บทที่ 46
เราไม่รู้ว่าผู้คนกำลังทำได้ดีเพียงใดในการทำให้วจนะของเราเป็นพื้นฐานของการดำรงอยู่ของพวกเขา เราได้รู้สึกกระวนกระวายต่อชะตากรรมของมนุษย์เสมอ ถึงกระนั้นผู้คนก็ดูเหมือนจะไม่มีสำนึกรับรู้ใดๆ ถึงการนี้—ผลก็คือพวกเขาไม่เคยได้ให้ความใส่ใจกับการกระทำของเรา และไม่เคยได้พัฒนาความรักใคร่บูชาใดๆ ต่อเราอันเป็นผลจากท่าทีของเราต่อมนุษย์ มันเป็นราวกับว่าพวกเขาได้สลัดภาวะอารมณ์ทิ้งไปนานแล้วเพื่อทำให้สมดังหัวใจของเรา เมื่อเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น เราก็เงียบลงอีกครั้งหนึ่ง เหตุใดวจนะของเราจึงไม่ควรค่ากับการคำนึงถึงของผู้คน กับการเข้าสู่เพิ่มขึ้น? เป็นเพราะเราไม่มีความเป็นจริงและเรากำลังพยายามค้นหาบางสิ่งที่เราสามารถใช้ต้านผู้คนหรือ? เหตุใดผู้คนจึงให้ “การปฏิบัติเป็นพิเศษ” กับเราเสมอ? เราเป็นคนทุพพลภาพที่อยู่ในวอร์ดพิเศษของเขาเองหรือ? เหตุใดเมื่อสรรพสิ่งได้ไปถึงจุดที่พวกมันได้ไปถึงแล้วในวันนี้ ผู้คนกลับยังคงมองดูเราอย่างแตกต่าง? มีข้อผิดพลาดในท่าทีของเราต่อมนุษย์หรือ? วันนี้เราได้เริ่มงานใหม่เหนือจักรวาลทั้งหลาย เราทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกมีการเริ่มต้นใหม่ และเราได้ขอให้พวกเขาทั้งหมดย้ายออกไปจากนิเวศของเรา และเพราะผู้คนชอบปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริง เราจึงแนะนำพวกเขาให้ตระหนักรู้ตนเอง และไม่รบกวนงานของเราอยู่เสมอ ใน “เรือนรับรอง” ที่เราได้เปิดไว้ ไม่มีสิ่งใดดลใจการเกลียดของเรามากไปกว่ามนุษย์ เพราะผู้คนก่อความยากลำบากให้เราและทำให้เราผิดหวัง พฤติกรรมของพวกเขานำความอับอายมาสู่เรา และเราไม่เคยได้สามารถภูมิใจได้ ด้วยเหตุนั้น เราจึงพูดกับพวกเขาอย่างสงบ โดยขอให้พวกเขาไปจากนิเวศของเราเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และหยุดกินอาหารของเราโดยไม่จ่ายเงิน หากพวกเขาปรารถนาที่จะอยู่ต่อ เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องก้าวผ่านความทุกข์และสู้ทนต่อการสั่งสอนของเรา ในจิตใจของพวกเขา เราไม่ตระหนักรู้และไม่รู้เท่าทันอย่างเต็มที่ต่อการกระทำของพวกเขา และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงได้ยืนอย่างภาคภูมิใจเบื้องหน้าเราเสมอ โดยไม่มีวี่แววว่าจะล้ม เพียงแค่แสร้งทำเป็นมนุษย์เพื่อที่จะทำให้ครบจำนวน เมื่อเราทำข้อเรียกร้องต่อผู้คน พวกเขาก็ประหลาดใจ กล่าวคือ พวกเขาไม่เคยได้คิดว่าพระเจ้าผู้ทรงได้มีอารมณ์เบิกบานและพระทัยดีมานานหลายปีเหลือเกิน จะสามารถตรัสพระวจนะเช่นนั้นได้ พระวจนะที่ไร้หัวใจและไม่น่าเชื่อถือ และดังนั้นพวกเขาจึงพูดไม่ออก ณ เวลาเช่นนั้น เรามองเห็นว่าความเกลียดชังเราในหัวใจของผู้คนได้เติบโตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะพวกเขาได้เริ่มงานแห่งการร้องทุกข์อีกแล้ว พวกเขาต่อว่าแผ่นดินโลกและสาปแช่งฟ้าสวรรค์เสมอ ถึงกระนั้นเราก็ไม่พบเจอสิ่งใดในคำพูดของพวกเขาที่สาปแช่งตัวพวกเขาเอง เพราะความรักตัวเองของพวกเขายิ่งใหญ่เหลือเกิน ด้วยเหตุนั้น เราจึงสรุปความหมายของชีวิตมนุษย์ไว้ว่า เพราะผู้คนรักตัวพวกเขาเองมากเกินไป ทั้งชีวิตของพวกเขาจึงรวดร้าวและว่างเปล่า และพวกเขานำความย่อยยับมาใส่ศีรษะของพวกเขาเองเพราะความเกลียดชังของพวกเขาที่มีต่อเรา
แม้ว่าจะมี “ความรัก” ที่เกินบรรยายต่อเราในคำพูดของมนุษย์ แต่เมื่อเราเอาคำพูดเหล่านี้ไปที่ “ห้องปฏิบัติการ” เพื่อทดสอบและสังเกตการณ์พวกมันภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ทั้งหมดที่ถูกบรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านั้นก็ถูกเปิดเผยด้วยความกระจ่างแจ้งที่สุด ณ ชั่วขณะนี้ เรามาท่ามกลางมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อปล่อยให้พวกเขามองดู “เวชระเบียน” ของพวกเขา เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเชื่อมั่นอย่างจริงใจ เมื่อผู้คนมองเห็นเวชระเบียนเหล่านั้น ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเศร้า พวกเขารู้สึกเสียดายในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาถึงกับกระวนกระวายมากเสียจนพวกเขาอยากเหลือเกินที่จะละทิ้งหนทางชั่วของพวกเขาโดยทันทีและกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องเพื่อที่จะทำให้เรามีความสุข เมื่อมองเห็นปณิธานของพวกเขา เราก็ปีติยินดีอย่างที่สุด เรารู้สึกท่วมท้นด้วยความชื่นบานว่า “บนแผ่นดินโลก ผู้ใดนอกจากมนุษย์จะสามารถแบ่งปันความชื่นบาน ความโศกเศร้า และความยากลำบากกับเราได้? มนุษย์ไม่ใช่ผู้เดียวหรือ?” ถึงกระนั้น เมื่อเราจากไป ผู้คนก็ฉีกเวชระเบียนของพวกเขาและโยนพวกมันลงกับพื้นห้องก่อนจะเดินสะบัดออกไป ในวันเวลาตั้งแต่นั้น เราได้มองเห็นการกระทำของผู้คนน้อยนิดที่สมดังหัวใจของเราเอง ถึงกระนั้น ปณิธานของพวกเขาเบื้องหน้าเราได้สะสมไว้มากแล้ว และเมื่อพิจารณาปณิธานของพวกเขา เราก็รู้สึกขยะแขยง เนื่องจากในปณิธานเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดที่สามารถยกขึ้นมาเพื่อความชื่นชมยินดีของเราได้ พวกมันเปรอะเปื้อนเกินไป เมื่อมองเห็นว่าเราไม่คำนึงถึงปณิธานของพวกเขา ผู้คนก็ยิ่งเย็นชา หลังจากนั้น พวกเขาส่ง “ใบสมัคร” เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะหัวใจของมนุษย์ไม่เคยได้รับการสรรเสริญเบื้องหน้าเรา และได้เคยพบกับการปฏิเสธของเราเท่านั้น—ไม่มีการสนับสนุนฝ่ายวิญญาณใดๆ ในชีวิตของผู้คนอีกต่อไป และดังนั้นความกระตือรือร้นของพวกเขาก็หายไป และเราไม่รู้สึกว่าอากาศ “ร้อนจนไหม้เกรียม” อีกต่อไป ผู้คนทนทุกข์มากมายชั่วชีวิตของพวกเขา จนถึงขอบข่ายที่พวกเขาได้ถูกเรา “ทรมาน” มากเสียจนพวกเขาโฉบเฉียดระหว่างความเป็นกับความตาย พร้อมกับการมาถึงของสถานการณ์วันนี้ ผลก็คือความสว่างในใบหน้าของพวกเขาหรี่ลงและพวกเขาสูญเสีย “ความมีชีวิตชีวา” ของพวกเขา เนื่องจากพวกเขาทั้งหมดได้ “โตเป็นผู้ใหญ่” แล้ว เราไม่สามารถทนมองเห็นสภาวะที่น่าสงสารของผู้คนเมื่อพวกเขาถูกถลุงในระหว่างการตีสอน—ถึงกระนั้น ผู้ใดสามารถไถ่ถอนความพ่ายแพ้อันน่าเวทนาของมวลมนุษย์ได้? ผู้ใดสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากชีวิตมนุษย์ที่น่าเวทนาได้? เหตุใดผู้คนจึงไม่เคยได้สามารถปลดปล่อยตัวพวกเขาเองให้เป็นอิสระจากเหวลึกของทะเลแห่งความทุกข์ร้อนได้? เราใช้กับดักกับผู้คนโดยเจตนาหรือ? ผู้คนไม่เคยได้เข้าใจพื้นอารมณ์ของเรา และดังนั้นเราจึงคร่ำครวญต่อจักรวาลว่าท่ามกลางทุกสรรพสิ่งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ไม่มีสิ่งใดได้เคยล่วงรู้หัวใจของเรา และไม่มีสิ่งใดรักเราอย่างแท้จริง แม้แต่วันนี้ เราก็ยังคงไม่รู้ว่าเหตุใดผู้คนจึงไม่สามารถรักเรา พวกเขาสามารถให้หัวใจของพวกเขาแก่เรา พวกเขาสามารถพลีอุทิศลิขิตชีวิตของพวกเขาเพื่อเรา แต่เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถให้ความรักของพวกเขาแก่เราได้? พวกเขาไม่ครองสิ่งที่เราขอหรือ? ผู้คนสามารถรักทุกสิ่งทุกอย่างนอกเหนือจากเรา—ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถรักเรา? เหตุใดความรักของพวกเขาจึงซ่อนเร้นอยู่เสมอ? เหตุใดขณะที่พวกเขาได้ยืนเบื้องหน้าเราตราบจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้มองเห็นความรักของพวกเขา? นี่คือบางสิ่งที่พวกเขาขาดพร่องหรือ? เรากำลังจงใจทำให้สรรพสิ่งลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนหรือ? พวกเขายังคงมีความกระดากใจอยู่บ้างหรือไม่? พวกเขากลัวที่จะรักคนผิด และไม่สามารถแก้ไขตัวพวกเขาเองได้อย่างนั้นหรือ? ในผู้คนมีความล้ำลึกที่มิอาจหยั่งลึกได้มากเหลือคณานับ และด้วยเหตุนั้น เราจึง “ขลาดและกลัว” เบื้องหน้ามนุษย์เสมอ
วันนี้ ณ เวลาแห่งการเคลื่อนไปข้างหน้าเข้าหาประตูของราชอาณาจักร ผู้คนทั้งหมดก็เริ่มทะยานไปข้างหน้า—แต่เมื่อพวกเขามาถึงเบื้องหน้าประตู เราก็ปิดประตู เรากักผู้คนไว้ข้างนอก และเรียกร้องให้พวกเขาแสดงให้เห็นบัตรผ่านการเข้าสู่ของพวกเขา การขับเคลื่อนที่แปลกประหลาดเช่นนี้สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความคาดหวังของผู้คน และพวกเขาทั้งหมดก็ประหลาดใจ เหตุใดประตู—ซึ่งได้เปิดกว้างอยู่เสมอ—จึงถูกปิดแน่นโดยฉับพลันในวันนี้? ผู้คนกระทืบเท้าของพวกเขาและเดินพล่านกลับไปกลับมา พวกเขาจินตนาการว่าพวกเขาสามารถหาทางพาตัวเองเข้าไปได้ แต่เมื่อพวกเขายื่นบัตรผ่านอันเทียมเท็จของพวกเขามาให้เรา เราก็โยนบัตรพวกนั้นลงไปในบ่อไฟตรงนั้นและเดี๋ยวนั้น และเมื่อมองเห็น “ความพากเพียรพยายาม” ของพวกเขาเองในเปลวไฟ พวกเขาก็สูญเสียความหวัง พวกเขากุมศีรษะของพวกเขา ร้องไห้ เฝ้ามองฉากที่สวยงามภายในราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ ถึงกระนั้นเราก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาเพราะสภาวะที่น่าสงสารของพวกเขา—ผู้ใดอาจทำลายแผนการของเราตามอำเภอใจของพวกเขา? มีการให้พรแห่งอนาคตเพื่อแลกเปลี่ยนกับความกระตือรือร้นของผู้คนหรือไม่? ความหมายของการดำรงอยู่ของมนุษย์อยู่ที่การเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราตามอำเภอใจของคนเราหรือ? เราต่ำต้อยเหลือเกินหรือ? หากไม่เป็นเพราะวจนะที่เกรี้ยวกราดของเรา ผู้คนก็คงจะไม่ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรนานแล้วหรือไม่? ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงเกลียดชังเราเสมอเพราะความยุ่งยากทั้งหมดที่การดำรงอยู่ของเราก่อให้เกิดกับพวกเขา หากเราไม่ได้ดำรงอยู่ พวกเขาก็คงจะสามารถชื่นชมพระพรแห่งราชอาณาจักรในระหว่างปัจจุบันนี้ได้—เช่นนั้นแล้วจะมีความจำเป็นอันใดที่ต้องสู้ทนกับความทุกข์นี้? และดังนั้นเราจึงบอกผู้คนว่าพวกเขาจากไปเสียน่าจะดีกว่า ว่าพวกเขาควรใช้ประโยชน์จากการที่สรรพสิ่งกำลังไปได้สวยเพียงใดในปัจจุบันเพื่อค้นหาทางออกสำหรับตัวพวกเขาเอง พวกเขาควรใช้ประโยชน์จากปัจจุบันขณะที่พวกเขายังอายุน้อย เพื่อเรียนรู้ทักษะบางอย่าง หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นแล้วไซร้ ในอนาคตมันจะสายเกินไป ในนิเวศของเราไม่มีผู้ใดได้เคยรับพร เราบอกผู้คนให้รีบจากไป ไม่ยึดติดอยู่กับการดำรงชีวิตใน “ความยากจน” ในอนาคตมันจะสายเกินไปสำหรับความเสียดาย จงอย่าเคี่ยวเข็ญตัวเจ้าเองเกินไป เหตุใดต้องทำให้สรรพสิ่งลำบากยากเย็นสำหรับตัวเจ้าเอง? ถึงกระนั้นเราก็บอกผู้คนเช่นกันว่าเมื่อพวกเขาล้มเหลวที่จะได้รับพร พวกเขาก็ไม่อาจพร่ำบ่นเรา เราไม่มีเวลาที่จะเปลืองวจนะของเรากับมนุษย์ เราหวังว่าการนี้ยังคงอยู่ในจิตใจของผู้คน หวังว่าพวกเขาไม่ลืมมัน—วจนะเหล่านี้เป็นความจริงที่ไม่รู้สึกชูใจซึ่งเราให้ เราได้สูญเสียความเชื่อในมนุษย์มานานแล้วและเราได้สูญเสียความหวังในผู้คนมานานแล้ว เนื่องจากพวกเขาขาดพร่องความทะเยอทะยาน พวกเขาไม่เคยสามารถให้หัวใจที่รักพระเจ้าแก่เรา และให้แรงจูงใจของพวกเขาแก่เราเสมอแทน เราได้พูดมากมายกับมนุษย์ และในเมื่อผู้คนยังคงเพิกเฉยต่อคำแนะนำของเราในวันนี้ เราก็บอกพวกเขาถึงทรรศนะของเราเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้าใจหัวใจของเราผิดในอนาคต ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่หรือตายในอนาคตเป็นเรื่องของพวกเขา เราไม่มีการควบคุมเหนือการนี้ เราหวังว่าพวกเขาจะพบเส้นทางไปสู่การอยู่รอดของพวกเขาเอง เราไม่มีพลังอำนาจในเรื่องนี้ ในเมื่อมนุษย์ไม่รักเราอย่างแท้จริง พวกเราจึงแค่แยกทางกัน ในอนาคตจะไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างพวกเราอีกต่อไป พวกเราจะไม่มีสิ่งใดที่จะพูดคุยกันอีกต่อไป พวกเราจะไม่แทรกแซงกันและกัน พวกเราจะไปตามทางของพวกเราแต่ละคน ผู้คนต้องไม่มามองหาเรา และเราจะไม่ขอ “ความช่วยเหลือ” ของมนุษย์อีกต่อไป นี่คือบางสิ่งที่อยู่ระหว่างพวกเรา และพวกเราได้พูดโดยไม่อ้อมค้อมเพื่อป้องกันไม่ให้มีประเด็นปัญหาใดๆ ในอนาคต นี่ไม่ทำให้สรรพสิ่งง่ายขึ้นหรือ? พวกเราแต่ละคนไปตามทางของพวกเราเองและไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันและกัน—มีสิ่งใดผิดกับการนั้นไหม? เราหวังว่าผู้คนให้การคำนึงถึงการนี้บ้าง
28 พฤษภาคม ค.ศ. 1992