บทที่ 19

การใช้วจนะของเราเป็นพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของพวกเขา—นี่คือภาระผูกพันของมนุษย์  ในแต่ละส่วนแห่งวจนะของเรา ผู้คนต้องกำหนดส่วนที่พวกเขาเองจะนำไปใช้ การไม่ทำเช่นนั้นย่อมจะเป็นการแสวงหาการทำลายตัวพวกเขาเองและชวนให้เหยียดหยาม  มนุษยชาติไม่รู้จักเรา และเพราะเหตุนี้ แทนที่จะนำชีวิตของพวกเขาเองมาเสนอให้เราเป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งหมดที่พวกเขาทำกลับเป็นการเดินอวดต่อหน้าเราพร้อมกับขยะในมือทั้งสองของพวกเขา พยายามที่จะทำให้เราพึงพอใจด้วยการนั้น  อย่างไรก็ตาม แทนที่จะพึงพอใจกับสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่ เรากลับกำหนดข้อพึงประสงค์ต่อมนุษยชาติต่อไป  เรารักการเกื้อหนุนของผู้คน แต่เราเกลียดชังการเรียกร้องของพวกเขา  มนุษย์ทั้งปวงมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความละโมบ ราวกับว่าหัวใจของมนุษย์ถูกปีศาจครอบงำไว้ และไม่มีสักคนที่สามารถหลุดพ้นและมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่เราได้  เมื่อเราพูด ผู้คนรับฟังเสียงของเราด้วยความสนใจอันจดจ่อ แต่เมื่อเรานิ่งเงียบ พวกเขาก็เริ่ม “กิจการ” ของพวกเขาเองอีกครั้ง และเลิกใส่ใจในวจนะของเราโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าวจนะของเราเป็นเพียงส่วนเสริมให้กับ “กิจการ” ของพวกเขาเท่านั้น  เราไม่เคยหย่อนยานกับมนุษยชาติ กระนั้นเราก็อดทนและยอมผ่อนปรนให้กับมนุษยชาติ  และดังนั้น ผลที่ได้จากความปรานีของเราก็คือ มนุษย์ทั้งปวงประเมินตัวพวกเขาเองสูงเกินไป และไม่สามารถรู้จักตนเองและทบทวนตนเอง พวกเขาเพียงหาประโยชน์จากความอดทนของเราเพื่อหลอกลวงเรา  ไม่มีพวกเขาสักคนเดียวที่เคยเอาใจใส่เราอย่างจริงใจ และไม่มีสักคนเดียวที่ทะนุถนอมความล้ำค่าของเราอย่างแท้จริงดุจดังวัตถุซึ่งเป็นที่รักยิ่งแห่งหัวใจของพวกเขา เฉพาะเมื่อพวกเขามีช่วงเวลาว่างเหลืออยู่เท่านั้น พวกเขาจึงจะให้ความเอาใจใส่แบบพอเป็นพิธีแก่เรา  ความพยายามที่เราได้ทุ่มเทให้กับมนุษยชาตินั้นเกินที่จะประเมินวัดได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราได้ทำงานกับมนุษย์ในหนทางที่ไม่เคยมีมาก่อน และนอกจากนี้ เรายังมอบภาระเพิ่มเติมแก่พวกเขาเพื่อที่ว่าพวกเขาอาจได้รับความรู้บางอย่างจากสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น และก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย  เรามิได้ขอให้ผู้คนเป็นเพียง “ผู้บริโภค” เรายังขอให้พวกเขาเป็น “ผู้ผลิต” ที่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้เช่นกัน  แม้ว่าเราอาจจะไม่เรียกร้องให้มนุษยชาติทำสิ่งอันใด ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็มีมาตรฐานในข้อเรียกร้องที่เราทำ เพราะมีจุดประสงค์ในสิ่งที่เรากระทำ รวมทั้งหลักพื้นฐานสำหรับการกระทำของเรา กล่าวคือ เรามิได้ทำเล่นๆ  ส่งเดชดังที่ผู้คนจินตนาการ อีกทั้งเรามิได้ปั้นแต่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและวัตถุแห่งการสร้างมากมายเหลือคณานับด้วยวิธีใดก็ได้ตามที่เราปรารถนา  ในงานของเรา มนุษย์ควรมองเห็นบางสิ่ง และได้รับบางอย่าง  พวกเขาไม่ควรผลาญช่วงเวลาผลิบานแห่งวัยเยาว์ของพวกเขาให้หมดไปอย่างสูญเปล่า หรือปฏิบัติต่อชีวิตของพวกเขาเองเหมือนเสื้อผ้าที่ยอมให้ฝุ่นจับอย่างไม่เอาใจใส่ ในทางตรงกันข้าม พวกเขาควรยืนเฝ้าระวังรักษาตัวพวกเขาเองอย่างเข้มงวด โดยใช้ความไพบูลย์ของเราจัดเตรียมความชื่นชมยินดีของพวกเขาเอง จนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถหันกลับไปหาซาตานได้ก็เพราะเรา และพวกเขาบุกโจมตีซาตานก็เพราะเรา  ข้อเรียกร้องที่เรามีต่อมนุษยชาติมิได้เรียบง่ายถึงเพียงนี้หรอกหรือ?

เมื่อแสงระยิบริบหรี่ของความสว่างเริ่มปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก ผู้คนทั้งปวงภายในจักรวาลให้ความสนใจกับมันมากขึ้นเล็กน้อย  เมื่อไม่จมจ่อมอยู่ในการหลับใหลอีกต่อไป มนุษย์ก็มุ่งหน้าไปเฝ้าสังเกตแหล่งกำเนิดของความสว่างทางทิศตะวันออกนี้  เนื่องแต่ความสามารถอันจำกัดของพวกเขา จึงยังไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นตำแหน่งแห่งที่ที่ความสว่างนี้ถือกำเนิดขึ้น  เมื่อทั้งหมดภายในจักรวาลได้รับความกระจ่างอย่างเต็มที่ มนุษย์ก็ตื่นขึ้นจากการหลับฝัน และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าวันของเรามาถึงตัวพวกเขาแล้วทีละน้อย  มนุษยชาติทั้งปวงเฉลิมฉลองเพราะการมาถึงของความสว่าง และดังนั้นจึงไม่หลับลึกหรือสลบไสลกันอีกต่อไป  ภายใต้รัศมีแห่งความสว่างของเรา มนุษยชาติทั้งปวงกลายเป็นมีความรู้สึกนึกคิดและสายตาที่ชัดเจน  และตื่นขึ้นมาสู่ความชื่นบานยินดีของการมีชีวิตทันที  ภายใต้ผืนหมอกที่ห่อหุ้ม เรามองออกไปทั่วพิภพ  สัตว์ทั้งปวงกำลังหยุดพัก เนื่องแต่การมาถึงของแสงระยิบริบหรี่แห่งความสว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลายเป็นรู้สึกตัวว่าชีวิตใหม่กำลังใกล้เข้ามา  ด้วยเหตุนี้ สัตว์ทั้งปวงจึงคลานออกมาจากโพรงของพวกมันเพื่อหาอาหารด้วยเช่นกัน  แน่นอนว่าพืชก็ไม่เป็นข้อยกเว้น และในรัศมีของความสว่างนี้ ใบเขียวของพืชส่งประกายมันวาว พลางรอคอยที่จะเล่นบทของพวกมันเองเพื่อเราขณะที่เราอยู่บนแผ่นดินโลก  มนุษย์ทั้งปวงปรารถนาการมาถึงของความสว่างนี้ แต่ทว่าพวกเขาก็เกรงกลัวการมาถึงของมันเช่นกัน กระวนกระวายอยู่ลึกๆ ว่าความอัปลักษณ์ของพวกเขาเองจะไม่มีที่กำบังอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะมนุษย์นั้นเปลือยเปล่า และขาดพร่องสิ่งที่จะมาปิดบังพวกเขา  ดังนี้เอง ผู้คนมากมายเหลือเกินจึงได้ตกอยู่ในความตื่นตระหนกอันเป็นผลจากการมาถึงของความสว่าง และอยู่ในสภาวะเสียขวัญเพราะการปรากฏของความสว่าง  เมื่อมองเห็นความสว่าง ผู้คนมากมายเหลือเกินเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจอันไร้ขอบเขต ชิงชังความไม่สะอาดของพวกเขาเอง กระนั้นเมื่อไร้พลังอำนาจที่จะปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริง ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากรอให้เราประกาศคำพิพากษา  ผู้คนมากมายเหลือเกินที่ถูกความทุกข์อยู่ในความมืด เมื่อมองเห็นความสว่าง ก็พลันนึกรู้ความหมายอันลุ่มลึกของความสว่างนั้น และกอดความสว่างไว้แนบอกของพวกเขานับแต่นั้นมา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง  ผู้คนมากมายเหลือเกิน แทนที่จะถูกเหวี่ยงออกจากวงโคจรโดยการปรากฏอย่างฉับพลันของความสว่าง กลับเอาแต่วุ่นอยู่กับงานประจำวันในมือเพราะพวกเขามืดบอดมานานหลายปีแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงไม่เพียงไม่สังเกตเห็นว่าความสว่างมาถึงแล้วเท่านั้น แต่มิได้อิ่มเอมใจไปกับมันอีกด้วย  ในหัวใจของมนุษย์ เรามิได้สูงส่งอีกทั้งมิได้ต่ำต้อย  ในความคิดเห็นของพวกเขา ไม่ว่าเราดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่แตกต่างกัน ราวกับว่าชีวิตของผู้คนคงจะไม่โดดเดี่ยวยิ่งขึ้นหากว่าเรามิได้ดำรงอยู่ และหากเราดำรงอยู่ ชีวิตของพวกเขาก็คงจะไม่กลายเป็นชื่นบานมากขึ้น  เนื่องจากมนุษย์มิได้ทะนุถนอมเรา ความชื่นชมยินดีที่เรามอบให้พวกเขาจึงมีไม่มาก  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มนุษย์ให้ความรักบูชาแก่เรามากขึ้นแม้เพียงน้อยนิด เราก็จะทำการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เรามีต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ มีเพียงเมื่อมนุษย์จับความเข้าใจในธรรมบัญญัตินี้แล้วเท่านั้นพวกเขาจึงจะโชคดีพอที่จะอุทิศตนให้แก่เรา และขอสิ่งทั้งหลายที่เราถือไว้ในมือของเรา  แน่ใจหรือว่าความรักที่พวกเขามีต่อเรานั้นมิได้ผูกมัดอยู่แต่กับผลประโยชน์ของพวกเขาเองเพียงอย่างเดียว?  แน่ใจหรือว่าความเชื่อที่พวกเขามีในเรานั้นมิได้ผูกมัดอยู่แต่กับสิ่งทั้งหลายที่เราให้เท่านั้น?  เป็นไปได้หรือที่หากมนุษย์มิได้มองเห็นความสว่างของเรา พวกเขาย่อมไม่สามารถรักเราได้อย่างจริงใจโดยวิถีทางแห่งความเชื่อของพวกเขา?  แน่ใจหรือว่าความแข็งแกร่งและเรี่ยวแรงของพวกเขามิได้ถูกภาวะทั้งหลายของวันนี้จำกัดควบคุม?  เป็นไปได้หรือที่มนุษยชาติจำเป็นต้องมีความกล้าเพื่อที่จะรักเรา?

เนื่องแต่ผลแห่งการดำรงอยู่ของเรา วัตถุแห่งการสร้างมากมายนับไม่ถ้วนจึงทำการนบนอบเชื่อฟังในสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ และมิได้หลงระเริงไปกับการปล่อยตัวเสเพลเมื่อไม่มีการบ่มวินัยของเรา  เพราะฉะนั้น ภูเขาทั้งหลายจึงกลายเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างชนชาติทั้งหลายบนแผ่นดิน แหล่งน้ำกลายเป็นเครื่องกีดกั้นผู้คนในแผ่นดินต่างๆ ให้แยกจากกัน และอากาศกลายเป็นสิ่งที่ไหลเวียนจากบุคคลสู่บุคคลในพื้นที่ว่างเหนือแผ่นดินโลก  มีเพียงมนุษยชาติเท่านั้นที่ไม่สามารถเชื่อฟังข้อพึงประสงค์ตามเจตนารมณ์ของเราได้อย่างแท้จริง นี่คือสาเหตุที่เรากล่าวว่า ในบรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่อยู่ในจำพวกสิ่งที่เป็นกบฏ  มนุษยชาติไม่เคยนบนอบต่อเราอย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้เองเราจึงให้มนุษย์อยู่ภายใต้การบ่มวินัยอันเคร่งครัดตลอดมา  หากแม้นว่าในท่ามกลางมนุษยชาติเกิดมีเหตุการณ์ที่สง่าราศีของเราแผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล เช่นนั้นแล้ว เราจะนำเอาสง่าราศีทั้งหมดของเรามาสำแดงต่อหน้ามวลมนุษย์อย่างแน่นอน  เนื่องจากในความมีมลทินของพวกเขานั้น มนุษย์ไม่เหมาะสมที่จะมองดูสง่าราศีของเรา เราจึงไม่เคยออกมาในที่แจ้งเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว โดยยังคงซ่อนเร้นแทน ด้วยเหตุนี้สง่าราศีของเราจึงไม่เคยถูกสำแดงต่อหน้าพวกเขา และพวกเขาจึงร่วงหล่นลงไปในห้วงเหวแห่งบาปอยู่เสมอ  เราได้ให้อภัยมนุษย์สำหรับความไม่ชอบธรรมของพวกเขา แต่พวกเขาล้วนไม่รู้วิธีปกปักรักษาตัวพวกเขาเอง และกลับปล่อยตัวพวกเขาเองให้เปิดรับความบาปอยู่เสมอ อันเป็นการเปิดโอกาสให้มันทำอันตรายพวกเขา  การนี้มิได้แสดงให้เห็นการขาดพร่องความเคารพตนเองและความรักตนเองของมนุษยชาติหรอกหรือ?  ในท่ามกลางมนุษยชาติ มีสักคนหรือไม่ที่รักได้อย่างแท้จริง?  การอุทิศตนของมนุษยชาติมีน้ำหนักได้กี่มากน้อย?  ไม่มีสินค้าปลอมปนผสมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าความเป็นของแท้ของผู้คนหรอกหรือ?  การอุทิศตนของพวกเขามิใช่สิ่งที่ผสมปนเปทั้งสิ้นหรอกหรือ?  สิ่งที่เราพึงประสงค์คือความรักที่ไม่ถูกแบ่งแยกของพวกเขา  มนุษย์ไม่รู้จักเรา และแม้ว่าพวกเขาอาจพยายามรู้จักเรา แต่พวกเขาก็จะไม่มอบหัวใจที่แท้จริงและจริงจังจริงใจของพวกเขาให้เรา  เราไม่กะเกณฑ์เอาสิ่งที่มนุษย์ไม่เต็มใจให้จากพวกเขา  หากพวกเขามอบการอุทิศตนของพวกเขาแก่เรา เราจะยอมรับมันโดยไม่มีการอิดออดตามมารยาท  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่ไว้ใจเรา และไม่ยอมมอบอุทิศตัวพวกเขาให้แก่เราแม้สักอณูหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว แทนที่จะรำคาญใจมากขึ้นเพราะเรื่องนั้น เราจะเพียงแค่กำจัดพวกเขาในหนทางอื่นบางหนทาง และจัดการเตรียมบั้นปลายที่เหมาะสมให้แก่พวกเขา  ฟ้าร้องที่กำลังม้วนข้ามชั้นฟ้าจะบดขยี้ปวงมนุษย์ ภูเขาสูงทั้งหลายยามที่พวกมันพังถล่มลงมา จะกลบฝังพวกเขา สัตว์ป่าทั้งหลายจะกลืนกินพวกเขาด้วยความหิวโหย และมหาสมุทรที่พลุ่งพล่านจะท่วมทับศีรษะของพวกเขา  ขณะที่มนุษยชาติพัวพันอยู่ในความขัดแย้งที่พี่น้องเข่นฆ่ากันเองนั้น มนุษย์ทั้งปวงจะแสวงหาการทำลายล้างตัวพวกเขาเองในหายนะที่กำลังเกิดขึ้นจากท่ามกลางพวกเขา

ราชอาณาจักรกำลังแผ่ขยายในท่ามกลางมนุษยชาติ ราชอาณาจักรกำลังเป็นรูปเป็นร่างในท่ามกลางมนุษยชาติ และกำลังยืนหยัดขึ้นมาในท่ามกลางมนุษยชาติ ไม่มีกำลังบังคับใดที่สามารถทำลายราชอาณาจักรของเราได้  ในบรรดาประชากรของเราในราชอาณาจักรของวันนี้ มีพวกเจ้าคนใดที่มิใช่มนุษย์ท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย?  มีพวกเจ้าคนใดอยู่นอกภาวะของมนุษย์?  เมื่อจุดเริ่มต้นใหม่ของเราถูกประกาศแก่มหาชน มนุษยชาติจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  พวกเจ้ามองเห็นสภาวะของมวลมนุษย์ด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว  แน่ใจหรือว่าพวกเจ้ามิใช่ยังคงเก็บงำความหวังในการคงอยู่ตลอดไปในโลกนี้?  บัดนี้เรากำลังเดินไปอย่างกว้างไกลท่ามกลางประชากรของเราและเราใช้ชีวิตในท่ามกลางพวกเขา  วันนี้ บรรดาผู้ที่มีความรักแท้ต่อเรา—ผู้คนเช่นนั้นได้รับการอวยพร  บรรดาผู้ที่นบนอบต่อเราย่อมได้รับพร พวกเขาจะพักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่รู้จักเราย่อมได้รับพร พวกเขาจะกุมฤทธานุภาพในราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่แสวงหาเราย่อมได้รับพร พวกเขาจะหนีพ้นพันธนาการของซาตานและได้ชื่นชมพรของเราอย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่สามารถต่อต้านตนเองย่อมได้รับพร พวกเขาจะได้เข้าสู่สิ่งที่เราครองและสืบทอดความไพบูลย์แห่งราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน  เราจะจดจำบรรดาผู้ที่วิ่งวุ่นเพื่อเรา เราจะโอบกอดบรรดาผู้ที่ทำการสละเพื่อเราเอาไว้อย่างชื่นบาน และเราจะมอบความชื่นชมยินดีให้แก่บรรดาผู้ที่มอบเครื่องบูชาแก่เรา  เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่พบความชื่นชมยินดีในวจนะของเรา พวกเขาจะเป็นเสาหลักที่ค้ำชูสันหลังคาในราชอาณาจักรของเราอย่างแน่นอน พวกเขาจะมีความอุดมที่มิอาจหาใดเทียบในนิเวศของเราอย่างแน่นอน และจะไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงพวกเขาได้  พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่พวกเจ้าได้รับหรือไม่?  พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ทำไว้ให้แก่พวกเจ้าหรือไม่?  ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะไม่สูญเสียการชี้นำแห่งความสว่างของเราท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน  เมื่ออาณาจักรของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย แน่นอนว่าพวกเจ้าจะลุกยืนท่ามกลางฝูงชนนับไม่ถ้วนในฐานะบทพิสูจน์แห่งชัยชนะของเรา  พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินแห่งซีนิม  พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า และจะฉายสง่าราศีของเราไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน

19 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 18

ถัดไป: บทที่ 20

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger