พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล - บทที่ 8
เมื่อการเปิดเผยทั้งหลายของเราถึงจุดสูงสุดของการเปิดเผยเหล่านั้น และเมื่อการพิพากษาของเราเข้าสู่บทอวสาน ก็จะเป็นเวลาที่คนของเราทั้งหมดได้รับการเปิดเผยและได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ เราเดินทางไปทั่วทุกมุมของสากลพิภพเพื่อค้นหาผู้ที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของเราและเหมาะสมกับการใช้งานของเราอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดเล่าสามารถลุกขึ้นและร่วมมือกับเรา? ความรักที่มนุษย์มีต่อเรานั้นเล็กกระจิริด และความเชื่อที่พวกเขามีในเราก็น้อยนิดอย่างน่าเวทนาเช่นกัน หากเราไม่ได้หันส่วนที่หนักหน่วงที่สุดแห่งวจนะของเราตรงไปยังจุดอ่อนของผู้คน พวกเขาก็คงจะอวดตัวและพูดเกินจริง วางท่าแสดงความเห็นและเสนอแนะทฤษฎีที่ไม่เข้าท่า ราวกับว่าพวกเขารอบรู้และรู้ทุกสิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับแผ่นดินโลก ในบรรดาผู้ที่ “จงรักภักดี” ต่อเราในอดีต และในบรรดาผู้ที่ “ตั้งมั่น” เบื้องหน้าเราในวันนี้ ผู้ใดเล่ายังคงกล้าที่จะพูดอย่างอวดตัว? ผู้ใดเล่าไม่ปีติยินดีอย่างลับๆ สำหรับความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาเอง? เมื่อเราไม่ได้เปิดโปงผู้คนโดยตรง พวกเขาก็ไม่ได้มีที่ใดให้ซ่อนเร้นและถูกทรมานโดยความละอาย นั่นจะมากขึ้นอีกเท่าใดเล่า หากเราพูดในลักษณะที่แตกต่างออกไป? ผู้คนคงจะมีสำนึกรับรู้ของการเป็นหนี้มากขึ้นอีก เชื่อว่าไม่มีสิ่งใดสามารถรักษาพวกเขาได้ และทั้งหมดย่อมจะถูกการคิดลบของตนพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา เมื่อผู้คนสูญเสียความหวัง การกล่าวทักทายของราชอาณาจักรก็ดังขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งก็เป็นเช่นที่ผู้คนได้พูดไว้ว่า “เวลาที่พระวิญญาณซึ่งแกร่งกล้าขึ้นเจ็ดเท่าเริ่มทรงพระราชกิจ” กล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่คือตอนที่ชีวิตแห่งราชอาณาจักรเริ่มต้นบนแผ่นดินโลกอย่างเป็นทางการ มันคือตอนที่เทวสภาพของเราออกมาเพื่อกระทำการโดยตรง (โดยปราศจาก “การประมวลผล” ด้านจิตใจใดๆ) ผู้คนทั้งหมดแล่นขวักไขว่ไปมา ราวกับว่าพวกเขาได้ถูกฟื้นคืนสติหรือปลุกให้ตื่นจากฝัน และเมื่อตื่นขึ้นแล้ว ก็ได้รับความประหลาดใจที่พบตัวเองอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น ในอดีต เราได้พูดมากมายเกี่ยวกับการสร้างคริสตจักร เราได้เปิดเผยข้อล้ำลึกมากมาย แต่เมื่องานนั้นถึงยอดของมัน มันก็ได้มาถึงบทอวสานอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ตาม การสร้างราชอาณาจักรนั้นแตกต่างกัน เฉพาะเมื่อสงครามในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณไปถึงช่วงระยะสุดท้ายของมันเท่านั้น เราจึงจะเริ่มต้นงานของเราใหม่บนแผ่นดินโลก กล่าวคือ เป็นเมื่อมนุษย์ทั้งหมดกำลังจวนเจียนจะต้องล่าถอยเท่านั้นนั่นเองที่เราเริ่มต้นและยกชูงานใหม่ของเราอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ความแตกต่างระหว่างการสร้างราชอาณาจักรกับการสร้างคริสตจักรก็คือว่า ในการสร้างคริสตจักรนั้น เราได้ทำงานโดยผ่านทางมนุษยชาติที่ถูกปกครองโดยเทวสภาพ เราตัดแต่งธรรมชาติเก่าๆ ของมนุษย์โดยตรง โดยเปิดเผยตัวตนที่น่าเกลียดของพวกเขาโดยตรงและเปิดโปงเนื้อแท้ของพวกเขา ผลก็คือ พวกเขาได้มารู้จักตัวเองบนพื้นฐานนี้ และดังนั้น จึงเชื่อในหัวใจของพวกเขาและในคำพูดของพวกเขา ในการสร้างราชอาณาจักร เรากระทำการโดยตรงโดยผ่านทางเทวสภาพของเรา และอนุญาตให้ผู้คนทั้งหมดรู้ว่าเรามีและเป็นอะไรบนรากฐานของความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับวจนะของเรา โดยในท้ายที่สุดอนุญาตให้พวกเขาบรรลุความรู้เกี่ยวกับเราในฐานะเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนั้นจึงสิ้นสุดการไล่ตามเสาะหาพระเจ้าที่คลุมเครือของมวลมนุษย์ทั้งปวง และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงยุติการถือครองพื้นที่ในหัวใจของพวกเขาสำหรับพระเจ้าในสวรรค์ นั่นคือ เราให้มนุษยชาติรู้จักกิจการที่เราทำในขณะที่เราเป็นเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ และดังนั้น จึงจะสรุปปิดเวลาของเราบนแผ่นดินโลก
การสร้างราชอาณาจักรถูกเล็งไปที่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณโดยตรง นั่นคือ สภาวะการสู้รบของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณได้รับการทำให้ชัดเจนท่ามกลางประชากรทั้งปวงของเราโดยตรง และนี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแต่ภายในคริสตจักรเท่านั้น แต่ทุกบุคคลก็อยู่ในภาวะสงครามด้วยเช่นกันและมากขึ้นในยุคแห่งราชอาณาจักร แม้จะมีร่างกายทางกายภาพของพวกเขา แต่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณก็ถูกเปิดเผยโดยตรง และพวกเขาก็มาพบเจอกับชีวิตแห่งอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ด้วยเหตุนั้น เมื่อพวกเจ้าเริ่มต้นสัตย์ซื่อ พวกเจ้าต้องตระเตรียมอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อส่วนถัดไปของงานของเรา เจ้าควรยอมยกความครบถ้วนบริบูรณ์ของหัวใจของเจ้าให้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถทำให้เราพึงพอใจได้ เราไม่ใส่ใจแต่อย่างใดสำหรับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปก่อนหน้านี้ในคริสตจักร วันนี้ มันอยู่ในราชอาณาจักร ในแผนการของเรานั้น ซาตานได้ย่องตามหลังแต่ละขั้นตอนตลอดมา และในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่นแห่งสติปัญญาของเรา มันได้พยายามค้นหาหนทางและวิถีทางที่จะทำให้แผนการดั้งเดิมของเรายุ่งเหยิงเสมอ กระนั้นเราสามารถพ่ายแพ้ต่อกลอุบายอันล่อลวงของมันได้หรือ? สรรพสิ่งบนสวรรค์และบนแผ่นดินโลกทำหน้าที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ของเรา กลอุบายอันล่อลวงของซาตานจะต่างออกไปได้อย่างไร? ตรงนี้นี่เองที่สติปัญญาของเราเข้ามาบรรจบ นี่เองคือสิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับกิจการของเรา และเป็นหลักการปฏิบัติงานสำหรับแผนการบริหารจัดการทั้งมวลของเรา ในยุคแห่งการสร้างราชอาณาจักร เรายังคงไม่หลบเลี่ยงกลอุบายอันหลอกลวงของซาตาน แต่ทำงานที่เราต้องทำต่อไป ท่ามกลางจักรวาลและทุกสรรพสิ่งนั้น เราได้เลือกสรรการกระทำของซาตานมาเป็นตัวประกอบเสริมความเด่นของเรา นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงสติปัญญาของเราหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่สิ่งซึ่งน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับงานของเราอย่างแน่แท้หรอกหรือ? ในโอกาสแห่งการเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักร ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกถูกแปลงสภาพอย่างสิ้นเชิง และสรรพสิ่งเหล่านั้นเฉลิมฉลองและชื่นบาน พวกเจ้าแตกต่างอย่างใดหรือไม่? ในหัวใจของผู้ใดเล่าไม่มีความหวานของน้ำผึ้ง? ผู้ใดเล่าไม่กำลังปริแตกเพื่อความชื่นบานยินดี? ผู้ใดเล่าไม่เต้นรำด้วยความปีติยินดี? ผู้ใดเล่าไม่กล่าวคำพูดแห่งการสรรเสริญ?
เจ้าจับความเข้าใจจุดมุ่งหมายทั้งหลายและจุดกำเนิดของทั้งหมดที่เราได้พูดคุยถึงและหารือไปแล้วข้างต้นหรือไม่? หากเราไม่ได้ถามเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่คงจะเชื่อว่าเราเพียงแค่กำลังพูดเพ้อเจ้อ และคงจะไร้ความสามารถที่จะหยั่งลึกแหล่งที่มาของวจนะของเราได้ หากพวกเจ้าใคร่ครวญสิ่งเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง พวกเจ้าจะรู้ความสำคัญของพวกมัน เจ้าคงจะได้ประโยชน์จากการอ่านวจนะของเราอย่างตั้งใจ กล่าวคือ วจนะของเราคำใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับเจ้า? คำใดไม่ถูกหมายให้ทำให้ชีวิตของเจ้าเติบโต? คำใดไม่พูดถึงความเป็นจริงของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ? ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าไม่มีความคล้องจองหรือเหตุผลเลยในวจนะของเรา ว่าวจนะของเราขาดคำอธิบายและการตีความ วจนะของเราเป็นนามธรรมและไม่อาจหยั่งรู้ได้อย่างแท้จริงหรือ? พวกเจ้านบนอบต่อวจนะของเราอย่างแท้จริงหรือ? เจ้ายอมรับวจนะของเราอย่างแท้จริงหรือ? เจ้าไม่ปฏิบัติต่อวจนะของเราในฐานะของเล่นหรอกหรือ? เจ้าไม่ใช้วจนะของเราเป็นเสื้อผ้าเพื่อปิดบังรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของเจ้าหรอกหรือ? ในโลกอันกว้างใหญ่นี้ ผู้ใดเล่าได้รับการตรวจดูโดยเราเป็นการส่วนตัวไปแล้ว? ผู้ใดเล่าได้ยินวจนะของวิญญาณของเราเป็นการส่วนตัวไปแล้ว? ผู้คนมากมายเหลือเกินคลำหาและสำรวจค้นในความมืด ผู้คนมากมายเหลือเกินอธิษฐานท่ามกลางความทุกข์ยาก ผู้คนมากมายเหลือเกินซึ่งทั้งหิวและหนาวเฝ้าดูในความหวังและผู้คนมากมายเหลือเกินถูกซาตานพันธนาการไว้ กระนั้นผู้คนมากมายก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด ผู้คนมากมายเหลือเกินทรยศเราท่ามกลางความสุขของพวกเขา ผู้คนมากมายเหลือเกินไม่สำนึกขอบคุณ และผู้คนมากมายเหลือเกินภักดีต่อกลอุบายอันหลอกลวงของซาตาน ผู้ใดเล่าท่ามกลางพวกเจ้าคือโยบ? ผู้ใดเล่าคือเปโตร? เหตุใดเราจึงได้พูดพาดพิงถึงโยบซ้ำๆ? เหตุใดเราจึงอ้างอิงถึงเปโตรหลายครั้งเหลือเกิน? พวกเจ้าได้เคยสืบให้แน่ใจแล้วหรือไม่ว่าความหวังของเราสำหรับพวกเจ้าคืออะไร? เจ้าควรใช้เวลามากขึ้นในการใคร่ครวญสิ่งต่างๆ เช่นนี้
เปโตรได้สัตย์ซื่อต่อเรามาหลายปี กระนั้นเขาก็ไม่เคยบ่น อีกทั้งไม่ได้มีการร้องทุกข์คร่ำครวญใดๆ แม้แต่โยบก็ไม่เทียบเท่าเขา และตลอดยุคทั้งหลาย บรรดาธรรมิกชนทั้งหมดก็ได้อ่อนด้อยกว่าเปโตร เขาไม่เพียงพยายามรู้จักเราเท่านั้น แต่ก็ได้มารู้จักเราในระหว่างเวลาที่ซาตานกำลังกระทำการตามกลอุบายอันล่อลวงของมันอีกด้วย นี่ได้นำทางให้เปโตรรับใช้เรานานหลายปี เป็นไปตามเจตนารมณ์ของเราเสมอ และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่เคยได้ถูกซาตานใช้หาประโยชน์เลย เปโตรดึงบทเรียนจากความเชื่อของโยบ กระนั้นก็ล่วงรู้ข้อบกพร่องของโยบอย่างชัดเจนอีกด้วย แม้ว่าโยบได้มีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ แต่เขาขาดความรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงได้พูดคำพูดหลายคำที่ไม่ได้สอดคล้องกับความเป็นจริง นี่แสดงให้เห็นว่าความรู้ของโยบนั้นตื้นเขินและไม่สามารถมีความเพียบพร้อมได้ เพราะฉะนั้น เปโตรจึงได้มุ่งเน้นไปที่การได้รับสำนึกรับรู้ของวิญญาณเสมอ และได้ให้ความสนใจต่อการสังเกตการณ์พลังขับเคลื่อนของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณเสมอ ผลก็คือ เขาไม่เพียงสามารถแน่ใจในเจตนารมณ์บางอย่างของเราเท่านั้น แต่ยังรู้จักกลอุบายอันหลอกลวงของซาตานอีกเล็กน้อยด้วย ด้วยเหตุนี้ในยุคทั้งหลายที่ผ่านมา เขาจึงรู้จักเรามากกว่าคนอื่น
จากประสบการณ์ของเปโตร มันไม่ยากที่จะเห็นว่าหากมนุษย์ปรารถนาที่จะรู้จักเรา พวกเขาต้องมุ่งเน้นที่การพิจารณาอย่างรอบคอบภายในวิญญาณของพวกเขา เราไม่ได้ขอให้เจ้า “มอบอุทิศ” จำนวนเฉพาะจำนวนหนึ่งให้เราภายนอก นี่เป็นความกังวลรอง หากเจ้าไม่รู้จักเรา เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อ ความรัก และความจงรักภักดีทั้งหมดที่เจ้าพูดถึงก็เป็นเพียงสิ่งลวงตา พวกมันเป็นสิ่งไร้สาระ และเจ้าจะกลายเป็นใครบางคนที่ทำการอวดตัวอย่างยิ่งใหญ่เบื้องหน้าเรา แต่ไม่รู้จักตัวเองอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะถูกซาตานหลอกให้ติดกับอีกครั้งและไร้ความสามารถที่จะปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้ เจ้าจะกลายเป็นบุตรแห่งความพินาศและเป็นวัตถุแห่งความย่อยยับ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าเย็นชาและไม่ใส่ใจในวจนะของเรา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต่อต้านเราอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือข้อเท็จจริง และเจ้าคงจะประสบความสำเร็จที่จะมองทะลุประตูแห่งอาณาจักรฝ่ายวิญญาณไปที่พวกวิญญาณมากมายหลากหลายซึ่งได้ถูกเราตีสอนไปแล้ว วิญญาณพวกนั้นดวงใดไม่คิดลบ ไม่ใส่ใจและไม่ยอมรับ เมื่อเผชิญหน้าวจนะของเรา? วิญญาณพวกนั้นดวงใดไม่ได้เยาะเย้ยถากถางเกี่ยวกับวจนะของเรา? วิญญาณพวกนั้นดวงใดไม่ได้พยายามที่จะจ้องจับผิดวจนะของเรา? วิญญาณพวกนั้นดวงใดไม่ได้ใช้วจนะของเราเป็น “อาวุธป้องกัน” เพื่อใช้ “ปกป้อง” ตัวเอง? พวกมันไม่ได้ใช้เนื้อหาสาระของวจนะของเราเป็นหนทางที่จะรู้จักเรา แต่เป็นเพียงของเล่นให้เล่นด้วยเท่านั้น ในการนี้ พวกมันไม่ได้กำลังต้านทานเราโดยตรงหรอกหรือ? วจนะของเราคือผู้ใดเล่า? วิญญาณของเราคือผู้ใดเล่า? เราได้ถามคำถามเหล่านี้กับพวกเจ้าหลายครั้งเหลือเกินแล้ว กระนั้นพวกเจ้าได้เคยรับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่สูงขึ้นและชัดเจนใดๆ เกี่ยวกับคำถามเหล่านั้นหรือไม่? พวกเจ้าได้เคยมีประสบการณ์กับพวกมันอย่างแท้จริงหรือไม่? เราเตือนความจำพวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า หากเจ้าไม่รู้จักวจนะของเรา และไม่ยอมรับวจนะของเรา อีกทั้งไม่นำวจนะของเราไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะกลายเป็นเป้าหมายแห่งการตีสอนของเราอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้! เจ้าจะกลายเป็นเหยื่อของซาตานอย่างแน่นอน!
29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1992