บทที่ 44

ผู้คนปฏิบัติต่องานของเราในฐานะบางสิ่งที่เสริมเข้ามา พวกเขาไม่ละทิ้งอาหารหรือการนอนหลับเพื่อประโยชน์ของงานนั้น ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทำข้อเรียกร้องอันสมควรต่อมนุษย์ตามที่เหมาะสมกับท่าทีของเขาที่มีต่อเรา  เราหวนระลึกว่าครั้งหนึ่งเราได้ให้พระคุณอย่างมากและพรมากมายแก่มนุษย์ แต่หลังจากคว้ากระชากสิ่งเหล่านี้ไป เขาก็ได้จากไปในทันที  ราวกับว่าเราได้ให้สิ่งเหล่านั้นแก่เขาโดยไม่รู้สึกตัว  ดังนั้นมนุษย์จึงได้รักเราเสมอมาโดยอาศัยมโนคติที่หลงผิดของเขาเอง  เราต้องการให้มนุษย์รักเราอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม วันนี้ผู้คนยังคงเตะถ่วง ไม่สามารถให้ความรักที่แท้จริงของพวกเขาแก่เราได้  ในจินตนาการของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาให้ความรักที่แท้จริงของพวกเขาแก่เรา พวกเขาก็จะไม่เหลือสิ่งใดเลย  เมื่อเราคัดค้าน ทั้งร่างกายของพวกเขาก็สั่นระริก—แต่พวกเขายังคงไม่เต็มใจที่จะให้ความรักที่แท้จริงแก่เรา  ราวกับว่าพวกเขากำลังรอคอยบางสิ่งอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปข้างหน้า ไม่มีวันบอกเราถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  ราวกับว่าปากของพวกเขาได้ถูกผนึกไว้ด้วยสติกเกอร์ ดังนั้นวาทะของพวกเขาจึงกระท่อนกระแท่นเป็นนิตย์  ดูเหมือนว่าต่อหน้ามนุษย์ เราได้กลายเป็นนายทุนที่ไร้ปรานี  ผู้คนกลัวเราเสมอ กล่าวคือ เมื่อเห็นเรา พวกเขาจะปลาสนาการไปอย่างไร้ร่องรอยโดยทันที หวาดกลัวสิ่งที่เราจะถามพวกเขาเกี่ยวกับรูปการณ์แวดล้อมของพวกเขา  เราไม่รู้ว่าเหตุใดผู้คนจึงสามารถมีความรักที่จริงใจต่อ “เพื่อนร่วมหมู่บ้าน” ของพวกเขาได้ ถึงกระนั้นกลับไม่สามารถรักเรา ผู้มีจิตวิญญาณอันเที่ยงตรงได้  เพราะเหตุนี้ เราจึงถอนใจ กล่าวคือ เหตุใดผู้คนจึงปลดปล่อยความรักของพวกเขาในพิภพของมนุษย์เสมอ?  เหตุใดเราจึงไม่สามารถลิ้มรสความรักของมนุษย์ได้?  เป็นเพราะเราไม่ใช่หนึ่งในมวลมนุษย์หรือ?  ผู้คนปฏิบัติต่อเราเหมือนคนป่าเถื่อนจากภูเขาเสมอ  ราวกับว่าเราได้ขาดพร่องทุกชิ้นส่วนที่ก่อร่างเป็นบุคคลปกติ และดังนั้น เบื้องหน้าเรา ผู้คนจะแสร้งทำน้ำเสียงว่ามีศีลธรรมสูงเสมอ  พวกเขาลากเราไปอยู่ต่อหน้าพวกเขาเพื่อว่ากล่าวเราบ่อยๆ ดุด่าเราแบบที่พวกเขาจะดุด่าเด็กก่อนวัยเรียน ผู้คนเล่นบทของนักการศึกษาเบื้องหน้าเราเสมอเพราะในความทรงจำของพวกเขา เราคือใครบางคนที่ไม่สมเหตุสมผลและไร้การศึกษา  เราไม่ตีสอนผู้คนเนื่องจากความล้มเหลวของพวกเขา แต่ให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมแก่พวกเขา โดยเปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับ “ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ” เป็นประจำ  เพราะมนุษย์ได้ดำรงชีวิตท่ามกลางมหันตภัยเสมอมา และพบว่ามันลำบากยากเย็นที่จะรอดพ้น และท่ามกลางความวิบัตินี้ เขาได้ร้องเรียกเราเสมอ เราจึงส่งมอบ “เสบียงเมล็ดธัญพืช” สู่มือของเขาอย่างตรงเวลา เปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งหมดดำรงชีวิตในครอบครัวอันยิ่งใหญ่ของยุคสมัยใหม่ และผ่านประสบการณ์กับความอบอุ่นของครอบครัวอันยิ่งใหญ่  เมื่อเราสังเกตดูงานท่ามกลางมนุษย์ เราก็ค้นพบข้อบกพร่องมากมายของเขา และผลก็คือเราให้ความช่วยเหลือแก่เขา  แม้แต่ ณ เวลานี้ก็ยังคงมีความยากจนเหนือธรรมดาท่ามกลางมนุษย์ และด้วยเหตุนั้นเราจึงได้มอบความห่วงใยใส่ใจที่เหมาะสมให้กับ “ย่านแร้นแค้นทั้งหลาย” โดยยกพวกมันขึ้นจากความยากจน  นี่คือวิถีทางที่เราใช้ทำงาน โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งหมดได้ชื่นชมพระคุณของเรามากเท่าที่พวกเขาสามารถชื่นชมได้

ผู้คนบนแผ่นดินโลกทนทุกข์กับการตีสอนโดยไม่รู้สึกตัว และดังนั้นเราจึงเปิดมืออันยิ่งใหญ่ของเราและดึงพวกเขามาที่ข้างกายของเรา เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับโชคดีแห่งการได้ชื่นชมพระคุณของเราบนแผ่นดินโลก  สิ่งใดเล่าบนแผ่นดินโลกที่ไม่ว่างเปล่าและไม่ไร้คุณค่า?  เราเดินไปท่ามกลางทุกสถานที่ในพิภพของมนุษย์ และแม้ว่าจะมีอนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงมากมายและทิวทัศน์ธรรมชาติที่เป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์ แต่ทุกที่ที่เราไปได้กลายเป็นสิ้นไร้ความมีชีวิตชีวานานมาแล้ว  เมื่อนั้นเท่านั้นที่เรารู้สึกว่าแผ่นดินโลกมืดมนและอ้างว้าง กล่าวคือ บนแผ่นดินโลก ชีวิตได้ปลาสนาการไปนานมาแล้ว  มีเพียงแค่กลิ่นแห่งความตายเท่านั้น และด้วยเหตุนั้น เราจึงได้เรียกให้มนุษย์รีบไปจากแผ่นดินแห่งความทุกข์ร้อนนี้ตลอดมา  ทั้งหมดที่เรามองเห็นชวนให้นึกถึงความว่างเปล่า  เราถือโอกาสขว้างชีวิตในมือของเราไปยังบรรดาผู้ที่เราได้คัดสรร ฉับพลันก็มีผืนดินสีเขียวบนแผ่นดิน  ผู้คนเต็มใจที่จะชื่นชมสรรพสิ่งที่มีชีวิตชีวาบนแผ่นดินโลก แต่เราไม่พบความหรรษายินดีในการนี้ ผู้คนทะนุถนอมสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกเสมอ และไม่มีวันมองเห็นความว่างเปล่าของพวกมัน ถึงขั้นที่เมื่อได้มาถึงจุดนี้แล้วในวันนี้ พวกเขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีชีวิตดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก  วันนี้ ขณะที่เราเดินไปภายในจักรวาล ผู้คนทั้งหมดสามารถชื่นชมพระคุณของสถานที่ที่เราอยู่ และพวกเขาใช้การนี้เป็นสินทรัพย์ โดยไม่เคยไล่ตามเสาะหาแหล่งกำเนิดชีวิต  พวกเขาล้วนใช้สิ่งที่เราให้ในฐานะสินทรัพย์ ถึงกระนั้นก็ไม่มีสักคนในพวกเขาที่พยายามปฏิบัติหน้าที่ดั้งเดิมแห่งความมีชีวิตชีวา  พวกเขาไม่รู้วิธีใช้หรือพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงถูกทิ้งไว้ในความขัดสน  เราอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ เราดำรงชีวิตท่ามกลางมนุษย์ ถึงกระนั้นวันนี้มนุษย์ยังคงไม่รู้จักเรา  แม้ว่าผู้คนได้ให้ความช่วยเหลือแก่เรามากมายอันเป็นผลของการที่เราอยู่ไกลจากบ้านเหลือเกิน แต่ก็เป็นราวกับว่าเรายังไม่ได้สร้างมิตรภาพที่ถูกต้องกับมนุษย์ และด้วยเหตุนั้นเราจึงยังคงรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมของพิภพมนุษย์ ในสายตาของเรา จะว่าไปแล้วมวลมนุษย์นั้นว่างเปล่า และไม่มีสมบัติล้ำค่าที่มีคุณค่าใดๆ ท่ามกลางมนุษย์  เราไม่รู้ว่าผู้คนมีทรรศนะอันใดเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ แต่โดยรวมแล้ว ชีวิตของเราเองก็ไม่สามารถแยกออกจากคำว่า “ว่างเปล่า” ได้  เราหวังว่าผู้คนจะไม่คิดเลวร้ายเกี่ยวกับเราเพราะการนี้ เนื่องจากเราตรงไปตรงมามากๆ และเราไม่พยายามสุภาพ  อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำให้ผู้คนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับสิ่งที่เราคิด เพราะจะว่าไปแล้ว วจนะของเราเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา  เราไม่รู้ว่าผู้คนมีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับ “ความว่างเปล่า”  ความหวังของเราคือให้พวกเขาใช้ความพยายามเล็กน้อยกับงานนี้  พวกเขาควรผ่านประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และควรดูว่าพวกเขาสามารถหา “สายแร่ที่ซ่อนอยู่” อันมีค่าใดๆ หรือไม่  เราไม่ได้กำลังพยายามลดทอนด้านบวกของผู้คน เราเพียงแค่ต้องการให้พวกเขาได้รับความรู้บ้างจากวจนะของเรา  เราเร่งรีบเสมอเพื่อประโยชน์แห่งเรื่องของมนุษย์ แต่ตอนนี้ ด้วยสรรพสิ่งในสภาพที่พวกมันเป็นอยู่ ผู้คนยังคงไม่ได้กล่าวขอบคุณสักคำ ราวกับว่าพวกเขายุ่งเกินไปและได้ลืมที่จะทำเช่นนั้นไปแล้ว  แม้แต่วันนี้ เราก็ยังคงไม่เข้าใจว่าการที่มนุษย์เร่งรีบทั้งวันนั้นได้มีผลอันใด  แม้แต่วันนี้ก็ยังคงไม่มีพื้นที่สำหรับเราในหัวใจของผู้คน และดังนั้นเราจึงตกอยู่ในการครุ่นคิดอีกครั้ง  เราได้เริ่มจัดให้ตัวเราเองเข้าทำงานวิจัยว่า “เหตุใดผู้คนจึงไม่มีหัวใจที่รักเราอย่างแท้จริง”  เราจะยกมนุษย์ขึ้นบน “เตียงผ่าตัด” เราจะชำแหละ “หัวใจ” ของเขา และมองดูสิ่งที่กำลังขวางทางในหัวใจของเขาและหยุดเขาจากการรักเราอย่างแท้จริง  ภายใต้ความรู้สึกที่เกิดจาก “มีด” ผู้คนหลับตาแน่น รอคอยให้เราเริ่ม เนื่องจาก ณ เวลานี้ พวกเขาได้ยอมจำนนแล้วอย่างสิ้นเชิง ในหัวใจของพวกเขา เราพบสิ่งเจือปนอื่นๆ มากมาย  ที่สำคัญที่สุดท่ามกลางสิ่งเจือปนเหล่านี้คือสรรพสิ่งของตัวผู้คนเอง  แม้ว่าพวกเขาอาจมีเพียงไม่กี่สิ่งภายนอกร่างกายของพวกเขา แต่สิ่งต่างๆ ภายในร่างกายของพวกเขานั้นมีอยู่นับไม่ถ้วน  ราวกับว่าหัวใจของมนุษย์เป็นกล่องเก็บของขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งและทุกสิ่งที่ผู้คนจำเป็นจะต้องมี  ณ ชั่วขณะนี้เท่านั้นที่เราเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงไม่มีวันให้การคำนึงถึงเราเลย กล่าวคือ เป็นเพราะพวกเขามีความพอเพียงเฉพาะตัวอย่างมาก—พวกเขามีความจำเป็นอันใดที่ต้องได้รับความช่วยเหลือของเราหรือ?  ดังนั้นเราจึงไปจากมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ไม่มีความจำเป็นต้องมีความช่วยเหลือของเรา เหตุใดเราจึงควร “ปฏิบัติตนอย่างไร้ยางอาย” และทำให้พวกเขาเกิดความขยะแขยงกันเล่า?

ผู้ใดเล่ารู้สาเหตุ แต่เราก็ได้เต็มใจที่จะพูดท่ามกลางมนุษย์เสมอ ราวกับว่าเราไม่สามารถช่วยตัวเราเองได้  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจึงพิจารณาว่าเราไร้ค่า และปฏิบัติต่อเราราวกับว่าเรามีค่าน้อยกว่าสตางค์แดงเดียวด้วยซ้ำเสมอๆ พวกเขาไม่ปฏิบัติต่อเราในฐานะบางสิ่งที่ต้องเคารพ  พวกเขาไม่ทะนุถนอมเรา และพวกเขาลากเรากลับบ้านเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาปรารถนา แล้วจากนั้นก็โยนเรากลับออกไป เพื่อ “เปิดโปง” เราต่อหน้าสาธารณะ  เรามีความเกลียดที่สุดสำหรับพฤติกรรมอันชั่วช้าของมนุษย์ และด้วยเหตุนั้นเราจึงพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่ามนุษย์ไม่มีมโนธรรม  แต่ผู้คนไม่ยอมอ่อนข้อ พวกเขาเอา “ดาบและหอก” ของพวกเขามาและทำการสู้รบกับเรา โดยพูดว่าวจนะของเราขัดแย้งกับความเป็นจริง โดยพูดว่าเรากล่าวให้ร้ายพวกเขา—แต่เราไม่กระทำการลงทัณฑ์อันสาสมแก่พวกเขาอันเป็นผลจากพฤติกรรมอันรุนแรงของพวกเขา  เราเพียงแค่ใช้ความจริงของเราเพื่อชนะใจผู้คน และทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจกับตัวพวกเขาเอง ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็ล่าถอยอย่างเงียบเชียบ  เราไม่แข่งขันกับมนุษย์ เนื่องจากไม่มีประโยชน์ในการนั้น  เราจะปฏิบัติตามหน้าที่ของเรา และเราหวังว่ามนุษย์จะสามารถปฏิบัติตามหน้าที่ของเขาเช่นกัน และไม่กระทำการต่อต้านเรา  มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะเข้ากันได้อย่างสันติสุขในหนทางนี้?  เหตุใดต้องทำร้ายสัมพันธภาพของพวกเรา?  พวกเราได้เข้ากันได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้—มีความจำเป็นอันใดที่ต้องสร้างความยากลำบากให้กับพวกเราทั้งสองฝ่าย?  นั่นจะไม่เป็นประโยชน์โดยสิ้นเชิงต่อกิตติศัพท์ของพวกเราทั้งสองมิใช่หรือ?  มิตรภาพของพวกเราเป็น “มิตรภาพเก่าแก่” นานหลายปี เป็น “คนรู้จักเก่าแก่”—มีความจำเป็นอันใดหรือที่ต้องแยกจากกันด้วยเงื่อนไขที่ดุเดือด?  การทำเช่นนั้นจะเป็นการดีหรือ?  เราหวังว่าผู้คนจะให้ความสนใจกับผลกระทบ ว่าพวกเขารู้ว่าสิ่งใดดีสำหรับพวกเขา  ท่าทีของเราที่มีต่อมนุษย์ในวันนี้เพียงพอสำหรับชั่วชีวิตของการหารือของเขา—เหตุใดผู้คนจึงล้มเหลวในการระลึกรู้ความใจดีมีเมตตาของเราเสมอ?  เป็นเพราะพวกเขาขาดพร่องพลังอำนาจแห่งการแสดงออกหรือ?  พวกเขาขาดพร่องประมวลคำศัพท์ที่เพียงพอหรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงนึกคำไม่ออกอยู่เสมอ?  ผู้ใดไม่รู้เท่าทันถึงวิธีที่เราประพฤติตัวเราเอง?  ผู้คนตระหนักรู้อย่างดีเยี่ยมถึงการกระทำของเรา—เพียงแต่ว่าพวกเขาชอบเอาเปรียบผู้อื่นเสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเต็มใจที่จะวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองเอาไว้ก่อน  หากวลีหนึ่งไปแตะโดนผลประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาก็จะปฏิเสธที่จะผ่อนคลายจนกระทั่งพวกเขาได้รับความได้เปรียบ—และจะมีประโยชน์อันใดเล่าในการนั้น?  ผู้คนไม่สามารถแข่งขันเพื่อสิ่งที่พวกเขาสามารถมีส่วนร่วมแบ่งปัน แต่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อสิ่งที่พวกเขาสามารถได้มา  แม้ว่าจะไม่มีความชื่นชมยินดีในสถานะของพวกเขา แต่พวกเขาก็ทะนุถนอมมันมากอย่างยิ่ง ถึงกับคำนึงถึงมันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถตีราคาได้—และดังนั้นพวกเขาจึงสู้ทนการตีสอนของเรามากกว่าจะยอมทิ้งผลประโยชน์แห่งสถานะ  ผู้คนมองตัวเองสูงส่งเกินไป และด้วยเหตุนั้นจึงไม่เคยเต็มใจที่จะเลิกคำนึงถึงตัวเอง  บางทีอาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อยบางประการในการประเมินค่ามนุษย์ของเรา หรือบางทีเราอาจได้ติดป้ายฉลากที่ไม่แข็งกร้าวหรือโอนอ่อนที่ตัวเขา แต่โดยรวมแล้ว ความหวังของเราก็คือให้ผู้คนถือว่าการนี้คือการตักเตือน

21 พฤษภาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 43

ถัดไป: บทที่ 45

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger