งที่ทำให้ภาระของเราถึงกับหนักอึ้งยิ่งขึ้น  เรารู้สึกราวกับว่าเรากำลังจะล้มลง แต่เรามีความเชื่อว่าพระเจ้าจะไม่มีวันประวิงเวลาแห่งพระราชกิจของพระองค์  บางทีพวกเราอาจจะแยกทางกันเพียงเมื่อพระบัญชาของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้วเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะผลกระทบจากพระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นได้ที่เรารู้สึกอยู่เสมอว่าเราแตกต่าง  เป็นราวกับว่ามีพระราชกิจที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะทำ แต่เรายังคงไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร  ถึงกระนั้นเราก็เชื่อใจว่าไม่มีใครบนแผ่นดินโลกที่จะดีไปกว่าเพื่อนสนิทของเรา และเราเชื่อใจว่าพวกเขาจะอธิษฐานให้กับเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งเราก็สำนึกรู้คุณอย่างสุดจะประมาณได้  เราปรารถนาให้พี่น้องชายหญิงกล่าวร่วมกับเราว่า “โอ พระเจ้า!  ขอน้ำพระทัยของพระองค์ได้สำแดงในตัวพวกเราอย่างเต็มที่ ผู้คนแห่งยุคสุดท้าย เพื่อที่พวกเราอาจได้รับพรเป็นชีวิตฝ่ายวิญญาณ และได้เห็นกิจการแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า และได้มองดูพระพักตร์เที่ยงแท้ของพระองค์!”  ทันทีที่พวกเราได้มาถึงขั้นนี้ พวกเราย่อมจะใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณอย่างแท้จริงแล้ว และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะสามารถมองดูพระพักตร์เที่ยงแท้ของพระเจ้าได้  ซึ่งหมายความว่าผู้คนจะสามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความจริงทั้งปวง ไม่ใช่ตามความเข้าใจหรือการจับใจความตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แต่ตามความรู้แจ้งเกี่ยวกับเจตนารมณ์แห่งพระวิญญาณของพระเจ้า  นี่คือพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่มีแนวคิดเยี่ยงมนุษย์อยู่ในนี้เลย เป็นแผนการแห่งพระราชกิจของพระองค์สำหรับกิจการที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำให้ประจักษ์ชัดบนแผ่นดินโลก และเป็นส่วนสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก  เจ้าปรารถนาที่จะเข้าร่วมในพระราชกิจนี้หรือไม่?  เจ้าต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจหรือไม่?  เจ้ามุ่งมาดปรารถนาที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และมีส่วนในชีวิตฝ่ายวิญญาณหรือไม่?

สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญในวันนี้คือการลงลึกให้มากขึ้นจากรากฐานดั้งเดิมของพวกเรา  พวกเราต้องลงลึกเข้าไปในความจริง นิมิต และชีวิตให้มากยิ่งขึ้น—แต่ก่อนอื่นเราต้องเตือนพี่น้องชายหญิงว่า เพื่อที่จะเข้าสู่พระราชกิจในขั้นนี้ เจ้าต้องละทิ้งมโนคติอันหลงผิดแต่เก่าก่อนของเจ้า  นั่นก็คือ เจ้าต้องเปลี่ยนวิถีทางที่เจ้าใช้ชีวิต วางแผนใหม่ กลับตัวเสียใหม่  หากเจ้ายังคงยึดติดอยู่กับสิ่งที่เคยล้ำค่าสำหรับเจ้าในเวลาที่ผ่านมา พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะไม่สามารถทรงพระราชกิจในตัวเจ้า และพระองค์แทบจะไม่สามารถรักษาชีวิตของเจ้าให้ยั่งยืนต่อไปได้  พวกที่ไม่ไล่ตามเสาะหา หรือเข้าสู่ หรือทำการวางแผนย่อมจะถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทอดทิ้งทั้งสิ้น—และดังนั้นจึงกล่าวกันว่าพวกเขาถูกยุคนี้ทอดทิ้ง เราหวังว่าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดจะสามารถเข้าใจหัวใจของเราได้ และเราหวังว่า “สมาชิกที่ถูกสรรหาเข้ามาใหม่” จะยืนหยัดเพื่อร่วมมือกับพระเจ้าในจำนวนที่มากขึ้นและช่วยกันทำให้งานนี้เสร็จสมบูรณ์  เราวางใจว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรพวกเรา  ด้วยเหตุนี้ เราจึงวางใจด้วยว่าพระเจ้าจะประทานมิตรสนิทให้แก่เรามากขึ้น เพื่อที่เราอาจเดินไปยังทั่วทุกมุมโลก และเพื่อที่จะมีความรักอันยิ่งใหญ่ขึ้นระหว่างพวกเรา  ยิ่งไปกว่านั้น เราวางใจว่าพระเจ้าจะทรงแผ่ขยายราชอาณาจักรของพระองค์เนื่องแต่ความพยายามของพวกเรา เราปรารถนาให้ความพยายามของพวกเรานี้ไปถึงระดับที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน เปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงรับคนหนุ่มสาวเอาไว้มากขึ้น  เราต้องการให้พวกเราใช้เวลาอธิษฐานให้กับการนี้มากขึ้น เราต้องการให้พวกเราอธิษฐานอย่างไม่ลดละ เพื่อให้พวกเราใช้ชีวิตทั้งมวลของพวกเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ขอจงอย่ามีสิ่งใดกางกั้นระหว่างพวกเราอีกเลย และขอพวกเราทั้งหมดจงกล่าวคำปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าดังนี้คือ พวกเราจะทำงานหนักร่วมกัน!  พวกเราจะจงรักภักดีจวบจนวาระสุดท้าย!  พวกเราจะไม่มีวันแยกจากกัน และจะอยู่ร่วมกันเสมอ!  เราหวังว่าพี่น้องชายหญิงทั้งหมดจะให้คำสัญญาดังนี้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อที่หัวใจของพวกเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และความมุ่งมั่นของพวกเราจะไม่มีวันสั่นคลอน!  เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า เราขอกล่าวอีกครั้งว่า ขอให้พวกเราจงทำงานอย่างหนัก!  ขอให้พวกเราเพียรพยายามอย่างสุดกำลังของพวกเรา!  พระเจ้าจะทรงอวยพรพวกเราอย่างแน่นอน!

ก่อนหน้า: เส้นทาง… (4)

ถัดไป: เส้นทาง… (6)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger