บทที่ 5

เสียงแห่งวิญญาณของเราคือการแสดงออกถึงอุปนิสัยทั้งมวลของเรา  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  หากไม่เข้าใจชัดเจนในจุดนี้ก็คงจะเป็นประหนึ่งการต้านทานเราโดยตรง  แท้จริงแล้วพวกเจ้าได้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเจ้ารู้จริงๆ หรือไม่ว่าเราทุ่มเทความพยายามมากเพียงใด ทุ่มเทพลังงานมากเพียงใดไปกับพวกเจ้า?  เจ้ากล้าจริงๆ หรือไม่ที่จะนำสิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปและวิธีประพฤติตัวของเจ้ามาตีแผ่ต่อหน้าเรา?  และพวกเจ้ายังกล้าดีที่จะเรียกตัวเองว่าประชากรของเราต่อหน้าเรา—เจ้าไม่มีความละอายใจ และยิ่งไม่มีสำนึกใดๆ!  ไม่ช้าก็เร็ว ผู้คนเยี่ยงเจ้าจะถูกกำจัดออกไปจากบ้านของเรา!  จงอย่ามาพยายามหลอกลวงเรา โดยทึกทักเอาว่าเจ้าได้ยืนหยัดเป็นคำพยานให้เราแล้ว!  นี่ใช่บางสิ่งที่มนุษยชาติสามารถทำได้หรือไม่?  หากไม่มีเจตนาของเจ้าและเป้าหมายต่างๆ ของเจ้าหลงเหลืออยู่ เจ้าคงจะออกเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างออกไปเมื่อนานมาแล้ว  เจ้าคิดว่าเราไม่รู้ว่าหัวใจของมนุษย์สามารถรับได้มากเพียงใดอย่างนั้นหรือ?  นับจากเวลานี้ไป ในทุกสิ่ง เจ้าจะต้องเข้าสู่ความเป็นจริงของการปฏิบัติ เพียงการพูดเรื่อยเจื้อยอย่างที่เจ้าเคยทำในอดีต จะไม่ทำให้เจ้าเอาตัวรอดได้อีกต่อไป  ในอดีตนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่มัวจับเสือมือเปล่าอยู่ใต้ชายคาของเรา ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเจ้าสามารถตั้งมั่นได้ในวันนี้ล้วนเป็นเพราะความเกรี้ยวกราดแห่งวจนะของเราทั้งสิ้น  เจ้าคิดหรือว่าเราพูดอย่างไร้แบบแผนและไม่มีจุดประสงค์?  เป็นไปไม่ได้เลย!  เรามองดูทุกสิ่งจากที่สูง และใช้อำนาจครอบครองเหนือทุกสิ่งจากที่สูง  ในหนทางเดียวกัน เราได้ทำให้ความรอดของเราเป็นผลบนแผ่นดินโลกแล้ว  จากสถานที่ลับของเรา ไม่เคยมีสักชั่วขณะหนึ่งที่เราไม่ได้เฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของมนุษย์และทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ  สำหรับเราแล้ว มนุษย์นั้นเข้าใจง่าย กล่าวคือ เรามองเห็นและรู้จักพวกเขาทุกคน  สถานที่ลับก็คือที่พำนักของเรา และโดมฟ้าทั้งมวลคือเตียงที่เราใช้เอนกาย  กำลังบังคับของซาตานไม่สามารถเข้าถึงเรา เพราะเรานั้นเปี่ยมล้นด้วยบารมี ความชอบธรรม และการพิพากษา  มีความล้ำลึกอย่างหนึ่งซึ่งไม่อาจพรรณนาได้อยู่ในวจนะของเรา  เมื่อเราพูด พวกเจ้าก็กลายเป็นเหมือนดังไก่ที่เพิ่งจะถูกโยนลงน้ำ ท่วมท้นไปด้วยความสับสน หรือเหมือนทารกที่เพิ่งจะผ่านความตระหนกตกใจมา ดูเหมือนไม่รู้อะไรเลย เพราะวิญญาณของพวกเจ้าตกอยู่ในความมึนงง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าสถานที่ลับนั้นคือที่พำนักของเรา?  เจ้ารู้ความหมายลึกลงไปแห่งวจนะของเราหรือไม่?  มนุษย์ผู้ใดสามารถรู้จักเราได้?  ผู้ใดสามารถรู้จักเราอย่างที่พวกเขารู้จักบิดามารดาของพวกเขาเองได้?  ขณะที่พักผ่อนอยู่ในที่พำนักของเรา เราเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดว่า ผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลกวุ่นวายไม่หยุด “เดินทางรอบโลก” และวิ่งเทียวไปเทียวมา ทั้งหมดก็เพื่อโชคชะตาของพวกเขาและอนาคตของพวกเขา  แต่กลับไม่มีแม้สักคนที่สงวนพลังงานไว้สำหรับการก่อร่างสร้างราชอาณาจักรของเรา แม้แต่ความพยายามที่ใช้ในการสูดลมหายใจก็ยังมีมากกว่า  เราสร้างมนุษย์ขึ้นมา และเราได้ช่วยกู้พวกเขาหลายครั้งจากความทุกข์ลำบาก อย่างไรก็ดี มนุษย์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนอกตัญญู กล่าวคือ ไม่มีพวกเขาสักคนที่สามารถแจกแจงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความรอดของเราได้หมด  ผ่านมาหลายปีเหลือเกินแล้ว—หลายศตวรรษเหลือเกินแล้ว—นับตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงปัจจุบัน เราได้ทำการอัศจรรย์มามากมายหลายครั้งยิ่งนักแล้ว และได้สำแดงปัญญาของเราให้เป็นที่ประจักษ์มากมายหลายครั้งเหลือเกิน  กระนั้นก็ตาม มนุษย์กลับบ้าคลั่งและด้านชาเหมือนผู้ป่วยโรคจิต และบางครั้งก็ถึงขั้นเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่เคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทางในป่า ไร้เจตนาที่จะใส่ใจในกิจธุระต่างๆ ของเราแม้แต่น้อย  หลายครั้งหลายครา เราจึงตัดสินโทษประหารแก่มนุษย์และลงโทษพวกเขาให้ถึงแก่ความตาย แต่แผนการบริหารจัดการของเราไม่สามารถมีใครมาปรับเปลี่ยนได้  และดังนั้น ในมือทั้งสองของเรา มนุษย์จึงยังคงเปิดเผยสิ่งเก่าๆ ซึ่งพวกเขายึดถือกันต่อไป  เนื่องแต่ขั้นตอนต่างๆ ในงานของเรา เราจึงช่วยกู้พวกเจ้าซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดในครอบครัวใหญ่ซึ่งเสื่อม ต่ำทราม โสมม และชั่วช้าไว้อีกครั้งหนึ่ง

งานที่ได้วางแผนไว้ของเรายังคงรุกคืบไปข้างหน้าไม่หยุดแม้สักชั่วขณะ  เมื่อได้ก้าวเข้าสู่ยุคราชอาณาจักรและนำพวกเจ้าเข้าสู่ราชอาณาจักรของเราในฐานะประชากรของเราแล้ว เราจะมีข้อเรียกร้องอื่นๆ กับพวกเจ้า กล่าวคือ เราจะเริ่มเผยแพร่ธรรมนูญซึ่งเราจะใช้ปกครองยุคนี้แก่พวกเจ้า นั่นคือ

เนื่องจากเจ้านั้นได้ชื่อว่าเป็นประชากรของเรา เจ้าจึงควรที่จะสามารถมอบสง่าราศีให้แก่นามของเรา กล่าวคือ จงยืนหยัดเป็นคำพยานในท่ามกลางการทดสอบ  หากใครก็ตามพยายามที่จะป้อยอเราและปกปิดความจริงจากเรา หรือดำเนินการเจรจาที่เสื่อมเสียไม่น่าเชื่อถือลับหลังเรา ผู้คนเยี่ยงนี้จะถูกไล่ออกไปและถูกย้ายออกจากบ้านของเรา รอเวลาให้เราจัดการกับพวกเขาโดยไม่มีข้อยกเว้น  ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อและอกตัญญูต่อเราในอดีต และผู้ที่ลุกขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้เพื่อตัดสินเราอย่างเปิดเผย—พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากบ้านของเราเช่นกัน  บรรดาผู้ที่เป็นประชากรของเราจะต้องคำนึงถึงภาระต่างๆ ของเราอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนพยายามที่จะรู้จักวจนะของเรา  มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่เราจะทำให้รู้แจ้ง และพวกเขาจะใช้ชีวิตภายใต้การนำและความรู้แจ้งของเราอย่างแน่นอน จะไม่มีวันเผชิญกับการตีสอน  พวกที่จดจ่ออยู่กับการวางแผนอนาคตของพวกเขาเอง ล้มเหลวที่จะคำนึงถึงภาระต่างๆ ของเรา—กล่าวคือ พวกที่ไม่ได้กระทำการด้วยจุดมุ่งหมายที่จะสนองหัวใจของเรา แต่กลับเป็นผู้ที่มองหาของให้ทาน—เราย่อมปฏิเสธที่จะใช้สรรพสิ่งสร้างที่เหมือนขอทานเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะนับแต่เวลาที่พวกเขาถือกำเนิด พวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าการคำนึงถึงภาระต่างๆ ของเรามีความหมายเช่นไร  พวกเขาคือผู้คนที่ขาดสำนึกอันปกติ ผู้คนดังกล่าวกำลังทนทุกข์จาก “ภาวะทุพโภชนาการ” ทางสมอง และจำเป็นต้องกลับบ้านไปรับ “การบำรุงเลี้ยง” บางอย่าง  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ต่อเรา  ท่ามกลางประชากรของเรา ทุกคนพึงต้องมองการรู้จักเราว่าเป็นภาระหน้าที่อย่างหนึ่งที่จะต้องทำไปจนถึงปลายทางเหมือนอย่างการกิน การแต่งกาย และการนอน เป็นบางสิ่งที่คนเราไม่เคยลืมทำแม้สักชั่วขณะ เพื่อที่จะได้คุ้นเคยกับการรู้จักเราในท้ายที่สุดเหมือนกับการกิน—ซึ่งเป็นบางอย่างที่เจ้าทำโดยที่ไม่ต้องพยายาม ด้วยมือที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติมาแล้ว  ในส่วนของวจนะที่เราพูด ทุกคำจะต้องถูกนำไปใช้ด้วยความเชื่ออย่างที่สุดและซึมซับอย่างเต็มที่ ไม่อาจมีการทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อย่างพอเป็นพิธีได้  ผู้ใดที่ไม่ให้ความสนใจในวจนะของเราจะถือว่าต้านทานเราโดยตรง ผู้ใดที่ไม่กินวจนะของเรา หรือไม่พยายามที่จะรู้จักวจนะเหล่านั้น จะถือว่าไม่สนใจเรา และจะถูกกวาดออกนอกประตูบ้านของเราโดยตรง  อย่างที่เราได้พูดไว้แล้วในอดีตว่า นี่เป็นเพราะสิ่งที่เราต้องการนั้นไม่ใช่จำนวนผู้คนที่มากมาย แต่เป็นความดีเลิศ  หากในผู้คนหนึ่งร้อยคน มีเพียงคนเดียวที่สามารถรู้จักเราผ่านทางวจนะของเรา เช่นนั้นแล้ว เราก็เต็มใจที่จะกำจัดคนอื่นที่เหลือออกไปเพื่อมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่คนคนเดียวนี้  จากการนี้เจ้าสามารถเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงว่าเพียงด้วยจำนวนคนที่มากกว่าก็สามารถสำแดงเราให้ประจักษ์และใช้ชีวิตตามแบบอย่างเราได้  สิ่งที่เราต้องการคือข้าวสาลี (แม้ว่าอาจไม่เต็มเมล็ดก็ตาม) และไม่ใช่ข้าวละมาน (แม้ในคราที่เมล็ดนั้นเต็มพอที่จะชมดูได้)  ในส่วนของพวกที่ไม่คำนึงถึงการแสวงหา แต่กลับประพฤติตัวในลักษณะเกียจคร้าน พวกเขาควรจากไปเองโดยสมัครใจ เราไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกเขาอีกต่อไป เพื่อมิให้พวกเขานำความเสื่อมเสียมาสู่นามของเราต่อไป  ในส่วนของสิ่งที่เราพึงประสงค์จากประชากรของเรานั้น เราจะหยุดยั้งอยู่ที่หลักธรรมเหล่านี้ก่อนสำหรับตอนนี้ และรอที่จะประกาศกฎระเบียบอื่นๆ ต่อไป ขึ้นอยู่กับว่ารูปการณ์แวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ในอดีต ผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงพระปัญญาพระองค์เอง ว่าเราคือพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงเห็นลึกเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงคำพูดคำจาที่ผิวเผินเท่านั้น  หากมนุษย์ได้รู้จักเราอย่างแท้จริง พวกเขาคงไม่กล้าที่จะด่วนสรุป แต่คงพยายามที่จะรู้จักเราโดยผ่านทางวจนะของเราต่อไป  จนเมื่อพวกเขาได้มาถึงที่ช่วงระยะที่พวกเขามองเห็นกิจการของเราอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะคู่ควรที่จะเรียกเราว่าทรงปัญญาและมหัศจรรย์  ความรู้ที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับเรานั้นตื้นเขินเกินไป  ตลอดหลายยุคหลายสมัย ผู้คนมากหลายได้รับใช้เราเป็นเวลาหลายต่อหลายปี และเมื่อได้เห็นกิจการของเราแล้ว พวกเขาก็มารู้จักบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเราอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงได้มีหัวใจที่นบนอบต่อเราเสมอ ไม่กล้าเก็บงำเจตนาที่จะต่อต้านเราแม้แต่น้อยเพราะยากมากที่จะเสาะแสวงรอยเท้าของเรา  ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ หากไม่มีการนำของเรา พวกเขาก็จะไม่กล้ากระทำการอย่างบุ่มบ่าม  ดังนั้น หลังจากที่ใช้ชีวิตผ่านประสบการณ์มาหลายปี ในที่สุดพวกเขาได้สรุปความรู้ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเราไว้อย่างคร่าวๆ เรียกเราว่าทรงปัญญา มหัศจรรย์ และที่ปรึกษา ว่าวจนะของเรานั้นเป็นเสมือนดาบสองคม ว่ากิจการของเรานั้นยิ่งใหญ่ น่าประหลาดใจ และน่าอัศจรรย์ ว่าเรามีบารมีเป็นเครื่องห่มคลุม ว่าปัญญาของเราสูงส่งยิ่งกว่าท้องฟ้า และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอื่นๆ  อย่างไรก็ดี วันนี้ความรู้ที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับเรานั้นเพียงตั้งอยู่บนรากฐานที่พวกเขาได้วางเอาไว้เท่านั้น ดังนั้นพวกเจ้าส่วนใหญ่ก็แค่กำลังพูดตามถ้อยคำที่พวกเขาได้พูดเอาไว้เท่านั้น เหมือนพวกนกแก้ว  เป็นเพียงเพราะเราสังเกตเห็นว่าวิธีที่พวกเจ้ารู้จักเรานั้นผิวเผินเพียงใดและ “การศึกษา” ของพวกเจ้านั้นอ่อนด้อยเพียงใดเท่านั้น เราจึงได้ละเว้นการตีสอนมากมายเหลือเกินให้แก่พวกเจ้า  ถึงกระนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่รู้จักตัวเอง หรือไม่ก็คิดว่าพวกเจ้าทำได้ตามเจตนารมณ์ของเราในการกระทำของพวกเจ้าแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงได้หนีพ้นการพิพากษา หรือคิดว่าหลังจากที่ได้บังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราไม่ได้ติดตามรับรู้ถึงการกระทำของมนุษยชาติอย่างสิ้นเชิง และด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าจึงหนีพ้นการตีสอนอีกเช่นกัน หรือคิดว่าพระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อนั้นไม่ได้ดำรงอยู่ในพื้นที่อันกว้างใหญ่ของจักรวาล และดังนั้นพวกเจ้าจึงผลักไสให้การรู้จักพระเจ้ากลายเป็นงานยากไว้ทำในเวลาว่างของพวกเจ้า แทนที่จะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะถือครองเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำจนแล้วเสร็จในหัวใจของพวกเจ้า ใช้การเชื่อในพระเจ้าเป็นหนทางฆ่าเวลาที่หาไม่แล้วคงจะถูกปล่อยทิ้งไปเปล่าๆ  หากเราไม่ได้เวทนาการขาดพร่องคุณสมบัติ เหตุผล และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็คงพินาศไปท่ามกลางการตีสอนของเรา ถูกกวาดล้างจากการดำรงอยู่  กระนั้นก็ตาม จนกว่างานของเราบนแผ่นดินโลกจะเสร็จสิ้น เราจะยังคงปรานีต่อมวลมนุษย์  นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนต้องรู้ไว้ และจงเลิกสับสนระหว่างความดีกับความเลว

25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า: บทที่ 4

ถัดไป: บทที่ 6

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger